- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 240806 ครั้ง)

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 


____________________________________________________





สวัสดีค่ะขอแนะนำตัวก่อนเลยนะคะ เราชื่อพลอยค่ะแอบซุ่มแต่งนิยายมาหลายเรื่องแล้วแต่มักจะไม่ค่อยจบตลอดเลย(ติดเรียนบ้างขี้เกียจบ้างและ...เบลอว่าเคยแต่งไปบ้าง แหะๆ)
และส่วนใหญ่จะแต่งนิยายเป็นแนวแฟนตาซีค่ะแต่คราวนี้ของผันตัวเองมาแต่งเรื่องราวในโลกปกติแนวเลิฟคอมเมดี้ค่ะ รักใส ๆ
ในรั้วมหาลัย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราหันมาแต่งแนวนี้เลยค่ะ ดังนั้นพลอยก็ขอฝากผลงานเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

ปล.หากมีข้อผิลพลาดไม่ว่าจะเป็นกฏ หรือ เนื้อหาของนิยายทุกท่านสามารถเตือนหรือติชมได้นะคะ
ปล2.เมื่อคุณอ่านนิยายเรื่องนี้ภาพความคิดเกี่ยวกับนักศึกษา/นิสิตแพทย์ปี4 ขึ้นไปอาจจะเปลี่ยนไป
(เพราะนิสัยตัวละครการกระทำของตัวละครบางการกระทำของนิสิต/นักศึกษาแพทย์ในเรื่องนี้เราหยิบมาจากนักศึกษาแพทย์ที่เป็นเพื่อนของเราดังนั้นนี่คืออีกมุมมองหนึ่งของ นิสิต/นักศึกษาแพทย์ค่ะ พวกคุณอาจจะสลัดภาพนักศึกษา/นิสิตแพทย์ผู้เขร่งขรึมและดูเคร่งเครียดตลอดเวลาไปได้นะคะ)



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-06-2016 17:35:00 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Intro



   เสียงตะโกนคำสั่งบ้าบอของเหล่าเพื่อนตัวร้ายมันดังก้องอยู่ในหัวของผม มันเป็นคำสั่งที่มีผลมาจากการเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับพวกอบายมุกหรือเรียกง่าย ๆ คือการเล่นไพ่ซึ่งก่อนเล่นพวกผมนั้นตกลงกันไปว่าถ้าใครแพ้ติดต่อกันสามตาจะต้องทำตามคำสั่งของเพื่อน ๆ ในกลุ่มทั้งหมดหนึ่งคำสั่งและนั่นก็ทำให้ผมต้องมายืนอยู่หน้าผู้ชายคนหนึ่งที่ผมก็ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักเขา ไม่รู้แม้ทั่งคณะที่เขาเรียนอยู่ และไม่รู้ด้วยว่าเค้าอยู่ชั้นปีไหนแม้เค้าจะดูหน้าใส่ดุจดั่งเฟรซชี่คณะวิศวะแบบผม แต่ด้วยเท็กซ์บุ๊คเล่มหนาที่ถืออยู่ในมือและแว่นสายตาที่ดูจะหนาพอตัวของเขาทำให้ผมรู้เลยว่าผู้ชายตรงหน้าผมนั้นไม่ใช่นิสิตชั้นปีที่ 1 เช่นผมและแน่นอนเขาก็ไม่ใช่รุ่นพี่คณะผมเสียด้วย


   “น้องมีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้มาจับมือพี่ไว้ หรือว่าหลงทางในมหาลัย” เสี่ยงทุ้มนุ่มลึกของรุ่นพี่ที่ผมไปถือวิสาสะคว้ามือเขาไว้เมื่อครู่เอ่ยขึ้นทำให้ตัวของผมหลุดออกจากผวังความคิดของผม


   “เออ…คืองี้พี่ จะว่ามีธุระอะไรก็ว่าได้แต่จะเรียกว่าไม่มีก็เรียกได้นะครับ” ผมพูดโดยใช้คำที่วกวนนิดหน่อยพูดออกไปแม้ว่าผมจะมีธุระกับพี่เขาจริง ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ธุระที่เจาะจงกับพี่เขาโดยตรง ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเงยหน้านิดหน่อยเพื่อไปจ้องนัยน์ตาสีดำคมกริบที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นสายตากรอบสีเหลี่ยมสีดำสนิท


   “น้องครับ ถ้าไม่มีธุระช่วยปล่อยมือพี่หน่อยนะครับพอดีพี่ต้องรีบไปเขาเลคเชอร์ของอาจารย์หนะครับ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่มอบมาให้ผม


   ให้ตายเถอะถ้าผมเป็นผู้หญิงคงหลุดกรีสพร้อมกับลงไปกอดขาพี่เค้าแล้ว คนบ้าอะไรหน้านิ่ง ๆ ก็ดูดี ยิ่งยิ้มแม่มยิ่งโคตรดูดี นี่ขนาดใส่แว่นนะถ้าไม่ใส่แล้วมันจะขนาดไหนกันหละครับ ไอคุณน้องกรคนนี้อิจฉานัก ผมอาจจะไมได้บอกชื่อของผมกับพวกคุณสินะครับ ผมชื่อรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์  หรือคุณจะเรียกผมว่ากร ไอ้กร ไอเชี่ยกร หรือไอคุณน้องกรอย่างที่พวกรุ่นพี่ที่คณะของผมเรียกก็ได้นะครับเพราะยังไงผมถือว่าชื่อพวกนี้พวกคุณเรียกผมด้วยความเคารพในกิตติศัพท์ความเกรียนของผมแน่นอนก่อนที่ผมจะออกทะเลไปยิ่งกว่านี้มีเสียงเสียงหนึ่งเรียกเตือนสติผมอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันไม่ได้มาชายไอผู้ชายสุดหล่อตรงหน้าผม


   “ไอเชี่ยกรครับ…เมื่อไหร่คุณมรึงจะรีบ ๆ รับบทลงโทษของพวกกรูสักทีล่ะครับ เพื่อนบาสคนนี้รอคอยคำสารภาพรักสุดหวานซึ้งของมรึงอยู่นะครับ” จบเสียงพูดของไอเชี่ยบาส เสียงโห่ร้องของเฟรซซี่วิศวะชั้นปีที่ 1 ที่นั่งอยู่บทโต๊ะหินอ่อนด้านหลังของผมก็ดังขึ้นและมันก็ยิ่งทำให้ผมประหม่ายิ่งขึ้นไปอีก หลังจากที่ผมประหม่าสุด ๆ ตอนนี้กลายเป็นว่าผมประหม่าขั้นเทพเลยครับ


   ให้ตายเถอะคุณพ่อ คุณแม่ คุณเจ้ และคุณน้อง ๆ ที่รักยิ่งของท่านกรคนนี้ต้องมาทำเรื่องเสียศักดิ์ศรี หรือเสียเชิงชายโดยการสารภาพรักกับชายหนุ่ม ใช่แล้วครับคุณฟังไม่ผิดหรอกผมต้องสารภาพรักกับชายหนุ่ม! เพราะบทลงโทษบ้า ๆ ที่ผมเล่นอบายมุกแพ้ไอเพื่อนบ้า ๆ พวกนั้นทำให้ผมต้องมายืนจับแขนรุ่นพี่สุดเพอเฟกที่อยู่คณะไหนก็ไม่รู้แบบนี้ ยิ่งไอพวกเพื่อน ๆ ผมเสียงดังยิ่งทำให้ผมกับรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นจุดสนใจมากยิ่งขึ้นไอเราที่อายจะตายอยู่แล้วยิ่งอยากจะตายให้ดูเลยจริง ๆ แม่มเสียงพวกมรึงนี่แหละที่ยิ่งเพิ่มความอับอายให้กรูขึ้นไปอีก


‘ไอเพื่อนเวร…อย่าให้ถึงทีกรูบ้างนะพวกมรึง’ ผมเอ่ยอย่างเคียดแค้นในใจ


   “น้องครับถ้าไม่มีอะไรพี่…” รุ่นพี่คนนั้นพูดช้า ๆ พร้อมกับค่อย ๆ แกะมือของผมออกจากข้อมือของเขาอย่างเบามือแต่ผมกลับตะโกนสวนกลับไปเสียก่อน “ไม่พี่ไม่!!! ผมมีธุระกับพี่จริง ๆ นะ” แม้ประโยคแรกผมจะตะโกนออกไปแต่ประโยคหลังเนี่ยล่ะผมกลับเอ่ยเสียงอ่อยราวกับคนใกล้หมดลมหายใจ


   “ครับ?” พี่เขาตอบรับคำพูดของผมด้วยน้ำเสียงที่งุนงง ปนตกใจเล็กน้อยพร้อมกับหยุดชะงักมือที่กำลังแกะมือของผมจากข้อมือข้างขวาของเขา ผมสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ พร้อมกับทอดถอนลมหายใจของตัวเองออกมาเฮือกใหญ่ดวงตาทั้งสองข้างของผมหลับตาปี๋พร้อมกับเอ่ยคำพูดออกไปดัง ๆ ราวกับว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าของผมนั้นเป็นคนหูตึง ซึ่งผมคิดว่าไอคำพูดนี้ของผมน่ะมันคงดังไปทั่วและทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นหันมามองผมและรุ่นพี่คนนี้เป็นตาเดียว


   “ผมชอบพี่ครับ! ได้โปรดคบกับผมด้วย” เอ่ยจนจบประโยค ไอผมนี่แทบจะแทรกแผ่นดินหนี ไอพวกเพื่อน ๆ เวรปนพวกรุ่นพี่ที่ผมสนิทต่างหัวเราะชอบใจกันเสียยกใหญ่ที่ทำให้ไอคุณน้องกรสุดที่รักหรือไอเพื่อนเชี่ยกรสุดเกรียนคนนี้อับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีได้ ผมค่อยลืมตาของตัวเองขึ้นก่อนจะเหลือบไปมองหน้าคมที่ค่อนข้างจะเหวอเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำบอกรักสุดร้อนแรงที่ผมได้มอบให้เค้าไป


   ทุก ๆ ท่านได้โปรดอย่าเข้าใจผิดนะครับไอคุณน้องกรคนนี้มิได้มีรสนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันเหตุผลมันอย่างที่บอกไปด้านบนนั่นล่ะผมอ่ะแพ้ไอพวกเพื่อน ๆ เวรเลยถูกสั่งให้มาบอกรักรุ่นพี่ รุ่นเพื่อนหรือบอกรัก….อะไรก็ได้ที่เป็นเพศชาย ตอนแรกผมจะอีดออดขอบ่ายเบี่ยงไปบอกรักเพื่อนกระเทยที่ซื่อซินดี้หรือชื่อจริงมันคือไอศักดิ์เพื่อนโรงเรียนมัธยมเดียวกันกับผมแต่เรียนต่างคณะแต่ไอพวกเพื่อนเวรมันก็ไม่ยอม ปากบอกป่าว ๆ ว่ามรึงห้ามเอาคนรู้จักของมรึงดิมรึงต้องไปบอกคนที่พวกกรูเลือกให้ ผมได้แต่นั่งคอตกด้วยความจนใจและยอมรับชะตากรรมและมอบชะตากรรมอันแปลกประหลาดให้รุ่นพี่ที่ยืนหน้าเหวออยู่ตรงหน้าผม


   “พะ…พี่ครับ หยะ…อย่าคิดอะไรกับสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี๋นะครับคือผมแพ้พนันเพื่อนเลยต้องรับบทลงโทษโดยการบอกรักใครสักคนที่เป็นผู้ชายน่ะครับผมขอโทษพี่ด้วยจริง ๆ ที่ลากพี่มาเอี่ยวด้วยแบบนี้” ผมก้มหัวขอโทษขอโพยพี่เค้าเสียยกใหญ่ก่อนจะปล่อยมือพี่เขา พร้อมกับหมุนหันกลับหลังหันและออกวิ่งกลับมาที่โต๊ะของเพื่อนด้วยความรวดเร็วหากแต่ก็ต้องชะงักด้วยเสียงของไอเพื่อนบาสสุดเลิฟของผมที่มันตะโกนสวนกลับมาว่า "ไอกรมรึงลืมอะไรไปอย่างนะคนที่เค้าบอกรักกันเนี่ยเค้าต้องยืนรอคำตอบด้วยเว้ย ว่าเขาจะตกลงหรือเค้าจะไม่ตกลงจริงไหมว่ะพวกมรึง” มันพูดจบก็หันไปถามพวกลูกคู่ของมันครับและพวกลูกคู่ของมันก็เจือก…ตอบกันโดยพร้อมเพียงกันว่า



“ใช่มรึงต้องรอคำตอบของว่าที่แฟนมรึงนะเฮ้ย”



   เสียงของเพื่อนเวรนามว่าบาสและไอเพื่อนเชี่ยอีกหลาย ๆ คนเหมือนฟ้าผ่ากลางหัวใจดวงน้อย ๆ ของผมนักแม้ผมไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ ไม่งั้นเพื่อนที่รักจะหาว่าผมปอดซึ่งแน่นอนไอคุณน้องกร ไอเชื่อกร หรือไอกรของเพื่อน ๆ มันไม่ชอบคำว่าปอดเอาเสียเลย ผมจึงจำใจหันหลังกลับไปประชันหน้ากับรุ่นพี่คนนั้นอีกครั้งพร้อมกับสะกิดที่ข้อมือพี่เขาเบา ๆ เหมือนกับเป็นการเรียกสติของพี่เขาไปในตัว


   รู้สึกว่าพี่เขาจะใช้เวลาจูนสมองตัวเองสักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาจาง ๆ อีกครั้งและรอยยิ้มนั่นก็ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นผู้ชายนะผมคงเป็นลมกับรอยยิ้มนั้นไปแล้ว


โหยยยย…คนบ้าอะไรแม่มโคตรดูดี ทั้งสูง(กว่าผมทั้งๆที่ผมคิดว่าผมอ่ะสูงแล้วแต่ไอรุ่นพี่คนนี้กลับสูงกว่าผมราว ๆ 4-5 เซนได้พอดีผมสูง 180 เซนติเมตร) ทั้งหล่อ(แม้พี่เขาจะใส่แว่นหนาเตอะแต่มันก็เป็นแว่นที่ทำให้หน้าพี่เค้าดูดีขึ้นมาสุด ๆ ไอผมล่ะอยากจะไปถอดแว่นที่เหมาะกับรูปหน้าเขามากระทืบทิ้งซะเหลือเกินเผื่อว่าความดูดีมันจะลดลง) และรวย(ที่รู้ก็เพราะผมเห็นในมือเค้าถือไอโฟนรุ่นล่าสุดอย่าไอโฟน 5 พร้อมกับไอแพทรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวทั้งยังมีกุญแจรถยี่ห้อ BMW อยู่ในมือไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารุ่นพี่คนนี้แม่มรวยมาก ๆ )


   “น้องชื่ออะไรเหรอครับ” น้ำเสียงทุ้มนั้นเรียกสติของผมให้กลับคืนร่าง “ถ้าพี่ไม่รู้ชื่อน้อง พี่ก็คงให้คำตอบกับน้องไม่ได้เพราะพี่คงไม่ตอบตกลงคบกับคนที่พี่ไม่รู้จักหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยเย้าแหย่แต่ผมไม่มีอารมณ์โดนแหย่! เพราะว่ายิ่งพี่เค้ายิ้มหวานพร้อมกับพูดดี ๆ ใส่ผมไอพวกเพื่อนที่รักยิ่งก็ยิ่งส่งเสียงเกรี้ยวกร้าวดังขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ผมจะกลับหลังหันไปด่าไอเพื่อนพวกนั้นผมก็โดนรุ่นพี่(ที่ผมยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อหรือคณะที่พี่เค้าเรียน)คว้ามือไว้


   เค้ายิ้มให้ผม…แน่นอนผมก็ยิ้มแหย ๆ ตอบพี่เขาไป พี่เขากระตุกมือผมอีกครั้งเหมือนเรียกร้องให้ผมตอบคำถามของเขา เราเล่นเกมส์จ้องตากันอยู่สักพักก่อนที่ผมนี่ล่ะเป็นคนยอมแพ้และเอ่ยคำตอบที่เขาต้องการออกไป
   

“รณกร หรือพี่จะเรียกผมว่ากร ไอคุณน้องกร ไอเชี่ยกร หรือไอ้กรก็ได้ครับ เมื่อกี๋นี้ผมขอโทษด้วยจริง ๆ ผมโดนเพื่อน ๆ แกล้งน่ะครับ” ผมพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อบพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษขอโพยออกไปพี่เค้าพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มและยกมือข้างที่เมื่อกี๋นี้ที่จับข้อมือของผมขึ้นมาลูบหัวพร้อมกับขยี้ผมของผมเล่น


   “พี่ชื่อศิ ศิรวิทย์ หิรัณศิริ อยู่คณะแพทย์ศาสตร์ชั้นปีที่ 4 แล้วเราชื่อน้องกรอยู่คณะวิศวะสินะ ส่วนคำตอบของคำสารภาพรักเมื่อกี๋พี่ตกลงครับ พอดีตอนนี้พี่ติดเลคเชอร์ของอาจารย์ไว้เจอกันวันหลังนะครับน้องกร” โถ่ว ๆๆๆ น้องกร ไม่มีใครเรียกผมด้วยชื่อนี้มานานแล้ว น้องกรคนนี้ออกจะซาบซึ้งใจแบบสุด ๆ ถ้ามันไม่มีคำตอบตกลงรับรักผมพร้อมกับรอยยิ้มกวน ๆ บนใบหน้ารุ่นพี่ที่ชื่อศิรวิทย์คนนั้น
   

และผมก็ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าไอรอยยิ้มกวน ๆ ของรุ่นพี่หน้าหล่อคนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตที่แสนเรียบง่ายและสุดแสนจะเกรียนสะบัดของผมไปตลอดกาล…




___________________________________


สวัสดีค่ะนี่เป้ฯครั้งแรกที่พลอยลงนิยายขอฝานิยายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้อาจจะมีคำหยาบคายปนอยู่บ้างแต่ขอให้คำนึงว่าเป้นอรรถรสในการอ่านนะคะ (...แหะๆ ทางนี้สัมผัสกับโลกของวิศวะมาดังนั้น...ก็เลยนึกถึงความสมจริงของตัวละครมากค่ะ)

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เจาะไข่ๆ
ยังมีคำผิดอยู่นะคะ
เป็นกำลังใจให้คะ

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
ชอบค่ะ จะรออ่านต่อนะคะ อย่าหายไปนะคะ  :mew1: เป็นกำลังใจให้ค่ะ :3123:

Windiizz

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก แกกกกกกก
ชั้นเขินพี่หมอมากกกกกกกกก อย่าทำให้ชอบหมอไปมากกว่านี้จะได้มั้ยยยย
อร๊ายๆๆๆๆ ยิ้มจนปากจะฉีกแล้ววว
เรื่องนี้ไม่ดองนะขอร้อง >[]<//// ติดตามอ้ะะะะ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
แต่งให้จบนะคะเรื่องนี้!!  สนุกมากๆ ชอบจริง เมะชนเมะ กล้ามชนกล้ามเนี่ย อร๊ายยยย!!

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
ว๊ากกกกกกกกกกเรื่องใหม่ๆๆๆ รอๆๆๆๆ มาต่อไวๆนะคะรอดูว่าพี่หมอจะทำไรกับน้องวิศวะ

ออฟไลน์ Jadd

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
สงสัยพี่หมอจะติดใจน้องกรเข้าแล้ว

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มาลุ้นพี่หมอกับน้องวิศวะจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อร๊ายยยย ชอบหมอค่า ชอบหมอออออออออออออออออออออ  :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
อร๊ายยยยยย  :hao7:
ชอบบบ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Chapter 1



   ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าถ้าเกลียดอะไรคนเรามักจะได้อย่างงั้น ดังนั้นผมจึงขอเลือกที่จะไม่เกลียดอะไรเลยแทน แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะไอพวกเพื่อนเวรที่ประกาศิตให้ผมไปสารภาพรักกับบุรุษ (หรือตัว…อะไรก็ได้ที่เป็นผู้ชาย) และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มเกลียดสายตาพวกผู้ชาย(ที่มันเป็นเพศเดียวกันกับผม)ที่เริ่มมองผมด้วยแววตาแปลก ๆ และสายตาของพวกผู้หญิงที่ต่างมองผมด้วยแววตาที่เคียดแค้น ไอผมน่ะอยากจะกรีดร้องออกไปดัง ๆ ว่ากรูไม่ใช่พวกอนุรักษ์พันธุ์ไม้แต่มันก็ทำไม่ได้เสียแล้ว…


เพราะว่าข่าวลือที่ไอคุณน้องกรสุดเกรียนที่เป็นถึงดินคณะวิศวะ(พวกคุณคงสงสัยว่าดินคณะวิศวะคืออะไรมันก็คือ ๆ กับพวกดาวเดือนนั่นละครับดินนี่จะมอบให้กับคนที่…เอ่อ ออกจะเกรียนเล็กน้อยและบ้าบอหน่อย ๆ )ได้สารภาพรักและตกลงปลงใจคบกับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งมันดังไปทั่วมหาลัยแล้ว…


ข่าวลือที่ผมไปสารภาพรักกับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งต่างลือกันไปปากต่อปากจนตอนนี้ทั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะแพทย์ศาสตร์(และอาจจะทั้งมหาลัย)ต่างเรียกผมว่า ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ หมดแล้วครับ พวกคุณยังคงจำได้สินะครับไอรุ่นพี่ที่ผมไปสารภาพรักน่ะมันอยู่คณะแพทย์ศาสตร์ซึ่งคณะผมและคณะเขาก็อยู่ไม่ห่างกันเสียเท่าไหร่นัก  ข่าวลือมันเลยยิ่งแพร่ไว แต่ไอในคณะผมน่ะไม่เท่าไหร่เรารู้กันว่าผมโดนเพื่อนแกล้งแต่ไอคณะแพทย์ศาสตร์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลดันไม่ได้รู้เรื่องราวที่ผมแพ้พนันพวกเพื่อน ๆ จนต้องไปสารภาพรักกับพี่หมอสุดหล่อคนนั้นเลยสักนิด


ดังนั้นการเข้าใจผิดครั้งนี้มันจึงนำพาความซวยมาให้ผมและตอนนี้ผมแทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียให้ได้…
เพราะตั้งแต่เกิดมาไอคุณน้องกรคนนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกผู้หญิงเรียกออกมาเคลียร์เรื่องผู้ชายเลยสักนิดให้ตายเถอะชีวิตน้องกรช่างแสนโหดร้าย


“นายชื่อกรสินะ หน้าตาก็ดีไม่น่าจะเป็นอะไรพวกนั้นเลย น่าขยะแขยงชะมัด” สาวน้อยคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหยียด ๆ ไอผมน้ำตาจะไหลเพราะคำพูดของสาวน้อยคนนั้น น้องยาสุดน่ารักอย่าได้เข้าใจพี่กรคนนี้ผิดเพราะรณกรที่เป็นชายหนุ่มรูปงามคนนี้ก็ขนลุกสุด ๆ ที่ต้องไปสารภาพรักกับเพศเดียวกันครับ (แถมไอคุณพี่หมอคนนั้นยังตอบตกลงรับรักผมมันยิ่งโคตรทำให้ผมขนลุกคูณ 2 เลยครับ)


“คือเราไม่ได้อยากไปสารภาพรักกับพี่เค้านะ คือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบสาวน้อยคนนั้นไปแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดสักเท่าไหร่นัก
แต่ผมคิดผิดเพราะเธอไม่ใช่ไม่ค่อยเข้าใจละครับ แต่เธอน่ะไม่เข้าใจผมเลยสักนิดต่างหาก!


“เข้าใจผิดงั้นเหรอ แล้วไอคำตอบตกลงของพี่ศินั่นคืออะไรยะ แล้วข่าวลือว่านายเป็น ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ มันคืออะไรกัน ฉันล่ะขยะแขยงพวกผิดเพศจริง ๆ” คำด่าของสาวน้อยนั้นเหมือนปักลงกลางใจ ผมอุตส่าห์ทำใจกับข่าวลือพวกนั้นได้แล้วนะ แต่นี่ทำไมใยเธอถึงต้องมาตอกย้ำความผิดพลาดครั้งนั้นของผม น้องกรสุดหล่อคนนี้สุดแสนจะเสียใจ


“นั่นก็เป็นการเข้าใจผิดเหมือนกันนั่นละ เราไม่ได้อยากจะไปสารภาพรักกับพี่เขาเลยนะ เธอช่วยฟังเหตุผลที่เราต้องทำแบบนั้นหน่อยได้หรือเปล่า” ผมพยายามไกล่เกลี่ยแต่ดูเหมือนว่าคำพูดของผมไม่น่าจะเขาหูสาวน้อยคนนั้นซะแล้ว เธอค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับง้างมือตบหน้าผมเต็มแรง “นี่สำหรับการที่นายทำให้พี่ศิเป็นพวกผิดเพศ แล้วก็อย่ามายุ่งกับพี่ศิอีกนะ”
ใบหน้าของผมหันไปตามแรงตบพร้อมกับปรากฏรอยแดงขึ้นที่แก้มด้านซ้าย


‘อูยยย มือหนักชิบ’ ผมครวญครางอยู่ในใจแต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษผมเลือกที่จะไม่ตอบโต้ พร้อมหันกลับไปมองหน้าเธอช้า ๆ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยอะไรกับเธอคนนั้นต่อสาวน้อยคนนั้นก็สะบัดหน้าเดินหนีออกไปเสียแล้ว แถมเธอยังทิ้งให้ผมยืนหน้ามึน ๆ เพราะเพิ่งโดนฝ่ามืออรหันของเธอตบไปหมาด ๆ


‘ให้ตายเถอะช่วงนี้อะไรมันจะซวยนักหนาวะ กรูโดนผู้หญิงตบมากี่รอบแล้ววะในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้’ ผมบ่นพึมพำพร้อมกับเดินกลับเข้าไปในตัวคณะ




“ไงครับไอคุณเพื่อนกรคราวนี้โดนสาว ๆ เรียกไปทำอะไรอีกละ” เพื่อนบาสตัวแสบมันพูดกับผมพร้อมกับมือของมันที่กำลังจดบันทึกยอดที่ผมโดน สาวน้อย สาวใหญ่และสาวเทียมเรียกออกไปเคลียร์เรื่องของไอคุณพี่หมอคนนั้น


“โดนฝ่ามืออรหันวะมรึง ดูดิ” ผมพูดพร้อมกับหันแก้มด้านซ้ายที่ปรากฏรอยมือให้ไอพวกเพื่อน ๆ ดู “แม่มเจ็บฉิบเพราะพวกมรึงเลยนะกรูเลยต้องซวยแบบนี้” ผมแยกเขี้ยวใส่พวกมันพร้อมกับชูนิ้วกลางให้ไอเพื่อนบาสด้วยความเสน่ห์หา


“มรึงจะโกรธอะไรนักหนาวะไอกร มรึงน่าจะดีใจนะที่ตอนนี้มรึงได้เป็นถึง ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ น่ะ” เพื่อนบาสตอบผมพร้อมกับปล่อยเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่ ดูท่าทางมันน่าจะชอบใจมากที่ผมถูกเข้าใจผิดแบบนี้ ไอผมล่ะอยากจะถามมันกลับไปว่าถ้ามรึงโดนเรียกแบบนั้นบางมรึงจะดีใจไหม


“กรูจะไปดีใจทำซากอะไร กรูเป็นผู้ชายเว้ย กรูไม่ได้อยากไปเป็นเมียใครสักหน่อย” ผมพูดพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนซึ่งเป็นที่นั่งประจำของผม


“เอาน่ามรึง ไอคุณเพื่อนกรสุดเลิฟ มรึงก็น่าจะรู้ว่าข่าวลือพวกนี้มันหายไปไวนัก อย่าได้แคร์เลยสหาย สักสองสามอาทิตย์เรื่องมันก็จะเงียบไปเองนั่นล่ะวะ” เพื่อนเจมส์ซึ่งเป็นสหายรักอีกคนของผม (ซึ่งมันเป็นตัวเนิร์ดของกลุ่มซึ่งเมื่อกลางภาคที่ผ่านมาผมก็ไปฝากฝังชีวิตไว้ที่มันมารอบ) พูดปลอบพร้อมกับมือของมันตบที่หัวของผมเบา ๆ


ผมได้แต่นั่งเซ็งนับจากวันแรกที่ผมได้โดนเกมลงทัณฑ์บ้า ๆ นั้นไปมันก็ผ่านมาได้สองอาทิตย์แล้วและหลังจากวันนั้นผมถูกสาว ๆ (และหนุ่ม ๆ) เรียกไปคุยหลังไมค์เสมอ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่ไม่ใช่หนุ่มแท้กลับเข้าหาผมมากกว่าปกติ  ซึ่งปกติผมก็เป็นหนุ่มในสเปกของชาวสีม่วงอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งมีข่าวลือว่าผมเป็นหนึ่งในกลุ่มชนชาวสีม่วงมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความยากลำบากของการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางกลับหอช่วงระยะเวลาสองอาทิตย์นี้ผมแทบจะวิ่งกลับหอหลังจากที่ผมเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จเลยทีเดียว เหล้า ยา ปลา ปิ้ง  อบายมุขทั้งหลายแหล่ซึ่งเป็นปัจจัยที่ 5 ของผม ผมก็แทบจะไม่ได้แตะเลยในสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ และในตอนนี้เสบียงผมที่ผมตุนเอาไว้ในห้องผมมันก็เริ่มจะหมดแล้ว จนผมต้องส่งสายตาออดอ้อนเพื่อนรักเพื่อนแค้นให้ช่วยพาผมไปซื้อของมาตุนไว้ในห้องสักหน่อย


“ไอเจมส์ ไอบาส…มาม่าในหอกรูจะหมดแล้วพากรูไปซื้อหน่อยดิ” ผมพูดขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นแต่หน้าของผมยังคงวางแหมะอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนเช่นเดิม ซึ่งไอเพื่อนสองตัวก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังมันมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมกับโยนกุญแจรถมอไซค์ของไอบาสมาให้ผม


ครับนี่คือคำตอบของมันหรือคุณจะให้ผมสรุปง่าย ๆ ก็คือมันไล่ให้ผมไปซื้อเองซึ่งมันสองคนคงมีนัดไปแดรกเหล้าต่อกับก๊วนพี่รหัส ป้ารหัส ปู่รหัสของมัน


“เชี่ยเจมส์ เชี่ยบาสกรูขอให้พวกมรึงพากรูไปไม่ใช่ให้กรูขับมอไซค์พวกมรึงไปเอง มรึงก็รู้ว่ากรูขับมอไซค์แข็งซะที่ไหนล่ะ”


“พอดีพวกกรูไม่ว่างสายรหัสนัดเลี้ยง เอาน่าซุปเปอร์มันไม่ไกลเท่าไหร่มรึงขับดี ๆ ช้า ๆ คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง” พวกมันสองคนตอบโดยพร้อมเพรียงกันและรีบลุกขึ้นวิ่งปรี่ไปที่รถมอไซค์อีกคันซึ่งเป็นของไอเจมส์ โดยทิ้งให้ผมนั่งมองกุญแจรถมอไซค์ของไอบาสอย่างุนงง


‘ไอเพื่อนเชี่ยมรึงก็รู้ว่าจักรยานกรูยังขับไม่แข็งแล้วนับประสาอะไรกับมอไซค์ว่ะ’ ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมตกลงปลงใจขับมอไซค์ของเพื่อนบาสไปซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย


‘ถ้ามอไซค์มรึงเจ๊งขึ้นมาจะหาว่ากรูไม่เตือนนะครับเพื่อนบาส’ ผมลุกขึ้นออกจากโต๊ะม้าหินอ่อนพร้อม ๆ กับบอกลาพวกเพื่อนที่ยังคงนั่งอยู่ในโต๊ะก่อนจะเดินออกไปตามล่าหามอไซค์ที่จอดทิ้งไว้ข้าง ๆ คณะของเพื่อนบาส


‘ฮอนด้าเวฟสีฟ้าอ่อน ฮอนด้าเวฟสีฟ้าอ่อน’ ผมเดินตามหารถมอไซค์ของเพื่อนบาสอยู่สักพักก่อนจะหันไปเจอมันจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางสายลม แสงแดด และหมู่แมกไม้ ‘เจือกเลือกจอดซะไกลเลยนะครับเพื่อนบาส’ ผมบ่นพึมพำก่อนจะย้ายก้นตัวเองขึ้นไปประทับบนเบาะมอไซค์แล้วค่อย ๆ ขับออกไป


ไม่ใช่ว่าผมจะขับรถมอไซค์ หรือจักรยานไม่เป็นหรอกครับพอดีผมขับเป็นแต่ผมพอดีผมดันเป็นพวกซุ่มซ่ามดังนั้นไอการขับรถที่ไม่สมดุลตามหลักฟิสิกส์แบบนี้ทำให้ผมขับรถมอไซค์หรือจักรยานล้มบ่อย ๆ ซึ่งครั้งนี้ผมก็ยังไม่มั่นใจตัวเองเลยว่าผมจะขับมอไซค์คันนี้รอดไปถึงซุปเปอร์มาเก็ตและนำพามอไซค์คันนี้กลับไปจอดที่หอของไอเพื่อนบาสได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า
แต่ในตอนนี้ที่แน่ ๆ ผมรู้สึกว่าตัวของผมชักจะบังคับไอเครื่องจักรสองล้อนี้ไม่ได้เสียแล้วละ พวกคุณอย่าหาว่าผมอ่อนหรืออะไรเลยครับก็ผมบอกพวกคุณไปแล้วว่าผมน่ะขับไอพวกยานพาหนะสองล้อไม่แข็งเลย เรียกง่าย ๆ ถ้าไปบอกใครต่อใครว่าผมขับมอไซค์เป็นตั้งแต่ม.4 ทุกคนต่างก็ไม่เชื่อแน่นอน (แต่เป็นเรื่องจริงนะครับที่ผมขับพวกยานพาหนะสองล้อนี้เป็นตั้งแต่ ม.4 แต่หลังจากการขับได้ในครั้งนั้นผมก็ไม่ได้แตะมันอีกเลยจนยันมหาลัยนี่ละ)


รถมอไซค์ที่ผมขับเริ่มส่ายไปส่ายมาจนผมไม่สามารถควบคุมมันได้อีกแล้วผมหลับตาปี๋ก่อนที่จะพยายามชะลอรถมอไซค์ในจอดช้า ๆ แต่มันดันเจือกไม่เป็นตามที่ผมหวังไว้น่ะสิ  รถมอไซค์ที่ตอนนี้ผมกำลังบังคับมันอย่างสุดความสามารถมันค่อย ๆ เอียงลง เอียงลง ตามกฎแรงโน้นถ่วงโลกของเซอร์ไอแซก นิวตันพร้อมกับร่างของผมที่ร่วงออกจากรถนั้นคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างมองผมเป็นตาเสียงไอคุณน้องกรคนนี้สุดแสนจะอับอายในการกระทำของตนที่ได้สร้างวีรกรรมใหม่ขึ้น จากการที่ผมเป็น ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ ตอนนี้คงเพิ่มเป็นไอคนซุ่มซ่ามมาด้วยแน่นอน โธ่..ชีวิตของไอกรมันช่างรันทดเสียจริง แต่ยังดีที่ผมสวมหมวกกันน็อคของไอเชี่ยบาสจึงทำให้ผมบาดเจ็บไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ขาขูดกับพื้นจนตัวกางเกงแสลคขาดให้เห็นรอยแผลที่ถูกไถลไปกับพื้นพร้อมกับแขนทั้งสองข้างที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับขาของผม


ให้ตายเถอะ! เดือนนี้มันอะไรทำไมผมซวยได้ถึงขนาดนี้กันนะ ผมบ่นพึมพำกับตัวเองพร้อมกับพยายามพาร่างของตัวเองไปจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ให้ขึ้นมาเหมือนเดิมแต่ก่อนที่ผมจะได้ทำแบบนั้นกลับมีมือมือนั่งมาฉุดร่างของผมออกไปเสียก่อน ซึ่งไอตัวผมที่กำลังโงนเงนอยู่แล้วก็ยิ่งปลิวง่ายเลยสิครับผมค่อยเซไปหาเจ้าของมือนั่นพร้อมกับฟุบหน้าลงไปบนบ่าด้านขวาของเขา


“น้องกรเป็นอะไรมากไหมครับ” เสียงทุ้มนั้นถามผมด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามของเขาไปไอความสามารถในการคุมสติของผมมันได้หมดไปแล้ว ตาของผมค่อย ๆ ปรือหลับลงพร้อมกับทิ้งร่างของตัวเองให้อยู่ในอ้อมแขนของชายปริศนาคนนั้น รู้สึกว่าเขาจะร้องเรียกชื่อผมอีกหลายทีแต่สติผมดันไม่อยู่กับตัวเสียแล้วตอนนี้ผมขอเข้าเฝ้าพระอินทร์บนสวรรค์ก่อนละนะครับ วันนี้น้องกรขอลาฝันดีนะครับทุกคน




สติที่เริ่มลางเลือนค่อย ๆ คืนกลับมาพร้อมกับนัยน์ตาที่ลืมตื่นขึ้นพร้อมการปรับโฟกัสการมองเห็นของตนให้เข้าที่คำถามแรกที่ลอยขึ้นมาในหัวของไอคุณน้องกรตอนนี้ก็คือ ‘คุณกรูนอนอยู่ที่ไหนวะเพดานสีขาวกำแพงสีขาว…เตียงสีขาว เชี่ยล่ะหรือว่ากรูตายไปแล้ววะเนี่ย’ แต่ก่อนที่ผมจะได้สติแตกไปมากกว่านี้มือมือหนึ่งก็ถูกเอื้อมขึ้นมาตบกลางหัวผมพร้อมกับมืออีกหลายมือต่างพากันเขย่าร่างของผมราวกับว่าผมนั้นไม่ใช่คนป่วยที่พึ่งประสบอุบัติเหตุมาหมาด ๆ


“เชี่ยกร มรึงตื่นขึ้นมาแล้ว” เสียงของไอเจมส์ครวญครางขึ้นมาพร้อมกับเขย่าร่างของผมไปมาด้วยความดีใจ


“มรึงจำพวกกรูได้ป่ะวะไอกร เฮ้ยอย่าเงียบดิวะถ้ามรึงจำไม่ได้แล้วใครแม่มจะจ่ายค่าซ่อมมอไซค์ของกรูวะ มรึงต้องตื่นมารับผิดชอบรอยถลอกบนรถสุดที่รักกรูด้วย” และเสียงที่สองของไอบาสก็ตามมาด้วย…ด้วยความเป็นห่วงรถของมัน
ไอเพื่อนเวรครับมรึงไมคิดจะห่วงกรูเลยหรือไงครับกรูเป็นคนเจ็บนอนพันผ้าพันแผลอยู่นะครับเพื่อนไหงมรึงถามเรื่องมอไซค์มรึงได้ล่ะครับไอคุณเพื่อนที่รัก เดี๋ยวแม่แกล้งทำเป็นคนความจำเสื่อมซะเลยหรอกจะได้แม่มเลิกยุ่งกับผมสักที


“เบา ๆ หน่อยดิวะกรูเจ็บแผล” ผมพูดตอบมันเสียงอ่อยพร้อมกับค่อย ๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งพิงหมอนที่ถูกพวกเพื่อน ๆ จัดแจงให้เป็นอย่างดี “แต่ที่นี่ที่ไหนวะ”


“มรึงอยู่โรงพยาบาลของมหาลัยอ่ะดิ แม่มกรูตกใจแทบตายที่พี่หมอเค้าโทรมาบอกว่ามรึงรถล้มตอนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาล” เสียงเพื่อนเจมส์ของพูดอยู่ข้าง ๆ และรู้สึกว่ามันจะหมดความสนใจเกี่ยวกับแผลหรือสภาพร่างกายผมแล้ว และตอนนี้มั่นนั่งกระดิกเท้าเจาะนมกล่องดัชมิลล์รสนมกล้วยของมันกินอย่างเอ็ดอร่อยอยู่


“ให้ตายเถอะไอเชื่อกรมรึงขับรถไม่แข็ง  ก็ยังจะฝืนขับนะมรึง  ดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแผลถลอก” ไอเพื่อนบาสบ่นพลางตบหัวผมเบา ๆ อีกที


เชื่ยบาสครับ อยากให้กรูเซดสิครับว่าใครแม่มเป็นคนบังคับให้กรูต้องขับมอไซค์ไปซื้อของทั้งที่กรูขับไม่แข็ง ถ้าแม่มไม่ใช่เพราะมรึง


“มรึงอย่ามาพูดครับเชี่ยบาส ใครหน้าไหนแม่มโยนกุญแจรถมอไซค์ของมรึงมาให้กรูครับถ้าไม่ใช่มรึง” ผมด่ามันกลับไปรอบแต่ไอเชี่ยบาสดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยที่มันทำให้ผมมีสภาพแบบนี้
ครับพวกมันรู้ล่ะครับว่าผมขับมอไซค์และขับไม่เก่งแต่มันก็ไม่ได้รู้ว่าผมน่ะขับมอไซค์ไม่แข็งขั้นเทพแบบนี้


“เพื่อนกรครับถ้ามรึงขับไม่แข็งขั้นเทพขนาดนี้  มรึงก็ไม่สมควรขับนะครับเข้าใจเพื่อนบาสพูดไหมครับ” มันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแต่ก็ยังไม่วายใช้คำพูดที่กวนอวัยวะส่วนล่างของผมอยู่ดี ถ้าไม่ติดว่ากำลังเจ็บแผลอยู่นะผมคงลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งไปกระโดนเตะก้านคอมันแล้วละครับ


“เออ กรูก็ไม่อยากจะขับหรอกครับถ้ามรึงไม่เจือกโยนกุญแจรถมรึงมาให้กรู จนกรูต้องรับผิดชอบชีวิตลูกรักมรึงเนี่ย” ผมบ่นพึมพำก่อนจะไหลกลับไปนอนแบบเดิมพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงตัวเอง แต่ก่อนที่ผมจะทำตัวงอนสุดขีดให้พวกมันเห็นผมก็ดันไปนึกขึ้นมาได้ว่าแล้วใครเป็นคนพาผมมาโรงพยาบาลกันละ ผมเด้งขึ้นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกว้านมือไปคว้าคอของเพื่อนรักนามว่าบาสมาเขย่าถามว่าใครเป็นคนพาผมมาโรงพยาบาลและจัดห้องพิเศษแบบนี้ให้


“เพื่อนบาสครับ ก่อนที่กรูจะงอนมรึงกรูขอเวลาสิบนาที ใครเป็นคนพากรูมาโรงพยาบาลวะ” เมื่อผมเอ่ยจนจบประโยคไอเพื่อนบาสก็กระตุกยิ้มกวนประสาทผมขึ้นมาทำที มันทำหน้ากระยิ้มกระย่องพร้อมกับแงะมือ และผลักผมให้นอนลงไปอย่างเดิม


“กรูไม่บอกมรึงหรอกครับเพื่อนกร แต่มรึงก็ควรรู้ไว้นะว่าพรุ่งนี้มรึงได้ดังระเบิดมากกว่าเก่าแน่นอน” มันพูดพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึ’ เบา ๆ ให้ผมใจเสีย


ดังระเบิด…ตอนนี้ไอคุณน้องกรคนนี้ก็ดังระเบิดจนไม่ต้องทำอะไรกินแล้วละครับดังไปทั่วหมาลัยแล้ว ยังมีอะไรที่จะทำให้ผมดังกว่านี้ได้อีกเหรอ


ผมเหลือบตามองพวกก๊วนเพื่อนสุดที่รักของผมด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักนิดเดียวทิ้งให้ผมนอนหง่อยอยู่บนเตียงและพวกมันก็ต่างพากันแยกย้ายกลับหอ(หรืออาจจะกลับไปแดรกเหล้ากับพี่รหัสมันต่อ) เพราะตอนนี้มันก็หมดเวลาเยี่ยมแล้ว


ผมกระพริบตามองตามหลังพวกมันไปตาปริบ ๆ ก่อนที่จะ ซุกตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ปล่อยให้วันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ไปแล้วกัน ผมคิดในใจพร้อมกับปล่อยให้ความง่วงเข้ามาปกคลุมความรู้สึกและฉุดผมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง


v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2013 21:07:00 โดย S_oKiss »

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

เช้าวันต่อมาผมต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมแสงแดดยามเช้าจากหน้าต่างด้านข้างเตียงนอนที่คุณพี่พยาบาลสุดสวยเดินเข้ามาเปิดผ้าม่านให้ ผมนอนกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะปรับสายตาให้รับกับแสงแดดด้านนอกข้าวต้มร้อน ๆ หอมฉุยถูกเข็นมาวางไว้ด้านหน้าของผมและแน่นอนผมก็จัดการสวาปามมันทันทีด้วยความรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่นาทีนักข้าวต้มร้อน ๆ นั่นก็หมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวเมล็ดเดียว


‘บางครั้งอาหารของโรงพยาบาลก็รสชาติไม่เลวเหมือนกันแฮะ’ ผมพูดพร้อมกับลูบท้องของตัวเองที่ป่องออกมาน้อย ๆ เพราะข้าวต้มถ้วยเมื่อกี้… เออแต่นี่ผมจะต้องนอนโรงพยาบาลไปอีกนานไหมเนี่ย  ผมชักจะเบื่อซะแล้วสิที่ต้องนอนแกร่วในห้องเงียบ ๆ คนเดียวแบบนี้


แต่ไอความเงียบที่ผมแสนจะเบื่อหน่ายนั้นมันก็หมดลงไปทันทีที่พวกก๊วนเพื่อตัวแสบเดินเข้ามาพร้อมกับโยนเสื้อนิสิตชุดใหม่ให้ผม และไล่ผมให้ไปแต่งตัวในห้องน้ำ


“กรูให้เวลามรึง 10 นาที รีบแต่งตัวแล้วออกมาแม่มวันนี้ จารย์เค้าเช็คชื่อกรูไม่อยากให้มรึงขาด ไม่งั้นไม่มีคนติวฟิให้กรู” เชื่อบาสพูดพร้อมกับโบกมือไล่ผมให้เข้าห้องน้ำไปซึ่งผมก็ต้องทำตามคำพูดมันพร้อมกับลากสังขารที่ไม่ค่อยจะอำนวยเข้าห้องน้ำไป
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนิสิตชุดใหม่ที่พวกเพื่อน ๆ ลงทุนหารเงินกันซื้อมาให้ผมใส่เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ไม่ได้พาผมไปซุปเปอร์ตามที่ผมขอและส่งผลให้ผมเป็นไอเดี้ยงในเวลานี้


ถ้ามรึงจะขอโทษด้วยของพวกนี้ มรึงสู้พากรูไปเลี้ยงซิสเลอร์ดีกว่านะไอพวกเพื่อนเวร


หลังจากที่พวกเพื่อน ๆ ของผมหิ้วผมออกมาจากโรงพยาบาลผมก็บ่นกระปอดกระแปดตลอดว่างเจ็บแผลบ้าง ปวดแผลบ้าง แต่ไอพวกเพื่อน ๆ มันก็ไม่ได้สนใจเสียบ่น หรือเสียงครวญครางของผมเลย พอถึงตึกคณะมันก็จับผมโยนเข้าห้องเลคเชอร์และตามด้วยการนั่งประกบผม เพื่อให้ผมเลคเชอร์ให้พวกมันเอาไปซีรอก


‘ให้ตายเถอะ ชีวิตกรูมีค่าแค่เลคเชอร์ให้พวกมรึงสินะ’ ผมบ่นงึมงำใจในแต่ยอมก็ก้มหน้าก้มตาจดเลคเชอร์ให้พวกมันกันไป
เพียงแต่ในตอนนี้ตัวผมนั้นไม่มีสมาธิเอาเสียเลยด้วยที่ว่าตอนนี้ผมกำลังสงสัยว่าใครกันนะที่เป็นคนช่วยพาผมไปส่งที่โรงพยาบาล และใครกันนะที่เอ่ยเรียกชื่อของผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแบบนั้นกัน ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจต่อไปจนกระทั้งเวลานั้นได้ล่วงเลยจนมาถึงช่วงเวลาพักกลางวัน




ผมเดินกะเผลกเข้าไปในโรงอาหารกลางซึ่งเป็นโรงอาหารรวมที่คนทั้งมหาวิทยาลัยมานั่งกินข้าวกันไอตอนแรกผมก็ไม่คิดจะใส่ใจหรือสนใจอะไรกับสายตาคนรอบข้างหรอก แต่พอผมยิ่งเดินเข้าไปใกล้โรงอาหารกลางมากขึ้นเท่าไหร่ไอสายตาของผู้คนรอบข้างก็ยิ่งทวีคูณมองมาที่ผมมากขึ้นเท่านั้น  ในใจก็อยากจะพูดด่ากลับไปหรอกนะแต่ด้วยสภาพสังขารที่มิเอื้ออำนวยตอนนี้ผมจึงทำได้แค่ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรเพราะผมกลัวว่าจะวิ่งหนีตรีนนับร้อยไม่ทัน


เมื่อพวกผมพากันเดิน(ซึ่งยกเว้นผมที่โดนเพื่อนหามมา)มาถึงโต๊ะประจำที่พวกผมจะนั่งกันในโรงอาหารกลางแห่งนี้พวกเพื่อน ๆ ก็ทำหน้าที่สหายที่แสนดีโดยการตบหัวผมคนละที แล้วถามว่าผมอยากจะกินอะไรซึ่งค่าตบหัวผมนั้นเป็นค่าจ้างที่พวกมันจะต้องเดินไปซื้ออะไรมาให้ไอเดี้ยงอย่างผมกินซึ่งผมก็โวยวายอะไรไม่ได้เหมือนกันเพราะไอเดี้ยงอย่างผมมันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรอส่วนบุญส่วนกุศลที่พวกเพื่อน ๆ ของผมมันจะแผ่เมตตามาให้


เดี้ยง ๆ แบบนี้ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่เลยแฮะ ความเกรียนขอผมมันหดหายไปหมดหนำซ้ำตอนนี้ผมชักเย็นสันหลังวูบวาบหนักกว่าตอนที่ผมมีข่าวลือว่าผมเป็น ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’ เสียอีก ให้ตายเถอะมันจะเกิดข่าวลืออะไรขึ้นอีกวะ  ผมชักจะรำคาญข่าวลือพวกนั้นแล้วนะ ถ้ามันจะลือกันก็ลือกันไปเถอะแต่ช่วงอย่าเรียงแถวมาตบหน้าผมหรืออะไรกับผมเลย ผมขอร้องล่ะตอนนี้ชีวิตผมก็วุ่นวายมากพอดูอยู่แล้ว ขอเถอะครับได้โปรดอย่าสร้างข่าวลือที่ทำให้ผมเดือดร้อนมากอีกเลย ผมนึกในใจพร้อมกับยกมือท่วมหัวเหมือนจะขอร้องพระเจ้าให้ฟังคำขอของผมบ้างแต่ก็ไม่เลยไอการกระทำบ้าบอของผมยิ่งทำให้ผม…โดนมองยิ่งเข้าไปใหญ่…


เวลาผ่านไปไม่นานนักเจ้าพวกเพื่อนสุดที่รักของผมก็เดินกลับกันมาพร้อมกับกลิ่นบะหมี่เป็ดย่างที่ผมได้สั่งไป “ใส่ผักหรือเปล่า” นี่เป็นคำถามแรกที่ผมถามมันไปพวกคุณคงสงสัยล่ะสิทำไมผมถึงได้ถามมันไปแบบนั้น…โอเค ผมสารภาพก็ได้ผมน่ะนอกจากจะขับจักรยานไม่เป็น ขับมอไซค์ไม่เป็นแล้ว ผมน่ะยังไม่ชอบกินผักเสียด้วย  ดังนั้นการฝากให้เพื่อนผมซื้ออะไรมาให้กินนั้นจึงต้องกำชับว่าผมไม่เอาผักเลยซึ่งบางทีเพื่อนมันก็มีเผลอลืมสั่งให้ผมเหมือนกัน


“ไม่ได้ใส่กรูไม่ลืมหรอกน่าว่ามรึงเป็นเด็กที่ไม่ชอบกินผัก” ไอเพื่อนบาสพูดล้อเลียนผมซึ่งผมก็ไม่เถียงมันหรอกเพราะว่าผมไม่กินผักจริง ๆ นี่นา ผมก้มหน้าก้มตากินบะหมี่เป็ดย่างสุดที่รักของผมไปซึ่งสายตาของคนทั้งโรงอาหารก็ยังคงทิ่มแทงแผ่นหลังของผมไปเรื่อย ๆ


โธ่เว้ย ผมอยากรู้นะเนี่ย ผมไปสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้อีกถึงได้โดยสายตาของคนทั้งมหาลัยมองทิ่มแทงมาแบบนี้ แม่มเล่นมองกันแบบนี้จะมองให้ตัวผมทะลุไปเลยหรือยังไงกัน ความอดทนของผมก็มีจำกัดเหมือนกันนะเมื่อบะหมี่เป็ดย่างของผมหมดจานผมก็รีบลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจอาการเดี้ยงต่อเนื่องของผม  แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ตะโกนหรือพูดอะไรออกไป กรกานต์หรือกานต์เพื่อนรักตั้งแต่ชั้นประถมของผมก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มหวานฉ่ำที่มอบมาให้


โอ้ว…รอยยิ้มของนางฟ้า…รอยยิ้มนั้นนำพาความขุ่นข้องหมองใจของผมไปจนหมดถ้าไม่ติดว่าด้านหลังของกานต์เพื่อนรักผมมีบุคคลที่แผ่ออร่ามาคุอยู่ล่ะก็ ผมคงเดินเข้าไปออดอ้อนกานต์แล้วละว่าผมเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้แล้วล่ะ


แต่ผมคงลืมบอกอะไรกับทุก ๆ ท่านไป กรกานต์แสนงามคนนี้เป็นผู้ชายนะครับ เป็นผู้ชายทั้งแท่งแต่ด้วยความสูง 170 เซนติเมตรถ้วนของเขา ทำให้เขาดูอ่อนแอและน่าทะนุถนอมยิ่งนัก อีกทั้งยังมีเรือนผมสีน้ำผึ้งกับดวงตาสีท้องฟ้าทำให้ร่างเล็กตรงหน้านี้มีแต่คนอยากจับจองเป็นข้าวของ แต่ไอพวกที่กล้าลองดีก็มีไม่มากนักหรอกเพราะว่ากรกานต์มีเจ้าของเสียแล้ว ซึ่งผมผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทของกานต์อย่างผม เขาก็ไม่อนุญาตให้ผมแม้แต่จะจับมือของกานต์เลย เรียกได้ว่า…ว่าที่เจ้าของของกรกานต์ดุมาก ดุอย่างกับจงอางหวงไข่ ซึ่งหลาย ๆ คนก็ต่างเข้าใจผิดว่าสองคนนี้เป็นคู่รักกันแต่ความจริงแล้วสองคนนี้ยังไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากคุณพี่ข้างบ้านกับคุณน้องข้างบ้านกันเลย ให้ตายเถอะอาจารย์ธาราจะหวงกานต์ไปไหนกันนะ


“สวัสดีกร เมื่อวานเห็นว่าเข้าโรงพยาบาลกรเป็นอะไรมากหรือเปล่า กานต์เป็นห่วงนะกรนะครับ” เสียงหวานฉ่ำเอยออกมาด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับมือบางที่เอื้อมมือจับแขนผมเผื่อไปพลิกดูแผลที่เกิดขึ้น “กานต์เห็นในหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยแล้วละว่ากรรถล้ม” ผมหลับตาฟังน้ำเสียงนุ่ม ๆ ของกานต์ด้วยความสุข แต่เอ๊ะ…แต่ว่ามีอะไรหนังสือพิมพ์ของมหาลัยนะ “ในข่าวมีรูปกรโดนอุ้มขึ้นรถของรุ่นพี่นิสิตแพทย์ด้วยละ” อืมมมมม นุ้มนุ่ม แต่เอ๊ะเมื่อกี้กานต์ว่าอะไรนะใครประคองใครอุ้มใครขึ้นรถใคร


ผมเบิกตาโพรงพร้อมกับรัวคำถามใส่กานต์ไม่ยั้ง “กานต์เมื่อกี้กานต์ว่าอะไรนะ ใครถูกอุ้ม ใครประคองใครขึ้นรถ ใคร??” ผมรัวคำถามเสียจนกานต์ตกใจ แต่อาการตกใจของกานต์ก็คือยิ้มจาง ๆ ออกมา เหมือนกับว่ากานต์จะเรียบเรียงคำพูดในสมองเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ พูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หวานฉ่ำเหมือนเดิมว่า “ก็กรไง กรโดนรุ่นพี่นิสิตอุ้มขึ้นรถไปเพื่อพาไปส่งโรงพยาบาล กรไม่รู้หรอกเหรอ กานต์นึกว่ากรรู้แล้วนะเนี่ย” เมื่อกานต์พูดจบ เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็หลุดออกมาจากริมฝีปากสีสดของกานต์ ถ้าไม่ติดว่าผมน่ะกำลังตกใจอยู่ผมคงละลายกองไปกับพื้นด้วยอาการน่ารักน่าชังของกานต์แล้ว


“กานต์มีหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยไหม  กรอยากอ่านตอนนี้เลย” ผมเร่งเร้าให้กานต์หาหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยให้ผมอ่านแต่ว่ากานต์ก็ปฏิเสธผมและบอกเหตุผลว่า ‘หนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยอยู่บนรถของอาจารย์ธารากานต์ไม่อยากกวนอาจารย์น่ะ ขอโทษด้วยนะกรกานต์ขอตัวก่อนล่ะดูท่าทางอาจารย์คงหิวข้าวน่าดูแล้ว’ กานต์กล่าวลาพร้อมกับทิ้งให้ตัวผมซึ่งกำลังช็อกกับสิ่งที่กานต์คนงามได้บอกเล่ามาให้ผมฟัง


แต่ผมก็ช็อกไปไม่เท่าไหร่ไอเจ้าสหายที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่ก็เผลอปล่อยเสียงหัวเราะออกมาซะดังผมตวัดตาไปมองเจ้าเพื่อนเวรพวกนั้น  พร้อมกับส่งสายตาที่บ่งบอกว่าพวกมรึงช่วยบอกให้กรูรู้ที  ว่าในหนังสือพิมพ์มหาลัยของอาทิตย์นี้มีอะไรเกี่ยวกับกรูบ้าง


สหายรักของผมก็ดึงมือฉุดให้ผมนั่งลงพร้อมกับโยนหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยมาให้  ไม่ต้องเปิดอ่านผมก็กระจ่างในหัวใจ รูปภาพที่อยู่หน้าหนึ่งเป็นภาพของผมที่ถูกไอคุณพี่หมอที่ผมไปสารภาพรักเพราะโดนเกมลงทัณฑ์บ้า ๆ นั่นอุ้มขึ้นรถอยู่
ให้ตายเถอะไอข่าวลือที่ผมคิดว่ามันจะจบลงไปสักทีในอาทิตย์นี้มันยิ่งปะทุขึ้นมาอีก ใต้ภาพมีคำบรรยายสุดสยิวกิ้วว่า ‘นิสิตแพทย์คนดังอุ้มแฟนหนุ่มหมาด ๆ ขึ้นรถ สายตาคมของนิสิตหนุ่มคนนั้นดูห่วงหาอาทรเด็กน้อยเฟรซชี่คณะวิศวะคนนี้ซะเหลือเกิน คาดว่าความหวานนี้คงจะทำให้มดขึ้นกันทั่วโรงพยาบาลเป็นแน่’ เมื่ออ่านคำโปรยใต้ภาพจบผมแทบจะฉีกหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเป็นชิ้น ๆ


ไอผมน่ะไม่ได้โกรธไอพี่หมอคนนั้นหรอก แต่ผมโกรธไอคนที่เขียนข่าวนี่ต่างหากละ มาเขียวข่าวมั่วซั้วได้ยังไงว่าไอคุณน้องกรสุดหล่อคนนี้เป็นแฟนกับพี่หมอคนนั้นไม่! กรรับไม่ได้!


ผมแทบจะลากพาสังขารที่เดี้ยง ๆ ของผมไปถล่มถึงห้องชมรมหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยแต่ไอพวกเพื่อน ๆ ทั้งหลายกับฉุดและดึงร่างของผมให้นั่งลงกับโต๊ะเพื่อสงบจิตสงบใจเอาไว้


“พวกมรึงดู พวกมรึงดู จะให้กรูเย็นได้ไงครับ มรึงดูข่าวที่เขาพาดหัวดิ  กรูไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขานะเฮ้ย แล้วนี่มันอะไร นี่มันอาร้ายยยยย!” ผมตะโกนและตะคอกกรอกหูพวกมันซึ่งพวกเพื่อนของผมมันก็ได้แต่นั่งขำกันท้องคัดท้องแข็ง


“ไอกร มรึงเย็นไว้นะ ฮะๆ…” ไอเจมส์พูดพร้อมกับปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะการหัวเราะไม่หยุดของมัน “มรึงจะสนใจอะไรว่ะแต่ข่าวมรึงไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เค้าซะหน่อย  ปล่อยไว้เดี๋ยวข่าวแม่มก็ซาไปเองอ่ะ ข่าวลือพวกนี้แม่มอยู่นานซะที่ไหน” เจมส์มันพูดปลอบพร้อมกับยีหัวของผมเบา ๆ


“ลามปามละมรึง ไอเจมส์” ผมพูดกลับก่อนจะยกมือขึ้นจัดทรงผมของผมให้เข้าที่เหมือนเดิม


“เอาน่าปัญหานี้แก้ได้โดยมรึงอ่ะเงียบเอาไว้  อย่าไปสร้างกระแสเพิ่มก็เท่านั้นเดี๋ยวข่าวมันก็เงียบ ๆ ไปเอง  เข้าใจป่ะวะมรึง” ไอบาสเข้ามาพูดเสริมไอผมก็ได้แต่จำใจยอมรับและพยักหน้าตอบมันไป


“กรูนึกว่าเรื่องนี้จะเงียบแล้วนะเฮ้ยแม่มทำไมมันยิ่งเป็นประเด็นฮอตฮิตแบบนี้วะ” ผมบ่นพึมพำก่อนจะนอนแหมะคว่ำหน้าลงไปบนโต๊ะม้าหินอ่อน ผมไม่ใช่ว่าจะอะไรนะครับเพียงแต่ผมไม่อยากโดนสาว ๆ หรือหนุ่ม ๆ มาเรียกให้ไปคุยอีกแล้วถ้าสาว ๆ มาเรียกไม่พ้นผมนี่ละโดนตบ ถ้าหนุ่ม ๆ มาเรียกก็ไม่พ้นเรียกไปสารภาพรักพูดแล้วขนลุก


แม่มเอ้ย…สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี่มันเป็นนรกสำหรับผมเลยชัด ๆ ซวย ซวย ซวย ซวยสุด ๆ เท่าที่ชีวิตนี้เคยเจอมากเลยเถอะ ปีชงของผมหรือไงวะเนี่ย


“เชี่ยกรครับ ลุกได้แล้วครับบ่ายนี้มีแลป และมรึงก็โดดไม่ได้นะครับ” พูดจบสหายของผมก็เริ่มออกแรงหามผมที่สติหลุดออกจากร่างไปแล้วให้ไปเรียนคาบบ่ายที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์




ร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงของผมถูกเพื่อนลากไปลากมาอย่างกับตุ๊กตา เพียงแต่มันก็สบายดีเหมือนกันแฮะ  ไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนให้เมื่อยให้เพื่อนลากไปก็ดีเหมือนกัน และผมก็ยอมให้พวกเพื่อน ๆ ลากไปมาจนหมดคาบเรียนของวันนี้ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะวันนี้เป็นวันที่สายรหัสของผมนัดเลี้ยงพวกอบายมุขให้น้อง ๆ และแน่นอนด้วยสังขาร และสภาพจิตใจของผมที่ยังไม่พร้อมจะรองรับพวกอบายมุขทั้งหลายแหล่ ผมเลยจำใจต้องปฏิเสธพี่รหัส ลุงรหัส และปู่รหัสที่จะเลี้ยงเหล้าผมไปและนำพาร่างอันไม่สมประกอบของตัวเองไปให้ถึงหอ(จริง ๆ เรียกว่าคอนโดจะดีกว่าแม่ของผมซื้อให้ผมกับคุณเจ้อยู่แต่ด้วยที่คุณเจ้แกจบพร้อมกับรับปริญญาเสร็จไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว  และคอนโดนี้ก็เลยกลายเป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว) ที่ผมใช้ซุกหัวนอนมาตั้งแต่สมัยผมอยู่มัธยมปลาย


ขาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยแผลของผมนำพาสังขารอันแสนอ่อนล้าไปที่ตัวลิฟท์  นิ้วชี้ขอผมต่างกดปุ่มของลิฟท์เล่นไปมา ทุกท่านอย่าคิดว่าผมสติไม่เต็มนะครับผมแค่อยากเร่งให้ไอลิฟท์บ้าตัวนี้แม่มลงมาถึงชั้น 1 ไว ๆ เท่านั้นล่ะครับผมเลยเล่นกดรัว ๆ แบบนี้


ผมยืนรอสักพักไม่นานนักไอลิฟท์เจ้ากรรมก็ลงมาถึงชั้น 1 เสียที และหน้าที่ที่จะพาผมเข้าไปในลิฟท์มันก็เป็นหน้าที่ของขาอันแสนอ่อนล้าของผมนั่นละที่จะลากสังขารของคนเดี้ยง ๆ เข้าไปในลิฟท์ มือของผมควานหาปุ่มปิดประตูลิฟท์ก่อนที่จะเลื่อนขึ้นไปจิ้มลิฟท์ชั้น 14 ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นชั้นบนสุด(ถ้าไม่นับรวมดาดฟ้า) ตัวลิฟท์ค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นไปทีละชั้นทีละชั้นอย่างเชื่องช้าแล้วด้วยความสามารถในการควบคุมสติของผมนั้นใกล้ ๆ จะหมดลงตัวลิฟท์นั้นก็หยุดอยู่ที่ชั้น 14 ที่เป็นจุดหมายของผมซะที


ชั้น 14 นี้จะเรียกได้ว่าเป็นชั้น VIP ก็ว่าได้เพราะมันมีอยู่ไม่ถึง 10 ห้องเสียด้วยซ้ำ  ซึ่งผมก็พอใจนะกับการอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครด่าอะไรกัน  เพราะผมชวนเพื่อนมาสังสรรค์กันทีไร  ไม่มีใครมาเคาะประตูเพื่อด่าผมเลยสักนิด


ผมเดินโซซัดโซเซไปที่ห้องของผมพร้อมกับควานหากุญแจห้องด้วยความอ่อนล้าแต่ไอความอ่อนล้าของผมนี่ละทำให้ผมเผลอทำกุญแจร่วงหลุดจากมือไป และกระเด็นไปตกอยู่ที่ประตูห้องของเพื่อนบ้านของผมผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความไม่พอใจแต่ก็ยังคงจำใจลากสังขารของตัวเองไปที่หน้าประตูห้องข้าง ๆ ที่เขียนเบอร์ห้องไว้ว่า 1404 ซึ่งเลขตัวหน้าเป็นเลขบอกชั้น และเลขสองตัวหลังเป็นเลขที่บอกถึงหมายเลขห้องแต่จะว่าไป  ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่คอนโดนี้ผมยังไม่เคยเห็นเจ้าของห้อง 1404 นี่เลยสักครั้ง เป็นคนชอบเก็บตัวหรือไง  ผมบ่นพึมพำเบา ๆ พร้อมกับก้มตัวลงไปเก็บกุญแจห้องพักของผมขึ้นมา และในขณะเดียวกันบานประตูของห้อง 1404 ก็เปิดออกปรากฏให้เห็นร่างสูงของชายคนหนึ่งที่ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเสียเหลือเกิน ผมเพ่งมองเขาเล็กน้อย  ก่อนจะก้มหัวขอโทษที่มายืนบ้าบออยู่หน้าประตูห้องของเขาเพียง  แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ให้ผมเดินกลับไปได้โดยง่ายเค้ารั้งมือของผมเอาไว้พร้อมกับส่งรอยยิ้มจาง ๆ มาให้


“น้องกรครับ แผลเป็นยังไงบ้างครับ” เขาเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน...แต่ผมกลับไม่ดีใจเลยสักนิดเพราะเจ้าของรอยยิ้มและน้ำเสียงพวกนั้น…มันเป็นคน ๆ เดียวกับคนที่ผมถูกเพื่อนบังคับให้ไปสารภาพรัก และเขาก็เป็นคน ๆ เดียวกับคนที่อยู่ในข่าวหรือเรียกง่าย ๆ ว่าเขาเป็นคนอุ้มผมไปส่งโรงพยาบาลนั่นเอง


“แผลน่ะ ยังเจ็บอยู่ไหมครับ” พี่หมอคนนี้เอ่ยถามซ้ำพร้อมกับโปรยรอยยิ้มจาง ๆ ที่ขยี้หัวใจของสาว ๆ มานักต่อนักให้กับผมอีกครั้ง


ไม่!....อะไรชีวิตของผมจะซวยได้ถึงขนาดนี้…คิดว่าเรื่องมันจะเงียบลงโดยดีแต่ไอเพื่อนบ้านเพื่อนข้างห้องผมดันเป็นคนเดียวกับคนที่เป็นข่าวกับผมให้ตายเถอะถ้ามีใครเห็นผมเดินออกมาจากคอนโดเดียวกับรุ่นพี่คนนี้ผมจะไม่โดนเอาไปทำข่าวอีกหรือไงใครก็ได้ช่วยไอคุณน้องกรทีตอนนี้น้องกรอยากจะบ้าตายไปจริง ๆ แล้ว



--------------------------------------------------


ครั้งนี้มาพร้อมกับการแก้คำผิดค่า (ให้เพื่อนช่วยแก้ให้แหะๆ)
นิยายเรื่องนี้จะเล่าถึงความสัมพันธ์ของตัวละครสองคนคือพี่ศิ กับน้องกรนะคะ โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเริ่มจาก 0 คือคนไม่รู้จักกัน มารู้จักกัน ต่อไปเป็นพี่ชาย พี่ชายคนสนิท และความสัมพันธ์ของทั้งสองจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ ค่ะ และนิสัยส่วนตัวของแต่ละคนก็จะเผยออกมาเรื่อย ๆ เช่นกัน ในตอนนี้พี่ศิและน้องกรไม่รู้นิสัยของกันและกัน เพราะความสัมพันธ์ยังไม่ได้ก้าวไปไกลค่ะแต่พอ นาน ๆ ไปโมเมนต์การแสดงอารมณ์ การแสดงอะไรต่าง ๆ ก็จะเผยออกมาเยอะขึ้นค่ะ

แก้ไขคำผิด//
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2013 20:53:50 โดย S_oKiss »

shokung13

  • บุคคลทั่วไป
พี่ศิขาาาาาา พี่หมอออออ >//< อร๊ายยยยยย

Windiizz

  • บุคคลทั่วไป
ดิฉันมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆค่ะ
พี่หมอโค่ดแมนอ่ะบ่องตง
อ่านแล้วเขินเว่ยยยยย แอร๊ยยย
อยากจะมีแฟนเป็นหมอ T__T //แดดิ้น

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่หมอศินี่บังเอิญเจอกรอีกแล้ว
ตอนกรรถล้มก็บังเอิญผ่านมาเจอ
ยังจะบังเอิญอยู่คอนโดเดียวกัน
ห้องข้างกันอีกต่างหาก
สมควรแล้วที่จะเป็นข่าว

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ท่าทางจะหนีพี่ศิไม่พ้นแล้วล่ะน้องกรเอ๊ยยยยย :hao7:

กดบวกกดเป็ดเป็นกำลังใจ รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ naisojill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ติดตามค่ะ สนุกดี ^^

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
มาตามเรื่องนี้ด้วยคน พี่ศิน้องกร น่ารักจังเลย  :-[  ‘ว่าที่ภรรยาคุณหมอ’  :laugh: 
โถ ๆ สงสารน้องกรจังโดนผู้หญิงรังเกียจแถมทำร้ายร่างกายอีก พี่ศิ จะฮอทเกินไปแล้วนะ
น้องกานต์กับอาจารย์ธารา น่าสนใจนะเนี่ย พี่ชายข้างบ้านแค่นั้นจริงอ่ะ มันต้องมีอะไรสิน่า
ยิ่งเจอพี่ศิ ยิ่งมีแต่เรื่องเข้ามาหาน้องกรนะเนี่ย แถมยังเป็นเพื่อนบ้านคอนโดเดียวกันซะอีก พรหมลิขิตชัด ๆ
พี่ศิ ปิ๊งน้องกรน่ะชัวร์อยู่แล้ว แต่น้องกรนี่สิ จะเริ่มรู้สึกอะไร ๆ กับพี่ศิ เมื่อไหร่กันน้า
สนุกดีจัง รอตอนต่อไปนะจ้ะ ขอบคุณค่า  :L2: :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ konishiki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ป๊าพลอยแต่งแนวรักคอมเมดี้ !

แหวกแนวจากเดิมเลยสินะ สินะ สินะ

เรื่องน่าติดตามมม ชอบการดำเนินเรื่องแบบพัฒนาความสัมพันธ์แบบนี้จัง ♥ ♥ ♥ ♥



เหมือนเห็นชื่อคุ้น ๆ  >> กรกานต์ (หรือจำผิดรึเปล่านะ..?)

ปล. นี่วีลวี่ลูกสาวป๊าเองนะ อิอิ ; 9

preaw-sm

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ยยย
เปิดตัวคู่พี่ศิน้องกรแล้ว แอบมีอีกคู่มาแจมด้วยนะเออ~~

ภาษายังมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ ดีแล้วๆ
ตามตอนต่อไปนะคะ~ สู้ๆ

ออฟไลน์ rubymoona

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-5
กรคะ เป็นเราจะเกรียนใส่สาวๆที่มาเรียงคิวตบเลย ไม่ยอมเจ็บตัวฟรีแน่ๆอะ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 2
   


สวัสดีครับ ผมรณกร ชายหนุ่มผู้ซึ่งที่ช่วงนี้ความซวยนั้นพัดพาเข้ามาหาตัวผมซะเหลือเกิน ผมขอบรรยายต่อจากเมื่อสักครู่นะครับ ผมโดนไอคุณพี่หมอทักว่าแผลผมเป็นยังไงบ้าง  ผมได้แต่นิ่งค้างโดยไม่ตอบอะไร และจากนั้นไม่นานร่างของผมก็ถูกลากเข้ามาให้ห้องของพี่เขาครับ...


พวกคุณฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมถูกชายไทยอายุมากกว่าผมสักสองสามปีลากเข้าห้อง แต่ก็ช่วยอย่าเข้าใจผิดกันนะครับ เพราะว่าที่ผมโดนลากเข้าห้องมาเพราะว่าอันตัวผมนั้นตอนเย็นไม่ยอมไปล้างแผล และเปลี่ยนผ้าพันแผลไอคุณพี่หมอที่ผมจำชื่อไม่ได้ก็เลยลากผมเข้ามาในห้องเพื่อที่จะช่วยทำความสะอาด และล้างแผลให้ผมนั่นเอง เรื่องทั้งหมดมันก็มีแค่นี้จริง ๆ ผมนั่งจุ่มบนโซฟาตัวกว้างของพี่เขา เฟอร์นิเจอร์ในห้องออกจะแตกต่างไปจากห้องผมเล็กน้อยเพราะผมเป็นพวกชอบสีฟ้าเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับภายในห้องจะออกเป็นโทนสีฟ้าเสียส่วนใหญ่ แต่ไอห้องของไอคุณพี่หมอคนนี้กลับตกแต่งไปด้วยโทนสีขาว และมีเครื่องเรือนสีดำแต่งแต้มบ้างเป็นบางจุด และที่สำคัญภายในห้องนี้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าห้องผมเป็นร้อยเท่า อย่างน้อยห้องนั่งเล่นนี้ก็ดูเป็นห้องนั่งเล่นมากกว่าห้องนั่งเล่นภายในห้องของผมแล้วกัน


“น้องกรครับ ทำไมวันนี้ไม่ไปล้างแผลละครับ” พี่หมอที่ผมก็ยังนึกชื่อเขาไม่ออกถามซ้ำและไอตัวผมนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวพร้อมกับตอบปฏิเสธพี่เขาไป “ผมไม่รู้ว่าไอการเป็นแผลแบบนี้ ทำให้ผมต้องถ่อสังขารไปล้างแผลทุกวันนี่ครับ” ก็ผมไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าการเป็นแผลแค่นี้ต้องถ่อสังขารไปโรงพยาบาล เพื่อล้างแผลทุกวันนี่ ผมไมได้กวนประสาทพี่เขาเลยสักนิดเดียวนะ น้องกรคนนี้ไม่รู้จริง ๆ


“เรานี่นะ…นิสัยแบบตามข่าวที่เขาลือจริง ๆ” ไอคุณพี่หมอพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ พี่เข้าเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ผมพร้อมกับกล่องพยาบาลเล็ก ๆ ที่ถูกนำมาว่างตั้งไว้บนโต๊ะ “เอาล่ะส่งแขนมาได้ครับน้องกรเดี๋ยวพี่จะล้างแผลให้” เสียงของไอคุณพี่หมอเอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน และผมก็บ้าจี้ยื่นแขนไปให้พี่เขาล้างแผลให้


ให้ตายเถอะ ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ คุณเจ้ คุณน้องทั้งสองรู้ว่าผมยอมให้ผู้ชายจับมือถือแขนนี่ ผมคงโดนด่าไปยันแต่งงานและโดนด่ายันลูกชายผมบวชเป็นแน่ แต่เอ๊ะผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงนี่นาแล้วผมจะไปสนใจอะไรวะ


“พี่…เบา ๆ นะ ผมไม่ชอบแอลกอฮอล์ มันแสบ” พี่พูดเสียงอ่อยพร้อมกับหลับตาปี๋ให้พี่เขาค่อย ๆ ล้างแผลผมไปทีละนิด บางครั้งผมก็สะดุ้งตัวเล็กน้อยด้วยความแสบของแอลกอฮอล์ที่พี่เขาเช็ดเบา ๆ บนท่อนแขนของผม พี่เขาลอบยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากเขายังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไปโดยที่คอยระมัดระวังมากขึ้นเพื่อไม่ให้ผมส่งเสียงซี้ดซ้าดชวนเข้าใจผิดออกมา


‘ให้ตายเถอะผู้ชายบ้าอะไรมือเบาชะมัด’ ผมเอ่ยพึมพำเบา ๆ โดยที่ไม่คิดว่าไอคุณพี่หมอที่อยู่ตรงหน้าของผมจะได้ยิน


“พี่ก็ผู้ชายธรรมดานี่ละครับ แค่เรียนหมอเอง” เขาตอบคำถามของผมซึ่งทำเอาผมสะดุ้งตัวสุดขีดด้วยความตกใจ (ว่าพี่เขาได้ยินได้ยังไง) จนท่อนแขนของผมที่พี่เขาจับอยู่กระเด้งไปโดนสำลีที่จุ่มแอลกอฮอล์อย่างเต็มพิกัดเข้า (เรียกง่าย ๆ ว่ามันชุ่มโชกไปด้วยแอลกอฮอล์)


ผมแทบจะกรีดร้องออกมาเสียงดังแต่ผมก็พยายามกัดผมทนไว้ ‘แสบโว้ยยยย’ ผมพูดในใจเบา ๆ แต่ท่าทางการแสดงออกทางความรู้สึกผมไม่ได้อดกลั้นตามเสียงพูด เอาเป็นว่าสภาพของผมตอนนี้คือสภาพที่อเน็จอนาจมาก ร่างกายที่สูง 180 เซนบอดี้เปะกำลังนอนดิ้นอยู่บนโซฟายาวในห้องของชายอื่นที่ไม่ใช่ห้องของพ่อ ของเพื่อนหรือของใคร ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมนอนดิ้นแด่ว ๆ ในห้องของคนที่ผมยังจำชื่อไม่ได้นั่นล่ะ


ท่าทางที่เจ็บปวดของผมทำให้พี่หมอคนนี้ลอบอมยิ้มเพียงแต่งว่าผมไม่ตลกด้วย เลยตะคอกใส่พี่เขาทั้งน้ำตาว่า “ไอคุณพี่หมอครับ มีอะไรให้หัวเราะเหรอครับ มันน่าตลกไหมเนี่ย คนเค้าแสบจะตายพี่ยังมาหัวเราะอีก!!” เสียงพูดของผมทำให้พี่เขาปิดปากเงียบทันที พร้อมกับเอ่ยขอโทษผมออกมาเบา ๆ


“พี่ขอโทษครับ พี่ไม่คิดว่าท่าทางและแอคติ้งของน้องกรจะแสดงออกมาได้น่าตลกแบบนี้” สิ้นเสียงพี่เขาผมก็ขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมทันทีมันมีอะไรน่าตลกห่ะ กับคนปวดแสบปวดร้อนกับแอลกอฮอล์ที่พี่จุ่มจึ้กมาโดนแผลผมเนี่ย แต่ก่อนที่ผมจะได้โวยวายหรืออะไรต่อใบหน้าของพี่หมอคนนั้นก้มลงบนแขนผมพร้อมกับเป่าเบา ๆ เหมือนคาถาสมัยเด็ก ๆ ที่พ่อกับแม่ชอบเป่าให้ผมตอนที่ผมหกล้มเป็นแผลกลับบ้านมา


“โอมเพี้ยง...ไม่เจ็บแล้วนะครับน้องกร” เสียงเข้มเอ่ยถ้อยคำน่ารักน่าชังออกมา ก่อนจะเริ่มลงมือทำแผลให้ผมอีกครั้ง…
เอาล่ะครับ  คราวนี้ผมละนิ่งสนิทเลย นิ่งสนิทจนแทบจะลืมหายใจเลยก็ว่าได้ ‘ให้ตายเถอะคนเป็นหมอต้องทำอะไรแบบนี้ให้คนไข้ด้วยเหรอวะ’ ผมพึมพำในใจพร้อมกับเบี่ยงหน้าตัวเองหนี เพราะผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมออกจะร้อนขึ้นสักเล็กน้อย (ร้อนขึ้นเล็กน้อยจริง ๆ นะครับ ผมแค่เขินที่โดนทำรุ่นพี่ทำตัวเหมือนผมเป็นเด็กประถมเท่านั้นละ  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยจริง ๆ นะ)


พี่เขาใช้เวลาไม่นานนัก  แขนข้างขวาของผมก็ถูกพันด้วยผ้ากอซผืนใหม่ และตามต่อด้วยแขนด้านซ้ายของผมที่เตรียมขึ้นเขียงทำแผลเป็นรายต่อไป


เราสองคนนั่งอยู่เงียบ ๆ โดยที่พี่เขาไม่คิดจะพูดอะไรออกมา และผมก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา แต่ด้วยนิสัยของไอคุณน้องกรสุดเกรียนอย่างผมมันมักจะปิดปากนั่งเงียบ ๆ ไม่ได้นานหรอก และแล้วความอดทนที่มีต่อความเงียบของผมก็ได้หมดลงพร้อมกับเสียงของผมที่เอ่ยดังจนไม่เกรงใจเจ้าของห้องที่นั่งทำแผลให้ผมอยู่


“นี่พี่หมอ พี่ชื่ออะไรนะ” ผมถามคำถามแรกออกไปด้วยความสงสัยซึ่งคำถามนั้นทำเอามือของคนที่ทำแผลให้ผมอยู่แทบจะทำสำลีร่วงออกจากมือ


“พี่จำได้ว่าพี่บอกน้องกรไปแล้วนี่ครับ” พี่เค้าเหลือบตามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจแผลบนท่อนแขนด้านซ้ายของผมต่อ


“ก็ผมจำไม่ได้นี่ ตอนนั้นมันกำลังช็อก ๆ ใครจะไปจำอะไรได้กันล่ะพี่!! โธ่ เอาอะไรคิดตอนนั้นผมอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี แถมอยากลืมอะไรตอนนั้นไปให้หมด ๆ ด้วยเถอะ เรื่องน่าอายแบบนั้น!!” ผมตอบพี่เขาไปสุดเสียงแม้พี่เขากับผมจะอยู่ห่างกันเพียงแค่เอื้อมมือแต่ผมก็ใช้คำพูดที่เหมือนกับผมและเขาอยู่ไกลแสนใคร ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่าผมตะโกนตอบพี่เขานั่นเอง


พี่หมอหลุดขำออกมาเบา ๆ พร้อมกับพยักหน้าเชิงเข้าใจในความหมายของคำพูดผม “พี่ก็พอเข้าใจล่ะนะ น้องกร” เขาเอื้อมมือมาตบบ่าของผมพร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง


“พี่ชื่อศิครับ ศิรวิทย์ เรียนอยู่คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเดียวกับน้องเนี่ยละ คราวนี้จำชื่อของพี่ได้หรือยังครับ” เมื่อพูดจบพี่ศิก็ส่งรอยยิ้มบาดใจสาว(แต่ไม่บาดใจผม)มาให้


ผมพยักหน้าเบา ๆ เป็นการตอบคำถามให้กับพี่เขาพร้อมกับเรียกชื่อพี่เขาให้เพื่อพี่เขาอยากจะฟังเสียงเรียกชื่อของเขาจากผมบ้าง “พี่ศิ” และเมื่อผมพูดชื่อพี่เขาดูเหมือนพี่เขาจะตกใจสักเล็กน้อย กับเสียงเรียกของผม แต่พี่เขาก็ตกใจได้ไม่นานนักหรอก พี่ศิตั้งสติสักพักก่อนจะเอ่ยขอบคุณพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างมาให้ผมอีกที “ขอบคุณนะครับน้องกรที่จำชื่อพี่ได้สักที”


น้องกร โอ้ว…เสียงนี้พาระทวยแม้ผมจะโดนเรียกอะไรก็ตามแต่เช่น ไอ้กร ไอคุณน้องกร หรือไอเชี่ยกร มันไม่มีครั้งไหนที่สยิวกิ้วได้เท่ากับชื่อนี้อีกแล้ว น้องกรเป็นชื่อที่พ่อแม่ผมเรียกเท่านั้น ส่วนพวกคุณเจ้ คุณน้องชายและน้องสาวของผมจะเรียกไอกร หรือ เฮียกรกันทั้งนั้น  ดังนั้นคำว่าน้องกรที่ออกมาจากปากของคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ทำให้ผมรู้สึกหวิว ๆ สักเล็กน้อย ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากให้อาการหวิว ๆ ในใจนี้อยู่นาน จึงรีบเอ่ยปากพูดอนุญาตให้พี่เขาเรียกผมว่ากรเฉย ๆ ก็ได้


“พี่ศิครับ ผมขอนะครับ พี่ช่วยเรียกผมว่ากรปกติได้ไหมครับ เรียกน้องกรแล้วผมรู้สึกฟังแล้วสยิวไส้แปลก ๆ” ผมแทบจะยกมือไหว้พี่เขา เพื่อให้พี่เขาเลิกเรียกผมว่าน้องกรสักที พี่ศิทำท่าคิดอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยข้อแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน(??) โดยพี่ศิเขาขอให้ผมแทนชื่อตัวเองว่ากรเวลาคุยกับพี่ศิเขาซึ่ง…แม่ม ไอการแทนตัวว่ากรเนี่ยทำให้ผมรู้สึกสยิวกิ้วไม่แพ้กับการที่ผมโดนเรียกว่าน้องกรเลยสักนิด  แต่เอาก็เอาวะ อย่างน้อยคำว่ากรก็สยิวไส้น้อยกว่าคำว่าน้องกรก็แล้วกัน!


ผมพยักหน้าตกลงไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้ง ๆ ไปให้พี่เขา  ซึ่งไอการที่ผมพินิจพิจารณ์ถึงข้อแลกเปลี่ยมที่เท่าเทียมนั้นมันก็ทำให้พี่ศิทำความสะอาดแผลที่ท่อนแขนข้างซ้ายของผมเสร็จเรียบร้อย และแน่นอนจุดต่อไปที่ต้องทำความสะอาดมันก็คือบริเวณขาทั้งสองข้างของผมนั่นเอง


“กรถอดกางเกงออก เดี๋ยวพี่ทำแผลที่ขาให้” พี่ศิพูดพร้อมกับหัวใจของผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โอ้ว ไม่...ทำไมผมต้องถอดกางเกงให้คุณพี่ข้างห้องคนนี้เห็นขาอ่อนของผมด้วยเล่า


ซึ่งเป็นที่แน่นอนผมไม่ยอมแน่ๆ และเมื่อผมตั้งสติกับคำถามนั่นได้ผมก็แทบจะลุกขึ้นหนีทันทีที่พี่เขาพูดจบประโยค  แต่ทุก ๆ ท่านก็คนรู้นะครับว่าเดี้ยง ๆ อย่างผมจะไปสู้อะไรกับคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ครบ 32 ซึ่งผมเขย่งหนีพี่เขาไปรอบห้องได้ไม่นาน  ผลสรุปสุดท้ายผมก็โดนจับมานั่งที่เก่าและต้องจำใจถอดกางเกงแสลคออกให้เหลือแต่บ็อกเซอร์ให้พี่ศิเขาทำแผลให้ได้ง่าย ๆ


‘เกิดมาชาตินี้ไอกรคนนี้ไม่เคยให้ใครเห็นขาอ่อนนอกจากคุณพ่อคุณแม่ คุณเจ้ และคุณน้อง ๆ เลย แล้วไอคุณพี่หมอศินี่เป็นใครกันถึงได้มีอภิสิทธิ์มามองขาอ่อนผมแบบนี้ละ ผมกล้ำกลืนฝืนทนให้พี่เขาทำแผลอยู่ไม่นานนัก  สักพักขาทั้งสองข้างของผมก็ถูกเปลี่ยนเป็นผ้ากอซผืนใหม่ พร้อมกับเสียงกำจับของพี่ศิที่บอกว่าผมต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลทุกวัน หรือมาให้เขาทำแผลทุกวันจนกว่าแผลที่แขนและขานั้นจะแห้งดี  ซึ่งมันก็คงต้องใช้เวลาสักสามสี่วันที่(ไอ)แผล(เวร)ของผมจะแห้งได้ที่  ซึ่งพี่ศิก็เตือนว่าอย่าให้ผมเดินเล่น(หรือแว๊นซ์มอไซค์อีก ไม่งั้นแผลอาจจะเพิ่มขึ้นหรือแผลจะเกิดอาการอักเสบขึ้นมาอีกได้ ผมก็พยักหน้าตอบรับส่ง ๆ ก่อนจะลากสังขารกลับห้องของตัวเองไป


แต่ก่อนที่ประตูห้องของพี่ศิจะปิดลงคนมารยาทดีอย่างผมก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากขอบคุณพี่เขาไปอีกครั้ง  แม้การทำแผลครั้งนี้จะดูรั่ว ๆ และทำให้ผมแสบจนแทบจะร้องไห้จากการโดนสำลีที่ชุ่มโชกไปด้วยแอลกอฮอล์แปะไปบนแผลก็เถอะ


“พี่ศิครับ” พี่เขาชะงักตัวเล้กน้องก่อนจะโผล่หน้าออกมาจากห้องนิดหน่อยตามเสียงเรียกของผม


“ขอบคุณนะครับที่พี่ศิช่วยทำแผลให้กร” ผมรีบพูดรัว ๆ ก่อนจะวิ่งกะเผลก ๆ อย่างคนไม่สมประกอบไปที่หน้าประตูห้องของตัวเอง ซึ่งในขณะนั้นผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า เมื่อผมเหลียวหลังกลับไปมองที่หน้าประตูห้องของพี่ศิ หางตาของผมหันไปเห็นใบหน้าคมนั้นอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่มือของเขาจะปิดประตูห้องของตนไป


ผมนิ่งค้างอยู่ในท่าเดิมไปสักพัก  ก่อนที่ภายในสมองกับหลั่งสารที่เรียกว่าอะไรไม่รู้ที่มันทำให้ผมรู้สึกเขินอายออกมา


‘บ้าไปแล้วหรือไงวะไอกร…ที่คิดว่ารอยยิ้มกับแววตานั้นดูอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยผมเสียเหลือเกิน มรึงบ้าไปแล้วเหรอครับกรที่มรึงรู้สึกเขินอายกับรอยยิ้มของผู้ชายด้วยกัน’ ผมสะบัดหัวไปมาเบา ๆ เพื่อให้ความคิดเหล่านั้นหลุดออกไปจากสมอง ก่อนที่จะไขกุญแจห้องของตัวเองเพื่อกลับเข้าไปพักผ่อนภายในห้อง


ผมลากพาสังขารตัวเองไปนอนแหมะอยู่บนเตียง ก่อนที่จะหลับตาลงและผล็อยหลับไปโดยที่ผมไม่ได้เปลี่ยนชุด หรือหาอาหารเย็นทานเลย





ตอนเด็ก ๆ คุณพ่อ คุณแม่คอยห้ามให้ผมนอนหลับในช่วงตอนเย็นซึ่งเป็นช่วงเวลาของผีตากผ้าอ้อมกำลังออกอาละวาด ไอผมก็รู้หรอกครับว่ามันเป็นคำโกหก แต่ตอนนี้ผมรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของพ่อกับแม่ที่สอนแล้วไม่ให้ผมนอนในเวลาตอนเย็นแล้วล่ะครับ…


เพราะแม่มจะทำให้ผมตื่นมาตอนตีสอง และนอนต่อไม่หลับแบบนี้ยังไงละ!   ไอท้องของผมก็ร้องครวญครางเสียเหลือเกินราวกับว่ามันร้องประท้วงว่ากรูหิวข้าวหาอะไรมาให้กรูย่อยที จนผมต้องจำใจลุกขึ้นจากเตียงและนำพาสังขารอันไม่เที่ยงของผมลงไปชั้นล่างสุด เพื่อหาอะไรทานแต่ทันทีที่ผมเปิดบานประตูออกผมก็พบถุงโจ๊กแขวนอยู่ที่ลูกบิดประตูด้านนอกของประตูห้องพักของผม ไอผมก็งงสงสัยสิครับว่ามันมาได้ไงแต่สิ่งที่คลายความสงสัยก็คือช็อดโน้ตสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ตามประสาคนเรียนหมอว่า


‘พี่เห็นกรไม่ได้ออกมาหาอะไรทานตั้งแต่ตอนเย็นพี่เลยซื้อโจ๊กมาฝากทานให้อร่อยนะครับกร จากพี่ศิ’



โถๆๆๆ พ่อคุณ  ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงไปเคาะประตูห้องของพี่แล้วถวายดีฟคิสไปสักทีแล้วล่ะ แต่นี่ผมเป็นผู้ชายถึงได้แต่ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ศิเขาเฉย ๆ และเดินลากขาหิ้วถุงโจ๊กเข้าไปสวาปามในห้องอย่างไม่รีรอ ผมแกะถุงโจ๊กออกช้า ๆ พร้อมกับนำถ้วยโจ๊กนั่นเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ


‘ไม่ใส่ผักด้วยแหะ’ ผมพึมพำเบา ๆ พร้อมกับมองถ้วยโจ๊กที่กำลังหมุนวนอยู่ภายในตู้ไมโครเวฟ ‘พี่ศิเค้ารู้ได้ยังไงกันนะว่าเราน่ะไม่ชอบกินผัก’


แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรต่อให้ปวดสมอง  เมื่อเสียงของไมโครเวฟดังขึ้นผมก็พุ่งตรงเข้าไปหยิบถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ขึ้นมาตักกินทันที โดยปล่อยให้ความสงสัยนั่นหายไปพร้อมกับความหิวของผม




เช้าวันต่อมา  ผมตื่นด้วยแสงแดดที่สาดส่องแยงตาของผมเหมือนกับทุก ๆ เช้า  ซึ่งมันก็เป็นนาฬิกาปลุกชั้นดีที่ทำให้ผมตื่นไปเข้าเรียนที่มหาลัยทัน เพียงแต่สภาพผมตอนนี้มันจะทำให้ผมไปเข้าเรียนทันหรือเปล่าเนี่ย ผมค่อย ๆ นำพาร่างกายที่แสนอ่อนล้าของตัวเองไปยังห้องน้ำ พร้อมกับเข้าไปชำระร่างกายตามปกติเฉกเช่นทุก ๆ วัน  แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ยังไงก็ไม่รู้สิ  แถมยังปวดเมื่อยตามตัวด้วยเฮ้อ… ท่าทางไอพวกแผลตามร่างกายของผมนี่ท่าทางจะทำพิษให้ผมเป็นไข้ซะแล้วสิเนี่ย และตอนนี้ผมก็เริ่มปวดหัวหน่อย ๆ แล้วละ


ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าผมก็ไม่คิดที่จะฝืนร่างกายตัวเองไปมหาลัยตอนนี้ และในวันนี้ก็ไม่ได้มีวิชาอะไรน่าเป็นห่วงแบบพวกแลป หรือการทดลองอะไร  ผมจึงตัดสินใจลากตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนเจมส์  เพื่อจะฝากให้มันเช็คชื่อแทนผม ผมถือสายรอมันพร้อมกับฟังเสียงเพลงรอสายของมันไปด้วยสักพักเสียของเพื่อนเจมส์ก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของเพื่อนบาสแทรกดังเข้ามาเป็นครั้งคราว



“ไงเพื่อนกรมรึงหายหัวไปไหนเนี่ย  จะเข้าเรียนแล้วนะเฮ้ย” น้ำเสียงของไอเจมส์ดูร้อนรนเล็กน้อยแต่ไม่ทันที่มันจะได้ถามผมจนจบประโยคไอเพื่อนบาสก็แย่งโทรศัพท์ของเจมส์ไป  พร้อมกับพ่นคำถามจิปาถะที่ทำให้คนป่วยอย่าผมแทบจะหายจากการโดนไข้กินทันที


“ไอกรมรึง...ว่าที่สามีมรึงมาหาว่ะ  รู้สึกจะถามถึงมรึงด้วย  แต่กรูบอกไปว่ามรึงยังไม่มามหาลัย พี่เขาก็เลยพยักหน้าตอบรับแล้วก็รีบเดินออกไปทันทีเลยว่ะ  มรึงไปทำอะไรกับพี่เขามาวะ  ร้อยวันพันปีกรูไม่เคยเห็นเจอตอนนี้เดินดุ่ม ๆ เข้ามาถามหามรึงเลยเนี่ย” ผมตกใจกับคำพูดของไอบาสแต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามของของเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับตัวผมที่สะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ


‘เชี่ยละครับ…ใครมาเคาะประตูห้องผมตอนนี้เนี่ย’ ผมพึมพำในใจก่อนจะตัดสายโทรศัพท์ทิ้งโดยที่คู่สายอีกฝั่งยังคงรอคอยคำตอบของผมอยู่ “เชี่ยกร…มรึงอย่าเพิ่งวางงง” ผมไม่คิดจะใส่ใจเสียงร้องเรียกของไอบาสมันหรอกที่มันอยากได้คำตอบจากผม  ก็เพราะมันจะเอาไปล้อผมนั่นล่ะผมเลยไม่ใส่ใจอะไรกับเสียงร้องเรียกของมัน และตอนนี้สิ่งที่ทำให้ผมสนใจยิ่งกว่าเสียงร้องเรียกของเพื่อน นั่นก็คือเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่สองนั่นต่างหาก


ผมลุกขึ้นออกจากห้องนอน และเดินตรงไปยันบานประตูห้องนอนของผม  ซึ่งผมก็ไม่ได้ส่องตาแมวดูผู้มาเยือนก่อนหรอก  เพราะว่ามันเสียเวลาผมเลยเปิดประตูออกไปทันที และแน่นอนสิ่งที่ผมเดาก็คงไม่ผิดเพี้ยนอะไรเลยสักนิด  ไอคนที่มาเคาะกระตูห้องนอนของผมนั่นก็คือ ว่าที่คุณหมอ พี่ศิรวิทย์ คนที่นั่งทำแผลให้ผมเมื่อเย็นวานนั่นเอง


ผมมองหน้าของเขาด้วยสีหน้าสงสัย  แต่พี่ศิเขาก็เร่งตอบคำถามคลายความสงสัยให้ผมได้อย่างทันท่วงที  โดยที่ผมไม่จำเป็นต้องร้องเรียกหาคำตอบอะไรจากพี่เขาเลยสักนิด “พี่คิดว่ากรน่าจะเป็นไข้จากอาการอักเสบของแผลน่ะเลยเข้ามาดูอาการของเราหน่อย เป็นอะไรมากไหม” พี่ศิเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับถือวิสาสะยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของผมเพื่อวัดอุณหภูมิเบื้องต้นของร่างกายผม


การกระทำนั้น ทำให้ผมสะดุ้งตัวอีกครั้งและถอยหลังไปหนึ่งก้าว และพี่ศิเขาดูท่าทางว่าผมจะไม่ค่อยชอบใจให้ใครมาจับตัวเสียเท่าไหร่  พี่ศิก็เลยเอ่ยปากขอโทษพร้อมกับหยิบยาแก้ไข แก้ไอ แก้ปวดหัวและสารพัดแก้ใส่มือผมแล้วเดินออกจากประตูห้องของผมไป  โดยทิ้งให้ผมงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเมื่อห้านาทีก่อน


‘อ่อม...ถ้าพี่จะมาแค่นี้ไม่ต้องมาก็ได้นะครับผมขึ้นเกียจลุกขึ้นมาเปิดประตู’ ผมพูดในใจตามแผ่นหลังกว้างที่รีบเดินจากไปดูเหมือนว่าพี่เขาจะแอบแวะมาหาผม  ก่อนที่ตัวพี่เขาจะเข้าเรียนล่ะมั้ง  ถึงได้รีบเร่งแบบนี้ ผมยิ้มมุมปากเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูห้องของตัวเองและลากสังขารร่างของตัวเองไปนอนฟุบที่เตียงนอนอีกครั้ง


“คิดถึงคุณเจ้จัง ถ้าคุณเจ้อยู่ป่านนี้ได้กินข้าวต้มร้อน ๆ ฝีมือคุณเจ้แล้ว” ผมบ่นพึมพำในใจเบา ๆ ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างจะหลับตาลงไปเพราะพิษไข้อีกครั้ง



v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


ผมลืมตาตื่น เพราะเสียงอื้ออึงและเสียงพูดคุยภายในห้องผมนอนปรับร่างกายของตัวเองไปสักพัก ก่อนจะเบิกตาโพรงเมื่อเห็นตุ๊กตาแมวสีขาวสุดที่รักของผมโดนเหวียงข้ามหัวผมไป


“เชี่ยยย! ใครปาลูกรักกรู” ผมเด้งตัวขึ้นมาทันทีก่อนจะรู้สึกวูบจนร่วงลงไปอีกครั้ง ครับ ตอนนี้อาการไข้ของผมหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อเช้าเสียอีก ทำเอาผมลุกขึ้นนั่ง และโวยวายไอเพื่อนรักสองคนที่เล่นปาลูกสาวสุดที่รักไม่ได้เลย


“ดีครับ เชี่ยกรตื่นแล้วเหรอวะ” นี่คือเสียงของไอเจมส์เอ่ยทักผม พร้อมด้วยกับเสียงของเพื่อนบาสที่เอ่ยทักทายถัดมา “โธ่ มรึงยังไม่ตายน่าเสียดาย  ถ้าตาย กุจะได้ยึดห้องนี้เป็นหอใหม่ของกรูซะเลย”


“นั่งปากมรึงหรือครับ ไอบาส” พอผมพูดจบผมก็คว้าหมอนอิงที่วางอยู่ข้าง ๆ ปาใส่หน้ามันไป แต่ความรุนแรงของหมอนนั้นเอากำลังเดิมของผมหารด้วยสิบ ซึ่งหมายความว่าหมอนที่ผมปาไปยังปลิวไปไม่พ้นขอบเตียงเลยไปบาสเลยได้แต่แลบลิ้นล้อเลียนผม
ทุกท่านคงสงสัยสินะครับว่าไอพวกนี้มันมีกุญแจห้องของผมได้ยังไง  ไอพวกนี้มันมีกุญแจห้องของผมตั้งแต่พวกมันอยู่ ม.ปลายแล้ว  ผมลืมบอกไปใช่ไหมครับว่าผม ไอเจมส์ ไอบาสเป็นก๊วนเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยมต้น และเรียนอยู่ห้องเดียวด้วยกันมาตลอดรวมถึงกานต์ด้วย แต่กานต์เขาจะเรียบร้อยไม่ค่อยซนเป็นลิงทโมนแบบพวกผม


“โธ่ เพื่อนกร ร่างกายมรึงอ่อนล้ามากเลยสินะสงสัยเมื่อคืนมรึงน่าจะทำอะไรหนักไปหน่อยละมั้ง” ไอบาสพูดล้อเลียนผมพร้อมกับในมือถือโพสอิสที่มีลายมือหวัด ๆ ที่เหมือนจะเป็นโพสอิสอันเดียวกับอันที่ผมได้รับเมื่อวาน


“นี่ มรึงปิดบังพวกกรูเหรอ กร” ไอเจมส์พูดเสียงนิ่งราวกับว่าคนที่กำลังเสียใจสุดซึ้งที่เพื่อนรักเพื่อนสนิทไม่คิดจะบอกเล่าความจริงอะไรให้มันฟัง “พวกกรูยังเป็นเพื่อนสนิทมรึงอยู่หรือเปล่า” ไอเจมส์มันพูดเสียงนิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อกดดันผม  แต่สุดท้ายนิสัยของมันก็ไม่ได้กวนตรีนน้อยไปกว่าไอบาสเลย “นี่ มรึงริมีผัวโดยไม่บอกพวกกรูเหรอ!” เมื่อไอเจมส์พูดจบไอบาสก็หัวเราะออกมาเสียยกใหญ่  ส่วนผมช็อกจนน้ำลายแทบจะฟูมปากตายอยู่แล้ว


“มีผงมีผัวอะไรละพวกมรึง พวกมรึงคงจำพี่หมอที่มรึงไล่ให้กรูไปสารภาพรักได้ใช่ป่ะ พอดีพี่เขาอยู่ห้องข้าง ๆ กรูก็เท่านั้นละ  แล้วเมื่อวานเขาก็ช่วยกรูทำแผลนิดหน่อยเท่านั้น  มีผงมีผัวอะไรกันวะแค่เพื่อนบ้านเว้ย” ผมพูดไปพลางไอค่อกแค่กไปด้วยพิษไข้
ซึ่งผมอธิบายไปอย่างงี้  ไอพวกเพื่อน ๆ ของผมก็ยังทำสีหน้าไม่ไว้ใจผมอยู่ดี  ท่าทางมันอยากจะให้ผมมีผัวมากเลยสินะไอเพื่อนเวร


“อ๋อออ…เหรอออ” ไอเจมส์ลากเสียงยาวพร้อมกับทำเสียงจิ๊จ๊ะเบา ๆ  ส่วนไอบาสก็เริ่มลงเดินออกไปนอกห้องนอนดูเหมือนว่ามันจะไปที่ครัวเพื่อทำข้าวต้มให้ผมกิน


อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยครับ  บ้านไอบาสเป็นร้านอาหาร  ซึ่งไอบาสก็ทำอาหารเก่งมากจนผมนี่แทบอยากจะไปถวายตัวเป็นลูกเขยบ้านมันซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย…บ้านไอบาสไม่มีลูกสาวเลยสักคน  และมันก็เป็นลูกคนเล็กของบ้านด้วย แล้วเฮีย ๆ ของไอบาสหวงไอบาสยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ มดไม่ให้ไต่  ไรไม่ให้ตอม  ราวกับว่าน้องชายของพวกเฮีย ๆ เป็นสาวน้อยบอบบางอย่างงั้นละ ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมครับว่าไอบาสมันสูงน้อยกว่าผมราว ๆ  5 เซน ตัวกะทัดรัดสูงไม่มากนัก  แต่ทุกท่านอย่าคิดนะครับว่ามันจะอ้อนแอ้นอ่อนแอ  ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณคิดผิดครับไอบาสนี่เป็นนักเทควันโด้เก่าของโรงเรียนผมซึ่งมันเตะผู้ชายตัวโตกว่ามันคว่ำมาแล้วหลายสิบ  ดังนั้นเลิกไปแหยมกับมันเถอะครับบางทีผมยังไม่กล้าที่จะเข้าไปแหยมกับมันเลย


ส่วนไอเจมส์  บ้านของมันพ่อแม่มันเป็นครูครับ  คุณไม่ต้องนึกเลยครับว่ามันเรียนเก่งขนาดไหนด้วย  คะแนนที่มันแอดมิชชั่นเข้ามหาลัยมาติด 1 ใน 5 แล้ว คะแนนการเรียนของมันก็ท็อป 5 ของภาควิชาเช่นกัน ส่วนรูปร่างของไอเจมส์ มันตัวพอ ๆ กันกับผมนี่ละครับสูงต่างกันไม่มากไม่มายกันเสียเท่าไหร่  รู้สึกว่ามันจะเตี้ยกว่าผมสักเซนนึงได้มั้งครับ ไอเนิร์ดคนนี้มันสวมแว่นครับ  ซึ่งสายตามันก็ไม่ได้สั้นอะไรเลยสักนิดเดียวเอียงก็ไม่เอียง แต่พอผมถามมันไปว่ามรึงจะใส่แว่นทำซากอะไรวะ สายตาก็ไม่ได้สั้น มันก็เลยตอบผมกลับมาว่า มันเป็นสไตล์ของคนหล่อที่อยากจะปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของตัวเอง คำตอบที่มันตอบผมนั้นทำเอาผมขนลุกเกรียวและรีบหาอะไรยัดปากมันแทบจะทันที


ส่วนผมน่ะเหรอครับ  ก็อย่างที่บอกครับผมสูง 180 เซนถ้วนไม่ขาดไม่เกิน หน้าตาก็ขาวใสตามประสาลูกคนจีนแต่ผมก็ยังสงสัยไม่หายว่าทำไมตาผมนี่โตซะเหลือเกิน  คุณป๋าคุณม๊าของผมตาก็ไม่ได้โตอะไร  แต่ทำไมตาผมมันโตกลมและใสแหววแบบนี้ หลังจากที่ผมบรรยายลักษณะของเพื่อน ๆ ให้พวกคุณได้อ่านกันตอนนี้  กระเพาะของผมก็เริ่มเรียกร้องของกินแล้วละครับ  ดังนั้นผมของไปเรียกไอเพื่อนบาสให้มันเร่งมือทำข้าวต้มให้กินที


“เพื่อนบาสครับ…เพื่อนกรหิวข้าวครับ  ตอนนี้เพื่อนบาสทำข้าวต้มเสร็จหรือยังครับ” ผมพูดเสียงอ่อยพร้อมกับค่อย ๆ ปลอบท้องของผมที่ร้องครวญครางด้วยความหิว


“รอสักแปบสิครับเพื่อนกร  ถ้าเพื่อนกรเร่ง ระวังเพื่อนบาสจะเผลอใส่เครื่องปรุงผิดนะครับ” ไอบาสตะโกนตอบกลับมาแต่กลิ่นหอมของข้าวต้มปลา (ที่ไม่ใส่แม้แต่ผักโรย) ก็หอมโชยมาไกลแสดงให้เห็นว่าท้องน้อย ๆ ที่กำลังร้องครวญครางของผมกำลังจะมีอะไรตกถึงท้องแล้ว และไม่นานเกินรอ  สักพักเพื่อนบาสก็ยกถ้วนข้าต้มเข้ามาในห้องนอนของผมพร้อมกับยื่นถ้วยข้าวต้มปลาที่กลิ่นหอมฉุยมาให้ผม
ผมอมยิ้มตอบรับมันไปนิดหน่อยก่อนที่จะเริ่มลงมือสวาปามข้าวต้มถ้วยนั้นด้วยความรวดเร็ว ผมใจเวลาทานข้าวต้มถ้วยนี้เป็นเวลาสิบนาทีเศษ  ซึ่งไอสิบนาทีเศษนั้นผมก็ทานมันไปได้เพียงแค่สองสามคำก่อนจะยื่นถ้วยข้าวต้มกลับคืนไปให้ไอเพื่อนบาส


เวลาผมไม่ค่อยจะอยากอาหารเลย ให้ตายสิ  หิวแทบตายแต่กินไปสองสามคำก็อิ่มแล้ว ผมคิดในใจก่อนจะยื่นมือไปรับยาที่อยู่ในมือไอเจมส์มากรอกเข้าปากพร้อมกับดื่มน้ำอุ่น ๆ ตามลงไปและหลังจากที่ผมทานยาเสร็จสหายทั้งสองของผมก็ผลักผมให้ลงไปนอนเหมือนเดิม พร้อมกับทำตัวเป็นยามรักษาการนั่งเฝ้าไข้ให้ผม ซึ่งเวลานี้ผมก็ยังสงสัยไม่หายเลยว่าไอสองคนนี้มันรู้ได้ยังไงว่าผมป่วยนอนซมอยู่ในห้อง


“เชี่ยบาส เชี่ยเจมส์ มรึงรู้กันได้ยังไงว่ากรูไม่สบายวะ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงยานคาง อ่า...ยาแก้ไข้ค่อย ๆ ออกฤทธิ์แล้วสินะผมถึงได้เริ่มง่วงแบบนี้ สติตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรแล้วเสียงไอเจมส์ที่ตอบคำถามผมมันช่างลางเลือนเหมือนพูดอยู่ห่างไกลไม่นานนักผมก็นอนหลับไป


บาสและเจมส์ที่คิดจะใช้คำพูดแหย่เจ้ากรแต่ได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมา


“ไอกรเอ้ย...คนที่บอกว่ามรึงเป็นไข้ก็ไอพี่หมอของมรึงนั่นละ สงสัยชาตินี้เพื่อนกรูจะหาเมียไม่ได้ แต่คงได้ผัวแทนแล้วล่ะมั้ง” เจมส์พูดออกมาขำ ๆ พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าที่โปะอยู่บนหน้าผากของกรออกไป


“เฮ้อ…กรูควรสงสาร หรือสมน้ำหน้าไอกรมันดีวะเจมส์  ไอนี่ทะเล้นอย่างกับปลาไหลแต่เจือกตรงสเปกของเกย์” บาสพูดพร้อมกับถอนลมหายใจออกมามือข้างหนึ่งก็เอื้อมไปรับผ้าเช็ดหน้าในมือมาจุ่มน้ำแล้วบิดหมาด ๆ แล้วก็ยื่นกลับคืนไปให้เจมส์


“ไม่รู้ดิวะแต่แม่ม...ไอพี่หมอของมันท่าทางจะรักจริงหวังแต่งว่ะ  ไม่งั้นพี่แกคงไม่รีบบึ่งรถมาหาพวกเราแล้วบอกให้พวกเรามาเฝ้าไอกรมันหรอก” เจมส์พูดพลางนึกย้อนการกระทำของรุ่นพี่ที่เรียนแพทย์คนนั้น ทั้งสีหน้าแววตาและการกระทำมันช่างเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนกรซะเหลือเกิน แถมมีกำชับว่า...


‘ถ้าพี่ยังไม่ไปเคาะประตูห้องของกรห้ามพวกน้อง ๆ ออกจากห้องกรเป็นอันขาด  เดี๋ยวพี่ไปเรียนก่อนล่ะ ไว้เย็น ๆ พี่จะกลับไปดูกรที่ห้อง’ สภาพการเป็นแบบนั้นถ้าไม่โง่จัดขั้นเป็นออทิสติกใคร ๆ เขาก็รู้ว่าไอคุณพี่หมอสุดหล่อคนนี้แอบหมายตาเพื่อนกรของเราไว้อยู่ แถมไม่รู้ว่าซ้ำดีหรือซ้ำร้ายที่ห้องของทั้งคู่ดันอยู่ติดกันเสียอีก  แบบนี้เพื่อนของเราจะรอดมือไอคุณพี่หมอคนนั้นไปได้ยังไง


“…มรึงคิดว่าไอกรของพวกเราจะเสร็จพี่เขาในกี่เดือนวะ เดือนหรือสองเดือน” หลังจากที่ภายในห้องเงียบไปสักพักเสียงของเจมส์ก็ดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเป็นประกายที่ไม่น่าไว้ใจ


“กรูว่าสักสองเดือนว่ะ กรูเชื่อว่าเพื่อนกรของกรูไม่ง่ายขนาดนั้น” บาสพูดตอบแต่ในใจก็กระยิ้มกระย่องอยากที่จะเห็นเจ้าเพื่อนตัวแสบคนนี้โดนพี่หมอปราบให้อยู่หมัดจนไม่สามารถออกลายเกรียนได้อีก


“เฮ้ยสองเดือนไวไปเปล่าวะ กรูว่าเพื่อนกรกรูน่ะไม่ง่ายขนาดนั้น  กรูพนันสามเดือน ภายในสามเดือนนี้ไอกรแม่มต้องเสร็จแน่นอน กรูขอพนันด้วยฟูจิมื้อนึงเลย” เจมส์สายหัวให้กับความมั่นใจของบาสแต่จากการวิเคราะห์และพิจารณาแล้วเพื่อนกรแม่มซื่อบื้อกว่าที่ไอบาสคิดมันต้องไม่รู้ใจตัวเองแน่นอน  ดังนั้นพนันไว้สามเดือนนั่นละถูกแล้ว  ต่อให้ซื่อบื้อขนาดไหนก็คงไม่โง่จัดขนาดไม่รู้ใจของตัวเองในสามเดือนหรอก


“โหย  พนันกันด้วยฟูจิมื้อนึงเลยเหรอได้! งานนี้จะได้รู้กันว่าใครจะเป็นคนเสียเงินเลี้ยงฟูจิมื้อนี้” ราวกับว่ามีสายฟ้าปะทะกันในแววตาของคนทั้งคู่


ศึกครั้งนี้เป็นการพนันที่ใหญ่หลวงนัก  ซึ่งทั้งสองก็ต้องวิ่งไปหากลวิธีให้เพื่อนกรสุดที่รักของพวกมันตกหลุมรักพี่หมอให้ได้ภายในระยะเวลาที่ตัวเองต้องการ


ศึกระหว่างลูกผู้ชาย(ที่เอาเพื่อนตัวเองไปให้ผู้ชายคนอื่นจีบ)ได้เริ่มขึ้นแล้ว!




ระยะเวลานั้นได้ผ่านไปสรุปตอนนี้เวลาที่นาฬิกาบอกก็เป็นเวลา 17 นาฬิกา 45 นาทีแล้วซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกับเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้น บาสกับเจมส์ที่เผลอหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้กันและกัน พร้อมกับวิ่งถลาไปเปิดประตูห้องหมายเลข 1403 (ซึ่งเป็นเบอร์ห้องคอนโดของกร) เพื่อเชื้อเชิญแขกผู้มาใหม่ให้เข้าห้องมา


“สวัสดี  อาการของกรเป็นยังไงบ้างครับ น้องเจมส์ น้องบาส” พี่หมอพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่เป็นกันเองมาให้


“มันหลับสบายเลยพี่  เข้าไปดูมันได้เลยพวกผมดูแลมันอย่างดีเยี่ยม” บาสยกนิ้วโป้งขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มกวน ๆ ไปให้


“แต่ให้พี่เข้าห้องโดยที่ไม่ขออนุญาตกรแบบนี้จะดีเหรอ” เสียงของศิรวิทย์เอ่ยออกมาด้วยความกังวลแต่ ก๊วนลูกคู่สองคนเจมส์และบาสกับส่ายหัวไปมาพร้อมกับบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก ไอกรมันไม่ว่าอะไรแน่นอน บาสและเจมส์คอนเฟิร์ม” ก่อนที่ทั้งคู่จะลากและดันให้พี่ศิเข้าไปในห้องนอนของกร


“พี่ครับ พวกผมขอตัวก่อนแล้วกันนะ ฝากดูไอกรมันด้วยตอนป่วยมันชอบเพ้อ แถมชอบนอนดิ้นอีกต่างหาก  ถ้าพี่รำคาญมันมาก  สามารถกระโดดลงไปนอนตะครุบมันได้เลย  ผมคอนเฟิร์มวิธีนี้ใช้ได้ผลยิ่งนัก เพราะผมกับไอเจมส์ลองกันมาแล้ว  รับรองมันไม่ดิ้นไปไหนแน่นอน” บาสพูดชงพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ศิรวิทย์ก่อนจะรีบควงแขนเพื่อนเจมส์ของตนออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว


ทั้งสองคนนั้นทิ้งให้ศิรวิทย์ยืนงงกับคำพูดนั้น  แต่ในสมองของว่าที่แพทย์ในอนาคตก็ใช้เวลาประมวลผลไม่นานนักก็เข้าใจความหมายที่รุ่นน้องทั้งสองคนของคนสื่อ มือกร้านยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าของตนเองไว้ริมฝีปากหนาพลางบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “นี่เราดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือไงกันนะ”


แต่ด้วยจรรยาบรรณว่าที่แพทย์ก็ไม่สามารถทิ้งให้คนป่วยหนักนอนอ่อนระโหยโรยแรงได้  เขาทำการเลิกผ้าห่มที่คลุมร่างของกรไว้พร้อมกับยกกล่องพยาบาลขึ้นมาเพื่อทำการล้างแผลให้กรอีกครั้ง


เมื่อสำลีจุ่มแอลกอฮอล์สัมผัสลงไปบนผิวหนังกรก็ส่งเสียอื้ออึงออกมาเล็กน้อยด้วยความรำคาญ  แต่ยังไงได้ล่ะ  ต่อให้เป็นไข้ยังไงก็ต้องทำความสะอาดแผลที่ยังไม่แห้ง  ศิรวิทย์ก็เลยได้แต่ยื้อแขนของกรไว้พร้อมกับค่อย ๆ ทำแผลให้เจ้าตัวแสบตรงหน้าอย่างเบามือ
“แม้แต่ตอนนอนก็ยังดื้อ เป็นไปตามกิตติศัพท์จริง ๆ” ศิรวิทย์ลอบยิ้มจาง ๆ พร้อมกับยื่นมือไปบีบจมูกที่เชิดรั้นของคนที่นอนอยู่ด้วยความหมั่นเขี้ยว


“ราตรีสวัสดิ์ครับกร ไว้เจอกันพรุ่งนี้  หวังว่าเราจะหายไข้แล้วนะครับ” หนุ่มรุ่นพี่ก้มลงไปกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของคนที่นอนหลับอยู่  ก่อนจะเดินออกนอกห้องไปโดยทิ้งให้ร่างสูงโปร่งนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจต่อไป




________________________


ตอนนี้พพลอยขอคอมเม้นสั้น ๆ ว่า ... อยากมีแฟนเป็นพี่ศิค่ะ// (จบ)

ออฟไลน์ konishiki

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขำน้องกรตอนทำแผลจริง ๆ นะ 555555555555

พี่ศิแม่ม.... ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
ถ้าผมเป็นน้องกร ผมคงเขิลม้วนไปแล้ว

บาส กับเจมส์ แหม....
พนันด้วยคนดิ  อยากกินฟูจิ ' q ' #ผิด

ขอสมัครเป็นติ่งพี่ศิค่ะ ♥

ออฟไลน์ janji

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น่ารักจังเลย

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
บาสกะเจมส์นี่ท่าทางจะรักเพื่อนมากดูดิเอาน้องกรเราใส่พานประเคนให้พี่ศิเลย หุหุ
ดีนะที่พี่ศิไม่ใจร้อน?ตะครุบ?น้องกรอย่างที่บาสกะเจมส์แนะนำ  :laugh:

ว่าเเต่พี่ศิมีฝาแฝดไหมค่ะคุณพลอย แบบว่าอยากได้เเบบพี่ศิเหมือนกันแต่ไม่อยากแย่งน้องกรอะ  :-[

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่หมอศิเก็บอาการไม่อยู่ สงสัยว่าพี่หมอศิอาจจะชอบกรมาก่อนหน้านี้รึป่าว

เพื่อนเจมส์เพื่อนบาส รักเพื่อนมากอยากให้เพื่อนมีปั๋ว เปิดโอกาสสสุดๆ

แต่ว่าพนันกันด้วยฟูจิหนึ่งมื้อน้อยไปไหม เราอยากกินด้วยอย่าลืมเรียกน๊า 55

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
เอ่อ บาสกับเจมส์นี่ใช่เพื่อนรึเปล่า? รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนขี่มอไซด์ไม่แข็งแต่โยนกุญแจให้เพื่อนขี่ไปคนเดียวแบบนั้นได้ยังไง อย่าคิดว่าไปแค่นี้แล้วไม่เป็นอะไรคนขี่แข็ง ๆ ยังเกิดอุบัติเหตุได้เลยและตอนมาเยี่ยมอ่านแล้วไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกสำนึกผิดหรือสงสารเพื่อนเลย แย่มากนะเพื่อนแบบนี้

เพื่อนเราขับรถไม่แข็งหรือร่างกายไม่พร้อมแม้แต่นิดเราไม่ยอมให้ขับแน่นอน เรายอมเสียเวลาไปส่งมันเองดีกว่าเพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ และมันก็เกิดขึ้นมาจริง ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด