◑﹏◐ ดินต่างฟ้า ♂ รักของเด็กปั๊มกับคุณชาย [ตอน39-40 P.19] - 14/07/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◑﹏◐ ดินต่างฟ้า ♂ รักของเด็กปั๊มกับคุณชาย [ตอน39-40 P.19] - 14/07/60  (อ่าน 145436 ครั้ง)

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 25


หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ ปอมได้ขับรถพาพวกเราไปยังที่พัก ซึ่งผมเดาเอาไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าน่าจะเป็นบ้านของครอบครัวพี่ปั๊ม ทว่าพอไปถึงจุดหมายผมกลับไม่แน่ใจเมื่อได้พบกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่บนเนื้อที่กว้างขวางซึ่งดูหรูหราราวกับวังของคุณชายหากแต่สถานที่แห่งนี้มันมีกลิ่นอายของความคลาสสิกเข้ากับชนบทมากกว่า


   ผมกวาดสายตามองตัวบ้านด้วยความประหลาดใจ บ้านหลังนี้มีสองชั้น มีขนาดกว้างขวางเหมือนกับบ้านของเศรษฐีในละครหลังข่าว การตกแต่งดูหรูหรา สวนหย่อมหน้าบ้านกว้างขวาง รั้วบ้านเป็นอิฐที่ถูกฉาบด้วยปูนและทาสีครีมอ่อน ๆ ทับอีกชั้น และมีโคมไฟประดับล้อมรอบอยู่บนนั้น


   “พี่ปั๊ม” ผมเดินไปกระซิบเบา ๆ ที่ข้างใบหู “บ้านพี่จริงเหรอครับ ทำไมมันใหญ่โตมโหฬารอย่างงี้ล่ะ”


   ไม่ใช่ว่าผมต้องการจะดูถูกพี่ปั๊ม หากแต่ก่อนหน้านี่พี่ปั๊มเคยเล่าให้ฟังว่าครอบครัวของเขานั้นยากจน บ้านที่แม่ฮ่องสอนเป็นบ้านไม้เก่า ๆ สองชั้น และเพราะพ่อกับแม่ไม่มีเงินเลี้ยง พี่ปั๊มจึงต้องดั้นด้นไปหางานทำในเมืองหลวงเพราะเลี้ยงชีพตัวเองและไม่อยากเป็นภาระของพ่อแม่ ทว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าในยามนี้มันขัดกับสิ่งที่พี่ปั๊มเคยพูดไปเสียทุกอย่าง


   “ไว้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง ยกของไปเก็บก่อนดีกว่า” พี่ปั๊มหันมากระซิบ ผมพยักหน้ารับ ทว่าพอจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเองก็พบว่ามันถูกใครบางคนหิ้วและเดินนำลิ่ว ๆ ไปหยุดอยู่หน้าประตูบ้านก่อนแล้ว


   “ปอม” ผมตะโกนเรียก ก่อนจะรีบวิ่งตามไป “นั่นกระเป๋าของผมนะ”


   “กระเป๋าของข้าว อ่อใช่ครับ ผมเห็นโด้หิ้วกระเป๋าของตัวเองแล้ว ส่วนกระเป๋าใบเล็ก ๆ สีน้ำตาลอีกใบจำได้ว่าเป็นของปั๊ม ก็เลยเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าใบนี้น่าจะเป็นของข้าว”


   “ก็เออสิครับ ของผม แล้วนายจะหิ้วไปทำไม ส่งมานี่มา” พอผมจะแย่งกลับ ไอ้คนเจ้าเล่ห์ก็ดันเหวี่ยงแขนข้างที่หิ้วกระเป๋าหลบแถมยังยักคิ้วท้าทายราวกับต้องการจะบอกว่าถ้าแน่จริงก็แย่งให้ได้สิ ...แต่เสียใจด้วย เพราะผมไม่ใช่ของเล่นที่จะต้องเดินไปตามเกมของใครอีกแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ยอมเล่นอะไรบ้า ๆ บอ ๆ นี่เด็ดขาด


   “งั้นตามสบายละกัน” เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มาถึงก็มีพลขับขับรถไปรับแถมยังบริการถือกระเป๋าขึ้นห้องให้อีก


   “ดีมากเด็กดื้อ” หมอนั่นยักคิ้วให้ผมอีกแล้ว แถมฉายาแปลกประหลาดที่เรียกผมว่า ‘เด็กดื้อ’ มันคืออะไรกัน ตั้งใจจะกวนประสาทกันใช่ไหม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้ตอบอะไร พี่ปั๊มที่เดินตามมาก็ขัดขึ้น


   “มีอะไรกัน” น้ำเสียงของพี่ปั๊มขรึมกว่าปกติ


   “ก็...” ผมกำลังจะฟ้อง แต่ก็โดนปอมขัดเสียก่อน


   “ก็... ไม่มีอะไรครับ จะยกกระเป๋าข้าวขึ้นไปไว้บนห้องให้น่ะครับ ส่งของพี่ปั๊มมาสิเดี๋ยวผมเอาไปเก็บให้ด้วย”


   พี่ปั๊มส่งกระเป๋าไปให้น้องชายอย่างไม่ติดใจอะไรก่อนจะหันไปสั่งโด้ “ส่วนของมึงหิ้วตามไอ้ปอมขึ้นไปบนห้องเอง”


   “ตลอดเลยนะพี่ปั๊ม” โด้แยกเขี้ยวใส่ แต่ท้ายที่สุดก็ยอมเดินตามปอมเข้าไปในบ้านแล้วเอากระเป๋าไปเก็บแต่โดยดี ก่อนที่หลังจากนั้นพี่ปั๊มจะเดินนำผมเข้าไปในตัวบ้านแล้วเลี้ยวเข้าไปยังห้องโถงกว้างอย่างคุ้นเคยซึ่งมีโซฟาหรูหราตัวใหญ่ตั้งอยู่


   ผมกวาดสายตามองรอบ ๆ บ้านอีกครั้ง แม้จะไม่ได้หรูหราเท่ากับวังของคุณชาย ทว่าทั้งตัวบ้านและสิ่งของเครื่องใช้ภายในก็หรูหราเกินกว่าที่ชาตินี้ทั้งชาติผมจะสามารถเก็บเงินสร้างบ้านและซื้อของใช้แบบนี้ได้แน่ ๆ ต่อให้มีผมสิบคนช่วยกันเก็บตังค์ก็ยังยากเลยที่จะสามารถสร้างบ้านแบบนี้ได้


   “นั่งดิข้าว” พี่ปั๊มสั่งซึ่งเขาได้นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวก่อนแล้ว


   ผมนั่งลงที่โซฟาตัวเล็กซึ่งอยู่ติดกันกับโซฟยาวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่รู้ว่าพี่ปั๊มตั้งใจจะแกล้งอะไรผมหรือเปล่า บางทีนี่อาจจะไม่ใช่บ้านของพี่ปั๊มก็ได้ แต่พอมองการกระทำของพี่ปั๊มมันกลับทำให้ผมคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นบ้านของเขาจริง ๆ เพราะไม่มีท่าทีประหม่าแสดงออกมาให้เห็นเลยสักนิด ราวกับมีความคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี


   “ไม่ใช่” เสียงของพี่ปั๊มดังขึ้นอีกครั้ง ผมทำขมวดคิ้วด้วยความฉงนก่อนที่พี่ปั๊มจะใช้มือตบที่นั่งข้าง ๆ พี่ปั๊มเสียงดังแล้วพูดต่อ “มานั่งตรงนี้ ข้าง ๆ กู”


   “ทำไม” ปกติผมไม่ใช่คนขี้สงสัย ทว่าหลายวันมานี้มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นกับผมมากมายไหนจะเรื่องของคุณชาย แล้วยังจะเรื่องบ้านและเรื่องครอบครัวของพี่ปั๊มอีก ซึ่งผมก็ไม่รู้ตัวเองเลยว่ากลายเป็นคนขี้ระแวงไปตั้งแต่เมื่อไร


   “มาเหอะน่า” พี่ปั๊มพยักหน้าหงึก ๆ เห็นดังนั้นผมจึงทำตามคำสั่งแต่โดยดี


   ในตอนนี้เราสองคนนั่งติดกัน ทันใดนั้นแขนข้างหนึ่งของพี่ปั๊มก็ยกขึ้นมาโอบไหล่ ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ เพราะอยู่ ๆ คำพูดของปอมก็ลอยเข้ามาในหัว คำพูดที่บอกว่าพี่ปั๊มเป็นเกย์...


   ผมไม่ได้สะดุ้งเพราะรู้รังเกียจเลยพี่ปั๊ม ไม่มีสิทธิ์คิดอย่างนั้นเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าพี่ปั๊มเป็นเช่นที่ปอมกล่าวหาจริง นั่นก็ไม่ได้ต่างกับผมเลยสักนิด


   ผมมีความรู้สึกที่ดีกับเพศเดียวกัน โดยเฉพาะกับคุณชาย... เด็กหนุ่มเอาแต่ใจคนนั้นทำให้ผมหวั่นไหวทุกครั้งที่อยู่ใกล้กัน ทว่านอกจากคุณชาย ก็ยังไม่มีใครที่ทำให้ผมมีความรู้สึกพิเศษ ๆ แบบนั้นได้อีก ...ไม่แน่ว่าผมอาจจะกลับใจไปชอบผู้หญิงก็เป็นได้


   “มึงอย่าไปฟังไอ้ปอมมันมากนะ ไม่ว่ามันจะพูดอะไรก็อย่าไปเชื่อมันล่ะ ไอ้นี่มันขี้แกล้ง” พี่ปั๊มเอ่ยขึ้นเหมือนรู้เรื่องราวที่ผมคุยกับปอม “มึงน้องกู กูรักมึงแบบน้อง ไม่ผิดใช่ไหมที่กูจะคิดแบบนี้”


   พี่ปั๊มตบบ่าผม โดยที่ผมไม่รู้เลยว่านี่เป็นการให้กำลังใจ หรือต้องการให้ผมเชื่อใจในสิ่งที่พี่ปั๊มพูดออกมา หรืออาจจะมีนัยยะอื่น ๆ แฝงอยู่ก็เป็นได้ แต่พอได้ยินดังนั้น ผมก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก


   “ครับพี่”


   “แล้วก็เรื่องบ้าน” คราวนี้พี่ปั๊มเลื่อนแขนออกจากไหล่ผมก่อนจะนั่งเอนหลังให้พิงกับโซฟาด้วยท่วงท่าที่ผ่อนคลาย“กูขอโทษที่โกหกมึงมาตลอด”


   “โกหก?” ผมทวนคำแล้วหันไปจ้องพี่ปั๊มเขม็ง ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกโกรธล่วงหน้าแต่ผมสนใจว่าสิ่งที่พี่ปั๊มจะพูดในประโยคถัดไปมันคืออะไร
   “ใช่ กูขอโทษที่กูโกหก ทั้งเรื่องบ้านและเรื่องครอบครัวที่กูเคยบอกว่ากูยากจน มึงไม่โกรธกูใช่ไหม”


   ผมส่ายศีรษะแทนคำตอบ ผมจะโกรธพี่ชายของผมได้อย่างไร มันเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับความสัมพันธ์ดี ๆ ของเราสองคนที่เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาหลายปี


   ผมจ้องตาพี่ปั๊มอย่างเข้าใจ แต่ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปจริง ๆ มีคำถามมากมายผุดขึ้นในหัวสมองหากแต่ผมไม่ต้องการที่จะเซ้าซี้ออกไป รอให้พี่ปั๊มเป็นคนเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาเองดีกว่า


   “มึงอย่าเงียบดิวะ” พูดจบก็ยื่นมือมาวางไว้ที่ต้นขาของผม ผมสะดุ้งเล็กน้อย


   “ก็รอให้พี่เล่าอยู่”


   “มึงอยากรู้อะไรล่ะ ถามกูสิ กูไม่รู้จะเริ่มยังไงดี”


   คราวนี้ผมยกแขนขึ้นไปพาดบ่าของพี่ปั๊มบ้าง น่าแปลกที่ครั้งนี้หัวใจของผมมันรู้สึกหวิว ๆ แปลก ๆ มันไม่ใช่อาการขัดเขินหากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกไปเล็กน้อย


   เพราะพี่ปั๊มเป็นคนรวยอย่างนั้นหรือผมถึงรู้สึกแปลกไป หรือเพราะคำพูดของปอมที่กล่าวหาพี่ปั๊มเลยทำให้ผมรู้สึกหวาดระแวง หรือบางทีอาจเป็นเพราะพี่ปั๊มโกหกเรื่องราวของครอบครัวมาตลอดเลยทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจะเชื่อใจ


   ใช่!... ผมอาจจะรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรพี่ปั๊มก็คือพี่ชาย... พี่ชายที่แสนดีของผม พี่ชายที่คอยปลอบใจและดูแลผมมาตลอดเวลาที่ผมทำงานอยู่ปั๊มน้ำมัน


   “ทำไมพี่ต้องโกหก” ไม่รู้ว่าน้ำเสียงของผมมันเคร่งขรึมเกินไปหรืออย่างไรพี่ปั๊มถึงมีหน้าเสียเล็กน้อยกับคำถามของผม หรืออาจเป็นเพราะคำพูดของผมมันฟังดูรุนแรงเกินไป แต่ผมไม่ได้โกรธพี่ปั๊มเลยสักนิด ไม่ได้ประชดด้วย


   “กูไม่ได้ตั้งใจ” พี่ปั๊มตอบเสียงเบา “ไม่โกรธกูนะข้าว”


   “ไม่ครับ ไม่เลยสักนิด”


   “แล้วทำไมตอนพูดต้องหลบหน้ากูด้วย”


   “หลบอะไร” ผมปฏิเสธทันควันพร้อมกับหันหน้าไปมองพี่ปั๊มทันที ‘พี่ปั๊มเป็นเกย์’ อยู่ ๆ ข้อครหาของปอมก็ดังขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง มันดังวนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมต้องจ้องตาพี่ปั๊มด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้... แววตาคู่นั้นช่างเรียวสวยและดูอบอุ่นกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น ทว่าภายใต้ความอบอุ่นกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดที่แสดงออกชัดเจน


ผมไม่ได้โกรธพี่ปั๊มจริง ๆ นะ แต่ทำไมการแสดงออกและคำพูดของผมมันถึงตรงข้ามกับความคิดข้อนี้ไปได้ ผมไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ “นี่ไงผมจ้องหน้า ผมมองตาพี่แล้วไง พี่จะเล่าอะไรก็เล่ามา”


“เอ่อ... กู...” คราวนี้เป็นฝ่ายพี่ปั๊มเสียเองที่ก้มหน้าหลบสายตา “กูมีเหตุผลนะที่กูต้องโกหกมึงและโกหกทุก ๆ คน รอให้กูพร้อมก่อนนะ เดี๋ยวกูจะเล่าให้มึงฟังทั้งหมด กูสัญญา”


“นี่พี่ยังไม่พร้อมอีกเหรอครับ” ผมสวนกลับไป รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เรื่องราวทุกอย่างมันชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่พี่ปั๊มยังเลือกที่จะเก็บเหตุผลเอาไว้ไม่ยอมเล่าให้ผมฟัง “เมื่อไหร่ล่ะครับถึงจะพร้อมอีกหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี หรือสิบปี หรือถ้าพี่ลำบากใจขนาดนั้นก็ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้นะครับ ผมไม่ได้โกรธพี่เลย ไม่เลยสักนิด”


“ไอ้ข้าว!!!” พี่ปั๊มขึ้นเสียง “มึงอย่าย้ำได้ไหมว่ามึงไม่โกรธกู การแสดงออกของมึงมันไม่ใช่เลยสักนิด มึงโกรธกู มึงผิดหวังในตัวกู กูรู้... กูขอโทษ เอาไว้กูพร้อมกูจะเล่าให้มึงฟังทั้งหมด มึงรอกูหน่อยนะ เรื่องบางเรื่องมันยากเกินกว่าที่จะอธิบายให้ใครฟังได้ มันต้องใช้เวลา มึงเข้าใจใช่ไหม”


“อืม” ผมพยักหน้า “ผมเข้าใจ”


พูดจบก็ลุกขึ้นทันที ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ปั๊มดี เพราะคนเราล้วนมีที่มาที่แตกต่างกัน มีประสบการณ์ในโลกกว้างที่ไม่เหมือนกัน ผมไม่รู้หรอกนะว่าที่ผ่านมาพี่ปั๊มต้องเจอกับอะไรบ้าง มันคงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะทำใจได้ เพราะไม่เช่นนั้นพี่ปั๊มคงไม่เลือกที่จะทิ้งความสุขสบายจากการเป็นคุณหนูให้กลายไปเป็นเด็กปั๊มธรรมดา ๆ ยากจนคนหนึ่งหรอก แต่ถึงอย่างไรผมก็อดน้อยใจไม่ได้จริง ๆ ที่พี่ปั๊มไม่เชื่อใจในความสัมพันธ์ของเรา


...ใช่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็แค่ความน้อยใจไม่ใช่ความโกรธเคือง


   “เอาเถอะ ผมจะไม่เซ้าซี้พี่ ถ้าพี่สบายใจเมื่อไหร่ค่อยเล่าให้ผมฟังก็ได้” ท้ายที่สุดผมก็เลือกที่จะสลัดความผิดหวังทิ้งไป ผมหันไปสบตาพี่ปั๊มอีกครั้ง มือข้างที่โอบไหล่ถูกยกขึ้นมาขยี้ศีรษะของพี่ปั๊มอย่างเอ็นดู “ผมขอโทษ”


   คนร่างเล็กทิ้งศีรษะมาซบที่ไหล่ของผม ไม่รู้ว่าเราสองคนปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าไร เพราะเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก มือของผมยังคงลูบศีรษะของพี่ชายอยู่อย่างนั้น อยากรู้เหลือเกินว่าเหตุผลที่ทำให้พี่ปั๊มต้องโกหกทุกคนในปั๊มมันคืออะไร แต่ผมก็คงทำได้แค่รอ... รอเวลาที่พี่ชายคนนี้จะสบายใจแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง


   ระหว่างที่ความเงียบกำลังครอบงำ สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนบนบันไดชั้นบนสุด สายตาของเขาแน่นิ่งไม่ไหวติง เขาจ้องผมเขม็งก่อนที่จะแสยะยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่สื่อถึงความรู้สึกประหลาดยากเกินคาดเดา แต่มั่นใจได้เลยว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่แสดงออกในทางที่ดีแน่นอน


   ‘ปอมกำลังคิดอะไรอยู่นะ’ สิ้นเสียงความคิด ปอมก็วกกลับขึ้นไปบนชั้นสอง เขาเลือกที่จะปล่อยให้ผมกับพี่ปั๊มอยู่ในห้องรับแขกสองคนต่อไป ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นเขาสามารถเดินลงมาขัดขวางความใกล้ชิดของเราสองคนก็ได้


   เด็กหนุ่มคนนั้นช่างพิลึกคนยิ่งนัก ปากก็บอกไม่ต้องการให้พี่ชายมีรสนิยมทางเพศกับเพศเดียวกัน แต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้ผมกับพี่ปั๊มนั่งแนบชิดกันต่อไป แท้จริงแล้วความต้องการของเขามันคืออะไรกันแน่




จบตอนครับ.....
รออีกนิดนะครับ สำหรับใครที่คิดถึงคุณชาย
ให้คนที่ทิ้งข้าวไปอย่างไม่ใยดีได้รู้รสชาติของความโดดเดี่ยวไปก่อน แฮ่ๆ  :mew6:

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
ยอมรับว่าตอนนี้อยากรู้จริงๆ ว่าคุณชายเป็นอย่างไรบ้าง     

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
พี่ปั๊มมีเหตุผลอะไรกันนะ

ไม่ใช่ว่าตระกูลนี้มีการแย่งสมบัติกันนะ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 26

วันแรกของการเดินทางมาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มันเป็นวันแห่งการพักผ่อน หลังจากที่ผมใช้เวลากับพี่ปั๊มที่ห้องรับแขกอยู่นานสองนาน พี่ปั๊มก็ชวนผมขึ้นไปบนห้องนอน


   ผม พี่ปั๊มและโด้นอนพักห้องเดียวกัน ห้องพักของเรานั้นมีขนาดกว้างขวาง เตียงนอนเป็นเตียงคู่ขนาดใหญ่ที่สามารถนอนอัดกันสามคนได้สบาย ๆ ภายในห้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบครัน มีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ มีโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเอาไว้ให้ใช้ทั้งยังมีห้องน้ำส่วนตัวอีกด้วย


   วันนั้นทั้งวันพวกเราสามคนแทบจะใช้เวลาทั้งหมดหมดไปกับการหลับใหล กว่าที่จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่พระอาทิตย์เกือบจะตกดิน แสงสีทองอ่อน ๆ ที่สะท้อนผ่านบานกระจกและมากระทบกับเปลือกตาของผมส่งผลให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา


   ผมยันกายให้ลุกขึ้นนั่ง พอหันไปมองข้าง ๆ ก็เห็นกับร่างของพี่ปั๊มซึ่งอยู่ตรงกลางกำลังนอนขดตัวกอดหมอนข้างอย่างน่าเอ็นดูกับโด้ที่นอนอยู่ริมสุดกำลังนอนอ้าปากหวอยังดีที่ไม่มีน้ำลายไหลยืด


   “พี่ปั๊ม” ผมเอื้อมมือไปเขย่าร่างของคนที่นอนกอดหมอนข้างเบา ๆ


    ได้ผลพี่ปั๊มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาราวกับเด็ก 5 ขวบที่เพิ่งตื่นนอน มือขึ้นหนึ่งยกขึ้นมาเช็ดขอบตาก่อนที่ในเวลาต่อมาจะอ้าปากหาว


   “กี่โมงแล้วเนี่ย” เสียงของพี่ปั๊มงัวเงีย


   “ไม่รู้ครับ แต่น่าจะเย็นมาก ๆ แล้วล่ะ”


   “ฮะ!!! เย็นมาก ๆ” คราวนี้พี่ปั๊มสะดุ้งแล้วชันกายให้อยู่ในท่านั่ง “เย็นแค่ไหนวะ ซวยแล้วไง ป่านนี้พ่อกับแม่คงกลับมาแล้วมั้ง เดี๋ยวกูจะอาบน้ำ มึงก็รีบ ๆ อาบเลยนะไอ้ข้าว ปลุกไอ้โด้ด้วย”


   ท่าทางของพี่ปั๊มดูร้อนรนผิดปกติ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของพี่ปั๊มนั้นมีความน่าเกรงขามขนาดไหนถึงทำให้พี่ปั๊มเป็นแบบนี้ได้


   “โด้ ๆ” ผมเขย่าร่างของน้องชายตัวเล็กเบา ๆ โด้งัวเงียตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรออกมาพี่ปั๊มก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำด้วยร่างที่เปลือยกายท่อนบน


   “ไม่ต้องปลุกแม่งละ ลากมันขึ้นมาเลย อาบน้ำพร้อม ๆ กันเนี่ยแหละ” พูดจบมือของพี่ปั๊มข้างหนึ่งก็ฉุดโด้ขึ้นมาจากเตียง ส่วนอีกข้างก็จับแขนผมแล้วออกแรงดึงก่อนจะตรงไปทางห้องน้ำ


   “เฮ้ย!!! จะบ้าเหรอพี่ อาบพร้อมกันเนี่ยนะ” ผมสะบัดแขนออก ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ผมก็ไม่กล้าแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าใครหรอกนะ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว “ไม่เอาด้วยหรอก พี่กับโด้อาบไปเลย”


   “ได้ครับพี่ข้าว” โด้พยักหน้าเห็นด้วยสุดฤทธิ์ก่อนจะแกล้งทำเกาะแขนพี่ปั๊มเพื่อหวังจะเข้าไปอาบน้ำด้วยกันสองคน ทว่ายังไม่ทันจะก้าวขา ฝ่ามืออรหันต์ของพี่ปั๊มก็ป๊าบเข้าให้ที่กลางกบาลของโด้ “โอ๊ยยย!!! ประทุษร้ายร่างกายน้องชายสุดหล่ออีกแล้วนะ”


   “ก็มึงมันกวนตีน” พี่ปั๊มต่อว่าโด้ ก่อนจะหันมาทางผม “มึงไม่ต้องอายเลยไอ้ข้าว ใส่บ็อกเซอร์อาบนั่นแหละก็ไม่ได้จะจับมึงแก้ผ้าโชว์ช้างน้อยแล้วอาบพร้อมกันหรอกน่า เชื่อกู... ขอให้อาบเสร็จทันก่อนที่พ่อกับแม่จะกลับมาเป็นดีที่สุด”


   สิ้นเสียงประกาศิตนั้น ผมกับโด้จึงต้องจำใจเข้าห้องน้ำพร้อมกันกับพี่ปั๊ม


   การอาบน้ำ และการแต่งตัวของพวกเราเสร็จสิ้นด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่ 10 นาที ทุกอย่างก็เรียบร้อยสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องเสียเวลารีดชุดเพราะภายในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อโปโลสุภาพ ๆ ถูกรีดจนเรียบรวมถึงชุดอื่น ๆ แขวนไว้หลายตัว ซึ่งพี่ปั๊มเป็นคนจัดการเครื่องแต่งกายให้เสร็จสรรพ


   “พยายามอย่าพูดอะไรมากและพูดให้มีหางเสียงทุกประโยคเข้าใจไหมข้าว โด้ก็ด้วย แต่ถ้าไม่โดนถามอะไรก็โชคดีไป” พี่ปั๊มหันมาสั่ง ยังไม่ทันที่เราสองคนจะตอบรับ คนใจร้อนก็เล่นเปิดประตูแล้วเดินนำออกไปจากห้องทันที “ตามมา”



   ภายในบ้านหลังใหญ่ที่น่าจะครึกครื้นกลับดูเงียบเหงา ไม่รู้ว่าตอนนี้ปอมหายไปไหน แม่บ้านสักคนก็ไม่มีให้เห็น ผมล่ะอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าคนบ้านนี้ทำความสะอาดกันอย่างไรถึงไม่มีร่องรอยของความสกปรกตามตัวบ้านเลยสักนิด


   พี่ปั๊มเดินนำลงไปยังชั้นล่าง บุคลิกของพี่ปั๊มในยามนี้ดูแปลกไป เดินตัวตรงสง่า สาวเท้าเป็นจังหวะ เห็นแล้วรู้สึกขัดใจเพราะมันเหมือนไม่ใช่ตัวตนของพี่ปั๊มเลยสักนิด


   “พี่ปั๊มดูแปลก ๆ ไปนะพี่ข้าว” โด้กระซิบ


   “ใช่ ๆ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก่อนที่เราสองคนจะพูดอะไรต่อพี่ปั๊มก็หันมาส่งสายตาดุใส่แล้วเดินวนไปทางห้องรับแขกซึ่งเป็นห้องเดียวที่ผมกับพี่ปั๊มนั่งคุยกันเมื่อตอนที่เดินทางมาถึงบ้านหลังนี้


   ทันทีที่เข้าไปในห้อง ผมก็พบกับชายวัยกลางคนรูปร่างสมส่วนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ข้าง ๆ กันนั้นมีหญิงวัยกลางคนผมยาวเป็นลอนนั่งอยู่ ดวงตาของเธอกลมโตและเต็มไปด้วยประกายแห่งความเมตตาอารี หญิงวัยกลางคนผู้นี้ดูใจดีผิดกับชายวันกลางคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ลิบลับ


   “สวัสดีครับ” พี่ปั๊มยกมือขึ้นมาสวัสดีบุคคลทั้งสองด้วยความสุภาพก่อนจะหันมาทางผมกับโด้ “นี่เพื่อนผมครับ คนนี้น้องข้าว ส่วนคนนี้น้องโด้ครับ”


   “สวัสดีครับ” ผมกับโด้ยกมือขึ้นสวัสดีท่านทั้งสองพร้อมกัน ไม่รู้ว่าโด้กำลังพยายามเก็บกดอารมณ์ขันเอาไว้ในใจเหมือนผมหรือเปล่า เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยจะได้ยินพี่ชายของผมคนนี้พูดจาสุภาพกับใคร และมีอย่างที่ไหนมาเรียก 'ไอ้โด้' ว่า 'น้องโด้' กลับไปกรุงเทพฯ มีหวังโดนโด้ล้อไม่หยุดแน่ ๆ


   ท่านทั้งสองยิ้มรับโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นการรับไหว้


   “มานั่งข้าง ๆ แม่สิลูกปั๊ม” หญิงวัยกลางคนยิ้มให้ลูกชายคนโตด้วยความอารี พี่ปั๊มเดินอ้อมไปนั่งข้าง ๆ กับเธอด้วยความโอนอ่อน จากนั้นแม่ของพี่ปั๊มจึงบอกให้พวกเรานั่งลงที่โซฟาตัวเล็กสองตัวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ


   “หึ! เพิ่งตื่นกันสิท่า” ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจออกมา สีหน้าของเขาดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไร


   “แหมคุณคะ ลูกเพิ่งเดินทางกลับมาจากเมืองหลวงนะคะ นั่งรถทัวร์มาไกลก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา” หญิงวัยกลางคนหันไปแก้ต่างให้


   “สนามบินก็มีไม่รู้จักนั่งมา” คราวนี้หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเห็นด้วย


   “นั่นสิ ทำไมไม่นั่งเครื่องบินมาล่ะลูกปั๊ม” หญิงวัยกลางคนหันไปถามพี่ปั๊ม


   “ก็... เอ่อ...” พี่ปั๊มอึกอัก “พาเพื่อนมาเที่ยวทั้งที นั่งเครื่องบินมามันก็ไม่ได้บรรยากาศสิครับคุณแม่”


   “คุณแม่? ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ” สายตาทุกคู่หันไปมองโด้ด้วยความเร็วเหนือแสง โดยเฉพาะพี่ปั๊มกับคุณพ่อที่ส่งสายตาไม่พอใจชัดเจน


   ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นไปกระโดดถีบยอดหน้าไอ้น้องคนนี้เสียจริงที่มันขำไม่เก็บอาการจนเกือบทำเอาผมระเบิดเสียงหัวเราะไปด้วยอีกคน ผมเข้าใจโด้นะ ใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่มักพูดจาขวานผ่าซากอย่างพี่ปั๊ม พออยู่ต่อหน้าบุพการีทั้งสองจะกลายเป็นคุณหนูผู้เรียบร้อยแบบนี้ได้ โชคดีที่ผมพยายามท่องพุทโธรัว ๆ ในใจเลยทำให้ผมระงับอาการระเบิดเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ ...บ้าจริง!


   “มีอะไรน่าขำ” เสียงที่เคร่งขรึมทำให้เสียงหัวเราะของโด้หยุดลงทันที หน้าของเจ้าตัวดีเจื่อนลงและเหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “คบแต่คนแบบนี้สินะ แกถึงได้ทำตัวเหลวไหล บ้านช่องก็ไม่ค่อยกลับ แล้วไหนจะไอ้หอรังหนูของแกที่กรุงเทพอีก อยู่เข้าไปได้ไง”


   “ผมขอโทษครับ” น่าแปลกที่พี่ปั๊มไม่เถียงอะไรสักนิดแถมยังก้มหน้าสำนึกผิดอย่างง่ายดาย


   ระหว่างนั้น ผมเหลือบสายตาไปมองโด้เป็นระยะ ๆ ใบหน้าที่พยายามกลั้นความขบขันนั้นทำเอาผมแทบจะทนไม่ไหวไปด้วยอีกคน โชคดีที่พ่อของพี่ปั๊มแกล้งทำเป็นไม่สนใจ


   “ลูกปั๊ม...” คุณแม่ของพี่ปั๊มพูดเสียงหวาน พยายามจะทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น มือข้างหนึ่งของเธอยกขึ้นมาลูบศีรษะของลูกชายอย่างไม่รังเกียจ ...ที่ต้องบอกว่าไม่รังเกียจเพราะเส้นผมที่หยกศกถูกปล่อยยาวรุงรังเลยต้นคอเล็กน้อยนั้นยังไม่ได้สระตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน ผมรู้ดีว่ามันเหนียวเหนอะหนะเล็กน้อยเพราะผมเคยสัมผัสมาแล้ว “กลับมาคราวนี้จะมาอยู่กี่วันล่ะลูก”


   “หนึ่งอาทิตย์ครับ”


   “ว๊า... อาทิตย์เดียวเองเหรอ” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจออกมา ใบหน้าและแววตาของท่านสลดเล็กน้อย “อยากให้อยู่สักเดือนสองเดือนจัง หรือไม่ก็กลับมาอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยยิ่งดี”


   “ไม่ได้หรอกครับคุณแม่” พี่ปั๊มปฏิเสธ “ผมยังมีงานที่ต้องรับผิดชอบ”


   “ไอ้งานดูแลปั๊มน้ำมันน่ะเหรอ ก็ให้ลุงธัญญ์ดูแลก็ได้นี่จ๊ะ ส่วนลูกก็มาดูแลกิจการที่นี่ดีกว่า”


   คำพูดของแม่พี่ปั๊มทำให้ผมเริ่มจับต้นชนปลายอะไรถูก 'งานดูแลปั๊มน้ำมัน' ถ้าผมเดาไม่ผิดพี่ปั๊มคงเป็นเข้าของปั๊มน้ำมันแน่ ๆ และที่บอกว่าให้ลุงธัญญ์รับผิดชอบ เพราะลุงธัญญ์คือผู้จัดการที่รับผมเข้าทำงานพร้อมทั้งดูแลสวัสดิการของพนักงานทุกคนภายในปั๊มน้ำมัน ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดลุงธัญญ์น่าจะเป็นญาติหรือไม่ก็คนสนิทของครอบครัวพี่ปั๊มแน่ ๆ


   ...มิน่าเล่า พี่ปั๊มถึงโดดงานได้บ่อย ๆ และดูสนิทสนมกับผู้จักการเป็นพิเศษ เพราะเหตุนี้นี่เอง


   “มันไม่อยากกลับมาก็ไม่ต้องไปบังคับ ดีแล้ว... กลับมาก็ขายขี้หน้าชาวบ้านเปล่า ๆ ให้มันไปอยู่ไกล ๆ นั่นแหละดี” พูดจบ ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องรับแขกทันที 


   ส่วนคุณแม่ของพี่ปั๊มหันมายิ้มให้ผมสลับกับโด้ด้วยความเอ็นดู


   “ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ สามีฉันก็แบบนี้แหละ แข็งกระด้างเกินใคร ลูกปั๊มก็เหมือนกันนะจ๊ะ อย่าโกรธคุณพ่อนะคะ” มือของเธอยังคงลูบศีรษะของพี่ปั๊ม ผมสังเกตเห็นใบหน้าของพี่ปั๊มค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเพราะโกรธที่โดนคุณพ่อด่าหรือเพราะเขินกับการกระทำของคุณแม่กันแน่


   “เอ้อ... คุณแม่ครับ” พี่ปั๊มจับมือของคุณแม่ลงมาจากศีรษะแล้วกุมเอาไว้แน่น “มีอะไรทานบ้างครับ แล้วนี่น้องหายไปไหน”


   “อ้อ... ลูกปอมเหรอ ออกไปตรวจงานที่ปั๊มรอบ ๆ ตัวเมืองน่ะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงกลับมา...” หญิงวัยกลางคนตอบ ไม่ทันขาดคำ ร่างสมส่วนของเด็กหนุ่มหน้าตาน่าเอ็นดูหากแต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เปี่ยมล้นก็เดินตรงเข้ามายังห้องรับแขก “อ๊ะ... นั่นไง น้องมาพอดี”


   “สวัสดีครับคุณแม่” ปอมหันไปยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ “วันนี้มีอะไรทานบ้างครับ”


   มาถึงก็ถามเรื่องกินเชียว แถมยังจงใจเดินอ้อมมาหลังโซฟาแล้วหันมามองผมด้วยสายตาประหลาด ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาวข้าง ๆ กับผู้เป็นแม่แล้วสวมกอดร่างนั้นด้วยความรัก หญิงวัยกลางคนสวมกอดกลับแถมและหอมแก้มลูกชายด้วยความเอ็นดู มันช่างเป็นภาพที่น่าอิจฉาเสียจริง


   “อยู่ในครัว ไปดูสิลูก ของกินเยอะแยะเลย อ้อ... เทใส่จานไว้เลยนะ เดี๋ยวแม่ขอคุยกับพี่ปั๊มให้หายคิดถึงก่อน แล้วจะรีบตามไป” หญิงวัยกลางคนกล่าว


   “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวให้ข้าวกับน้องโด้ไปรอในครัวกับผมเลยนะครับ” ปอมส่งยิ้มประหลาด ๆ มาให้ผมอีกครั้ง ผมหันไปมองหน้าพี่ปั๊มเพื่อที่จะขอความช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนว่าพี่ปั๊มจะยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับปอม


    ทันทีที่ผมกับโด้เดินตามปอมเข้าไปในห้องครัว ไอ้คนเจ้าเล่ห์ที่คงจะคิดแผนการอะไรบางอย่างเอาไว้ล่วงหน้าก็หันไปคุยกับโด้


   “เอ้อ น้องโด้ครับ รบกวนน้องโด้ขึ้นไปหยิบชุดกันเปื้อนบนห้องนอนของพี่ให้หน่อยสิครับ พี่ว่าจะทำข้าวผัดปูเอาไว้กินพร้อมกับอาหารที่แม่ซื้อมา”


   สิ้นเสียงของปอม ผมไม่รอให้โด้ตอบรับเพราะรู้ทันว่านั่นคือแผนการของไอ้คนเจ้าเล่ห์ที่ต้องการอยู่กับผมในห้องครัวตามลำพังสองคน “โด้ไม่ต้องขึ้นไป คนอะไรเอาชุดกันเปื้อนไว้ในห้องนอน”


   “คนแบบผมนี่ล่ะครับ” ปอมยิ้มให้ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดของผม “อยู่ในตู้เสื้อผ้านะโด้”


   “ครับพี่ปอม” โด้พยักหน้ารับ “เดี๋ยวโด้ขึ้นไปเอาให้ โด้อยากกินข้าวผัดปู”


   พูดจบก็เดินออกจากห้องครัวโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของผมเลยสักนิด ไอ้โด้เอ๊ย... ทำไมถึงไม่ได้เรื่องอย่างนี้นะ ไม่อยู่ช่วยเป็นทัพหน้าป้องการวาจาที่แสนกวนประสาทของปอมให้กับผมเลย ...ไอ้น้องเวร!


   พอร่างของโด้เดินไปจนลับสายตา ผมจึงเงยหน้าสบมองตาไอ้คนเจ้าเล่ห์อย่างลองเชิง มันจ้องผมกลับ มิหนำซ้ำยังทำหน้าตาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย


   “จะมองอีกนานไหม” พูดจบก็หันหลังให้แล้วเดินไปค้นอะไรบางอย่างในตู้เย็น ชั่วครู่ปอมก็หยิบไข่ไก่ 5 ฟองมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมด้วยผักคะน้า มะเขือเทศ หอมใหญ่ และกระป๋องพลาสติกที่มีฝาสีใสปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ผมชะเง้อมองดูจึงรู้ว่าภายในนั้นมีเนื้อปูที่ถูกหั่นเป็นชิ้นหนา หมอนี่ไม่ได้ต้องการจะแกล้งผม แต่เขากำลังจะทำข้าวผัดปูจริง ๆ “ทำอะไรเป็นบ้าง”


   “ตกลงจะทำข้าวผัดปูจริง ๆ เหรอเนี่ย” ผมไม่ได้ตอบคำถามของหมอนั่น หากแต่ส่งคำถามกลับเพราะคาใจ สบตามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาต้องกำลังวางแผนปั่นหัวผมอยู่แน่ ๆ


   “จริงสิครับ” ปอมพยักหน้าตอบ “แล้วคิดว่าผมจะทำอะไรล่ะ”


   สิ้นเสียง ปอมก็หันมาจ้องผมเขม็งราวกับต้องการจะจับผิดและเค้นให้ผมพูดความจริงออกมา ผมเบือนหน้าหนีแล้วแสร้งเสมองไปทางอื่นทันที


   “ก็เปล่า” ทำไมผมต้องตื่นเต้นด้วยนะ “ไม่ได้คิด”


   “เหรอ...” ปอมลากเสียงยาว ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ แล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและชักมือกับออกมาอีกทีพร้อมกับโชว์โทรศัพท์สีดำรุ่นเก่ากึ๊กดึกดำบรรพ์ให้ผมดู


   “เฮ้ย...” ผมร้องเสียงหลง ไม่คิดว่าคนมีฐานะอย่างปอมจะใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกันกับผม “นายใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกับผมเลย เคสก็แบบเดียวกันสีเดียวกัน อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นเนี่ย”


   ปอมยิ้มให้ผม ก่อนจะก้มหน้ากดมือถืออย่างถือวิสาสะแล้วส่งมาให้ผมดูอีกที “นี่รูปใครเหรอ ใช่คุณชายเป๊กอะไรนั่นหรือเปล่า”


   ผมมองดูรูปภาพในมือถือกอปรกับคำถามนั่นเลยทำให้ผมเพิ่งรู้ว่า นี่มันโทรศัพท์ของผมนี่นา แล้วมันไปอยู่กับปอมได้อย่างไร เขามาเอามันไปตอนไหน หากแต่คำถามเหล่านั้นมันไม่สำคัญเท่ากับรูปภาพของคนที่กำลังยิ้มแป้นแล้นในมือถือเลยสักนิด


   รูปของคุณชายซึ่งใส่เสื้อยืดสีขาวกำลังผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังฝืนยิ้มเพราะโดนผมบังคับถ่ายรูปตอนที่เพิ่งตื่นนอน ท่าทางงัวเงียหากแต่ไม่มีความขัดใจใด ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่น่าเอ็นดูนั่นมันทำให้ผมอดคิดถึงวันเก่า ๆ ไม่ได้ ผมเคยตั้งใจจะลบรูปภาพของคุณชายออกจากมือถือ แต่พอจะกดปุ่มลบทีไร ใจมันก็กระตุกวูบ แค่รู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดหรือพบเจอคุณชายอย่างเดิมมันก็เสียใจพออยู่แล้ว ถ้ายังลบรูปคุณชายทิ้งออกไปอีก ผมคงทนไม่ได้ อย่างน้อยแม้มันจะเป็นความสุขบ้า ๆ บอ ๆ แต่ผมก็ต้องการจะเก็บมันเอาไว้ ผมมีความสุขทุกข์ครั้งที่ได้เห็นรูปภาพของคุณชายในอิริยาบถต่าง ๆ แม้ว่าความสุขนั้นมันจะปะปนไปด้วยความเจ็บปวดก็ตาม


   “นายเอาโทรศัพท์ฉันไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมไม่สนใจที่จะตอบคำถามว่าคนในรูปคือใคร ปอมมีสิทธิ์อะไรมากดโทรศัพท์ของผมดูเล่นแบบนี้


   “ก็ตอน...” ปอมทำท่านึกจงใจจะยั่วโมโห “ที่มีสายเรียกเข้า”


   สิ้นเสียงของปอม ผมรีบกดไปดูบันทึกข้อมูลการโทรทันที แล้วรายชื่อที่ปรากฏล่าสุดก็ทำให้ผมถึงกับหัวใจกระตุกวูบอีกครั้ง และมันยิ่งสั่นไหวมากยิ่งขึ้นเมื่อผมพยายามคาดเดาถึงเหตุผลที่ทำให้เจ้าของรายชื่อนั้นโทรมา พอมองดูเวลาก็เข้าใจได้ทันทีว่าตอนนั้นผมกำลังนอนหลับใหลอยู่ในห้องนอน


   ...คุณชายเป๊กจอมซน...

และมันยิ่งรู้สึกตกใจยิ่งขึ้นเมื่อโทรศัพท์ของผมปรากฏสัญลักษณ์แสดงถึงการตอบรับการโทรมาของคุณชาย!



จบตอนครับ >.<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2014 00:31:00 โดย gugzabb »

ออฟไลน์ nokkaling

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
หึ...เอาล่ะซิ มันส์แน่!!!!

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
แว้ก แปลกๆเลยอะ มาต่อนะคร้าบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






narakfuidfuid

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
ถ้ารับวายแทนคงจะมีเฮ หวังว่าคุณชายจะขึ้นมาตามถึงที่เลยนะ

ออฟไลน์ jamelovelove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-5
ค้างงงงงเติ่งเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
อ่าๆๆๆนะ
รีบมาต่อนะค่ะ :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:อดใจไม่ไหวววววว อยากเหนไอ้คุณชายจะทำอย่าง ไร นะ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 27


ไอ้เด็กเอาแต่ใจ ไอ้คนใจร้ายที่ไล่ผมไปจากชีวิตเขาอย่างไม่ใยดีจะโทรมาหาผมทำไม ความสงสัยต่าง ๆ ผุดขึ้นมามากมายในหัวสมอง ผมรีบกดโทรศัพท์กลับไปหาเบอร์นั่น หากแต่เสียงที่ดังขัดขึ้นของปอมทำให้ผมต้องรีบกดวางสายในทันที


   “รู้สึกคุณชายคนนั้นจะโกรธผมมากเลยนะที่คนกดรับโทรศัพท์คือผม ไม่ใช่ข้าว”


   “นายคุยกับคุณชาย?” น้ำเสียงของผมสั่นไหว ไม่รู้ว่าปอมคุยอะไรไปบ้าง แต่ในใจของผมตอนนี้มันร้อนลุ่มราวกับเปลวเพลิงอันร้อนระอุกำลังแผดเผา อวัยวะภายในช่องท้องมันปั่นป่วนไปหมด ความวิตกส่งผลให้ผมปวดศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหันและอยากจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้


   “คงจะเป็นคนที่สำคัญมากเลยสินะ” ปอมเดินเขยิบร่างเข้ามาจนแนบชิดกับผม จากนั้นริมฝีปากอิ่มได้รูปก็ถูกยื่นเข้ามาใกล้ ๆ กับใบหู “หรือต่อจากนี้... อาจจะเป็นได้แค่อดีตคนสำคัญ”


   “ไอ้ปอม!!!” ผมผลักร่างนั้นออกไปสุดแรงจนร่างนั้นกระแทกกับขอบโต๊ะอาหาร


   ปอมมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยหากแต่ครู่เดียวเท่านั้นรอยยิ้มที่กวนประสาทที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้ก็เผยอออกมา ผมเกลียดรอยยิ้มนั่น


   “ตกลงเคยเป็นแฟนกันจริง ๆ สินะครับ คุณเองก็เป็นเกย์สินะครับ” น้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปอมเป็นคนที่ควบคุมสติได้ดีจนกลายเป็นผมเองที่พอได้คุยกับคนแบบนี้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองบ้าคลั่ง... บ้าคลั่งจนแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ “อยากรู้ใช่ไหมว่าผมคุยอะไรกับเขา...”


   ปอมจงใจจบบทสนทนาแค่นั้น ไม่ยอมพูดอะไรต่ออาจเป็นเพราะต้องการคำตอบจากผม


   ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ หากแต่คำพูดที่ได้รับกลับมาแทบจะทำให้ผมควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่


   “เอาไว้ผมมีอารมณ์เมื่อไหร่แล้วผมจะบอกนะ ตอนนี้ผมไม่ต้องการจะคุยเรื่องไร้สาระกับใครเพราะธุระสำคัญของผมคือการทำข้าวผัดปูให้เสร็จ หึ...”


   ผมกำมือแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกโมโห เก็บกดจนอยากจะชกคนตรงหน้าเพื่อเป็นการระบายอารมณ์ แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากภายนอกห้องครัว และเพียงครู่เดียว เจ้าของเสียงฝีเท้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับชุดกันเปื้อนที่ถูกพาดเอาไว้บนแขน


   ก่อนที่โด้จะเดินมาถึงยังจุดที่ผมกับปอมยืนอยู่ ปอมรีบหันหน้ามาคุยกับผมเบา ๆ เหมือนเป็นการยั่วโทสะครั้งสุดท้าย “ถ้าอยากรู้ขนาดนั้น ทำไมไม่ลองโทรกลับไปหาดูล่ะ หรือว่า... กลัว กลัวคำตอบที่จะได้ยิน”


   ให้ตายเถอะ... ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเด็กหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่แสนร้ายกาจคนนี้ต้องการอะไรจากผมกันแน่ เขาจะยั่วโทสะผมไปถึงไหน มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำแบบนั้น แล้วทำไมผมจะต้องกลัวคำตอบที่จะได้ยินอะไรนั่นด้วย หรือว่าหมอนี่ไปเป่าหูอะไรคุณชาย แต่มันจะสำคัญอะไรเล่า ถึงอย่างไรคุณชายก็เป็นคนที่ทิ้งผมไปเอง แล้วผมยังมีสิทธิ์ที่จะต้องกลัวอะไรอีกอย่างนั้นหรือ


   ความกดดันจากคำพูดและการแสดงออกของปอม รวมถึงความเครียดในจิตใจของตัวเอง ส่งผลให้ผมตัดสินใจเดินออกจากห้องครัวไป แม้จะมีเสียงโด้ร้องเรียกถามด้วยความสงสัย หากแต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ในตอนนี้ผมไม่ต้องการจะพูดคุยกับใครทั้งนั้น เพราะคนเดียวที่ผมอยากคุยด้วยมากที่สุดก็คือ ...คุณชาย


   ผมเดินก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใครใด ๆ ทั้งสิ้น ผมเดินขึ้นบันไดไปด้วยความรวดเร็ว อยากจะเข้าไปในห้องนอนให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากจะเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ สักพักคนเดียวเพื่อสงบสติอารมณ์แล้วกลับมาเป็นไอ้ข้าวคนเดิม


   ผมไม่ชอบอาการแบบนี้ของตัวเองเลย อาการที่ไร้สติ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนเลือดขึ้นหน้า อาการที่ท้องไส้ปั่นป่วนราวกับมีมวลอากาศที่หมุนวนเป็นพายุอยู่ในนั้นจนทำให้ผมรู้สึกจุกอย่างรุนแรง ไหนจะอาการเจ็บแปลบ ๆ ที่หน้าอกข้างซ้ายเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของใครบางคนซึ่งเป็นคนสำคัญ อยากรู้ว่าเขาได้ฟังอะไรผิด ๆ ไปบ้าง แม้จะห่วงมากแค่ไหน แต่ผมก็ขี้ขลาด... ขี้ขลาดเกินกว่าที่จะโทรกลับไปถามให้เข้าใจ


   ทันทีที่ถึงห้องนอน ผมก็ทิ้งร่างของตัวเองลงไปบนเตียงนอน ซุกใบหน้าไปกับหมอนนุ่ม ๆ น่าแปลกที่อยู่ ๆ ภาพความทรงจำเก่า ๆ ก็กลับมา ห้องกว้างขวางของพี่ปั๊มแปรเปลี่ยนเป็นห้องนอนของคุณชาย แล้วร่างที่คุ้นเคยสนิทสนมก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ กับร่างของผม


   “คุณชาย” ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว ร่างนั้นกำลังหลับตาพริ้มราวกับเด็กที่ไร้เดียงสา “คุณชายครับ”


   เสียงเรียกที่เอ่ยซ้ำอีกครั้งส่งผลให้คุณชายตื่นขึ้นมา เขาขยี้ศีรษะตามประสาคนที่เพิ่งตื่นนอนจนผมยุ่งเหยิงก่อนจะหันมายิ้มให้ผม


   “ข้าวเองเหรอ” น้ำเสียงนั่น... น้ำเสียงที่คุ้นเคยแบบนั้น “เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ ฉันไปทำอะไรให้ข้าวไม่พอใจหรือเปล่า”


   ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที ไม่อยากให้คุณชายเข้าใจผิด คนอย่างผมน่ะหรือจะมีสิทธิ์ไม่พอใจอะไรในตัวคุณชาย


   “แล้วเป็นอะไรล่ะ”


   “ผมก็แค่...” ผมก้มหน้า ตั้งใจหลบสายตา พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะเอ่ยคำพูดง่าย ๆ ออกไป หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพอจะขยับปากเอื้อนเอ่ยทีไรคำนั้นก็ถูกเก็บไว้ในใจทุกที ‘คิดถึงคุณชาย’


   “แค่อะไร” คุณชายทำเสียงดุ หากแต่ใบหน้ากลับยิ้มละมุนละไม ผมชอบรอยยิ้มแบบนี้ที่สุด รอยยิ้มที่สามารถทำให้โลกมืดมนของผมสดใสขึ้นมาได้ทันตา ผิดกลับรอยยิ้มของหมอนั่น!


   “แค่...” ผมพยายามอีกครั้ง มือที่ข้างหนึ่งค่อย ๆ เลื่อนไปหา หวังจะสัมผัสมืออันอ่อนนุ่มของคุณชาย ทว่าพอเอื้อมไปถึงร่างของคุณชายก็พลันสลายหายไป แค่จะบอกว่าคิดถึงผมยังไม่มีสิทธิ์เลย


   ภาพภายในห้องนอนกลับมาในสภาพเดิมอีกครั้ง มันไม่ใช่ห้องของคุณชาย หากแต่เป็นห้องนอนของพี่ปั๊ม ห้องนอนในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่โลกแห่งมโนภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันก็แค่ภาพลวงตา ผมคงเครียดมากเกินไป หรือไม่ก็เพราะความคิดถึงที่มันมากล้นเลยทำให้สมองของผมฟุ้งซ่านจนเห็นภาพลวงตา


   ผมพลิกร่างที่กำลังก้มหน้าให้แหงนมามองเพดาน ยกโทรศัพท์ที่อยู่ในมือขึ้นมาพลางกดดูอัลบั้มภาพซึ่งมีภาพของคุณชายที่มากมายถูกเก็บเอาไว้ในนั้น


   ผมเลื่อนดูไปเรื่อย ๆ รู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้แม้จะเป็นแค่รูปภาพก็ตาม ทว่าความอิ่มเอมเหล่านั้นกลับคละเคล้าไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส จะสุขก็สุขไม่สุดเพราะมีความทุกข์มาสอดแทรก ทุกข์ที่คิดถึง ทุกข์ที่ยังปักใจรอทั้ง ๆ ที่รู้ว่าโอกาสที่จะกลับไปสนิทสนมกันเหมือนเดิมมันแทบจะเป็นศูนย์


   คิดดังนั้น ความสงสัยก็ประเดประดังเข้ามาในสมอง บางทีผมอาจจะยังมีหวัง เพราะไม่อย่างนั้นคุณชายคงไม่โทรมาหา


   ผมควรจะโทรกลับไปหาคุณชายแล้วคุยให้รู้เรื่อง ไม่ควรปล่อยให้ความเข้าใจมันคาราคาซังอย่างนี้


   เสียงรอสายดังขึ้นอยู่เกือบนาทีจนสุดท้ายก็ตัดไป มันเป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมโทรกลับไปมากกว่า 10 ครั้ง แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสาย


   ‘หมดหวังแล้วสินะไอ้ข้าว’ ผมถอนหายใจออกมา นึกเสียใจที่มัวแต่นอนหลับจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของคุณชาย บางทีอาจเป็นเพราะบทสนทนาในตอนนั้น เลยทำให้คุณชายเลือกที่จะไม่สนใจกดรับโทรศัพท์ของผม หรืออาจเป็นเพราะ... คุณชายไม่ต้องการจะคุยกับผมตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว


ระหว่างที่ผมกำลังจะกดโทรกลับไปหาคุณชายอีกครั้ง ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างของผู้มาใหม่ที่สาวเท้าเข้ามาในห้องนอน


   พี่ปั๊มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม


   “มึงมีปัญหาอะไร กูเห็นท่าทางมึงแปลก ๆ ตั้งแต่ตอนที่เดินออกมาจากห้องครัว”


   ผมมองหน้าพี่ปั๊ม ไม่กล้าที่จะพูดความอัดอั้นทั้งหมดออกไป ถึงอย่างไรปอมกับพี่ปั๊มก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ผมคงยอมรับไม่ได้ถ้าต้องเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่น้องร่วมสายเลือดผิดใจกัน ผมรู้จักนิสัยของพี่ชายคนนี้ดี เขาเลือกที่จะเขาข้างฝ่ายที่ถูกต้องโดยไม่สนใจว่าฝ่ายที่ผิดจะเป็นใคร ต่อให้เป็นน้องชายหรือเพื่อนสนิท ถ้าทำผิดพี่ปั๊มก็ไม่ปล่อยเอาไว้แน่ ๆ


   “เป็นอะไร ไอ้ปอมทำอะไรมึง มีไรก็พูดออกมาสิวะ อย่าเป็นแบบนี้ กู...” พี่ปั๊มชะงักชั่วครู่ ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจก่อนที่หลังจากนั้นจะพูดต่อ “กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย”


   แม้จะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่มันก็ทำให้จิตใจของผมสั่นไหวได้เหมือนกัน ยามอัดอั้นอึดอัดใจแบบนี้สิ่งที่ผมต้องการที่สุดก็คือความห่วงใยและคำปลอบใจของคนสนิท


   ผมโผเข้าไปกอดพี่ปั๊ม และยิ่งออกแรงมากขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกว่าน้ำตาจะไหล พี่ปั๊มยกมือขึ้นมาลูบศีรษะเพื่อปลอบใจก่อนที่ครู่หนึ่งแขนของพี่ปั๊มจะค่อย ๆ เลื่อนลงแล้วออกแรงกระชับแน่นเข้ากับร่างของผมบ้าง


   ถ้าจำไม่ผิด... นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เราสองคนกอดกัน


   ความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดมาจากหัวใจของพี่ปั๊มถูกส่งผ่านมาทางอ้อมกอดในครั้งนี้... อ้อมกอดของพี่ปั๊มช่างอบอุ่นเหลือเกิน อบอุ่นกว่าอ้อมกอดไหน ๆ มันเป็นอ้อมกอดแห่งความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่อ้อมกอดแห่งความฉาบฉวย


   “บอกกูได้หรือยังว่ามันเป็นอะไร” เสียงของพี่ปั๊มแผ่วเบา


   “ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ” ผมไม่ต้องการให้พี่ปั๊มต้องมารับฟังเรื่องราวไร้สาระของผมอีกแล้ว แค่ความห่วงใยที่มอบให้มันก็มากเกินพอ


   พี่ปั๊มไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีกต่อไป ครู่หนึ่งอ้อมแขนที่กระชับแน่นถูกคลายออก มือทั้งสองข้างของพี่ปั๊มเปลี่ยนมาจับหัวไหล่ของผมเอาไว้แน่น สายตาของเราสองคนสบมองกัน สัมผัสได้ถึงความสงสัยหลายอย่างอยู่ในดวงตาคู่นั้น


   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ราวกับความฝัน ใบหน้าของพี่ปั๊มโน้มเข้ามาหาใบหน้าของผม จนเหลืออีกเพียงนิดเดียวจมูกของเราสองคนก็จะชนกันแล้ว ลมหายใจอุ่นร้อนที่ปะทะเข้าที่ใบหน้าส่งผลให้ผมรู้สึกหวั่นไหวแปลก ๆ …แต่ทำไมอยู่ ๆ ความอึดอัดใจก็ถามโถมเข้ามาเพราะคิดไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คุณชาย... ไม่ใช่... มันจะต้องไม่เป็นแบบนี้


   “เอ้อ... พี่ปั๊ม” ผมผลักร่างพี่ปั๊มออกไปด้วยแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่นั้นกลับขยับไปตามแรงของผมอย่างจำยอม “ไปทานข้าวกันดีกว่าครับ”


   “อืม...” พี่ปั๊มพยักหน้า “กูขอโทษนะข้าว”


   พูดจบก็ลุกจากเตียงแล้วเดินออกไปจากห้องทันที ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่ไม่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์หวั่นไหวที่เกิดขึ้น ทว่าพี่ปั๊มจะรู้สึกอย่างไรนะ ที่อยู่ ๆ ก็โดนผมผลักออกไปแบบนั้น เขาจะโกรธผมหรือเปล่า หรืออาจรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอผมจะลุกเดินตามออกไป เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้ผมชะงัก ผมหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อของบุคคลที่โทรกลับมาทำให้หัวใจของผมเต้นแรงอีกครั้ง ผมหวั่นไหวที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผมลืมเรื่องของพี่ปั๊มไปโดยปริยาย


   ...คุณชายเป๊กจอมซน...





จบตอน

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
สัันเหมื นเจ้าของกระทู้เลยอ่า

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8

ออฟไลน์ jamelovelove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-5
ค้างงงงงอ่า เอาคุณชายมาเอาคุณชายมาเลยยยยนะ
ฮึๆๆๆๆๆๆ :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
นึกว่าจะมีการตีฉิ่งฉาบเกิดขึ้น  :hao7:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 28



   การพยายามต่อต้านความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันทำได้ยากจัง ทั้ง ๆ ที่ผมควรจะมีความสุขกับการไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะถูกมองเป็นพวกวิปริตผิดเพศ แต่เพราะอะไรกัน... ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยคาดคิดเอาไว้มันถึงได้กลับตาลปัตรไปหมด


   ผมไม่มีความสุขเลยสักนิดกับการที่ไม่มีไอ้พี่เลี้ยงที่แสนดีอยู่ข้างกาย ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็ต้องพะว้าพะวังอยู่ตลอดเวลาเพราะมัวแต่นั่งคิดถึงมัน!


ข้าวจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขนาดผมเป็นคนผลักไสไล่ส่งยังรู้สึกทรมานใจเจียนตาย กินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ แล้วหมอนั่นที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ คงทรมานไม่ต่างจากผมหรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ


   แค่ช่วงเวลาไม่กี่วัน ผมก็ยอมพ่ายแพ้ให้กับความคิดที่จะไม่มีข้าว ผมเหมือนคนบ้าที่เอาแต่นั่งรอโทรศัพท์ หวังว่าข้าวจะโทรมาง้อบ้าง แต่จนรอดจนรอด ผ่านไปเป็นวัน ๆ ก็ไม่มีวี่แววใด ๆ แม้แต่ข้อความสักฉบับก็ไม่มีส่งมาให้หายคิดถึง


   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมทำเกินไป... หรือข้าวต้องการให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงแบบนี้อยู่แล้ว ถึงไม่สนใจผมเลยสักนิด ผมนึกโทษตัวเองแต่ก็อดที่จะนึกระแวงข้าวไปด้วยไม่ได้เหมือนกัน ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างแย่ มักหาเหตุผลมาเข้าข้างแล้วทำให้ตัวเองถูกได้เสมอ แต่ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะมองในมุมใด ก็ไม่มีทางที่ผมจะกลายเป็นคนที่ถูกต้องได้เลย


   ดังนั้นผมจึงยอมรับชะตากรรมที่ตัวเองก่อ ตัดสินใจยอมเป็นฝ่ายเดินหน้าแล้วขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น พอไม่มีข้าว โลกของผมที่เคยสดใสก็กลับว่างเปล่า มันเงียบเหงา มันหมองหม่น ...นี่สินะความผูกพัน


   ทว่าความตั้งใจของผมก็สูญเปล่า ผมโทรหาข้าว แต่ผู้ที่รับสายกลับเป็นใครก็ไม่รู้ น้ำเสียงไม่คุ้นเคยเลยสักนิด แล้วไหนจะคำพูดที่ทำให้หัวใจของผมแทบแตกสลายนั่นอีก


   ทันทีที่วางสาย ผมก็ทิ้งร่างลงกับเตียงนอนนุ่ม ๆ พยายามเงยหน้ามองเพดานเพราะไม่ต้องการให้ไอ้น้ำใส ๆ ที่แสดงถึงความอ่อนแอมันไหลลงมา


   ‘ข้าวไม่ได้รักคุณแล้ว’


   คำพูดของคนปริศนามันดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว น้ำเสียงของคนแปลกหน้ามันแสดงออกถึงความเย้ยหยัน ไม่เคยมีใครที่กล้าทำกับผมแบบนี้ แล้วหมอนั่นมันเป็นใครกัน พอนึกโกรธทีไร ความเสียใจกับใบหน้าของไอ้พี่เลี้ยงผิวแทนที่มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ก็แทรกเข้ามาทุกครั้งจนทำให้ความเสียใจเข้ามาแทนที่


   นี่สินะคือบทลงโทษกับสิ่งที่ผมได้กระทำลงไป ในตอนนี้ผมไม่มีคนที่แสนดีพร้อมที่จะยอมรับใช้และเชื่อฟังทุกอย่างอยู่ข้าง ๆ อีกต่อไป ...โถ่เอ๊ย เกิดมาเคยคิดว่าตัวเองโชคดี มีทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนค้นหา แต่แท้จริงแล้วสิ่งของรอบกายเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงความสุขจอมปลอม ฐานะและยศถาบันดาศักดิ์มันไม่มีความสำคัญเลยสักนิดเมื่อเทียบกับความรู้สึกดี ๆ ยามที่ได้อยู่ใกล้ ๆ ใครคนหนึ่ง... ซึ่งเป็นคนพิเศษที่สุดในชีวิต


   “ข้าว...” ผมพร่ำเพ้อชื่อนี้ออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในยามนี้มันเป็นสิ่งที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากหัวใจ ไม่ใช่สมอง “กลับมาหาฉัน... อีกครั้งจะได้ไหม”


   พูดซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไร พอตั้งสติได้ก็รู้สึกว่าน้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้ามันเหือดแห้งหายไปหมด ผมลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วส่องมองภาพของไอ้คนขี้แพ้ที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาบานใหญ่ สภาพของคนตรงหน้าที่สะท้อนออกมาในยามนี้มันดูไม่ได้เลยสักนิด ผมเผ้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาแดงก่ำ ขอบตาดำช้ำเพราะอดหลับอดนอน ไม่ว่าจะมองมุมใดไอ้คนในกระจกเงาตรงหน้าก็มีแต่ความน่าสมเพชสิ้นดี


   ข้าวเคยสอนผมมาตลอดว่าไม่มีใครไม่เคยทำผิด เพราะไอ้คนอย่างผมมันเอาแต่ใจ ทำผิดกับคุณแม่คุณพ่อมานับครั้งไม่ถ้วนจึงทำให้พี่เลี้ยงที่แสนดีของผมเอือมระอาไปด้วย แต่ข้าวก็ย้ำเสมอว่าพอทำผิดหนึ่งครั้ง เราจะสำนึกมันไหม และเรากล้าที่จะเผชิญหน้าแล้วกล่าวขอโทษตรง ๆ กับความผิดที่เราได้กระทำหรือไม่ หรือถ้าไม่กล้าที่จะกล่าวขอโทษ อย่างน้อยการขอโทษที่ดีที่สุดก็อย่าพยายามทำผิดครั้งที่สองอีกเด็ดขาด


   เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาส ถ้าข้าวกลับมาหา... ผมจะไม่มีวันทำผิดซ้ำซากกับเรื่องเดิม ๆ อีก ผมขอแค่โอกาสเพียงเท่านี้จริง ๆ จะมีทางเป็นไปได้ไหม ต่อให้การกลับมาของข้าวกลายเป็นผมเสียเองที่โดนโขกสับอย่างที่ผมเคยทำกับข้าวผมก็ยอม ผมยอมแล้ว ยอมทุกสิ่งทุกอย่าง อานุภาพของความรักมันยิ่งใหญ่ยิ่งนัก มันทำให้ความคิดและการกระทำของผมเปลี่ยนไปโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย ...ผมกลายเป็นคนอ่อนแอไปแล้วจริง ๆ สินะ


ทว่าอยู่ ๆ ในใจกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา คำพูดของไอ้คนแปลกเสียงที่บอกว่าข้าวไม่ได้รักผมแล้วมันตอกย้ำให้ผมสำเหนียกตัวเองว่าแท้จริงแล้วนั้น ผมมันก็แค่มนุษย์โลกธรรมดา ๆ เหมือนคนอื่น ๆ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้มีอำนาจวิเศษวิโสเหนือใคร ๆ สักนิด
   ผมเคยคิดมาเสมอว่าข้าวเปรียบเสมือนลูกไก่ตัวน้อย ๆ ที่อยู่ในกำมือ จะบีบเมื่อไหร่ก็ต้องตาย พอรู้สึกสงสารค่อยคลายมือออกเพื่อให้มันมีชีวิตรอดต่อไป แต่ในยามนี้ผมกับรู้สึกว่าบทบาทของเราสองคนกำลังสลับกัน ผมไม่ต่างจากลูกไก่ที่กำลังดิ้นพล่านในอุ้งมือของข้าว


   การกระทำและคำพูดของข้าวนับต่อจากนี้มันสามารถเป็นเครื่องสังหารอันเหี้ยมโหดได้เสมอ ลองให้ผมได้ยินคำว่า 'เกลียด' ออกมาจากปากของข้าวดูสิ มันคงเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตายทั้งเป็น เพราะขนาดผมลองนึกว่าจะได้ยินคำ ๆ นั้น ร่างกายของผมมันก็เร่าร้อนและพร้อมที่จะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว


   ...ไม่ ทุกอย่างมันจะต้องไม่เป็นแบบนั้น


   ‘ถ้าข้าวไม่กลับมา ฉันจะไปตามหาข้าวเอง’
   






   ภายในห้องนอนที่กว้างขวาง ในยามนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันแคบลงขนัด ไม่ว่าจะนั่งหรือนอนและมองไปทางไหนก็รู้สึกอึดอัดอยู่ไม่เป็นสุขสักนิด จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ปรากฏชื่อของบุคคลที่โทรเข้ามา ความรู้สึกอึดอัดก็พลันสลายหายไปแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นพิลึก กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะกดรับสายทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พยายามโทรไปหาตั้งหลาย


   ผมสูดลมหายใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่ 2 ครั้งเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนที่ผมจะตัดสินใจกดตอบรับ


   “คุณชาย  คุณชายครับ” เสียงของผมสั่นรัวไม่เป็นจังหวะ คำพูดก็วกไปวนมาเพราะความตื่นเต้นและประหม่า “คุณชาย นี่ข้าว ผมข้าวเองนะครับ ไม่ใช่คนอื่น นี่ผม... ผมเองครับ”


   “คุณข้าวครับ” เสียงที่ตอบกลับทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจ นั่นไม่ใช่เสียงของคุณชาย ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าน่าจะเป็นเสียงของช้าง


“คุณชายไปแล้วครับ”


   “ไป!!! ไปไหน ช้าง... คุณชายไปไหน” ผมกระวนกระวายใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างยิ่ง ไอ้คำว่า ‘ไป’ หากใช้กับคุณชายมันเป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผมเลยล่ะ เด็กหนุ่มคนนี้เลือดร้อนยิ่งกว่าอะไร ถ้าพูดว่าจะไปไหนแล้วไม่ได้ไปล่ะก็นะเรื่องยาวแน่


   “ผมก็ไม่รู้ครับ พอดีพ่อเห็นคุณชายสะพายกระเป๋าเดินทางแล้วนั่งแท็กซี่ออกไป พ่อเลยบอกให้ผมโทรถามคุณหญิงกับคุณพ่อของคุณชาย แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยครับ คุณหญิงเลยสั่งให้ผมขึ้นไปดูบนห้อง ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ของคุณชายดัง พอจะกดรับ สายก็ตัดไปก่อน ผมเลยกดดูข้อมูลการโทรครับ เห็นเบอร์คุณข้าวเลยลองโทรกลับดูครับ ตอนนี้คุณหญิงกังวลใจมาก ๆ เลยนะครับ เพราะตั้งแต่มีคุณข้าว คุณชายก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหลและหายตัวไปเงียบ ๆ แบบนี้อีกสักครั้งเลยนะครับ จะติดต่อก็ไม่ได้ด้วยเพราะไม่ยอมเอาโทรศัพท์ไป”


   “ช้าง... แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าคุณชายไปไหน” ไม่ใช่แค่คุณหญิงหรอกที่กังวลใจ ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน จะว่าไปตอนที่พบกับคุณชายครั้งแรกผมจำได้แม่นเลยล่ะว่าเด็กคนนี้มันแสบเอาเรื่องขนาดไหน อยากทำอะไรก็ทำ ปากเสียอีกต่างหาก ทว่าพอรู้จักกันนานวันเข้า นิสัยเหล่านั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกลายเป็นคุณชายที่จิตใจดีหากแต่ชอบพยายามทำตัวกร่างเกรียนเพื่อปกปิดความอ่อนโยนของตัวเอง


   “ถ้าคุณข้าวไม่รู้เหมือนกัน เราก็คงต้องรอล่ะครับ รอการติดต่อกลับมาของคุณชาย” ช้างตอบกลับมา ขณะนั้นมีเสียงโวยวายดังเล็ดรอดเข้ามาในโทรศัพท์ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องเพราะเสียงมันเบามาก “คุณข้าวครับ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับ คุณหญิงกลับมาแล้ว ยังไงถ้าคุณข้าวติดต่อคุณชายได้รบกวนโทรกลับมาด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”


   พูดจบก็วางสายในทันที ไม่รอให้ผมพูดอะไรเลยสักนิด


   พอการสนทนาระหว่างผมกับช้างจบลง ผมไม่รอช้ารีบออกจากห้องแล้วมุ่งตรงไปยังห้องครัวในทันที บางทีการที่คุณชายออกจากบ้านไปโดยที่ไม่บอกใครอาจจะเกี่ยวข้องกับบทสนทนาทางโทรศัพท์กับปอมก็เป็นได้


   เป้าหมายของผมยังคงสาละวนอยู่กับการทำข้าวผัดในห้องครัว แม้ว่าจะมีพี่ปั๊มกับโด้อยู่ด้วยแต่เพราะโทสะที่เดือดพล่านอยู่ในกายจนเลยขีดจำกัดมันเลยทำให้ผมมองข้ามทุกคนจนในสายตาของผมมีแต่ปอมคนเดียวเท่านั้น ...ไอ้ปอม ไอ้คนที่ทำให้คุณชายหายตัวไป ไอ้คนนิสัยไม่ดี!


   “ไอ้ปอม!” ผมยังมีสติและรู้ด้วยว่าน้ำเสียงของผมมันแสดงออกถึงอารมณ์รุนแรงแค่ไหน ขาขยับเร็วขึ้นเมื่อรู้สึกว่าร่างนั้นอยู่ในรัศมีที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้จนกระทั่งผมสามารสัมผัสกับร่างกายของมันและยกกำปั้นข้างขวาขึ้นมาเพื่อหวังจะต่อยเข้าไปที่มุมปากของมัน


   “พี่ข้าว!!!” มือข้างขวาของผมถูกรั้งเอาไว้ ปอมอาศัยจังหวะนี้ขยับร่างให้ห่างออกไป “พี่ข้าวเป็นอะไร ไม่เอานะครับพี่ ไม่ทะเลาะกันนะ โด้ขอล่ะ ไม่เอาไม่ดื้อนะพี่ข้าวสุดหล่อของโด้”


   เป็นโด้ที่ยืนอยู่ใกล้กว่าเข้ามาขวางผมเอาไว้ได้ทัน หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาพี่ปั๊มก็มาสมทบและล็อกร่างของผมเอาไว้แน่น
   “มึงเป็นอะไรไอ้ข้าว จะต่อยไอ้ปอมทำไมวะ” เสียงของพี่ปั๊มแสดงถึงความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามึง... ไอ้ปอม... มึงยั่วโมโหอะไรไอ้ข้าวมันถึงได้เหมือนหมาบ้าขนาดนี้”


   ปอมไม่ได้ตอบอะไรออกมา เขาจ้องผมเขม็ง สายตาที่มองมาแสดงออกถึงความสมเพชชัดเจน... น่าแปลกที่สายตาอันน่ารังเกียจคู่นั่นกลับเรียกให้สติของผมกลับมาทั้ง ๆ ที่น่าจะรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม


   ...คนที่น่าสมเพชไม่ใช่ผม แต่มันคือปอมต่างหาก ไอ้คนที่จงใจหาเรื่องคนอื่นแบบนี้น่ะ มันน่าขยะแขยงยิ่งกว่าศพช้างเน่า ๆ ที่ลอยขึ้นอืดอยู่ในแม่น้ำหลายวันเสียอีก


   ลมหายใจที่ถี่รัวค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ ดวงตาที่เหลือกถลนจนรู้สึกเกร็งกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง ความโกรธหายไปหมดสิ้น ไม่รู้จะต้องรู้สึกอย่างนั้นทำไม ในเมื่อไม่ว่าจะทำอะไรกับไอ้คนน่าสมเพชแบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น กลับกัน... ถ้าผมปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลแล้วล่ะก็จะกลายเป็นผมเสียอีกที่ดูแย่ลงไปถนัดตา


   “ไม่มีไรแล้วล่ะครับ” ผมแกะแขนที่โอบรัดร่างของพี่ปั๊มออก “ขอบคุณครับพี่ปั๊ม ขอบใจนะโด้”


   พูดจบก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องเล็กด้วยความเอ็นดู ทั้ง ๆ ที่ผมควบคุมสติไม่ได้ แต่โด้ก็มีความกล้ามากพอที่จะเข้ามาห้ามโดยที่ไม่กลัวจะโดนลูกหลงเลยสักนิด


   “ขอบใจไรพี่ เรื่องแค่นี้เอง” โด้ตอบปัด ๆ หลบสายตาไม่รู้ว่าเขินที่โดนชมหรืออย่างไร “มา ๆ มาทำกับข้าวกันต่อดีกว่า เอ้อพี่ปั๊มไอ้หอมใหญ่นี่มันต้องตัดยังไงนะครับ”


   “ไอ้โด้!!!” พี่ปั๊มทำเสียงดุ “กูบอกมึงหลายครั้งแล้วนะ มันต้องเรียกว่าซอย ไม่ใช่ตัด!”


   “เอ้าเหรอครับ โด้ก็ลืมไปเลย แหม่... ไอ้โด้นี่มันหัวไม่ดีจริงจริ๊ง” โด้แสรงตบกบาลตัวเองเบา ๆ


   “เออ... ไอ้โง่”


   “โง่ก็ดีนะ ถ้าโง่แบบนี้แล้วมีคนฉลาด ๆ แบบพี่มาคอยสั่งสอนเรื่อย ๆ โด้ยอมโง่จนตายเลยเอ้า” โด้ต่อปากต่อคำอย่างฉะฉาน
   “หน็อย!!! ฝันไปเถอะว่ากูจะทำแบบนั้น” พี่ปั๊มเถียงกลับ


   “เอ้า... แล้วนี่ไม่ใช่ความจริงหรอกเหรอครับ ก็พี่ปั๊มกำลังสอนผมอยู่นี่นา ไหนลองพิสูจน์ดูซิว่านี่ความจริงหรือความฝัน” พูดจบก็แกล้งทำท่าหยิกแก้มตัวเองออกมาอย่างน่าเอ็นดูก่อนจะร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดจนเกินจริง “โอ๊ยยย!! นี่ไม่ใช่ฝันนี่พี่ปั๊ม”


   “หืม!!! กูขี้คุยกับมึงละ ซอยหอมต่อไปเลย” พี่ปั๊มสั่งเสียงดัง พร้อมกับพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่ายออกมาเป็นระยะ ๆ คงจะเบื่อหน่ายโด้พอควร


   โด้พยักหน้ารับก่อนจะก้มหน้าก้มตาไปซอยหอมด้วยความตั้งใจต่อ ทว่าก็ไม่วายที่จะจงใจพูดเสียงเบา ๆ ให้พี่ปั๊มได้ยินเพื่อยั่วโมโห “ขนาดขี้เกียจก็ยังอุตส่าห์คุยตั้งนานนะ”


   “ถ้ามึงไม่หยุดพูดนะ มึงเจอตีนกูแน่” พอเจอคำขู่แบบนี้เข้าไป ไอ้โด้ก็เงียบสิ... แถมยังเงียบแบบไม่สนใจพี่ปั๊มด้วย ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุดพี่ปั๊มก็เป็นฝ่ายหงุดหงิดกับท่าทีที่จงใจกวนบาทาแบบนั้นของไอ้โด้เสียเอง เหมือนกับว่าต้องการให้ไอ้โด้มันตอบสนองกับคำพูดของตัวเอง แต่พอโด้ไม่โต้ตอบก็เลยขัดใจ


   ผมได้แต่หัวเราะร่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น มีแต่โด้คนเดียวเนี่ยแหละที่สามารถต่อปากต่อคำกับพี่ปั๊มอย่างไม่กลัวตาย หรือต่อให้ตายก็คงจะยอมแต่โดยดี... ไม่รู้ว่าทั้งคู่จงใจแกล้งทะเลาะกันเพื่อให้บรรยากาศที่ขมุกขมัวมันดีขึ้นหรือไม่ แต่ผมก็รู้สึกดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนในตอนนี้อารมณ์โทสะของผมได้สลายหายไปจนหมดสิ้น


   ผมเหล่หางตามองดูคู่อริของผม หมอนั่นมีสีหน้านิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ทั้งนั้นราวกับคนเก็บกดที่อยากจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมาแต่ก็ไม่กล้า จะหัวเราะขำขันก็ต้องข่มเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครรับรู้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร


   “ปั๊ม ตีไข่เสร็จแล้วใช่ไหม ส่งมาให้หน่อย แล้วก็หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักคะน้า ผักชีที่ซอยจนเสร็จด้วยนะ เดี๋ยวจะทำข้าวผัดปูต่อเลย” พูดจบก็เดินกลับไปยังหน้ากระทะแล้วราดน้ำมันลงในกระทะเพื่อเตรียมจะทำข้าวผัดปูทันที


   เหตุการณ์ในตอนนี้กลับมาเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนรู้ดีว่าในความปกติมันย่อมไม่ปกติ เพราะการกระทำของผมเมื่อครู่มันแสดงออกชัดเจนว่ามีอะไรบางอย่าง หากแต่ยังไม่มีใครเอ่ยถามอาจเพราะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สมควร


   ข้าวผัดปูถูกปรุงจนเสร็จภายในไม่กี่นาที จากนั้นการรับประทานอาหารมื้อแรกกับครอบครัวของพี่ปั๊มก็เริ่มขึ้น


   การรับประทานอาหารมื้อนี้ เป็นมื้อที่ผมสัมผัสได้ถึงความกดดันที่สุดตั้งแต่เกิดมา บนโต๊ะอาหารที่ควรจะมีการพูดคุยถามไถ่กันบ้างระหว่างพ่อแม่และลูกที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานแต่กลับมีเพียงความเงียบงัน ผู้เป็นพ่อไม่แม้แต่จะสบตามองหน้าพี่ปั๊มด้วยซ้ำไม่รู้ว่ามีเรื่องผิดใจอะไร แต่กลายเป็นปอมที่ดูจะสนิทกับพ่อมากกว่าเพราะเวลาต้องการจะทานอะไรที่เอื้อมตักไม่ถึง พ่อก็จะสั่งปอมให้ตักให้เพียงคนเดียว


   แม่ของพี่ปั๊มแสดงสีหน้าเหนื่อยใจอย่างเห็นได้ชัด เธอคงไม่ต้องการให้บรรยากาศมันอึมครึมแบบนี้แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
   ผมรีบรับประทานอาหารให้เสร็จแล้วรีบขอตัวออกจากห้องรับประทานอาหารทันทีโดยไม่สนใจว่านี่เป็นการเสียมารยาทหรือไม่ เพราะบางทีพวกเขาอาจจะอยากอยู่กันตามประสาครอบครัวมากกว่าถึงอย่างไรผมก็เป็นคนนอก


   โชคดีที่โด้รู้สึกเหมือนผม เพราะพอผมลุกขึ้น ร่างเล็ก ๆ ของโด้ก็ลุกขึ้นตามแถมยังก้มศีรษะขออนุญาตออกจากโต๊ะอาหารอย่างมีมารยาทเสียด้วย


   หลังจากที่ออกจากห้องรับประทานอาหาร ผมตั้งใจชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอให้โด้เดินตามมาให้ทัน


   “พี่ข้าว พี่จะไปไหน” โด้เอ่ยถามในทันทีที่มาถึง


   “พี่ก็ไม่รู้ว่ะโด้ อยู่ในนั้นแล้วมันอึดอัดแปลก ๆ เลยออกมาดีกว่า” ผมตอบออกไปตามตรงไม่เพียงแค่เรื่องทานอาหารหรอก อาการกระวนกระวายกับการหายตัวไปของคุณชายที่เกิดขึ้นในจิตใจมันไม่สามารถให้ผมนั่งอยู่นิ่ง ๆ ในสภาวะกดดันแบบนั้นได้หรอก


   “นั่นสิ โด้ก็คิดว่าโด้เป็นคนเดียวซะอีก ครอบครัวพี่ปั๊มดูประหลาด ๆ พิลึก ๆ ยังไงก็ไม่รู้” โด้พยักหน้าเห็นด้วย “โด้ยังไม่ง่วงเลยนอนมาทั้งวัน... ไปหาไรทำที่สวนหน้าบ้านกันดีกว่าเนอะพี่ข้าว”


   “ก็ดีเหมือนกัน”


   บางทีการได้นั่งชมวิวทิวทัศน์มองบรรยากาศยามค่ำคืนที่มีสายลมอ่อน ๆ หอบเอาความเย็นมาฝากร่างกายอาจจะทำให้ผมผ่อนคลายขึ้นบ้างก็ได้


   ‘ตอนนี้คุณชายอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรครับ อย่าทำให้ทุกคนเป็นห่วงแบบนี้สิ’











จบตอน >.<

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
งงกับคุณชายมากนะเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะว่าอย่างไรดีล่ะสำหรับตอนนี้

ออฟไลน์ nokkaling

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
สับสนนะ แต่ไม่สงสารคุณชายหรอก
 :m16:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
แล้วคุณชายจะมาถูกมั้ยเนี่ย
มือถือก็ไม่เอาไป แล้วจะถามทางใครรรรรรร
ที่สำคัญ แกเคยเดินทางคนเดียวเหรอคุณชาย

ออฟไลน์ jamelovelove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-5
สะใจ อิคุณชายยยยยยย อิบ้าาาาาาาา  :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
 รีบมาต่อนะค่ะ

ออฟไลน์ tomnub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ตอนนี้...รู้สึกว่า  งงๆ  ไงไม่รู้อะ....แต่จะติดตามข้าวกับคุณชายต่อไป

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอน 29



     

           …เสียงกระซิบจากคุณชาย...

            ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้ช่างมืดมิดยิ่งนัก ไม่มีจันทร์เจ้ารวมถึงดวงดาวน้อยใหญ่ปรากฏให้เห็นมีเพียงเมฆทะมึนก้อนใหญ่ที่บดบังความงดงามจากฟากฟ้า มันมืดมิด มืดมน มัวหมองจนน่ากลัว หรือเพราะหัวใจของผมกำลังหม่นหมองอะไรรอบข้างเลยดูหมองหม่นตามไปด้วยกันแน่นะ


            อีกไกลแค่ไหน... กว่าที่รถสองแถวจากอำเภอปายจะพาผมข้ามผ่านภูเขาน้อยใหญ่แล้วไปถึงยังตัวเมืองแม่ฮ่องสอนนะ... ความจริงผมจะรอนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนก็ได้ หากแต่ว่าเที่ยวบินรอบต่อไปต้องรออีกวัน ผมคงทนรอไม่ไหวเพราะอยากเห็นหน้าคนที่ผมทอดทิ้งไปจนใจจะขาด ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินมาลงที่เชียงใหม่แล้วต่อรถตู้ไปยังอำเภอปาย และเหมารถสองแถวจากอำเภอปายไปยังแม่ฮ่องสอนอีกที


ผมนั่งถอดถอนหายใจอยู่หลายครั้ง เผลอพลิกนาฬิกาข้อมืออยู่เป็นระยะ ๆ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลา 1 ทุ่มกว่าแล้ว


            ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะลงโทษผมไปถึงเมื่อไร อยู่ ๆ รถที่นั่งมานานก็ดับสนิท คนขับรถพยายามสตาร์ทใหม่หลายรอบแต่ก็ไม่เป็นผล


            “เฮ้ย... ไอ้น้อง... แย่แล้วว่ะ... รถแม่งเป็นไรไม่รู้สตาร์ทไม่ติด” ชายหนุ่มผิวเข้มรูปร่างซูบผอมซึ่งเป็นคนขับรถหมุนกระจกแล้วตะโกนบอกผมซึ่งนั่งอยู่ทางกระบะหลัง


            “แล้วต้องทำไง” ผมเอ่ยถาม เงินก็จ่ายไปแล้วตั้งหลายพัน กลางป่ากลางเขาแบบนี้คงหารถคันใหม่ลำบาก


            “รอได้ไหมไอ้น้อง เดี๋ยวพี่โทรเรียกช่างแป๊บ”


            “นานไหมพี่ หรือพอทางโทรเรียกรถคันใหม่ให้มารับผมได้ไหม ผมรีบจริง ๆ”


            “ไม่มีหรอก ป่านนี้เพื่อนพี่มันคงนอนกันหมดแล้ว หรือไม่ก็แดกเหล้าตั้งวงไพ่กัน ไม่มีใครสนใจมารับหรอก”


            “ผมให้พี่ห้าพันถ้าพี่หาคนมาแทนได้” นิสัยเดิมของผมกลับมาอีกครั้ง ไม่ได้ตั้งใจจะใช้เงินฟาดหัวใครหรอกนะ เพราะข้าวเคยบอกว่าไม่ชอบที่ผมทำแบบนี้ แต่ในครั้งนี้มันอดไม่ได้จริง ๆ เพราะเป้าหมายที่ผมกำลังตามหามันสำคัญเกินกว่าที่ผมจะมานั่งปล่อยให้เวลามันเสียเปล่า


            “แป๊บนึง” คนขับรถพยักหน้ารับ เขารีบกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาใครสักคนในทันที จงใจเดินเลี่ยงไปไกล ๆ เพราะไม่ต้องการให้ผมได้ยิน


            “ว่าไงพี่” ผมเอ่ยถามเมื่อชายหนุ่มร่างผอมเดินกลับมาอีกครั้ง


            “เพื่อนพี่กำลังมา รออีกซักหนึ่งชั่วโมงน่าจะถึง”


            “โอเคครับ” ผมพยักหน้าตกลง อย่างน้อยเสียเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วจ่ายเพิ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดีกว่าเสียเวลาซ่อมรถที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ


            “มานั่งข้างหน้าก่อนสิน้อง กลางป่ากลางเขายุงมันเยอะ”


            ผมพยักหน้าตอบตกลงทันที พลางนึกในใจทำไมบอกช้าจัง เพราะยุ่งมันมาแอบดูดเลือดผมไปตั้งเยอะแล้ว


            เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ความอ่อนเพลียทั้งทางร่างกายและจิตใจส่งผลให้ผมรู้สึกงัวเงียจะหลับมิหลับแหล่จึงไม่ได้สนใจที่จะยกนาฬิกาขึ้นมาดู รู้ตัวอีกทีฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างหนักและมีทีท่าว่าจะไม่หยุดง่าย ๆ เสียด้วย


            ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ของคนขับรถที่ผมเหมาจ้างมาก็ดังขึ้น เขากดรับทันที สีหน้าและท่าทีของเขาดูขัดใจเล็กน้อยไม่รู้ว่าเพราะอะไร ได้ยินเพียงเสียงตอบรับ ‘เออ ๆ’ และ ‘ช่างเหอะ’ พร้อมกับเสียงถอนหายใจอยู่หลายครั้งจนวางโทรศัพท์ไป


            “ไอ้น้องพี่ขอโทษ” เขาหันมาคุยกับผม “เพื่อนพี่มันมาไม่ได้แล้ว ทางที่มันขับมาฝนตกหนัก ลมพัดแรงจนต้นไม้หักโค่นกีดขวางถนน มันบอกขี้เกียจอ้อมมาอีกทางเพราะมันไกลเลยขอยกเลิกที่จะมารับ”


            ผมผิดหวังเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ฟัง รู้ในทันทีเลยว่าการเดินทางของผมในครั้งนี้ต้องช้ากว่าที่ควรจะเป็นแน่ ๆ “ถ้าอย่างงั้น เราก็ต้องรอช่างใช่ไหม”


            “ใช่... แต่ถ้าน้องรีบลองลงไปโบกรถแถวนี้ก็ได้นะบางทีอาจจะมีคนเข้าเมือง”


            “อ่อ... ได้ครับ” ได้ยินดังนั้นผมก็ตอบรับทันที และไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่ารีบก้าวขาลงจากรถโดยไม่สนว่าเม็ดฝนที่ตกลงมามันจะส่งผลให้ร่างของผมเปียกปอนแค่ไหน


            “ไอ้น้อง...” พี่ชายคนขับรถหมุนกระจกลงแล้วตะโกนเรียก ในมือของเขาถืออะไรบางอย่างพร้อมยื่นมันมาให้กับผม “ไฟฉาย เปิดส่องไว้ก็ดี เผื่อว่ารถที่ขับผ่านมาจะได้สังเกตเห็น”


            “ขอบคุณครับ” ผมยื่นมือไปรับไฟฉายนั้นมา ก่อนจะตัดสินใจไปยืนอยู่กลางถนนแล้วยกมือข้างที่ถือไฟฉายให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้


            ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ ผมยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะกลับไปนั่งในรถ กลัวว่าหากมีรถสักคันผ่านมาแล้วจะพลาดโอกาส แต่ทำไม... ถนนเส้นนี้มันถึงไม่มีรถขับผ่านมาสักคัน!


            ร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทางพอเดินน้ำฝนที่สาดเทลงมาอย่างบ้าคลั่งเริ่มส่งผลให้ผมรู้สึกอ่อนเพลีย ร่างที่เคยบางเบากลับหนักหน่วงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จะก้าวขาออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวนั้นยังทำได้ยากแสน


            ...ไม่ไหว ผมไม่ไหวแล้ว ผมยืนตากน้ำฝนนานเกินไป เหนื่อยเหลือเกิน ผมไม่เคยต้องมายืนตากฝนนานขนาดนี้ เพราะข้าว... เพราะมันคนเดียว ทำให้ผมต้องมาทำอะไรที่บ้าบอแบบนี้ ผมควรจะหยุดดีไหมนะ ร่างกายของผมมันทนอีกต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ


            ก่อนที่ผมจะหมดสติ แสงไฟจากรถที่กำลังขับมาด้วยความเชื่องช้าซึ่งสาดส่องมากระทบกับดวงตาของผม ส่งผลให้ผมฟื้นจากอาการที่คล้ายกับร่างจะสลายและกลับมามีแรงฮึดอีกครั้ง


            “ทางนี้ครับ ทางนี้... จอดด้วยครับ” ผมตะโกนเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงฟ้าฝน ไม่สนใจว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ พยายามยกมือข้างที่ถือไฟฉายส่องไปตัวรถบริเวณคนขับ


            ได้ผล... รถคันนั่นค่อย ๆ ชะลอความเร็วและหยุดอยู่ข้าง ๆ กับร่างของผม



            “พี่ครับ พี่เข้าเมืองไหมครับ รบกวนไปส่งผมหน่อยนะครับ” ผมเอ่ยขอด้วยความสุภาพ โชคดีที่โดนข้าวสั่งสอนให้พูดจาดี ๆ เวลาต้องการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ถ้าไม่มีข้าว... ผมคงกลายเป็นคนที่ไม่มีใครคบและอยากช่วยเหลือแน่นอน


            “ในเมืองเลยเหรอ ฝนก็ตกหนัก ไกลก็ไกลลูก ลุงขับไปไม่ไหวหรอก” เสียงของเขาแหบพร่า ผมเพิ่งสังเกตว่าคนขับรถกระบะคันนี้มีผิวกายที่เหี่ยวย่น เส้นผมเป็นสีขาวหงอกเต็มศีรษะ


            “นะครับลุง ถ้าลุงขับไม่ไหวผมขับเอง เดี๋ยวผมออกค่าน้ำมันให้ด้วย เดี๋ยวจ่ายค่าเสียเวลาให้ลุงด้วยนะครับ จะคิดเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย” ผมอ้อนวอนร้องขอต่อไป ถ้าลุงยังปฏิเสธผมก็จะทำทุกวิถีทางให้คุณลุงยอมให้ได้


            “ก็ได้ ๆ ถ้างั้นเติมน้ำมันให้ลุงเต็มถังก็พอ ส่วนค่าเสียเวลา... ช่างมันเถอะ ลุงมันก็แก่แล้ว ไม่รู้จะเอาเงินไปทำไร หาเช้ากินค่ำไม่ต้องแบมือขอเงินใครแค่นี้ลุงก็มีความสุขแล้วลูกเอ๊ย ขึ้นมา... ขึ้นมาเร็ว” คุณลุงเอ่ยขึ้นด้วยความเต็มใจ ผมสังเกตเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าตลอดเวลาที่พูด ช่างเป็นคนที่มีความสุขกับการใช้ชีวิตเสียจริง


            “ขอบคุณครับลุง รอแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปเอากระเป๋าก่อน...” พูดจบก็วิ่งกลับไปที่รถกระบะที่จอดเสียอยู่แล้วเปิดประตูรถเพื่อที่จะหยิบกระเป๋าสัมภาระ


            “ดีใจด้วยนะไอ้น้อง เจอรถสักที” พี่คนขับรถยิ้มให้


            “ขอบคุณครับพี่ ผมไปก่อนนะครับ” ผมเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าก่อนที่จะค้นกระเป๋าเงินแล้วมอบเงินจำนวนหนึ่งไป “ถือซะว่าเป็นน้ำใจนะพี่”


            “อือ... ขอบใจไอ้น้อง” ชายหนุ่มยื่นมือมารับ “เดินทางดี ๆ ล่ะ โชคดี”


            “โชคดีครับ”


            ผมเดินวกกลับไปที่รถของคุณลุงด้วยความรู้สึกที่ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ในหัวใจ อีกนิดเดียว... อีกนิดเดียวเท่านั้นผมก็จะได้เจอข้าวแล้ว ที่อยู่ของพี่ปั๊มที่ผู้จัดการปั๊มน้ำมันให้มาผมยังเก็บเอาไว้อย่างดี ไม่จำเป็นต้องเปิดอ่านซ้ำซาก เพราะบ้านเลขที่ ซอย ถนน ตำบลผมจำได้หมดตั้งแต่วินาทีแรกที่อ่านแล้ว


            ‘รอก่อนนะข้าว ฉันยังเชื่อใจนายนะ เชื่อว่านายไม่ได้หมดรักฉันอย่างที่ไอ้เจ้าของเสียงแปลกประหลาดนั่นพูด’

 





            ท้องฟ้าคืนนี้ช่างมืดมิด แสงของดวงดาวและความพร่างพราวของพระจันทร์นั้นถูกบดบังด้วยเมฆหมอกอึมครึม ไม่รู้ว่า... เขา... จะกำลังนั่งมองท้องฟ้าที่มืดมนเหมือนผมไหม หรือว่าท้องฟ้าที่คุณชายกำลังมองมันสวยงามมีแสงดาวระยิบระยับอวดกันเปล่งรัศมี มันน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะตั้งแต่ที่ไม่มีผม ท้องฟ้าของคุณชายก็คงจะสวยงามและไม่มีวันไหนที่มืดมนแบบท้องฟ้าของผมในคืนนี้


            ‘คุณชายจะเป็นยังไงบ้างนะ คุณชายอยู่ที่ไหน รีบ ๆ กลับบ้านนะครับ เฮ้อ ดื้อจึง ไอ้เด็กดื้อ จะทำอะไร หายไปไหนไม่เคยห่วงความรู้สึกของคนอื่นเลย’ ผมนั่งพร่ำเพ้อแต่คำเดิม ๆ วนไปมาในใจอย่างไม่ยอมหยุด


            “พี่ข้าว... ไปนั่งตรงนั้นกันดีกว่าครับ” เสียงของโด้เรียกสติผมให้กลับคืนมา ไม่รู้สักนิดว่าเผลอแหงนหน้ามองท้องฟ้าไปนานแค่ไหน เราสองคนกลับออกมานั่งเล่นที่ม้านั่งนอกบ้านด้วยกันอีกครั้งหลังจากที่ได้กลับขึ้นไปทำธุระต่าง ๆ ในห้องนอน นั่งรอพี่ปั๊มอยู่หลายชั่วโมงแต่พี่ปั๊มก็ไม่กลับขึ้นห้องมาเสียที ด้วยความเบื่อหน่าย จึงตัดสินใจลงมานั่งรับอากาศบริสุทธิ์ที่นี่อีกครั้ง


            “อืม” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามโด้ไปยังม้านั่งที่ตั้งอยู่กลางสวน


            สายลมในตอนนี้มันเย็นวาบหวิวแปลก ๆ มีกลิ่นไอฝนลอยมากับสายลม พยายามจะไม่นึกถึงคุณชายแต่บรรยากาศแบบนี้มันอดไม่ได้จริง           


            “มีอะไรไม่สบายใจเล่าให้โด้ฟังได้นะพี่” เด็กหนุ่มร่างเล็กเอ่ยขึ้น แม้ภายนอกจะแสดงออกว่าเหมือนคนซื่อ(บื้อ) หากแต่ความเป็นจริงเด็กหนุ่มคนนี้มีดีกว่าที่เห็นยิ่งนัก


            “โด้คิดยังไงถึงอยากมาเที่ยวบ้านพี่ปั๊มอ่ะ” ผมไม่ได้ตอบคำถาม แถมยังยิงคำถามกลับ


            “เอาตรง ๆ เลยนะพี่ โด้ไม่อ้อมค้อมนะ” โด้ทำเสียงจริงจัง ไม่เพียงเท่านั้นสีหน้าและท่าทางก็จริงจังไปด้วย... นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นท่าทางของโด้เป็นแบบนี้ “โด้เป็นห่วงพี่ข้าวกับพี่ปั๊ม ไม่รู้หรอกว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพวกพี่แต่รู้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน พี่ข้าวดูเศร้า ๆ แปลก ๆ ส่วนพี่ปั๊มก็ดูเงียบกว่าที่เคย ไม่รู้สิพี่มันอธิบายไม่ถูกเท่าไหร่ รู้แค่ว่าอยากไปกับพวกพี่ ไม่อยากเห็นพวกพี่เครียด”


            สิ้นเสียงของโด้ รอยยิ้มของผมก็ผุดขึ้นทันที ผมเอื้อมมือไปลูบศีรษะของไอ้เด็กดีเบา ๆ เป็นการชื่นชม “มาแล้วก็เลยเครียดไปกับพวกพี่ด้วยเลยน่ะสิ”


            “โอย... ไม่หรอกพี่” โด้ลากเสียงยาวแล้วพูดอย่างขบขัน “คนอย่างโด้นะ ให้มีเรื่องเครียด ไม่เกินห้าวินาทีก็หายแล้ว”


            ผมนั่งอมยิ้มให้กับนิสัยที่น่าเอ็นดูของโด้ เด็กอะไรช่างมองโลกสดใสเสียจริง


            “เอ้อ... ว่าแต่พี่ข้าวเถอะครับ ไม่สบายใจเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ” ได้ยินคำถามนี้ย้ำอีกครั้งใจผมมันก็สั่นแปลก ๆ มันยากเหลือเกินกับการที่จะเล่าให้ใครฟังว่าตอนนี้เรากำลังเป็นอะไร รู้สึกอย่างไร อ่อนไหวแค่ไหน มันน่าอายออกที่ต้องเล่าความรู้สึกอ่อนแอของตัวเองให้ใครฟัง และโด้จะรับได้ไหม ถ้ารู้ว่าเรื่องกลุ้มใจของผมเป็นเรื่องของผู้ชาย... ที่มีความรักต่อผู้ชายด้วยกัน


            “เล่ามาเหอะพี่ ระบายให้โด้ฟังได้นะ โด้น้องพี่นะ ต่อให้พี่จะคิดอะไร เป็นอะไร รู้สึกยังไงกับใครโด้ก็ไม่รังเกียจพี่หรอก”       “โด้รู้?” ผมรีบเอ่ยแทรกทันทีที่ได้ยินโด้พูดแบบนั้น พูดเหมือนกับว่าผมเป็นอะไร รู้สึกอะไรกับใครหรือบางทีเขาอาจจะรู้เรื่องราวของผมทั้งหมดก็เป็นได้


            โด้ไม่ได้ตอบด้วยวาจาแต่เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ


            “เมื่อไหร่” ผมเอ่ยถาม นึกกังวลใจแปลก ๆ กลัวว่าน้องจะเปลี่ยนไป


            “ไม่แน่ใจหรอกครับ แต่ก็คิดว่าน่าจะใช่ ช่างมันเถอะนะพี่ข้าว มันไม่สำคัญหรอกว่าเราจะเป็นยังไงหรือชอบใคร สิ่งสำคัญก็คือพี่ข้าวเป็นพี่ที่แสนดีของโด้ แค่นี้มันก็เจ๋งเป้งสุด ๆ แล้วครับ” โด้ตอบอมยิ้มพลางแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าที่ไร้แสงดาวราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง นัยน์ตาแสดงออกชัดเจนถึงความเงียบเหงาแปลก ๆ “เกิดมาโด้ไม่เคยคิดเลยนะ... ว่าโด้จะมีคนที่ดีกับโด้ได้เท่ากับพี่ข้าว... และพี่ปั๊ม”



            คำพูดของโด้ทำให้ผมรู้สึกสงสัย อะไรที่เรียกว่าดี เพราะการกระทำหรือความสัมพันธ์ระหว่าผมกับโด้มันก็เหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้องธรรมดา ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรวิเศษวิโสเกินใคร


            “โด้นี่แย่เนอะ... ทั้ง ๆ ที่พี่ข้าวกำลังกลุ้มใจแท้ ๆ กับมาระบายเรื่องของตัวเองให้ฟัง” โด้พยายามฝืนยิ้ม แท้จริงแล้วเด็กคนนี้ก็ไม่ต่างกับปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป แม้ภายนอกจะดูสดใสร่าเริง แม้ปากจะบอกว่าเครียดไม่เกิน 5 วินาทีก็หาย แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเพียงหน้ากากชั้นดีที่ถูกสวมใส่เอาไว้เพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเองก็เท่านั้น


            “ไม่หรอกโด้ คนเรามันก็มีมุมที่อ่อนแอกันหมดทุกคนแหละ ต่อให้เป็นพระเอกหนังค่าตัวร้อยล้านมันก็ต้องมีเรื่องเครียด ๆ ให้คิดกันทั้งนั้นแหละ”


            “เนอะ... หรือต่อให้จนแบบพวกเราหาเช้ากินค่ำก็ใช่ว่าจะไม่มีช่วงเวลาที่มีความสุขสักหน่อย” โด้ยิ้มออกมา ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ สายตาของโด้ก็จับจ้องไปที่รั้วประตูเขม็งราวกับว่ากำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่


            ผมหันไปมองตาม แสงไฟสลัว ๆ ที่ส่องสว่างเผยให้เห็นร่างตะคุ่ม ๆ ของใครบางคนที่กำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่หน้ารั้ว และเหมือนว่าในเวลานั้น ร่างที่อยู่นอกรั้วจะหันมาเห็นผมกับโด้พอดีเพราะเขาทำท่าพยักใบหน้าเหมือนต้องการให้เราสองคนออกไปหา


            “มีธุระอะไรกับคนในบ้านหรือเปล่าครับคุณลุง” ผมเอ่ยถามทันทีที่เดินไปถึงหน้ารั้ว มองลอดช่องเหล็กรั้วบ้านในระยะใกล้ ๆ จึงรู้ว่าร่างตะคุ่ม ๆ ที่เห็นเป็นร่างของชายชราที่มีผมขาวหงอกเต็มศีรษะ


            “เอ้อ... ที่นี่ใช่บ้านของคุณข้าวรึเปล่า” คุณลุงเอ่ยถาม ท่าทางของคุณลุงดูกล้า ๆ กลัว ๆ อาจเพราะทำตัวไม่ถูกเมื่อได้พูดคุยกับคนที่ยืนอยู่ภายในเขตรั้วบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่า


            “ไม่ใช่ครับ” ผมเลิกคิ้วด้วยความฉงน นี่คือบ้านพี่ปั๊มหากแต่คุณลุงจะเอ่ยถามถึงผมไปเพื่ออะไร


            “อ้าวเหรอ... ขอโทษ ๆ งั้นลุงกลับละ” ลุงผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินหันหลังกลับไป ได้ยินเสียงบ่นแว่ว ๆ ให้หลังว่า “ก็ที่อยู่ที่พ่อหนุ่มยื่นมาให้มันไม่น่าจะผิดนี่นา แถมยังนอนละเมอเรียก ไอ้ข้าว ๆ ไม่ยอมหยุดปาก”



            “เดี๋ยวครับคุณลุง” ผมรีบเปิดประตูรั้วบ้านเล็กออกไปแล้ววิ่งไปดังหน้าคุณลุงเอาไว้ “เมื่อกี้คุณลุงบอกว่าไอ้หนุ่มที่ไหนยื่นที่อยู่มาให้ แล้วใครนอนละเมอเป็นชื่อไอ้ข้าวนะครับ”


            “ก็พ่อหนุ่มนั่นไง” คุณลุงพยักพเยิดใบหน้าเข้าไปในตัวรถ


            แสงไฟสลัว ๆ ที่ส่องผ่านกระจกรถบานใหญ่ เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับใหล ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อ คิ้วขมวดมุ่นแสดงความกังวลแม้ดวงตาจะหลับพริ้ม เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงปกหน้าผากเอาไว้ หน้าอกที่กระเพื่อมไหวตามลมหายใจดูอ่อนล้ากว่าที่ควรจะเป็น... ไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ ให้มากกว่านี้ ผมรีบเดินไปเปิดประตูรถอย่างถือวิสาสะ เพื่อที่จะเข้าไปพูดคุยกับร่างนั้นให้หายข้องใจ ว่าเพราะอะไรเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้


            “คุณชาย! คุณชาย!!” ผมเอ่ยเรียกร่างนั้น เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับผมจึงยื่นมือไปสัมผัสที่ใบหน้าของเขา


            “ขะ... ข้าว... ข้าวเหรอ” มีการตอบสนองจากร่างที่เกือบจะไร้สติ แม้เปลือกตาจะยังปิดสนิท


            “คะ... ครับ... ผมเอง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว หัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ “คุณชายตัวร้อนจี๋เลย ไปทำอะไรมาครับ...”


            “......”


            ไม่มีเสียงตอบกลับ ผมพยายามเรียกคุณชายอยู่อีกสักพักเมื่อเห็นว่าร่างของคุณชายแน่นิ่ง ผมจึงหันไปคุยกับคุณลุงเจ้าของรถทันที



            “คุณลุงครับ... รบกวนไปส่งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดด้วยครับ ผมเองแหละครับที่ชื่อข้าว แต่นี่ไม่ใช่บ้านของผมนะครับ” เมื่อคุณลุงพยักหน้า ผมจึงหันไปคุยกับโด้ “โด้... เดี๋ยวพี่พาคุณชายไปโรงพยาบาลนะ คุณชายตัวร้อนจี๋เลย เข้านอนกันไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ ฝากบอกพี่ปั๊มด้วย”



            “ครับพี่” โด้พยักหน้ารับ... จากนั้นคุณลุงก็เดินอ้อมมาที่ประตูฝั่งคนขับก่อนจะก้าวขาขึ้นรถแล้วขับออกไป


            ความกังวลใจส่งผลให้ผมลืมจนเผลอนั่งอยู่ที่เบาะหน้าทับร่างของคุณชายที่กำลังตัวร้อนจัด ในพื้นที่ที่ควรจะอึดอัดแต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ประหนึ่งอาจเป็นเพราะอ้อมแขนของคุณชายที่ไม่รู้ว่าได้ยกมาโอบกอดร่างของผมเอาไว้ก็เป็นได้ ผมพยายามพลิกตัวอยู่หลายครั้งเพราะกลัวว่าคุณลุงจะสังเกตเห็น หากแต่อ้อมแขนของคนป่วยนั้นกลับรัดแน่นเหมือนจงใจ แม้จะอ่อนเพลียแต่ความเจ้าเล่ห์ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิด


            “อย่าดิ้นได้ไหม... หนักนะ” คุณชายพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดอาจเพราะกลัวว่าคุณลุงจะได้ยิน โชคดีที่รถกระบะเก่า ๆ ของคุณลุงไม่มีแอร์เย็น ๆ เหมือนรถรุ่นใหม่ จึงต้องหมุนกระจกลงเพื่อถ่ายเทอากาศทำให้เสียงลมที่พัดเข้ามากลบเสียงของคุณชายมิด     


            “นึกว่าป่วยจนสลบไปแล้วนะครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราวกับกระซิบเช่นกัน


            “ดูถูกคุณชายคนเก่งของข้าวเกินไปไหม” คุณชายกระซิบกลับ คราวนี้เปลือกตาที่ปิดสนิทมานานค่อย ๆ เปิดออกแล้วหันมาสบมองกับดวงตาของผม มาถึงไม่ทันไรนิสัยปากเก่งอวดดีก็แผลงฤทธิ์เสียแล้ว “ตากฝนแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”


            ผมไม่ได้สนใจคำพูดของคุณชายเลยสักนิด เพราะสายตาของคุณชายที่มองมาในยามนี้กำลังทำให้หัวใจของผมสั่นไหว มันเป็นสายตาที่อ่อนโยนไร้ซึ่งความแข็งกระด้าง เป็นสายตาที่สามารถสะกดให้ใครก็ตามที่ได้สบมองต้องตกอยู่ในภวังค์ฝัน


            “นั่งอยู่นิ่ง ๆ นะ จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล”



            ผมพยักหน้ารับ จากนั้นคุณชายจึงปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง... ผมใช้โอกาสนี้พินิจมองใบหน้าที่ขาวละมุนหากแต่กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความคิดถึง ไม่คิดไม่ฝันว่าคุณชายจะกลับมา


ผมต้องขอขอบคุณอะไรก็ตามที่ดลใจให้คุณชายทำแบบนี้ ไม่โกรธคุณชายเลยสักนิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป อาจเป็นเพราะหัวใจของผมนั้นมีคุณชายเป็นเจ้าของ ต่อให้คุณชายจะทำร้ายจิตใจผมจนเจ็บเจียนตายมากกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่ามันก็ยังเป็นของคุณชาย ทั้งร่างกายและจิตใจของไอ้ข้าวคนนี้มันไม่มีวันที่จะเปลี่ยนไปแน่นอน


เมื่อมองดูใบหน้าของคุณชายจนพอใจ มันก็อดไม่ไหวที่จะอยากใกล้ชิดกับร่างนี้ให้มากกว่านี้ ผมเหลือบสายตาไปมองคุณลุงคนขับรถ เมื่อเห็นว่าคุณลุงไม่ได้สนใจผมเลยสักนิดเพราะต้องเพ่งสมาธิไปกับการขับรถ ผมจึงค่อย ๆ ทิ้งร่างของตัวเองไปกับร่างกายของคุณชายจนในตอนนี้ศีรษะของผมกำลังแนบกับแก้มนุ่ม ๆ ของคุณชาย


เหมือนคุณชายจะรับรู้ความปรารถนาของผม มือที่โอบรัดมาตั้งแต่ต้นออกแรงกระชับร่างของผมให้แน่นขึ้นราวกับกลัวว่าผมจะหายไปไหน ก่อนที่ในเวลาต่อมาคุณชายผู้เย่อหยิ่งที่พยายามปฏิเสธความรู้ของตัวเองมาตลอดจะเอียงใบหน้ามาทางผมเล็กน้อยจนริมฝีปากที่อิ่มเอิบนั้นสัมผัสเข้าที่แก้ม


ผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่ใบหน้าทันที ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้ของคุณชายถูกส่งผ่านมาทางริมฝีปากหรือเพราะความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในจิตใจกันแน่... แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม ผมจะต้องนั่งนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง ไม่กระดุกกระดิกไปไหน เพื่อที่จะได้รับสัมผัสที่อบอุ่นแบบนี้ไปตลอดทาง


‘ขอบคุณนะครับคุณชาย ขอบคุณที่กลับมา ขอบคุณที่ทำให้ไอ้ข้าวกลับมามีความสุขอีกครั้ง’


แม้จะมีความสงสัยมากมายกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าทุกอย่างที่คุณชายทำจะเพราะสาเหตุอะไร ผมก็พร้อมที่จะให้อภัยและกลับไปเป็นเหมือนเดิมเสมอ แล้วคุณชายล่ะ กลับมาหากันคราวนี้ยังมีความคิดที่จะทอดทิ้งผมไปอีกเหมือนเดิมหรือเปล่า ...ขอให้มันอย่าเป็นเช่นนั้นเลย


“ข้าวยังรักฉันเหมือนเดิมใช่ไหม” อยู่ ๆ คุณชายก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน


ผมพักหน้าลงเล็กน้อยเป็นคำตอบ... ผมเคยสงสัยกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไรและเกิดได้อย่างไร... พอผมอยู่ใกล้ ๆ แล้วได้ยินคำพูดออดอ้อนน่าเอ็นดูของคุณชายก็มีอันต้องใจอ่อนทุกครั้ง ยิ่งเมื่อร่างกายของเราสองคนสัมผัสกัน หัวใจที่เต้นถี่รัวเพราะความตื่นเต้นประหลาด ๆ มันเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่าผมนั้นคิดอย่างไรกับคุณชาย


‘ผมรักคุณชายนะครับ’


“ก็เหมือนกัน” คำสั้น ๆ ที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว แต่มันก็ดังมากพอที่จะทำให้ผมได้ยิน หากแต่แทนที่จะพูดอะไรให้มากกว่านั้น คุณชายกลับหลับตาพริ้มแล้วหันหน้าไปอีกทาง ใบหน้าที่แดงระเรื่ออยู่แล้วกลับแดงจัดมากกว่าเก่า อาจเพราะพิษไข้จะเร่งงานหนักผมจึงไม่คาดคั้นอะไรมากเพราะต้องการให้คุณชายพักผ่อนให้เต็มที่ ดีเหมือนกันที่เบือนหน้าหนีเพราะตอนนี้ผมก็รู้สึกร้อนวูบแปลก ๆ ไม่ต้องส่องกระจกก็พอจะเดาได้ว่าใบหน้าของผมนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อแค่ไหน


...แต่เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน บางทีที่คุณชายหน้าแดงจัดอาจไม่ใช่เพราะพิษไข้ แต่อาจจะกำลังรู้สึกเหมือนผมก็ได้ ใช่ไหมครับคุณชาย





จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2014 12:25:01 โดย gugzabb »

ออฟไลน์ boyslover

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0

ออฟไลน์ Brow_Ney

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
นึกว่าคุณชายจะไปหาไม่เจอซะแล้ว
ข้าวเจอคุณชายทีไรใจอ่อนให้ตลอด.. ดีแล้วล่ะจะได้รักกันซะที :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด