## บันทึกรักสีม่วง ## ตอนพิเศษสุดท้าย [ ๒๑ / ๐๑ / ๒๕๖๐ ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ## บันทึกรักสีม่วง ## ตอนพิเศษสุดท้าย [ ๒๑ / ๐๑ / ๒๕๖๐ ]  (อ่าน 232078 ครั้ง)

ออฟไลน์ Pz_ready

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +107/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



*************************************



เรื่องแรกสำหรับในเว็บนะคะ เคยคิดอยากจะเขียนนิยายแนวนี้มานานมากแล้ว แต่ก่อนเคยแต่ทำตัวเป็นเงาอ่านในเว็บ พอได้เขียนเรื่องนี้ของเอามาแชร์ซักหน่อย

มีอะไรก็แนะนำได้นะคะ ฝากตัวด้วยค๊า  :mew1:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2017 00:49:29 โดย Pz_ready »

ออฟไลน์ Pz_ready

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +107/-1

ตอนที่ 1


เมื่อความรักที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากสังคม...ถูกกีดกันและแบ่งแยกและถูกบัญญัติคำต่างๆขึ้นมาให้กับความรักนั้น...แต่ความรักยังไงก็คือความรัก รักเพราะพันผูก รักเพราะโชคชะตา รักเพราะสงสาร หรืออะไรก็ตาม แต่ยังไงรักก็คือรัก


เหมือนกันกับอดุลย์หรือปิงปอง วัยยี่สิบเอ็ด ชายผู้ที่สภาพใจเป็นผู้หญิง เขาจึงพยายามเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูเหมือนกันกับจิตใจของตัวเอง เพื่อปกปิดความรู้สึกไม่ครบที่ใครๆต่างยัดเยียดมาในหัวของเขา ทั้งที่แต่ก่อนอดุลย์ไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าที่ตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่ากระเทยแบบนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่ดี


...สังคมและคนรอบตัวย้อมความคิดสีขาวจนกลายเป็นสีเทา...


อดุลย์ใช้ชีวิตสีเทาเรื่อยมา...แม้จะไม่ได้สุขสบายเพราะงานที่พอจะเข้าใจในสิ่งที่อดุลย์เป็นคืองานกลางคืน แต่โชคดีที่มีสิ่งที่ทำให้อดุลย์ยังคงมีรอยยิ้มกับชีวิตตัวเองได้นั้นคือชายคนหนึ่ง ชายคนที่เป็นนักร้องนำของวงในผับที่ตนทำงานอยู่


รพี...คือชื่อของเขาคนนั้น คนที่อดุลย์ได้ลอบมองทุกคืนวันศุกร์และวันอาทิตย์ คนรอบตัวของอดุลย์มักจะบอกเสมอว่าสองวันนี้คือวันที่อดุลย์ทำงานได้ดีมาก เขาได้แต่ส่งยิ้มที่แต่งแต้มสีแดงสดไปให้ ไม่อยากให้ใครรู้ว่าทำไม


เพราะว่ารักนั้นก็คือรัก...เป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออก


อดุลย์จึงได้รักอย่างนั้นเรื่อยมาเป็นปีๆ


หากแต่ตอนนี้สิ่งที่กำลังเรียกว่ารักมันเปลี่ยนไป เพราะเขาดันไปได้ยินบทสนทนาของรพีกับแฟนสาวที่เห็นบ่อยๆว่ามากับวงดนตรี


“ซัน!! ทำไมซันพูดอย่างนี้!!”รวิวรรณพูดอย่างอ่อนแรง ดวงตาที่แต่งเติมจนดูเด่นในยามค่ำคืนแต่ตอนนี้กลับหม่นแสงอย่างเห็นได้ชัด ปากบางกดเม้มเข้าหากันอย่างกดกลั้นอารมณ์โกรธ ไม่ต่างกันกลับชายหนุ่มร่างสูงที่แม้จะหน้านิ่งแต่แผ่บรรยากาศที่ชวนขนลุกออกมาจากทั่วทั้งร่าง


“แล้วจะให้พูดยังไง? หรือว่าไม่จริงที่นิวไม่เคยนอนกับเพื่อนซัน อย่ามาอ้างว่าไอ้เด็กนั้นเป็นลูกซัน!! ทำไม?? เพราะว่าซันรวยที่สุดเลยกะจับหรือไง ทำไมผู้หญิงทุกคนต้องคิดว่าท้องแล้วจะจับผู้ชายได้ว่ะ”รพีตอบอย่างหัวเสีย พลางสะบัดมือขาวที่เกาะอยู่ของหญิงสาวทิ้งไป 


“นิวไปเอามันออกไปซะ...แล้วระหว่างเราก็จบ อย่ามาให้เห็นหน้าอีก..นี่เงิน แค่นี้คงพอนะ”ร่างสูงชูธนบัตรสีเทาหลายใบให้เธอดู แถมมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามที่สุดในชีวิต


“จะบ้าเหรอซัน!! นิวท้องได้หกเดือนแล้วนะ!! มันนานไปแล้วจะเอาออกได้ยังไง!!?”


“กูไม่รู้เว้ย!! ไม่ใช่ปัญหาของกู มึงได้ยินมั้ยว่าไม่ใช่เรื่องของกู!!!”รพีพูดก่อนจะฟาดเงินสดจากในกระเป๋าทิ้งลงพื้นทำให้หญิงสาวตรงหน้าที่เริ่มร้องไห้ปล่อยโฮเสียงดัง ไม่เพียงแค่ระวิวรรณเท่านั้นที่ร้องไห้ แต่อดุลย์ที่ได้ยินเรื่องโดยบังเอิญก็น้ำตาไหลไม่ต่างจากหญิงสาว


ด้วยเพราะเป็นคนที่อ่อนไหวและรู้สึกผิดหวังจากคนที่ตนรู้สึกรัก...


อดุลย์มองดูระวิวรรณนั่งร้องไห้เสียใจ ร่างบางของหญิงสาวดูคล้ายกับไร้เรี่ยวแรง ไหล่เล็กๆไหวขึ้นลงด้วยแรงสะอื้น น้ำตาใสของสาวน้อยผู้เดียงสาไหลรินอย่างไม่ขาดสาย ไหลลงมาอยู่นาน...นานพอที่จะทำให้นักท่องเที่ยวยามค่ำคืนออกไปจากสถานที่แห่งนี้จนหมด


อดุลย์มองที่ระวิวรรณอย่างวิตก คิดไปต่างๆนานาว่าหญิงสาวจะทำตามที่ผู้ชายใจร้ายคนนั้นบอกหรือไม่ ถ้าเขาผู้ซึ่งเป็นใครไม่รู้เข้าไปขอร้องเธอจะยอมเก็บเด็กไว้หรือเปล่า และนาทีที่ความวิตกเปลี่ยนเป็นความกลัวจนขั้วหัวใจ เมื่อหญิงสาวที่อดุลย์ลอบมองกว่าข่อนคืนหยุดร่ำไห้ลุกขึ้นยืนด้วยแววตาที่หมายมั่นอะไรบ้างอย่าง


อดุลย์จะไม่กลัวขนาดนั้นถ้าในมือของระวิวรรณไม่หยิบเงินที่รพีฟาดใส่ให้ไปเอาเด็กออก จะไม่รู้สึกเหน็บหนาวเลยถ้าไม่เห็นหญิงสาวใช้มือขาวบางๆนั้นลูบท้องของตัวเองที่ไม่สังเกตดีๆคงคิดว่าผู้หญิงคนนี้แค่เป็นหญิงร่างอวบนิดๆเท่านั้น และอดุลย์คงจะไม่รู้สึกชาไปทั้งตัวถ้าปากบางๆของเธอไม่พูดคำว่า


....แม่ขอโทษ....


สมองที่ว่างเปล่าของอดุลย์ที่เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าสั่งให้เขาเดินตามหญิงสาวคนนั้นไปเพื่อช่วยเธอ หากแต่จะช่วยอย่างไร ใช้วิธีไหนที่จะช่วยทั้งเธอและเด็ก ทำอย่างไร...ทำอย่างไร...ไม่มีคำตอบให้คำถามนั้นของอดุล ได้เพียงแต่เดินตามเธอไปในความมืดของท้องถนนยามค่ำคืน...


ปรี๊ดดด ปรี๊ดดดด ปรี๊ดดดด!!!
   

เสียงแตรของจักรยานยนต์หลายคันส่งเสียกันดังกระหึ่มท่ามกลางแสงไฟสีส้มที่ไฟไม่อาจสว่างได้ทั่วทั้งบริเวณ หญิงสาวที่เดินเหม่อลอยไปเรื่อยเริ่มได้สติ แต่คงไม่ทันการณ์เมื่อตอนนี้เธอตกอยู่กลางวงล้อมของเด็กวัยรุ่นชายบนรถจักรยานยนต์นับสิบคัน


“มาทำอะไรมืดๆคนเดียวจ้ะน้องสาว”เหงื่อเม็ดใสเริ่มผุดขึ้นเมื่อระวิวรรณเริ่มตะหนักว่าตัวเองกำลังตกอยู่ใน สถานการณ์แบบไหน เสียงของผู้ชายที่ดูจะเด็กกว่าเธอพูดโอ้โลม พร้อมกับเสียงหัวเราะจากรอบตัวกับแสงไฟที่สาดส่องมาที่เธอเพียงคนเดียว


หญิงสาวเริ่มมองหาทางออกที่ปลอดภัย ดวงตาดำขลับสอดส่ายไปมาอย่างวิตก ยแต่เหมือนว่ากิริยาแบบนั้นจะทำให้ชายวัยกลัดมันส์ทั้งหลายเริ่มรู้สึกสนุกเมื่อเห็น เสียงเชียร์เสียงโห่ร้องดังมากขึ้นไปอีกเมื่อมีผู้ชายคนนึงจอดรถตัวเองแล้วเดินไปขวาเข้าที่ตัวระวิวรรณ


“ปล่อยนะไอ้สวะ!!! ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”แผดเสียงใส่คนที่เข้ามาจับตัวอย่างจาบจ้วง สายตาเหยียดหยามมองไปที่ผู้ชายคนนั้นอย่างถือดี อารมณ์โกรธที่ถูกดูพุ่งสูง ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าใบหน้าขาวนั้นฟาดเข้าจนดังสนั่น


เพี้ยะ!!!!


ตรงหน้าคือภาพที่ผู้หญิงตัวเล็กๆถูกทำร้าย แต่คนรอบข้างกับส่งเสียเฮอย่างสนุกสนาน ต่างจากชายร่างอรชรที่ยืนดูในมุมมืดห่างๆ สีหน้าวิตกกับภาพตรงหน้า จะเข้าไปช่วยก็ไม่กล้า กลัว...อดุลย์ก็แค่คนๆหนึ่งที่รู้สึกกลัวเป็น


และเมื่อความกลัวถูกผลักดันด้วยความถูกต้อง ร่างของอดุลย์ก็โผไปในวงล้อมผลักผู้ชายที่จับระวิวรรณหวังจะช่วยเธอเอาไว้ให้ได้ เพราะตอนนี้ระวิวรรณไม่ใช่แค่คนคนเดียว แต่ยังมีเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยอีกคน


“เฮ้ย!! อีตุ๊ดนี่มันมาจากไหนว่ะ”เสียงของใครซักคนร้องออกมาอย่างไม่พอใจ


“มึงมาจากไหนกลับไปทางนั้นอีกตุ๊ด อย่ามาเสือกเรื่องไม่เป็นเรื่องถ้าไม่อยากเจ็บตัว!!”คำขู่ที่ทำเอาอดุลย์สั่นด้วยความกลัว ใช่ว่าไม่เคยโดนทำร้ายร่างกาย มีบ่อยสมัยเด็กๆที่โดนแกล้งจากเพื่อนในโรงเรียน แต่ตอนนี้คงไม่จบแค่แผลถลอก...


“พวกน้อง...อย่าทำอะไรผู้หญิงคนนี้เลยนะ”   


“ทำไม มันเป็นเมียมึงรึไง กูพึ่งรู้ว่ะว่าเดี๋ยวนี้ตุ๊ดแม่งเอาผู้หญิงเป็นด้วยว่ะ”เกิดเสียงหัวเราะกึกก้องไปทั่ว หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นพูดตอบอดุลย์อย่างไม่นึกใส่ใจคำขอ


“ปล่อยมา!! เป็นตุ๊ดก็ไม่ต้องมาเสือกเรื่องผู้หญิงผู้ชาย เสียดายพวกกูไม่นิยมตูด ไม่งั้นคงช่วยมึงได้บ้าง”พูดพร้อมกับถลาเข้ามาคว้าหญิงสาวที่หลบอยู่หลังร่างที่บอบบางไม่ต่างกัน


“ไม่นะ!! ช่วยด้วย!!”ระวิวรรณสะบัดตัวหวังจะหลุดออกจาการเกาะกุมของอีกฝ่าย อดุลย์เองก็ช่วยพยายามแกะมือใหญ่นั้นออกแต่ก็ไร้ผลเมื่อเรี่ยวแรงมันต่างกันมากกมายขนาดนี้ แต่ถึงจะไม่เป็นปัญหากับผู้ชายร่างใหญ่ก็สร้างความรำคาญให้กับเขาได้ไม่น้อย


เพี้ยะ!!


“โอ้ย!!”อดุลย์ถูกฟาดเข้าที่แก้มขาวเข้าอย่างจัง ร่างทั้งร่างล้มคลุกลงไปกับพื้นคอนกรีต ข้อศอกรู้สึกถึงความเจ็บแสบขึ้นมาแต่เขาก็ยังฝืนตัวเองลุกขึ้นมาช่วยหญิงสาวต่อ


“อีตุ๊ดนี่ท่าจะอยากตายจริงๆ!! เฮ้ย พวกมึงมาช่วยกระทืบอีตุ๊ดนี่ทีกูจะได้พวกอีนี่ไปขึ้นสวรรค์ซักที!!”สิ้นคำก็เหมือนโลกมันหมุนเคว้งไปทั่ว ทั้งมือทั้งเท้าของใครก็ไม่รู้ต่างประเคนเข้ามาที่ร่างของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน


“อย่า!! หยุดนะ!! อย่าทำร้ายเขา!!”หูของอดุลย์ได้ยินเสียงแว่วๆของระวิวรรณแต่ก็ไม่สามารถมองภาพตรงหน้าได้


“เฮ้ยพี่!! เลือด!! เลือดพี่!! อีนี่มึงเลือดไหลเต็มเลย!!”ประโยคสุดท้ายก่อนที่สติของอดุลย์จะดับลง ในใจของเขายังสวดภาวนา...ภาวนาให้กับระวิวรรณอย่าให้โดนไอ้พวกสารเลวพวกนั้นทำร้าย...ภาวนาให้กับลูกในท้องของเธอให้รอดและปลอดภัยอย่าให้ต้องโดนพรากชีวิตทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตาลืมโลก...


อดุลย์ภาวนา...ภาวนาด้วยความหวังเพียงน้อยนิด...ขออย่างให้เกิดอะไรเลวร้าย...กว่านี้...อีกเลย



เดาแนวเรื่องกันออกเนอะ คิคิ

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
อ่านจากชื่อแล้วก็เดาว่าจะเป็นเรื่องของสาวประเภทสอง ซึ่งก็ใช่จริง
อ่านแล้วอึ้งตาม รวิวรรณจะเป็นอะไรไหม อดุลย์ด้วย ติดตามอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Pz_ready

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +107/-1


ตอนที่ 2



“คุณพ่อคร๊าบบบบบ”เสียงของเด็กน้อย...ตะวัน...ร้องลั่นรับยามเช้าตรู่ของวันใหม่ เช้าวันที่ไม่ได้สดใสอะไร บรรยากาศคล้ายว่าฝนจะตก เมฆดำลอยละลิ่วจนพอมองออกไปนอกหน้าต่างยังเหมือนกันว่าพระอาทิตย์ไม่ขึ้นทั้งๆที่ตอนนี้ก็เกือบจะเจ็ดโมงเช้าแล้ว


“ตะวันหิวแล้ว...แล้ววันนี้คุณพ่อต้องไปโรงเรียนกับตะวันด้วยน้า ฮิฮิ”เด็กชายพูดกับผู้เป็นพ่อด้วยท่าทีร่าเริง อดุลย์มองเด็กน้อยที่ร้องเรียกตัวเองแล้วยิ้มรับจางๆ


“รู้แล้วครับผม นี่พ่อก็กำลังแต่งตัวอยู่นี่ไงครับ”อดุลย์ตอบกลับด้วยความแจ่มใสไม่ต่างกัน จะสิบปีแล้วซินะนับจากเหตุการณ์โชคดีนั้นเกิดขึ้นมา อดุลย์มองตัวเขาเองในกระจกแล้วยิ้มอีกครั้ง


สภาพของเขาตอนนี้เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป ผู้ชายปรกติ อดุลย์เปลี่ยนแปลงตัวเองหมดทุกอย่าง ผมที่เคยไว้ยาวสวยก็ตัดจนสั้นเกรียน หน้าตาที่แต่งเติมจนหนาเหลือแค่แป้งเด็กเพียงฝามือเดียว  กิริยาท่าทางคำพูดทุกอย่างเปลี่ยนใหม่หมดเพื่อเด็กน้อยชื่อตะวัน


จากที่เคยใช้ชีวิตเป็นเด็กเสิร์ฟเหล้าไปวันๆก็นึกตระหนักได้ว่าเมื่อไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวแล้วยังมีเด็กทารกตัวน้อยๆให้คอยดูแลเลี้ยงดูอีกคน อดุลย์กลับมาเรียนอีกครั้งหนึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เรียนทางไปรษณีย์ แล้วเปลี่ยนมาทำงานรับจ้างทั่วไปอยู่กับบ้าน แม้จะลำบากแต่โชคดีที่น้าสาวที่เป็นญาติคนสุดท้ายที่รู้จักขายบ้านไม้หลังเล็กๆให้ด้วยราคาไม่แพงเพราะเจ้าของบ้านนึกสงสารหลานที่ลำบากมาตั้งแต่เด็ก 


เขากับตะวันอยู่ด้วยกันมาจะสิบปี...แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ความผูกพันที่มีก็ไม่ต่างกัน อดุลย์ยังจำวันแรกได้ดี วันแรกที่เขาได้พบได้สบตากับดวงตาน้อยๆของเบิกกว้างเพียงแค่แวบเดียวราวกันจะมองเขา


วันแรกที่ได้เจอ...ลูก


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


กลิ่นยาฆ่าเชื้อพุ่งเข้ามาในจมูกทันทีที่สติของอดุลย์เริ่มฟื้นขึ้นมา เปลือกตากระพริบถี่เมื่อรีบลืมตาขึ้นกลับเจอแสงสีขาวพุ่งเข้าจนแสบตา จนเมื่ออยากขยับตัวก็พบกับความขัดยอกตามร่างกาย เลยนึกขึ้นได้ว่าตนผ่านเหตุการณ์อะไรมา


อดุลย์ลุกขึ้นนั่งกับเตียงบรรดาพยาบาลสาวก็ต่างกรูเข้ามาดูอาการเบื้องต้น ตอนนี้เขาอยู่ในห้องพักรวมของโรงพยาบาลที่ไหนซักแห่ง มองจากด้วยนอกคงสายน่าดู เขาพ้นค่ำคืนที่น่ากลัวนั้นมาได้อย่างไร คงจะมีแต่ต้องถามเท่านั้น


“ขอโทษนะคะ คือ..ชั้น มาที่นี่ได้ยังไง”เอ่ยถามกับพยาบาลที่ง่วงกับการวัดความดันตรวจชีพจรและอาการบาดเจ็บตามเนื้อตัว


“ตำรวจมาส่งนะค่ะ”อดุลย์ร้องอ่อขึ้นมาในใจ โชคดีที่ก่อนที่เขาจะเข้าไปในวงล้อมนั่นอดุลย์โทรแจ้งความไว้ก่อนแล้ว แต่จากที่ที่เกิดเหตุคงไกลจากสถานีตำรวจอยู่เหมือนกันอดุลย์เลยตัดสินใจออกไปช่วยหญิงสาวก่อน


“แล้วมีผู้หญิงมาด้วยหรือเปล่าคะ”


“ค่ะ ตอนนี้กำลังอยู่ในห้องพักฟื้นค่ะ เดี๋ยวดิชั้นขออนุญาตโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนนะคะว่าคุณฟื้นแล้ว เขาสั่งไว้นะค่ะ”พยาบาลสาวเอ่ยบอกด้วยความสุภาพ อดุลย์นึกโล่งใจที่หญิงสาวอีกคนปลอดภัย อยู่ในห้องพักฟื้นอย่างที่พยาบาลบอก


ไม่นานเท่าไรเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินเข้ามาภายในห้องพักผู้ป่วย เรียกสายตาของผู้ป่วยคนอื่น ทำเอาอดุลย์เกิดความประหม่าเพราะสายตาสอดรู้สอดเห็นของทุกคน คล้ายว่าคนคิดว่าเขาเป็นผู้ต้องหาอะไรซักคดีแน่ๆ


“สวัสดีครับคุณอดุลย์...ขอโทษที่ต้องดูบัตรประชาชนก่อนนะครับ”


“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”นายตำรวจร่างท้วมยิ้มตอบ รู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้เป็นยังไงจึงไม่ได้รู้สึกแปลกๆที่ฟังคำที่ดูเป็นผู้หญิงจากคนคนนี้


“คุณเป็นคนที่โทรแจ้งความใช่มั้ยครับ ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดได้มั้ย”อดุลย์พยักหน้าตอบแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวเพียงแค่ช่วงที่โดนแก๊งค์จักรยานยนต์มาก่อกวน นายตำรวจตรงหน้านั่งฟังและจดอะไรบ้างไปเรื่อยๆจนจบแล้วนายตำรวจหนุ่มจึงขอตัวกลับไปทำงานต่อ


“เอ่อ...ขอโทษนะคะคือชั้นอยากไปเยี่ยมคุณระวิวรรณ...ผู้หญิงที่มากับชั้นน่ะค่ะ”อดุลย์ที่นึกเป็นห่วงอีกคนตัดสินใจขัดความปวดตามกล้ามเนื้อลุกไปถามที่พยาบาลคนเมื่อครู่


“เกรงว่ายังเยี่ยมไม่ได้ค่ะ เธอพักอยู่ที่ไอซียู และคุณหมอก็ห้ามเยี่ยมค่ะ เธอพึ่งออกจากห้องผ่าตัด”อดุลย์ตาโตด้วยคำพูดของพยาบาลตรงหน้า


“แต่ถ้าเป็นเด็กคงเยี่ยมได้ค่ะ แต่ก็คงได้แค่มองนะค่ะเพราะเด็กอยู่ในตู้อบค่ะ”


“เด็ก?”


“ค่ะ คุณระวิวรรณถูกทำร้ายจนแท้ง โชคดีที่ถึงโรงพยาบาลทันแต่อายุครรภ์แค่หกเดือนเศษ ยังอันตรายอยู่ค่ะ”อดุลย์พูดอะไรไม่ออกได้แต่เดินตามพยาบาลไปตามทางเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงห้องหนึ่งที่มีป้ายปลอดเชื้อแขวนข้างๆกันเป็นกำแพงกระจกใสมองเห็นเครื่องมือแพทย์มากมายรายล้อมอยู่ข้างใน


และยังเห็นร่างสีแดงเล็กๆ ที่เล็กเทียบเท่าฝ่ามือของตัวเอง น้ำตาที่ไม่รู้มาจากไหนไหลออกมากตาคู่โต พยาบาลข้างๆมองอย่างสงสารเพราะเธอก็เชื่อว่าไม่ว่าใครมาเห็นสภาพเด็กแบบนี้คงไม่มีใครกลั้นน้ำตาไว้อยู่


แต่นาทีที่อดุลย์ผู้ซึ้งร้องไห้อยู่ตราตรึงไปทั้งชีวิต เมื่อดวงตาของเด็กน้อยตัวเล็กเปิดขึ้นทั้งสองตาอย่างปาฏิหาริย์ แถมยังมองสบตามาที่อดุลย์อีกด้วย เขาหยุดร้องไห้...และเชื่อว่าเด็กคนนี้ต้องรอดอย่างแน่นอน


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


บรรยากาศครึกครื้นของโรงเรียนเล็กๆใกล้ชุมชนที่แออัด เด็กส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่พวกผู้ปกครองเองก็มักจะรู้จักกัน ดังนั้นวันงานสำคัญหนึ่งของประเทศอย่างวันแม่จึงดูคึกคักราวกับสมาคมแม่บ้านมาเอง


อดุลย์มองไปยังรอบๆ มีโอกาสไม่บ่อยนักที่เขาได้มาดูสถานศึกษาของตะวัน เพราะชีวิตช่วงเช้าของเขาหมดไปกับการทำงานที่ตอนนี้ได้งานเป็นพนักงานขายที่ห้างดังใจกลางเมือง ถึงจะเริ่มงานด้วยค่าแรงไม่มากมายแต่ตอนนี้เขาทำงานมาได้เกือบห้าปี ก็ถือว่าเงินที่ได้พออยู่พอกินสำหรับตอนนี้ แต่อดุลย์เองก็ไม่วายคิดถึงอนาคตของเด็กชายตัวเล็กที่ยืนยิ้มเกาะกุมมือของอยู่ข้างๆ


“สวัสดีค่ะ คุณพ่อของตะวัน”คุณครูมาลีสาวสูงวัยผู้ซึ่งเป็นครูประจำชั้นของตะวัน และเธอเป็นผู้เลือกให้ตะวันเป็นหนึ่งในห้าของตัวแทนของห้องที่จะนำไหว้แม่ในวันแม่


“สวัสดีครับคุณครู”อดุลย์ยิ้มเขินให้กับครูสูงวัยตรงหน้า เขารู้จักกับครูมาลีมามากกว่าอายุของตะวันซะอีก แน่นอนว่าครูมาลีรู้ว่าแต่ก่อนอดุลย์ใช้ชีวิตอย่างไร แต่เธอไม่เคยคิดจะพูดหรือดูถูกแม้แต่น้อย


“เชิญคุณพ่อไปทางด้านเสาธงก่อนนะค่ะ”อดุลย์รับคำ ยิ้มส่งลูกชายที่โบกมือให้ก่อนจะเดินไปที่ที่เตรียมไว้ให้กับคุณแม่ทั้งหลายที่นั่งรออยู่ด้านข้างเสาธง

“เฮ้ยยยย!! ไอ้หัวกลม เขาให้มึงพาแม่มาไม่ใช่เหรอว่ะ”ทันทีที่ไร้เงาของผู้ใหญ่จากบริเวณเสียงเล็กๆของเด็กผู้ชายโพล่งดังออกมาทันที


“ก็คนมันไม่มีแม่ มันจะเอาแม่มาจากไหนเล่าไอ้บอส ฮ่าๆๆๆ”อีกเสียงที่ตอบโต้กับเด็กชายบอสตอบแทนคนที่ถูกถาม ตะวันกำมือแน่นอย่างอดกลั้น เคยโดนด่าโดนว่าเรื่องกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก เขาอาละวาดจนทำให้ผู้เป็นพ่อถูกเรียกมาที่โรงเรียน แต่พ่อปิงปองของเขาไม่เคยโกรธ มักจะยิ้มให้เขาเสมอ


แต่ตะวันรู้ว่าพ่อไม่ได้ยิ้มเพราะดีใจ ดังนั้นตะวันจึงไม่อยากจะทำให้พ่อต้องรู้สึกแย่


“แต่แม่กูบอกว่าพ่อมันเป็นตุ๊ด!! มึงรู้จักหรือเปล่าตุ๊ดอ่ะ ผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิงอ่ะ”เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างไม่รู้จะหยุดตอนไหน คำปรามาสใหม่ที่ตะวันได้ยินบวกกับเสียงหัวเราะที่ทำเอาอารมณ์ขุ่นขึ้นทันตา


หมัดเล็กๆง้างขึ้นเหนือหัวเตรียมจะซัดลงไปยังเพื่อนที่ดูถูกพ่อของตัวเอง  แต่ต้องชะงักเพราะโดนมือที่ใหญ่กว่าจับเอาไว้ ตะวันหันไปมองคนมาใหม่ที่เข้ามาขัดขวางเอาไว้อย่างเคืองๆ


“พวกมึงไปไกลๆไป ก่อนที่กูจะปล่อยให้ไอ้ตะวันซัดพวกปากหมาอย่างพวกมึง”


“มึงซิปากหมา!! กูพ่อความจริง พ่อไอ้เหี้ยตะวันเป็นตุ๊ด!! โอ้ยๆ ไปๆๆ หนีเว้ย!!”


“ไอ้ดำ!! มึงจะมาขวางกูทำไมเนี่ย!!”ตะวันโวยวายใส่เพื่อนที่ตัวเองเรียกว่าดำทั้งๆที่จริงเขาชื่อว่า ทานตะวัน แต่เพราะชื่อเหมือนกับตะวันเกินไปเลยถูกตั้งฉายาใหม่ตามสีผิวของตัวเองทันที แต่ทานตะวันก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรกับชื่อที่เพื่อนเรียก ด้วยความชิน...เขาถูกตะวันเรียกว่าดำตั้งแต่อายุสี่ขวบแล้ว


“มึงไม่อยากไหว้พ่อมึงแล้วรึไงล่ะ? มีเรื่องก่อนแบบนี้มีหวังถูกเรียกผู้ปกครองแน่ แถมไม่ต้องเสียเวลาด้วยพ่อมึงอยู่ที่นี้แล้ว”ตะวันหน้ายู่แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนตัวใหญ่กว่า


ทั้งคู่เดินไปเข้าแถวด้วยกันเมื่อถึงเวลา มีกิจกรรมหน้าเสาธงก่อนนิดหน่อยก่อนจะถึงกิจกรรมวันแม่ ตะวันถูกเรียกออกมาเข้าแถวใหม่เพื่อเตรียมตัวที่จะขึ้นไปไหว้พ่อปิงปองบนเวทีหน้าเสาธงชาติ


...พ่อมึงเป็นตุ๊ด....


คำพูดที่ติดอยู่ในหัวมันดังขึ้นอีกรอบเมื่อเด็กชายมองไปที่พ่อของตนที่กำลังส่งยิ้มสดใสมาให้เขาอย่างเคย ตะวันเคยเห็นเพื่อนผู้ชายที่ชอบแอบเอารองเท้าส้นสูงของแม่ตัวเองมาใส่ แต่งหน้าทาปากอย่างน่าเกลียด และเขาโตพอจะรู้ได้ว่าคนประเภทนั้นเรียกว่ากระเทย


แต่เขาไม่เคยเห็นพ่อของเขาทำแบบนั้น ถึงจะดูบอบบางกว่าพวกผู้หญิงที่นั่งรายล้อม แต่พ่อดูเป็นผู้ชาย แถมยังเท่ห์มากๆสำหรับตัวตะวัน


ไม่มีทางเด็ดทางที่พ่อจะเป็นอย่างที่ไอ้พวกนั้นพูด ไม่มีทาง!!!!





ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
เจ็บปวดอะ อ่านแล้วเจ็บปวด นึกถึงละครเรื่องนึงที่พี่ออฟเล่นเป็นพ่อกระเทยเลยคะ
ตะวัน อย่าเลยนะ อย่าทำร้ายคุณพ่อที่รักตะวันเลยนะ
ปล.แล้วรวิวรรณ?

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

แค่สองตอนแต่ว่ามันสนุกมากกกกก

คนแต่งบรรยายได้ดีอ่ะ---รู้สึกร่วมไปกับตัวละครเลย
แต่ตอนท้ายตอนที่สองดูท่าทางจะมีปัญหาแน่ๆเลย

ขออย่างเดียว---ช่วยแต่งต่อจนจบด้วยนะ

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ Pz_ready

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +107/-1



ตอนที่3



เวลาแห่งความสุขล่วงมาอีกห้าปี เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กอย่างตะวัน ด้วยความลำบากด้านการเงินที่มีมาตั้งแต่แรก ทำให้ตะวันที่พึ่งจบมัธยมต้นมาหมาดๆคิดจะไม่เรียนต่อแล้วออกมาช่วยพ่อของตนทำงาน เพราะรู้มาตลอดว่าพ่อทำงานหนักขนาดไหน ได้เงินมาก็หมดไปกับเขาอย่างเดียว


หากอดุลย์ไม่ได้ต้องการแบบนั้น เขาพร่ำบอกลูกชายให้เรียนต่ออยากให้ตะวันเรียนสูงๆ ไม่ต้องมาลำบากเหมือนตัวเอง เพราะถึงจะจบอนุปริญญาแต่ด้วยสมัยนั้นมีตะวันที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆอาศัยอยู่ด้วย จึงต้องพลาดจากงานดีๆเงินเดือนสูงๆอยู่หลายงาน จนมาจบที่พนักงานขายเครื่องสำอางในห้างใหญ่


“ตะวัน...ไม่เห็นเหรอว่าการที่พ่อเรียนน้อยพ่อถึงลำบากขนาดไหน ตะวันคงไม่อยากเป็นเหมือนพ่อหรอกนะ”เสียงพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจที่เห็นตะวันไม่ยอมไปสมัครเรียนตามเพื่อนๆซักที ครั้นจะให้บังคับก็คงยากเพราะอดุลย์ก็เลี้ยงตะวันมาแบบตามใจอยู่พอควร


“พ่อครับ แต่ตะวันไม่อยากเป็นภาระ”เด็กหนุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญเติบโต แขนขาที่เคยสั้นกุดเริ่มยืดยาว เพียงแค่อายุสิบห้าปลายๆตะวันก็สูงเกินพ่อเขาไปแล้ว ยิ่งหน้าตายิ่งแล้วใหญ่ หน้าตาคมเข้มกับกลุ่มผมสีอ่อนนั้นคล้ายกับคนในอดีตเหลือเกิน


...ระพี...


“ทำไมตะวันถึงพูดแบบนี้ ตะวันไม่เคยเป็นภาระของพ่อเลยนะ”มือเล็กที่เริ่มมีริ้วรอยบ่งบอกว่าคนๆผ่านเรื่องยากลำบากมาไม่น้อยเอื้อมไปลูบบนศรีษะของลูก ตะวันหลับตาพริ้มรับสัมผัส นึกชอบทุกคนที่พ่อทำแบบนี้กับตัวเอง


“...ถ้าแม่ยังอยู่ด้วยคงจะดี...”เสียงแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเองพูดออกมาทำให้ผู้เป็นพ่อนิ่งงัน เผลอนึกถึงเรื่องของผู้เป็นแม่แท้ๆของตะวันที่ตนเองก็ลืมไปนานแล้ว แต่พอตะวันพูดขึ้นมาก็อดที่จะนึกถึงเธอไม่ได้จริงๆ


ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้น



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



ความวุ่นวายของโรงพยาบาลที่ดูจะเป็นเรื่องปรกติของคนที่นี่แต่กับคนที่ไม่ค่อยได้แวะเวียนมาบ่อยนักอย่างอดุลย์มันเป็นเรื่องที่ดูน่ากลัวและน่าหวาดหวั่นที่สุด


ในรุ่งขึ้นของอีกวันที่อดุลย์ตื่นขึ้นมายังโรงพยาบาลที่เขาและระวิวรรณมารักษาตัว อดุลย์นึกอยากจะเขาไปเยี่ยมหญิงสาวที่ห้องไอซียูที่พยาบาลเมื่อวานบอกไว้ เขาเดินมาดูชื่อผู้ป่วยที่หน้าห้องจึงพบชื่อของคนที่อยากมาเยี่ยม แต่เมื่อเปลี่ยนชุดปลอดเชื้อเขาได้ยินเสียงโวยวายและเสียงร่ำไห้ของผู้หญิงแว่วเข้ามาในหู


ในตอนนั้นเขายังอธิฐานขอให้ไม่มีใครเป็นอะไร


แต่พออดุลย์เดินเข้าไปในส่วนของผู้ป่วย สีหน้าขาวกลับซีดราวกับไม่มีเลือด เตียงผู้ป่วยที่เขาจำหมายเลขที่หน้าประตูกำลังถูกรายล้อมด้วยเหล่าพยาบาลในชุดปลอดเชื้อเช่นเดียวกับเขา ม่านสีเขียวเข้มถูกดึงกั้นไว้แต่ไม่อาจปิดมิด ข้างๆเตียงมีหญิงสูงวัยกำลังร้องไห้


เสียงที่เขาได้ยินคือ...นี่งั้นเหรอ


อดุลย์ยืนนิ่งอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากต้องการรู้เรื่องราว เขาตัดสินใจเดินเขาไปหาหญิงที่กำลังร้องไห้อย่างหนักแล้วทรุดตัวลงข้างๆเธอ มือบางเอื้อมไปกอดไหล่ที่กำลังสั่นอย่างวิสาสะแต่คนที่เสียใจไม่ได้สนใจกับสัมผัสนั้นแม้แต่น้อย เธอยังคงมองไปที่ร่างของหญิงสาวบนเตียงอย่างหมดกำลังใจ


“คุณป้าคะ...”เอ่ยเรียกอยู่สามครั้งคนที่เรียกถึงจะหันมามองด้วยน้ำตาที่นองเต็มใบหน้า


“หนูเป็นเพื่อนของระ...นิวน่ะค่ะ ทำไม...ทำไมนิว”อดุลย์เองก็เสียงสั่นไม่แพ้กัน อยากจะถามว่าทำไมนิวถึงเป็นแบบนี้ทั้งๆที่เมื่อวานคุณพยาบาลก็บอกว่าปลอดภัยแล้ว แต่รู้ว่าคนตรงหน้าก็ไม่อยากจะพูดอะไรในตอนนี้เหมือนกัน


“หัวใจหยุดเต้น เตรียมทำซีพีอาร์ทีคุณนิด”คุณหมอหนุ่มสีหน้าเคร่งเครียดหันมาบอกพยาบาลข้างๆ อดุลย์และหญิงข้างๆเองที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งช็อคไปทั่วร่าง


“นิวววว!!! ฮืออ ไม่นิวววลูกแม่!!”ร่างที่ตั้งใจจะโผเข้าไปกอดลูกสาวกลับถูกกั้นไว้ด้วยพยาบาลผู้หญิงที่หน้าเครียดไม่แพ้คุณหมอเหมือนกัน


“เชิญคุณแม่ออกไปด้านนอกก่อนดีกว่านะคะ...นะคะ”เธอพูดย้ำเมื่อไม่เห็นท่าทียอมของคนตรงหน้า อดุลย์ที่พอจะมีสติเข้าไปโอบแม่ของระวิวรรณ ออกแรงพาร่างที่ดูเหมือนไร้วิญญาณนั้นออกมาด้านนอกด้วยความจำใจ


นานชั่วกัปกัลป์นความคิดของทั้งสองที่ต้องออกมารออยู่ด้านนอก แต่เมื่อความจริงที่มาถึงมันกับทำร้ายจนความหวังที่รออยู่มลายหายจนหมดสิ้น แพทย์หนุ่มที่เห็นเมื่อครู่เดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยพร้อมกับคำพูดที่ว่า


...เสียใจด้วยครับ คุณระวิวรรณเสียแล้ว...


สาเหตุด้วยเพราะติดเชื้อในช่องคลอดและอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ไม่ได้เข้ามาในหูของผู้เป็นแม่ที่เพิ่งสูญเสียลูกสาวไป คนที่ได้สติมากที่สุดจึงเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้ทำหน้าที่ต่างๆที่ผู้เป็นแม่ของผู้ตายทำไม่ได้


อดุลย์ถือวิสาสะนำบัตรประชาชนของระวิวรรณที่ได้มาจากแม่ของเธอที่เหมือนสติหลุดไปแล้ว เขานำไปขอหลักฐานการเกิดของเด็กชายรวมถึงการตายของผู้เป็นแม่เพื่อไปแจ้งทำตามกฏหมาย


“เอ่อ ขอโทษนะคะ”พยาบาลผู้ที่กำลังรับเรื่องนึกสงสัยในช่องรายละเอียดของบิดา...รูปในบัตรประชาชนของผู้ที่แจ้งว่าเป็นบิดาของเด็กน้อย คือคนตรงหน้าไม่ผิดแน่


และ...ไม่ใช่ผู้ชายแท้ๆ


“คุณเป็นพ่อของเด็กเหรอคะ”รู้ว่าเสียมารยาทแต่อดที่ถามไม่ได้ อดุลย์ได้ฟังแล้วยิ้มจางๆให้คนถาม เขาเข้าใจเพราะตัวเขาดูไม่ต่างอะไรกับกระเทยธรรมดาคนหนึ่ง...แต่ ต่อแต่นี้ไปจะไม่ใช่อีกแล้ว


“...ครับ ผมเป็นพ่อของเด็ก”



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



“ขอโทษนะครับ”ตะวันเอ่ยขึ้นหน้าอู่รถขนาดกลางๆใกล้กับตัวบ้านของเขา วันนี้เขาไปสมัครเรียนที่โรงเรียนช่างที่ไม่ไกลนัก ด้วยเพราะเห็นว่าทนเรียนอีกสามปีอย่างน้อยแถมยังได้ทักษะอาชีพ ได้เรียนตามที่พ่อต้องการและได้ทำงานอย่างที่ตนเองอยากทำ


“เออ มาทำไรไอ้หนู”


“หวัดดีครับลุงโชค ผมมาสมัครงาน ลุงพอมีงานให้ผมทำมั้ยครับ นี่ผมพึ่งไปสมัครช่างมานะเนี่ย”ตะวันพูดเจื้อยแจ้วอย่างเคย กับลุงโชคเจ้าของอู่รถเองก็รู้จักเห็นกันมาตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ แถมจักรยานของตะวันเองก็แวะเวียนมาใช้บริการที่นี้บ่อยๆ


“จริงรึ!! เออๆ ดีๆ แต่ข้าไม่ได้รวยนะเว้ย จะเอาเงินไหนไปจ้างเอ็ง”ชายหนุ่มใหญ่ตอบพลางหัวเราะร่วน นึกเอ็นดูตะวันอยู่ไม่น้อย ที่จริงเขาก็เอ็นดูตั้งแต่พ่อของตะวันแล้ว สมัยก่อนที่อดุลย์มาพักอยู่กับน้าสาวก็เห็นว่าเป็นเด็กเรียบร้อยที่ชอบเล่นกับเด็กผู้หญิง การพูดการจาก็นอบน้อม ผู้ใหญ่ทุกคนที่รู้จักก็พาลเอ็นดูกันทุกคน


“แฮ่...ลุงช่วยจ้างผมหน่อยไม่ได้เหรอ ถึงผมยังไม่เป็นงาน แต่ผมรับรองนะว่าผมขยันสุดๆ!! สอนผมไม่นานผมก็เป็นช่างมือทองเลยนะลุง คุ้มกับคุ้ม ฮ่าๆๆ”


“ฮึ ไอ้เด็กกวนตีนอย่างเอ็งน่ะนะจะมาเป็นช่างมือทอง  เออๆ จ้างก็จ้าง แต่ข้าคงจ้างได้ไม่แพงนะ เดี๋ยวอีกหน่อยโรงเรียนเอ็งสอนซ่อมของเล็กๆน้อยๆ ข้าจะไปแบ่งงานซ่อมไปให้ รำคาญไอ้พวกช่างนอกเหมือนกัน รับงานให้แม่งยังชอบเล่นตัว”ลุงโชคบ่นไปเรื่อยเรียกรอยยิ้มของเด็กน้อยได้อย่างง่ายดาย


“งั้นมา!! เริ่มงานวันนี้เลยดีกว่าจะได้คุ้มๆ ว่าแต่เอ็งบอกกับพ่อเอ็งรึยังว่าจะมาทำงานแบบนี้ ไม่ใช่ว่าให้พ่อเอ็งมาถอนหงอกข้านะเว้ย”


“บอกแล้วครับลุง แต่ลุงยังไม่มีหงอกซะหน่อย ออกจะหนุ่มหล่อขนาดนี้ ฮ่าๆๆ”หัวเราะกันสองคนแล้วก็เดินตามเจ้าของอู่เข้าไปข้างใน


เสียงเครื่องมือดังไปทั่วทั้งบริเวณ มีชายหนุ่มหลายคนที่กำลังง้วนอยู่กับรถคันที่ตัวเองรับผิดชอบ ตะวันละลานตากับยี่ห้อรถที่ตนเองเคยเห็นแค่บนถนนตอนที่นั่งรถเมล์ แต่ตอนนี้รถสวยหลายๆคันมาจอดให้ยลกันอยู่ตรงหน้า


“คันนี้เป็นอะไรเหรอลุงโชค”ตะวันลูบมือไปยังรถสีขาวคันสวยยี่ห้อคล้ายๆกับยี่ห้อจักรยานเขาเลย ความใฝ่ฝันของชายหนุ่มคือมีรถสวยๆซักคัน บ้านใหญ่ๆซักหลัง เพื่อพ่อปิงปองของเขาจะไม่ต้องลำบากอีก


“ขาจรน่ะ สงสัยไปกวนตีนไอ้พวกขี้ยาหลังตลาดมา โดนเจาะยางซะสีล้อเลย”


ตะวันยังเดินดูเดินทำความรู้จักกับช่างคนอื่นๆที่ดูจะเข้ากันได้ดีเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่เดือนตะวันจะกลายเป็นรุ่นน้องโรงเรียน คิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกจะเรียนต่อด้านช่าง แม้จะไม่ได้เจอไอ้ดำแล้ว...เพราะฝ่ายนั้นฝันอยากเป็นหมอ คิดไปก็ใจหาย อยู่ด้วยกันตั้งแต่อนุบาลหนึ่ง


“มารับรถ”เสียงเข้มของชายวันกลางคนเอ่ยไม่ใกล้ไม่ไกลเขา ตะวันมองตามด้วยเพราะรู้สึกคุ้นใบหน้านั้นอย่างประหลาด ทั้งดวงตา จมูก หน้าผาก และริมฝีปาก คุ้นมากจริงๆ


เหมือน...ว่าเห็นคนๆนี้...ทุกวัน


ตะวันมองตามคนนั้นจนเขาไปหยุดที่รถ BMW สีขาวที่ตนนึกชอบ และเสี้ยววินาทีที่ดวงตาคมนั้นหันมามองเขาด้วยเช่นกัน ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นมาในอก ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่พ่อปิงปองของเขาลูบหัว


...ใครกัน?...





รับรองว่าจบแน่นอนค่ะ เพราะพลอตที่คิดไว้มันไม่ยาวเลย
ปล. ใครหน้อ คิคิ :mew3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2013 12:51:21 โดย Pz_ready »

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
หวังว่าคงไม่ได้จบแบบพ่ออดุลย์มาม่าชามโตนะ ขอนะจ๊ะคนเขียน ขอจบแบบสุขนาฏกรรม
อดุลย์ทำดีมาตลอด ขอความดี/ความสุขจงสนองอดุลย์ด้วย
ความดี/ความสุขในความหมายของคนอ่านคนนี้ ไม่ได้หมายถึงว่า
ต้องให้อดุลย์กับซัน(พ่อของตะวันใช่ป้ะ)ได้รักกันนะ(ไม่ชอบผู้ชายไร้ความรับผิดชอบและหลงตัวเอง)
แต่หมายถึงว่า ให้ตะวันกับอดุลย์เป็นพ่อลูกที่รักกันอบอุ่น และเข้าใจกันตลอดไปน่ะ
ถ้าเป็นแบบว่า พอตะวันรู้ว่าอดุลย์เป็นแบบนี้แล้วรับพ่อที่เป็นแบบนี้ไม่ได้ คนอ่านคง... :sad11: :monkeysad: :m15:

ออฟไลน์ paojijank

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ขออย่างเดียวขอให้ได้อ่านเรื่องนี้จบนะคะ  คิดว่าคนเขียนคงไม่โหดร้ายกับคนดีๆ อย่างอดุลย์เกินไปหรอกค่ะ ส่วนตะวันน่าจะได้คู่กับดำนะ แต่อดุลย์ไม่แน่ใจว่าพระเอกยังเป็นรพีหรือเปล่า (อาจจะมีม้ามืดก็ได้)

ออฟไลน์ arovera

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ว้าว!!!ดร่ามาของโปรด อ่านแล้วคนเขียนพาเข้าถึงตัวละครจัง ไม่ขออะไรมากแต่ขอดร่าม่ายาวๆไปทุกวันอย่าได้ขาดเท่านั้นพอ  :katai3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
เรื่องนี้น่าติดตามมาก

ชอบปิงปอง เป็นคนที่ดีจริงๆ

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ ตะวันเจอพ่อจริงๆแล้วจะเป็นยังไงต่อ

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
ตะวัน ขอร้องนะ ขอร้องเลย อย่าทำให้ปิงปองเสียใจ
แต่สังหรณ์จริงๆว่า คนที่จะทำให้ปิงปองเสียใจ คือตัวปิงปองเอง...
T_T

ออฟไลน์ Pz_ready

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +107/-1



ตอนที่ 4



บ้านหลังใหญ่โตที่ใครๆต่างรู้จักกันในนาม คฤหาสน์เรืองรัตนโยดมผู้ครอบครองที่ดินในเมืองหลวงมากกว่าร้อยไร่ บ้านที่ใครๆต่างรู้จักดีหากเอ่ยเพียงแค่นามสกุล ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ทายาทคนโตของตระกูลพึ่งหย่าเป็นรอบที่สอง...เนื่องจากไม่ใช่แค่ทายาทคนโตเท่านั้นแต่ยังเป็นนายห้างใหญ่ของห้างสรรพสินค้าธุรกิจตั้งต้นของครอบครัวก่อนที่จะแตกแขนงไปทำธุรกิจอย่างอื่น


รพี เรืองรัตนโยดมหนุ่มใหญ่อายุสามสิบเจ็ด เขาเป็นที่จับตามองในวงการธุรกิจเมื่อศูร เรืองรัตนโยดมผู้เป็นพ่อของตนวางมือและแต่งตั้งลูกชายคนโตขึ้นบริหารห้างสรรพสินค้าและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือด้วยเพียงอายุแค่ยี่สิบห้า


รพีจำใจทำงานเพราะถูกดัดหลังให้ขึ้นมาทำงานซักที เด็กชายที่ไม่เคยคิดรู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวงานบริหารและไม่สนใจธุรกิจถูกจับตามองจากทั้งผู้ร่วมหุ้นและสื่อสิ่งพิมพ์ทุกแขนงในประเทศ เพราะถึงก่อนหน้าเขาจะยังไม่เป็นที่รู้จักไม่เคยออกสังคม แต่นามสกุลที่โชว์หราทำให้ทุกคนรู้จักตัวเขาอยู่เนืองๆ


เพียงพอแล้วกับชีวิตยี่สิบห้าปีที่ผู้เป็นพ่อมองมันไร้ค่า ลูกชายคนโตที่เป็นความหวังทำตัวเสเพลจนเขาที่เป็นนักธุรกิจดังอับอายทุกครั้งที่ต้องพูดถึงลูกชายที่ชื่อว่ารพี ข่าวคราวและคาวต่างๆมากมายเข้าหูของผู้เป็นพ่อทุกเรื่อง เพราะรพีถูกจับมองอยู่ทุกเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร


“ดูซะ”เสียงมีอำนาจของชายวัยกลางคนตอนปลาย ที่มีอายุกว่าหกสิบปีแต่ร่างกายยังคงดูสุขภาพดีไม่เสื่อมถอยตามกาลเวลา จะมีแต่ดวงตาที่เหมือนจะหม่นแสงไม่ดำขลับเหมือนช่วงวัยหนุ่ม


“อะไรครับ”เสียงที่คล้ายคลึงถามกลับ สายตาคมมองไปยังซองเอกสารสีน้ำตาลที่ศูรผู้เป็นพ่อโยนมาที่โต๊ะทำงานของเขา นึกในใจว่าคงเป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญเพราะคนพ่อไม่ค่อยย่างกรายเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เท่าไรนักหลังจากยกมันให้เขาแล้ว


รพีหยิบซองเอกสารเปิดดู ภายในมีภาพถ่ายบางรูปเก่าขนาดที่ว่ากรอบของรูปไหม้เป็นสีดำตาลดำๆ บางรูปก็สีสดราวกับพึ่งอัดมาใหม่ๆ รพีมองไล่ตามรูปไปเรื่อยๆ คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่อยู่ ภาพเบื้องหน้าของเขาเป็นรูปเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกถ่ายตั้งแต่สมัยเด็กๆจนถึงปัจจุบันที่โตเป็นหนุ่มน้อยวัยน่ารัก


รพีจะไม่ข้องใจหากไม่มีเอกสารยืนยันจากทางโรงพยาบาลยืนยันความสัมพันธ์ว่าเด็กที่ชื่อว่าตะวันเป็นลูกของเขา ด้วยความรอบคอบที่จำเป็นต้องมีเมื่อทำงานมาสิบกว่าปี รพียังไม่ปักใจเชื่อกับเพียงแค่กระดาษใบเดียว เขากลับมาสนใจเหล่ารูปถ่ายอีกครั้ง


ส่วนใหญ่เป็นรูปของเด็กชายที่ถูกอ้างว่าเป็นลูกของเขากับชายตัวเล็กผิวขาวอีกคนหนึ่ง แต่มีรูปหนึ่งที่รพีข้องใจมากที่สุด...รูปที่คนหน้าตาคลับคล้ายคลับคลากับคนตัวเล็กนั่นเพียงแต่ผมยาว แต่งหน้า ทาปาก


“นี่มันอะไรครับพ่อ?”ทั้งๆที่ในใจก็รู้จุดประสงค์ของผู้เป็นพ่อแต่จำเป็นต้องถามเพื่อความกระจ้างแจ้งอีกครั้ง เพราะแม้จะรพีจะรู้จักพ่อของตนมาสามสิบเจ็ดปี แต่บ้างครั้งเขาก็เหมือนไม่รู้จักคนตรงหน้าแม้แต่น้อย


“นั่นลูกของแกกับผู้หญิงที่ชื่อรวิวรรณ ดูอีกแฟ้มซิ”ศูรย์ตอบเรียบๆ มองดูปฏิกิริยาของลูกชายอยู่เงียบๆ


รพีหยิบเอกสารอีกสารมาแกะดูด้วยความร้อนรนต่างจากตอนแรก สิ่งที่ปรากฏในนั่นคือภาพงานศพของใครซักคนและภาพขาวดำของหญิงสาวที่ตนเพียงแค่นึกหน้าออกว่าเป็นหนึ่งในคู่ควงสมัยก่อน แต่เขาไม่สามารถจำชื่อของเธอได้แล้ว ตาคมเหลือบไปมองใบสำเนาของใบมรณะบัตรที่แจ้งชื่อว่ารวิรรณ คุณไท กับใบประวัตการรักษาจากโรงพยาบาลที่แจ้งสาเหตุการตาย


...คลอดก่อนกำหนดและติดเชื้อ...


“ไง...ผลงานของแก ทำเรื่องอะไรไว้ไม่เคยรู้เลยซินะ”


“ผมว่าเราก็ไม่ต่างกันหรอกนะครับ คุณพ่อคงรู้เรื่องแต่แรกแล้วแต่ก็ทำเป็นไม่รู้เหมือนเคย”คำพูดก้าวร้าวทำให้ศูรเบิกตากว้างหวังจะปรามลูกชาย ใช่ว่าเขาจะรู้ทุกเรื่อง เขาแค่รู้ว่าผู้หญิงที่มาอ้างว่าท้องกับลูกชายคนโตตายลง แต่เขาคิดว่าตายทั้งแม่ทั้งลูกเลยไม่คิดจะฟื้นฝอย จนเมื่อเร็วๆนี้ที่เขาได้ไปเจอกับเด็กหนุ่มที่หน้าละม้ายคล้ายตัวของเขา...อันที่จริงคล้ายกับลูกชายคนโตด้วย ทำให้รู้สึกเอะใจกับใบหน้าที่คล้ายกันเกินไป


“มันคงมีอะไรผิดพลาด คุณพ่อก็รู้ว่าผมเป็นหมันแล้วจะไปมีลูกได้ยังไง”รพีพูดอีกครั้งไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับแววตากร้าวของผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย


“ฮึ...ก่อนที่แกจะทำผู้หญิงคนนั้นท้องแกอาจไม่เป็นหมันก็ได้ แกอย่าลืมว่าตอนแกอายุยี่สิบสามแกผ่านอะไรมา หรือถ้าแกไม่รู้ว่าเสพย์ยาหนักๆมันทำให้เป็นหมันก็รู้ไว้ซะ แล้วอีกอย่างเอกสารตรวจดีเอ็นเอขนาดนั้นแกยังจะมานั่งเถียงอะไรอีก”คนลูกไม่ได้ตอบอะไร เขาเงียบอย่างใช้ความคิด นึกช่วงเวลาที่เขาเสพย์ยาขนาดหนักกับเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อรวิวรรณ ในหัวลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมา


จะเป็นไปได้เหรอ...


“แล้วไอ้ผู้ชายคนนี้เป็นใครครับ”เงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยถาม ศูรมองที่รูปที่ลูกชายโชว์ให้ดู ผู้ชายที่ยิ้มแย้มอย่างสดใส แม้จากประวัติที่ให้สืบมาจะทำให้เจอเรื่องราวที่ดูไม่น่าไว้ใจ แต่เมื่อศูรเห็นรูปถ่ายแต่ละรูปที่ถ่ายติดรอยยิ้มอ่อนโยนของชายตัวเล็กคนนั้นเสมอ ยิ้มที่สักจะส่งให้เด็กชายอีกคนที่เป็นหลานแท้ๆของเขา


“พ่อตามกฎหมายของตะวัน...ลูกของแก”



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



“ผมไปเรียนก่อนนะครับพ่อ แล้วเดี๋ยวเย็นนี้ผมซื้อกับข้าวเข้ามาเอง พ่อเดินทางไปทำงานดีๆนะ”ตะวันเอ่ยปากบอกพ่อเมื่อทานข้าวเช้าบนโต๊ะอาหารเล็กๆเสร็จ ตอนนี้ตะวันขึ้นเรียนชั้น ปวช มาได้เกือบเดือนแล้ว แม้ตอนแรกอดุลย์นึกกลัวกับชื่อเสียงที่ไม่ดีของสถาบันแต่ลูกชายไม่แสดงท่าทีเกเรหรือโดนรังแกแถมยังพูดถึงเพื่อนๆที่โรงเรียนให้ฟังเขาก็เบาใจไปหนึ่งเปราะ


“ทำไมวันนี้ไปเร็วล่ะลูก”เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะส่วนใหญ่ตะวันจะออกจากบ้านราวๆเจ็ดโมงครึ่งเวลาเดียวกับเขาเพราะห้างที่เขาทำงานต้องต่อรถเมล์สองต่อจึงต้องออกเช้าหน่อยแม้จะเริ่มเข้างานตอนสิบโมงเช้า


“แวะอู่ลุงโชคก่อนครับ จะเอามอเตอร์พัดลมไปให้อาจารย์ที่วิทยาลัยดูให้ครับ”สิ้นคำบอกเล่าเสียงถอนหายใจของอดุลย์ก็ดังอย่างลืมตัว แม้จะยอมให้ตะวันทำงานที่อู่แต่ลึกๆในใจของอดุลย์ก็รู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่เลี้ยงตะวันไม่ดีเท่าที่ควรจนทำให้ตะวันนึกอยากทำงานช่วยหาเงินอีกคน


ตะวันมองทางคนที่ถอนหายใจ ดวงตาของผู้เป็นพ่อกำลังเศร้าด้วยเรื่องอะไรทำไมเขาจะไม่รู้ ตะวันรู้ว่าพ่อไม่เคยคิดว่าการเลี้ยงตนจะเป็นเรื่องลำบาก พ่อภูมิใจที่เลี้ยงเขามาได้ด้วยตัวคนเดียว และการที่เขาลุกขึ้นมาทำงานหาเงินก็เหมือนไปบั่นทอนความภูมิใจนั้น


อ้อมกอดที่คว้าเอวบางของผู้เป็นพ่อเข้ามากอดอ้อนๆ อดุลย์ตกใจหน่อยๆที่อยู่ๆก็ถูกกอด แต่พอรู้ตัวก็คลียิ้มอย่างเคยให้กับลูกชายขี้อ้อนคนนี้


“พ่อน่ะผ๊อมผอม กอดทีกระดูกพ่อก็ทิ่มตะวันเจ็บไปหมด...ตะวันแค่อยากให้เราอยู่สบายขึ้นกว่านี้ ไม่อยากให้พ่อทำงานหนักเหมือนเดิม แต่ยังไงซะตะวันก็ยังต้องพึ่งพ่อปิงปองของตะวันอยู่ดี ถ้าไม่มีพ่อ...ตะวันคงไม่รู้จะใช้ชีวิตยังไง”อดุลย์ยกมือขึ้นมาจับมือของลูกชายที่ถูกกอด อีกมือก็เอื้อมไปลูบหัวของตะวัน


เมื่อไรกัน...เมื่อไรกันนะที่ลูกชายตัวเล็กๆของเขาโตขึ้นขนาดนี้ ตัวสูงโปร่งจนเขาต้องยกมือขึ้นกว่าครึ่งแขนถึงจะลูบหัวทุยๆของเด็กน้อยได้ เมื่อไรกันฝ่ามือเล็กๆที่แต่ก่อนเคยจับเคยหอมใหญ่จนมือเขาทาบไม่มิด


ตะวันโตแล้ว...ไม่ใช่เด็กๆอย่างก่อน...อดุลย์คิดได้จึงยิ้มกับตัวเอง เขาเองก็แก่ลงทุกวันแต่ยังหาความมั่นคงให้ชีวิตไม่ได้เท่าที่หวัง อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ที่ให้ตะวันโตขึ้นในแบบที่เขาอยากจะเป็น ที่จริงอดุลย์ก็รู้ว่าตะวันคิดดีที่หางานทำ เพียงแต่ความรู้สึกน้อยใจตัวเองก็เท่านั้น


“ไปเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสายนะ ถ้าเกรดไม่ดีพ่อจะไม่อนุญาตให้ไปเที่ยวเล่นกับน้องทานแล้วนะ”คนโดนขู่ยิ้มรับ นึกถึงน้องทานของพ่อปิงปองหรือไอ้ดำของเขาก็คิดถึงขึ้นมาหน่อยๆ อาทิตย์หนึ่งจะแวะมาชวนเขาออกไปเที่ยวเล่นครั้งหนึ่งเพราะฝ่ายนั้นขยันเรียนตามความฝันของตัวเองเหมือนกัน


ตะวันผละออกจากผู้เป็นพ่อยิ้มลาไม่ลืมที่สวัสดีก่อนออกจากบ้าน อดุลย์มองส่งลูกชายที่ปั่นจักยานคันเก่าที่ซื้อให้ตั้งแต่อยู่ประถมจนลับตา แล้วจึงมาจัดการจานข้าวที่ลูกชายวางไว้ที่ที่ล้างจานก่อนจะกวาดสายตาไปรอบตัวบ้านมองว่าปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าครบถ้วนแล้วหรือยัง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยจึงหยิบกระเป๋าสะพานข้างขึ้นเตรียมตัวไปทำงาน


พอร่างบางของอดุลย์เดินออกมานอกบ้านต้องแปลกใจ รถหรูที่ไม่น่าจะมาปรากฏในซอยเล็กๆจอดอยู่หน้าบ้านของเขาพอเห็นรถสวยๆก็อดนึกถึงลูกชายที่พึ่งออกไปไม่ได้ กับรายนั้นตั้งแต่ได้ไปทำงานที่อู่รถมักจะกลับมาอวดเสมอว่าตนเองได้ไปนั่งรถหรูๆมา พอดูออกว่าลูกชายชอบรถยนต์ขนาดไหน


และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีกแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเขาจะเก็บพอที่จะดาวน์รถยนต์มือหนึ่งคันเล็กๆให้ลูกได้ซักคัน อดุลย์ยิ้มอย่างหมายหมาดกับความคิดของตัวเอง


แต่รอยยิ้มนั้นกลับต้องจางหายไปอย่างรวดเร็ว...เพียงแค่คำพูดคำเดียวจากชายที่อดุลย์ไม่เคยเจอมาตลอดสิบห้าปี


เป็นคำพูดธรรมดาจริงๆ แต่ก็เป็นคำพูดธรรมดาที่ทำให้คำฟังถึงกับเหงื่อซึมด้วยความหวั่นกลัว เป็นคำพูดธรรมดาที่ทำให้อดุลย์อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล เป็นคำพูดธรรมดาที่ทำให้แขนขาหมดเรี่ยวแรง


คำพูดธรรมดา....


“สวัสดีครับ คุณอดุลย์....คุณพ่อตามกฎหมายของตะวัน”






คนเขียนเองก็ไม่นิยมโศกนาฏกรรมเหมือนกันค่ะ ไม่ต้องกังวลแต่จะจบแบบไหนรออ่านกันนะจ้า
ขอบคุณคำชมค่ะ ชื่นใจและเป็นกำลังใจในการเขียนมั๊กๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2013 00:35:43 โดย Pz_ready »

ออฟไลน์ aloney

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-4
ตามอ่านจ้าา

ดราม่าหนักๆไปเลย แต่ขอจบแฮปปี้นะ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ชีวิตไม่เที่ยงแท้ สู้ๆ นะพ่อปิงปอง

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
นึกว่าคนที่เจอตะวันคือ รพี ซะอีก

คราวนี้ที่มาหาปิงปองจะใช่รพีหรือเปล่า

จะเอาลูกไปหรอ เหมือนจัเศร้าอ่า

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

พออ่านตอนที่สามจบ
แอบมีความรู้สึกว่าพ่อ-ลูกจะมีซัมติงกันรึเปล่านะ
เพราะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันด้วย---แต่ก็ไม่น่าจะใช่---มั้ง

ส่วนปิงปองกับรพียังไม่เห็นว่าจะอะไรยังไงกันได้เลย
หรือปิงปองจะกลับไปเป็นสาวอีก---ถ้าอย่างนั้นตะวันคงรับไม่ได้แน่ๆเลย

+ เป็ดจ้า

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
ชื่นใจและใจชื้น เมื่อได้รับคำยืนยันว่า ผู้เขียนเองก็ไม่นิยมแบบโศกนาฎกรรม :mew1:
ดังนั้นแม้จะมีมาม่าชามโตและรสชาติจัดจ้าน จนอาจทำให้ผู้บริโภคน้ำตาไหลพราก ก็ไม่เป็นไรจ้ะ
เพราะจริงๆแล้วสุข-ทุกข์ เศร้าใจ-เสียใจ คือสัจธรรมของชีวิตเนอะ

nueng_w

  • บุคคลทั่วไป
นึกว่ามาต่อแล้วเสียอีก เฮอเศ้า

ออฟไลน์ full69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
พยายามเมนต์ในมือถือหลายรอบมากอะไม่ติด ฮือ มาเมนต์ในคอมก็ได้
ระร้องไห้ ช่วงท้ายของตอนสะเทือนใจเหมือนเราเป็นพ่อปิงปองเองเลย เอาจริงๆก็ทั้งตอนที่แอบยิ้มกับอุ่นๆในใจกับพ่อปิงปองกันลูกตะวัน ต่างกับพ่อรพีกับรพีเลย เฮ้อ
ห้างดังที่พ่อปิงปองทำกับห้างดังที่รพีบริหารคงเป็นห้างเดียวกันสินะ
รพีอย่านะโว๊ย ห้ามกดดันพ่อปิงปองของเรานะ!!!

ออฟไลน์ paojijank

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

ออฟไลน์ Pz_ready

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +107/-1



ตอนที่ 5



เสียงเอะโวยวายภายในโรงเรียนยามเช้าถือว่าเป็นเรื่องปรกติในทุกๆวันยิ่งเป็นโรงเรียนที่ส่วนมากผู้เรียนจะเป็นชายหนุ่มวัยคะนองซะมากยิ่งทำให้เสียงพูดคุยดังกว่าปรกติไปกันใหญ่


ตะวันเดินถือหนังสือเรียนกับถุงที่บรรจุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ชำรุดมาให้อาจารย์ที่สนิทช่วยสอนวิธีซ่อมแซม ตลอดทางเดินเข้ามาหลายอดที่จะมองตามชายหนุ่มไม่ได้ ด้วยหน้าตาคมสันตาดูดีรูปร่างสูงโปร่งและผิวพรรณที่สว่างใสไม่แปลกเลยที่ตะวันจะกลายเป็นชายหนุ่มสุดป๊อบในระยะเวลาเดือนกว่าๆที่เข้ามาเรียนที่นี่


หากแต่เมื่อมีคนรักย่อมต้องมีคนชัง ชังในความโดดเด่นเกินใครจนอคติคิดเอาเองว่าตะวันคือศัตรู มีบ้างที่ถูกเขม่นหรือถูกแกล้งเล็กๆน้อยๆ เพียงแต่ตะวันไม่ได้สนใจจะมีเรื่องมีราว เขามาเรียนที่นี่เพื่อใฝ่หาความรู้และทักษะประกอบอาชีพ เรียนเสร็จแต่ละวันเขาก็รีบไปทำงานต่อในทันที


“สวัสดีครับอาจารย์เม่น”ตะวันทักอาจารย์สอนเกี่ยวกับวงจรเครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ตีสนิทเอาไว้หวังกอบโกยความรู้เข้าตัว อาจารย์หนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้หยักหน้าตอบทันที


“นี่ครับอาจารย์มอเตอร์พัดลมที่บอก ผมลองพันสายทองแดงใหม่มันก็ยังไม่ได้ อาจารย์ช่วยดูให้หน่อยนะครับ”พูดอย่างสุภาพอ่อนน้อมจึงทำให้ตะวันเป็นที่รักของบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย อีกทั้งเด็กหนุ่มดูสนใจใคร่ความรู้จึงเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่อาจารย์ทุกคนอยากช่วยกันรดน้ำพรวนดิน


“ตอนกลางวันมาที่ห้องพักแล้วกัน เดี๋ยวครูจะดูไว้ให้”ผู้เป็นอาจารย์ตอบอย่างใจดี ตะวันมอบมอเตอร์ชำรุดให้อาจารย์ก่อนจะขอตัวไปหาเพื่อนที่อยู่ไม่ไกล


“ว่าไง แดน ว่าไง กัน”ยกมือขึ้นทักทายเพื่อนใหม่ที่คบมาได้เดือนกว่าๆ ดนัยหรือแดนกับกิตติหรือกันเพื่อนใหม่สองคนที่ค่อนข้างจะสนิทด้วย แม้ว่าตัวตะวันจะไม่มีเที่ยวเล่นทำความรู้จักกันมากขึ้นแต่ในเวลาก็นั่งเรียนข้างกันตลอดสามคน อีกทั้งทั้งสองคนยังเป็นคนฐานะพอๆกัน เรียนไปทำงานไปทั้งสองคน แต่ตะวันคงโชคดีกว่าดนัยและกิตติซักหน่อยที่เขายังมีพ่อ แต่ทั้งสองคนไม่มีทั้งพ่อและแม่แล้ว


“เออ มาสายเชียวไอ้ตะวัน เป็นถึงดวงอาทิตย์ทำไมถึงไม่เคยมาเช้าซักที”ดนัยว่าล้อชื่อเพื่อน


“แวะไปเอาของมาให้อาจารย์เม่นดูหรอกไม่งั้นวันนี้กูมาก่อนพวกมึงอีกเถอะ”


“มึงจะมาก่อนพวกกูได้ไง พวกกูเดินแค่สิบก้าวก็เถอะวิท’ลัยแล้ว”กิตติตอบโต้อีกคน จนคนเถียงไม่ออกหน้ายู่อย่างขัดใจพอเห็นแบบนั้นเพื่อนทั้งสองก็หัวเราะจนท้องแข็ง พลางคิดในใจว่าถ้าไม่รู้เรื่องครอบครัวของตะวันจากปากเจ้าตัวคงได้คิดว่าตะวันเป็นลูกคุณหนูตระกูลดังซักตระกูลแน่ๆ


คุยกันได้ไม่นานก็ถึงเวลาต้องเข้าเรียนพวกเขาทั้งสามคนจึงเดินไปรอยังห้องเรียน ช่วงเช้าของวันนี้ตะวันต้องเรียนภาคทฤษฎีก่อนที่สองชั่วโมงในตอนบ่ายจะเป็นภาคปฏิบัติที่ตะวันรอคอย


ตะวันคิดว่าตัวเขาคิดไม่ผิดที่เลือกเรียนสายอาชีพ ตอนแรกอาจจะเป็นเพราะอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อปิงปองแต่พอได้เขามาเรียนเขากลับชอบที่จะเรียน รู้สึกประหลาดใจกับการต่อวงจรต่างๆ รู้สึกทึ้งกับการทำงานของเครื่องจักรทั้งหลาย


การเรียนจึงไม่เคยน่าเบื่อเลยสำหรับตะวัน...


ช่วงเช้าผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มของตะวันเลือกเดินออกมาจากวิทยาลัยมาทานข้าวข้างนอก เป็นร้านข้าวราดแกงธรรมดาที่ราคาแสนจะถูก


“ฮัลโหลว่าไงไอ้ดำ”ตะวันหยิบโทรศัพท์รุ่นใหม่ที่ราคาค่อนข้างแพงที่พ่อของเขาคะยั้นคะยอซื้อให้เป็นของขวัญที่เรียนต่อ แม้เขาจะไม่อยากจะพกโทรศัพท์เหมือนกับตอนอยู่มัธยมต้นแต่ก็โดยความเผด็จการเล็กๆของพ่อตัวเองที่ยัดโทรศัพท์ใส่มือเขาพร้อมกับบอกว่าถ้าไม่ใช้โทรศัพท์ที่ซื้อให้จะไม่ยอมให้ทำงานที่อู่แน่ๆ


“ตะวัน....เรียนอยู่หรือเปล่า”


“เปล่ากินข้าวอยู่ มีไรวะ”เสียงของเพื่อนสนิทที่สุดแปลกๆไป คิ้วเรียวแต่คมเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยในน้ำเสียง ปรกติเพื่อนคนนี้ของตะวันมักจะทำเสียงดุใส่เขา


แต่ตอนนี้...เหมือนกับตกใจอะไรซักอย่าง


“มึงมาที่โรง’บาลที่หน้าโรงเรียนกูได้มั้ย”สิ่งที่คนในสายพูดยิ่งทำให้ตะวันตกใจขนาดลืมตัวลุกขึ้นยืนและตบโต๊ะเสียงดังกลางร้านอาหาร ปากบางกำลังจะตะคอกถามว่าเพื่อนของเขาเป็นอะไรทำไมถึงอยู่โรงพยาบาลได้ แต่ทานตะวันกลับบอกสิ่งที่ตะวันจะถามออกมาก่อน


ร่างเพียวที่เมื่อครู่ลุกขึ้นยืนตบตีโต๊ะด้วยความตกใจกลับอ่อนแรงไหลลงกองกับพื้นคอนกรีตสากๆ


“พ่อปิงปองถูกรถชน”



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



บนท้องถนนยามเช้าของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯแน่นขนัดไปด้วยรถต่างๆนานา ร่วมถึงรถร่วมบริการที่ถ้าเป็นปกรติทุกวันอดุลย์คงเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น แต่วันนี้ร่างเล็กๆของเขานั่งอยู่บนเบาะหนังสีแดงของรถสปอตยี่ห้อหรูที่อดุลย์เองก็ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้นั่ง


รพี...ผู้ชายที่หายไปจากชีวิตของเขามากว่าสิบห้าปี แม้จะได้พอเห็นข่าวอยู่บ้างแต่เวลาในชีวิตประจำวันของเขาไม่ได้มีมากขนาดนี้จะนั่งอ่านข่าวดูข่าวสายบันเทิงหรือสังคมธุรกิจ


มือทั้งสองข้างกอบกุมกันเองเพราะมันสั่นอยู่ตลอดเวลาที่ถูกพาขึ้นมาบนรถ อดุลย์เองก็รู้และพอจะคิดได้ว่าคนๆนี้ต้องการอะไร เพราะแม้อดุลย์จะรู้จักรพีแต่อีกคนนั้นแม้จะจำเขาก็ยังจำไม่ได้แม้ซักนิด จุดเชื่อมโยงที่ทำให้คนไม่รู้จักกันมาเชิญขึ้นรถพร้อมบอกว่าจะมาส่งที่ทำงานคงมีแค่อย่างเดียว


...ตะวัน...


รถคันหรูของที่นั่งมาเลี้ยวเข้าในห้างที่เป็นที่ทำงานของอดุลย์ แม้ตอนเช้าแบบนี้ห่างจะยังไม่เปิดมีที่ว่างให้ได้จอดรถอยู่พอสมควร แต่เจ้าของรถกลับเลี้ยววนขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงชั้นจอดรถพิเศษ


และสิ่งที่ทำให้มือคู่เล็กสั่นไม่หยุดอีกรอบก็เมื่อรถที่เขานั่งอยู่เข้ามาจอดในพื้นที่ที่กั้นไว้สำหรับ...ผู้บริหาร


อดุลย์ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองอยู่ใกล้คนที่อยากจะอยู่ไกลมากขนาดนี้ ไม่เคยนึกเอะใจกับชื่อเจ้าของห้างที่ชื่อ รพี เรืองรัตนโยดมว่าเป็นคนคนเดียวกับรพี หนุ่มเพลย์บอยคนนั้น


“เอาล่ะ...มาว่าเรื่องของเรากันซักที”เมื่อจอดรถเรียบร้อยเสียงเข้มพูดขึ้นทำเอาอีกคนที่ฟังสะดุ้งตกใจ


“นายตะวัน ทองทา...เป็นลูกของคุณจริงๆเหรอครับ”ทั้งๆที่อดุลย์ก็รู้อยู่แล้วว่าคนที่ถามมาคงรู้ความจริงมาแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าตา ปฏิเสธความจริงที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจ


ด้วยเพราะความกลัวที่จะสูญเสียดวงใจของตัวเอง


“...”พอได้รับการปฏิเสธจากอดุลย์ อีกฝ่ายจึงหยิบเอกสารต่างๆที่ได้จากศูรผู้เป็นพ่อให้อดุลย์ดู มือเล็กที่ยังไม่เลิกสั่นหยิบมาเปิดดู เอกสารยืนยันว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกับแฟ้มประวัติของเขาของตะวันและของรวิวรรณหญิงสาวที่ล่วงลับไป


“ผมจะขอพูดตามตรงเลยแล้วกัน”พอเห็นว่าอดุลย์เงียบไป พร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ รพีก็เริ่มจุดประสงค์ที่จริงของตัวเองขึ้นมา เขาไม่ชอบน้ำตา...เพราะรู้สึกว่ามันอ่อนแอและ.......น่ารำคาญ


“ผมต้องการทายาทของผมคืน ผมไม่มีทายาทที่จะสืบทอดธุรกิจ น้องสาวของผมก็หนีออกจากบ้านไปแต่งงานกับไอ้หัวทองที่ไหนไม่รู้หนีเข้ากลีบเมฆหาตัวไม่เจอไปแล้ว...แล้วธุรกิจพวกนี้จะยกให้พวกน้าๆ อาๆมันก็คงไม่ใช่เรื่อง”รพีพูดเรียบๆราวกับมันเป็นเรื่องง่ายๆ น้ำเสียงเย็นชาที่พูดทำให้อดุลย์รับรู้ถึงความเลือดเย็นของคนข้างๆได้ไม่ยาก


“ผมต้องการทายาท...ลูกชายของผม ผมจะจ่ายเงินให้คุณเป็นค่าเลี้ยงดูหรือถ้าต้องการอะไรที่มันไม่มากไปก็บอกเพราะจากที่ผมอ่านในประวัติ ตะวันเป็นเด็กดี กตัญญู เขาคงไม่ยอมให้คุณลำบากแน่ๆ”ทั้งๆที่อดุลย์ข่มความกลัวเพื่อจะเลื่อนมือเย็นเชียบของตัวเองไปปลดสายนิรภัยออกแต่เพราะประโยคที่รพีพูดถึงตะวันทำให้อดุลย์หันมองคนพูดอย่างลืมกลัว


“...คุณก็รู้จักตะวันแค่ในกระดาษไม่กี่แผ่น ลูกของผม...ตะวัน...เป็นมากกว่าทายาทของธุรกิจบ้าบอของคุณ!!!”อดุลย์ตวาดออกไปก่อนจะหมุนตัวไปเปิดประตูวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว


ไม่แม้จะหันกลับไปมอง ไม่แม้จะเสียใจกับคำพูดคำสุดท้ายนั่น เพราะตะวันสำหรับเขาเป็นมากกว่านั้นจริงๆ 


อดุลย์วิ่งมาจนถึงแผนกเครื่องสำอางที่ตัวเองทำงานอยู่พร้อมกับยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานทุกคนอย่างเคย ถึงจะมีคนสงสัยที่เห็นรุ่นพี่อย่างอดุลย์วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นกลัว แต่ด้วยเพราะใกล้จะถึงเวลาทำงานทุกคนจึงมาสนใจกับงานตัวเองมากกว่า


หลายชั่วโมงผ่านไปความกังวลในใจไม่ได้สูญหายไปตามเวลายิ่งกลับทวีขึ้นมากกว่าเดิม เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าของและเจ้านายของเขา ถ้าถูกไล่ออกตอนอายุสามสิบห้า...จะไปหางานที่ไหนได้อีก


“พี่ปิงปอง ไปทานข้าวได้แล้วค่ะ”เพื่อนร่วมงานวัยสามสิบเอ่ยบอกอดุลย์เมื่อตัวเองกลับมาจากพักทานข้าว


อดุลย์ที่ตั้งใจออกมาทานข้าวตามสั่งที่ร้านข้างถนนเหลือบไปเห็นหนังสือหางานที่วางอยู่บนแผงหนังสือฝั่งตรงข้าม...ด้วยความวิตกในเรื่องงาน ไม่ทันรู้ตัวขาคู่เล็กนั่นก็พาเจ้าของร่างเดินไปทันทีโดยไม่ได้นึกตริตรองถึงสิ่งรอบตัว


หากระหว่างที่กำลังเหม่อมองไปที่หนังสือเล่มที่หมายจะซื้อ หูกับแว่วได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทผิวสีแทนของลูกชายของตะวัน ครั้นพอหันไปมองก็เห็นสีหน้าตกใจพร้อมตะโกนกับโบกสะพัดเหมือนกับให้หลบอะไรซักอย่าง


โครม!!!!!!!!


ไม่ทันได้ตั้งสติ ภาพที่เห็นก็หมุนเคว้งหลายรอบจากภาพหมุนที่ดูไม่รู้เรื่องค่อยๆมืดลงช้าๆ หูที่ได้ยินเสียงคนเอะอะก็เริ่มอื้ออึงจนฟังไม่รู้เรื่อง ปากบางพึมพำอะไรบางอย่างที่เบาจนคนฟังไม่รู้เรื่อง


“ตะวัน...ลูกพ่อ”

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
 :z3: :z3: อะไรเนี่ยยยยยย

nueng_w

  • บุคคลทั่วไป
ทำเอาค้างเลย มาต่ออีกๆๆ

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ค้างมากเลยขอบอก

รพีเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากเลยนะ

ตอนแรกก็จะให้รวีวรรณทำแท้ง

พออย่างนี้กลับจะมาแย่งตะวันไปจากปิงปองเพื่อหาคนสืบตระกูล

ขอบอกเลยว่า สุดยอดแห่งความเห็นแก่ตัว

สงสารปิงปอง อย่าเป็นอะไรน้า :mew4:



ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
คนเขียน...เอามีดมาจิ้มคนอ่านเลยไหมคะ?

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

ตะวันคงไม่ยอมง่ายๆหรอก

ไม่เคยใส่ใจใยดีกันมาก่อนแต่จู่ๆก็จะมาเอาตัวคืนเพียงเพราะเรื่องเงินๆทองๆ---ทุเรศว่ะ
นี่ถ้าไม่เป็นหมันแล้วมีลูกอยู่แล้วก็คงจะไม่สนใจรับรู้ว่ามีลูกอีกคนสินะ

+ เป็ดจ้า

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
เป็นเพราะความต้องการของรพี ไม่สนใจหัวใจที่มีความรักระหว่าง พ่อปิงปองลูกตะวัน เจ็บแบบค้างๆ ขอบใจจร้า

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
 :monkeysad: :monkeysad:แง แง...พ่อปิงปองของน้องตะวัน อย่าเป็นอะไรมากนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด