◑﹏◐ ดินต่างฟ้า ♂ รักของเด็กปั๊มกับคุณชาย [ตอน39-40 P.19] - 14/07/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◑﹏◐ ดินต่างฟ้า ♂ รักของเด็กปั๊มกับคุณชาย [ตอน39-40 P.19] - 14/07/60  (อ่าน 145441 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 35


ไม่รู้ว่าผมยืนคิดฟุ้งซ่านไปนานเท่าไร... แต่น่าจะนานพอควรเพราะอยู่ ๆ คุณชายก็เปิดประตูห้องออกมา ใบหน้าของคุณชายแสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์ เหมือนว่าคุณชายจะตกใจเล็กน้อยที่เห็นผม แต่เพียงครู่เดียวก็พยายามฝืนยิ้มแล้วตรงมาหาทันที



ในมือของคุณชายถือซองเอกสารซึ่งน่าจะเป็นซองเดียวกับที่คุณท่านถือเมื่อครู่นี้ ผมไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรแต่น่าจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณชายมีอาการแบบนี้



“ข้าว... ไปกับฉันเดี๋ยวนี้” คุณชายสั่งทันทีที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม



ผมพยักหน้ารับไม่กล้าถามอะไรไปมากกว่านี้เพราะในตอนนี้ผมไม่กล้าที่จะคิดหรือตัดสินใจอะไรได้ด้วยตนเองทั้งนั้น



ระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินลงบันไดอยู่นั้น เสียงของคุณท่านก็ดังขึ้น



“ชายเป๊ก! จะไปไหน!! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ จะไปกับมันอีกทำไม!!!” เกิดมาเพิ่งเคยเห็นหม่อมราชวงศ์กริชกรโมโหก็คราวนี้ แค่ได้ยินเสียงผมก็ขนลุกแล้ว



“พ่อไม่มีสิทธิ์มาห้าม” คุณชายโต้กลับโดยที่ขาก็ก้าวฉับ ๆ ต่อไป



“โถ่เว้ย... ยังไงแกก็ต้องหมั้นกับหญิงดาวเท่านั้น ฉันไม่ยอมให้แกต้องคบกับไอ้เด็กปั๊มนั่นแน่นอน”



นี่คือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่จะออกจากตัวบ้าน... ที่หม่อมราชวงศ์พูดแบบนั้น หมายความว่าท่านรับรู้เรื่องระหว่างผมกับคุณชายแล้วใช่ไหม มิน่าเล่าถึงมองผมด้วยสายตาที่มีแต่ความเกลียดชัง



แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้น่าจะมาถึงไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะรวดเร็วแบบนี้ ผมเพิ่งสร้างความทรงจำที่ดีที่สุดกับคุณชายมาไม่กี่วัน มาวันนี้... ผมต้องเจอกับความทรงจำที่แสนเลวร้ายอีกแล้วอย่างนั้นหรือ



“ข้าวไม่ต้องกลัวนะ... ไม่มีใครมาเปลี่ยนใจอะไรได้ทั้งนั้น”



ผมควรจะยินดีที่ได้ยินคุณชายพูดแบบนี้... คุณชายรักษาคำพูดที่ให้ไว้... คุณชายยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยไม่กลัวว่าหนทางข้างหน้ามันจะมีขวากหนามอีกมากมายขวางกั้น แต่ทำไมนะในใจผมกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด



…มันจะดีจริงหรือ ที่ผมจะมีความสุขโดยที่ครอบครัวของคุณชายมีแต่ความวุ่นวายไม่สงบสุขแบบนี้ ผมจะยอมเห็นแก่ตัวเพื่อที่จะได้รับความสุขเพียงคนเดียว โดยไม่สนใจว่าคุณชายอาจจะต้องแตกหักกับครอบครัว



ผมจะยืนยิ้มหน้าระรื่นแล้วเห็นชีวิตของคุณชายต้องพังพินาศได้จริง ๆ น่ะหรือ...



คำถามเหล่านี้ดังซ้ำ ๆ ในสมอง ผมไม่กล้าตัดสินใจอะไรทั้งนั้น จะเดินต่อไปก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคุณชายทะเลาะกับครอบครัว จะหันหลังกลับก็กลัวใจตัวเองจะทรมาน เป็นห่วงความรู้สึกของคุณชายด้วย



สติของผมกลับมาอีกครั้งหลังจากที่คุณชายฉุดแขนของผมให้ขึ้นไปนั่งบนแท็กซี่



คุณชายสั่งแท็กซี่ให้ไปที่บ้านเช่าของผม ระหว่างที่นั่งอยู่นั่งคุณชายได้ยื่นซองเอกสารมาให้ผม



“เปิดดูสิ”



ผมรับซองเอกสารนั้นมา ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในแต่มันน่าจะไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่



“มันจะดีเหรอครับ” ที่ถามออกไปเพราะเกรงว่ามันจะเป็นเอกสารลับระหว่างคุณชายกับคุณท่าน ซึ่งผมเป็นคนนอกอาจไม่ควรรู้



“เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะข้าว” คุณชายไม่ได้ตอบในสิ่งที่ผมถาม หากแต่สิ่งที่พูดออกมาเป็นคำตอบในสิ่งที่ผมสับสน เรื่องนี้เป็นปัญหาของครอบครัวคุณชายแท้ ๆ แต่คุณชายยังเลือกที่จะอยู่ข้างผม แบบนี้ถ้าผมยังคิดจะถอยหลังกลับไปผมก็เลวเกินไปแล้ว



ผมหยิบสิ่งที่อยู่ในซองเอกสารมาดู ปรากฏว่าในนั้นมีรูปถ่ายระหว่างผมกับคุณชายในหลาย ๆ อิริยาบถช่วงที่อยู่แม่ฮ่องสอน รูปถ่ายหลายใบหากมองดูผิวเผินไม่ต่างจากเพื่อนสนิทกันทั่วไป หากแต่หลายใบนั้นกลับชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรา



“ซองเอกสารนี้ถูกส่งมาจากแม่ฮ่องสอน น่าจะเป็นนักสืบที่พ่อจ้าง” เสียงของคุณชายแผ่วเบาและสั่นเล็กน้อย “แต่ข้าวไม่ต้องเป็นห่วงนะ”



คุณชายกำมือผมแน่น... แน่นจนผมรับรู้ความรู้สึกของคุณชายได้ว่าเขาไม่ต้องการจะเสียผมไปอย่างที่พูดออกมาจริง ๆ ทว่าในใจคุณชายเองคงกำลังสับสน อาจเพราะไม่อยากมีปัญหากับคนที่บ้านเช่นกัน



“รูปนี้ผมหล่อแฮะ” ผมอมยิ้มแล้วโชว์ให้คุณชายดู “เดี๋ยวหากรอบรูปมาใส่แล้วตั้งไว้หัวเตียงดีกว่า... เฮ้ย รูปนี้เป๊กก็น่ารัก ชอบ ๆ”



“ไหน ๆ รูปไหน” คุณชายทำน้ำเสียงสนใจ ไม่รู้ว่าแกล้งหรือจริงจังแต่มันก็ดีกว่าการที่เราสองคนต้องมานั่งเครียดไปตลอดทาง



“นี่ครับ” ผมยื่นไปให้ รูปใบนั้นมันเป็นรูปที่คุณชายกำลังอ้าปากจาม ตาหยี ใบหน้าเหยเก มือข้างที่จับกับมือของผมมาตลอดกำลังยกขึ้นมาปิดปาก



คุณชายฉีกริมฝีปากยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ทำหน้าเครียดมาตลอดทาง



“เออ... เอาไปใส่กรอกทุกรูปเลยไหม ต้องขอบใจคุณพ่อที่จ้างนักสืบไปถ่ายนะเนี่ย ทำให้เราได้มีรูปคู่กัน”



“นั่นสิครับ”



“เนอะ”



“คร้าบ”



ผมฝืนยิ้มทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้ เข้าใจดีว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง รู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นนายพรานร้ายที่หลอกล่อคุณชายที่เปรียบเสมือนนกซึ่งสามารถโบยบินได้อย่างอิสระอยู่บนฟากฟ้าให้ติดกับดักจนตกลงมาแล้วไม่สามารถที่จะโบยบินขึ้นไปหาท้องฟ้าที่สวยงามได้อีก



ทว่า... นกตัวนั้นกลับเลือกที่จะเชื่อใจแล้วบินไปเคียงข้างผม เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็จะอยู่เคียงข้างนกตัวนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน ผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณชายต้องร้องไห้อยู่ตามลำพังเด็ดขาด








 

ทันทีที่หม่อมหลวงการัณญภาสฌ์ สุริยะวิทูเดินออกจากบ้านไปพร้อม ๆ กับร่างของไอ้ข้าวพี่เลี้ยงซึ่งเป็นเด็กปั๊มที่มีความสัมพันธ์เกินเลยกว่าที่ควรจะเป็น หม่อมราวงศ์กริชกร สุริยะวิทูผู้เป็นพ่อของคุณชายเป๊กก็เลือดขึ้นหน้าจนหมดสติไป



“ตกลงนี่มันอะไรกันแม่วลี” หม่อมย่าเอ่ยถามขณะที่ลูกสะใภ้ของตนกำลังใช้ผ้าซับไปที่ใบหน้าของสามี



“วลีก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะคุณแม่” วลีลาวัลย์ตอบออกมา “แต่พอเห็นภาพที่คุณพี่นำมาก็พอจะเดาออกว่าชายเป๊กกับพ่อข้าวมีความสัมพันธ์เกินเลยกัน วลีไม่คิดเลยนะคะว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้”



“อุ๊ย! ตายจริง” หม่อมย่ายกมือขึ้นทาบอก เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ความสัมพันธ์เกินเลยที่เธอว่านี่มันคงไม่ใช่...”



“อย่าให้วลีพูดเลยค่ะ วลีทำใจไม่ได้ถ้าลูกเป๊กจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ”



“แล้วถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ล่ะ เธอจะทำยังไง” หม่อมย่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ



“วลีไม่ยอมแน่ ๆ ค่ะ” เธอขึ้นเสียงหนักแน่นหากในใจเธอกลับรู้สึกสั่นไหวอยู่ไม่น้อยเพราะกลัวจะใจอ่อนยอมตามลูกชาย



“ผมก็ไม่ยอมแน่ ๆ ครับคุณแม่ แค่ก ๆ” หม่อมราชวงศ์กริชกรเอ่ยขึ้นมาสมทบหลังจากที่สติกลับมา เขาหมดสติไปหลังจากที่ตะโกนร้องเรียกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก่อนจะออกจากบ้านเพราะความเครียด



“อุ๊ย... คุณพี่ ฟื้นแล้วเหรอคะ” วลีลาวัลย์รีบกุลีกุจอไปหาพร้อมกับยกแก้วน้ำให้สามีดื่ม



“ขอบใจ” หม่อมราชวงศ์กริชกรพูดเสียงห้วน “บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้ลูกยุ่งกับไอ้เด็กปั้มมันมากนัก เป็นไงล่ะสมใจเธอรึยัง”



สิ้นเสียงของหม่อมราชวงศ์กริชกร ผู้เป็นภรรยาก็ก้มหน้าด้วยความสำนึกผิดทันที “วลีขอโทษนะคะ วลีเห็นว่าชายเป๊กว่านอนสอนง่ายขึ้นตั้งแต่ได้ตาเด็กข้าวมาดูแล คุณพี่ก็เห็นไม่ใช่หรือคะ ตั้งแต่ได้ตาเด็กนั่นมา ชายเป๊กก็มีนิสัยในทางที่ดีขึ้นผิดกับเมื่อก่อน...”



“แล้วไง! นิสัยดีขึ้น แต่ต้องแลกกับการที่มีลูกเป็นพวกวิปริตฉันรับไม่ได้หรอกนะ” หม่อมราชวงศ์กริชกรกระแทกเสียง “หรือเธอรับได้”



“ไม่ค่ะ” น้ำเสียงของวลีลาวัลย์บางเบา เธอส่ายศีรษะเบา ๆ เป็นการเน้นย้ำคำตอบ “วลีรับไม่ได้ หญิงดาวเท่านั้นที่เหมาะสมกับลูกเป๊กที่สุด”



“ใช่! เราจะต้องจัดงานหมั้นให้ไวที่สุด” หม่อมราชวงศ์กริชกรพยักหน้า ทางเดียวที่เขาคิดออกในตอนนี้ก็คือรวบรัดจัดงานหมั้นให้ไวที่สุด แล้วประกาศลงหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับรวมทั้งสื่อทีวีทุกช่องให้เป็นข่าวดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ใครระแคะระคายสงสัยในความสัมพันธ์ของลูกชายกับไอ้เด็กปั๊มนั่น



“แล้วชายเป๊กจะยอมเหรอคะ” จริงอยู่ว่าวลีลาวัลย์เห็นด้วยทุกประการ แต่เธอก็รู้นิสัยของลูกชายดีว่าหัวรั้นและเอาแต่ใจมากแค่ไหน ใช่ว่าเรื่องแบบนี้มันจะบังคับฝืนใจกันได้ง่าย ๆ



“มันต้องยอมแน่ ๆ” หม่อมราชวงศ์กริชกรแสยะยิ้มออกมาก่อนจะหันหน้าไปหาผู้เป็นแม่ “แล้วคุณแม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ”



“เอาไว้ให้เจอตัวหลาน เดี๋ยวแม่จะคุยอีกที” หม่อมย่าทำสีหน้าครุ่นคิดจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เนื่องจากหญิงดาวเป็นเด็กสาวที่เธอเอ็นดูมาตั้งแต่ตัวยังเล็ก ๆ และเธอก็รักหลานคนนี้มากไม่ต่างจากหลานแท้ ๆ อย่างชายเป๊ก เธอจึงปรารถนาที่จะให้คนทั้งคู่แต่งงานกันและออกคำสั่งนี้มาตั้งแต่ที่ชายเป๊กยังเป็นเด็ก แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าหากหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอต้องหมั้นและแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก แล้วเขาจะมีความสุขได้อย่างนั้นหรือ



“ไม่ต้องกังวลนะครับคุณแม่ เราจะต้องมีทายาทสืบสกุลแน่นอน”

 








“อะไรนะ! คุณพ่อสั่งให้คนมาเปลี่ยนรหัสสแกนคีย์การ์ดงั้นเหรอ” คุณชายบ่นอย่างหัวเสียกับพนักงานต้อนรับที่โรงแรมของคุณท่านในบางแสน



“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ” พนักงานสาวก้มหน้าหลบสายตา แม้จะไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เธอก็เกรงกลัวเพราะรู้ดีว่าพิษสงของคุณชายเวลาที่โมโหมีอานุภาพรุนแรงมากแค่ไหน



“ไม่เป็นไรนะครับ” ผมกระตุกแขนคุณชายเบา ๆ ไม่อยากให้คุณชายอารมณ์เสียไปมากกว่านั้น



“อืม” คุณชายหันมาพยักหน้าให้ “ไปกันเถอะ”



พูดจบก็เดินนำลิ่วออกจากโรงแรมทันที



สาเหตุที่ทำให้เราสองคนมาโผล่ที่บางแสนก็เพราะหลังจากที่กลับไปที่บ้านเช่า ลุงธัญญ์ผู้จัดการปั๊มน้ำมันได้โทรมาแจ้งให้ผมพักงาน ได้ยินลุงธัญญ์หลุดชื่อของปอมออกมาเลยพอจะจับต้นชนปลายถูกว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ผมจึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก พอเรื่องเป็นแบบนั้นคุณชายเลยชวนผมมาพักผ่อนที่บางแสน แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเมื่อคุณพ่อของคุณชายดันสั่งให้คนมาเปลี่ยนรหัสคีย์การ์ดมิหนำซ้ำยังระงับบัตรเครดิตและเอทีเอ็มของคุณชายทุกใบอีกด้วย จนในตอนนี้คุณชายเหลือเงินติดตัวอยู่ไม่ถึงหมื่นเท่านั้น



ในความโชคร้ายยังมีเรื่องดี ๆ อยู่บ้าง แม้คุณชายจะโดนตัดไม่ให้ใช้เงิน แต่เพราะเงินของคุณชายจากการทำอาชีพพี่เลี้ยงนั่นแหละที่ทำให้ผมพอจะมีเงินเก็บเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินอยู่บ้าง



ผมเดินตามคุณชายไปจนกระทั่งถึงริมหาด ใบหน้าของคุณชายในยามนี้ไม่สู้ดีนัก



“ฉันไม่เหลืออะไรแล้วข้าว” น้ำเสียงของคุณชายเบาหวิว เขาหันมามองใบหน้าผมด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยก่อนที่จะทิ้งร่างลงนั่งบนหาดทราย นิ้วมือทั้งสองข้างก็เขี่ยทรายเล่นอย่างไม่ได้ตั้งใจราวกับสิ่งที่ทำลงไปนั้นเกิดจากความเหม่อลอย



“คุณชายพูดอะไรครับ” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วจับแขนของคุณชายเอาไว้แน่น คุณชายหันหน้ามาสบตามองผมด้วยความไม่เข้าใจ “คุณชายยังมีผมนะครับ”



รอยยิ้มของคุณชายผุดขึ้นทันทีที่ผมพูดจบ “ฉันรู้ว่าฉันยังมีข้าว แต่ฉันหมายถึงเงินน่ะไม่มีใช้แล้ว รถก็ไม่มี ที่พักก็ไม่มี ชวนข้าวมาแท้ ๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ขอโทษนะข้าว แล้วก็ไอ้คำว่าคุณชายพอเถอะนะ ไม่ต้องเรียกแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่และหม่อมย่าคงรับไม่ได้ สุดท้ายพวกท่านก็คง...”



น้ำเสียงของคุณชายสั่นไหวราวกับคนกำลังร้องไห้ “คง... ตัดสัมพันธ์กับฉัน”



พูดจบหยาดน้ำใสก็รินไหลลงมาจากดวงตาทันที ...ไม่ชอบเลยที่คุณชายเป็นแบบนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนเข้มแข็งและหัวรั้นอย่างคุณชายจะต้องร้องไห้ออกมา ปัญหาที่เจอหนักหนาสาหัสอยู่พอสมควร เมื่อสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวปรารถนา ความไม่เข้าใจกันจึงเกิดขึ้น มิหนำซ้ำคุณชายยังเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลอีกด้วย คุณท่านและคุณหญิงคงไม่ยอมง่าย ๆ



“ไม่หรอกครับ” ผมเอื้อมมือไปปาดน้ำตาของคนที่ไม่ชอบแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น “คุณชายเป็นสายเลือดของพวกท่าน ไม่มีวันที่พวกท่านจะตัดสัมพันธ์กับคุณชายได้ลงหรอกครับ”



“คุณพ่อเป็นคนทิฐิสูงมาก” น้ำเสียงของคุณชายยังคงสั่นไหว



“แล้วถ้าเป็นแบบนั้น จะทำยังไงต่อไปล่ะครับ” ที่ถามไม่ได้จะตอกย้ำในคำตอบของคุณชายหรอกนะ แค่อยากรับรู้ความคิดของคุณชายก็เท่านั้น



“ยังคิดไม่ออก”



“แล้วไม่คิดจะลองไปคุยกับท่านตรง ๆ แล้วอธิบายให้ท่านเข้าใจถึงเหตุผลบ้างเหรอครับ บางทีการพูดคุยอาจจะมีอะไรดี ๆ รออยู่มากกว่าการที่เราคิดไปเอง ตัดสินใจไปเองนะครับ”



“ฉันรู้น่าข้าว แต่คุณพ่อ... มันอธิบายลำบากอ่ะ คุณพ่อคงไม่ยอมแน่ ๆ” คุณชายถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ “ข้าวอยากให้ไปลองคุยกับคุณพ่อดูเหรอ”



“ครับ” ผมพยักหน้า



“ถ้าเป็นความต้องการของข้าว ฉันก็จะทำ” คุณชายตอบรับเสียงหนักแน่น “แต่ขอเวลาอีกสักพักนะ”



“ได้สิครับ” ผมยิ้มออกมา คุณชายของผมน่ารักเสมอ ต่อให้เป็นคนหัวรั้นแต่พอถึงยามที่สับสนและไม่เข้าใจตัวเองก็มันจะเชื่อฟังและทำตามที่ผมบอกทุกครั้ง แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมหลงรักไอ้เด็กตัวแสบคนนี้จนโงหัวไม่ขึ้นได้อย่างไรล่ะ



คุณชายทิ้งศีรษะมาที่ไหล่ของผม ไม่พูดไม่จาอะไรอีกสักคำ ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปทั้งอย่างนั้น บางทีความเงียบอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนที่กำลังสับสนในความคิด



ความเงียบไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่จะทำร้ายตัวเราเอง... และผมก็เชื่อว่าคุณชายจะไม่ปล่อยให้ความคิดทำร้ายตัวเองแน่นอน เราจะต้องผ่านอุปสรรคนี้ไปด้วยกัน



ในระหว่างนี้เราสองคนจำเป็นต้องขาดเรียนไปโดยปริยาย ผมน่ะไม่ลำบากเท่าไรหรอกแค่ทำคะแนนสอบให้ได้เยอะ ๆ ก็จบอยู่แล้ว แต่มหาวิทยาลัยที่คุณชายเรียนอยู่นี่สิไม่รู้ว่าต้องทำงานอะไรส่งบ้างหรือเปล่าแต่คุณชายก็ยืนยันว่าจะยังไม่กลับไปที่กรุงเทพฯ จนกว่าอะไร ๆ จะดีขึ้น



'ผมจะอยู่ตรงนี้ อยู่เคียงข้างและสู้ไปพร้อม ๆ กับคุณชายนะครับ'


จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-09-2014 16:39:16 โดย gugzabb »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เป็นกำลังใจให้น้าาาาา
สู้ ๆ นะข้าวกับคุณชาย
 :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
 :beat: ตัวเองไม่เคยเลี้ยงลูกจนดีได้ขนาดนี้แท้ๆ ทำไมทำตัวยังงี้ ลูกไม่ใช่สิ่งของนะ จะมาจัดว่าเหมาะไม่เหมาะ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
สู้ต่อไปคุณชาย  คุณแม่กับคุณย่าดูท่าแล้วน่าจะพอคุยกันได้ ปัญหาอยู่ที่คุณพ่อจริงๆ

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
อุปสรรคของความเข้าใจ ..

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 36

หากวันเวลาแห่งความสุขผ่านไปไว แล้วเหตุใดคืนวันแห่งความผิดหวังมันถึงได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าแบบนี้ด้วยนะ...


ตั้งแต่ที่ผมเช็คอินโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก คุณชายก็ไม่ยอมพูดจาอะไรสักคำ หลังจากที่เขาห้องก็เอาแต่นอนอยู่บนเตียงนอน ยังดีที่คุณชายไม่แกะอ้อมกอดของผมที่ได้โอบกอดคุณชายเอาไว้ตลอดเวลาออกเช่นกัน


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เสียงโทรศัพท์ของผมที่ดังขึ้นได้ทำให้ผมต้องผละจากร่างคุณชายแล้วไปหยิบโทรศัพท์มาดู


หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏเบอร์ของพี่ปั๊ม ผมหันไปมองหน้าคุณชายแว๊บหนึ่ง เมื่อคุณชายไม่ได้สนใจอะไรผมจึงเดินออกไปคุยที่ดาดฟ้าระเบียงห้อง ซึ่งในยามนี้พระอาทิตย์ได้ตกดินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


“ครับพี่ปั๊ม” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่กดรับสาย


“มึงอยู่ไหน กูรู้เรื่องแล้วนะ พรุ่งนี้มึงกลับมาทำงานได้แล้วนะ ไอ้ปอมแม่งเชี่ยว่ะ ขู่ลุงธัญญ์ว่าจะไล่ออกถ้าไม่ยอมพักงานมึง ลุงธัญญ์ก็เลยต้องทำตามแต่ตอนนี้กูเคลียร์ให้ละ”


“คือพี่ปั๊ม ผม...” เสียงของผมเบาลงซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ชายคนนี้แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น


“คืออะไร พูดดัง ๆ หน่อยสิวะ”


             ผมหันไปมองคุณชายอีกครั้ง พอเห็นสภาพของคุณชายในตอนนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจจะไปทำงานแล้วปล่อยให้คุณชายอยู่ตามลำพังได้หรอก


“ผมขอโทษนะครับ คือผม... ผมขอลาออก” ไม่อยากจะพูดคำ ๆ นี้สักนิด การเป็นเด็กปั๊มที่คอยเติมน้ำมันให้กับคนอื่น ๆ มันไม่ใช่งานที่หนักหนาสาหัสสำหรับผมสักนิด แม้จะมีหลายคนที่มองผมอย่างเหยียดหยามแต่มันจะไปสำคัญอะไรในเมื่อสิ่งที่ผมทำมันคืออาชีพที่สุจริต ถ้ามีโอกาสผมยังอยากเป็นเด็กปั๊มไปจนตายเลย แต่ทว่า... ผมปล่อยคุณชายเอาไว้คนเดียวไม่ได้จริง ๆ


“มึงพูดอะไรของมึง กูเคลียร์ให้แล้วนะ อย่างอนได้ป่ะ” น้ำเสียงของพี่ปั๊มแสดงถึงความสับสน


“ผมไม่ได้งอนนะพี่ ที่ผมตัดสินใจแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับลุงธัญญ์หรือปอมเลย แต่ว่า...”


“แต่อะไร” พี่ปั๊มกระแทกเสียงใส่อย่างร้อนรน “แต่อะไรวะ ช่วงนี้มึงแปลกไปนะข้าว มีไรก็พูดมาให้หมดถึงยังไงมึงก็น้องกู”


“ครับ” ผมรับคำ ก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นระเบียงห้อง “คุณชายมีปัญหากับที่บ้านครับ คุณพ่อของคุณชายรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว คุณท่านโกรธมากและเหมือนจะบังคับคุณชายให้หมั้นกับคุณหญิงดาวแต่คุณชายไม่ยอมเลยหนีออกจากบ้านมากับผม แล้วตอนนี้บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิตของคุณชายใช้ไม่ได้สักใบเลยครับ ผมเป็นห่วงคุณชายครับพี่ ผมทิ้งคุณชายไว้คนเดียวไม่ได้จริง ๆ”


“อืม...” พี่ปั๊มตอบรับเสียงเบา... เบาลงจนผมยังนึกสงสัยว่าเพราะอะไร เพราะปกติพี่ปั๊มไม่ใช่คนเสียงเบาแบบนี้ “กูเข้าใจแล้ว มึงก็ดูแลคุณชายดี ๆ ละกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกกูได้ทุกเรื่องนะเว้ย กูยินดีช่วย ยังไงมึงก็น้องกู เข้าใจป่ะข้าว”


“เข้าใจครับพี่ ขอบคุณนะครับ” ผมตอบรับไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากจะขัดใจพี่ปั๊ม แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเจอกับอุปสรรคหรือปัญหาที่หนักหนาสาหัสแค่ไหน ผมคงไม่กล้าที่จะขอร้องให้พี่ปั๊มมาช่วยหรอก ที่ผ่านมาพี่ปั๊มก็ช่วยผมมาตั้งเยอะ ไม่รู้ว่าต้องตอบแทนเท่าไรถึงจะหมด


            “มึงสัญญากับกูได้ป่ะ”


“สัญญาอะไรครับ”


“ถ้ามึงไม่ไหว... ให้นึกถึงกู แล้วกลับมาหากูได้ทุกเมื่อ กูจะรอนะมึง เออ แค่นี้ล่ะ กูต้องรีบไปทำงานแล้ว” พูดจบก็ตัดสายทันที ผมไม่ได้อุปทานไปเองใช่ไหม รู้สึกว่าน้ำเสียงในประโยคหลัง ๆ ของพี่ปั๊มมันสั่นเครือแปลก ๆ


‘ขอบคุณนะครับพี่ปั๊ม’









ทางด้านของพี่ปั๊ม...
ทันทีที่วางสายโทรศัพท์ เขาก็ก้มหน้าก้มตาแล้วยกหลังมือขึ้นมาปาดใบหน้าบริเวณดวงตา


“พี่ข้าวว่าไงบ้างครับ แล้วพี่... โอเคนะ” เป็นเสียงของโด้ที่เอ่ยถาม


“ไว้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง ตอนนี้กูขออยู่คนเดียวก่อนได้ป่ะ” ปั๊มเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่หันไปสบตากับคนที่คุยด้วย


“ได้ครับ” โด้รับคำอย่างสุภาพ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องของผู้จัดการไป


แม้จะไม่เคยอกหัก แต่โด้ก็เข้าใจดีว่าอาการที่เกิดขึ้นกับพี่ปั๊มในยามนี้มันคืออะไร ใช่ว่าเขาจะโง่จนสังเกตอะไรไม่ออก ตั้งแต่วันที่ข้าวหายไปกับคุณชาย โด้ก็โดนปั๊มบ่นจนหูแฉะทุกวัน ท่าทีที่ร้อนลนจนผิดปกตินั้นกอปรกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมานานระหว่างปั๊มกับข้าวทำให้โด้มั่นใจว่า ...พี่ปั๊มหลงรักพี่ข้าวเข้าเต็มเปา


หากแต่ปั๊มเป็นคนปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริงง่าย ๆ ต่อให้เอาอะไรมาง้างปากก็คงจะไม่ยอมรับออกมาแน่ ๆ ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงเป็นห่วงเขาข้างเดียวอยู่ห่าง ๆ แบบนี้


“โด้...” เสียงที่ดังขึ้นทำให้โด้ชะงักกึกหลังจากที่เดินออกมาจากห้อง


“อ้าว... พี่ปอมสวัสดีครับ” เหตุผลที่ปอมมาปรากฏตัวที่กรุงเทพฯ ก็เพราะตั๋วรถที่ปั๊มจองไว้ให้ข้าวนั้นมันว่าง ปอมก็เลยใช้โอกาสนี้ออดอ้อนคุณพ่อกับคุณแม่ของเขาเพื่อที่จะได้มาเที่ยวในเมืองหลวง


“ปั๊มอยู่ไหน”


“ในห้องผู้จัด...” ไม่รอให้โด้พูดจบ ปอมก็เดินจ้ำอ้าวเปิดประตูเข้าไปในห้องทันที โด้ทำได้เพียงมองตามแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกับภาวนาว่าอย่าให้เกิดเรื่องอะไรที่ร้ายแรงระหว่างพี่น้องคู่นี้


“ปั๊ม” เสียงของปอมทำให้ปั๊มสะดุ้ง เขารีบยกมือขึ้นมาปาดหยาดน้ำที่กำลังเอ่อล้นจนท่วมใบหน้า


“อะไรวะ” ปั๊มพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ “มึงหาโรงแรมหรู ๆ ได้แล้วเหรอวะ”


“อืม... แล้วนี่เป็นไร ไมเสียงสั่นอ่ะครับพี่” ปอมเดินเข้าไปใกล้ ๆ “ร้องไห้เหรอ”


“ร้องไรล่ะไอ้น้องเวร เออ... มึงมาก็ดีแล้ว กูยังไมได้คิดบัญชีเรื่องมึงที่ทำกับไอ้ข้าวเลยนะโว๊ย” พอน้ำตาเหือดแห้ง ปั๊มก็หันหน้ามาสบตากับน้องชายทันที พยายามทำตัวให้ไม่มีพิรุธ


“ปอมก็จะมาคุยเรื่องนี้เหมือนกัน” สิ้นเสียงของปอมปั๊มก็พยักหน้าเห็นด้วย “พี่ปั๊มชอบข้าวใช่ป่ะ”


คำถามที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของน้องชายทำให้ผู้เป็นพี่ถึงกับสะดุ้ง


“ชอบเชิบอะไรวะ ไหนว่าจะมาคุยเรื่องที่มึงสั่งให้พักงานไอ้ข้าววะ”


“ปอมรู้น่าพี่ว่าพี่ชอบข้าว... สายตาที่พี่มองข้าวมันไม่ใช่สายตาที่คนปกติจะมองกัน... ถ้าพี่อยากสมหวัง ก็มาร่วมมือกับผมดีกว่า” ปอมเอ่ยออกมาอย่างรู้ดี


“หึ...” ปั๊มพ่นลมหายใจก่อนที่จะเอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ “ร่วมมือกับมึงเพื่อที่มึงจะได้ใช้โอกาสนี้เข้าหาคุณชายอ่ะนะไอ้ปอม กูรู้นะว่ามึงชอบคุณชายมานาน แต่มึงก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำแบบนี้กับใคร ตลอดเวลาที่อยู่แม่ฮ่องสอนกูรู้มาตลอดแหละว่ามึงทำอะไรบ้าง ทั้งเรื่องที่มึงกดรับโทรศัพท์ของไอ้ข้าว ทั้งเรื่องที่มึงคอยยั่วโมโหไอ้ข้าว แต่เพราะมึงเป็นน้องกู กูเลยไม่อยากจะพูดอะไรออกไป”


“พะ... พี่รู้” เสียงของปอมกระตุกเล็กน้อย เรื่องยั่วโมโหน่ะถึงจะรู้ก็ไม่แปลกใจอะไรแต่เรื่องรับโทรศัพท์ของข้าวแล้วปั่นหัวคุณชายเล่นนี่สิ รู้ได้อย่างไรแถมเรื่องแบบนี้มองมุมไหนเขาก็กลายเป็นตัวร้ายชัด ๆ


“เออ... กูรู้ แล้วมึงก็อย่าคิดจะทำอะไรแบบนี้อีกเป็นอันขาด อย่าริอาจคิดว่าถึงไม่มีไอ้ข้าวอยู่บนโลกใบนี้แล้วคุณชายจะหันมาชอบมึง เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้หรอกจำไว้” ปั๊มพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ที่กูพูดเพราะกูหวังดีกับมึง ยังไงมึงก็น้องกู”


พูดจบก็เดินออกจากห้องทันที ปล่อยให้คนที่โดนต่อว่าอยู่ฝ่ายเดียวยืนตัวเกร็งอยู่ในห้อง ปอมรู้สึกชาไปทั่วร่าง วาจาของพี่ชายทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก เหมือนโดนตบหน้าเข้าอย่างจัง แต่มีหรือที่คำพูดเพียงแค่นั้นจะทำให้คนที่รักคุณชายมาตั้งหลายปีอย่างเขายอมแพ้


ความจริงแล้วครอบครัวของปอมรู้จักกับครอบครัวของคุณชายมาแต่ไหนแต่ไร คุณพ่อของปอมทำธุรกิจปั๊มน้ำมันจนประสบความสำเร็จทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุเพียง 20 ต้น ๆ เท่านั้น กิจการที่รุ่งเรืองขึ้นทำให้รู้จักคนกว้างขวางและหนึ่งในนั้นก็คือหม่อมราชวงศ์กริชกร สุริยะวิทู


หม่อมราชวงศ์กริชกร สุริยะวิทู ร่วมหุ้นทำปั๊มน้ำมันกับ ‘สรวิทย์’ หรือ ‘วิทย์’ พ่อของปั๊มกับปอม ทำให้หลายต่อหลายครั้งที่มีหม่อมราชวงศ์จัดงานเลี้ยง ครอบครัวของปอมจะได้รับการ์ดเชิญ แน่นอนว่าเพื่อนที่แสนดีอย่างสรวิทย์ไม่เคยปฏิเสธงานเลี้ยงสักครั้ง และทุกครั้ง... เด็กชายตัวเล็ก ๆ ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องจะขอตามติดมาด้วยทุกครั้ง


ปอมพบเจอกับหม่อมหลวงการัณญภาสฌ์ สุริยะวิทูหรือคุณชายเป๊กครั้งแรกเมื่อตอนที่เขาอายุได้เพียง 13 ขวบ ส่วนคุณชายเพิ่งอายุได้เพียง 10 ขวบเท่านั้น ตอนนั้นเป็นงานเลี้ยงฉลองที่ปีนั้นปั๊มน้ำทำกำไรได้เกินเป้าหมาย ...ในครานั้นปอมคิดว่าคุณชายเป็นเด็กที่น่ารักน่าชังและยังไม่ได้คิดอะไรเกินเลยนอกเหนือจากความคิดที่ว่าเด็กนั่นน่าสนใจก็เท่านั้น


จนกระทั่งเวลาผ่านไป คุณชายโตเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา ตอนนั้นคุณชายอายุ 16 ขวบ ส่วนปอมอายุ 19 ขวบเท่านั้น วันนั้นมันงานวันเกิดของคุณหญิงวลีลาวัลย์ ซึ่งคุณสรวิทย์และลูกชายคนเล็กได้เดินทางมาร่วมงานนี้ด้วย และทันทีที่ปอมได้พบกับคุณชายที่หน้าตาหล่อเหลา ความชื่นชอบรูปลักษณ์ภายนอกนั้นได้ทำให้เขาต้องการที่จะได้ผู้ชายคนนั้นมาครอบครอง หากแต่เขาไม่รู้ว่าคุณชายจะมีรสนิยมแบบนั้นหรือไม่ และตั้งแต่วันนั้นมา ปอมก็พยายามสืบเสาะจนกระทั่งรู้ว่าคุณชายมีพี่เลี้ยงคนสนิทหนึ่งคน และดูท่าว่าพี่เลี้ยงคนนั้นจะไม่ใช่พี่เลี้ยงธรรมดาเสียด้วย จิตใจของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพลางนึกริษยาที่คน ๆ นั้นได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณชาย แต่ปอมก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรไปมากกว่านั้น ทำได้แค่ตามสืบอยู่ห่าง ๆ


แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง วันที่โชคชะตาเข้าข้างปอม เพราะไอ้พี่เลี้ยงคนนั้นดันเป็นคนสนิทของปั๊มซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเขา วันที่ปั๊มได้พาข้าวไปแม่ฮ่องสอน และทำให้ปอมได้รู้จักกับข้าว และเพียงได้สนทนากันวันแรก ความริษยาที่อัดแน่นอยู่ในใจก็ได้ปะทุออกมาจนกลายเป็นความเกลียดชัง และถ้ามีอะไรที่จะทำให้ข้าวกับคุณชายแตกแยกกันได้ ปอมก็จะทำทุกวิถีทางและขัดขวางผู้ชายทุกคนที่เข้ามายุ่งกับคุณชายแม้ว่าคุณชายจะไม่ชอบเขาก็ตาม


ขอแค่ไม่ให้ใครได้ใกล้ชิดคุณชาย ขอแค่คุณชายเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาและสะอาดบริสุทธิ์อยู่ในจินตนาการของปอมคนเดียวก็เพียงพอ


‘แกไม่มีวันสมหวังแน่ไอ้ข้าว!’


.....................................

เนื้อหาด้านล่าง สำหรับคนที่มาอ่านใหม่ ข้ามไปตอนต่อไปเลยนะครับ มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่อง
ส่วนคนเก่าที่อ่านแล้วให้ตัดตรงนี้ออกเลยนะครับ เนื้อเรื่องเปลี่ยนใหม่


อัพเดทแจ้ง 16/10/59

โค๊ด: [เลือก]

[u]

กลับมาที่บางแสน...
“วันที่เวียนเปลี่ยน วันที่เลยผ่าน รักคงมั่น เราไม่เคยห่าง เคียงคู่ชิดใกล้ทุกเวลา ยอมทิ้งความฝัน ยอมทุก ๆ อย่างให้กันและกัน เพียงได้เคียงข้างเพียงได้ร่วมทาง โอ้...รักนิรันดร์...” ผมฮัมเพลงเบา ๆ ตามนักร้องของร้านเหล้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามชายหาด แต่มันคงดังสำหรับคุณชายเพราะผมยื่นปากไปใกล้ ๆ กับใบหู


“อะไรข้าว” คุณชายหยุดรินเหล้าลงแก้วแล้วหันมาเอ่ยถาม เราสองคนเข้ามาในร้านนี้ประมาณ 20 นาทีแล้วแต่เพิ่งมีเพลงนี้แหละที่ผมชอบและร้องตามได้


“ฟังเพลงนี้สิครับความหมายดีนะ” ผมส่งยิ้มให้ คุณชายอาการดีขึ้นหลังจากที่ได้ออกมาจากห้องพัก เริ่มพูด เริ่มยิ้มกับผมบ้างแล้ว


“เพลงอะไรอ่ะ ไม่เห็นรู้จักเลย เกิดไม่ทัน” คุณชายเอ่ยขึ้นขณะเลื่อนมือไปหยิบขวดโซดาแล้วยกขึ้นมาเทลงไปในแก้วเหล้า


“โห... เพลงออกจะดัง ไปอยู่ที่ไหนมาครับเนี่ย” ผมเอ่ยแซว


“ก็คนมันไม่รู้จักนี่นา”


“งั้นฟังนะครับ เดี๋ยวร้องให้ฟัง” ผมยิ้มให้คุณชายอีกครั้งก่อนจะรีบร้องตามท่อนต่อไป “เรียนรู้รักอย่างรู้คุณค่า ฝันไม่ไกล บินไปตามทางหาดวงตะวันที่เธอต้องการ ไม่มีฉุดรั้ง ไม่มีดึงดัน เราเข้าใจ รักยังแสนหวาน รักยังไม่เปลี่ยน เคียงคู่กัน... ก่อนเคยคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด เติบโตจึงได้รู้ความจริง…”


“เสียงดีนะเนี่ย” เสียงที่ขัดขึ้นของคุณชายทำให้ผมหยุดร้อง


“แน่นอนครับ ความหมายดีด้วยนะครับเพลงนี้” ผมย้ำไปที่ความหมายของเพลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคุณชายจะเข้าใจมันบ้างไหม


“เหรอ ๆ ไหน ๆ ขอฟังต่อซิ” คุณชายเอ่ยด้วยความสนใจ


“ได้สิครับ แต่ผมไม่ร้องแล้วนะ”


“ไม่เอาอ่ะ ร้อง ๆ ข้าวต้องร้อง” คุณชายงอแงเป็นเด็ก ๆ


“เอาแต่ใจเหมือนเดิมเลยนะครับ” ผมแกล้งดุ


“โอเค ไม่ร้องก็ได้” คุณชายแกล้งทำเสียงงอนกลับ เจอไม้นี้เข้าไปผมก็ใจอ่อนสิครับ


ผมเขยิบเก้าอี้เข้าไปใกล้ ๆ คุณชาย แล้วใช้แขนข้างหนึ่งโอบหลังพร้อมกับออกแรงให้ร่างนั้นเขยิบเข้ามาจนแนบชิด


คุณชายหันหน้ามาสบตามองผม ดวงตากลมโตคู่นั้นกำลังฉายชัดถึงความอ่อนไหวเพียงครู่เดียวเท่านั้นคุณชายก็หลบตาแล้วทิ้งศีรษะลงมาที่หัวไหล่


“หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง หากเดินแนบกาย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เราได้ถึงดั่งฝัน ร่วมกัน…” ผมฮัมเพลงเบา ๆ จนจบตามนักร้องที่อยู่บนเวที


“ไม่เห็นจะความหมายดีตรงไหนเลย” คุณชายเอ่ยขึ้นมา ศีรษะยังคงซบอยู่ที่ไหลของผม “ที่ข้าวบอกว่าความหมายดี เพราะอยากห่างกัน อยากแบ่งที่ว่างใช่มะ”


“เฮ้ย!!! ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเราเลยนะครับ” ผมรีบปฏิเสธด้วยความร้อนใจ กลัวคุณชายจะเข้าใจผิดแล้วคิดน้อยใจจนตัดสินใจทำอะไรแผลง ๆ “คือที่ผมบอกว่าความหมายดีน่ะเพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คนรักกันชอบทำตัวติดกัน สามารถยอมและทิ้งทุกอย่างได้เพื่อคนที่รักโดยไม่คิดถึงอนาคตว่ามันจะเป็นยังไงต่างหากล่ะครับ คือถ้าต้องห่างกัน แต่ห่างเพื่อความสุข ความสำเร็จของอีกฝ่ายแล้วค่อยมาพบกันทีหลังมันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ ดีกว่าอยู่ใกล้กันแต่ไม่เหลืออะไรเลยสุดท้ายก็เลิกลา”


“อืม...ดีกว่าใกล้กันแต่ไม่เหลืออะไรเลยสุดท้ายก็เลิกลา” คุณชายทวนคำเสียงหนักแน่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่พอใจในสิ่งที่ผมพูด


“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ไม่ได้หมายถึงเรา โถ่คุณชายอย่าคิดมากสิครับ” ผมอ่อนใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก กลัวว่ายิ่งพูดแล้วจะทำให้ยิ่งเข้าใจผิดไปใหญ่


“เราควรห่างกัน ฉันควรกลับไปที่บ้านใช่มะ” คุณชายจ้องผมเขม็งด้วยแววตาใคร่รู้


“ใช่ครับ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย สังเกตเห็นคุณชายหน้าเสียเล็กน้อยจึงรีบพูดต่อ “หมายถึงคุณชายควรกลับไปคุยกับคุณท่านและคุณหญิงให้เข้าใจนะครับ แต่เราจะไม่ห่างกัน เอาไว้เมื่อไหร่ที่คุณชายพร้อม ผมจะไปด้วยนะครับ”


“จริงนะ” หลังจากที่ทำหน้าเครียดมานานคุณชายก็ยิ้มได้อีกครั้ง “ข้าวไม่คิดจะห่างฉันจริง ๆ นะ”


“สัญญาครับ ด้วยเกรียติของลูกผู้ชาย” ผมชูนิ้วสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์ของคำมั่นสัญญา


“เอ้าดื่ม…” คุณชายยิ้มออกมาแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นมาจับกรอกปากผม เล่นแบบนี้ผมก็แย่สิ ต้องฝืนกลืนน้ำที่รสชาติย่ำแย่ลงไปในคอจนได้


“ไม่เอาแล้วนะครับ” โชคดีที่คุณชายจับแก้วเหล้ากรอกปากผมแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เลยไม่ต้องทนดื่มมันจนหมดแก้ว


“ได้ แต่คืนนี้ถ้าฉันไม่เมาไม่กลับนะ”


“ตามสบายเลยครับ ยอดชายนายข้าวคนนี้จะดูแลคุณชายเป๊กเอง” พูดจบฝ่ามืออรหันต์ของคุณชายก็ประทานมาที่กบาลผมด้วยความฉับไวและรุนแรงจนใบหน้าของผมเกือบจะทิ่มไปถูกโต๊ะ


“ได้ครั้งเดียวอย่ามาย่ามใจนะโว้ย ยอดชงยอดชายอะไร ไม่ชอบว่ะห้ามพูดแบบนี้อีก” คุณชายทำเสียงดุก่อนที่จะมากระซิบที่ข้างหูของผมเบา ๆ “จะทำไรก็ทำไป แต่ไม่ชอบให้พูดแบบนี้เข้าใจป่ะ อย่าพูดอีกนะว่าเป็นยอดชาย หรืออะไรที่ทำตัวราวกับว่าอยู่เหนือกว่า”


“อายเหรอครับ” ผมเอ่ยถามตรง ๆ ส่วนคุณชายเบือนหน้าหนี


“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ”


“ได้ครับ ไม่พูดแล้ว ๆ” ผมยอมอ่อนข้อให้คุณชาย “แต่ขอถามอะไรอย่างได้ไหมครับ”


“ว่ามา” น้ำเสียงยังคงดุเหมือนเดิม


ผมยื่นหน้าไปใกล้ ๆ กับใบหูแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด แต่ก็ดังพอที่จะทำให้คุณชายได้ยินทุกประโยค “แล้วเป๊กชอบแบบไหนมากกว่ากันครับ เอ่อ... หมายถึงชอบเป็นเมะหรือเป็นเคะ”


ไอ้ศัพท์แปลก ๆ พวกนี้ผมเรียนรู้มาจากคุณชายทั้งนั้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคุณชายไปเอามันมาจากไหน แต่ผมจำได้ว่า ‘เมะ’ หมายถึง ‘เพศรุก’ ส่วน ‘เคะ’ หมายถึง ‘เพศรับ’ อะไรทำนองนี้


“เมะมันรู้สึกดีนะ สนุกและมีความสุขดี ส่วนเคะก็... เพิ่งเคยเหมือนกัน เห็นข้าวชอบและมีความสุขฉันก็สนุกไปด้วย” เวลาคุยแล้วหลบสายตามันไม่ใช่นิสัยของคุณชายเลยสักนิด คุณชายไม่เคยกลัวใครและไม่เคยเขินกับเรื่องใด ๆ จนต้องหลบสายตาคู่สนทนา พอเห็นคุณชายเป็นแบบนี้ก็อดเอ็นดูไม่ได้จริง ๆ


“ชอบเป็นเคะก็บอกตรง ๆ ก็ได้ครับ ไม่เห็นต้องอายเลย” ยิ่งเห็นอาย ๆ แบบนี้ก็เลยยิ่งอยากหาเรื่องแหย่ และผลที่ได้รับก็คือคำขู่ที่แสนจะน่ากลัว


“พูดมากน่า เดี๋ยวคืนนี้โดนจัดหนักแน่”


“ครับ... จะรอจัดหนัก ๆ ให้เป๊กนะครับ”


“โว้ว... เกลียดข้าวแล้วว่ะ ตั้งแต่กลับจากแม่ฮ่องสอนปากดีขึ้นเยอะเลยนะ” พูดจบก็กระดกเหล้าในแก้วจนหมด



จบตอน[/u]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2016 00:33:40 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ปอมร้ายอ่ะ  :z6: ซักหลายๆ ทีได้ไหม

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
 :jul1: ว๊ายยยยยยยยยยยยยย คุณชายเปลี่ยนใจเป็นเคะเต็มตัวแล้ว

ถ้าอิปอมรู้คงดีใจเข้าไปใหญ่ ข้าวต้องจัดการไม่ให้มันมายุ่งกับคุณชายนะ
ส่วนคนชายเดินเข้าไปบอกที่บ้านเลยว่า "ผมมีผัวแล้วครับ" ฮ่าฮ่าฮ่า  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Brow_Ney

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ทำไปทำมา คุณชายจะเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็นรับ ถาวรแล้วมั้ง555
อุปสรรคเยอะจัง เรื่องครอบครัวยังไม่เคลียร์ แล้วยังจะมีเรื่องปอมเข้ามาอีก เฮ้ออออ

ออฟไลน์ IöLIKE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-6

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
เมื่อไหร่คนเขียนจะกลับมาต่ออ่าาาาาา  :hao5:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :undecided:  หายไปนานจัง เมื่อไหร่จะมาต่อน้าาาา

ออฟไลน์ real port

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอน 37


        หลายครั้งที่ความผิดหวังเป็นแรงผลักดันทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ... ผมอาจพูดได้ไม่เต็มปากว่าชีวิตของผมกับคุณชายประสบความสำเร็จ เพราะหลังจากที่ซมซานหาที่พักราคาถูกๆ เราทั้งคู่ก็ต้องออกทำงานเลี้ยงชีพ หาค่ำกินเช้ามันค่อนข้างที่จะลำบากสำหรับคุณชาย แต่เขาก็ไม่เคยท้อและพร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน


   เราสองคนพักอาศัยอยู่บ้านไม้เก่าๆ อยู่ในซอยแคบๆ ซึ่งไม่ไกลจากตัวชายหาดมากนัก โชคดีที่เจ้าของบ้านคือคนรู้จักของยามบอลจึงทำให้การเจรจาตกลงเป็นไปอย่างง่ายดาย


   ผมกับคุณชายตัดสินใจขายลูกชิ้นปิ้ง เงินในบัญชีของผมมีมากพอที่จะเป็นทุนสำหรับกิจการเล็กๆ แบบนี้ เหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี แต่แล้วคืนหนึ่งผมกับคุณชายก็มีอันต้องแยกจากกันอีกครั้ง


   “เลือกได้เลยนะครับ” เสียงของคุณชายดังขึ้นเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นร่างของลูกค้ามาหยุดอยู่หน้าร้าน ขณะที่กำลังจดจ่อกับการปิ้งลูกชิ้น ส่วนผมกำลังก้มหน้าหั่นแตงกวาและกะหล่ำ


   เมื่อลูกค้าไม่ตอบกลับแถมยังไม่ยอมสั่ง คุณชายจึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมอง ...และเสียงสั่นเครือของคุณชายได้ส่งผลให้ผมเผลอปล่อยมีดจนหลุดมือ


   “พะ...พ่อ”


   ผมเงยหน้าขึ้นไปมองตาม ใบหน้าของหม่อมราชวงษ์กริชกรแน่นิ่งจนผมรู้สึกหวาดกลัว สายตาของท่านจ้องคุณชายตาเขม็งก่อนที่จะเปลี่ยนมาจับจ้องที่ผมอย่างดูแคลน


   “น่าสมเพช” คุณท่านเน้นเสียงหนักขณะมองหน้าผมก่อนที่จะหันกลับไปมองคุณชาย “เป็นถึงคุณชายแต่กลับไม่รักดีมาทำตัวต่ำๆ ติดดินแบบนี้ เสียประวัติครอบครัวหมด  แล้วไหนจะเรื่องเรียนอีก อาจารย์ของแกตามหาตัวแกให้วุ่นระวังจะเรียนไม่จบเอา”


   “หึ...” คุณชายแสยะยิ้ม ใบหน้ากระตุกราวกลับกำลังพยายามระงับโทสะที่เกิดขึ้น “ตกลงมีธุระอะไรกันแน่ คงไม่ได้มาเพื่อแค่จะด่าผมหรอกมั้งครับ”


   “ก็ฉลาดดีนี่...” คุณท่านตอบออกมาพร้อม “ตอนนี้ย่าของแกกำลังป่วยหนักเพราะแกทิ้งพวกเรามาอยู่กับไอ้เด็กเหลือขอนี่... เพราะฉะนั้นแกจะต้องกลับวังกับฉันเดี๋ยวนี้”


   หลังจากที่คุณท่านพูดจบ คุณชายก็เอื้อมมาจับกับมือของผมแล้วบีบมันแน่น... ผมรับรู้ได้ทันทีว่าคุณชายกำลังลังเลใจเพราะเป็นห่วงคุณย่าแต่จะทิ้งผมก็ไม่ได้


   ผมอยากจะแสดงบทพระเอกที่แสนดีแล้วบอกให้คุณชายกลับไปเหลือเกินแต่ผมก็ต้องอดทนเอาไว้ ในเมื่อเราสองคนสัญญากันเอาไว้แล้วว่าจะไม่ทิ้งกัน ผมก็จะไม่มีวันพูดจาทำร้ายคุณชายอีกแน่นอน แม้สิ่งที่ผมเลือกมันจะเห็นแก่ตัวก็เถอะ


   “ตกลง... ผมจะกลับ” ทว่าคำตอบของคุณชายกลับทำให้ผมหัวใจแทบแตกสลาย มือของผมค่อยๆ คลายออกจากมือของคุณชายราวกับคนไร้เรี่ยวแรง


   คุณชายเลือกที่จะทิ้งผมและกลับไปอยู่กับครอบครัว ซึ่งการตัดสินใจนี้มันไม่ใช่เรื่องผิดเลยสักนิด แต่ทำไมผมถึงอดที่จะเสียใจไม่ได้นะ


   “ดีมาก... หึๆๆ ฮ่าๆๆ” คุณท่านยิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆ หัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ


   “แต่ข้าวจะต้องกลับไปด้วย” เสียงหัวเราะของคุณท่านเงียบลงทันทีเมื่อได้ยินคำนี้


   “ได้” คุณท่านพยักหน้าตอบตกลงอย่างง่ายดาย หากแต่น้ำเสียงนั่นออกจะไม่ค่อยเต็มใจเลยสักนิด “ครั้งนี้ฉันจะยอมแก เพื่อคุณย่าของแกหรอกนะ”


   “ขอบคุณครับ” น้ำเสียงของคุณชายแสดงออกถึงความไม่เต็มใจเลยสักนิด “ถ้าอย่างนั้นขอกลับไปเก็บของก่อนนะครับ”


   “ไปขึ้นรถ เดี๋ยวฉันพาไป”


   “ครับ”


   หลังจากที่เก็บของเสร็จ พวกเราก็ออกเดินทางทันที ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าการปรากฏตัวของคุณท่านจะต้องมีอะไรมากกว่าแค่คุณย่าป่วยแน่ๆ เหมือนกับว่าคุณท่านกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง และไม่แน่ว่าแผนนั้นอาจจะเป็นการแยกผมกับคุณชายออกจากกันก็เป็นได้


   ผมนั่งตัวเกร็งตลอดทาง ไม่ใช่เพราะกลัวคุณท่านหรือคนรับใช้ของคุณท่านในรถแต่เพราะกลัวการคาดคิดไปล่วงหน้ากับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น


   “เป็นอะไร” คุณชายกระซิบถามข้างหู “นั่งตัวเกร็งเชียว”


   “เปล่าครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว ผมรู้ว่าคุณชายอยากจะพูดอะไรมากกว่านั้นแต่เพราะในรถมันเงียบจนเกินไป หากพูดอะไรมากเกินไปมีหวังคนในรถคนอื่นๆ จะได้ยินด้วยแน่ๆ


   “ไม่ต้องห่วงนะ” คุณชายพูดแค่นั้นก่อนจะเอื้อมมือมาจับกับมือของผม


   “ครับ”


   คุณชายนั่งจับมือผมตลอดทางจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าสู่เขตวังสุริยะวิทูเราสองคนจึงผละมือออกจากกัน


   “คุณย่าอยู่บนห้องพักของท่าน แกรีบขึ้นไปเยี่ยมเลย ถ้าย่าเจอแกคงจะอาการดีขึ้น” คุณท่านเดินมาพูดกับคุณชายหลังจากที่ลงจากรถ


   “แล้วข้าวล่ะ” คุณชายเอ่ยถาม


   “ฉันจะให้มันนั่งรออยู่ในห้องรับแขก” คำตอบของคุณท่านทำให้ผมรู้สึกวูบวาบแปลกๆ ผมไม่ได้กลัวการอยู่คนเดียวแต่ผมไม่อยากนั่งอยู่คนเดียวในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่าในขณะที่กำลังได้รับความรู้สึกเกียจชังจากเจ้าของบ้านแบบนี้


   คุณชายหันมามองผมด้วยสายตาครุ่นคิด... ผมจ้องกลับพยายามสื่อสารทางสายตาให้คุณชายเข้าใจว่าอย่าทิ้งผมไว้คนเดียวนะ แต่ทว่า...


   “ตกลงครับ”


   ผมอยากจะร้องไห้เหลือเกิน คุณชายกำลังคิดอะไรกันแน่ ปล่อยให้เด็กปั๊มตัวดำๆ ที่กำลังโดนเพ่งเล็งต้องอยู่ในวังแห่งนี้ด้วยความโดดเดี่ยวเนี่ยนะ


   “เดี๋ยวจะรีบลงมาหานะข้าว” คุณชายเอ่ยกับผมด้วยน้ำเสียงละมุนละไม


   “ครับ” ผมยิ้มเหยเก มันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจเลยสักนิดแม้น้ำเสียงจะละมุนละไมขนาดนั้น


   หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกัน ผมนั่งรออยู่ในห้องรับแขกส่วนคุณชายขึ้นไปหาหม่อมย่าบนห้องนอนส่วนตัว








   ...คุณชาย...



   ผมรู้ว่าคุณพ่อไม่มีทางยอมให้ผมกับข้าวได้ลงเอยกันแน่ แต่การที่หม่อมย่าต้องป่วยเพราะเรื่องของผมก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเช่นกัน


   คุณย่าคือความหวังเดียวของผมที่จะทำให้ผมกับข้าวได้ลงเอยกัน... แม้ว่าท่านจะดูดุและโหดมากในสายตาคนรับใช้และคนอื่นๆ แต่สำหรับผมท่านใจดีมาก ท่านไม่เคยดุด่าหรือตีผมเลยสักครั้งไม่ว่าผมจะทำอะไรผิด


   ผมเอาแต่คิดเรื่องที่จะให้คุณย่าช่วย จนลืมนึกไปเลยว่าการที่พ่อแยกผมกับข้าวออกจากกันนั้นท่านกำลังวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า
   

หลังจากที่ผมผลักบานประตูเข้าไป ผมก็เห็นร่างของหม่อมย่ากำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง


   “หม่อมย่า” แต่พอท่านได้ยินเสียงผมเท่านั้นแหละ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นก็ขยับหันมาจ้องมองผมอย่างไม่กระพริบสายตา
   

        “ชายเป๊ก... ชายเป๊กของย่า” น้ำเสียงของท่านเหมือนจะร้องไห้ ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปโอบกอดท่านทันที


   ร่างกายของคุณย่าอุ่นกว่าปกติกอปรกับใบหน้าที่ซีดเผือด นั่นทำให้ผมรู้ว่าคุณพ่อไม่ได้โกหกเรื่องที่คุณย่าป่วย


   “เป๊กกลับมาแล้วครับคุณย่า” ผมกอดท่านเอาไว้แน่น


   “ย่าดีใจที่เป๊กกลับมาหา” เสียงของคุณย่าแหบพร่า “แล้วเด็กคนนั้นล่ะ”


   “เด็กคนนั้น” ผมทวนคำด้วยความสงสัย เข้าใจว่าคุณย่าหมายถึงข้าว แต่คุณย่าต้องการจะถามอะไรกันแน่


   “ใช่... ย่าอยากจะถามว่าชายเป๊กรักเด็กคนนั้นมากถึงขนาดยอมทิ้งย่า ทิ้งพ่อ ทิ้งแม่เลยเหรอลูก”


   คำถามของคุณย่าสร้างความกดดันเหลือเกิน หากผมตอบไม่ใช่มันก็ชัดเจนว่าผมกำลังโกหก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันฟ้องอยู่ทนโท่ว่าผมเลือกข้าวและทิ้งครอบครัว แต่หากตอบว่า ‘รัก’ และ ‘ใช่’ มันก็จะแสดงถึงความอกตัญญูที่เขาเลือกคนอื่นไม่ใช่ครอบครัว


   ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจจะมาพูดกับคุณย่าตรงๆ เพราะคิดว่าท่านจะเข้าใจปัญหา แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมกลับไม่กล้าพูดอะไรออกไป อาจเพราะคุณย่ากำลังป่วยหนักด้วย


   “ผมไม่มีวันทิ้งคุณย่าหรอกครับ”


   “แต่ก็ทิ้งไปแล้ว... ฮึ” คุณย่าพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเบือนหน้าหนี


   “โถ่... คุณย่าครับ อย่าโกรธเป๊กเลยนะครับ” ผมกอดท่านแรงขึ้นพลางซบใบหน้าไปที่หัวไหล่เพื่อทำการออดอ้อน


   “ย่าไม่ได้โกรธ... แต่อย่าแค่น้อยใจ” คุณย่าเว้นจังหวะชั่วครู่พลางลูกศีรษะของผมก่อนที่จะพูดต่อ “ย่าน้อยใจที่ชายเป๊กทิ้งย่า ย่าน้อยใจที่หลานของย่ามีอะไรไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ชายเป๊กจำได้ไหมว่าตอนเด็กๆ เราสองคนเคยให้สัญญากันไว้ว่าจะไม่มีความลับอะไรต่อกัน ไม่ว่าจะคิดอะไร รู้สึกอะไร หรือทำอะไรผิดเราก็จะมาคุยมาปรึกษากัน แต่ทำเรื่องนี้ชายเป๊กถึงไม่ยอมคุยกับย่า”


   ใช่ครับ... ผมกับย่าเคยให้สัญญากันว่ามีอะไรจะเล่าให้กันฟังทุกเรื่อง อาจเป็นเพราะสัญญาข้อนี้เลยทำให้ผมกับย่าเปิดใจให้กันในทุกๆ เรื่อง และทำให้ย่าเข้าใจในตัวผมจึงเอ็นดูผมมาโดยตลอด


   “ไม่ว่าชายเป๊กจะทำอะไรผิด ย่าก็พร้อมที่จะเข้าใจเสมอนะลูก”


   “แล้วเรื่องผมกับข้าว... มันผิดมากไหมครับ” ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าญาติผู้ใหญ่ที่ผมรักและเคารพมากที่สุดจะมีความคิดเห็นอย่างไร


   “ตกลงชายเป๊กกับเด็กคนนั้นรักกันจริงๆ ใช่ไหม ชายเป๊กไม่ได้รักพี่หญิงดาวจริงๆ ใช่ไหม เล่าให้ย่าฟังสิ เล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเล่าถึงความอัดอั้นในใจให้ย่าฟัง” หม่อมย่าพูดประโยคที่ยืดยาวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า บางช่วงท่านก็กระแอมไอ แต่ท่าก็พูดจนจบประโยค


   ความตั้งใจของหม่อมย่าทำให้ผมเชื่อใจและตัดสินใจเล่าถึงความรู้สึกทั้งหมดให้ท่านฟัง


   “ครับ... ผมรักข้าว ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร อาจเพราะความผูกพันล่ะมั้งครับ ข้าวทนอยู่ทนดูแลเด็กดื้อด้านไม่มีใครอยากคบอย่างผมมาตั้งหลายปี ย่าก็รู้ว่าคนนิสัยแบบผมแค่คบเป็นเพื่อนยังไม่มีใครอยากคบเลยนอกจากพวกเพื่อนกินที่วันๆ หวังล่อเงินจากผมก็เท่านั้น แต่กับข้าวมันไม่ใช่”


   ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงข้างๆ กับหม่อมย่าแล้วเล่าต่อ


   “ข้าวไม่ได้เห็นเงินสำคัญกว่าผม ข้าวเป็นคนที่มีความคิดซื่อๆ ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ผมเองก็อธิบายไม่ถูกนะครับว่าผมรักข้าวได้ยังไง แต่ผมเริ่มรู้ตัวตอนที่ผมกับข้าวทะเลาะกันเพราะความงี่เง่าของผมทำให้เราห่างกัน และนั่นแหละทำให้ผมรู้ว่าผมขาดข้าวไม่ได้...”


   “แค่นั้นเองน่ะเหรอ... บางทีหลานอาจจะแค่ต้องการเพื่อนเฉยๆ ก็ได้ หลานแน่ใจได้ยังไงว่านั่นคือความรักที่มากเกินกว่าคำว่าเพื่อน” หม่อมย่าเอ่ยถาม


   “ผมแน่ใจครับ” ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “ผมไม่มีเหตุผลให้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นหรอกครับ ที่ผ่านมาผมเองก็พยายามตามหาเหตุผลให้กับความรักนะครับ จนวันหนึ่งผมก็มั่นใจว่าความรักไม่มีเหตุผล เพราะถ้าเรามัวแต่หาและยึดติดกับเหตุผลมันจะเป็นรักที่สมบูรณ์แบบได้ยังไงล่ะครับ”


   คุณย่าขมวดคิ้วมุ่นอาจเพราะไม่เข้าใจ ผมจึงอธิบายต่อ


        “คุณย่าลองคิดดูนะครับ ถ้าเรารักใครคนหนึ่งเพราะเขารวย เขาน่ารัก เขาดี เขาเอาใจเรา แต่ถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนไป เขาล้มละลาย เขาประสบอุบัติเหตุจนเสียโฉม เขางี่เง่า เขาไม่ดีและเขาเบื่อที่จะเอาใจเรา เรายังจะรักเขาอีกไหม เพราะเหตุผลที่เราเคยรักเขามันหายไปจากตัวเขาคนนั้นหมดแล้ว รัก... ต่อให้เขาจะดีจะแย่ยังไงมันก็คือรัก”


“ล่ะ... หลานย่า” หม่อมย่าอ้าปากค้าง ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าท่านกำลังคิดอะไรได้แต่ภาวนาในใจให้ท่านเข้าใจและยอมรับผมกับข้าวก็พอ “แล้วเรื่องหมั้นหมายกับพี่หญิงดาวล่ะ หลานจะว่ายังไง”


“ผมไม่เคยตกลงเลยนะครับ มีแต่ผู้ใหญ่ที่ตัดสินใจกันเองทั้งนั้น”


“เรื่องนี้ย่าผิดเอง” น้ำเสียงของคุณย่าสั่นคลอ “ยกโทษให้ย่าด้วยนะชายเป๊ก “


หม่อมย่ากำมือผมไว้แน่น ก่อนที่เวลาต่อมาน้ำตาของท่านจะรินไหลพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ ร่างของท่านสั่นเทาราวกับเจ้าเข้า
ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด เพราะอะไรหม่อมย่าถึงรู้สึกผิดขนาดนี้


“ผมไม่ได้โกรธหม่อมย่านะครับ” ผมพยายามสรรหาคำพูดต่างๆ นานามาปลอบใจท่าน แต่ท่านก็เอาแต่สะอื้นไห้นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรจนกระทั่งบานประตูห้องของหม่อมย่าถูกเปิดออก


“คุณชายครับ คุณท่านสั่งให้มาตามคุณชายลงไปที่ห้องรับแขกครับ” ชายหนุ่มในชุดสูทดำซึ่งเป็นลูกน้องของคุณพ่อเอ่ยขึ้น


“เดี๋ยวลงไป” ผมตอบก่อนที่หันกลับไปบอกคุณย่า “ย่าอย่าคิดมากนะครับ ผมไม่ได้โกรธคุณย่าจริงๆ ผมรักย่านะครับ”


พูดจบผมก็หอมแก้มของคุณย่าก่อนที่จะผละร่างกายให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องในทันที ผมมัวแต่คุยกับคุณย่าจนลืมนึกไปเสียสนิทว่าข้าวยังรอผมอยู่ที่นั่น...






ผมมองตามร่างของคุณชายจนกระทั่งลับสายตาก่อนจะกลับมาเผชิญกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก


“ฉันว่าเราสองคนมีเรื่องที่ควรจะตกลงกัน” หม่อมราชวงษ์กริชกรเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร


   “ครับ”


   “ฉันจะไม่ถามถึงความสัมพันธ์ของนายกับชายเป๊กหรอกนะเพราะฉันไม่อยากฟัง แต่ฉันต้องการให้นายเลิกยุ่งกับชายเป๊ก” เสียงของคุณท่านราบเรียบไร้โทนสูงต่ำจนผมรู้สึกกดดัน อีกทั้งสายตาเหยียดหยามที่ส่งมานั่นมันทำให้ผมแทบจะนั่งไม่ติด


   “แต่ถ้าทำแบบนั้น...” ผมทำใจดีสู้เสือ “คุณชายอาจจะคิดทำอะไรไม่เข้าท่าอีกก็ได้นะครับ อย่างเช่นหนีไปกับผม”


   “ฉันรู้ว่าไอ้นี่มันหัวดื้อ เพราะฉะนั้นฉันถึงต้องการให้นายช่วย” คุณท่านแสยะยิ้มมุมปาก


   “ช่วยอะไรครับ”


   “ฉันจะอนุญาตให้นายอยู่กับชายเป๊กที่นี่จนถึงอาทิตย์หน้า ระหว่างนี้ฉันจะให้อิสระกับนายและชายเป๊กอย่างเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องกลับมานอนที่วัง”


   “เพราะอะไรล่ะครับ ในเมื่อคุณท่านต้องการให้ผมเลิกยุ่งกับคุณชายแล้วจะให้เราอยู่ด้วยกันอีกทำไม” ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางคิดในใจหรือว่าคุณท่านจะยอมรับในตัวผม แต่ผมก็คิดผิดถนัดเพราะในประโยคถัดมาของคุณท่าน มันทำให้ผมรู้สึกราวกับโลกหยุดหมุน ในหัวมึนตื้อไปหมด


   “เพราะฉันต้องการทำให้ชายเป๊กตายใจ และอยู่ที่นี่จนกว่าจะครบกำหนดวันหมั้นและแต่งงานระหว่างชายเป๊กกับหญิงดาวในสัปดาห์หน้า ถ้านายอยู่ที่นี่ด้วยชายเป๊กก็จะไม่ระแคะระคายถึงเรื่องนี้ แต่นายต้องปิดปากเงียบห้ามพูดอะไรจนกว่าจะถึงวันงาน และพอถึงวันนั้น... นายต้องไปให้พ้นจากชีวิตของชายเป๊กและไม่ต้องห่วงว่าฉันจะใช้งานนายฟรีๆ เพราะถ้านายยอมและทำสำเร็จฉันมีค่าตอบแทนให้หลายล้านเชียวล่ะ”   


   “...” มิน่าเล่าคุณท่านถึงยอมให้ผมนั่งรถและเข้ามาในวัง ที่แท้ก็ต้องการจะเจรจาตกลงเรื่องนี้นี่เอง มันไม่ใช่เรื่องยากเลยหากผมจะปฏิเสธแล้วบอกแผนการทั้งหมดของคุณท่านให้คุณชายรับทราบ แต่ถ้าทำแบบนั้น... คุณชายก็อาจจะต้องไปลำบากตรากตรำกับผมอีก
   “ฉันสืบมาแล้วว่าพ่อแม่ของนายอยู่ต่างจังหวัดกำลังหาเงินซื้อบ้านที่ถูกยึดไปกลับคืนมา ค่าตอบแทนที่ฉันจะให้มันมีมากพอที่จะซื้อบ้านหลังนั้นกลับมาได้ อีกทั้งยังเหลือใช้จนนายคาดไม่ถึงเลยล่ะ”


   ผมไม่ได้ห่วงเรื่องเงินเลยสักนิดเพราะไม่เคยคิดที่จะใช้ทางลัดในการหาเงินเพื่อที่จะซื้อบ้านคืนมา แต่ผมห่วงความรู้สึกของคุณชายมากกว่า


   ถ้าผมตกลง คุณชายจะต้องผิดหวังในตัวผม แต่นั่นก็แลกกับการที่คุณชายจะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติ มีหน้ามีตาในสังคมต่อไป ไม่ถูกครหาดูถูกดูแคลนรวมถึงได้รับความรักจากคนในบ้านอย่างเปี่ยมล้นแน่นอน


   แต่ถ้าผมปฏิเสธ ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร คุณชายจะไม่ได้รับความรักจากคนทางบ้าน อีกทั้งอาจถูกคนในสังคมประณามและทำให้ครอบครัวเสียชื่อเสียง การใช้ชีวิตในแต่ละวันก็คงจะไม่ราบรื่นต้องลุ้นว่าวันไหนจะมีเงินไม่พอใช้บ้างซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมคิดไม่ตกตลอดเวลาขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บางแสน


   “ฉันไม่เร่งรัดเอาคำตอบหรอกนะ กลับไปคิดดูให้ดี พรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบก็ได้...” คุณท่านเอ่ยขึ้นอาจเพราะผมเงียบไปนาน “ถ้านายรักชายเป๊กจริง นายคงไม่เห็นแก่ตัวรั้งเขาไว้ เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการที่นายต้องใช้ชีวิตอยู่กับชายเป๊กโดยที่ไม่มีอะไรเลยมันทำให้ชายเป๊กต้องลำบากมากแค่ไหน”


   คำพูดของคุณท่านเสียดแทงใจผมเหลือเกิน มันเหมือนมีหนามแหลมนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงที่หัวใจของผม ทุกคำพูดที่เปล่งออกมามันเหมือนตอกย้ำถึงความเห็นแก่ตัว


   หากต้องเลือกในสิ่งที่ถูกต้องผมก็ควรทำตามที่คุณท่านต้องการ แต่หากเลือกทำตามหัวใจผมก็ต้องเห็นแก่ตัวต่อไปและทำให้แผนของคุณท่านที่จะจับคุณชายแต่งงานกับคุณหญิงดาวต้องพังทลาย


   ‘ตอนนี้เราอาจจะไม่มีอะไร ใครอาจจะมองว่าเราเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ฉันว่ามันไม่ใช่นะ...’ เสียงของคุณชายในห้วงความทรงจำดังขึ้น


   ‘ทำไมล่ะครับ เราแทบไม่มีเงินเลยนะ’


   ‘ไม่มีเงินแต่ก็ยังมีข้าวไง... แค่มีข้าวมันก็ไม่ใช่ศูนย์แล้ว... แต่มันคือร้อยต่างหาก เราจะเริ่มต้นจากร้อยไปด้วยกันและทำให้มันเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ ลำบากแค่ไหนฉันก็จะทน ขอแค่มีข้าวอยู่ข้างๆ ก็พอ’


   ตอนนั้นคุณชายพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ผมไม่รู้ว่าเพราะแค่ต้องการพูดเพื่อให้ผมสบายใจหรือพูดด้วยความรู้สึกจากใจจริงกันแน่ แต่นั่นก็เท่ากับว่าคุณชายพร้อมที่จะลำบากไปกับผมแม้ว่าเราจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม


   มันยากเหลือเกินที่ต้องตัดสินใจในเรื่องแบบนี้ ระหว่างที่ผมกำลังใช้ความคิดอยู่นั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร่างของคุณชายกำลังเดินลงมาจากบันได


   ชายหนุ่มรูปหล่อส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มนั่นทำให้ใจผมแทบละลายและทำให้ผมตัดสินใจได้ยากขึ้น ผมรักคุณชายเพราะอะไร ผมพยายามหาเหตุผล เพราะเขารวย เขาหล่อ เขาน่ารักแค่นั้นน่ะหรือ ผมคิดว่าไม่ใช่จนตอนนี้ผมเองก็ยังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าเพราะอะไร


   ในเมื่อความรักที่เกิดขึ้นมันไม่มีเหตุผล มันก็คงไม่ยากใช่ไหมหากผมจะทำตามความประสงค์ของหม่อมราชวงษ์กริชกร


   “ตกลงครับ”


   เมื่อได้ยินคำตอบ หม่อมราชวงษ์กริชกรก็กระตุกยิ้มออกมาทันที


   “ดี... งั้นคืนนี้ไปเก็บของเข้าห้องได้เลย”




จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2016 02:00:08 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 38

ภายในห้องนอนที่แสนคุ้นเคย ร่างที่ใหญ่กว่ากำลังกอดร่างของผมเอาไว้อย่างแนบแน่น ฝ่ามือหนาเลื่อนขึ้นมาซุกซนอยู่ที่บริเวณแผงอกของผม การกระทำนั่นทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบจนอยากจะตอบสนองหากแต่ข้อตกลงที่ได้ให้ไว้กับคุณท่านทำให้ผมต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจและนอนอยู่นิ่งๆ


“เป็นอะไร” จนในที่สุดคุณชายก็เอ่ยถาม “ทำไมนอนตัวนิ่งแบบนี้ หรือว่าคุณพ่อคุยอะไรไม่ดีกับนาย”


 “ไม่ใช่ครับ” ผมปฏิเสธออกไปก่อนที่จะเลื่อนมือไปจับกับมือคุณชายเอาไว้แน่น “เพราะคุณท่านไม่พูดอะไรเลยต่างหาก ผมจึงรู้สึกกังวล”


“คงจะโกรธจนพูดอะไรไม่ออก แต่ก็ดีอย่างน้อยก็ยอมให้เราอยู่ด้วยกัน” คุณชายดุนจมูกมาที่ซอกคอของผม น้ำเสียงของคุณชายแสดงออกถึงความดีใจอย่างเห็นได้ชัด “แต่แย่หน่อยนะที่พ่อห้ามให้เราไปทำอะไรประเจิดประเจ้อข้างนอก”


“ถึงไม่ห้ามเราก็ไม่ทำอยู่แล้วนะครับ” ผมเถียง


“เหรอ... แล้วตอนที่อยู่ทะเลล่ะ” คุณชายทำเสียงทะเล้นพร้อมขบต้นคอผมเบาๆ ราวกับกำลังหมั่นเขี้ยว


“ตอนไหน... ผมจำอะไรไม่เห็นได้เลยนะครับ”


 “ก็ตอนที่ไปเกาะล้านไง ทั้งในน้ำแล้วก็บนบก” คุณชายเริ่มเถียงอย่างจริงจัง


ผมเกือบที่จะหลุดขำ นี่คุณชายคิดจริงเหรอว่าผมจำไม่ได้ “จำไม่ได้จริงๆ ครับ”


“ต้องให้รื้อฟื้นความจำใช่ไหม” พูดจบคุณชายก็พลิกร่างของตัวเองจากเตียงนอนมาคร่อมร่างของผมไว้ มือทั้งสองกดหัวไล่ของผมเอาไว้อย่างแรง


คุณชายจ้องผมตาเขม็งอย่างขัดใจ เห็นดังนั้นผมจึงรีบตอบออกไปเพราะกลัวจะโดนราชสีห์ร้ายขยุ้มร่าง


“จำได้แล้วคร้าบ...” ผมทำน้ำเสียงออดอ่อนก่อนที่จะแสร้งทำน้ำเสียงประชดประชันในประโยคถัดมา “ก็ตอนนั้นมีใครไม่รู้บอกให้ลืม... แม่ง... เจ็บชะมัดเลยนะครับ การที่โดนคนที่เรารักกระทำกับเราแบบนั้นแล้วสุดท้ายบอกให้เราลืมมันเจ็บยิ่งกว่า...”


ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบคุณชายก็โน้มใบหน้าลงมาด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะใช้ริมฝีปากของตัวเองบดขยี้กับริมฝีปากของผมด้วยความร้อนรุ่ม


“เลิกพูดได้แล้ว” คุณชายเค้นเสียงออกมาจากลำคอโดยที่ริมฝีปากของเรายังบดขยี้กันอยู่อย่างนั้น
ความปรารถนาในเรือนร่างที่แสดงผ่านอากัปกริยาต่างๆ เป็นเรื่องปกติของความรัก และการตอบสนองความรักด้วยภาษากายก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดศีลธรรมอันใด หากมันเกิดในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เพราะมันคือเรื่องปกติของมนุษย์โลก


 ในเมื่อผมกับคุณชายรักกันจึงไม่มีเหตุผลใดใดที่ผมจะปฏิเสธความต้องการนี้



ระหว่างที่ผมกำลังโดนคุณชายใช้ลิ้มรสริมฝีปากด้วยความดูดดื่ม มือของผมก็เลื่อนไปจับชายเสื้อของคุณชายแล้วขยุ้มมันเอาไว้แน่นอยู่ชั่วขณะ และในที่สุดก็ตัดสินใจถอดมันออกมา


ร่างของคุณชายปฏิบัติตามความต้องการของผมอย่างว่าง่าย และผมเองก็เช่นกันหลังจากที่เป็นฝ่ายถอดเสื้อให้คุณชายได้ก่อน เขาก็พลิกตัวผมให้นอนคว่ำก่อนที่จะถอดสิ่งที่ปกปิดเรือนร่างของผมทุกชิ้น


 
 อาภรณ์เปลื้องเรือนกายจึงพร้อมรบ           ราชสีห์ขบคมเขี้ยวลงบนแผ่นหลัง
แล้วใช้ลิ้นลิ้มรสจนหมดชัง                       ไม่หยุดยั้งละเลงรักบทต่อไป
อุ้งมือใหญ่วางลงบนร่างเหยื่อ                   เท้าจิกเสื่อเพิ่มอารมณ์ให้ลื่นไหล
เล็บกรีดกรายเลื่อนลงต่ำจนพอใจ              ก่อนซุกไซร้ทะลวงรักอัศจรรย์
เหยื่อกระตุกดีดเด้งตามความถี่                 โดนขยี้ยีย่ำราวกับฝัน
ยอมพลีกายถวายชีพชีวัน                         แล้วสุขสันต์เสพสมรติรส
 


ค่ำคืนอันแสนทุกข์ทรมานใจผ่านไปอย่างเชื่องช้า เจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงแผนการของหม่อมราชวงศ์กริชกร แต่ก่อนวันนั้นจะมาถึง เวลาที่เหลืออยู่ผมจะใช้มันให้คุ้มค่าก่อนที่ทุกอย่างจะต้องพินาศไป


เช้าวันรุ่งขึ้นคุณชายชวนผมเข้าไปเยี่ยมคุณย่า ผมจำได้ว่าในครั้งแรกที่ผมเจอท่านร่างกายของท่านยังดูแข็งแรงแต่ในเวลานี้ไม่ใช่


ภาพของคนสูงวัยที่นอนซมอยู่บนเตียงนอนตอกย้ำให้ผมรู้สึกผิด


“คุณย่าครับ ดูสิผมพาใครมาเยี่ยม” คุณชายเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับผมที่แสดงอาการออกทางสีหน้าไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร


“คุณชายครับ มันจะดีหรอครับ” ผมกระซิบที่ข้างใบหูของคุณชาย “ถ้าหม่อมย่าเห็นผม ท่านอาจจะอาการทรุดลงก็ได้นะครับ”


“ไม่ต้องห่วงน่า” คุณชายกระซิบกลับ


“ล่ะ... หลานย่า มาแล้วเหรอ” เสียงแหบพร่าของหม่อมย่าดังขึ้น “นั่นข้าวใช่ไหม”


คุณย่าเหลือบสายตามามองผม สายตาของท่านแน่นิ่งจนผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าท่านรู้สึกเอ็นดูหรือเกลียดชังกันแน่


“ใช่ครับ” คุณชายตอบ เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมยกมือขึ้นไหว้หม่อมย่าพอดี


“สวัสดีครับหม่อมย่า”


หม่อมย่าผงกศีรษะรับเบาๆ หากแต่ใบหน้าของท่านยังคงแน่นิ่งไม่แสดงอาการว่าชอบหรือเกลียดขี้หน้าผมออกมา


ความรู้สึกที่ต้องคาดเดาว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไรมันกดดันยิ่งกว่ารู้ว่าคนตรงหน้าเกลียดเสียอีก


“คุณย่าทานข้าวต้มนะครับ ผมกับข้าวช่วยกันทำ เห็นแบบนี้แต่ข้าวทำอาหารเก่งนะครับ” คุณชายพยายามยกยอปอปั้นผม นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่


ความจริงผมไม่ได้ทำอาหารเก่งเลยสั่งนิด ทำได้แต่ของง่ายๆ อาจเพราะผมไม่กินผักเลยทำให้อาหารที่ผมทำได้ส่วนใหญ่ไม่มีผักเป็นส่วนประกอบ


“เอาสิ.. แต่เอ้อ...น้ำย่าหมด” หม่อมย่าชี้มือไปยังเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน


เห็นดังนั้นผมจึงตั้งใจจะรับอาสาเป็นคนลงไปเติมน้ำให้


“เดี๋ยวผมไป...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เสียงของหม่อมย่าก็ขัดขึ้น


“ชายเป๊กลงไปเติมน้ำให้ย่าหน่อยสิลูก ส่วนข้าวต้มเดี๋ยวให้ข้าวป้อนย่าละกัน ย่าจะได้คุยกับข้าวไปพลางๆ ด้วย”


คุณชายหันมามองผมที่กำลังยืนอึ้ง ผมพยายามกรอกสายตาไปมาเพื่อเป็นสัญญาณบอกคุณช่ายว่า ‘อย่าตกลงนะ ให้ผมเป็นคนลงไปเติมน้ำเถอะ’ แต่เหมือนคุณชายจะไม่สนใจสักนิด


“ได้ครับคุณย่า”


ผมล่ะอยากจะขย้ำคุณชายให้แหลกคามือเสียตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดเหลือเกิดแต่ก็ทำได้แค่คิด เมื่อคืนก็ปล่อยผมไว้กับคุณท่าน ตอนนี้ก็ปล่อยผมไว้กับคุณย่า ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรอีกบ้าง


หลังจากที่คุณชายออกจากห้องไป ผมก็เขยิบเข้าไปใกล้ๆ กับหม่อมย่าโดยที่มือที่ชามข้าวต้มด้วยความเกร็ง


“มานั่งนี่สิ” หม่อมย่าใช้มือตบขอบเตียงนอน “ย่าจะได้ทานข้าวต้มง่ายๆ”


“ครับ”


“เอ้า... นั่งตัวแข็งอยู่นั่นแหละ จะให้ย่ากินข้าวต้มไหม”


“อ้อ... ครับ”


สิ้นเสียงผมก็วางถ้วยลงที่โต๊ะข้างเตียงนอนก่อนจะประคองหม่อมย่าให้อยู่ในท่านั่งพิงกับหัวเตียงโดยมีหมอนรองหลังไว้เพื่อความสบาย จากนั้นผมก็หยิบถ้วยข้าวต้มมาเพื่อที่จะป้อนหม่อมย่า แต่ทว่า...


พอผมใช้ช้อนตักข้าวต้ม ด้วยสัญชาตญาณของคนป้อนจะรู้ว่าข้าวต้มมันร้อนจะต้องเป่าให้เย็นก่อน แต่ถ้าผมเป่าหม่อมย่าจะรังเกียจไหมนะ


 ผมลังเลอยู่นานสองนานจะป้อนก็ไม่กล้าป้อนจะเป่าก็ไม่กล้าเป่าจนเสียงของหม่อมย่าดังขึ้น


“คิดอะไรอยู่เหรอ”


“คือ...” ผมอึกอักไม่กล้าตอบตรงๆ “ข้าวต้มมันร้อนน่ะครับ”


“ร้อนก็เป่าสิ”


 ได้ยินดังนั้นผมก็ปฏิบัติตามทันที ก่อนที่จะเริ่มป้อนโดยที่ยังรู้สึกขัดเขินอยู่


ท่านไม่รังเกียจเด็กปั๊มที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างผมจริงๆ น่ะหรือ... ทำไมท่านถึงไม่พูดอะไรกดดันสักคำผิดกับหม่อมราชวงศ์กริชกร


ผมป้อนท่านไปสักพักจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของใครบางคนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น


หม่อมย่าสำลักข้าวต้มจนข้าวที่อยู่ในปากพุ่งออกมาโดนใบหน้ารวมถึงเสื้อผ้าของผมและร่างของท่าน ผมรีบวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะทันทีแล้วหยิบกระดาษชำระที่อยู่ใกล้ๆ มาเช็ดปากและเสื้อผ้าของท่านที่เลอะเทอะไปด้วยเม็ดข้าวต้ม


“ผมขอโทษนะครับคุณย่า ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมเอ่ยอย่างร้อนลน แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณย่าจะเป็นอะไรมากไหม วินาทีนี้ผมห่วงท่านมากที่สุด “คุณย่าร้อนไหมครับ”


พอคุณชายเปิดประตูเข้ามา เขาก็จ้องผมตาเขม็งก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาดูอาการหม่อมย่าด้วยความตกใจแล้วรินน้ำให้ท่านดื่ม


“หลบไปก่อนข้าว”


ผมเขยิบออกจากขอบเตียง ปล่อยให้คุณชายดูแลหม่อมย่าต่อไป นึกกังวลใจว่าคุณชายจะโกรธผมหรือไม่


“เป็นอะไรมากไหมครับคุณย่า”


“เปล่า... ย่าไม่เป็นอะไร” หม่อมย่าตอบออกมาก่อนจะหันมาจ้องผม สายตาของท่านแน่นิ่งไม่ไหวติงจนทำให้ผมรู้สึกกดดัน “ย่าอิ่มแล้ว... ชายเป๊กพาข้าวไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถอะ”


ผิดคาด... ผมนึกว่าหม่อมย่าจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแล้วไล่ผมออกจากวัง แต่ท่านกลับบอกให้คุณชายพาผมไปล้างเนื้อล้างตัว



“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปล้างตัวเอง ให้คุณชายอยู่กับคุณย่าที่นี่เถอะครับ”


คุณชายพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของผม และเมื่อหม่อมย่าไม่ปฏิเสธอะไรผมจึงเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้า




 


หลังจากที่ล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จสรรพ ผมตัดสินใจแวะไปหาพี่ปั๊มเพื่อที่จะคุยเรื่องที่ค้างคาโดยลืมที่จะบอกคุณชายไปเสียสนิท


พอนึกได้ผมจึงรีบส่งข้อความทางไทรศัพท์ไปหา …ออกมาหาพี่ปั๊มนะครับ เดี๋ยวจะรีบกลับไป...


โชคดีที่พี่ปั๊มมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ผมนึกสงสัยมานานแล้วว่าทำไมพี่ชายของผมคนนี้ถึงได้ทำงานตั้งแต่เช้ายันดึก โดยที่ไม่ปริปากบ่นสักคำ ที่แท้ก็เป็นเจ้าของปั๊มแห่งนี้นี่เอง


“สวัสดีครับคุณปั๊ม” ผมยกมือไหว้พี่ปั๊มตามปกติเมื่อเดินเข้าไปหา


“คุณปั๊มบ้านมึงสิ” พี่ปั๊มทำน้ำเสียงไม่พอใจ “เรียกพี่เหมือนเดิมก็พอ”



“ครับ...” ผมตอบรับ “เออ... พี่ปั๊มยุ่งอยู่ไหม ผมอยากชวนพี่ไปกินข้าวเช้ากัน”


“ทำไม ทะเลาะกับคุณชายอีกเหรอไง มึงนี่นะ ต้องให้มีเรื่องถึงจะโผล่มาหากู หายไปอยู่บางแสนตั้งนาน ติดต่อก็ไม่ค่อยได้ พอจะกลับมาก็ไม่บอกกูล่วงหน้าสักคำ” พี่ปั๊มบ่นยืดยาวจนผมสำนึกผิดแทบไม่ทัน



“ผมไม่ได้ทะเลาะ เอาไว้ไปคุยกันที่ร้านอาหารนะพี่ ผมเองก็มีเรื่องอยากจะถามพี่เยอะเลยเหมือนกัน”


“งั้นรอแป๊บ กูไปเปลี่ยนเสื้อแป๊บนึง”


“ครับ”


พี่ปั๊มใช้เวลาไม่ถึง 3 นาทีในการไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องผู้จัดการ จากหนุ่มในชุดปั๊มน้ำมัน บัดนี้ได้เดินกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อยืดสีดำ สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตยีนส์ ท่อนลางเป็นกางเกงยีนส์ขายาวมีรอยขาดตรงเข่าดูเซอร์ไม่เบา


 “ไปร้านไหนดี” พี่ปั๊มขับรถมอเตอร์ไซค์มาหยุดอยู่ตรงหน้า ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาวๆ ที่แวะมาเติมน้ำมันในปั๊มถึงได้หลงพี่ปั๊มกัน หล่อเซอร์เท่ห์


“แล้วแต่พี่เลย” พูดจบก็กระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถทันที


ร้านอาหารที่พี่ปั๊มเลือกอยู่ไม่ไกลมากนัก เป็นร้านห้องแถวขนาดเล็กๆ แต่บรรยากาศภายในร้านดูสะอาดสะอ้านไม่ต่างกับร้านหรูๆ


ระหว่างที่รออาหาร ผมจึงเลือกถามในสิ่งที่สงสัยออกไป


“เรื่องที่พี่ปั๊มต้องโกหกผมและทุกๆ คน ตกลงมันยังไงกันแน่ครับ” พี่ปั๊มเบือนหน้าหนีทันที แสดงออกทางสีหน้าว่าไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อย่างชัดเจน “พี่รับฟังผมมาตลอด แต่เรื่องของพี่... พี่ไม่เคยระบายให้ใครฟังเลย ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่เจอกับอะไรมา แต่การที่ตัดสินใจออกจากบ้าน มาทำงานแบบนี้ ทำตัวราวกับประชดชีวิต มันคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ใช่ไหมครับ”


 “มึงจะพูดอ้อมค้อมทำไมวะ... กูดูหน้ามึงก็รู้แล้วว่ามึงแค่อยากเสือกเรื่องของกู”


 “ไม่ใช่นะพี่” ผมรีบปฏิเสธ


“กูล้อเล่น” พี่ปั๊มขยับยิ้มในท่าทีของผม “เออ... เรื่องมันเกิดมานานแล้วนะเว้ย คือตอนที่กูอยู่แม่ฮ่องสอน ก็เคยโดนรุ่นพี่แถวบ้านมันมอมเหล้าแล้วกูก็เสร็จมันแค่นั้น มันถ่ายรูปแบล็คเมล์กู ขู่เอาเงินจากกูอยู่นานเกือบปีจนกูทนไม่ไหว สุดท้ายพอกูไม่ให้เงิน มันก็เลยส่งภาพอย่างว่าไปให้พ่อกับแม่กู”


พี่ปั๊มเล่าด้วยใบหน้าที่ระรื่น... มันระรื่นจนผมสังเกตได้ว่ากำลังฝืน


“หลังจากนั้นเป็นไงล่ะ... พ่อกูก็ผิดหวัง ลูกชายคนโตมีอะไรกับผู้ชาย อธิบายอะไรไปก็ไม่เชื่อเหมือนแก้ตัว ก็ไม่แปลกหรอกนะที่พ่อจะคิดงั้น กูเองก็เสียใจนะเว้ยที่ทำให้พ่อผิดหวัง อายชาวบ้านเพราะไอ้นั่นมันส่งรูปประจานไปทั่ว กูทนความอับอายไม่ไหว เลยตัดสินใจมาอยู่กับลุงธัญญ์ที่นี่ ทิ้งอนาคตตัวเองทั้งหมดมาเป็นเด็กปั๊มกระจอกๆ อย่างที่มึงเห็นเนี่ยแหละ กูนี่มันโง่เนอะ กลัวคำนินทาจากสังคม กลัวคำดุด่าของพ่อ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่กูเต็มใจเลยสักนิด”


ยิ่งพูด... น้ำเสียงของพี่ปั๊มก็เริ่มสั่นเครือ ใครจะฝืนยิ้มเล่าถึงอดีตที่แสนเจ็บปวดของตัวเองได้จนจบล่ะ ผมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญมันหนักหนาสาหัส แต่มันไม่ได้ครึ่งหนึ่งหากเทียบกับสิ่งที่พี่ปั๊มต้องเผชิญเลยสักนิด


เด็กหนุ่มที่อนาคตกำลังสดใสกลับโดนไอ้สารเลวที่ไหนมารู้มามอมเหล้าแล้วทำเรื่องชั่วๆ


“แล้วทำไมพี่ปั๊มไม่เอาเรื่องมันล่ะครับ”



“หึ... พ่อของมันเป็นผู้มีอิทธิพล ใครก็ทำอะไรมันไม่ได้หรอก” ใบหน้าของพี่ปั๊มแสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด สายตาทั้งสองข้างลอกแลกไปมาราวกับไม่อยากจะเอ่ยถึงมัน “บางครั้งกฎหมายก็ต้องแพ้ให้กับอำนาจและเงินทอง ครอบครัวของมันก็รวยแต่ดันงกกับลูก ลูกมันก็แสนเลวต้องทำเรื่องเชี่ยๆ เพื่อมาปล้นเงินจากกู”


ผมตัดสินใจเลือกที่จะจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้ เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรพี่ปั๊มถึงไม่อยากจะเอ่ยถึงมัน


 ผมเลือกที่จะเปลี่ยนไปนั่งข้างๆ พอเห็นมือของพี่ปั๊มกำแน่นรู้สึกได้ทันทีว่ากำลังข่มอารมณ์ความเจ็บปวดที่ระคนไปด้วยความโกรธแค้นเอาไว้มากแค่ไหน


 “ไม่เป็นไรนะครับพี่”


ผมเอื้อมมือไปจับกับมือของพี่ปั๊มที่กำลังกำมือของตัวเองเอาไว้แน่น สักพักมือนั่นก็เริ่มสั่นพร้อมๆ กับร่างของเขา ไม่ต้องอธิบายอะไรออกมา ผมก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเจ็บปวดมากแค่ไหน พี่ปั๊มอาจจะอยากระบายความรู้สึกออกมาด้วยการร้องไห้หากแต่ก็เข้มแข็งพอที่จะข่มน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันรินไหลออกมา


“ข้าว...”


แล้วเสียงที่ดังขึ้นก็ทำให้ผมสะดุ้ง มันไม่ใช่เสียงของพี่ปั๊ม แต่ผมจำได้ดีว่านั่นเป็นน้ำเสียงของใคร


พอเงยหน้าผมก็พบกับร่างของคุณชายที่กำลังจ้องผมเขม็ง คุณชายคงกำลังเข้าใจผิดที่เห็นผมจับมือของพี่ปั๊ม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายอะไร ร่างนั้นก็วิ่งออกไปจากนอกร้านทันที


ปอมที่ยืนอยู่ด้านหลังของคุณชายจ้องผมด้วยสายที่เปี่ยมไปด้วยความสะใจ ก่อนที่จะแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าหมั่นไส้แล้ววิ่งตามคุณชายออกไปยังนอกร้านในเวลาต่อมา


ผมอยากจะวิ่งตามคุณชายออกไปเหลือเกิน แต่วินาทีนี้ผมเองก็ทิ้งพี่ปั๊มไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งไม่กี่วันข้างหน้าเรื่องระหว่างผมกับคุณชายก็จะจบลง หากจะจบลงตั้งแต่วันนี้ก็คงจะไม่ต่างกัน


“กูไม่เป็นไร” เสียงของพี่ปั๊มทำให้ผมหวั่นไหว “ไปตามคุณชายเถอะ”


พี่ปั๊มเอื้อมมืออีกข้างมากุมมือของผม ร่างกายของเขาค่อยๆ หายจากอาการสั่นเทา


“อย่าปล่อยให้คนสำคัญของชีวิตเข้าใจผิดเหมือนอย่างที่กูเคยเจอ ไม่ใช่แค่เราแต่เขาก็คงจะเจ็บปวดเหมือนกัน”





จบตอน....
ก่อนอื่นต้องขออภัยนะครับ หากนิยายตอนนี้มีบทที่อาจไม่เหมาะสมว่าจะลงในช่วงนี้หรือไม่
คิดอยู่มาสักพักว่าจะลงดีไหม กลัวคนที่แวะมาอ่านบางคนอาจไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้มีเจตนาในทางไม่ดีแน่นอนนะครับ
...............................................
คุยถึงเรื่องนิยายกันดีกว่า ต้องขอโทษที่หายไปนานนะครับ ตอนนี้กำลังรีไรท์ตั้งแต่เริ่มต้นใหม่ไปด้วย
รู้สึกได้เลยว่าภาษาชุ่ยมาก ต้องรีไรท์ทุกบรรทัด ย้ำ ทุกบรรทัดจริงๆ ครับ
เป็นคนที่แต่งนิยายแบบ คิดอะไรก็แต่งๆ ไปเลย ภาษาลวกๆ หน่อย ออกมาตามหัวที่กำลังแล่น ไม่ได้ขัดเกลา
จะมาเกลาตอนรีไรท์ทีหลังรวดเดียวอีกที ขอบคุณทุกคนที่ทนอ่านภาษากากๆ ของผมมาจนถึงบทนี้นะครับ ดีใจมาก
พอลองกลับไปรีไรท์ดูแล้วแบบว่าถ้าเราเป็นคนอ่าน คงปิดไปแล้วแน่ๆ รับไม่ได้กับภาษา 55+ (ด่าตัวเองแพพ)

..พูดถึงไอ้ข้าว ตอนที่แล้วก็โดนคุณพ่อต้อน ตอนนี้หม่อมย่าก็สำลักข้าวใส่อีก 555+ มีแผนไรป่ะเนี่ย
ไหนจะนังปอมที่โผล่มาพร้อมฉากที่คุณชายเข้าใจผิด ข้าว ศึกรอบด้านจริงนะเมิง 555
แต่ตอนหน้ามีไรสะใจนิดๆ มาฝากแน่ๆ ครับ <3

.... โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2017 21:30:06 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ chaichan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 39


   เวลาผ่านไปจนกระทั่งท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดยามรัตติกาล เสียงเครื่องยนต์จากถนนใหญ่ที่เคยดังเซ็งแซ่ก็ค่อยๆ จางหายไปอาจเป็นเพราะเวลาในคืนนี้ได้ล่วงเลยไปนานมากแล้ว

   ผมนั่งรอคนที่กำลังเข้าใจผิดอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาเป็นระยะจนล่าสุดเข็มสั้นก็ชี้ไปที่เลขสองพอดีแต่คนที่ผมรอก็ยังไม่กลับมาสักที

   วันนี้ทั้งวัน ผมต้องทนอยู่ในวังด้วยความกดดันทวีคูณมากขึ้น ผมเป็นต้นเหตุที่ให้คุณชายแห่งวังสุริยะวิทูหายไปและไร้การติดต่อกลับมา

   หม่อมราชวงศ์กริชกร คุณหญิงวลีลาวัลย์รวมถึงหม่อมย่าต่างผลัดกันมาสอบถามเรื่องคุณชายแต่ผมก็ไม่สามารถให้คำตอบกับพวกท่านได้ สายตาขุ่นเคืองเป็นคำตอบชัดเจนว่าพวกท่านต่างรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

   ในความไม่พอใจกลับมีความพอใจที่ปะปนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน การที่ผมกับคุณชายเข้าใจผิดและไม่ได้คุยกันแบบนี้ทำให้พวกท่านต่างมีหวังว่าแผนการที่วางไว้มันจะทำให้ดำเนินการได้ง่ายกว่าที่คิด

   ระหว่างที่ผมกำลังนั่งกอดเข่า แสงไฟจากรถยนต์ที่สาดส่องเข้ามาในซอยก็ทำให้ผมต้องลุกขึ้นและวิ่งไปชะเง้อมองที่หน้ารั้วทันที
   เมื่อเห็นว่านั่นคือรถของคุณชายผมจึงรีบเปิดประตูรั้วให้ทันที

   รถของคุณชายแล่นไปจอดยังที่ประจำ ผมรีบวิ่งตามไปง้อด้วยกลัวว่าคุณชายจะลงจากรถไปโดยที่ไม่สนใจกัน

   “คุณชายครับ” ผมเอ่ย

   คุณชายยืนแน่นิ่งไปตอบอะไรผมกลับสักคำ อาจเพราะโกรธจัดจนไม่อยากจะมองหน้าหรือแม้แต่ปริปากพูดคุยกับผม แต่น่าแปลก... ในทีแรกผมคิดว่าจะเจอกับสภาพที่เมาจนหัวราน้ำแต่นี่ไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์เลยสักนิด

   “คุณชายกำลังเข้าใจผิดนะครับ” ผมไม่ชอบการแก้ตัวเลย เพราะจะเป็นเรื่องจริง แต่หากต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกันปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นและก็ไม่ต้องมีฝ่ายไหนต้องตามแก้ตัว “ผมกำลังคุยกับพี่ปั๊มถึงเรื่องราวในอดีต พี่ปั๊มต้องพบเจอกับปัญหามากมายผมก็เลยเป็นห่วง...”

   “หึ...”คุณชายพ่นลมหายใจออกมา “เป็นห่วง... แล้วจำเป็นต้องนั่งติดกัน จับมือกันขนาดนั้นต่อหน้าคนทั้งร้านไหม”

   “โถ่... คุณชายครับ ถ้าคุณชายเป็นผม คุณชายก็ต้องทำแบบนี้ และผมก็บริสุทธิ์ใจไม่ได้คิดไรเกินเลยกับพี่ปั๊มจริงๆ นะครับ”

   “เรื่องแบบนี้ใครจะพูดแก้ตัวยังไงก็ได้นั่นแหละ แต่ใจคนน่ะนะมันจะยังไงก็อีกเรื่องหนึ่ง” คุณชายเถียงกลับ ไม่มีทีท่าว่าจะยอมเข้าใจเลยสักนิด

   ดังนั้นผมจึงเฉไฉไปเรื่องอื่นชักเอือมระอาแล้วเหมือนกันที่ต้องมานั่งแก้ตัวในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้

   “แล้วปอม... มากับคุณชายได้ยังไง” ผมทำเสียงขรึมเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ว่าผมเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน

   “จำเป็นต้องตอบด้วยเหรอ” ทว่าคำตอบคุณชายกลับทำให้ผมถึงกับสะอึก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ผมนิ่งเงียบไปนานหากแต่ไม่ยอมขยับเท้าไปไหน คุณชายก็เช่นกัน “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้โง่พอที่จะมองไม่ออกว่าปอมคิดจะทำอะไร และฉันก็ไม่ได้โง่พอที่จะไม่เชื่อใจคนรักของตัวเองแล้วทำตัวงี่เง่าไร้สาระหรอกน่า”

   คำพูดของคุณชายยิ่งทำให้ผมสับสน พูดราวกับเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเหตุใดจึงต้องวิ่งหนีออกจากร้านอย่างกะทันหันด้วยล่ะ

   เหมือนว่าคุณชายจะได้ยินในสิ่งที่ผมคิด เพราะอยู่ๆ คุณชายก็พูดต่อในเรื่องที่ผมกำลังสงสัยพอดี

   “ในทีแรกก็ยอมรับว่าไม่พอใจ แต่พอขับรถออกไป ปอมก็เริ่มพูดเรื่องไร้สาระมากขึ้น และพอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ก็พอที่จะเข้าใจว่าปอมมีแผนการอะไรกันแน่ แต่เพราะยังไม่แน่ใจเลยลองพาปอมไปเที่ยวทั้งวันจนกระทั่งตกดึกปอมเมาได้ที่เลยรู้ความจริงอะไรบางอย่าง”

   “ความจริงอะไรครับ” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น

   “เขาบอกว่าจะทำให้เราสองคนแยกจากกัน พอค้นโทรศัพท์ของปอมถึงได้รู้ว่าปอมติดต่อกับคุณพ่อตลอดเวลา ปอมเป็นคนจัดการเรื่องรูปของเราระหว่างที่อยู่แม่ฮ่องสอน และเขายังยอมรับอีกว่าเขารักฉันและเกลียดข้าว” น่าแปลกที่น้ำเสียงของคุณชายไม่ได้แสดงถึงโทสะเลยสักนิด “ข้าวรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ทำไมถึงไม่เคยบอกกันสักคำ”

   คุณชายยังคงยืนหันหลัง ผมจึงเดินเข้าไปหาแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วสบมองใบหน้าของคุณชายด้วยความรู้สึกที่มีแต่ความปรารถนาดีอยู่เต็มหัวใจ

   “พูดโดยไม่มีหลักฐานมันก็เหมือนใส่ร้ายคนอื่น ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผม... ไม่ใช่สิต้องบอกว่าเราเชื่อใจกันและกัน”
   คุณชายก้มหน้าเหมือนพยายามเลี่ยงสายตาจากผมแล้วนิ่งไปสักพัก

   “ได้...” คุณชายเงยหน้าขึ้นมาสบตามองผมอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของคุณชายเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ “เป๊กจะเชื่อใจข้าวนะ”

   รู้สึกเหมือนหางเสียงของคุณชายจะสั่นเล็กน้อยราวกับมีอะไรในใจแล้วอยากจะเอ่ยต่อ แต่คุณชายก็เลือกที่จะเงียบและยิ้มให้ราวกับต้องการจะบอกว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้วนะ

   ผมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวของคุณชาย ต้องมีเรื่องอะไรที่คุณชายไม่ยอมพูดกับผมและเก็บเอาไว้คนเดียวแน่ๆ

   ถึงกระนั้น ผมเองก็ไม่กล้าถาม คนอย่างคุณชายถ้าไม่อยากพูดต่อให้ใครบังคับก็ไม่ยอมพูด เว้นเสียแต่จะอยากพูดเอง

   “งั้นคืนนี้...ไปพักกันเถอะครับ” ผมเอื้อมมือไปจับกับมือที่แสนอบอุ่นของคุณชาย จากนั้นเราจึงเดินเข้าวังไปพร้อมกันโดยไม่เกรงกลัวว่าจะมีสายตาคู่ใดแอบมอง










   ...คุณชาย...

   หลังจากที่เห็นข้าวกุมมือกับคนอื่นกลางร้านอาหารผมก็ตัดสินใจจะไปให้ไกลจากข้าวเท่าที่จะไกลได้ทันที หากแต่พอวิ่งไปยังรถ ชายหนุ่มที่เคยพบหน้ากันนานๆ ครั้งซึ่งเป็นคนเดียวกับที่นำทางผมมาที่ร้านอาหารแห่งนี้ได้วิ่งตามมาและถือวิสาสะเปิดประตูรถผมแล้วนั่งประจำที่ของข้าว

   เวลานั้นผมไม่ได้นึกโกรธปอม เพราะกำลังอยู่ในอาการเสียใจที่เห็นภาพข้าวจับมือกับพี่ปั๊มอย่างแนบแน่นมากกว่า

   “กะแล้วเชียวว่าสองคนนี้ต้องมีอะไรกันแน่ๆ สงสัยมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านแล้ว” ปอมจงใจเอ่ยขึ้น นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

   และยิ่งปอมสาธยายยืดยาวต่อไป ความไม่พอใจของผมมันก็เพิ่มขึ้นตามสิ่งที่ปอมกำลังเล่า จนท้ายที่สุดผมจึงสั่งให้ปอมหยุดเล่าเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

   ผมตัดสินใจจะใช้เวลาทั้งหมดของวันนี้อยู่กับปอมและเที่ยวกับปอมเนื่องจากปอมอ้างว่านานๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสได้มาที่นี่ เขาเลยขอให้ผมพาเที่ยว ซึ่งผมเองที่สภาพจิตใจยังไม่สงบจึงเลือกที่จะไม่ปฏิเสธ

   ผมพาปอมเดินทางไปยังสถานที่สำคัญๆ เท่าที่ผมพอจะนึกออกและเคยไป ใช้เวลาแค่หนึ่งวันคงไปสถานที่สำคัญได้ไม่ครบ แต่ก็พาไปเท่าที่จะไปได้

   มองผิวเผินปอมเป็นชายหนุ่มที่ดูเรียบร้อยนิสัยดีไม่ผิดจากคนทั่วไป แต่ผมรู้สึกประหลาดใจเวลาที่เขาพูดถึงข้าว คำพูดคำจาและน้ำเสียงมันมีอะไรบางอย่างที่สื่อให้ผมรับรู้ว่าปอมไม่ชอบข้าว

   จนกระทั่งตอนค่ำผมตัดสินใจไปที่ห้องพักของปอมโดยซื้อเครื่องดื่มมึนเมาขึ้นไปด้วยจำนวนหลายขวด ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะดื่มเองหรอกนะ แต่ผมตั้งใจจะมอมเหล้าปอมแล้วหลอกถามว่าเพราะอะไรเขาถึงได้เอาแต่พูดถึงข้าวในมุมมองที่ไม่ดีเลย

   โชคดีที่แผนการของผมสำเร็จไปอย่างง่ายดาย ปอมเมาหัวราน้ำโดยที่ผมนั้นยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ผมจึงหลอกถามเรื่องต่างๆ มากมายจนรู้ความจริงที่ว่าปอมแอบชอบผมมานาน

   ผมรู้สึกยินดีที่มีคนชอบ แต่การชอบใครแล้วต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนผมคิดว่ามันน่าสมเพชมากกว่า ปอมต่อว่าข้าวต่างๆ นานาอย่างไร้เหตุผล แต่ผมก็ทนฟังจนจบเพราะอยากรับรู้ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัวแค่ไหน

   นอกจากความเกลียดชังที่มีต่อข้าว ปอมยังเผลอหลุดปากออกมาอีกว่าเขาเป็นคนที่ทำให้คุณพ่อของผมรับรู้ความจริงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับข่าว ปอมเป็นคนส่งข่าวให้คุณพ่อและแจ้งข้อมูลสำคัญๆ ให้กับนักสืบตลอดเวลา

   ผมคิดว่าเรื่องอันน่าขยะแขยงที่ปอมกระทำจะมีเพียงเท่านั้นแต่ผมก็คิดผิด เพราะระหว่างที่ผมกำลังจะลุกจากขอบเตียงเพื่อที่จะออกจากห้อง ปอมก็กระชากชายเสื้อของผมให้ล้มลงไปกับเตียงนอนตามเดิม

   “เดี๋ยวก่อนสิครับ... คุณชาย” ปอมพูดด้วยน้ำเสียงที่ยืดยานตามประสาคนเมา “อย่าเพิ่งไปปอมยังมีอะไรที่อยากจะบอกให้คุณชายฟัง เรื่องนี้มันสำคัญมากๆ เลยนะครับ”

   ได้ยินดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ “มีอะไร”

   “ถามกันง่ายๆ แบบนี้ได้ไงครับ ต้องให้รางวัลก่อนสิ”พอพูดจบก็ทำแก้มป่องพร้อมกับใช้นิ้วมือจิ้มไปที่แก้มของตัวเอง “หอมแก้ม... ตรงนี้ แล้วปอมจะเล่าให้ฟัง”

   ผมเบือนหน้าหนีแล้วรีบเบ้หน้ากรอกสายตามองบนทันทีเพื่อระบายความเอือมระอา ก่อนที่จะหันกลับมาแล้วทำตามคำสั่งของปอมด้วยความรวดเร็ว

   ปอมหัวเราะชอบใจ แต่มันยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น “ข้างนี้ด้วย”

   ผมหอมแก้มปอมอีกข้างตามคำสั่งอย่างฝืนใจ

   “เล่าได้แล้ว”

   “คุณชายนี่น่ารักจังเลยนะครับ เอาล่ะๆ ปอมยอมเล่าแล้วก็ได้” ปอมเว้นจังหวะชั่วครู่เหมือนพยายามรวบรวมสติเพื่อที่จะเล่าเรื่องราวต่อไปนี้ “คุณชายไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมคุณพ่อของคุณชายถึงยอมให้ไอ้ข้าวอยู่ในวังกับคุณชายทั้งๆ ที่ท่านแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบไอ้ข้าว”

   “ก็สงสัย แต่พ่อคงกลัวว่าผมจะหนีไปไหนอีกมั้ง” ผมตอบออกไปตามความคิด นึกเอะใจเหมือนกัน พอได้ยินปอมถามแบบนี้เลยชักสังหรณ์ใจแล้วว่าตกลงมันมีอะไรมากกว่านั้นหรือ

   “ไม่ใช่ครับ... แต่เป็นเพราะผมที่บอกให้คุณพ่ออนุญาตให้ไอ้ข้าวอยู่กับคุณชายเอง หึหึ” ปอมเล่าอย่างภาคภูมิใจแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา

   “ทำไมพ่อต้องทำตามคำสั่งของนายด้วย”

   “ก็เพราะมันเป็นแผนที่จะทำให้คุณชายอยู่แต่ในวังไม่หนีไปไหนไงล่ะครับ จนกว่า...” ปอมยกมือปิดปาก “อุ๊บ... ไม่ได้ๆ ผมสัญญากับคุณท่านแล้วว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”

   หากสิ่งที่ปอมพูดคือความจริง คุณพ่อมีแผนให้ผมอยู่แต่ในวังโดยใช้ข้าวเป็นเครื่องมือ แล้วหลังจากนั้นคุณพ่อต้องการจะทำอะไรกันแน่ และข้าวรู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ผมกระวนกระวายใจหนักขึ้น

   “ปอม...” ผมพยายามเค้นเสียงออกมาอย่างนุ่มนวล “ถ้าไม่เล่าผมก็ไม่รู้นะครับ และถ้าผมไม่รู้ผมก็จะโกรธปอมพอผมโกรธความเกลียดมันก็จะตามมา ปอมต้องการให้ผมรู้สึกแบบนั้นกับปอมจริงๆ เหรอ”

   “ไม่นะครับ คุณชายอย่าเกลียดผมนะครับ” ปอมรีบเอื้อมมือมาเกาะแขนของผม ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องต้องหลอกถามต่อให้จบผมคงสะบัดแล้วลุกหนีไปแล้ว

   “ถ้าไม่อยากให้เกลียดก็พูดมาสิ พ่อต้องการให้ผมอยู่ที่วังโดยที่ใช้ข้าวเป็นตัวล่อเพื่ออะไร” ขณะพูดผมก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของคนที่เมาหัวราน้ำอย่างฝืนใจ ลืมตาดูโลกมาหลายปีไม่เคยนึกว่าชีวิตต้องมาทำเรื่องที่ฝืนใจแบบนี้กับใคร ยิ่งคิดก็ยิ่งขยะแขยงทั้งการกระทำของตัวเองและคนที่อยู่ข้างๆ

   “คุณท่านจะจัดงานหมั้นและงานแต่งระหว่างคุณชายกับคุณหญิงดาว กำหนดการคร่าวๆ น่าจะภายในสัปดาห์หน้า ปอมเองก็ไม่แน่ใจว่าวันไหน แต่การจัดงานจะทำแบบลับที่สุดเพราะไม่ต้องการให้คุณชายรับทราบเรื่องนี้จนกว่าจะถึงวันงาน แม้คุณท่านเองจะไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดหากถึงวันนั้นคุณชายจะยอมไหม แต่ท่านก็คิดว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้คุณชายตัดความสัมพันธ์กับไอ้ข้าวได้ ถึงคุณชายจะไม่ยอมแต่งแต่ถ้าไอ้ข้าวต้องเห็นภาพที่คุณชายทะเลาะกับคนในครอบครัว ไอ้ข้าวก็คงจะเจียมกะลาหัวและสำนึกได้ว่าตัวมันเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวคนอื่นต้องทะเลาะและแตกแยกกัน”

   สิ่งที่ปอมพูดออกมาทั้งหมดทำให้ผมอึ้งจนทำอะไรต่อไปไม่ถูก ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เล่า แน่นอนล่ะว่าผมไม่ยอมและคงอาละวาดจนวังแตกแน่ๆ คนนิสัยซื่อๆ อย่างข้าวก็คงจะเอาแต่โทษตัวเองและคงหายไปจากชีวิตผมเป็นแน่

   “แล้วข้าวรู้เรื่องนี้ไหม” ผมถามออกมาโดยภาวนาว่าให้ปอมตอบว่า ‘ไม่’ เพราะถ้าข้าวรู้เรื่องนี้นั่นเท่ากับว่าผมกำลังโดนคนที่ผมรักหักหลังอย่างเลวร้ายที่สุด

   “ปอมไม่แน่ใจ” คำตอบของปอมทำให้ผมโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เพราะมีโอกาสที่ข้าวจะไม่รู้เรื่องเช่นกัน “แต่ปอมคิดว่าน่าจะรู้ คุณท่านน่าจะคุยกับมันแล้ว ไม่งั้นมันคงไม่ยอมอยู่กับคุณชายในวังหรอกครับ หึ... สมน้ำหน้า อีกแค่ไม่กี่วันมันก็จะต้องซมซานออกไปจากชีวิตของคุณชายแล้ว”

   ผมกำมือแน่นและปล่อยให้พูดจนจบ ใครจะทนยืนฟังคนอื่นว่าร้ายคนที่ตัวเองรักด้วยสีหน้าระรื่นได้ หรือถ้ามีนั่นไม่ใช่ผมแน่นอน หลังจากที่มันพูดจนจบโทสะทั้งหมดที่อัดอั้นมาตลอดทั้งวันได้ถูกระบายออกมาด้วยกำปั้นหนักๆ ของผม

   ผมอัดไปที่เบ้าหน้าของปอมอย่างเหลืออด หนึ่งครั้งยังไม่หนำใจ ผมต่อยมันไปเรื่อยๆ จนมันหมดสติไป นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ใจจริงอยากจะถีบมันตกเตียงด้วยซ้ำแต่เพราะเห็นว่ามันยอมคายความลับออกมาเลยลงโทษแค่เบาะๆ พอ

   ก่อนออกจากห้องผมเลยทิ้งโน้ตข้อความไว้ให้มันเจ็บใจเล่นๆ

   ‘ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลเพราะผมต้องรีบกลับไปหาข้าว... เรื่องมีอยู่ว่าปอมเมาแล้วลงไปซื้อของข้างล่าง จู่ๆ ก็มีคนบ้าที่ไหนไม่รู้มาดักปล้นและทำร้ายสภาพก็เลยเละเทะอย่างนี้ ดูแลตัวเองด้วยละกัน’

   ผมขีดเส้นใต้ที่ประโยคแรกเพื่อเน้นย้ำให้คนอ่านรู้ว่าใครสำคัญสำหรับผมมากกว่ากัน ส่วนคนอ่านจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของมัน ไม่มีอะไรที่ผมต้องแคร์มันอีกแล้ว ไอ้สาระเลว...






   ภายในห้องนอน...

   คืนนี้คุณชายดูไม่เหมือนเดิม ปกติจะชวนพูดคุยตลอดเวลาแต่ตอนนี้เอาแต่นิ่งเงียบจนผมไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ บางทีก็หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้เหมือนคนไม่เต็มใจ จนกระทั่งคุณชายอาบน้ำเสร็จคุณชายก็ทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงนอน

   ผมเดินไปนั่งที่พื้นฝั่งที่คุณชายนอนแล้วทิ้งคางเกยขอบเตียงไว้ คุณชายมองผมด้วยความแน่นิ่งแต่ผมพยายามส่งยิ้มหวานๆ แล้วตัดสินใจสรรหาคำมาออดอ้อนด้วยหวังว่าจะให้คุณชายกลับมาเป็นปกติ

   “ขอโทษ... ดีกันนะไอ้เด็กดื้อ” ผมคิดได้แค่เพียงเท่านี้แหละ “ทำหน้าบึ้งอีก ง้อไม่เก่งไม่ได้หมายความว่าไม่รักนะ”

   พูดจบก็ขยับหน้าไปซุกที่ฝ่ามือของคุณชายที่ยืนออกมาบริเวณขอบเตียง แทนที่จะทำตัวให้มันน่ารักๆ แต่กลับเลือกที่จะขบนิ้วมือของคุณชายเบาๆ

   “ไอ้ข้าว!” ได้ผลคุณชายเริ่มกลับมาบ่นเหมือนเดิมแล้ว ผมจึงออกฝังเขี้ยวแรงขึ้น “โอ๊ย... เป็นหมารึไงวะ นี่นิ้วมือไม่ใช่กระดูกนะโว้ยกัดอยู่ได้”

   ได้ยินเสียงคุณชายบ่นผมก็ยิ่งรู้สึกดีใจเลยเผลอออกแรงกัดเข้าไปอีกแรงๆ หนึ่งที และผลจากการกัดครั้งนี้ทำให้ผมได้รับการตอบแทนอย่างสาสม คุณชายใช้มืออีกครั้งมาดันศีรษะผมไปอย่างแรงแถมยังยกขาขึ้นมาช่วยถีบร่างของผมจนผมเซถลาออกจากเตียง

   “ยอมแล้วข้าว พอได้แล้ว” คุณชายเอ่ยขึ้นหลังร่างของผมกระเด็นไปไกล

   “ผมสิต้องยอมคุณชาย เล่นถีบแรงซะขนาดนี้ กลัวจนตัวสั่นหมดแล้วนะครับ” ผมเถียง

   “นี่กลัวแล้วใช่ไหม” คุณชายแสร้งทำเสียงดุ

   “ไม่กลัวหรอกครับ พูดไปงั้น” ผมแกล้งเบ้หน้าแล้วทำท่ายียวนกวนบาทาคุณชาย พอเห็นคุณชายทำท่าฟึดฟัดผมจึงรีบยั้งกายให้ลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปกอดคุณชาย “ล้อเล่น... ผมกลัวคุณชายนะครับ ไม่เคยกลัวใครมากเท่านี้มาก่อน”

   “ยังจะพูดประชดอีก” น้ำเสียงของคุณชายติดขำ กระนั้นแขนทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมากอดผมกลับก่อนจะโน้มใบหน้ามาซบกับไหล่ของผมแล้วกระซิบที่ข้างหูเบาๆ “หรือถ้าไม่ประชด ตกลงกลัวอะไร ทำไมต้องกลัวกันเดี๋ยว ฉันใจร้ายกับข้าวมากเลยหรือไง”

   “ไม่ใช่นะครับ” ผมรีบปฏิเสธ

   “แล้วกลัวอะไร” คุณชายรีบถาม

   “กลัวว่าคุณชายจะไม่รักน่ะครับ”

   “โถ่เอ๊ยเด็กโง่”

   พูดจบคุณชายก็ยกมือขึ้นมาขยี้ศีรษะผมอย่างเอ็นดู แม้ว่าคุณชายจะอายุน้อยกว่าผม แต่การกระทำนี้รวมทั้งรอยยิ้มที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเหลือเกินที่มีคุณชายอยู่ข้างๆ แล้วเหตุนี้... ผมจะสามารถทรยศคุณชายโดยการร่วมมือกับคุณท่าน แล้วปล่อยให้เรื่องระหว่างเราจบลงเท่านี้จริงๆ น่ะหรือ

   ผมอัดอั้นเหลือเกิน ไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร ไม่ว่าจะเลือกทางใดคุณชายก็ต้องเจ็บอยู่ดี หากผมเลือกทำตามข้อเสนอของคุณท่าน ทุกอย่างสำหรับผมคงจบแค่ในวันนั้นแล้วความรู้สึกของคุณชายล่ะ นั่นคือสิ่งที่ผมกังวลใจมากที่สุด แต่หากผมเลือกคุณชาย ก็จะมีโจทย์ข้อใหม่เพิ่มขึ้นมาให้คุณชายเป็นฝ่ายเลือกอีกทีว่าจะเลือกครอบครัวแล้วทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อไปหรือเลือกผมแล้วทิ้งทุกอย่างและเริ่มต้นชีวิตใหม่ไปด้วยกัน

   แค่คิดน้ำตาก็คลอเบ้า ผมพยายามขยับเปลือกตาไปมาเพื่อไม่ให้หยดน้ำเหล่านั้นมันรินไหลออกมาพร้อมกับกอดคุณชายไว้ให้แน่นที่สุดเพราะไม่อยากสบตากับคุณชายในตอนนี้

   “ข้าว...” คุณชายเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวหลังจากที่เราทั้งสองเงียบไปนาน “เป๊กเชื่อใจข้าวนะ”

   “ครับ” วินาทีนั้นผมเข้าใจเพียงว่าคุณชายต้องการจะสื่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ปั๊ม โดยไม่เอะใจสักนิดว่าคุณชายได้รับรู้แผนการที่หม่อมราชวงศ์กริชกรได้จัดการเอาไว้



จบตอน

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 40


ช่วงเวลาที่แสนอึดอัดใจผ่านไปด้วยความยากลำบาก หม่อมราชวงศ์กริชกรเรียกผมไปทราบแผนการอย่างลับๆ อยู่บ่อยครั้งเมื่อตอนที่คุณชายต้องออกไปทำธุระข้างนอกหรือยามเผลอหลับในตอนกลางวัน


   จนในที่สุด... เหลืออีกแค่เพียง 1 วันเท่านั้น งานทุกอย่างที่เตรียมไว้ก็พร้อมที่จะเริ่มขึ้นเท่านั้น ในคืนนี้คุณท่านสั่งให้ผมพาคุณชายออกนอกบ้าน จะไปที่ไหนก็ได้และให้กลับมาอีกทีตอนเวลาหลังเที่ยงคืนแต่ห้ามเกินตีหนึ่ง นั่นเท่ากับว่าวันนี้ทั้งวันจะเป็นการเดทครั้งสุดท้ายระหว่างผมกับคุณชาย

   ผมพยายามคิดอยู่นาน... เรื่องไปเที่ยวน่ะไม่ยากหรอก แต่มันยากเพราะโจทย์ที่คุณท่านตั้งไว้ให้กลับมาหลังเที่ยงคืน หากพูดอะไรเยอะไปคุณชายอาจสงสัยได้ และการที่จะกลับมาหลังเที่ยงคืนก็ต้องไปเที่ยวในที่ไกลๆ สักหน่อย

   ทะเลไม่ใช่สถานที่ที่ดีแน่นอนสำหรับเดทครั้งสุดท้าย ผมจึงตัดทิ้งไปเลยเพราะเคยไปกับคุณชายแล้ว และความทรงจำดีๆ ที่ทะเลก็มีมากมายจนผมพอใจแล้ว

   ผมเข้าเว็บไซต์ดูแผนที่จังหวัดที่อยู่ใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ ซึ่งผมแทบไม่เคยไปสักที แต่มีที่หนึ่งที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ ซึ่งนั่นก็คือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเก่าของเราชาวสยามนั่นเอง

   การไปเที่ยววัดเก่าแก่และทำบุญไหว้พระจึงเป็นตัวเลือกที่ผมสนใจ เคยได้ยินมาว่าหากทำบุญด้วยกันในชาตินี้ ชาติหน้าจะมีโอกาสเวียนมาพบเจอกันอีก เมื่อวาสนาของผมในชาตินี้กำลังจะหมดลง ก็คงทำได้แค่ภาวนาให้ชาติหน้าอย่าได้มีความรักกับใครสั้นๆ แบบนี้อีก

   “คุณชายผมอยากไปอยุธยา ว่างใช่ไหมครับ” ผมเอ่ยขอแบบมัดมือชกขณะที่กำลังนอนหนุนหมอมอยู่บนเตียง “พาผมไปเที่ยวหน่อยสิ”

   คุณชายไม่ได้ตอบออกมาในทันที เขาเดินไปดูสมุดเล่มสีดำที่วางไว้อยู่บนโต๊ะแล้วเปิดอ่านราวกับตรวจสอบว่าวันนี้มีธุระต้องไปทำอะไรที่ไหนหรือเปล่าเพราะสมุดเล่มนั้นคือสมุดตารางเรียนและตารางงานทุกอย่างของคุณชาย ...ชั่วครู่คุณชายก็ปิดสมุดลงแล้ววางเก็บไว้ที่เดิม

   “ได้สิ... ข้าวรีบอาบน้ำเลยนะ แล้วไปอยุธยากัน”

   “ครับ”

หลังจากที่ผมตอบ คุณชายก็ยิ้มรับก่อนจะเดินหยิบโทรศัพท์แล้วเดินไปยังระเบียงห้อง ในทีแรงผมไม่ได้สนใจอะไร ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่ก่อนที่จะเข้าไปอาบน้ำ หางตาเหลือบไปเห็นสีหน้าของคุณชายที่ค่อนข้างเครียด ผมจึงเดินไปแอบอยู่ที่กำแพงใกล้ๆ กับประตูระเบียง

“ขอบใจนะมึง กูมีธุระด่วน ไปไม่ได้จริงๆ ฝากบอกอาจารย์ด้วย ไว้เดี๋ยวกูจะโทรไปเล่ารายละเอียดให้อาจารย์ฟังทีหลังเอง”

เสียงของคุณชายเล็ดลอดเข้ามา ผมอยากรู้ว่าคุณชายมีธุระอะไรจึงตั้งใจจะฟังต่อแต่ทว่า...

“ข้าว” เสียงคุณชายดังขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ประตูบานระเบียงถูกเปิดออก

ผมสะดุ้งโหยง ไม่คิดว่าคุณชายจะวางสายโทรศัพท์ไวขนาดนี้

“ผม... เอ่อ...” ผมพยายามนึกข้อแก้ตัว “อ้อ... ผมจะไปเอากางเกงบ็อกเซอร์น่ะครับ”

พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไปหยิบกางเกงบ็อกเซอร์ที่แขวนเอาไว้แต่คุณชายกลับคว้าแขนผมเอาไว้เสียก่อน

“นั่นมันบ็อกเซอร์ของฉัน” คุณชายเอ่ยขึ้น “ของข้าวก็เก็บเข้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ”

“อะ... เออ... จริงด้วยครับ”

“แล้วอีกอย่างบ็อกเซอร์ของข้าวก็ถืออยู่ที่มือไม่ใช่เหรอไง”

ผมเหล่ตามองตามที่คุณชายเอ่ย บ็อกเซอร์สีขาวอยู่ในมือจริงด้วย ผมจึงเงยหน้ามองคุณชายอีกครั้งพลางยิ้มแหยๆ ให้เพราะนึกข้อแก้ตัวไม่ออก

“หรือว่าจะเอาของฉันไปดม... เออ... ไปเอาไป” คุณชายทำเสียงยียวนก่อนจะปล่อยมือผมแล้วเดินกลับไปที่เตียงนอน

ผมยืนนิ่งหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะโมโหที่โดนคุณชายกล่าวหาแบบนั้นหรือเพราะรู้สึกอายกันแน่ ผมไม่ได้โรคจิตนะ แต่ผมเคยหยิบมันมาดมหลังซักเสร็จบ่อยๆ ก็เพราะกลิ่นผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มของที่วังแห่งนี้สั่งตรงมาจากต่างประเทศ ซึ่งมันหอมกว่าของที่ผลิตในประเทศไทยมากๆ

ข้ออ้างของผมเหมือนจะดูๆ แต่จริงๆ แล้วผมชอบกลิ่นของคุณชายนั่นแหละ... ยิ่งกลิ่นตอนก่อนสักมันหอมมาก ผมมั่นใจว่าทุกครั้งที่ผมแอบหยิบมันมาดมไม่น่าจะมีใครเห็น ...หรือว่าคุณชายจะเคยเห็น

“ยืนแข็งเป็นรูปปั้นเชียว เรื่องแบบนี้ปิดกันไม่ได้หรอกข้าว ฮ่าๆๆ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า” ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะอีก
ผมแยกเขี้ยวพร้อมชูนิ้วกลางใส่คุณชายเป็นการแก้เขิน คุณชายทำท่าเหมือนจะวิ่งมาเตะ ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อกประตูทันที

“โถ่.. ไอ้อ่อน อย่าออกมานะโว้ย ออกมาโดนลงโทษแน่ บังอาจมาชูนิ้วกลางใส่กัน มันน่านัก!!!”

“ผมล้อเล่นน่าคุณชาย ก็อยากมากล่าวหาว่าผมโรคจิตก่อนทำไม” ผมตะโกนกลับ

“เออ! ช่างเหอะ รีบอาบละกัน อยากไปเที่ยวกับข้าวจะแย่ละ” น่าแปลกที่คุณชายไม่เถียงต่อ ยอมอ่อนข้อให้ง่ายดายเหลือเกิน แต่ก็ดีเหมือนกัน... ผมจะได้ไม่รู้สึกอายหากต้องเถียงเรียงความโรคจิตเล็กๆ ของตัวเองต่ออีก






ระหว่างเดินทาง... เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นอยู่หลายครั้ง แต่คุณชายก็ไม่ยอมรับสักคำและปิดเครื่องไปในที่สุดเพื่อตัดความรำคาญ พอผมเอ่ยถามว่าใครโทรมา คุณชายก็ตอบเพียงว่าเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ไม่มีธุระอะไรมากแล้วก็เปลี่ยนเรื่องเฉยเลย

การเดินทางจากเมืองหลวงปัจจุบันไปยังอดีตเมืองหลวงนั้นไม่ยากเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษก็เดินทางมาถึงจุดหมาย

“อยากไปวัดไหนล่ะ” คุณชายเอ่ยถามขณะขับรถเข้าสู่ตัวเมือง รู้ได้เพราะสังเกตเห็นป้ายสถานที่ราชการสำคัญๆ หลายแห่ง “เห็นบอกว่าอยากมา คงศึกษามาแล้วใช่ไหม”

“คือผม...” ผมรู้สึกผิดจังที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาเลยว่าจังหวัดนี้มีสถานที่ไหนที่น่าเที่ยวบ้าง “ผมไม่ทราบครับ ผมแค่อยากมา รู้แค่ว่ามีวัดเก่าๆ มากมาย”

“กะแล้วเชียว” คุณชายพึมพำออกมาก่อนจะยื่นมือถือมาให้ “กดเปิดเครื่องแล้วลองหาข้อมูลในเว็บดูซะ”

“ครับ”

ผมรับโทรศัพท์แล้วทำตามที่คุณชายสั่งทันที แต่ก่อนที่ผมจะค้นหา ข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์ที่โชว์ขึ้นนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกังวลใจ เห็นดังนั้นผมจึงถือวิสาสะกดเข้าไปอ่านข้อความนั้นแบบเต็มๆ

ไอ้คุณชายครับ... ถ้าไม่รีบโทรกลับอาจารย์จะให้คุณมึงตกและต้องลงทะเบียนเรียนใหม่ในปีหน้านะครับ กูพยายามพูดช่วยมึงเต็มที่แล้วนะเว้ย

หลังจากที่อ่านข้อความจบ ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าคุณชายต้องมีธุระที่มหาวิทยาลัยแน่ๆ

“คุณชายครับ”

“ว่าไง เลือกวัดได้แล้วเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ... วันนี้คุณชายมีธุระอะไรที่มหาลัยหรือเปล่าครับ”

“ทำไม” คุณชายแย่งโทรศัพท์จากผมแล้วเหลือบตามองอ่าน สักพักก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะปั้นหน้ายิ้ม “ช่างมันเหอะ มันไม่สำคัญหรอก”

“สำคัญสิครับ อนาคตคุณชายนะครับ รีบโทรกลับไปหาเพื่อนเลย” ผมเอ่ยอย่างร้อนรน 

“ข้าวไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอะไร เดี๋ยวค่อยกลับเคลียร์ทีหลัง” คุณชายยังยืนยันคำเดิม

“ไม่ได้ครับ ถ้าตกต้องเรียนใหม่ ก็จะจบช้าไปอีก” ผมก็ยังยืนยันตามเดิมเช่นกัน

“ตกอะไร เพื่อนมันก็ส่งมาขู่ไปงั้นแหละ ไม่ต้องห่วงน่าอาจารย์ใจดีจะตายไปแค่ขี้บ่นไปหน่อยก็เท่านั้น ข้าวก็คงเคยเจอเหมือนกันใช่ไหม อาจารย์ที่ชอบบ่นชอบขู่ จริงๆ ก็แค่เป็นห่วงเราไม่มีอะไรมากหรอก”

 น่าแปลกที่คุณชายยิ้มแย้มตลอดเวลา... เอาแต่ยิ้มจนผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่เต็มใจ เพียงแต่กำลังฝืนเพราะต้องการให้ผมรู้สึกดี แต่ผมจะเถียงอะไรก็ไม่ได้เพราะเหตุผลที่คุณชายยกมานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด อาจารย์หลายท่านที่ชอบบ่นนักศึกษา ขู่นึกศึกษาเรื่องคะแนนนั้นไม่ได้เกลียดหรือกลั่นแกล้งนักศึกษาหรอก เพียงแต่พวกท่านเป็นห่วงว่านักศึกษาของตัวเองจะออกนอกลู่นอกทางมากกว่า

“ข้าวหาข้อมูลต่อดีกว่า มาถึงนี่แล้วจะโทรไป หรือกลับไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” คุณชายยังคงยิ้ม “นะครับ เที่ยวกันให้สนุกดีกว่า”

...และยังคงยิ้มต่อไปแถมยังยกมือมาขยี้ศีรษะผมอีก ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปหรือเปล่า ท่าทางของคุณชายในตอนนี้ดูอ่อนโยนเกินปกติ คุณชายจะรู้บ้างไหมว่าการที่คุณชายทำตัวดีกับผมแถมยังยิ้มให้ตลอดเวลาแบบนี้มันยังทำให้ผมทำใจลำบาก

   ผมพยายามไม่สนใจรอยยิ้มของคนที่กุมหัวใจของผมเอาไว้และเลือกที่จะกดหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวตามที่เขาต้องการต่อไป

   “เออข้าว... เราเคยตกลงกันแล้วใช่ไหม ว่าจะไม่เรียนฉันว่าคุณชาย” คุณชายเอ่ยถามระหว่างที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์

   “มันชินน่ะครับ” ผมตอบตามตรง “เรียกชื่อเฉยๆ ผมว่ามันดูห้วนๆ ไป”

   “ก็อยากให้เรียกแบบนั้น มันจะได้ดูไม่ห่างเหินกันเกินไป ใครๆ เขาก็ทำกัน ในหนังสือก็บอกเอาไว้แบบนั้น” คุณชายหัวดื้อยังคงเถียง แต่เดี๋ยว...

   “หนังสือ... หนังสืออะไรครับ” ผมจ้องคุณชายด้วยสายตาที่จงใจให้เห็นว่ากำลังจับผิดอย่างจริงจัง

   “หนังสืออะไร้” คุณชายทำเสียงสูง “ไม่มี้... แค่อ่านผ่านๆ”

   “อ๋อ...” ผมพยายามครุ่นคิด จนกระทั่งนึกออกว่าเคยเห็นหนังสือเล่มเล็กๆ ในลิ้นชักของคุณชาย “ไอ้หนังสือคู่มือมัดใจแฟนที่คุณชายเก็บไว้มันเป็นอย่างดีในลิ้นชัดโต๊ะทำงานใช่ไหมครับ”

   “เหอะ...” คุณชายพ่นลมหายใจออกมา “ขี้ค้นชะมัด”

   “ผมอ่านแล้วล่ะ มิน่าล่ะถึงอยากให้เรียกแทนชื่อกันและกัน และพยายามทำอะไรหลายๆ อย่างตามที่หนังสือเล่มนั้นบอก” ได้ทีผมก็ล้อใหญ่ “รู้แบบนี้แล้ว... จะให้ผมเลิกรักคุณชายได้ยังไงล่ะเนี่ย”

   คำพูดที่เอ่ยออกไปเหมือนจะหวานซึ้ง หากแต่ความรู้สึกภายในจิตใจของผมในตอนนี้มันกำลังเหี่ยวเฉา ยิ่งพอรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณชายเองก็พยายามที่จะทำหน้าที่ของคนรักที่ดี จนกระทั่งแอบไปซื้อหนังสือคู่มือมัดใจแฟนมาอ่านมันยิ่งทำให้ผมลำบากใจ

   “พูดอย่างกับว่าจะเลิกรักกันงั้นแหละ” คนพูดทำแสร้งทำเสียงประชดประชัน

   “ไม่ใช่นะครับ”  ผมรีบปฏิเสธ “หมายถึงรักมากอยู่แล้ว... ยิ่งทำตัวแบบนี้ก็ยิ่งรักมากๆ ขึ้นไปอีก”

   “รักข้าวเหมือนกัน... รักมากด้วย” พูดแล้วก็ยิ้มหวานๆ มาให้

   สถานการณ์แบบนี้ผมควรจะดีใจ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ สองสามวันมานี้คุณชายทำตัวน่ารักมาก อาจมียียวนกวนประสาทตามประสาแต่ในหลายๆ ครั้งกลับมีมุมอ่อนโยน น่ารักแถมยังบอกรักกันมากกว่าปกติเหมือนกับต่างคนต่างรู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่นานที่จะได้อยู่ด้วยกัน

   ‘หรือว่าคุณชายจะรู้’

   แล้วความสงสัยก็ผุดขึ้น ผมเหลือบมองคุณชายอีกครั้งพลางนึกคิดว่าเผลอพูดหรือทำอะไรให้คุณชายจับผิดได้หรือเปล่า สุดท้ายก็สรุปได้ว่าไม่ ผมไม่เคยหลุดปากหรือทำตัวน่าสงสัย แม้แต่ตอนที่พบกับหม่อมราชวงศ์กริชกรทุกครั้ง ผมก็มั่นใจว่าคุณชายต้องไม่เคยจับได้แน่นอน เพราะนอกจากจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี คนของคุณท่านก็คอยดูต้นทางให้ตลอด ความลับจึงยังไม่น่าจะรั่วไหล

   ‘หรือจะเป็นคนอื่นที่หลุดปาก’

   แล้วความสงสัยก็ประเดประดังเข้ามาอีกเรื่อยๆ ไม่รู้จบ แต่ผมก็พยายามหาเหตุผลมากลบได้อย่างมิดชิดทุกข้อสงสัยเช่นกัน หากคุณชายรู้มีหรือที่จะอยู่นิ่งเฉยไม่แสดงอาการอะไรออกมา นั่นจึงทำให้ผมสรุปได้ว่า เรื่องในวันพรุ่งนี้จะยังคงเป็นความลับ

   “เอ้อข้าว....”เสียงคุณชายดังขึ้น อาจเพราะผมนั่งเงียบนานเกินไป เอาแต่คิดมากเรื่องแผนการของคุณท่าน “ไม่ต้องหาแล้วนะ เดี๋ยวเราจะแวะกินก๋วยเตี๋ยวเรือร้านนั้น แล้วฉันจะให้เจ้าของร้านแนะนำเอง”

   “ได้ครับ” ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรคนในพื้นที่ก็น่าจะมีข้อมูลมากกว่า

   เราสองคนแวะทานก๋วยเตี๋ยวเรือกันจนเสร็จสรรพ เจ้าของร้านให้ความช่วยเหลือในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวเป็นอย่างดี มีแผนที่และให้รายละเอียดวัดสำคัญๆ รวมถึงการเดินทางไว้อย่างครบถ้วน






   ตลอดการเดินทาง ผมเห็นโบราณสถานมากมาย เคยเห็นซากวัดปรักหักพังในละครหลายๆ เรื่อง ให้ความรู้สึกถึงมนต์ขลังแปลกๆ แต่พอได้มาสัมผัสกับตาตัวเองกลับสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นจากการดูผ่านหน้าจอทีวีไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวจากการมาเห็นด้วยตาตัวเองเลยสักนิด

   ภาพอิฐที่เรียงรายกันเป็นกำแพง ล้อมรอบเจดีย์ และวังเก่า แค่มองจากภายนอกก็ชวนให้น่าค้นหา มันลึกลับพลางทำให้คิดต่อไปว่าในอดีตบ้านเมืองของเราจะมีการดำรงชีวิตอย่างไรกัน

   คุณชายพาผมแวะไปหลายสิบวัดทั้งวัดเก่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาหรือวัดใหม่ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ วัดเก่าบางวัดยังดูสมบูรณ์สวยงามอยู่เลย แต่บางวัดกลับเหลือเพียงเศษซากอิฐที่เป็นกำแพงล้อมรอบเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะผ่านไปวัดไหนๆ ผมก็จะอธิษฐานในใจ ให้เรื่องระหว่างผมกับคุณชายผ่านไปได้ด้วยดี

   นอกจากความสุขสบายใจที่ได้มาไหว้พระขอพรแล้ว ความสุขอีกอย่างที่ผมได้รับในวันนี้ก็คือทุกครั้งที่ลงจากรถแล้วเดินเข้าวัด คุณชายจะจับมือผมตลอดทาง แม้จะมีสายตาของนักท่องเที่ยวหลายคู่จับจ้องมาที่เราสองคน แต่คุณชายก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด

   ความจริงแล้วผมไม่ได้รู้สึกต้องการให้เอาใจหรือทำอะไรน่ารักๆ แบบนี้หรอก มันเหมาะสำหรับคู่รักชายหญิงมากกว่า แค่ทำตัวดีๆ เข้าใจและให้อภัยกันในทุกๆ เรื่องอย่างที่ผ่านมาก็ปลื้มมากแล้ว

   จับมือกับผู้ชายท่ามกลางสายตาผู้คนมันน่าอายเหมือนกันนะ ร้อยพ่อพันแม่แต่ละคนอาจมีความคิดเห็นในการกระทำนี้ต่างกัน ในทีแรกผมคิดจะคลายมือออก แต่เหมือนคุณชายจะรู้ตัวแล้วกำมือผมไว้แน่น เขาไม่พูดอะไรเพียงส่งยิ้มมาให้ นั่นทำให้ผมรับรู้ได้ว่าการกระทำมันเกิดขึ้นจากการตั้งใจจริงของคุณชาย อีกทั้งเหตุผลที่ว่า ...นี่คือเดทครั้งสุดท้ายของเรา... ผมจึงรู้สึกพิเศษมากขึ้นกับเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เล็กแบบนี้

   เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทอง พระอาทิตย์ใกล้ตกดินเต็มทน ใจของผมก็ยิ่งสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามจะไม่คิดถึงมันแต่ก็ทำไม่ได้เลย

   แม้นภาพเบื้องหน้าจะสวยงามราวกับนิมิตแต่จิตใจของผมตอนนี้มันมืดมิดดำดิ่งเหลือเกิน...

แสงสีทองถูกปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า เหล่านกกาเริ่มโบยบินกลับรังกันเป็นฝูง เสียงของพวกมันดังเจี๊ยวจ๊าวราวกับกำลังหัวเราะเยาะ เจดีย์ที่สูงตระหง่านเริ่มส่งภาพมัวหมองเมื่อความมืดเข้าปกคลุม จากภาพนิมิตที่สวยงามกำลังผลัดเปลี่ยนเป็นภาพที่มืดสนิท เหมือนมันกำลังตอกย้ำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น 

   ใจสั่นระรัว มือสั่นระริก เม็ดเหงื่อซึมใบหน้าทั้งที่อากาศในตอนนี้มีลมพัดโชยมาตลอดเวลา อาการกระอักกระอ่วนเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกทั้งตื่นเต้น หวาดกลัว เสียใจ วิตกจริตคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

   สงสัยอาการผมคงแสดงออกชัดเจนเกินไป เลยทำให้คนที่กำลังจับมือผมเอาไว้รู้ตัว

   คุณชายคลายมือออกแล้วเปลี่ยนเป็นมาโอบกอดร่างของผมเอาไว้... เขารัดร่างของผมเอาไว้อย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไปไหน การกระทำนั้นทำให้ผมน้ำตาคลอเบ้า ร่างกายสั่นแรงมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับหัวใจที่ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่ามันเต้นแรงและถี่มากกว่าปกติ

   คุณชายไม่พูดอะไรสักคำ เขากอดผมแน่นเหมือนกำลังแข่งกับตัวเองว่าจะสามารถทำให้ผมกลับมาสงบนิ่งได้เหมือนเดิมหรือไหม ...ทั้งกอด ทั้งลูบหัว ทั้งเอาคางซบไหล่ จนกระทั่งผมสัมผัสได้ถึงความห่วงใย ร่างกายที่อุ่นร้อนของคุณชายส่งผ่าน
   ร่างกายของผมสงบลง แต่น้ำตาที่กำลังคลอเบ้ามันพร้อมที่จะไหลลงอาบใบหน้าเต็มที่ หากมีอะไรมาสะกิดความรู้สึกอีกนิดเดียว เขื่อนรอบดวงตาที่พยายามสร้างขึ้นมาคงแตกพังทลายอย่างแน่นอน

   “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เสียงของคุณชายช่างนุ่มน่าฟังเหลือเกิน ไม่ถามอะไรตอกย้ำสักคำราวกับรู้ว่าอาการเมื่อครู่มันเกิดขึ้นเพราะเหตุผลใด

   ผมภาวนาอย่าให้คุณชายพูดอะไรไปมากกว่านั้นเพราะกลัวจะกลั้นไอ้น้ำตาที่ดื้อด้านไว้ไม่ไหว จึงตัดสินใจยกมือขึ้นมากอดร่างของคุณชายเอาไว้อย่างแนบแน่นเป็นคำตอบให้เขารับรู้ว่าผมไม่เป็นอะไร

   เราสองคนยืนกอดกันอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ ไม่แน่ใจว่าผ่านไปกี่นาที แต่มันนานเสียจนทำให้ผมสามารถเก็บความเครียดทั้งหมดเอาไว้ น้ำตาที่คลอเบ้าพลันเหือดแห้งหายไปและฝืนกลับมาทำตัวปกติได้เหมือนเดิม

   ผมเป็นฝ่ายที่ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกแล้วเอียงหน้าเล็กน้อยมองคนที่ตัวสูงกว่า ความมืดในยามนี้ไม่มีผลต่อการมองเห็นและสัมผัสถึงรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของคนตรงหน้า …เขากำลังยิ้มตาหยีเชียวล่ะ

   ไม่เคยคิดเลยว่าเด็กชายที่เคยตัวเล็กๆ ดื้อด้านเอาแต่ใจแบบคนคนนี้ วันหนึ่งจะโตตัวกว่าผมและสามารถทำให้ผมเปลี่ยนความคิดว่าจากเด็กที่แสนซนจะเปลี่ยนเป็นคนที่แสนอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้

   อ้อมกอดที่มีแต่ความอบอุ่น... อบอุ่นจนทำให้ความร้อนลุ่มของผมหายไป ผมจะจดจำเอาความรู้สึกนี้เอาไว้ตลอดไป

   อยู่ๆ ริมผีปากของผมก็ขยับแล้วแย้มยิ้มให้กับคนตรงหน้า มันเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้ฝืนหรือพยายามแต่อย่างใด แต่หัวใจและความรู้สึกของผมได้สร้างรอยยิ้มนี้ขึ้นมาเอง และสักพักมันก็ค่อยๆ จางหายไป

   “ค่ำแล้วนะ อยากกลับหรือยัง” เสียงของคุณชายทำให้ผมต้องดึงสติกลับมาแล้วต่อสู้กับสิ่งที่ต้องเผชิญต่อไป

   ผมพลิกข้อมือขึ้นมาดูเวลา เหลือเวลาอีกตั้ง 5 ชั่วโมงกว่าจะเที่ยงคืน “ยังเลยครับ หาอะไรอร่อยๆ กินก่อนได้ไหม”

   “เอาสิ ข้าวอยากกินไร วันนี้จะตามใจข้าวเป็นพิเศษในทุกๆ เรื่อง” พูดจบก็ยิ้มจนตาหยีอีกแล้ว

‘...ขอร้องล่ะครับ อย่าทำตัวแสนดีน่ารักๆ แบบนี้อีกเลย เดี๋ยวผมจะข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว’ ผมคิดในใจก่อนจะตอบออกไปในคำถามนั้น “เคยได้ยินพี่ๆ ที่ปั๊มพูดว่ากุ้งเผาอยุธยาอร่อยนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าร้านไหนและอยู่ตรงไหน”

คุณชายพยักหน้ารับรู้แล้วกดมือถือหาข้อมูลอยู่ประมาณ 2 นาทีจึงเงยหน้ามายิ้มร่าจนแก้มแทบปริแล้วจับมือผมเดินกลับไปขึ้นรถ

“ไปไหนครับ” ผมเอ่ยถามอะไรโง่ๆ ออกไป รู้ทั้งรู้ว่าเขาจะพาไปไหน ถ่วงเวลาได้แค่ 1-2 วินาทีเพื่อให้คุณชายหยุดตอบผมก็ต้องทำ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนของคุณท่าน ผมนึกไม่ออกแล้วว่าหากรับประทานอาหารมื้อค่ำกันเสร็จผมจะใช้วิธีไหนถ่วงเวลาของคุณชายต่อไป

“ไปกินกุ้งเผาไง” คุณชายตอบออกมา



จบตอน

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอน 41
   ...ผมถ่วงเวลาได้สำเร็จ...

   ผมนั่งอยู่ในห้องน้ำของปั๊มน้ำมันระหว่างทางกลับนานเกือบชั่วโมง เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้เพราะหลังจากที่ออกจากร้านกุ้งเผา เหลือเวลาอีกประมาณตั้งสองชั่วโมงครึ่ง ( ตอนนี้จะเท่ากับเวลา 21.30 น.) กว่าเวลาจะล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืน ผมจึงต้องทำอะไรก็ได้เพื่อถ่วงเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง ( ก็จะเท่ากับ 22.30 น. ) เพื่อให้อีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่เหลือเป็นเวลาขับรถกลับวัง

   ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง  ผมก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ใจหนึ่งอยากบอกแผนการของหม่อมราชวงศ์กริชกรให้คุณชายรับทราบแล้วหนีไปด้วยกัน แต่อีกใจก็ต้องอดทนเอาไว้เมื่อพยายามคิดว่าสิ่งที่คุณท่านกระทำคือสิ่งที่ถูกต้องมากที่สุดแล้ว

   ผมเคยพยายามให้คุณท่านเปลี่ยนใจ สอบถามไปว่าให้คุณชายแต่งงานตั้งแต่อายุเท่านี้จะไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตหรือ คุณชายอายุยังไม่ถึง 20 ปีเต็มด้วยซ้ำ ถ้ากลัวสังคมประณามเรื่องการมีความรักต่อเพศเดียวกัน ก็ต้องกลัวสังคมประณามที่ปล่อยให้ลูกชายแต่งงานทั้งที่ยังเรียนไม่จบ

   คุณท่านตอบเพียงว่าเรื่องนั้นไม่มีปัญหา อีกอย่างฝ่ายหญิงก็เรียนจบมีการงานมั่นคงและยินยอมแผนการนี้ด้วยความเต็มใจเพราะหลงรักคุณชายมาตั้งแต่เด็ก และการถูกชาวบ้านนินทาในเรื่องนี้มันเล็กน้อยมากหากเทียบกับให้ชาวบ้านรู้ว่าตระกูลสุริยะวิทูปล่อยให้ลูกชายเป็นพวกรักร่วมเพศ

   สิ่งที่หม่อมราชวงศ์กริชกรพูดมานั้นแล้วนั้นล้วนถูกต้องทุกประการ ผมพยายามหาเหตุผลมาหักล้างก็คิดได้เพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น... คือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการมัดมือชกและฝืนใจคุณชาย มันไม่ใช่เรื่องยุติธรรมสำหรับคุณชายเลยสักนิด

   ...แต่มันก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วเช่นกัน

   ผมคิดเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงของคุณชายเอ่ยเรียก

   “ข้าว... ข้าว... ถึงแล้วนะ”

   ผมขยี้ตาด้วยความรู้สึกงัวเงีย พอมองออกไปนอกกระจกจำได้ว่าที่ตรงนี้คือโรงจอดรถของคุณชาย ผมจึงสะดุ้งโหยงและพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูทันที

   เมื่อเห็นว่าเข็มนาฬิกาบอกเวลาว่ายังอยู่ในช่วงที่หม่อมราชวงศ์กริชกรกำหนดจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

   “เป็นไร ถอนหายใจอะไรขนาดนั้น”

   “อ้อ...” ผมรีบหาเหตุผลที่เข้าท่า “นึกว่าจะโดนคุณชายปล้ำซะแล้ว”

   “ไอ้...” คุณชายแยกเขี้ยวใส่ ผมรีบเปิดประตูลงจากรถทันทีไม่รอให้คุณชายมีโอกาสด่า

   หลังจากที่ออกจากโรงรถ ผมพยายามสังเกตดูรอบรั้วเขตวังปรากฏว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สวนภายในเขตวังยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ตรงกลางเป็นลานหญ้าขนาดกว้างมีดอกไม้หลากสีปลูกประดับเป็นหย่อมๆ

   พอเดินเข้าไปในวัง บรรยากาศกลับดูอึมครึมกว่าคืนอื่นๆ ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดจากเรือนพักแม่บ้าน แม้แต่คนสวนคนงานที่ชอบสุมหัวดื่มสุราดึกๆ ในคืนนี้ก็หายหน้าหายตาไปหมด ผมเดาได้ว่าอาจเพราะคุณท่านกำชับอย่างหนักแน่นทุกคนเลยต้องระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างดี

   เมื่อทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผน... แผนต่อไป ผมต้องทำให้คุณชายนอนหลับสนิทเพื่อที่หากมีเสียงดังรบกวนขึ้นมายามดึก คุณชายจะได้ไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

   “คุณชายนอนเลยไหมครับ” ผมถามก่อนที่เราจะก้าวขึ้นบันได

   “คงอาบน้ำแล้วนอนเลย เหนื่อยมาทั้งวันละ” คุณชายเหยียดแขนขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะแสร้งทำใบหน้าให้ดูน่ารัก “อยากนอนกอดข้าวจะแย่แล้ว”

   “งั้นรีบไปอาบน้ำเลยครับ เดี๋ยวผมขอไปอุ่นนมก่อนนะครับ”

   “อย่านานนะ” คุณชายทำเสียงออดอ้อน

   “ครับ” ผมพยักหน้า พูดจบก็ผลักบั้นท้ายของคุณชายเบาๆ เป็นสัญญาณบอกว่าให้รีบขึ้นไปได้แล้ว

   คุณชายก้าวขาขึ้นบันไดทีละขั้นราวกับโดนบังคับ กระทืบเท้าเสียงดังราวกับเด็กโดนขัดใจจนในที่สุดก็ขึ้นไปถึงชั้นบน

   “รีบตามมานะ” คุณชายตะโกนบอก

   “ครับ” ผมตอบรับ จากนั้นก็เสียเวลาอีกหลายนาทีกว่าที่เราจะแยกจากกันได้ เพราะคุณชายกับผมต่างชวนกันคุยไปมาเรื่องไร้สาระราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีก

   ผมเดินตรงไปยังห้องครัวหลังจากที่แยกกับคุณชาย หลังจากที่ก้าวเท้าเข้าห้องครัวได้แค่ครึ่งก้าวผมก็ต้องผงะเมื่อเห็นร่างของใครบางคนนั่งอยู่ในนั้น

   “หม่อมย่า” ผมรีบวิ่งเข้าไปหาทันทีเมื่อตั้งสติได้ ท่านสวมชุดนอนผ้าแพรสีขาวขลิบทอง “ทำไมมานั่งอยู่ในนี้ครับ ไม่สบายหรือต้องการอะไรบอกผมได้เลยนะครับ”

   หม่อมย่าส่ายศีรษะก่อนจะตบเก้าอี้ตัวข้างๆ ของท่านแล้วบอกผม “มานั่งตรงนี้สิ ย่าเข้ามารอข้าว”

   เป็นที่รู้กันว่าคุณชายจะต้องดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนทุกคืน และพอผมมาอยู่ที่นี่ หน้าที่อุ่นนมก่อนนอนจึงเป็นหน้าที่ของผม

   “ครับ” ผมตอบรับอย่างเกร็งๆ แล้วทำตามที่ท่านสั่ง ใจเต้นตึกๆ ไม่เป็นจังหวะด้วยกลัวว่าจะโดนหม่อมย่าเทศนาเรื่องผมกับคุณชายเช่นเดียวกับที่หม่อมราชวงศ์กริชกรทำ
 
   “ย่ารักหลานย่ามากนะ...” น้ำเสียงของหม่อมย่าแหบพร่าและแต่ละคำที่เปล่างออกมาล้วนเชื่องช้ากว่าคนวัยหนุ่มสาว “ย่ากับชายเป๊กไม่เคยมีความลับอะไรต่อกัน ไม่ว่าชายเป๊กจะทำอะไรผิด ชายเป๊กก็จะยอมรับผิดกับย่าเสมอ แต่กับเรื่องของข้าว... ชายเป๊กไม่เคยบอกย่าเลย เห็นแม่วลีพูดถึงข้าวอยู่บ่อยๆ ตอนที่พาชายเป๊กไปเยี่ยมชายเป๊กที่ต่างจังหวัด แม่วลีชื่นชมข้าวให้ย่าฟังนะรู้ไหม บอกว่าเป็นเด็กคนเดียวที่สามารถกำราบเป๊กได้ และพอย่าถามชายเป๊กถึงเรื่องข้าวทีไร เขาก็จะเอาแต่พ่นลมหายใจออกมาแล้วบอกว่าย่าอย่ายุ่งน่า...”

   ผมเดินไปรินน้ำให้หม่อมย่า โดยที่หม่อมย่ายังคงเล่าต่อไป

   “...ย่าก็เลยไม่ยุ่งเรื่องของข้าวอีก แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่าชายเป๊กมาคุยเรื่องของข้าวให้ย่าฟังทุกครั้งที่ไปเยี่ยม ทั้งชม ทั้งด่าบ้างปะปนกันไป แต่ทุกครั้งที่พูดถึงข้าวสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือชายเป๊กจะยิ้มและหัวเราะแบบมีความสุขมาก ย่าเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย ...ย่านึกอยากเจอข้าวมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที จนกระทั่งย่ามารู้ว่าชายเป๊กกับข้าวมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน”

   คุณย่าหยุดพูดแล้วมองหน้าเหมือนต้องการให้ผมเอ่ยอะไรออกไป สายตาของคุณย่าที่จับจ้องมาไม่ใช่สายตาดูแคลนแบบของหม่อมราชวงศ์ แต่เป็นสายตานิ่งๆ ที่แผ่รังสีความกดดันออกมาราวกับว่ากำลังใช้สายตานั้นสั่งให้ผมพูดอะไรออกไปก็ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้

   “ผมขอโทษนะครับหม่อมย่า” ผมพูดโดยที่หลบสายตา จะกล้าสู้หน้าได้อย่างไรในเมื่อผมมันเป็นแค่เด็กปั๊มจนๆ ที่ไม่มีสมบัติและเกียรติยศอะไรเลย “ทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นครับ”

   “ในทีแรกที่ย่ารู้เรื่อง ย่าเองก็รับไม่ได้ ไม่ใช่เพราะข้าวไม่มีสมบัติหรือยศถาบ้าบออะไรหรอกนะ แต่เพราะหลานของย่ากับข้าวเป็นผู้ชายเหมือนกัน ย่ายังคิดภาพไม่ออกเลยว่าผู้ชายสองคนจะรักกัน มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันได้ยังไง แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้นย่าเองก็อยากรู้ว่าข้าวมีดีอะไรชายเป๊กถึงได้หลงหัวปรักหัวปรำ”

   คุณย่าหยุดพูดอีกแล้ว... ผมต้องให้คำตอบกับคุณย่าใช่ไหมว่าผมมีดีอะไร คุณชายถึงได้หลงรักหัวปรักหัวปรำ

   “ผมคง... ยอมอ่อนข้อให้กับคุณชายในทุกๆ เรื่องมั้งครับ”

   “เพราะย่าสงสัย ย่าเลยแกล้งสำลักข้าวต้มใส่ข้าวในวันที่เราเจอกันครั้งแรก ย่าอยากรู้ว่าข้าวจะทำยังไง และสิ่งที่แสดงออกก็ทำให้ย่าพึงพอใจอย่างยิ่ง นอกจากจะไม่บ่น ข้าวยังห่วงย่ามากกว่าห่วงตัวเอง แต่เพราะย่าไม่แน่ใจ ย่าเลยลองคุยกับชายเป๊กตรงๆ ว่าเพราะอะไรชายเป๊กถึงรักข้าว”

   ผมกลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น อยากรู้เหลือเกินว่าคุณชายจะตอบว่าอย่างไร ทั้งไหนจะเรื่องแผนการแกล้งสำลักข้าวต้มอีก ตกลงคุณยายต้องการจะสื่ออะไรกับผมกันแน่

   “ย่าไม่ขอตอบนะว่าชายเป๊กตอบว่าอะไร แต่พอได้ฟังคำตอบของชายเป๊ก ย่าก็อึ้งทำอะไรไม่ถูกเชียวล่ะ ไม่คิดว่าหลานตัวเองจะมีความคิดแบบนี้ และหลังจากนั้นย่าจึงสังเกตเราอยู่ห่างๆ ในทุกๆ วัน ทุกๆ คืน และย่าก็เชื่อสนิทใจแล้วว่าตอนนี้ชายเป๊กมองคนไม่ผิด”

   ใจของผมเต้นแรงอีกครั้ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนั่นหมายความว่าคุณย่าเห็นด้วยและยอมรับในความรักของเราสองคนแล้วใช่ไหม

   “ย่าดีใจที่ได้คุยกับข้าวในคืนนี้ ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อไปก็อยู่ที่ข้าวจะตัดสินใจนะ” น้ำเสียงของหม่อมย่าเต็มไปด้วยความเห็นใจ ท่านคงรู้เรื่องราวทั้งหมดและรู้ว่าผมลำบางใจแค่ไหนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   “ขอบคุณนะครับหม่อมย่า เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”

   “ไม่เป็นไร รีบอุ่นนมไปให้ชายเป๊กเถอะ หายไปนานเดี๋ยวจะโดนสงสัยเอา”

   “แต่...”

   “เดี๋ยวย่าให้นุ่มไปส่ง นุ่มไปซื้อดอกไม้เตรียมไหว้พระพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวก็คงจะกลับมา ข้าวอุ่นนมไปให้ชายเป๊กเถอะลูก เอ้อ...นุ่มเองก็บอกว่าข้าวเป็นเด็กดี แต่ตอนรู้จักกันใหม่ๆ โดนชายเป๊กเล่นงานไปเยอะเหมือนกัน” ป้านุ่มที่คุณย่าเอ่ยถึงรักและเอ็นดูผมมาก แวะมาหาคุณชายครั้งใด จะต้องมีขนมฝากให้ผมนำกลับไปกินแทบทุกครั้ง

   “ครับ” ผมตอบรับด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจ ดีใจที่คุณย่ายอมรับในตัวผม ...แต่จะให้ผมทำอย่างไร ในเมื่อหม่อมราชวงศ์กริชกรได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมจนหมดแล้ว

   “ผมไปก่อนนะครับหม่อมย่า” ผมโค้งศีรษะเล็กน้อย หม่อมย่ายิ้มรับจากนั้นผมจึงถือแก้วนมสองแก้วออกจากห้องครัว
   ผมยกแก้วนมขึ้นไปในห้องครัวอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งไปถึงจุดหมาย พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็พบกับร่างขาวๆ ที่ไม่ยอมสวมเสื้อ มัดกล้ามที่นู่นแน่นอย่างพอดิบพอดีคำหากได้สัมผัสนั้นมันช่างยั่วยวนผมยิ่งนัก

   คุณชายไม่ค่อยชอบนอนสวมเสื้อ แต่ผมเคยขอเอาไว้ว่าให้สวมทุกคืนเพราะการที่คุณชายล่อนจ้อนแม้จะแค่ท่อนบนแค่นี้มันก็ทำให้อาการหื่นกามของผมกำเริบได้

   “นมครับคุณชาย” ผมยื่นแก้วกระเบื้องสีดำไปให้ ก่อนจะวางแก้วสีขาวของตัวเองไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอน

   “ขอบใจข้าว” คุณชายยื่นมือมารับ หากแต่ไม่ยอมดื่มในทันทีกลับวางแก้วลงข้างๆ กับแก้วของผม “เออข้าว ไปเอาทาร์ตไข่ในตู้เย็นให้หน่อ”

   “คึกอะไรครับเนี่ยอยากกินทาร์ตไข่ตอนดึก” ปกติคุณชายจะไม่ทานอาหารจำพวกแป้งหลัง 4 ทุ่มเว้นแต่ตอนไปเที่ยวสังสรรค์เท่านั้น

   “คึกอะไรล่ะ” คุณชายทำเสียงยียวนก่อนจะจ้องมาทางผมด้วยสายตาที่เหมือนกันราชสีร์กำลังจ้องเหยื่อมีนอตัวดำๆ …เดี๋ยวข้าว จะเปรียบเทียบตัวเองไปเป็นแรดทำไมเนี่ย “ไปเอามาเหอะน่า ก็มันอยาก”

   “ครับ” ผมทำตามคำสั่ง วิ่งลงไปเอาทาร์ตไข่โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือแผนการตลบหลังของคุณชาย เพราะหลังจากที่ลงไปเอาทาร์ตไข่แล้วกลับขึ้นมาดื่มนม เพียงชั่วครู่เท่านั้น... สายตาของผมก็เริ่มพล่ามัว ดวงตาที่พยายามฝืนให้ลืมก็ค่อยๆ ปิดสนิท ทุกอย่างมืดมิดเป็นสีดำ แล้วสติก็ดับไปหลังจากนั้นทันที...






   ...คุณชาย...

   ...คืนนี้ข้าวอุ่นนมนานจัง อาบน้ำเสร็จแล้วยังไม่ยอมขึ้นมาอีกหรือว่าข้าวกำลังจะทิ้งผมไป

   คิดดังนั้น ผมจึงรีบออกจากห้องและวิ่งลงไปยังห้องครัวแม้จะสวมใส่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียวก็ตาม ขณะวิ่งมีเสียงคุยกันเล็ดลอดออกมาเบาๆ ผมจึงเปลี่ยนจากวิ่งเป็นย่องช้าๆ ไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องครัว

   ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูอย่างระมัดระวัง หม่อมย่ากำลังนั่งคุยกับข้าว เสียของคุณย่าที่เล็ดลอดออกมาในยามนี้ ผมได้ยินมันชัดเจนทุกประโยค

   หม่อมย่าเลือกที่จะอยู่ข้างผมและข้าวแต่ท่านก็ไม่สามารถช่วยอะไรไปได้มากกว่าการให้กำลังใจ แต่แค่นี้มันก็สำคัญสำหรับผมมากแล้ว

   ผมไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป แม้ว่าข้าวจะไม่บอกความจริงกับผม และผมไม่รู้ว่าข้าวตัดสินใจอย่างไรกันแน่ แต่ผมรู้แล้วล่ะว่าผมควรจะทำอย่างไรต่อไป

   หลังจากที่หม่อมย่าสนทนากับข้าวจบ ข้าวได้แยกไปอุ่นนมทันที การกระทำของข้าวทำให้ผมรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังวางแผนจะทำอะไร เพราะหลังจากที่นำแก้วนมออกจากไมโครเวฟ ย่าก็ล้วงมือไปหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกง มันเป็นซองใสเล็กๆ ภายในซองบรรจุผงอะไรบางอย่างเอาไว้

   ผมเคยเห็นมันตอนเช้าก่อนไปเที่ยวขณะที่ข้าวกำลังอาบน้ำ รายชื่อตัวยาที่เขียนผมลองฝากให้ไอ้รัชท์เพื่อนรุ่นพี่เจ้าของโรงยิมคนสนิทช่วยเช็คให้ว่าตัวยานี้คืออะไร และไม่นานมากนักก็ได้รับการติดต่อกลับมาจึงรู้ว่าเป็นยานอนหลับชนิดไม่รุนแรงมากนัก แต่ส่งผลทำให้หลับลึกประมาณ 6-8 ชั่วโมง

   ...ข้าวคิดจะวางยาผม และงานหมั้นรวมถึงงานแต่งจะถูกจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ข้าวคงคิดจะหนีไปตอนที่ผมนอนหลับ และให้คุณพ่อจัดการทุกอย่างรวมถึงบีบบังคับให้ผมแต่งงาน

   หลังจากที่คาดคะเนแผนการได้ ผมจึงรีบวิ่งกลับไปบนห้องนอนเพื่อไม่ให้ข้าวสงสัยและหลังจากที่ข้าวขึ้นไป ผมจึงต้องหาเรื่องให้ข้าวกลับลงไปข้างล่างอีกครั้งและผมก็ทำสำเร็จ

   หลังจากที่ข้าวออกจากห้องเพื่อลงไปเอาทาร์ตไข่ ผมจึงรีบนำแก้วนมของผมไปเทใส่แก้วใสที่วางคู่ไว้กับเหยือกน้ำบนโต๊ะ จากนั้นก็รีบนำแก้วสีดำของผมไปล้างน้ำแล้วนำนมในแก้วของข้าวมาเทใส่แก้วกระเบื้องดำของผมแทน... จากนั้นจึงเทนมจากแก้วใสลงไปในแก้วของข้าว ก็เท่ากับว่า... แก้วของข้าวคือแก้วที่มียานอนหลับผสมอยู่

   “ใจร้ายไม่บอกกันนักใช่ไหม... ดี... ร้ายมาก็ต้องร้ายกว่า”

   เสียงฝีเท้าของข้าวดังขึ้น ผมรีบถอยห่างออกจากบริเวณแก้วนมทันทีแล้วตีเนียนไปนอนเกลียกกลิ้งบนที่นอน

   ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับปรากฏร่างของข้าวที่กำลังจ้องผมตาลุกวาว แถมยังอ้าปากค้างอีกต่างหาก ...หรือว่าร่างเปลือยๆ ของผมที่กำลังนอนเหยียดแข้งขาบนเตียงนอนมันจะดูยั่วยวนเกินไป

   “ไอ้ทะลึ่ง” ผมรีบเอาหมอมาปิดร่างไว้อย่างเสแสร้ง ไม่ได้อายหรอกนะ แต่แค่อยากกวนประสาทเฉยๆ

   “คุณชายนี่ก็ชอบอ่อยจังนะครับ” มันยอกย้อนก่อนจะเดินมานั่งบนขอบเตียงแล้วดึงมือผมขึ้นให้ลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งก่อนจะส่งจานทาร์ตไข่มาให้ “นี่ครับ”

   “ป้อนหน่อย” ผมทำเสียงออดอ้อน ในใจก็ก่นด่าตลอดเวลาว่าทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ จะทิ้งกันไปทั้งทียังทำหน้าใสซื่อได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ด้วยความหมั่นไส้เลยเผลอตบศีรษะมันไปหนึ่งทีด้วย

   “ตกลงจะอ้อนให้ป้อนหรืออ้อนบาทาผมกันแน่ครับ” มันยอกย้อนอีกครั้ง ชอบจังเวลาที่ข้าวปากเก่งแบบนี้

   “ป้อนหน่อยเดะ” ผมพูดอีกรอบแล้วยื่นหน้าไปใกล้ๆ  ข้าวหยิบทาร์ตไข่แล้วยื่นมันมาแตะที่ปากของผม  “เอาปากป้อน”

   “ครับ” ข้าวคาบทาร์ตไข้เอาไว้ที่ปากอย่างหลวมๆ แล้วยืนหน้ามาใกล้ๆ กับปากของผม

   ผมจ้องมองดูข้าวด้วยความปรารถนาแต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ก่อนจะยืนหน้าไปใกล้ๆ แล้วงับทาร์ตไข่กลับ

   ในยามนี้จมูกของเราชนกัน เช่นเดียวกับสายตาที่ประสานกันแน่นิ่ง เหมือนว่าวินาทีนั้น... น้ำตาของข้าวจะคลอเบ้า ผมรับรู้ได้ทันทีว่าเพราะเหตุใด แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ในใจนึกอยากให้มันร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ คิดจะทิ้งผมดีนักต้องเจอแบบนี้แหละ

   ผมค่อยๆ กัดทาร์ตไข่เข้าปาก แต่ข้าวยังคงแน่นิ่งคงจะกินไม่ลง ผมเลยกัดมันคนเดียวจนกระทั่งริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกัน ริมฝีปากของข้าวร้อนผ่าว ผมจึงตัดสินใจกอดร่างนั้นเอาไว้แน่น

   ข้าวยกมือขึ้นมากอดเหมือนกัน แต่ยังคงใจแข้งไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา ผมเลยผละริมฝีปากออก

   “อบอุ่นจังเวลากอดกับข้าว” ผมจงใจเอ่ยขึ้น อยากตอกย้ำให้ข้าวรู้สึกเสียดายสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเราเผื่อเปลี่ยนใจอยากพูดความจริงขึ้นมาบ้าง “โชคดีจังที่ตอนนั้น... ข้าวตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ไปที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วยกัน ไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่รู้จักกัน”

   “คุณชายดื่มนมเถอะครับ” ข้าวจงใจตัดบท ...ร้ายนักนะ สงสัยกลัวว่าจะอั้นน้ำตาต่อไปไม่ไหว “เดี๋ยวผมหยิบมาให้”

   “เอาสิ... ดื่มพร้อมกันนะ”

   “ครับ”

   ข้าวเอื้อมมือไปหยิบแล้วส่งแก้วกระเบื้องสีดำมาให้ผม... ผมซ่อนยิ้มอย่างมารร้ายเอาไว้ในใจก่อนจะยกมันขึ้นมาดื่มจนหมดเพื่อไม่ให้คนคิดจะวางแผนหักหลังผมระแคะระคายในแผนการ

   ข้าวมองผมดื่มจนหมดแก้วอย่างพอใจจากนั้นจึงดื่มของตัวเองต่อ

   ผมโกรธข้าวเหมือนกันนะที่ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้ผมทราบจนวินาทีสุดท้าย ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกคนที่รักหักหลัง แต่ต้องข่มอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ แล้วพยายามนึกถึงเหตุผลที่ข้าวตัดสินใจแบบนี้

   อึ้งกับตัวเองเหมือนกันที่ไม่พูดอะไรออกไปจนกระทั่งถึงตอนนี้ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเราสอนให้ผมรู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เพราะถ้าผมเป็นข้าว... ผมก็คงจะตัดสินใจเช่นเดียวกับข้าว

   ผมเอาแต่มองในมุมของตัวเองมาตลอด ว่าคนนั้นจะต้องเป็นแบบนั้น คิดแบบนี้ โดยไม่คิดถึงความรู้สึกหรือพยายามเข้าใจในตัวเขา แต่ตอนนี้ผมต้องคิดถึงจิตใจข้าวให้มากๆ เขาเองก็คงไม่ได้ยินดีและอัดอั้นเหมือนกันที่ต้องทำอะไรแบบนี้ ...โถ่ แบบนี้จะไม่ให้หลงรักจนหัวปรักหัวปรำได้อย่างไร

   “หลับฝันดีนะข้าว” ผมประคองร่างของคนที่หลับลึกลงบนเตียงนอนอย่างนุ่มนวล ฤทธิ์ยาแสดงผลภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที “ไม่มีใครมากำหนดกฎเกณฑ์เรื่องของเราได้หรอก จากนี้ไปเป๊กจะจัดการทุกอย่างเอง”




จบตอน


ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 42

“ข้าว... ข้าว...”

เสียงเรียกอันแสนคุ้นเคยดังขึ้น ผมลืมตาอย่างช้าๆ เห็นใบหน้าของคนที่แสนอบอุ่นกำลังยิ้มให้ คงกำลังฝันไปสินะ...

ขนาดในฝันก็ยังตามมาหลอกหลอน ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะหลับตาพริ้มลงอีกทีเพราะยังไม่อยากตื่น

“ข้าว...” คุณชายเรียกผมอีกครั้ง คราวนี้ยื่นมือมาตบที่แก้มของผมเบาๆ ด้วย “ข้าว ตื่นได้แล้วจะต้องขึ้นเครื่องแล้ว”

...เดี๋ยวนะ ทำไมผมต้องตื่น และผมจะต้องขึ้นเครื่องไปไหน ผมพยายามนึกย้อนถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ผมจำได้ และผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาสุดแรง

   “เฮ้ย!!!” พอเหลียวมองไปรอบด้านก็พบว่าเป็นห้องแปลกๆ ที่มีเนื้อที่กว้างขวาง มีผู้คนมากมายทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ซึ่งทุกคนล้วนมีกระเป๋าใบใหญ่ติดมือหรือหลังมา ...ไม่ต้องพิจารณาให้มากนัก ผมจำได้ว่าที่แห่งนี้คืออาคารผู้โดยสารของสนามบินสุวรรณภูมิ “คุณชาย... ผม... มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วคุณชายไม่ต้องแต่งงานเหรอครับ หรือว่าแต่งเสร็จแล้ว หรือว่า...”

   “หยุดพูดได้แล้วข้าว” คุณชายยกมือมาป้องปากผม “ใจร้ายมากเลยนะ ร่วมมือกับคุณพ่อเพื่อที่จะผลักไล่ให้ไปแต่งงานกับคนอื่น”

   “เดี๋ยวสิคุณชาย ตอบมาเลยนะครับ มันเกิดอะไรขึ้น” ผมเอ่ยถามอย่างร้อนรน    

   “ก็หนีไง... ข้าวไม่สงสัยบ้างเหรอทำไมถึงพาข้าวไปทำพาร์สปอร์ต ทำวีซ่าและเอกสารสำคัญๆ สำหรับเดินทางไปต่างประเทศ ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้แผนการเพื่อรอดูว่าข้าวจะบอกกันบ้างไหม แต่ก็ไม่เลย ใจร้ายจริงๆ”

   “ผมขอโทษ” ผมก้มหน้าสำนึกผิด ไม่กล้าสบตามองหน้าคุณชายหรอก ผมรู้ว่าคุณชายจะต้องโกรธมากเพราะการกระทำมันไม่ต่างอะไรกับการหักหลัง “แต่คุณชายจะพาผมหนีไปไหน แล้วทำยังไง แล้วเรื่องที่วังล่ะครับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันจะไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ เหรอครับ”

   “ข้าวทำใจให้สบายนะ ไม่ต้องคิดมาก เอาไว้ไปถึงอลาสก้าเดี๋ยวจะเล่าทุกอย่างให้ข้าวฟัง”

   “อะ... อะไรนะครับ” ผมอ้าปากเหวอ ถ้าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือความจริง นั่นหมายความว่าคุณชายจะพาผมไปในที่ที่คุณชายเคยพร่ำบอกว่าอยากไป “อลาสก้า”

   “อืม...” คอยรับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เคยมีคนบอกว่าอยากไปอลาสก้าด้วยกันไม่ใช่เหรอ”

   “ใครบอก... บอกตอนไหน” ผมพยายามครุ่นคิด แล้วภาพของเหตุการณ์ในอดีตเมื่อตอนที่คุณชายบอกให้เล่านิทานก่อนนอนให้ฟังก็ผุดขึ้นมา “คุณชายแกล้งหลับเหรอครับ อย่าบอกนะว่าตอนนั้นได้ยินที่ผมพูดทั้งหมด”

   คุณชายไม่ได้ตอบอะไรแต่ส่งยิ้มละมุนละไมมาให้ นั่นก็ทำให้ผมพอจะทราบในคำตอบได้ทันที

   “แล้วที่บ้าน...”

   “บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งถาม ไว้ไปถึงอลาสก้า จะเล่าให้ฟังทั้งหมด ข้าวทำใจให้สบายเถอะ แบกรับอะไรมาตั้งเยอะ ให้เป๊กได้มีโอกาสทำอะไรเพื่อข้าวบ้างนะ”

   ผมอยากจะปฏิเสธ... เพราะเกรงกลัว แต่เพราะคำพูดและการแสดงออกของคุณชายนั้นมีแต่ความจริงใจทำให้ท้ายที่สุดผมจึงพยักหน้ารับ

   “ครับ”

   “จะไม่หักหลังกันอีกนะ”

   “โถ่... คุณชาย” ผมส่งเสียงตัดพ้อ ใช่ว่าเต็มใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ลำพังแค่ผมคนเดียวคงไม่มีปัญญาปฏิเสธหรือเปลี่ยนความคิดหม่อมราชวงศ์กริชกรได้หรอก

   “จะไม่ปิดบังและมีความลับกันอีกนะ เคยตกลงกันแล้วนี่ว่าจะเชื่อใจกัน ต่อไปต้องเชื่อใจกันในทุกๆ เรื่องนะ ต่อให้ใครมาพูดอะไรไม่เข้าหูก็ไม่ต้องไปใส่ใจ”

   “ผมเข้าใจนะครับ” ผมทราบถึงเจตนารมณ์ในสิ่งที่คุณชายสื่ออกมา แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าเราสองคนจะไปกันรอดจริงๆ น่ะหรือ “คุณชายเปรียบเสมือนท้องฟ้า ผมมันแค่ผืนดิน สิ่งที่อยู่จุดสูงสุดมันจะสามารถลงมาบรรจบกับสิ่งต้อยต่ำที่อยู่เบื้องล่างได้จริงๆ น่ะหรือ ต่อให้มีคำพูดที่หวานหอม การกระทำที่สวยงามมากแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าผมเป็นแค่ดิน”

   “นั่นคือสิ่งที่ข้าวคิดไปเองต่างหาก มนุษย์เราไม่ว่ายากดีมีจนทุกคนล้วนมีค่า ข้าวสอนเป๊กมาเสมอไม่ใช่เหรอว่าควรให้เกียรติคนอื่นเพราะเป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน ถ้าข้าวบอกว่าข้าวเป็นดิน เป๊กก็พร้อมที่จะอยู่กับดิน ถ้าการที่บินอยู่บนฟ้าแล้วมันมีปัญหามากนักเป๊กก็จะเป็นดินเหมือนข้าว เพราะเป๊กขาดข้าวไม่ได้”

   “คุณชาย...” น้ำตาของผมคลอเบ้า ใครจะไปคิดเล่าว่าคนที่มีความเพียบพร้อมในทุกๆ ด้านอย่างคุณชายจะยอมทำเพื่อผม... เขามีโอกาสได้พบเจอสิ่งที่ดีกว่าผม แต่สุดท้ายเขาก็เลือกแล้ว “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมพยายามบอกตัวเองเสมอว่าต่อให้ยากดีมีจนมันก็คือคนเหมือนกัน แต่เป็นผมเองซะอีกที่กลับเกรงกลัว เคารพ ให้เกียรติ และยกยอปอปั้นคนที่รวยกว่า ดีกว่าจนผมเอาแต่ดูถูกและสมเพชตัวเอง ผิดกับคุณชายที่พยายามเปลี่ยนความคิดและการกระทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้รักของเราก้าวต่อไปได้”

   “ถ้าเข้าใจแล้ว... ก็ไปอลาสก้ากันเถอะ” คุณชายยื่นมือออกมา

   “ครับ” ผมยิ้มรับก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสแล้วลุกขึ้นตามแรงดึงของคุณชาย

   ทว่า... ยังไม่ทันที่เราสองคนจะได้ก้าวขาไปไหน สายตาของผมก็จับจ้องไปเห็นร่างของใครบางคนซึ่งสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวและใส่แว่นดำปกปิดใบหน้ากำลังจ่อปืนมาทางร่างของคุณชาย มันยกปืนซึ่งๆ หน้าไม่เกรงกลัวสักนิดว่าจะมีผู้ใดเห็นหรือการกระทำของมันจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่มากขนาดไหน

   สัญชาติญาณการปกป้องของผมทำงานโดยอัตโนมัติ ผมพลิกร่างไปเป็นกำบังแล้วกอดคุณชายเอาไว้แน่น และวินาทีนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น

   เสียงหวีดร้องของผู้คนดังระงมพร้อมๆ กับที่ร่างของผมทำท่าว่าจะทรุดลงกับพื้น แต่คุณชายพยายามประคองเอาไว้

   “ข้าว!!!” คุณชายร้องเรียกชื่อของผมเสียงดังลั่น แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาจนเลอะใบหน้าของผมที่กำลังถูกประคองเอาไว้ ผมรู้สึกเหมือนแรงกอดของคนที่กำลังร้องไห้แน่นขึ้นเรื่อยๆ

   ในตอนนั้นเอง ผมสังเกตเห็นริมฝีปากของคุณชายขยับไม่ยอมหยุด ทว่ากลับไม่ได้ยินอะไรสักนิด อาจเพราะความตกใจที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกหูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ

ดวงตาเริ่มพล่ามัวไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดสักนิด หรือมันคงจะเจ็บปวดมากจนไม่รู้สึกอะไร ...ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพของผู้ชายที่แสนอบอุ่นกำลังโอบร่างของผมเอาไว้แน่นแล้วร้องไห้ปล่อยให้น้ำตารินไหลไม่ยอมหยุด

…โถ่ คุณชาย อย่างร้องไห้สิครับ ใบหน้าใสๆ มันแดงหมดแล้ว ดูสิ คนอะไร ขนาดร้องไห้ยังหล่อ แค่คุณชายไม่เป็นอะไรมันก็วิเศษสุดๆ แล้วครับ

   เราไม่ได้เที่ยวอลาสก้าด้วยกัน... ผมกำลังจะตายแล้วใช่ไหม... ผมขอโทษนะครับคุณชาย ยังมีอะไรที่ผมยังอยากจะพูดและทำกับคุณชายอีกมากมาย แต่วาสนาผมคงมีเพียงเท่านี้

   ผมพยายามจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ยกมือเอื้อมไปสัมผัสที่ใบหน้าของคุณชาย แต่ยังไม่ทันที่จะได้สัมผัส ผมก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดมันเหือดหาย ผมไม่มีกำลังจะทำสิ่งใดอีกแล้ว วินาทีต่อจากนั้น ภาพเบื้องหน้าก็ดับลงแปรเปลี่ยนเป็นความมืดสนิท สติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่ขาดห้วงไป

   “ข้าว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน เสียงจากคนที่ผมปรารถนาจะให้เขาปลอดภัย







   ...คุณชาย...

   ทันทีที่ข้าวทรุดหลังจากที่เสียงปืนดังลั่น ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าคนร้ายเล็กเป้าหมายมาที่ใครกันแน่

   น้ำตาของผมนองใบหน้า ผมร้องไห้กลัวว่าคนที่กำลังจะประคองอยู่ทิ้งผมไป ผมเคยคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอจะปกป้องคนคนนี้ แต่ท้ายที่สุดผมกลับไม่สามารถปกป้องข้าวได้เลย กลับกันเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายปกป้องผม

   เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์แล้วโทรเรียกรถพยาบาลทันที... เจ้าหน้าที่ช่วยหลายคนช่วยกันกั้นผู้คนเอาไว้ไม่ให้มามุงดูใกล้ๆ เพราะกลัวว่าข้าวจะขาดอากาศหายใจ

   ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผมเอาแต่ร้องไห้จนกระทั่งรถพยาบาลมาเลยนั่งขึ้นไปด้วย มือและเสื้อผ้าของผมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ผมภาวนาให้ข้าวฟื้นตลอดทาง ปากก็พร่ำบอกกับคุณหมอและพยาบาลว่าให้ช่วยข้าวให้ได้

รถพยาบาลแล่นถึงโรงพยาบาลในเวลาต่อมา ผมวิ่งตามรถเขียนเตียงนอนของข้าวจนไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องไอซียู

“ช่วยเขาด้วยนะครับ เขาสำคัญกับผมมาก” นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ผมบอกกับพยาบาลก่อนที่ประตูห้องไอซียูจะถูกปิดลง

ผมนั่งนิ่งอยู่หน้าห้องไอซียู สมองของผมตื้อไปหมด แม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมยังลืมที่จะนึกถึงมันว่าใครกันที่ต้องการจะทำร้ายผมจนข้าวต้องเอาตัวมาบังเอาไว้ เพราะในหัวตอนนี้มีแต่เรื่องและภาพของเขาผุดขึ้นมาเต็มไปหมด

เวลาผ่านไป... ไม่รู้นานเท่าไร หม่อมย่า คุณพ่อและคุณแม่ก็มาตามตัวผมที่โรงพยาบาล ผมคิดว่าจะถูกคุณพ่อดุด่าแต่ก็คาดการณ์ผิด
คุณพ่อเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามากอดผม... หัวใจของพ่อเต้นแรงจนผมสัมผัสได้

“โชคดีที่ลูกไม่เป็นอะไร”

“โถ่... ชายเป๊กลูกแม่ โชคดีที่จริงๆ ที่ลูกปลอดภัย” คราวนี้แม่วิ่งมาโอบกอดผม ทั้งสองคนกอดผมเอาไว้แน่นโดยไม่ได้รังเกียจสภาพของผมในตอนนี้เลยสักนิด

“พ่อกับแม่... ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ที่วังมีปัญหาอะไรไหมครับ ผม... ขอโทษ” ผมเอ่ยขึ้นอย่างสะอึกสะอื้น ผมยังไม่พร้อมจะคุยเรื่องนี้ แต่ในเมื่อครอบครัวของเรากลับมาเจอกันไวกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้มาก ผมจึงเลี่ยงไม่ได้

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” พ่อตอบออกมา “ส่วนเรื่องของแก ฉันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเช็คกล้องวงจรปิด และกำลังติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิด คาดว่าน่าจะทราบเรื่องและจับตัวคนร้ายได้ไม่เกินคืนนี้”

“ครับ”

“ส่วนเรื่องของลูก...” พ่อทำท่าจะพูดต่อ แต่โดนหม่อมย่าที่ยืนดูอยู่ตลอดเวลาขัดเอาไว้

“ตากริช อย่าเพิ่งพูดอะไรไปมากกว่านี้เลย หลานกำลังขวัญเสีย ให้หลานไปพักก่อนดีกว่าไหม”

“ครับคุณแม่” พ่อตอบรับคุณย่าอย่างว่าง่ายก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ “ไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนนะลูก”

“แต่ผมเป็นห่วงข้าว” ผมปฏิเสธ ถ้ายังไม่รู้ว่าข้าวปลอดภัย ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปไหนหรอก

“ไปพักก่อนเถอะหลานย่า” คราวนี้หม่อมย่าเดินมาจับมือผม “ความดีของเขาจะคุ้มครองตัวเขาเอง ส่วนหลานย่ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับมาที่นี่ก็ยังไม่สาย ดูสภาพสิ... คิดว่าถ้าข้าวฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นเราในสภาพแบบนี้เขาจะดีใจไหม”

“ผมเข้าใจครับหม่อมย่า” ผมพยักหน้าอย่างรู้ดี แต่ผมคงทิ้งคนที่เอาตัวมาบังกระสุนแทนผมไม่ได้หรอก “แต่ผมยังไปไหนไม่ได้จนกว่าจะรู้ว่าข้าวปลอดภัย”

“แต่หลานย่า...” ยังไม่ทันที่หม่อมย่าจะพูดจบ ผมก็เอ่ยขัดทันทีเพราะรู้ว่าท่านจะพูดอะไร

“ถ้าคุณหมอเปิดประตูแล้วบอกว่าข้าวปลอดภัยแล้ว ผมจะกลับไปอาบน้ำ กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ถ้าคุณหมอไม่ออกมา แล้วผมยังไม่รู้อะไร ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรหรอกครับ”

หม่อมย่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นทุกคนก็เงียบแต่ยังคงนั่งอยู่กับผมอีกสักพัก ผมจึงบอกให้ทุกคนกลับวังกันไปก่อน ซึ่งทุกคนก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว คุณหมอยังไม่ออกมาแจ้งอาการสักที

หลังจากที่พ่อและแม่พาหม่อมย่ากลับไปไม่นาน ไอ้รัชท์ก็แวะมาหาและนั่งรอคุณหมอเป็นเพื่อนผม... ไอ้รัขท์ระแคะระคายมานานแล้วว่าผมกับข้าวต้องมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกัน และความจริงระหว่างผมกับข้าวก็ถูกเปิดเผยในตอนที่ผมไล่ข้าว แล้วข้าวหนีไปพักใจที่แม่ฮ่องสอน เพราะความเครียดในตอนนั้นผมจึงต้องหาที่ระบาย และไอ้รัชท์ก็เป็นคนเดียวที่ผมคิดว่าสามารถเล่าให้ฟังได้ และสุดท้ายผมก็ได้รับคำแนะนำรวมถึงกำลังใจจากไอ้รัชท์ในหลายๆ เรื่อง

พอประตูห้องไอซียูถูกเปิดออก... ผมก็รีบลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งเข้าไปหาคุณหมอทันที

“หมอยินดีด้วยนะครับ คนไข้ปลอดภัยแล้ว” ผมยิ้มปริกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ทว่าประโยคถัดมาก็ทำให้ผมเข่าทรุดอีกครั้ง แทบจะล้มทั้งยืนเชียวล่ะ “แต่ว่ากระสุนฝังเข้าไปในจุดสำคัญ คนไข้มีโอกาสเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นที่ท่อนล่างตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปจะเป็นอัมพาต ไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆ”

ผมหันไปมองหน้ารัชท์ด้วยความตกใจ... นั่นหมายความว่าข้าวจะเดินไม่ได้และไม่มีความรู้สึกทางด้านร่างกายตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไป
“แล้วมีโอกาสที่จะหายกลับมาเป็นปกติไหมครับ” รัชท์ถามคุณหมอแทนผมก่อนจะยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ให้กำลังใจ

“มีครับแต่ค่อนข้างน้อย โอกาสไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นที่ผู้ป่วยในกรณีแบบนี้จะหายจากการเป็นอัมพาต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของคนไข้ และกำลังใจในการบำบัดด้วยครับ เดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะครับ ขอดูอาการในห้องไอซียูอีกหนึ่งคืนเดี๋ยวพรุ่งนี้จะย้ายไปห้องพิเศษให้นะครับ”

“ขอบคุณครับหมอ” รัชท์กล่าวขอบคุณ

น้ำตาของผมคลอเบ้าอีกครั้ง นึกโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้ข้าวต้องพบกับความเจ็บปวดและร้ายแรงถึงขั้นเป็นอัมพาต อนาคตของข้าวต้องดับลงเพราะผม

“ไม่เป็นไรนะชายเป๊ก สิบเปอร์เซ็นใช่ว่าจะไม่มีโอกาส” รัชท์เอ่ยขึ้นก่อนจะประคองผมไปนั่งที่เก้าอี้

“อือ...” ผมตอบอย่างเลื่อนลอย น้ำตายังคงไหลต่อไปเรื่อยๆ ในใจก็เอาแต่โทษตัวเองซ้ำไปมา นึกอยากให้คนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้นต้องเป็นผมมากกว่า

ยิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บปวด... ความเจ็บทั้งด้านร่างกายและจิตใจที่เคยผ่านมาทุกเหตุการณ์ในชีวิต เทียบไม่ได้กับครั้งนี้แม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว
เรี่ยวแรงจะเดินยังไม่มี ภาพรอยยิ้มของคนที่ยอมก้มหัวให้ผมตลอดเวลาลอยเข้ามาในห้วงแห่งความคิด คนอะไรใจดีชะมัด กว่าจะทำให้โกรธได้สักครั้งต้องเป็นเรื่องร้ายแรงสุดๆ ทำไม... คนที่ต้องนอนเจ็บปวดและร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ถึงต้องเป็นคนที่มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์ในความคิดแบบข้าวด้วย

ผมนึกล่วงหน้าไปแล้วว่าหากข้าวตื่นมาแล้วรู้ว่าตัวเองเป็นอัมพาต ข้าวจะรู้สึกอย่างไร... ข้าวคงยิ้มให้ผม ปลอบผม บอกให้ผมไม่ต้องโทษตัวเอง แม้ว่าข้าวจะเจ็บปวดแค่ไหน ก็คงจะอดทนและข่มความเจ็บปวดทุกอย่างไว้ ไม่แสดงให้เห็นเหมือนอย่างที่ผ่านมา

 รัชท์ต้องประคองและขับรถกลับไปส่งผมที่วัง เพราะแค่การหายใจผมยังทำได้อย่างยากลำบาก จะให้เดินเหมือนคนปกติคงทำไม่ได้

   รัชท์ประคองผมขึ้นบนห้องนอน แล้วนั่งรอจนกระทั่งผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก่อนจะออกจากห้อง ผมยืนส่องกระจงมองใบหน้าของตัวเองในยามนี้แล้วนึกตกใจ ไม่เคยเห็นตัวเองในสภาพน้ำหูน้ำตาไหลจนใบหน้า จมูกและหูเป็นสีแดงระเรื่อได้ถึงเพียงนี้


   พอดึงสติกลับมาได้ ใบหน้าที่ห่อเหี่ยว โศกเศร้าราวกับคนไร้วิญญาณได้เปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยม ดวงตาเขม็งเพราะนึกโกรธแค้นไอ้คนร้ายที่มันลงมือทำ ผมกำมือแน่นพร้อมกัดริมฝีปากจนน้ำสีแดงนองไหลออกมาหากแต่ว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิด

ผมจ้องภาพที่สะท้อนออกมาในเงากระจก แล้วให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่าจะต้องจับตัวไอ้คนชั่วมารับโทษอย่างสาสมให้ได้ มันจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ข้าวต้องเจออย่างทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน เมื่อจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ ผมจึงเดินลงไปหารัชท์ที่นั่งรออยู่ภายในห้องรับแขกก่อนจะกลับไปที่โรงพยาบาลด้วยกัน

ผมนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียูตลอดคืน จนกระทั่ง ตี 5 ครึ่ง ประตูห้องไอซียูได้เปิดออก คุณหมอมาคุยกับผมเรื่องการย้ายห้อง หลังจากที่ตกลงกันเสร็จสรรพ เวลาประมาร 6 โมงเช้า พยาบาลก็ได้เลื่อนรถเข็นเตียงนอนออกมา

ใจของผมสั่นระรัวในทันที เดินเข้าไปมองร่างของคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด... เจ็บปวดที่เขาต้องเป็นแบบนี้ สักพักพยาบาลก็เลื่อนรถเข็นเตียงนอนนำไปยังห้องพัก ผมจึงเดินตามตลอดทางจนถึงห้องพักแบบเดี่ยวพิเศษ
ระหว่างทาง ผมไม่สนใจสิ่งรอบข้าง สายตาของผมเอาแต่จับจ้องที่ใบหน้าของคนที่กระโดดเข้ามาเป็นเกราะกำบังให้กับผม ถ้าข้าวตื่นขึ้นมา ผมควรจะทำตัวอย่างไร พูดอะไรกับเขาบ้าง ผมคิดอะไรไม่ออกในตอนนี้ นึกกลัวไปหมดเสียทุกอย่าง ...ทำไมคนที่นอนอยู่ตรงนั้นถึงไม่เป็นผม



จบตอน


ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอน 43

ภาพเบื้องหน้ามีแต่สีขาว.. พล่ามัว... ร่างกายก็อ่อนเพลียเกินกว่าจะขยับไปไหน ความรู้สึกเหมือนมีอะไรครอบจมูกและปากเอาไว้มันช่างอึดอัด อยากจะดึงออกแต่ก็ทำไม่ได้

   กรอกสายตาไปรอบห้อง เห็นโทรทัศน์จอใหญ่ ตู้เย็นสีเงินดูหรูหรา ในตอนแรกเข้าใจว่ามันคือโรงแรมหรูแต่พอมองอีกทางแล้วเห็นสายระโยงระยางจากเสาน้ำเกลือจึงเข้าใจว่าผมกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็แล่นเข้ามาในหัวสมอง

   “คุณชาย” ผมพยายามเรียกชื่อ เขากำลังนอนหลับซบหน้าอยู่ขอบเตียง อาจเพราะเสียงของผมเบาเกินไป ผมจึงกระดิกนิ้วมือที่คุณชายกำลังจับเอาไว้อย่างแนบแน่น

   ได้ผล... คุณชายค่อยๆ ขยับร่างกายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาหากแต่ใบหน้ายังคงซบอยู่อย่างเดิม

   “คุณชายครับ...” ผมลองร้องเรียกอีกครั้ง คราวนี้คุณชายสะดุ้งโหยงแล้วหันมามอง

   ใบหน้าของคุณชายในตอนนี้แม้จะมีรอยยิ้มปรากฏแต่กลับเศร้าหมอง คุณชายจับมือผมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ

   “ข้าว... ข้าวรู้สึกตัวแล้ว ข้าวตื่นแล้วใช่ไหม ข้าว” เด็กอะไรขี้แยชะมัด แค่ผมตื่นขึ้นมาจำเป็นต้องน้ำตาซึมด้วย

   “เสียใจเหรอครับที่ผมตื่นขึ้นมา” ผมพูดเล่น แต่คนฟังกลับส่ายศีรษะรัวๆ แล้วเช็ดน้ำตาก่อนจะโน้มตัวมาโอบร่างแล้วยื่นหน้ามาซบหัวไหล่ของผม

   “ไม่ข้าว.... ไม่เลย ดีใจต่างหาก มัน... ไม่รู้จะพูดยังไง”

   “คุณชายอย่าร้องสิครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว” ผมยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของคนที่กำลังซบไหล่ แต่ยิ่งผมพูดอะไรมากเกินไป คุณชายก็ยิ่งร้องไห้ราวกับเด็กอมมือ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใดจึงตัดสินใจเงียบไว้ก่อน

   ผมพยายามจะยั้งร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งเพราะอยากกอดกับเด็กขี้แย ...แต่ทำไม ผมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันหนักจัง หนักจนไม่สามารถขยับหรือยั้งกายได้

   “คุณชายผมอยากกอดคุณชายเหมือนกันนะครับ” พอลุกไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้น “แต่ผม... ลุกไม่ได้”

   คุณชายร้องไห้หนักกว่าเก่า... ทั้งร้อง ทั้งสะอื้นจนผมรู้สึกผิด พยายามจะพูดอะไรออกมาแต่ผมก็ฟังไม่รู้เรื่องเพราะเอาแต่สะอื้น

   “ใจเย็นๆ นะครับคุณชาย” ผมยื่นมือไปเช็ดใบหน้า น้ำตาของคุณชายทะลักมาราวกับเขื่อนแตก เช็ดอย่างไรก็ไม่แห้งแถมยังไหลลงมาเรื่อยๆ อีกต่างหาก “ผมไม่เป็นไรแล้วนะครับ”

   คุณชายนิ่งไปสักพักราวกับกำลังรวบรวมสติหากแต่ร่างยังคงสั่นเทา

   “ขะ... ข้าว... ข้าวไม่ต้องพยายามลุกนะ” เสียงของคุณชายสั่นเครือ คุณชายจับบีบมือผมเอาไว้แน่นก่อนที่จะจ้องหน้าทั้งน้ำตาที่ยังคลอเต็มเบ้าแล้วพูดต่อ “กระสุนยิงโดนจุดสำคัญซึ่งมีผลทำให้ข้าวเป็นอัมพาต ข้าวจะเดินไม่ได้ ร่างกายของข้าวตั้งแต่สะโพกลงไปจะไร้ความรู้สึก”

   เหมือนโลกหยุดหมุนไปอีกครั้ง สมองของผมปั่นป่วนไปหมด ถ้าเป็นอย่างที่คุณชายว่า นั่นเท่ากับว่าผมกลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์แบบ

   “คุณชายอย่าอำผมเล่นน่า” ผมทำเสียงทีเล่นทีจริงเหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองมากกว่า... และหวังลึกๆ ว่าเรื่องที่คุณชายพูดจะเป็นเพียงเรื่องโกหก

   “ขอโทษ” คุณชายพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็ซบหน้ามาที่ไหล่สะอื้นไห้ปล่อยให้น้ำตารินไหลต่อไป

   การแสดงออกของคุณชายทำให้ผมเชื่อได้ทันทีว่านั่นคือเรื่องจริง... ผมกำลังจะกายเป็นคนพิการ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้ได้ง่ายๆ

ผมยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าต่อจากนี้ชีวิตของผมจะลำบากมากขนาดไหน แต่เหนือสิ่งอื่นใด...  ผมไม่สามารถวิ่งหนีความจริงข้อนี้ได้ นี่คือสิ่งที่ผมต้องตอกย้ำให้ขึ้นใจ และไม่ว่าคุณชายจะกำลังคิดอะไร ผมจะไม่มีทางยอมเป็นภาระให้คุณชายอย่างเด็ดขาด

   “คุณชายหยุดร้องไห้ได้แล้วนะครับ คุณชายไม่ผิดอะไรสักนิด ผมต่างหากที่ผิด ผมเอาตัวเข้าไปบังกระสุนเองนะครับ”

   “กะแล้วเชียวข้าวต้องพูดแบบนี้” คุณชายเอ่ยขึ้น “ข้าวทำเพื่อเป๊กขนาดนี้... นับจากนี้ไปเป๊กจะดูแลข้าว จะทำทุกอย่างให้ข้าว ให้สมที่ข้าวกล้าเอาร่างของตัวเองมาบังกระสุนแทนเป๊ก”

   “ผมขอบคุณนะครับคุณชาย” คุณชายยิ้มแก้มปริ... หากแต่พอผมพูดประโยคถัดไป สีหน้าของคุณชายก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน “แต่ผมคงขอกลับไปอยู่กับพ่อและแม่ พวกท่านคงเป็นห่วงผมมาก ถ้าคุณชายรักผมจริง คุณชายต้องเชื่อผมนะครับ คุณชายต้องไม่ขัดใจผมนะครับ ให้ผมได้ทำในสิ่งที่อยากทำนะครับ...”

   ‘ผมไม่อยากเป็นภาระให้กับคุณชาย’ ผมคงบอกสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ เพราะถ้าพูดออกไปแบบนั้น คุณชายจะต้องเสียใจและไม่ยอมแน่ๆ การเอาเรื่องครอบครัวมาอ้างจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

   สายตาของคุณชายแสดงออกถึงความผิดหวัง นัยน์ตาแดงก่ำราวกับกำลังจะปล่อยโฮออกมาอีกรอบ

   “ทำไม... ต้องตัดสินใจแบบนี้” เสียงของคุณชายเบาหวิว เหมือนคนที่กำลังใจเสีย “ทำไมต้องพูดกดดัน บังคับกันแบบนี้ด้วย”

   คุณชายเข้าใจความรู้สึกของผมแล้วใช่ไหม เวลาที่โดนกดดันและบีบบังคับด้วยคำพูดมันเจ็บปวดแค่ไหน ผมไม่ได้ต้องการจะแก้แค้นคุณชายหรอกนะ แต่ผม... คงยอมให้คุณชายมาเสียอนาคตแล้วเอาแต่อยู่กับคนพิการอย่างผมไม่ได้หรอก

   “ผมคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงน้องน่ะครับ” พูดด้วยน้ำเสียงปกติ ซ่อนความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดไว้ในใจ ใช่ว่าผมเองจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร หัวใจของผมปรารถนาแต่คุณชายเท่านั้น แต่ในเมื่อผมไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ผมจะเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวคงจะไม่ถูกต้อง

   “คิดถึง... เดี๋ยวพาไปหาบ่อยๆ ก็ได้” คุณชายพยายามหาเหตุผลมารั้งผมเอาไว้ “อยากไปหาเมื่อไหร่ก็บอกกันได้เสมอ แต่อย่าทำแบบนี้... อย่าทิ้งกันไป... ไม่เอาแบบนี้ ไม่ได้หรอ”

   “...”

   ผมไม่กล้าพูดอะไรออกไป กลัวตัวเองจะเผลอร้องไห้จึงตัดสินใจนิ่งเงียบ แกล้งหลับตา พอควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ จึงตัดสินใจจบบทสนทาเอาไว้เท่านี้ก่อนดีกว่า

   “ผมยังเพลียๆ อยู่เลย ขอนอนพักก่อนนะครับ”

   ขณะแกล้งหลับตา... ผมพยายามลองขยับขา โดยหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ร่างกายส่วนล่างก็ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง มันแน่นิ่งไม่ไหวติงราวกับตอกย้ำให้ผมยอมรับว่าผมกลายเป็นคนพิการแล้วนะ ไม่ต้องฝืนหรือพยายามขยับอีกแล้ว

   เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ ผมตกใจอยู่ไม่น้อยแต่ต้องไม่แสดงออกอะไรเพราะไม่อยากให้คนที่เฝ้าผมอยู่ข้างๆ ต้องเป็นกังวล เพราะแค่นี้เขาเองก็คงจะกังวลและโทษตัวเองมากเกินพอแล้ว

   “ข้าว” คุณชายเรียกอีกครั้ง พอเห็นผมไม่ตอบอะไรจึงยื่นมามาจับกับมือของผมเอาไว้แน่น

   ผมสัมผัสได้ถึงอาการสั่นสะท้าน เหมือนคนกำลังสะอื้นไห้หากแต่พยายามข่มน้ำเสียงเอาไว้

   “อยู่ด้วยกัน... จะไม่อยู่ด้วยกันจริงๆ เหรอข้าว”

   ยิ่งคุณชายพูดมากสักเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกใจอ่อนอยากยอมแพ้ให้กับความตั้งใจของคุณชาย แต่อนาคตของคุณชายมันไกลเกินกว่าที่จะมาทิ้งชีวิตไว้กับคนพิการอย่างผม เพราะฉะนั้นผมจะใจอ่อนไม่ได้

   ‘ขอโทษจริงๆ นะครับ’



   
   ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบกับร่างของคุณชายที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สวมเสื้อตัวเดิม ผมจึงแกล้งหลับตาลง เพราะยังไม่พร้อมจะพูดคุยกับคนตรงหน้า หากแต่มือของผมที่โดนสัมผัสเอาไว้อย่างแนบแน่นดันไหวติงอย่างลืมตัว... ผมจึงเผลอลืมตาอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ

   “ข้าว…” นั่นประไรคุณชายเอ่ยเรียกขึ้นทันที

   “ครับ...” ผมยิ้มแหยๆ ตอบรับก่อนจะเบือนหน้าหนี

   “ข้าวฟื้นแล้วเหรอชายเป๊ก” ทว่าเสียงที่ดังขึ้นได้ทำให้ผมหันกลับไปมองทางต้นเสียง คุณท่านเดินมาที่ขอบเตียงก่อนจะไล่คุณชายออกจากห้อง “พ่อมีอะไรอยากคุยกับข้าว... ตามลำพัง”

   ผมตกใจที่ได้ยินแบบนั้น นอนป่วยอยู่แบบนี้คุณท่านยังจะต้องการจะต่อว่าอะไรผมอีกหรือ

   “พ่อจะคุยอะไร” คุณชายทำท่าเหมือนจะไม่ยอมไป ผมภาวนาให้เป็นเช่นนั้น

   “เรื่องส่วนตัว... แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งที่พ่อจะพูดกับข้าว มันไม่ใช่สิ่งไม่ดีเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มาแน่นอน ถือว่าพ่อขอนะชายเป๊ก”

   “ก็ได้ครับ แต่ถ้าพ่อพูดอะไรที่ทำให้เขาต้องเสียใจ อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ”

   คำภาวนาของผมไม่เป็นผล คุณชายเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้กำลังใจ

   หม่อมราชวงศ์กริชกรนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่คุณชายนั่ง ท่านเอาแขนทั้งสองข้างพาดไว้บนขอบเตียงในท่วงท่าที่สบายและดูเป็นกันเองจนผมรู้สึกเกร็งไปหมด

   “นายต้องการจะไปจากชายเป๊กจริงๆ หรือ” คำถามแรกของท่านก็เล่นเอาผมตั้งตัวแทบไม่ทัน นอกจากจะลำบากใจในการตอบ ยังนึกสงสัยว่าคุณชายเอาเรื่องที่เราคุยกันไปเล่าให้คุณพ่อฟังด้วยหรืออย่างไร

   “ใช่ครับ...” ผมพยักหน้าตอบรับ

   “เพราะอะไร” น้ำเสียงของท่านขรึมจนผมรู้สึกกดดัน

   “ผมดูแลตัวเองไม่ได้ พ่อกับแม่คงเป็นห่วง และผมเองก็คิดถึงพ่อกับแม่มากๆ ครับ” แต่ก็พยายามตอบในเหตุผลเดียวกับที่บอกคุณชาย
   “แล้วไม่รักชายเป๊กบ้างเหรอ ไม่คิดเหรอว่าถ้าตัดสินใจแบบนี้จะทำให้ชายเป๊กเสียใจมากขนาดไหน” คุณท่านจะถามแบบนี้ทำไม ในเมื่อที่ผ่านมาก็พยายามกีดกันความรักระหว่างผมกับคุณชายมาตลอดไม่ใช่หรือ

   “รักครับ” ผมตอบออกไปตามตรง “แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อผม... ผมดูแลตัวเองไม่ได้ ผมคงยอมเป็นภาระให้กับคุณชายไม่ได้หรอกครับ คุณท่านจะถามทำไม ในเมื่อคุณท่านเองก็ไม่ได้ต้องการให้ผมกับคุณชายคบกันอยู่แล้วนี่ครับ เป็นคุณท่านเองไม่ใช่เหรอครับที่พยายามกีดกัน  คุณท่านคงได้คำตอบที่พอใจแล้วนะครับ... ผมคงอยู่เป็นภาระให้คุณชายและคุณท่านอีกไม่นานหรอกครับ”

   ผมเผลอตอบออกไปตามความรู้สึก ความอัดอั้นทำให้ผมต้องระบายทุกสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมาโดยไม่เกรงกลัวคนตรงหน้าสักนิด แต่พอดึงสติกลับมาได้ผมก็รีบหลบสายตาเบือนหน้าหนี อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักร้อยทีที่ถือดีกล้าพูดเรื่องไร้มารยาทออกไป

   “คิดเอาไว้อยู่แล้วว่านายต้องคิดว่าการที่ตัวเองเป็นแบบนี้... จะเป็นภาระให้กับชายเป๊ก” ผมอธิบายอะไรออกไปตั้งยืดยาวแต่คุณท่านกลับสนใจเพียงแค่นี้ มีหัวใจบ้างไหมเนี่ย “ฉันขอโทษในเรื่องที่ผ่านมา คนเรามันก็ผิดพลาดกันได้ ฉันได้ยินชายเป๊กกับนายคุยกันตั้งแต่ตอนที่ฟื้นครั้งแรกแล้วล่ะ ตอนนั้นฉัน แม่วลี และคุณแม่ต้องใจจะมาเยี่ยม แต่พอแง้มประตูเข้าไป เห็นว่ากำลังคุยกัน คุณแม่ก็เลยบอกให้รออยู่ด้านนอกแต่ไม่ยอมปิดประตูเพื่อที่จะฟังว่านายกับชายเป๊กคุยอะไรกัน”

   “หึ...” ผมพ่นลมหายใจ การแอบฟังคนอื่นคุยกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด แต่จะแสดงความคิดเห็นอะไรออกไปก็คงจะไม่ถูกต้อง เพราะทั้งคุณท่าน และหม่อมย่าต่างก็มีอายุมากกว่า ผมควรจะให้ความเคารพนับถือ

   “หลังจากตอนนั้น ฉันเลยรู้ได้ทันทีว่าทำไม ชายเป๊กถึงได้รักนายมากถึงเพียงนี้ ทำไมถึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับนาย” คำพูดของคุณท่านทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ พูดราวกับว่าคุณท่านกำลังจะยอมรับในตัวผมอย่างไรอย่างนั้น

   “เพราะอะไรล่ะครับ” ผมแกล้งถามออกไป อยากรู้เหมือนกันว่าคำตอบของคุณท่านคืออะไร

   “เพราะทุกสิ่งที่นายแสดงออกมา มันออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริง นายยอมเอาตัวบังกระสุนให้ชายเป๊ก ยอมเลือกที่จะทิ้งชายเป๊กเพราะคิดว่าตัวเองเป็นภาระในสภาพแบบนี้ นายเป็นคนดี... ดีเกินไปจนฉันคาดไม่ถึงว่าบนโลกมนุษย์จะมีคนดีได้ถึงขนาดนี้”

   ผมรู้สึกอึ้งกับคอตอบ คุณท่านชื่นชมผม... เพียงเท่านี้ผมก็คงไม่มีอะไรติดค้างกับคุณท่านอีกแล้ว

   “เปลี่ยนใจได้ไหม...” คุณท่านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว

   “เรื่องอะไรครับ” ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่

   “อยู่กับชายเป๊กที่นี่ จะรักกัน คบกัน ดูแลกันยังไงก็ตามสบาย ขออย่างเดียวอย่าทิ้งชายเป๊กไป เปลี่ยนใจอยู่ที่นี่ได้ไหม...” คุณท่านเว้นจังหวะไปชั่วครู่ก่อนจะเอื้อมมือมาสัมผัสกับมือของผม “ฉันรู้ว่าฉันบังคับจิตใจนายกับชายเป๊กมามากเกินพอแล้วเมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจความรักระหว่างเพศเดียวกัน จึงตัดสินใจทำอะไรผิดๆ แต่การที่นายกล้าเอาตัวมาบังกระสุน มันพิสูจน์แล้วว่านายรักชายเป๊กโดยไม่มีเงื่อนไข ฉันขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา ให้อภัยฉันด้วย”

   “คุณท่านครับ...” ผมรีบแทรกขึ้นด้วยความตกใจ ชายวัยกลางคนที่เพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์รวมถึงฐานะกำลังกล่าวสำนึกผิดต่อหน้าผม “อย่าทำแบบนี้เลยครับ ผมไม่ได้โกรธคุณท่านเลยนะครับ”

   “ถ้านายกังวลเรื่องพ่อแม่และน้องชาย ตอนนี้หายห่วงได้เลยนะ ฉันกำลังให้คนไปจัดการเรื่องบ้านและที่ดินที่ถูกยึดไป นายจะต้องได้มันกลับคืนมาแน่ๆ ส่วนเรื่องคิดถึงครอบครัว นายจะไปเมื่อไหร่ ไปกี่วันก็ได้ ฉันไม่ว่า ฉันพร้อมที่จะทำให้คนของฉันพาไปเยี่ยมครอบครัวเสมอ... ขอเพียงอย่างเดียว อย่าทิ้งชายเป๊ก... จะได้ไหม”

   หม่อมราชวงศ์กริชกรเอ่ยออกมาอย่างยืดยาวจนผมตั้งตัวไม่ทัน ท่านจะให้ความช่วยเหลือเรื่องบ้านและที่ดินที่เคยถูกยึดไป และพร้อมจะสนับสนุนความรักของผมกับคุณชายรวมถึงให้ความช่วยเหลือในทุกๆ เรื่อง ...นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

   ผมลองยกมือขึ้นมาแล้วฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของตัวเองแรงๆ หนึ่งที... ผมเจ็บ แต่ยังไม่มั่นเลยลองดึงแก้มของตัวเองอีกครั้งจนเผลอร้องโอดครวญออกมา

   “โอ๊ย...” น่าขำกับการกระทำของตัวเองชะมัด พอเรียกสติกลับมาได้ จึงหันไปมองคุณท่านด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ผมขอบคุณสำหรับทุกความช่วยเหลือจริงๆ นะครับ ผมดีใจจริงๆ ที่คุณท่านยอมให้ผมคบและอยู่กับคุณชายต่อไป แต่อย่างที่ผมบอก... ผมเดินไม่ได้ ผมคงรู้สึกแย่ที่ต้องเป็นภาระให้กับคุณชาย”

   “เป๊กไม่เคยคิดว่าข้าวเป็นภาระเลยนะ” เสียงของคุณชายโพล่งขึ้น พร้อมกับร่างหล่อเหลาที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อคุณพ่ออนุญาตแล้ว อยู่ด้วยกันนะข้าว อยู่ที่นี่ดูแลกัน ช่วยเหลือกัน และเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน”

   ใบหน้าของคุณชายในยามนี้เต็มไปด้วยความหวัง... แล้วผมจะทำให้คุณชายต้องผิดหวังได้อย่างไรกันเล่า

   “ครับ” ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ พลางนึกสงสัยว่าคนบ้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด ถึงต้องแอบดักฟังคนอื่นคุยกัน

   ส่วนคุณชายนั้นคลี่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะโน้มตัวลงมากอดกับร่างของผมโดยไม่เกรงกลัวสายตาของคุณท่านเลยสักนิด ผมพยายามจะผลักร่างนั้นออกแต่คุณชายก็ไม่สนใจ ...เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งไม่เปลี่ยนเลย

   “ในเมื่อตกลงแล้ว...” เสียงของคุณท่านดังขัดจังหวะ หากแต่ว่าไม่สามารถทำให้คุณชายเลิกกอดผมได้ “ต่อไปก็เรียกฉันว่าพ่อด้วยล่ะ เข้าใจไหม”

   ผมไม่คาดคิดว่าจะมีวันนี้... วันที่คุณท่านยอมรับในตัวผม แม้ว่าต้องผ่านอุปสรรคมาอย่างมากมายแต่ผลสุดท้ายมันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้พยายามมา

กว่าจะถึงวันนี้... ผมต้องแลกกับความเจ็บปวดไม่รู้กี่ครั้ง กระทั่งเกือบต้องแลกชีวิตเพื่อรักษาคนที่ผมรักเอาไว้จนทำให้ผมต้องกลายเป็นคนที่ไม่สามารถเดินได้ตามปกติอีกต่อไป แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใดๆ แต่เพราะเหตุผลของการกระทำทุกๆ อย่างคือ ‘ความรัก’ ผมเลยไม่เคยนึกเสียใจกับผลที่ตามมาเลยสักครั้ง แม้ว่ามันจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ตาม

“ขอบคุณนะครับ... พ่อ”

มันเป็นคำพูดที่ผมพูดออกมาได้ยากเย็นที่สุดในชีวิต แม้ว่าท่านจะเอ่ยปากยอมรับ แต่ผมก็ยังคงรู้สึกถึงความแตกต่างอยู่ดี

คุณท่านและคุณชายเป็นใคร ผมเป็นใคร ชาติกำเนิดแตกต่างกันขนาดไหน ผมรู้ดี แต่หากผมไม่ขจัดความคิดเหล่านี้ นั่นก็เท่ากับว่าผมกำลังดูถูกความหวังดีของคุณท่าน เพราะจะกลายเป็นผมเสียเองที่เป็นฝ่ายไม่ยอมรับข้อแตกต่าง ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายพยายามเรียกร้องมาตลอด

   “ข้าว” คุณชายผละอ้อมกอดออกก่อนจะเปลี่ยนมาช้อนร่างของผมให้ขยับไปกับขอบเตียงอีกฝั่งอย่างระมัดระวัง “ขอนอนด้วยนะ”

   ผมไม่ได้ตอบออกไปในทันที หันไปมองคุณท่านเพราะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม

   “ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวพ่อจะไปคุยกับตำรวจต่อแล้ว” คุณท่านขยิบตาให้ผม ก่อนจะหันหน้าไปทางคุณชายแล้วทำเสียงดุๆ ใส่ “จะทำอะไรก็เพลาๆ มือด้วยนะชายเป๊ก ข้าวกำลังไม่สบายอยู่ ถ้าฉันรู้ว่ารุนแรงกับข้าวล่ะก็ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”

   “คร้าบ... คุณพ่อ”

   ใบหน้าของผมร้อนผ่าว จะบอกว่าเขินก็คงใช่ จะบอกว่าอายก็ไม่เชิง ความรู้สึกที่ถูกยอมรับราวกับเป็นคนในครอบครัว มีการพูดคุยหยอกล้อกันกับคุณพ่อ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

   หลังจากที่คุณท่านเดินออกไป ความตื้นตันเหล่านั้นก็ปะทุออกมาเป็นหยาดน้ำตา

   คุณชายยื่นมือมาปาดหยาดน้ำตาอย่างเบามือ คงรู้ว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไร

   “เรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไปสักทีแล้วนะข้าว” คุณชายยื่นใบหน้ามากระซิบที่ข้างใบหูก่อนจะนอนตะแคงแล้วกอดร่างของผมเอาไว้ อ้อมกอดของคุณชายช่างอบอุ่นเหลือเกิน กลิ่นกายเวลาที่ได้สัมผัสใกล้ๆ ก็ช่างหอมหวนไม่เหมือนใคร

ผมพยายามผลักร่างนั้นออกเพราะกลัวจะทนควาปรารถนาบางอย่างไม่ไหว ...ช่างน่าขำสิ้นดี เจ็บจนขยับไม่ได้ยังคิดเรื่องพรรค์นี้ออกมาได้

   “อดทนหน่อยนะข้าว” น้ำเสียงของคุณชายเบาหวิว “เพราะเป๊กก็กำลังอดทนเหมือนกัน แต่เชื่อเถอะดีขึ้นเมื่อไหร่ข้าวจะต้องโดนลงโทษแน่ๆ”

   “คุณชาย!” ผมรู้ว่าคุณชายต้องการจะสื่อถึงอะไร กำลังคิดเรื่องเดียวกันสิท่า “ลงโทษผมทำไม ผมทำอะไรผิด”

   คุณชายยกมือขึ้นมาแล้วใช้นิ้วดีดหน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะจ้องผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม มันกรุ้มกริ่มจนน่าหวาดผวาเชียวล่ะ

   “ก็ใครใช้ให้เอาตัวมาบังกระสุน คิดว่าเจ๋งนักรึไง ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาร้ายแรงกว่านี้ล่ะ คิดบ้างไหมว่าใครจะเป็นคนที่เสียใจมากที่สุด”

   พูดจบคุณชายก็พลิกตัวมาคร่อมร่างผมเอาไว้ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งมาจับปลายคางผมไว้แน่นแล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้ๆ จนปลายจมูกของเราชนกัน

   “ขอลงโทษเบาๆ เป็นการมัดจำก่อนแล้วกัน” สิ้นเสียงก็เลื่อนริมฝีปากมาประกบที่แก้มซ้ายของผมหนึ่งทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นแก้มขวาอีกหนึ่งที “อย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ”


   ผมพยักหน้าเป็นคำตอบเพราะขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียง แล้วเพ่งมองสายตาของคนที่กำลังคร่อมร่างของผมเอาไว้ ก่อนจะยิ้มออกมา
   ...น่าแปลกที่ผู้ชายคนนี้สามารถทำให้ผมตกหลุมรักได้ตลอดเวลา และผมก็จะทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการเพื่อตอบแทนความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเรา



จบตอน

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ดินต่างฟ้า ตอนจบ


จาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในที่สุดก็จับตัวคนร้ายได้ภายในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง

คนร้ายให้การว่าถูกจ้างวานให้มายิงหม่อมหลวงการัณญภาสฌ์ เนื่องจากผู้ว่าจ้างมีทั้งความรักและความแค้นส่วนตัว เขาให้การว่าผู้ว่าจ้างนั้นมีความคลั่งไคร้ในตัวคุณชายมากจนเกินเหตุ เขาอยากให้คุณชายสนใจในตัวเขา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เคยได้รับความสนใจสักนิด แม้แต่หางตา คุณชายยังแทบไม่เคยเหลียวมอง

ทว่าเหตุผลเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขาแค้นมากจนพอที่จะตัดสินใจทำแบบนี้ได้ แต่เพราะวันหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมาหัวราน้ำ และต้องตื่นขึ้นมาพบกับข้อความอันแสนเจ็บปวด ความแค้นเลยปะทุออกมาจนยากเกินจะควบคุม

คุณชายหลงไอ้เด็กปั๊มจนหัวปรักหัวปรำ รักมันมากกว่าเขา ทั้งๆ ที่ไอ้เด็กปั๊มนั่นไม่มีอะไรเทียบเท่าเขาเลย แต่เขาก็รู้ว่าอีกไม่กี่วันคุณชายก็จะถูกจับให้แต่งงานกับผู้หญิง พอคิดถึงเรื่องนั้นจึงทำให้เขายับยั้งช่างใจที่จะไม่ทำอะไรรุนแรงเอาไว้ได้

แต่แล้วพอถึงวันงาน ทุกอย่างกลับพังทลาย แผนที่เขาร่วมกันวางไว้กับหม่อมราชวงศ์กริชกรดันพังย่อยยับ คุณชายเลือกที่จะพาไอ้เด็กปั๊มนั่นหนี

“จับตาดูพวกมันเอาไว้ ถ้างานแต่งล่ม และคุณชายพาไอ้ข้าวหนีไป ให้จัดการคุณชายทันที” นั่นคือคำสั่งที่คนร้ายได้รับซึ่งเสียงทั้งหมดคนร้ายได้บันทึกข้อความการสนทนาเอาไว้อย่างรอบคอบ เผื่อวันหนึ่งตนเองถูกหักหลังหรือถูกจับได้ จะได้มีหลักฐานดำเนินคดีให้กับตำรวจ

“ทำไมต้องยิงคุณชายล่ะครับ ในเมื่อคุณเองก็รักคุณชาย แต่เกลียดไอ้เด็กปั๊มนั่นไม่ใช่เหรอ” นี่คือคำที่คนร้ายเอ่ยถามกับผู้ว่าจ้าง

“เพราะเกลียดมันน่ะสิ... ถึงต้องให้มันรับรู้ถึงความเจ็บปวดเมื่อต้องสูญเสียคนที่รักไปบ้าง และในเมื่อคุณชายเองก็ไม่เคยคิดที่จะเหลียวแลฉัน ก็กำจัดมันไปซะ!!!”

คนร้ายสะกดรอยตามจนกระทั่งไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เขาทำงานอย่างมืออาชีพสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจพบเจออุปกรณ์ที่ใช้ลงมือจากด่านทุกด่านจนกระทั่งได้ทำการลงมือตามที่ได้รับคำสั่ง แต่ดันผิดพลาดเพราะผู้ที่ถูกยิงไม่ใช่คุณชายแต่กับเป็นไอ้เด็กปั๊มที่เอาตัวมาบังเอาไว้...

หลังจากที่ได้รับฟังคำให้การของคนร้าย... ตำรวจก็บุกไปจับผู้อยู่เบื้องหลังการว่าจ้างทั้งหมดทันที

ปอม... ไม่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะความหลง ความแค้น ความผิดหวังและความขาดสติและเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ ทำให้เขาตัดสินใจทำเรื่องที่โหดร้ายจนลืมนึกทุกผลที่จะตามมา

ผลจากการกระทำของเขานอกจากจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ยังทำให้ตัวเองรวมถึงคนในครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย พ่อแม่และพี่ชายของปอมต้องเสียใจและผิดหวัง และไม่ว่าพวกเขาจะคร่ำครวญอย่างไร ก็ไม่สามารถหลีกหนีโทษจากการกระทำไม่พ้น

โชคดีที่การว่าจ้างฆ่าคนอื่นโดยเจตนาไม่สำเร็จ... โทษจึงไม่ร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต ส่วนโทษที่ได้รับจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล รวมถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายต่อไป

หลังจากที่ปอมได้รับโทษตามกฎหมาย พี่ปั๊มที่หายหน้าหายตาไปนานก็ได้เดินทางมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล

พี่ปั๊มดูไม่สดใสกระปรี้กระเปร่าเหมือนอย่างเคยอาจเพราะรู้สึกผิดกับสิ่งที่น้องชายกระทำ เขาละอายใจเกินกว่าจะมาพบหน้า แต่ผมก็เป็นคนขอร้องให้โด้พามาเพราะโด้แวะมาเยี่ยมผมบ่อยๆ

ผมพยายามอธิบายแล้วแม้คนที่ลงมือทำเรื่องเลวร้ายจะเป็นน้องชายสายเลือดเดียวกัน แต่คนที่ลงมือกระทำก็ไม่พี่ปั๊มเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องคิดมาก พี่ปั๊มเหมือนจะเข้าใจ แต่ถึงอย่างไรด้วยความเป็นพี่น้องกับคนร้ายจึงมีความรู้สึกผิดติดอยู่ในใจทำอย่างไรก็ไม่อาจแก้ได้สักที

นี่แหละหนา... ถึงมีคนชอบกล่าวว่าจะทำอะไรก็ให้คิดหน้าคิดหลัง คิดถึงคนในครอบครัวด้วย แม้ว่าตัวเองจะทำผิด ไม่ใช่ว่าจะต้องรับโทษหรือชดใช้กรรมเพียงคนเดียว แต่มันมีผลต่อคนในครอบครัวด้วย ทั้งความรู้สึกเสียใจ ทั้งหน้าที่การงานที่อาจมีปัญหา และโดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมจนอาจทำให้ไม่กล้าสู้หน้า เฉกเช่นกับที่พี่ปั๊มกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้





...เส้นทางความรักของผมกับคุณชายไม่ได้โดยด้วยกลีบกุหลาบ แต่กลับเต็มไปด้วยขวากหนาที่พร้อมจะทิ่มแทงหากใครคนใดคนหนึ่งไม่อดทนก็คงจะพังทลายลงได้ทันที

หลังจากที่กล้องวงจรปิดขณะที่ผมใช้ตัวบังกระสุนให้คุณชายถูกเผยแพร่ออกไปตามสื่อสาธารณะ ประชาชนก็เริ่มให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้ ผมกับคุณชายกลายเป็นที่พูดถึงในโลกโซเชียล หลายคนชื่นชมในการกระทำของผม แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่กล่าวหาว่าคนอย่างผม ‘โง่’ ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อคนคนหนึ่ง ...ทุกอย่างมักมีสองด้านเสมอ

ผมถูกนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ตั้งแต่วันแรกที่คุณชายพาผมนั่งรถเข็นแล้วจูงลงไปรับบรรยากาศในสวนของโรงพยาบาล

“พวกคุณสองคนเป็นอะไรกันคะ” นั่นคือคำถามแรกที่นักข่าวโพล่งมา ทำเอาผมตกใจจนผงะต้องหันไปมองหน้าคุณชายเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี

คุณชายส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะกันนักข่าวออกแล้วจัดการตอบคำถามแทนผม

“เราสองคนเป็นครอบครัวเดียวกันครับ”

“พี่น้องหรือญาติกันเหรอคะ แต่หม่อมราชวงศ์กริชกรมีลูกชายเพียงคนเดียวนะคะ ส่วนใหญ่ก็ไม่ปรากฏข้อมูลของคุณต้นข้าวนะคะ นามสกุลก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน” นักข่าวเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย “มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหมคะ”

“ถูกต้องแล้วครับ เราไม่ใช่ญาติกัน ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอะไรเพราะทั้งผมและข้าวเองก็ไม่เคยตกลงคบกัน... แต่เรามีความรู้สึกดีดีต่อกัน มีความรัก มีความห่วงใยต่อกัน สำหรับผม ข้าวคือคนสำคัญครับ” คุณชายหยุดพูดแล้วหันมาขยับยิ้มแถมกระพริบตาให้ผมราวกับพระเอกในซีรี่ย์เกาหลี เรียกเสียงฮือฮาจากนักข่าว “เดี๋ยววันนี้ผมขอตัวพาข้าวพักผ่อนก่อนนะครับ เพิ่งพาออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์วันแรกอยากให้ข้าวได้พักผ่อนเต็มที่ ถ้าพี่ๆ อยากสัมภาษณ์อะไรเดี๋ยวผมจะแจ้งอีกทีนะครับ”

นักข่าวทุกท่านยินยอมด้วยความว่าง่าย

“แต่เดี๋ยวค่ะ ขออีกหนึ่งคำถามนะคะ... เมื่อกี้คุณชายบอกว่าคุณข้าวคือคนสำคัญ... แล้วสำหรับคุณข้าวล่ะคะ คุณชายคืออะไร”
ผมสะดุ้งอีกครั้งให้กับคำถาม ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลยว่าการออกจากห้องผู้ป่วยครั้งแรกต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้
ผมหันตาไปมองคุณชายด้วยความเขิน... ผู้ชายก็เขินเป็นนะครับ... คุณชายยักคิ้วก่อนจะพยักหน้าให้เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่าให้ผมตอบถามสักที

ผมหันกลับมามองเหล่านักข่าวอีกครั้ง สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของทุกคนแสดงออกถึงความตื่นเต้น บางคนหน้าแดงราวกับลูกมะเขือเทศ ผมไม่แน่ใจว่าอากาศที่นี่ร้อนเกินไปหรือไร แต่ผมว่าอากาศตอนนี้กำลังดีนะ... บางคนยิ้มแก้มปริทำปากขมุบขมิบไปมา บางคนก็กะพริบตาถี่ๆ จนผมรู้สึกหนักใจว่าต้องตอบคำถามนั่นโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ใช่ไหม ในเมื่อจำเป็น ผมก็จะตอบ

“คุณชาย...” รู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นจัง อาจเพราะอาการเขินจัดกำลังเร่งงาน “คือ... ฟ้าของผมครับ”

ผมไม่ใช่คนที่มีความมั่นใจ ไม่เคยตกอยู่ในสภาพที่มีคนจ้องและรุมถามคำถามแบบนี้ คำถามของผมอาจเข้าใจยากเกินไป ทุกคนเลยเงียบกริบ ผมจึงรีบอธิบายต่อ

“ฟ้าที่คอยมอบแสงสว่างในยามกลางวันและฟ้าที่คอยแต่งแต้มสีสันในยามค่ำคืน คุณชายคือฟ้าที่ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ผมก็จะมองเห็นและเฝ้านึกถึงได้ตลอด ฟ้าที่มีทั้งร้อน หนาว และบ้าคลั่งเมื่อยามมีเมฆฝน แต่สุดท้ายฟ้าก็กลับมาสดใสอบอุ่นได้เหมือนเดิม และมีเพียงฟ้าผืนนี้แหละที่คอยเฝ้ามองดูผมซึ่งเป็นเพียงเศษดินตลอดเวลา ไม่ว่าจะทุกข์ สุข เศร้า หัวเราะ หรือร้องไห้ ฟ้าผืนนี้ไม่เคยคิดที่จะทิ้งผมเลยครับ”

ผมหยุดพูดแล้วหันไปมองหน้าคุณชาย... น้ำตาของเขาคลออยู่เต็มเบ้า ไอ้เด็กขี้แยกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว ผมเลยจัดการทิ้งประโยคเด็ดๆ ให้กับนักข่าวเป็นการส่งท้ายโดยหวังว่านั่นจะทำให้คุณชายซาบซึ้งจนน้ำตาไหล

“คุณชายคือครึ่งชีวิตของผมครับ” ผมยกมือขึ้นมาจับมือของคุณชายที่วางไว้อยู่ที่ไหล่ของผม เพื่อบิ้วอารมณ์

ได้ผล... คุณชายปล่อยโฮต่อหน้าสื่อ นักข่าวช่างภาพรีบเบี่ยงเบนความสนใจจากผมไปหาคุณชาย เกิดเสียงดังแชะๆ อยู่หลายครั้งจนกระทั่งผมต้องขอร้องให้พวกเขาหยุดแบบอ้อมๆ

“เดี๋ยวผมขอพักก่อนนะครับ ยังไงวันนี้ขอบคุณมากๆ นะครับ สวัสดีครับ”

นักข่าว ช่างภาพทุกรายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอทุกคนจากไป คุณชายก็โน้มตัวลงมากอดคอผม หอมแก้มผมหนักๆ ราวกับต้องการบอกให้ผมรู้ว่า... เขารัก เขาหลงผมมากแค่ไหน

“พอได้แล้ว” จนผมต้องบอกให้คุณชายหยุด “เป็นเด็กขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

คุณชายส่ายหน้าไม่พูดอะไร แต่ยังกอดคอ หอมแก้มและจับมือเอาไว้อย่างแนบแน่น...

บางทีการไม่พูดอะไรออกมา แต่แสดงออกด้วยภาษาทางกายอาจทำให้เรารับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ มากว่าการที่เอาแต่พูดจาสวยหรูที่เคยไม่เคยคิดจะกระทำ

   ‘ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างครับ’ ผมพูดในใจพลางบีบมือคุณชายเอาไว้แน่นเป็นสัญญาณให้เขารับรู้เช่นกันว่าผมกำลังรู้สึกเช่นได้

   คุณชายยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาหยดสุดท้าย ก่อนจะใช้มืออีกข้างมาขยี้ศีรษะของผมเบาๆ แล้วเข็นรถของผมต่อไป... 

   ผมไม่รู้ความสุขแบบนี้มันจะอยู่ไปได้นานแค่ไหน แต่ผมจะเก็บความรู้สึกที่อบอุ่นของผู้ชายคนในไว้ในใจของผมตลอดไป


   ‘ผมรักคุณชายนะครับ’




จบแล้วจ้า...

ฝากติดตามเรื่องใหม่ด้วยนะครับ

จิตวิทยาใจ >> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0
ซื่อสัตย์ >> http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61134.0


ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
กำลังเริ่มอ่านครับ ขอแวะมาทักทายและขอบคุณนักเขียนก่อนครับ ขอบคุณนะครับ เดี๋ยวแวะมาทักทายใหม่หลังอ่านจบน้า ;-)

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
แอบเสียน้ำตาเล็ก ๆ ให้กับข้าว

ออฟไลน์ MIwEMInE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จบแล้ว ดีใจมากที่แฮปปี้ :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ tomnub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
เคยติดเรื่องนี้มาก..แต่ก็เงียบไปเลย..นึกว่าไม่มาต่อเลยไม่ติดตาม..ดีจังจบแบบแฮปปี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด