- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 240678 ครั้ง)

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0

ประโยค ๆ นี้ของพี่ศิทำให้ผมต้องชะงักตัวและยืนรอพี่เขา เราสองคนเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้า ๆ ซึ่งตลอดทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องนอนของผมเราทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ


ผมไม่รู้ว่ามันอะไรมันเกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่ศิ แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าความคิดของผมความรู้สึกของผมที่มอบให้แก่พี่ศินั้นไม่น่าใช่ตำแหน่งของพี่ชายคนสนิทธรรมดาแล้วหละครับ ตั้งแต่ที่ผมรู้จักพี่ศิมาแม้มันจะไม่นานมากนักแต่ความสัมพันธ์ของเราสองคนจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักชื่อกัน พัฒนาขึ้นมาเป็นคนรู้จักกัน และพัฒนาขึ้นมาเป็นพี่ชายคนสนิทผมคิดว่าความสัมพันธ์และตำแหน่งที่ผมจะให้พี่ศินั้นมันคงต้องเปลี่ยนไปอีกรอบแล้วหละครับเพราะในตอนนี้ความรู้ของผมที่มีต่อพี่ศิมันมากเกินคำว่าพี่ชายแต่มันก็ยังไม่ก้าวข้ามคำ ๆ นั้นไปมากนัก ตอนนี้ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของผมและพี่ศิน่าจะอยู่ในฐานะของคนสำคัญของกันและกันแล้วก็ได้นะครับ


แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทางพี่ศินั้นคิดอย่างเดียวกับผมหรือเปล่านี่สิ…


เมื่อผมเดินมาถึงหน้าประตูผมก็เปิดบานประตูและเชื้อเชิญให้แขกเข้าไปในห้องซึ่งพี่ศิก็อมยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนที่จะเดินก้าวเข้าไปในห้องตามผมแบบติด ๆ ผมดันบานประตูให้ผิดลงพร้อมกับไฟที่เพดานนั้นได้สว่างขึ้น ผมถลาตัวไปนั่งบนเตียงพร้อมกับลากพี่ศิให้ลงมานั่งข้าง ๆ


ทุกท่านก็คงสงสัยอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะผมตั้งใจว่าจะถามพี่ศิในเรื่องที่ผมสงสัยทั้งหมดออกไปนั่นหละครับ


ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเอ่ยถามคำถามกับพี่ศิ


“พี่ศิครับ…” ผมพยายามใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีในตัวกลั่นกรองคำพูดออกมา ผมหยุดเงียบที่ประโยคนี้ไปสักพักก่อนจะกลั่นลมหายใจพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสงสัยออกไปทั้งหมด “พี่ศิ…เป็นคนอัธยาศัยดีแบบนี้แสดงว่าพี่ศิก็สนิทกับรุ่นน้องเยอะแยะเลยสินะครับ น่าอิจฉาจังเลยกรอยากมีคนสนิทเยอะ ๆ แบบนั้นบ้างจังเลย”


สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็เลิกคิ้วมองมายังผมด้วยแววตาสงสัยแต่ถึงพี่ศิจะยังคงงุนงงกับสิ่งที่ผมถามแต่พี่เขาก็ยอมเอ่ยคำตอบออกมา “พี่หนะเหรอพี่เป็นคนที่อัธยาศัยแย่สุด ๆ เลยต่างหากหละกร ชีวิตพี่วัน ๆ พี่มีแต่เรียน เรียน เรียนแล้วก็เรียน พี่ไม่สนิทกับรุ่นพี่รุ่นน้องหรอกแม้แต่รุ่นเดียวกันที่สนิทมาก ๆ ก็มีแต่ไอเต๋อร์กับวิมันเท่านั้นเอง ส่วนรุ่นน้องที่พี่สนิทมากก็มีแค่กรคนเดียวเท่านั้นครับ” พี่ศิตอบผม ซึ่งคำตอบที่พี่ศิเอ่ยออกมานั้นทำให้ผมแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่ แต่ผมก็กลับฝืนตัวทำหน้านิ่งและพยายามหุบรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้


“จริงเหรอ กรเห็นพี่ศิเข้ากับคนในบ้านกรได้ง่ายนี่นา พี่ศิก็น่าจะเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ง่ายเหมือนกันนะ” ผมกอดอกตัวเองพร้อมกับเบนหน้ามองไปทางอื่นหากแต่สายตาของผมก็ลอบเหลือบไปมองสีหน้าและการกระทำของพี่ศิที่จะแสดงออกมาหลังจากสิ้นคำพูดของผม


ใบหน้าของพี่ศิก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยแต่กระนั้นพี่ศิก็ยอมเอ่ยคำตอบออกมา และคำตอบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกยังไงก็ไม่รู้สิครับ ทั้ง ๆ ที่พี่ศิเอ่ยปากชมครอบครัวผมแต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนถูกพี่ศิเขาชมแบบทางอ้อมแบบนี้หหละ “ก็ครอบครัวของน้องชายที่พี่สนิทที่สุดนี่ พี่ก็อยากจะสนิทเอาไว้แล้วครอบครัวของกรก็น่ารัก ทุก ๆ คน…น่ารักเหมือนกร”


“อ่อออ…กรก็สงสัยนึกว่าพี่ศิรักแรกพบกับคุณเจ้หรือคุณน้องสาวกรหรือเปล่าเลยตีสนิทกันไวจริง” ผมลองพูดแหย่พี่ศิไปอีกรอบแต่พี่ศิก็ส่ายหัวปฏิเสธ ซึ่งการที่พี่ศิเอ่ยปฏิเสธออกมาแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่งในใจแบบแปลก ๆ ไม่รู้สิครับเหมือนกับว่าผมดีใจหละมั้งดีใจที่พี่ศิไม่ได้ชอบหรือปิ้งพี่สาวและน้องสาวของผม


โอ้ย…นี่ผมเป็นอะไรเนี่ยทำไมผมมีความรู้สึกว่าหวงพี่ศิมากขนาดนี้เนี่ย ทั้ง ๆ ที่คนที่พี่ศิคุยด้วยหยอกล้อด้วยเป็นคนในครอบครัวของผมแท้ ๆ ทำไมผมรู้สึกไม่อยากให้พี่เขาพูดหยอกล้อกับคนอื่นหรือสนใจคนอื่นมากกว่าผมกันเนี่ย


ผมเม้มปากแน่นและไม่ได้พูดอะไรต่อแต่พี่ศิเหมือนจะจับทางผมได้แล้วหละครับว่าผมตั้งใจจะถามอะไรกับพี่เขามือกร้านยกขึ้นมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาข้าง ๆ ใบหูของผม “ในตอนนี้ กรหนะสำคัญที่สุดสำหรับพี่แล้วหละครับอย่าคิดมากเลย”


ประโยคที่พี่ศิกระซิบข้างหูผมนั้นมันแทบจะทำให้ผมลงไปละลายกองอยู่ที่พื้นเลยหละครับ แถมตอนนี้ใบหน้าของผมนี่ไม่รู้ว่าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้วหนำซ้ำหัวใจก็เต้นแรงมาก แรงเสียจนมันจะออกมาเต้นเบรกแด้นซ์นอกตัวผมเลยครับ ผมพยายามก้มหน้าเพื่อหลบสายจาของพี่ศิที่มองมาแต่ยิ่งผมหลบสายตาของพี่ศิมาขึ้นเท่าไหร่พี่ศิก็ยิ่งแกล้งทำเป็นมองหน้าผมมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดผมก็ทนไม่ได้กับการถูกแกล้งแบบนี้จนยื่นมือไปยันที่หน้าของพี่ศิและแกล้งผลักพี่เขาออกไปเบา ๆ


ซึ่งคิดเหรอครับผู้ชายที่แสนเอาแต่ใจอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์จะยอมให้ผมทำแบบนั้นได้…ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณคิดถูกแล้วหละครับเพราะพี่ศิเขาไม่ยอมให้ผมดันพี่เขาออกไปห่าง ๆ ได้ ซ้ำยังคว้ามือทั้งสองข้าของผมไว้อีก


พี่ศิจับแขนผมทั้งสองข้างและออกแรงพลิกให้ผมหันไปมองทางพี่เขา และเมื่อสายตาของพี่ศิและผมจ้องมองกันไอผมที่คิดว่าตัวเองจะละลายลงไปกองอยู่ที่พื้นตอนนี้ผมคิดว่าตัวผมคงระเหิดกลายเป็นไอไปแทนเรียบร้อยหละครับ สายตาที่พี่ศิจ้องมานั้นมันมากไปด้วยความหมายแม้ผมจะเดาความรู้สึกที่พี่ศิส่งมาได้ไม่หมด แต่ผมก็สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างในแววตาที่พี่ศิส่งผ่านมาได้ครับ


มันเป็นความรู้สึกห่วงใย ความรู้สึกอยากดูแลและอยากทำให้คน ๆ นึงมีความสุขไปตลอดชีวิต ยิ่งผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพี่ศิแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูกจะเบือนหน้าหนีก็ทำไม่ได้ หรือแม้แต่จะจ้องตาพี่ศิกลับไปผมก็ไม่สามารถทำได้ครับ
พวกเราทั้งสองคงเงียบเสียงกันไปอีกสักพัก จนในที่สุดพี่ศิที่ยังมีความรู้สึกสงสัยในคำถามของผมก็เอ่ยถ้อยคำออกมา “กรครับที่กรถามพี่แบบนี้ กรกำลังคิดอะไรอยู่เหรอครับ”


สิ้นคำถามของพี่ศิมันยิ่งทำให้ผมไปต่อไม่เป็นเลยครับ พี่แกเล่นถามมาแบบนี้แล้วผมจะตอบเขาไปยังไงหละเนี่ย ซึ่งทักษะในการเอาตัวรอดของผมมีสูงครับผมก็เฉไฉไปเรื่อยตามประสาผมแต่คิดเหรอว่าพี่ศิเขาจะเชื่อ…ผมขอบอกเลยนะครับว่าคนอย่างว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ไม่มีทางเชื่ออะไรง่าย ๆ ครับ


เมื่อผมหมดหนทางที่จะต่อกรกับพี่ศิเขา ผมก็จำใจ (และทำใจอยู่นานมาก ๆ) เอ่ยความรู้สึกที่อยู่ในหัวใจของผมออกไป
ผมไม่รู้ว่าการบอกความรู้สึกครั้งนี้ของผมจะทำให้สถานะภาพของผมกับพี่ศิเปลี่ยนไปยังไง พี่ศิอาจจะไม่พอใจก็ได้แต่ผมที่โดนพี่ศิไล่บี้แบบนี้มันไม่มีหนทางอื่นนอกจากการบอกความรู้สึกจริง ๆ ของผมออกไปแล้วหละครับ


“กรแค่คิดว่า...เออ กร” แม้ผมจะตัดสินใจแล้วว่าจะพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปให้พี่ศิฟังแต่ยังไงมันก็พูดออกไปยากอยู่ดีครับผมพยายามจะพูดออกไปหลายต่อหลายครั้งจนในที่สุดพี่ศิก็ดูเหมือนจะอดทนต่ออาการอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของผมไม่ได้แล้วหละครับ
ร่างสูงของพี่ศิค่อย ๆ เขยิบมาใกล้พร้อมกับมือกร้านที่เลื่อนขึ้นมาปิดที่ดวงตาของผมแทน “ถ้ากรอายที่จะมองหน้าพี่แล้วพูดออกมาพี่อนุญาตให้กรหลับตาพูดก็ได้ครับ” ซึ่งไอการได้หลับตาพูดมันก็ดีอยู่หรอกครับแต่มันจะดีกว่านี้ถ้ามือที่ปิดตาผมอยู่มันไม่ใช่มือของพี่ศิ


แต่มันก็ทำให้ผมลดอาการประหม่าไปได้ส่วนหนึ่งหละครับ ริมฝีปากผมที่เคยเม้มแน่นตอนนี้เริ่มคลายออก ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เปิดปากและเอ่ยในสิ่งที่พี่ศิต้องการจะรู้จากตัวผมออกไป “พี่ศิ...รู้ป่ะตั้งแต่วันแรกที่กรได้รู้จักพี่อะ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ กรคิดว่าทำไมเราทั้งสองคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน ไม่เคยแม้แต่จะเคยเห็นหน้ากันทำไมเราถึงสนิทกันได้มากขนาดนี้” หลังจากที่ผมพูดจนจบประโยคนี้ผมก็เงียบเสียงไปสักพักพร้อมกับสูดลมหายใจเข้ามาในปอดเฮือกใหญ่ “กรไม่รู้ว่าทำไมจากคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน ถึงพัฒนาเป็นคนรู้จักกันและค่อย ๆ กลายเป็นพี่น้องที่สนิทกัน จนตอนนี้กรคิดว่าพี่ศิกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกรเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของกร…พี่ศิเป็นคนสำคัญของกรที่กรรู้สึกได้เลยว่ากรนั้นขาดพี่ศิไปไม่ได้อีกแล้ว”


สิ้นเสียงพูดของผมห้องทั้งห้องก็เงียบสงัดลงทันทีทั้งผมและพี่ศิไม่มีใครคิดจะเอ่ยคำพูดอะไรออกมา (เนื่องจากผมนั้นพูดออกไปหมดแล้วส่วนพี่คงน่าจะกำลังตกใจอยู่หละมั้งครับ) เราเงียบเสียงกันไปสักพักไม่นานนักร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของพี่ศิพร้อมกับแขนทั้งสองข้างของพี่เขาที่ค่อย ๆ โอบรัดตัวผมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้ของพี่ศิหมายถึงอะไรแต่เท่าที่ผมรู้นั่นก็คือพี่ศิแกไม่ได้ไม่พอใจผมหรือโกรธผมเลยครับ


ผมยอมให้พี่ศิโอบกอดตัวผมอยู่แบบนั้นไปสักพักไม่นานนัก วงแขนแกร่งของพี่ศิก็คลายออกพร้อมกับปล่อยให้ผมเป็นอิสระจากอ้อมแขนของพี่เขา


“นี่พี่ศิ…” หลังจากที่ผมเป็นอิสระจากอ้อมแขนของพี่ศิแล้วผมก็ทำการเอานิ้วสะกิดพี่ศิเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยปากถามพี่เขาออกไปว่า “พี่ศิเป็นคนสำคัญของกร…แล้วกรเป็นคนสำคัญของพี่ศิหรือเปล่า” ผมเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยแต่ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบจากปากของพี่ศิเขาผมก็โดนซัดมะเหงกลงบนหน้าฝากไปหนึ่งดอก


“อูย…พี่ศิทำอะไรกรเนี่ยมันเจ็บนะ!!” ผมบ่นงึมงำซึ่งการบ่นของผมนั้นทำให้พี่ศิหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


“กรคิดว่ายังไงหละ…” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบเสียงตนลงไปราวกับว่าเขานั้นกำลังปล่อยให้อีกฝ่ายคิดถึงการกระทำของตนเอง แต่รู้สึกเหมือนว่าตัวของผมนั้นจะนึกอะไรไม่ออกเลยสักนิดสักพักเหมือนกับว่าตัวของพี่ศิจะทนรอคำตอบจากผมไม่ไหว ริมฝีปากหนาคลี่รอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คลายความสงสัยของผมออกมา “สิ่งที่พี่ทำให้กรทั้งหมด…พี่คิดว่ากรน่าจะเดาได้แล้วนะว่าพี่ให้ความสำคัญกับกรมากขนาดไหน ฐานะของกรสำหรับพี่งั้นเหรอ พี่คิดว่าก็น่าจะเป็น ‘คนสำคัญที่ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้’ หละมั้ง” เมื่อพี่ศิพูดจบมือกร้านของพี่ศิก็ยกขึ้นมาลูบบนศรีษะผมอย่างเบามือ


ที่จริงผมอยากจะโวยวายออกไปอยู่นะครับเพราะมือที่พี่ศิลูบหัวผมเนี่ยมันเป็นข้างเดียวกับมือที่พี่ศิใช้ซัดมะเหงกใส่หัวผมนั่นหละ อย่างงี้เค้าเรียกว่าตบหัวแล้วลูบหลังหรือเปล่าครับเนี่ย แต่ครั้งนี้ผมยอมให้พี่ศิก็ได้ครับปล่อยให้เขาลูบหัวผมอย่างสนุกมือส่วนผมก็ขอยืมบ่าพี่ศิเป็นที่หนุนต่างหมอนแล้วกัน


ผมนั่งพิงพี่ศิอยู่นานพอควรเลยครับ จนสุดท้ายไอบรรยากาศหวานแหวว (ชวนขนลุก) ในห้องก็หมดไปเพราะความง่วงของผมนั่นเอง


“พี่ศิกรง่วงแล้ว” ผมพูดพึมพำในขณะที่ผมกำลังยกหัวตัวเองออกจากบ่าพี่ศิซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับลุกออกจากเตียงไปและเมื่อพี่ศิลุกออกจากเตียงผมก็ถลาเข้าไปครอบครองเตียงทันที


ผมแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มที่หนานุ่มพร้อมกับหลับตาลงโดยไม่สนใจเลยว่า อีกฝ่ายที่ต้องนอนบนเตียงเดียวกับผมจะเข้าแทรกตัวนอนที่ตรงไหนเพราะในตอนนี้ร่างของผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียง


พี่ศิได้ส่ายหัวไปมาพลางทอดสายตามองมายังร่างของผมที่ตอนอยู่เบื้องหน้า พี่ศิมองค้างแบบนั้นอยู่สักพักไม่นานนักชายหนุ่มที่มีนามว่าศิรวิทย์ก็ตัดสินใจเดินหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องอาบน้ำไป


หลังจากพี่ศิเดินเข้าห้องอาบน้ำผมก็ทำตัวเป็นคนดีเล็กน้อยโดนการขยับตัวนิดหน่อยเพื่อให้เหลือที่นอนสำหรับอีกคนพร้อมกับหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนินทรา




สวัสดีครับผมศิรวิทย์หลังจากที่ผมเดินเข้าห้องน้ำมาแล้วผมก็ยังลอบแอบมองเจ้าตัวแสบของผมที่นอนเล่นอยู่บนเตียง แต่สักพักเจ้าตัวแสบของผมก็นอนแน่นิ่ง ผมว่าเขาคงจะหมดฤทธิ์ซะแล้วหละครับถึงได้นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงแบบนี้ แถมมีแอบกรนการแอบกรนเบา ๆ ด้วยหละครับ ซึ่งการกระทำแบบนั้นของเจ้าตัวแสบทำให้ผมหัวเราะออกมาน้อย ๆ ซึ่งไม่ว่ายังไงในสายตาของผมเจ้าตัวแสบคนนี้ก็น่ารักเสมออยู่ดีหละครับและที่สำคัญวันนี้เจ้าตัวแสบของผมน่ารักเป็นพิเศษเสียด้วยนั่นก็เป็นเพราะว่ากรเขายอมพูดความในใจของตัวเองออกมา ซึ่งคำพูดพวกนั้นของกรมันทำให้ผมดีใจเป็นอย่างมาก แม้ผมจะรู้ว่า ‘คนสำคัญ’ ในความหมายของกรมันไม่ได้หมายถึงคนรักก็ตาม แต่การที่กรยกฐานะให้ผมขึ้นมาตั้งขนาดนี้มันก็ทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ แล้วหละครับ


ผมลอบอมยิ้มเบา ๆ พร้อมกับเดินเข้าห้องอาบน้ำเพื่อไปทำความสะอาดร่างกายผมใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำตอนนี้สภาพของผมก็เตรียมพร้อมที่จะนอนแล้วครับ ผมสาวเท้าเดินไปข้าง ๆ เตียงแล้วทรุดตัวนั่งลงบนพื้นที่ว่างที่เจ้าตัวแสบมันเว้นไว้ให้


ผมไม่อยากจะพูดเลยว่าการที่ให้ผมมาห้องเดียวกับเจ้าตัวแสบนี่มันต้องทำให้ผมอดทนมากมายขนาดไหน จากตอนแรกที่ผมต้องอดทนที่จะไม่เคลื่อนหน้าตัวเองเข้าไปไกลกรในตอนที่พวกเราไปขโมยขนมเค้กกัน ตอนนี้ผมยังต้องอดทนที่จะไม่ทำอะไรกรอีกแล้วสินะครับ เมื่อความคิดนั่นลอยเข้ามาภายในสมองผมก็ถึงกับต้องถอนลมหายใจออกมาเสียงดังความจริงไอการนอนนิ่ง ๆ ผมก็ไม่อะไรหรอกครับแต่ในเรื่องกฤติศักดิ์การนอนดิ้นของกรมันหนักหนาเอาเรื่องครับผมได้แต่ปาดเหงื่อมองเจ้าตัวแสบที่ตอนนี้เริ่มพลิกตัวและกวาดมือไปมาแล้วหละครับ เห็นอย่างงี้ผมก็ไม่อยากจะไปนั่งขวางพื้นที่ของกรเขาเลยตัดสินใจลุกออกจากเตียงและเดินไปนั่งที่โซฟาใยห้อง ผมเฝ้ามองร่างสูงโปร่งนั่นดิ้นไปดิ้นมาด้วยรอยยิ้ม


การเฝ้ามองเจ้าตัวแสบแบบนี้ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้เสมอ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกันแล้วหละครับวันนั้นผมรู้สึกงุนงงมากกับการโดนรุ่นน้องที่ไม่รู้จักจับมือและลากมาสารภาพรัก ไอตอนแรกที่ผมตอบตกลงไปด้วยอารมณ์นึกสนุกอยากแกล้งน้องเขา
แต่พอผมรู้ว่านายรณกรรุ่นน้องที่มาสารภาพรักกับผมดันเป็นคนเดียวที่อยู่ในกล้องถ่ายภาพของผมมากที่สุด (พูดง่าย ๆ คือน้องเขาเป็นคนที่ผมสนใจนั่นเองหละครับ) ซึ่งภาพพวกนั้นเป็นภาพถ่ายจากงานกีฬาเฟรชชี่ครับ และไอตัวแสบของผมมันดันเป็นลีดปี 1 ของขณะวิศวะเสียด้วย ในวันนั้นรอยยิ้มของกรที่ส่องประกายทำให้ผมละลายตาจากเจ้าตัวแสบนี่ไม่ได้เลยสักวินาทีเดียว กล้องในมือของผมถูกยกขึ้นมาถ่ายภาพของกรหลายต่อหลายภาพจนในที่สุดเมมโมรี่กล้องของผมก็เต็มไปด้วยภาพรอยยิ้มและใบหน้าที่มีความสุขของไอตัวแสบ แต่สิ่งที่มันเซอร์ไพรส์ผมยิ่งกว่านั้นมันก็คือนายรณกรคนนั้นหรือไอคุณน้องกรที่ทุก ๆ คนเรียกกัน (ซึ่งความแสบของมันเป็นที่เรื่องลือไปทั่วมหาลัยเลยหละครับ) มันดันอยู่คอนโดเดียวกับผมและอยู่ห้องข้าง ๆ ผมเสียด้วย ตอนที่ผมบังเอิญเปิดประตูออกมาเจอกรเขามันทำเอาผมตกใจแทบแย่แต่ประจวบเหมาะที่น้องเขาขับมอเตอร์ไซค์ล้ม (ซึ่งผมนี่หละก็เป็นคนหิ้วน้องมันไปส่งที่โรงพยาบาลและมารู้ทีหลังว่าน้องเขาเป็นโรคที่ไม่ถูกกับเครื่องจักรประเภทยานยนต์แทบจะทุกชนิดแต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้วครับน้องเขาจับมือญาติดีกับรถยนต์สี่ล้อเรียบร้อยแล้ว) และวันนี้น้องเขาไม่ยอมไปทำแผล ในฐานะว่าที่นายแพทย์ในอนาคตอย่างผมก็เลยลากน้องเข้าห้องเพื่อพาไปทำความสะอาดแผลครับ ซึ่งการทำความสะอาดแผลคราวนี้ทำให้ผมรู้จักตัวตนของน้องเขามากยิ่งขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวหรือความป่วนที่ใครต่อใครเขาพูดถึงกัน ผมอยากจะบอกเลยว่าความแสบ ป่วนและฮาของน้องมันนั้นไม่ตรงกับฉายาที่ทุก ๆ คนตั้งให้น้องเขาเลยครับ เพราะว่าสกิลการป่วน กวน แสบและฮาของกรเขามันยิ่งกว่าฉายาของน้องเขาอีกครับ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นใครกวนประสาทได้เท่าน้องมันเลยครับและนั่นก็คงเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มมองน้องเขาจนในที่สุดผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย


ยิ่งผมได้รู้จักกรผมก็ยิ่งรู้ว่าความสุขในชีวิตคืออะไรแม้อีกฝ่ายนั้นไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผม แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วแม้จะรู้สึกเจ็บบ้างเป็นบางครั้งที่น้องเขาบอกคนอื่น ๆ ว่าผมเป็นแค่พี่ชาย แต่การที่ได้อยู่ในฐานะนั้นผมคิดว่ามันก็มากเกินพอสำหรับผมแล้วหละครับ ผมพอใจกับฐานะนี้ที่น้องเขามอบให้ผมไม่อยากจะทรยศความไว้ใจของน้องมัน


แต่พอเรื่องราวในวันที่น้องไปฉลองวันปิดเทอมเกิดขึ้นและได้ฟังเรื่องราวจากปากของไอวิน ผมขอสารภาพเลยครับว่าผมโกรธมาก แต่ผมไม่ได้โกรธน้องหรอกครับแต่ผมโกรธตัวเอง โกรธที่ตัวเองไม่สามารถไปปกป้องน้องเขาได้ วันนั้นผมกล่าขอโทษน้องเขาหลายต่อหลายรอบ ซึ่งน้องเขาก็ไม่ได้โทษอะไรผมเลยสักนิด จนในที่สุดวันนั้นผมก็เผลอตัวทำบางสิ่งที่มากเกินกว่าหน้าที่ของพี่ชายนั้นสมควรทำและหลังจากวันนั้นเหมือนกรเขาจะหลบหน้าผมซึ่งผมเองก็หลบหน้าน้องเขาด้วยเรากลับมาใช้การติดต่อทางกระดาษโน้ตแทนการโทรศัพท์จนในที่สุดผมก็บังเอิญเจอกรเข้าที่หน้าประตูและถูกกรชวนมาที่บ้านของเขาถึงแม้ในช่วงแรก ๆ ผมกับกรจะทำอะไรไม่ถูกและอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ใส่กัน


แต่ในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าที่กรทำแบบนั้นเขาไม่ได้รังเกียจผมแต่มันเป็นเพราะความรู้สึกที่กรมีให้ผมมันแปลกไปจากเดิมและกรก็กำลังปรับตัวรับกับความรู้สึกพวกนั้นไม่ทันก็เท่านั้นเอง


ผมอมยิ้มนั่งมองร่างที่นอนดิ้นอยู่บนโซฟาก่อนจะถอดแว่นตาของตัวเองออกและนั่งหลับบนโซฟานั่นไป (ในวันนี้ถ้าผมนอนเตียงเดียวกับกรผมคงคิดว่าผมไม่น่าจะมีความอดทนได้มากขนาดนั้น ดังนั้นที่นอนของผมในวันนี้ขอเป็นโซฟาแทนก็แล้วกันครับ)



____________________________________


ส่งจูบให้ทุกคน ไม่ได้อัพมาสักพักพอจะกลับมาอัพก็เกิดอาการขี้เกียจตัวเป็นขนนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้ยังคงมุ่งมั่นกับการปั่นนิยายต่อไปแม้จะเสียทรัพย์แบบถล่มมทลายไปแล้วก็ตาม (ตอนนี้พลอยจนกรอบมากเลยค่ะน้ำตาจะไหล)


คราวนี้กรยอมเลื่อนตำแหน่งให้กับพี่ศิแล้วหละคะ ส่วนที่พี่ศิพยายามมา 13-14 ตอนก็เป็นผลสำเร็จแล้วหละค่า

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
น้องกรน่ารัก ได้คุยกับพี่ศิถึงความรู้สึกของตัวเองที่เปลี่ยนไป
ได้เป็นคนสำคัญของน้องกรแล้ว รออีกนิดนะพี่ศิ รอให้กรปรับตัวปรับใจ
ถึงวันนั้นน้องกรคงบอกพี่ศิได้เต็มปากว่า เป็นแฟนเป็นคนรัก
คงอีกไม่นาน

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
 :katai2-1: ตบมือแสดงความดีใจดังๆกับพี่ศิ ในที่สุดก็ได้เลื่อนขั้นขยับฐานะมาเป็น "คนสำคัญ" ของน้องกรแล้วววว  :katai2-1:

สู้ต่อไปค่ะพี่ศิ สู้ๆ  :mew3:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ขยับฐานะขึ้นมาอีกนิดแล้วนะพี่ศิดีใจด้วย

ออฟไลน์ karatop

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ดีใจกับน้องกรด้วยนะที่กล้าบอกความในใจไป สู้ๆ จ้า :mew1:

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นคนสำคัญแล้วนะคะพี่ศิ รุกเข้าไปสู้ๆค่ะ!!! /โบกป้ายไฟพี่ศิ FC/  :hao7:

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
พี่ศิก็น่ารักไปนะเนี่ยย
กรเอ้ยย คนสำคัญของแกมันโคตรดี ! โครเพอร์เฟคแมน
ให้ตาย

เปิดใจตัวเองให้มากๆนะกร แล้วจะรู้ว่ามีคนๆนึงรอการตอบรับจากกรอยู่
อิอิ

รอติดตามตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
น้องกรแค่กลัวจนไม่กล้าพูดความรู้สึกจริงๆเท่านั้นเองพี่ศิ

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ค่อยๆขยับเลื่อนขั้นกันไป  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


...ตอนนี้พลอยขอบอกลเยว่า...มันอีปิคมากและมันเกี่ยวกับแรง g= 9.81 ค่ะ...



Chapter 15



เอาหละครับหลังจากเมื่อคืนที่ผมได้สนทนาธรรมกับพี่ศิและทำความเข้าใจ (กับความรู้สึกของตัวผมเอง) กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นผมก็เข้าสู่ห้วงนิทราและหลับลึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันอาจจะเป็นเพราะความสบายใจหรือผมนั้นโล่งใจกระมังครับที่ผมได้พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกไปและไอการนอนหลับลึกแบบนั้นทำให้ผมตื่นเช้ามาด้วยสดชื่น ผมค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจไปมา ดวงตาทั้งสองข้างผมก็ปรายมองไปยังที่ที่สมควรจะมีร่างสูงของบุรุษที่มีนามว่าศิรวิทย์นอนอยู่ ทว่ามันกลับว่างเปล่าผมแทบจะพลิกเตียงหาพี่ศิเขาจนหางตาของผมเหลือบไปเห็นร่างของพี่ศิกำลังนั่งหลับอยู่บนโซฟา
เมื่อเห็นอย่างงั้นผมตกใจจนแทบสิ้นสติ นี่ผมนอนดิ้นมากขนาดพี่ศิทนไม่ไหวจนต้องหนีไปนอนที่โซฟาเลยเหรอ ผมยกมือขึ้นปากของตนเองและค่อย ๆ คลานลงจากเตียงไปสะกิดพี่ศิที่ยังคงนอนหลับอยู่


“นี่…พี่ศิ พี่ศิ ตื่นหน่อยสิ” ผมเอานิ้วสะกิดแขนพี่ศิเขาเบา ๆ แต่มันก็ไม่ทำให้พี่ศิรู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย ‘ท่าทางพี่ศิคงจะหลับลึกไม่แพ้แน่ ๆ เลยหละครับ’


เมื่อผมสะกิดพี่ศิเบา ๆ แล้วมันไม่ตื่นผมจึงใช้วิธีแอดวาซ์นมากกว่านั้นก็คือการเจย่าตัวและตะโกนปลุกมันข้างหูเขาเลยหละครับ
มือทั้งสองเขย่าเข้าร่างสูงนั้นอย่างแรงพร้อมกับเสียงเรียบที่ตะโกนข้างหูอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องที่กำลังนอนหลับอยู่ (ทั้งในห้องผมและห้องของคนอื่น) “พี่ศิ!!! พี่ศิ!!! พี่ศิ้!!! ตื่นได้แล้ววววว!!” 


เสียงของผมดังลั่นห้องจนทำให้ร่างที่ยังคงหลับใหลอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที ใบหน้าคมที่กำลังเพิ่งได้สติทำหน้าเหรอหรา มันเป็นใบหน้าที่ตลกน่าดูเลยหละครับถ้าเกิดถ่ายภาพแล้วอัพลงอินสตราแกรมพร้อมทั้งแชร์ไปทั่วเฟซบุค แฟนคลับของพี่ศิอาจจะลดลงฮวบ ๆ เลยก็ได้หละมั้งครับ


เรือนผมสีดำที่ยุ่งเหยิง ใบหน้าคมที่กำลังงัวเงียตามประสาคนเพิ่งตื่น มือกร้านถูกยกขึ้นมาสางผมตัวเองเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจน้อย ๆ


“กรเสียงดังไปแล้วนะ เดี๋ยวคุณป๊ากับคุณม๊าตื่นขึ้นมาว่างหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยปรามผม พร้อมกับนิ้วเรียวยกขึ้นมาดีดหน้าฝากของผมเบา ๆ


ผมทำหน้ายู่ยี่ใส่พี่ศิพร้อมกับคว้ามือของพี่เขาออกจากใบหน้าของผมแล้วกับยัดใส่ปากพร้อมกับงับลงไป (เกือบจะ) เต็มแรง เอาแล้วหละครับคราวนี้เป็นพี่ศิที่ต้องเบ้หน้าแทนผมแล้วหละครับมืออีกข้างของพี่ศิพยายามยื่นเข้ามาหมายจะง้างปากของผมออก แต่พวกคุณคิดเหรอว่าผมจะยอมซึ่งผมก็ไม่ยอมนั่นหละครับจากมือกร้านที่คิดจะเอามาง้างปากผมกลายมาเป็นการลูบที่ใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา


สัมผัสนั้นทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุและฟันของผทที่กำลังงับนิ้วของพี่ศิอยู่ ตอนนี้ก็กลายเป็นผมนั้นกำลังอมนิ้วของพี่เขาไว้เฉย ๆ ลิ้นของผมสัมผัสกับนิ้วของพี่ศิอย่างแผ่วเบาก่อนมือข้างนั้นของพี่ศิจะลดมือออกจากปากของผมและไล่ลงไปเชยคางของผมให้เชิดหน้าขึ้นไปมองหน้าของพี่ศิเขา


ผมส่งสายตาท้าทายไปให้พี่ศิซึ่งพี่ศิก็ใช้แววตาเจ้าเล่ห์มองมายังผมเช่นกันเราทั้งสองคนเล่นเกมส์จ้องตากันแบบนี้อยู่ไปสักพัก ไม่นานนะเสียงประตูของผมก็ถูกปลดลอคพร้อมกับร่างของคุณเจ้และคุณน้องสาวที่วิ่งเข้ามาหมายจะด่าผม (ด้วยเหตุผลที่ผมทำเสียดังจนทำคุณผู้หญิงทั้งสองคนตื่นครับ)


แต่ทั้งสองคนก็ต้องงะชักตัวและถอยปรี่ออกจากห้องแทบไม่ทัน และเช่นเดียวกันผมกับพี่ศิก็ดีดตัวออกห่างจากกันทันทีที่คุณเจ้และคุณน้องสาวของผมเปิดประตูห้องเข้ามา


“พี่ศิ! เล่นอะไรคุณเจ้กับยัยกิ้กเข้าใจผิดกันหมดแล้ว” ผมยกมือหวดไปที่แขนของพี่ศิพร้อมกับบ่นใส่พี่เขาไปเสียยาวเหยียด ซึ่งทางฝ่ายพี่ศิก็ไม่คิดจะยอมให้ผมบ่นใส่อยู่ฝ่ายเดียวร่างสูงยกมือขึ้นมาบีบจมูกของผมเอ่ยถ้อยคำออกมา “กรนั่นหละ ตะโกนซะคนทั้งบ้านตื่น แถมเล่นอะไรไม่รู้เอานิ้วพี่ไปกัด”


พี่ศิเถียงผมมาแบบนี้ผมก็ปรี้ดแตกสิครับผมแค่กัดแต่ไอคนที่ทำภาพให้ส่อต่อการจินตนาการไปต่าง ๆ นานามันพี่ศิครับ “กรแค่กัด แต่พี่ศินั่นหละเล่นอะไรไม่รู้มาเชยคงเชยคางกรเนี่ย แล้วทีนี้กรจะอธิบายคุณเจ้กับยัยกิ้กยังไง!!” ผมกรีดร้องใส่หูพี่ศิ มือทั้งสองข้างของผมก็เอื้อมไปเขย่าคอพี่ศิอย่างแรงจนพี่ศิตัวโคลงเคลงไปมาจนเกือบจะล้ม


ซึ่งพี่ศิก็ได้แต่ยิ้มหน้าระรื่นใส่ผมจนใจที่สุด ผมก็พลาดครับ (เป็นการพลาดที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดในชีวิตของนายรณกรเลยครับ) ผมที่เขย่าร่างพี่ศิเต็มแรงดันเผลอไปลื่นพรมเช็ดเท้าที่วางไว้ข้างเตียงทำให้ผมนั้นหงายหลังไปนอนแผ่หลาบนเตียง เพียงแต่ไม่ใช่แค่ตัวผมที่หงายหลังเพราะพี่ศิที่โดนผมกำคอเสื้ออยู่นั้นก็ล้มคว่ำตามผมลงมาด้วย


และด้วยแรง g = 9.81 ที่ทุกคนรู้จักดีของเหล่าผู้เคยผ่านฟิสกส์และจากสมการ F = ma แต่ตอนนี้เป็นการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งเลยต้องใช้สมการ F = mg แทน ซึ่ง m ในที่นี้คือน้ำหนักของพี่ศิและ g = 9.81 จากการแก้สมการทั้งหมดผมมันก็เท่ากับว่ามีสิ่งของที่มีน้ำหนักราว ๆ 700 (กว่า ๆ) นิวตันก็หล่นลงมาทับผม และที่สำคัญด้วยส่วนสูงที่ไม่ต่างกันมากนักของผมกับพี่ศิ ทำให้ลักษณ์การล้ม (แบบมีแรงเสียดทานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพราะมีการเคลื่อนที่ในแนวระนาบ 2 มิติในตอนแรก) ของพวกเราทั้งคู่เป็นการล้มที่ใบหน้าของเราแนบกันพอดีและริมฝีปากของเราทั้งสองคนก็ประกบกับเปะแบบไม่น่าเชื่อ


ผมนอนนิ่งชะงักค้างอยู่แบบนั้นไปสักพักจนผมตั้งสติได้ว่าในตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นใบหน้าของผมร้อนผ่าวและท่าทางตอนนี้หน้าของผมก็คงขึ้นสีแดงก่ำไม่แพ้แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็นแน่นอนครับ แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าสถานการณ์และใบหน้าของผมในตอนนี้นั่นก็คือ…ริมฝีปากของผมครับ


หลังจากสติของผมกลับคือสู่ร่างอย่างครบถ้วนผมก็บรรจงยกเข่าของผมขึ้นและแรงยันพี่ศิไปเต็มแรง ในทันทีที่ผมหลุดออกจากอ้อมอกของพี่ศิผมก็รีบลุกนั่งพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากผมไว้ พี่ศิเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของผมใบหน้าคมก็แสดงสีหน้ารู้สึกผิดและพยายามสรรหาคำมาขอโทษผมซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างเดียว


การกระทำแบบนั้นของผมไม่ใช่ว่าผมไม่รับคำขอโทษของพี่ศิ หรือโกรธอะไรพี่ศิมากมายหรอกครับและที่สำคัญผมไม่เด็กน้อยขนาดที่จะมาเขินอายกับการโดนจูบอะไรแบบนี้ด้วยแต่ที่ผมปิดปากนั่นก็คือ… ‘ผมปากแตกครับ’ อะไรกันนะครับพวกคุณไม่ได้ยินเหรอครับคือ ‘ผมปากแตกครับ’ และตอนนี้มันเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาจะไหลครับ


พวกคุณทุกคนอย่ามโน หรืออย่าจิ้นอะไรกันนะครับแบบล้มทับกันปุ๊ปปากชนกันปั้บแล้วส่งสายตาวิ้งวับ ๆ ใส่กัน อันนั้นมันเพ้อฝันเกินไปแล้วครับ คุณรู้ไหมการที่โดนอีกฝ่ายล้มทับแล้วริมฝีปากประกบกันเนี่ยมันเป็นนรกเลยนะครับ


พวกคุณนึกถึงร่างที่มีน้ำหนักเกือบ 700 (กว่า ๆ)  นิวตั้นมาล้มทับ ดูสิรับของหนัก ๆ มาล้มทับนอกจากจุกแล้วจะมีอะไรได้อีกครับและนี่ยิ่งริมฝีปากประกบกันเนี่ย ไอปากต่อปากมันก็นุ่มนิ่มอยู่หรอกครับแต่คุณลองคิดสิ่งที่อยู่ภายในปากสิครับนั่นก็คือฟัน คุณคิดว่าของแข็งกับของแข็งกระทบกันและแรงส่งถึง 700 (กว่า ๆ) นิวตัน มันจะไม่ทำให้สิ่งบอบบางอย่างเช่นเนื้อของมนุษย์จะมีความเจ็บปวดกันเลยเหรอครับ


ดังนั้นผมอยากจะบอกไว้เลยว่าผมเจ็บปากมากตอนนี้และตอนนี้น้ำตาผมไหลออกมาเป็นหยด ๆ แล้วหละครับซึ่งเมื่อพี่ศิเป็นน้ำตาของผมพี่แกก็ถลาเข้ามาขอโทษผมยกใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นผมก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเพื่อเป็นการปฏิเสธ แต่ผมก็ยังเอ่ยพูดอะไรออกมาสักคำ ผมนั่งฟังพี่ศิไปมือทั้งสองข้างก็พลางปาดน้ำตาไปจนในที่สุดน้ำตาผมก็หยุดไหลและความเจ็บในปากก็บรรเทาลงแล้วจนใจที่สุดผมก็เอ่ยพูดออกไปจนได้


“พี่ศิ พอ ๆ ไม่ต้องขอโทษ” ผมพูดในขณะที่ยังใช้มือปิดริมฝีปากตนอยู่ เมื่อผมพูดไปแบบนั้นพี่ศิก็ปรายตาขึ้นมามองหน้าผมด้วยความสงสัย (ซึ่งพี่แกคนคิดว่าถ้าผมไม่หวงอีเฟริสคิสจูบแรกของผมแล้วผมจะตกใจร้องไห้แล้วก็ปิดปากทำไม) ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่คลายความสงสัยให้กับพี่ศิออกไปจนหมดเปลือก (แต่มือทั้งสองข้างของผมก็ยังคงปิดปากของผมอยู่นะ)


“พี่ศิ...กรปากแตก...” มันเป็นประโยคสั้น ๆ ที่คลายความสงสัยให้กับพี่ศิทั้งหมด คำพูดเหล่านั้นของผมทำให้ผมพี่ศิถึงกับทำหน้าเหวอและค่อย ๆ หัวเราะออกมาเสียงดัง


“ไหน ๆ ให้พี่ดูหน่อย” พี่ศิค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นและเอื้อมมือมาแงะมือของผมออกซึ่งผมก็ยอมว่าง่ายปิดปากให้พี่เชาดู พี่ศิขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพูดอาการบาดเจ็บ (??) ที่ริมฝีปากผมออกมา


“ริมฝีปากช้ำมากเลยกร บวมด้วยแถมมีเลือดไหลออกมาน้อย ๆ อีกต่างหาก” พี่พูดพลางเอื้อมมือไปควานกระดาษที่อยู่ตรงหัวเตียงมาซับเลือดที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ ผมยื่นหน้าให้พี่ศิเช็ดคราบเลือดจากริมฝีปากจนในที่สุดเลือดก็หยุดให้ผมทำหน้ามุ่ยเพราะความเจ็บแต่กระนั้นพี่ศิก็ยังคงยิ้มและหัวเราะออกมาเบา ๆ


คนบ้าอะไรมาหัวเราะมามีความสุขทั้ง ๆ ที่คนอื่นเค้าเจ็บปากแทบตาย แถมไอการเจ็บปากนั่นก็เกิดมาจากฝีมือตัวเองซะด้วย ผมเลยหวดมือใส่บ่าพี่ศิไปอีกสักทีหนึ่งจนพี่ศิรู้ตัวและยอมหยุดหัวเราะออกมา มือกร้านลูบหัวผมน้อย ๆ ก่อนจะใช้มือฉุดแขนให้ผมยืนขึ้น


“ไปอาบน้ำได้แล้วกร” พี่ศิพูดพร้อมกับตบหลังให้ผมเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งผมก็ทำตามพี่ศิเขานะครับแต่ก่อนที่ผมจะเข้าห้องน้ำไป ผมก็หันไปแลบลิ้นปริ้นตาใส่พี่ศิเขาและปิดประตูห้องน้ำลง


เมื่อบานประตูห้องน้ำปิดลงผมก็หันหลังไปพิงกับประตูห้องน้ำ มือของผมพลางยกขึ้นมาไล้ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา…


ความจริงไม่ใช่ว่าผมนั้นจะไม่เขินหรอกครับ เขินหนะมันเขินแต่ว่าความเจ็บมันมีมากกว่า จนทำเอาผมลืมความเขินไปเสียหมดเกลี้ยงเลยครับ


แต่ก็นะผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่ยืนอยู่หลังบานประตูนี้จะรู้สึกเขินแบบเดียวกับผมหรือเปล่า เอาเถอะปล่อยให้เป็นเรื่องของพี่ศิเขาไปเถอะครับส่วนผมขอตัวไปอาบน้ำเตรียมทานข้าวเช้าก่อนก็แล้วกัน


หลังที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ (ซึ่งเสร็จก่อนพี่ศิหละครับ) ผมก็วิ่งปรี่ออกมาจากห้องนอนของผมทันทีโดยที่ไม่รอพี่ศิที่เข้าไปอาบน้ำหลังจากผม ผมรีบวิ่งลงบันไดจากชั้นสองลงไปชั้นหนึ่งและทันทีที่เท้าของผมแตะลงบนพื้นสายตาทิ่มแทงของคุณเจ้และคุณน้องสาวของผมก็เพ่งมายังผมทันที


สายตาของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยและต้องการคำตอบออกจากปากของผมเดี๋ยวนี้ ซึ่งสายตานั่นทำให้ผมอยากจะหันหลังกลับและวิ่งหนีกลับขึ้นไปบนห้องทันที ทว่ามันไม่ทันเสียแล้วสองสาวที่มีความสงสัยที่ล้นปรี่ทั้งสองคนเดินมาจับแขนผมคนละข้างและลากผมออกจากตัวบ้านเพื่อเข้าไปในสวนแล้วหละครับ


ร่างของผมโดนคุณเจ้และคุณน้องสาวที่รักยืนค่อมอยู่ (เอ้อตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนของบ้านผมครับ) ทั้งสองคนนี่ทำสีหน้าที่อยากจะรู้ความจริงจากปากของผมเต็มแก่แล้วซึ่งผมก็ไม่อยากจะเล่าได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้คุณผู้หญิงทั้งสองและกวาดสายตาเพื่อหาทางหนี


“ไอกร บอกเจ้มาดิ แกกับน้องศิเป็นอะไรกัน” คำถามตรง ๆ ที่ทิ่มแทงมาในหัวใจ เจ้ครับ เจ้ใช้คำถามอ้อม ๆ หน่อยก็ดีนะครับ แต่คำถามแรกจากคุณเจ้ยังไม่พอคุณน้องสาวของผมก็เอ่ยถามคำถามที่สองออกมาทันที “เฮียกร เฮียเป็นหนุ่มวายตั้งแต่เมื่อไหร่อะ”
ไอคำถามแรกผมไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอกครับแต่ไอคำถามที่สองของนันกิ้กนี่ทำเอาผมแทบกัดลิ้นตาย ให้ตายเถอะผมต้องอธิบายสองคนนี้ยังไงดีว่าผมกับพี่ศิไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเออ…คนสำคัญของกันและกัน…ครับ


“เจ้ถามอะไรเนี่ย ยัยกิ้กด้วยเอาที่ไหนมาพูด” ถึงความจริงผมจะให้สถานะพี่ศิเป็นคนสำคัญแต่ว่าผมก็ไม่อยากป่าวประกาศบอกใครหรอกครับว่าผมมีคนสำคัญชองชีวิตแล้ว คือไม่ว่าคนสำคัญของผมจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็อายไม่แพ้กันหรอกครับ


“เมื่อเช้า...เจ้เห็นยัยกิ้กก็เห็น สารภาพมาซะดี ๆ อย่าให้เจ้ต้องบีบบังคับแกไอกร” คุณเจ้กิ้ฟท์ที่รักของผมเริ่มพูดขู่ ซึ่งผมไม่เคยบอกทุก ๆ คนใช่ไหมครับว่าผมกลัวเจ้กิ้ฟ?ที่สุดในบ้าน กลัวมากกว่าคุณป๊าคุณม๊าอีกครับ วีรกรรมของเจ้แกที่ทำไว้กับผมมันเยอะมาก เยอะจนผมกลัวเลยหละครับ


ผมกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ก่อนจะยอมแพ้และยอมศิโรราบให้กับคุณเจ้ที่รักของผม “เมื่อเช้าแค่เล่นกัน คือไปกรงับนิ้วพี่ศิเขาก็แค่นั้นเอง”ผมตอบคำถามเจ้แกไปแต่รู้สึกคำตอบของผมมันจะยังไม่ถูกใจคุณเจ้เขา เพราะคุณเจ้ยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมกับเชิดหน้าเพื่อแสดงให้ผมรู้ว่า ‘แกตอบให้ตรงคำถามซะ’ ซึ่งผมก็ยอมรับชะตากรรมแล้วก็ก้มหน้าก้มตาพูดความจริงไป


“กรกับพี่ศิ…เฮ้อ…สำหรับกร พี่ศิเป็นคนสำคัญของกรก็เท่านั้นเองเจ้” ผมพูดเสียงแผ่วแต่ต่อให้ผมพูดเบาแค่ไหนสกิลการฟังของเจ้กิ้ฟท์นั้นสูงมากเพราะเจ้เขาได้ยินในสิ่งที่ผมพูดอย่างครบถ้วนเลยครับ (ยัยกิ้กก็ได้ยินครับ)


คุณเจ้แกกอดอกพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ ส่วนคำถามถัดมาเป็นคำถามของยัยกิ้กครับซึ่งคำถามนี้ผมเอ่ยปากตอบไปอย่างเต็มปากเต็มคำเลยครับว่า “หนุ่มวายคืออะไรว่ะ ไอกิ้ก” สิ้นคำถามของผมยัยกิ้กผู้เป็นน้องสาวสุดที่รักของผมก็ประเคนมะเหงกใส่หัวผมทันที พร้อมกับส่งเสียงบ่นพึมพำแต่ก็ยอมอธิบายคำว่าหนุ่มวายออกมา


“หนุ่มวายมันหมายความว่าอารมณ์แบบ…เป็นผู้ชายแต่กลับไปหลงรักผู้ชายด้วยกันไง นั่นหละเรียกว่าหนุ่มวาย” ยัยกิ้กอธิบายซึ่งคำอธิบายของยัยกิ้กนั้นทำให้ผมต้องพูดปฏิเสธเสียหลง “ไอกิ้กกรูไม่ใช่เกย์!!” และผมก็ถูกยัยกิ้กประเคนมะเหงกใส่หัวให้อีกหนึ่งที


“กิ้กหมายถึงเฮียเป็นหนุ่มวาย ไม่ใช่เกย์เว้ยกิ้กรู้ว่าเฮียไม่ได้เป็นเกย์ เฮียแค่ชอบพี่ศิเท่านั้น” ผมงงกับคำพูดของยัยกิ้กแต่ในประโยคสุดท้ายที่ยัยกิ้กบอกกับผมว่าผมชอบพี่ศิ มันทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแปลก ๆ ผมเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบยัยกิ้กแต่ท่าทางของผมที่แสดงออกไป ดูเหมือนว่ายัยกิ้กและเจ้กิฟท์แกจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมและพี่ศิแล้วหละครับ
คุณเจ้กับคุณน้องสาวของผมมองหน้ากันสักพักก่อนทั้งสองสาวจะหัวเราะและแสดงอาการดีใจและกรีดกร้าดออกมา ผมมองทั้งคู่ด้วยแววตาสงสัยแต่ความสงสัยทั้งหมดก็คลายไปด้วยคำพูดของคุณเจ้ว่า “เจ้ว่าแล้ว…แกไอกรหน้าอย่างแกหนะไม่พ้นเป็นเมียชาวบ้านวะ เห็นไหมกิ้กเจ้บอกแล้วไม่เชื่อเจ้”


“ใครมันจะไปคิดหละเจ้ กิ้กก็เห็นเฮียมันมีแฟนเป้นผู้หญิงหลีหญิงไปเรื่อยแล้วใครคิดว่าเฮียกรจะกลายเป็นแบบนี้ได้” ผมนั่งฟังบทสนทนาของคุณเจ้และคุณน้องสาวด้วยความงุนงง ถ้าผมยกมือขอเวลานอกเพื่อถามว่าทั้งสองคนคุยเรื่องอะไรกันผมจะโดนคุณเจ้และยิ้ยกิ้กแพ่นกระบาลไหมครับ


ผมทนนั่งฟังหญิงสาวสองคนสนทนาธรรมกันได้ไม่นานและเหมือนกับว่าทั้งสองคนก็หมดธุระกับผมแล้วผมจึงเอ่ยปากขอตัวออกออกไปจากวงสนทนาที่ผมไม่เข้าใจนี้ “นี่เจ้ ยัยกิ้ก หมดเรื่องที่จะถามกรแล้วใช่ป่ะ งั้นกรไปนะ” สิ้นเสียงผมหญิงสาวทั้งสองคนปรายตามามองที่ผมก่อนทั้งคู่จะยกมือไล่ให้ผมออกไปจากวงสนทนา พวกเธอทั้งสองคนทำกับว่าตอนนี้ผมหมดประโยชน์เรียบร้อยแล้วครับ


ซึ่งผมก็ทำตามเธอทั้งคู่นะครับโดยการเดินก้มหน้าก้มตาออกจากตรงนั้นและปล่อยให้ทั้งสองสาวคุยกันไปอย่างออกรสออกชาติ
และเมื่อผมรอดพ้นจากสองสาวได้ผมก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับพี่ศิที่ตอนนี้อยู่ในชุดไปรเวทเรียบร้อยแล้วหละครับ พี่แกมองผมด้วยรอยยิ้มและเอ่ยปากชวนผมไปทานข้าว “กรครับคุณป๊ากับคุณม๊าของกร ให้พี่มาเรียกกรไปทานข้าวครับ แล้วให้พี่ไปตามพี่กิฟท์กับน้องกิ้กกด้วยครับ”


“ไม่ต้องตามหรอกสองคนนั้นอะพี่ศิเดี๋ยวเขาก็เข้ามากินกันเอง ไปกินข้าวเถอะกรหิวแล้ว” ผมพูดรัว ๆ พร้อมกับเดินตรงเข้าไปในห้องทานข้าวพร้อมกับนั่งลงบนที่ของผมและสวาปามข้าวทั้งหมดลงท้องด้วยความรวดเร็ว


หลังจากผมทานข้าวเสร็จคุณป๊ากับคุณม๊าก็เอ่ยปากชวนให้ผมลองเข้าครัวไปทำเค้กอะไรสักหน่อยซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับแต่ไอคนที่นั่งทานข้าวอยู่ข้าง ๆ ผม ก็เสนอตัวอยากลองทำเค้กด้วย (คนที่นั่งข้าง ๆ ผมคือใครเหรอครับก็คุณพี่ศิที่รักของทุก ๆ คนไงครับ) บอกว่าอยากทำขนมเค้กหรืออะไรง่าย ๆ เป็นบ้างเลยขอสมัครตัวเป็นลูกมือของคุณป๊าคมสันและคุณม๊านัทชาอีกคนครับ ผมปรายตาหันไปมองพี่ศิซึ่งพี่เขาก็ได้แต่ยิ้มน้อย ๆ ให้ผมครับซึ่งผมก็ถลึงตาใส่พี่เขาไป การกระทำแบบนี้ของผมกับพี่ศิทำให้คุณป๊ากับคุณม๊าหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กันใหญ่


แต่ถ้าให้พูดถึงการไปช่วงงานในครัวของร้านขนม…ผมขอเรียกง่าย ๆ คือการเข้าไปเป็นเบ้ดี ๆ นี่เองหละครับ…



v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


เอาหละตอนนี้ผมกับพี่ศิอยู่ในชุดพร้อมรบกับขนมเรียบร้อยแล้วครับ (ความจริงก็แค่สวมผ้ากันเปื้อนเท่านั้นหละครับ) และตอนนี้ผมกำลังสอนพี่ศิตีครีมเค้กที่จะเอาไว้ทาชั้นแต่ละชั้นของเครปเค้กอยู่ครับ


“พี่ศิ!! กรบอกให้ตีครีมไม่ใช่ให้คนถ้าทำแบบนั้นเมื่อไหร่ครีมมันจะใช้ได้!” ผมตีไปที่บ่าพี่ศิแล้วแย่งที่ตีและกะละมังที่ใส่ครีมของเค้กอยู่มาตีเอง “ดูซะ! พี่ศิเค้าต้องตีกันแบบนี้” ผมสอนพี่ศิพลางใช้มือตีครีมเค้กให้พี่ศิดู ซึ่งสกิลนี้ผมได้รับการสั่งสอนมาจากคุณม๊าครับ ไอผมก็โดนตีไปหลายทีอยู่จนกว่าจะทำได้แบบนี้ ผมก็เลยใช้วิธีสอนแบบเดียวกับที่คุณม๊าสอนผมเอาไปสอนพี่ศิครับ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าเออ ๆ ออ ๆ ตามผมแต่ผมคิดว่าพี่ศิแกคงไม่รู้เรื่องหรอกครับผมจึงจัดการยึดกะละมังมาตีเองจนเสร็จ เนื้อครีมที่อยู่ในนั้นมันนุ่มฟูและดูน่ากินมากครับซึ่งผมก็แอบคุณป๊าคุณม๊าจิ้มกินไปหลายทีแล้วหละครับ (ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าทำไมผมถึงต้องใช้ระบบอัตโนมือและแอบใช้นิ้วจิ้มทานไปบ้าง ปกติตามร้านเค้กจะมีเครื่องมีครบครันใช่ไหมครับแต่นี่เป็นเครปเค้กที่ผมจะเอากลับไปทานที่หอครับผมก็เลยจำใจต้องใช้ระบบอัตโนมือตีเนื้อครีมเค้ก และตีเนื้อแป้งทำเครปเองครับ พอดีเครื่องตีมันไม่ว่าง แต่ความจริงที่หอผมก็ใช้มือตีเองหมดหละครับเลยชิน)


หลังจากผมตีครีมเสร็จผมก็วิ่งแจ้นไปหยิบแป้งเค้กในตู้เย็นออกมาครับแล้วก็เอาครีมเข้าไปใส่แทน เอาหละทีนี้ได้เวลาทำเครปแล้วหละครับ ช่วงเวลาทำเครปนี่เป็นอะไรที่ทรมานและยากสุดชีวิตเลยครับคุณต้องมีความอดทนสูงมากและมีสกิลการพลิกเนื้อเครปที่สูงมาก ๆ เช่นกัน ไม่งั้นตัวเนื้อแป้งของเครปจะขาดได้ และผมขอบอกเลยว่าตัวของผมนั้น…สกิลด้านนี้ผมไม่ค่อยจะมีเลยครับ


ผมตั้งกระทะเทปลอนบนเตาไฟฟ้าผมกับเร่งไฟให้อยู่ในระดับปานกลางถึงอ่อนไม่งั้นแผ่นเครปมันจะไหม้ครับ แถมเวลาจะทำเครปนี่เนื้อแป้งต้องไม่หนาจนเกินไปและก็ไม่บางจนเกินไปนะครับซึ่งผมไม่เคยกะถูกเลยสักทีทำทีไรไม่ขาดกระจุยกระจายก็จะหนาจนทานแล้วเลี่ยนครับมันเป็นอะไรที่ดราม่ามากเลยนะครับ ดังนั้นเครปเค้กที่ผมทำมันมักกลายเป็นเครปเปล่า ๆ เอาไปจิ้มแยมกินเล่น แทนที่จะเป็นเครปเค้กที่สวยงามครับ แต่ว่าคราวนี้ผมมีลูกมือแล้วแต่ไม่รู้ว่าลูกมือกิตติมศักดิ์คนนี้จะช่วยผมได้มากน้อยขนาดไหนเท่านั้นละ


“พี่ศิมาตรงนี้ ๆ ถ้าแป้งสุกได้ที่แล้วพี่ศิคอยกลับแป้งนะเดี่ยวกรไปดูครีมกับทำน้ำซอสราดเอง” ผมชี้นิ้วสั่งพี่ศิเอาเป็นว่าผมโป้ยหน้าที่ที่ลำบากที่สุดและน่าเบื่อที่สุดให้พี่ศิทำครับ ทำแบบเดิม ๆ เป็นสิบ ๆ แผ่นมันน่าเบื่อนะครับแถมต้องระมัดระวังอีก ดังนั้นผมเชื่อว่าคนเป็นหมอจะเป็นคนที่ระมัดระวังมากกว่าผมแล้วก็น่าจะทำอะไรละเอียด ๆ และอดทน ๆ ได้มากกว่าคนเรียนวิศวะแบบผมแน่นอน


และแล้วผมก็โยนหน้าที่ทำแผ่นเครปให้พี่ศิแล้วก็วิ่งไปอีกฝั่งหนึ่งของครัวพร้อมกับหยิบเครื่องเค้กออกมาเพื่อเตรียมจะทำน้ำซอสที่ใช้ราสลงบนหน้าเครปเค้ก คราวนี้ผมคิดว่าผมจะใช้น้ำซอสช็อกโกแลตครับแล้วเหตุผลที่ผมจะทำน้ำซอสเป็นช็อกโกแลตนั่นเหรอครับตอบแบบง่าย ๆ เลยนะ คือว่า ‘ผมชอบ’ เท่านั้นเองหละครับไม่มีอะไรมากมายไปกว่านี้แต่การที่เราจะใช้น้ำซอสราดเป็นช็อกโกแลตอาจจะทำให้เรารู้สึกเลี่ยนไปสักหน่อยดังนั้นน้ำซอสที่ราดบนเครปเค้กก็ต้องเป็นดาร์กช็อกครับ


ผมนั่งคนน้ำซอสช้อกโกแลตที่ตอนนี้อยู่ในหม้อไปแต่บางทีก็ใช้สายตาเหลือบไปมองพี่ศิที่กำลังนั่งทำแผ่นเครปอย่างขะมักเขม้น แต่รู้สึกว่าพี่ศิเขาจะทำตัวแผนเครปใช้ได้เลยหละครับเพราะว่าผมเห็นพี่ศิพลิกแผ่นเครปนี่อย่างโปรเลยครับ ไม่มีขาดเลยสักแผ่น ถ้าเป้นผมนะในสิบแผ่นขาดมันหมดทั้งสิบแผ่นนั่นหละครับ ผมยังคงเตรียมน้ำซอสราดไปเรื่อย ๆ (และแอบไปขโมยเค้กในร้านกินบ้างอะไรบ้าง) จนในที่สุดตัวน้ำซอสราดของผมเสร็จเรียบร้อยแล้วหละครับและตัวแผ่เครปพี่ศิก็ทำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
และเมื่อผมเห็นผลงานของพี่ศิผมก็วิ่งแก้มกระโดดไปหาพี่ศิและเอ่ยชมพี่ศิ “โหยเก่งนะเนี่ยพี่ศิ กรนำกลับตัวแผ่นแป้งไม่เคยได้สักทีทำทีไรเละตลอดอะ อ้าคราวนี้จะได้กินเครปเค้กสักทีน้า” เมื่อผมพูดจบผมก็เอาข้อศอกกระทุ้งหน้าท้องของพี่ศิไปทีพร้อมกับถือถาดที่ใส่แป้งเครปเค้กไปวางบนโต๊ะที่มีพื้นที่ว่าง เพื่อเตรียมทำขั้นตอนต่อไป


“พี่ศิไปเอาตัวครีมในตู้เย็นให้กรที” ผมออกปากสั่งพี่ศิอีกครั้งซึ่งพี่ศิก็ว่าง่ายครับ พี่ศิแกก็เดินไปหยิบถ้วยครีมของเครปเค้กที่ผมนำไปใส่ในตู้เย็นออกมาครับและพี่แกกฌค่อย ๆเดินกลับมาหาผมครับ


เอาหละครับงานขั้นต่อไปคือการประกอบร่าง เอ้ย…การทาครีมบนแผ่นเครปแล้วน้ำมาประกบเป็นชั้น ๆ ครับ อันนี้เป็นอะไรที่ท่าสนุกที่สุดเท่าที่ผมทำเครปเค้กมาแล้วครับ ผมค่อย ๆ บรรจงป้ายครีมลงแผ่นแผ่นเครปเค้กแผ่นแรกอย่างเบามือหลังจากทาไปทั่ว ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเอาแผ่นเครปชิ้นต่อไปมาวางครั้บและหน้าที่นี้จะเป็นของใครไม่ได้เลยนอกจากพี่ศิหรือนายศิรวิทย์นั่นเอง


“พี่ศิเอาแผ่นเครปวางให้กรที” ผมเอามือตบบ่าพี่ศิและรอให้พี่ศิเอาแผ่นเครปแผ่นต่อไปมาวางทับแต่ในขณะที่พี่ศิกำลังใช้สมาธิในการยกแผ่นเครปไปวางผมก้ฉวยโอกาศเอาครีมที่ใช้สำหรับทาแต่ละชั้นของเครปเค้กป้ายหน้าพี่ศิไปนิดนึง พี่ศิสะดุ้งตัวแล้วหันมามองที่ผม ไอผมก็หัวเราะใส่พี่ศิเขามือข้างหนึ่งก็ถึงใบพัดที่ใช้สำหรับเกลียเนื้อครีมให้เรียบส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ถูกเอาไปกุมไว้ที่ท้องเพราะผมดันหัวเราะจนตัวงอ


การกระทำแบบนี้ของผมคิดเหรอว่าพี่ศิแกจะยอมแพ้พี่ศิแกไม่ยอมแพ้ครับเพราะพี่แกเล่นเอานิ้วจุ่มไปในถ้วยครีมและเอามันมาป้ายที่จมูกของผม เอาหละครับคราวนี้เป็นศึกระหว่างผมกับพี่ศิแล้วหละครับว่าใครจะเป้นคนเปื้อนมากกว่ากันเราพลัดกันป้ายกันไปกันมาจนในที่สุดกรรมการห้ามทับก็คือคุณม๊าของผมนั่นเอง “น้องกร น้องศิถ้าเล่นมากกว่านี้ท่าทางทั้งคู่จะไม่ได้ทานเครปเค้กเอานะคะ” เสียงของคุณม๊าเตือนสติทำให้ผมหันไปมองเนื้อครีมที่หายไปจากในถ้วย เราสองหัวยิ้มแห้ง ๆ ให้กันก่อนจะทำหน้าที่ของตัวเองต่อ นั่นก็คือผมเป็นคนป้ายเนื้อครีมลงบนเครปแต่ละแผ่นและพี่ศิก็เป็นคนเอาแผ่นเครปมาวางเรียงกันเป็นชั้น ๆ หลังจากที่ผมป้ายเนื้อครีมเสร็จแล้ว


เราทั้งสองคนทำแบบนี้กันไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด! เครปเค้กของเราก็เรียงกันเป็นชั้นสวยงามครับ และขั้นตอนต่อจากนี้ไปก็คือการนำวิปครีมทารอบ ๆ เครปเค้กของเราที่เสร็จแล้วนะครับแต่ไอเครปเค้กมีหลายสูตรครับ บางสูตรก็ไม่ต้องใช้วิปครีมแต่บางสูตรก็ใช้วิปครับ ซึ่งสูตรบ้านผมเป็นสูตรที่ใช้วิปครีมทาที่เนื้อเครปเป้นขั้นสุดท้ายครับ


งานนี้ก็สนุกหละสิครับผมรีบวิ่งปรี่ไปหยิบวิปครีมที่เตรียมไว้ในตู้เย็นออกมาและรีบวิ่งกลับมาตรงที่เครปเค้กที่เป็นผลงานของผมกับพี่ศิวางไว้


ผมแสยะยิ้มร้ายก่อนจะใช้ใบพัดจุ่มวิปครีมและเอาใบพัดนั่นหละป้ายไปที่แก้มพี่ศิหนึ่งทีใบหน้าข้างหนึ่งของพี่ศิขาวจั้วะไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งที่ผมทำแบบนี้ทำให้พี่ศิตกใจเป็นอย่างมา จนในที่สุดจากการที่เราทั้งสองคนจะต้องทำเครปเค้กให้เสร็จมันก็เปลี่ยนมาเป็นศึกวิปครีม (หลังจากมีศึกครีมเค้กไปรอบแล้วครับ) ครับ เราเอาใบพัดฟันกันโชะเชะ แน่นอนการกระทำของเราทำให้คนที่อยู่ภายในห้องครัวนั้นหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กัน ส่วนคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชาเริ่มส่ายหัวระอากับการเล่นของผมกับพี่ศิครับ


ใบหน้าของพวกเราทั้งสองเริ่มเละไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดคุณม๊านัทชาก็ทนไม่ไหวและออกปากไล่พวกเราสองคนให้ไปล้างหน้ากันครับ ผมเดินคอตกออกจากห้องครัวและตรงไปที่ห้องน้ำ ซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกันกับผมแต่ก่อนที่ผมจะเปิดประตูห้องน้ำเพื่อเข้าไปล้างหน้ามือข้างหนึ่งของพี่ศิก็รั้งร่างของผมไว้พร้อมกับใช้นิ้วมือเกี่ยววิปครีมที่ติดอยู่ข้างแก้มของผมออกมา


ผมมองการกระทำเช่นนั้นของพี่ศิด้วยความฉงนแต่เฉลยของการกระทำนั้นก็ปรากฏขึ้นเมื่อพี่ศิใช้นิ้วที่ป้ายวิปครีมออกจากข้างแก้มผมไปเลียเบา ๆ


“หวาน....” เสียงทุ้มเอ่งดังพร้อมกับคลี่ริมฝีปากตนเป็นรอยยิ้มร้ายที่ส่งมอบมาให้ผม ไอผมแทบจะกรีดบ้านแต่แต่ไออาการอับอายผมมีมากกว่าผมพยายามสะบัดมือพี่ศิให้หลุดก่อนจะวิ่งหนีเข้าห้องน้ำและจัดการล้างหน้าตัวเอง เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของตัวเองในกระจกเอาหละครับแก้มผมก็ขึ้นสีแดงแปรดทันที


ผมยกมือขึ้นมากุมแก้มทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้พร้อมกับพุดคำว่า ‘พี่ศิบ้า’ ไปมาไม่หยุด


หลังจากที่ผมสงบสติและอาการหน้าแดงของผมหายไปตอนนี้ผมก็เปิดประตูออกมาเจอพี่ศิที่ยืนรอพร้อมกับยิ้มหน้าบานใส่ผม ซึ่งผมก็เลือกที่จะเมินพี่ศิเขาครับผมเดินตรงเข้าไปในห้องครัวและทำเครปเค้กต่อโดยไม่สนใจพี่สิที่เดินตามหลัง ผมป้ายวิปครีม (ที่ยังเหลือรอดจากสงครามเมื่อสักครู่) ลงบนหน้าเครปเค้กและเกลี่ยไปตามขอบที่เป็นชั้น ๆ ของเค้กอย่างเบามือผมใช้เวลาจัดการเนื้อวิปครีมนี้ให้เรียบอยู่สักพักในที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผลสำเร็จครับ ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการตกแต่งหน้าเค้กครับ


และสิ่งที่ผมเลือกมาตกแต่งหน้าเค้กก็คือ! สตอร์เบอร์รี่กับช็อกโกแลตที่เป้ฯของโปรดผมครับ ผมยืนเรียงสตอร์เบอร์รี่ลูกใช้วางตั้งไว้โดยแบ่งให้เป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กันตามด้วยโรยช็อกโกแลตขูดลงไปบนหน้าของเครปเค้ก เอาหละครับในที่สุด! ผลงานของผมกับพี่ศิก็สำเร็จเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ


ผมยิ้มปลื้มให้ผลงานก่อนจะหันไปยักคิ้วให้พี่ศิและพี่ศิก็หันมายกนิ้วให้ผมเราสองคนหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กันอยู่สักพักก่อนที่ผมจะยิ้มไอโฟน (ที่รุ่นมันเก่ากว่าไอโฟนของพี่ศิ) ขึ้นมาและยื่นมันไปให้คนตรงหน้า


“พี่ศิถ่ายรูปกรกับเค้กให้หน่อยสิ” ผมพูดใส่พี่ศิพร้อมกับใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มซึ่งพี่ศิก็พยายามหน้าและกดเปลี่ยนโหมดหน้าจอเป็นโหมดกล้องและถ่ายรูปผมที่แอคท่าถ่ายกับเค้กไปเสียหลายรูป


และในขณะที่ผมกำลังเบนความสนใจไปยังเค้กที่ทำสำเร็จ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรคนที่อยู่ข้างกายเลยและมัวแต่วิ่งเอาเค้กไปอวดทุกคนที่อยู่ในครัวจนหมด ในเวลานั้นผมลืมไปศิไปเลยครับและก็ไม่ได้รับรู้เลยว่าทุกการกระทำของผมมันอยู่ในสายตาของพี่ศิทั้งหมดแถมอีกฝ่ายก็ควักมือถือของตนขึ้นมาถ่ายภาพทีเผลอของผมไว้เสียด้วย


หลังจากที่ผมวิ่งร่อนอวดเครปเค้กให้ทุกคนดูจนหมดบ้าน (ไม่ว่าจะเป็นคุณป๊า คุณม๊า คุณเจ้ คุณน้องสาว น้องกัซหรือจะลูกมือของคุณป๊าคุณม๊าในครัว) คราวนี้ก็ได้เวลาแพคเค้กชิ้นนี้ลงกล่องเสียทีละครับและตอนนี้ก็ปาไปจะบ่ายโมงแล้วครับมันก็ใกล้เวลาที่ผมกับพี่ศิต้องกลับหอกันแล้วครับ (ความจริงคือพี่ศิคนเดียวหละครับผมไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องกลับไปที่หอเพราะว่าผมปิดเทอมแล้วครับ)


ผมจึงต้องรีบแพคเค้กลงไปในกล่องพร้อมกับรีบเร่งเอาซอสที่ใช้ราดลงบนเครปเล็กใส่กระปุกไปผมเตรียมการอยู่ไม่นานตอนนี้เครปเค้กฝีมือผมกับพี่ศิก็อยู่ในบรรจุพันธ์เรียบร้อยแล้วครับผม หลังจากแพคเค้กเสร็จผมก็เดินลั่นลาเข้าตัวบ้านไปโดยที่มีพี่ศิเดินตามอยู่ทางด้านหลัง ผมบอกให้พี่ศิไปจัดการกับข้าวของบนห้องของผมซะเพื่อที่พวกเราทั้งสองคนจะได้เดินทางกลับคอนโดกันเสียทีซึ่งพี่ศิก็ยังว่าง่ายเหมือนเดิมครับพี่ศิก็เดินขึ้นไปเก็บกระเป๋าตามที่ผมบอกส่วนผมหนะเหรออยู่ในช่วงกอบโกยเสบียงเอาไปกินเล่นที่หอไงครับ


ขนมขบเคี้ยวอะไรที่มีอยู่ในบ้านผมนี่โกยใส่ถุงอย่างเดียวอ่อรวมไปถึงขนมของร้านของผมด้วยนะครับผมก้หยิบไปเท่าที่ผมอยากจะกิน ถ้ากินไม่หมดก็แช่ตู้ไว้ครับเอาไว้กินวันหลังได้ ขนมของบ้านผมแม้ค้างคืนก็ยังคงอร่อยไม่เสื่อมคลายครับเรื่องรณกรคอนเฟริม


ผมยืนรอพี่ศิที่ขึ้นไปจัดของบนห้องสักพักไม่นานนักร่างสูงก็เดินลงมาพร้อมกับหิ้วกระเป๋าใบไม่ใหญ่มากอยู่ในมือพี่พยักหน้าให้กับพี่ศิพร้อมกับยื่นถุงขนมขบเคี้ยวเกือบจะทั้งหมดบ้านและรวมไปถึงขนมต่าง ๆ นานา ที่ขายอยู่ในร้านเค้กของบ้านผม อ่อเครปเค้กที่พวกผมช่วยกันทำด้วยนะครับให้พี่ศิเอาไปใส่ไว้ในรถ (นี่ผมไม่ได้ใช้พี่ศิเค้านา พี่ศิเค้าถามผมว่าพี่จะเอาของไปเก็บที่รถ ‘กรจะให้พี่เอาอะไรไปเก็บให้ไหมครับ’ ผมก็เลยเอาของที่ผมขโมยจากในบ้านและร้านยื่นไปให้พี่ศิเขาเอาไปเก็บในรถให้ครับ ผมแค่ไม่อยากให้คำถามของพี่ศิเค้าเสียเปล่าไงเลยส่งไปให้ทั้งหมดเลย) ซึ่งพี่ศิเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับซ้ำยังยิ้มตอบแล้วแบกของทั้งหมดเอาไปใส่ไว้ในรถ (จริง ๆ มันก็ไม่มากหรอกครับผมก็โม้ ๆ ไปงั้นละ)


ตายละ! พี่ศิเป็นคนที่น่ารักและเชื่องจริง ๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำหมดเลยหละครับ แต่ให้พูดไปถ้าพี่แกเอาแต่ใจขึ้นมานี่น่ากลัวแบบสุดชีวิตเลยนะครับ


หลังจากที่เราทั้งสองคนยกเค้า เอ้ย…เก็บของเตรียมตัวกลับคอนโดเสร็จผมกับพี่ศิก็เดินเข้าไปในร้านเพื่อลาคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชา ผมวิ่งปรี่ไปกอดท่านทั้งสองพร้อมกับเอาหน้าซุกลงที่บ่าคุณม๊า คุณม๊าก็ได้แต่ลูบหัวผมเบา ๆ และคุณป๊าก็ตบบ่าผมเบา ๆ กลับมา


ส่วนพี่ศิหนะเหรอกครับพี่แกได้เป็นลูกชายคนที่สามของบ้านไปเรียบร้อยแล้วครับ แถมคุณม๊าของผมนี่หอมแก้มทั้งสองข้างของพี่ศิแล้วให้พรพี่ศิเขาเสียยกใหญ่ ส่วนคุณป๊าหนะเหรอฝากฝังผมกับพี่ศิให้ดูแลผมให้ดี ซ้ำยังบอกว่าถ้าผมดื้อให้โทรมาบอกคุณป๊าหรือคุณม๊าได้เลย


ทำไม! ทำไม! ทำไม! คุณป๊ากับคุณม๊าทำกับกรแบบนี้ กระเป็นถึงลูกชายคนโตของบ้านนี้แต่ทำไมไปหลงพี่ศิกันนัก! น้องกรไม่ยอม! ผมกอดอดทำหน้ามุ่ยใส่คุณป๊ากับคุณม๊าซึ่งทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจอะไรผมเล้ย! มัวแต่โอ๋ลูกชายคนใหม่อย่างพี่ศิกันอยู่ ผมเลยงอนและเดินกระแทคเท้าออกจากบ้านไปรอที่รถของพี่ศิก่อน แต่จริง ๆ ผมก็แอบมองพี่ศิคุยกับคุณป๊าคุณม๊านะครับแต่ด้วยอารมณ์อยู่ไกลผมเลยไม่ได้ยินที่ทั้งสามคนคุยกัน ผมยืนรอไปสักพักคุณเจ้และคุณน้องสาวก็เดินเข้ามาคุยด้วยอีกจนตอนนี้ในวงนั้นมีคนพูดคุยกันถึง 5 คนแล้วครับไอผมก็อยากจะเข้าไปเจือกอยู่หรอกแต่ด้วยฐิธิครับผมเลยไม่เข้าไปและยืนตากแดดร้อน ๆ รอให้พี่ศิออกมา แต่ดูเหมือนว่าพี่ศิจะจับออร่าไม่พอใจของผมที่ยืนรออยู่ที่รถได้พี่ศิเลยรีบตัดบทยกมือไหว้ทุก ๆ คนและเดินออกมาหาผมที่ตอนนี้กำลังจะสุกเพราะแดดสุดร้อนแรงแล้วครับ


“คุยกับคุณป๊าคุณม๊าเสร็จแล้วเหรอ” ผมกอดอกพร้อมกับพูดเสียงเรียบ ๆ ใส่พี่ศิ ซึ่งพี่ศิก้ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบผมพร้อมกับปลดลอคประตูรถให้ผมเข้าไปนั่ง ซึ่งผมก็ย้ายตรูดของผมเข้าไปนั่งที่เบาะนั่งข้างคนขับและหยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาดเพื่อเตรียมพร้อมให้คุณพี่ศิรวิทย์ออกรถ


เราทั้งสองคนนั่งเงียบใส่กันมาตลอดทางพี่ศิก็เหลือบตามองมายังผมในบางทีแต่ผมก็ยังคงเชิดหน้าไม่ยอมหันไปคุยกับพี่ศิอยู่จนในที่สุดเราทั้งสองคนก็กลับมาถึงคอนโดผมรีบหิ้วข้าวของของผมลงจากรถและรีบวิ่งตรงไปที่ลิฟท์โดยไม่รอพี่ศิเลยสักนิด ผมเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องพร้อมกับโยนของพี่เอามาจากที่บ้านลงไปที่โซฟา (ส่วนเค้กกับขนมผมเอาไปวางไว้ในห้องครัวแล้วครับ)


ผมยังคงนั่งงอนค้างอยู่แบบนั้นในที่สุดผมก็ยอมใจอ่อนและเดินไปคั่นเครปเค้กที่ผมกับพี่ศิช่วยกันทำมาสองชิ้นก่อนจะวิ่งออกจากห้องของตัวเองและเคาะไปที่ประตูห้องของพี่ศิ ผมยืนรออยู่สักพักไม่นานนักบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับใบหน้ายู่ ๆ ของพี่ศิแต่ทันทีที่พี่ศิเห็นร่างของผมพร้อมกับขนมเค้กในมือใบหน้าที่ดูเหมือนจะกังวลใจและหนักใจก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่แววตาของพี่เขาก็เป็นไปด้วยความสงสัย ไอผมก็เลยได้แต่ส่งรอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยพูดกับพี่ศิออกไปว่า


“เมื่อบ่ายกรร้อนจนหงุดหงิดไปหน่อยตอนนี้ตากแอร์แล้วอารมณ์เย็นลงแล้ว…คือกรเลยจะมาชวนพี่ศิ…คือ…พี่ศิครับมากินเค้กด้วยกันนะ” ผมพูดพร้อมกับส่งสายตาแป่วแหววที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดไปให้พี่ศิ ซึ่งผมก็ทำสายตาแบบนั้นไม่นาน (จริง ๆ แค่พี่ศิเห็นผมยืนอยู่หน้าห้องพี่ศิแกเกือบจะยิ้มออกมากว้างแล้วแต่ว่าพี่ศิแกแอบเก็กไว้) พี่ศิก็คลี่ยิ้มกว้างและเชื้อเชิญให้ผมเข้าไปในห้อง


“พี่คิดว่ากรจะแอบกินเค้กจนหมดคนเดียวซะแล้วสิ” เสียงทุ้มเอ่ยตามหลังผมจึงได้แต่หัวเราะคิกคักเบา ๆ พร้อมกับเดินตรงไปวางจานเค้กในห้องครัว


“พี่ศิได้กินแค่ชิ้นนี้หละ ที่เหลือกรจัดการเองหมดแน่นอน” สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบา ๆ พร้อมกับริมฝีปากหนาที่เอ่ยบ่นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ‘ไอตัวแสบเอ้ย’



____________________________________________


รณกร...นิสัยของนายมันอีปิคที่สุด... เป็นการจูบ?? โอเคค่ะเอาปากกระแทคกันที่ไร้ความหวานแบบสุด ๆ

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
  :impress2: อ๊า หนูกรแอบยั่วพี่ศิเบาๆเเบบมิรู้ตัวซะเเล้วลูก
           
                  อารมณ์คู่นี้เค้าเเบบว่าค่อยๆรักกัน "เบาๆ"  จริงๆอะ อ๊ายยย อยากกินเค้กขึ้นมาทันที   :-[

                  รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:                 

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
น้องกรสาวแตกขึ้นทุกวันนะ
น่าจะดีใจนะที่พี่ศิเข้ากับที่บ้านได้
ขี้งอนนนะเรา

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อาร์มประมาณว่าไม่สนกรศิ
สนแต่เครปเค้กอยากกินมากม๊ากกกก

ออฟไลน์ karatop

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ฟินๆ มีเอาครีมป้ายหน้ากันด้วย น่ารักไปไหน ^^"

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
หวานกว่าเครปเค้กแล้วเนี่ย อิอิ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
แรงจริงๆด้วย ปากแตกเลย

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


อัพแบบไวว่องมากเลยหละคะ ไม่รู้เกิดนึกคึกอะไรแต่งตอนที่สต็อกไว้ได้ด้วยความเร่ง จึทำให้พลอยนำนิยายมาลงไวได้ค่ะขอฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะค้า



Chapter 16



การปิดเทอมนี่ว่างจริง ๆ เลยนะครับ ตั้งแต่สมัยประถมแล้วหละทุกครั้งที่ปิดเทอมเรามักจะบ่นว่าอยากเปิดเทอมจังเลยอยากไปเจอเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน แต่ช่วงเวลาเปิดเทอมมาถึงทุก ๆก็จะกลับไปคร่ำครวญว่าทำไมไม่ปิดเทอมสักทีอยากหยุดมาเรียนนี่เบื่อมาก ซึ่งตอนนี้ผมอยู่ในอาการขั้นแรกครับคือว่างมากเพราะปิดเทอมและตอนนี้อยากจะเปิดเทอมเต็มแก่แล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอนจากบ่นอย่างเดียวนี่ละครับ แล้วก็ทำได้อีกอย่างคือการนอนพึ่งพุงตากแอร์เล่นเกมส์ออนไลน์และออฟไลน์ (ในห้องพี่ศิเพราะประหยัดค่าไฟห้องผม)


ตั้งแต่ผมกลับมาจากบ้านเมื่ออาทิตย์สองอาทิตย์ก่อนผมก็เริ่มทำการย้ายสำมโนครัวไปอยู่ห้องพี่ศิทันที ทุกท่านอย่าคิดนะครับว่าผมนี่ไปเสนอตัวให้พี่เชาถึงห้องอย่าจิ้นกันไปแบบนั้นมันน่าขนลุกครับ คือที่ผมย้ายไปนอนเล่นนั่งเล่นในห้องพี่ศิเพราะข้อหนึ่ง ประหยัดค่าไฟห้องผมครับ ข้อสอง ผมไปตอดข้าวในห้องพี่ศิทานได้สะดวก และข้อสามของเล่นในห้องพี่ศิเยอะมากครับ แต่ผมก็แบกเครื่องเล่นเกมส์ของผมมานั่งเล่นด้วยนะหยิบพวกเกมส์แล้วก็พวกโน๊ตบุคมาเปิดนอนเล่นในห้องนั่งเล่นของห้องพี่ศิเขาครับ
ในตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงตรงทุกคนอย่าถามถึงพี่ศินะครับว่าพี่เขาอยู่ในห้องด้วยหรือเปล่า ขอคอบเลยนะครับว่าไม่อยู่และทุกคนอยากถามซ้ำสินะครับว่าพี่ศิไปไหนถ้าให้พูดรายนั้นก็หมกตัวอยู่ในโรงพยาบาลตามประสานักศึกษาแพทย์หละครับ ไปโรงพยาบาลแต่เช้าและกลับจากโรงพยาบาลในตอนดึก


ดังนั้นห้องของพี่ศิตอนนี้มันคล้ายกับเป็นห้องของของผมกลาย ๆ เอาเป็นว่าผมถือว่ามันเป็นอานานิคมของผมอีกที่หนึ่งก็แล้วกันนะครับ


และในขณะที่ผมกำลังนอนพึ่งพุงเล่นคอมสบาย ๆ (พร้อมกับผลาญค่าไฟพี่ศิไปด้วย) เมสเสจจากเฟซบุคของผมก็เด้งขึ้นมา ซึ่งมันเป็นข้อความจากไอบาสครับ (ผมว่าทุกคนคิดถึงมันผมเลยยอมคุยกับมันให้ทุกคนหายคิดถึงมันก็ได้ครับ) ผมลากเม้าส์คลิกไปดูข้อความที่มันส่งมา อีกมือหนึ่งก็หยิบมันฝรั่งทอดกรอบใส่ปากไป


บาส : สวัสดีครับเพื่อนกร เดี๋ยววันนี้กรูจะเข้าหอแล้วหละแต่กรูไม่นอนที่หอของกรูหรอกนะครับ ดังนั้นมรึงเตรียมเปิดห้องให้กรูไปนอนเลยครับเชี่ยกร


ผมอ่านข้อความที่ไอบาสส่งมาก่อนจะขมวดคิ้วน้อย ๆ ‘ไอบาสครับนี่มรึงสั่งหยั่งกับคอนโดของคุณกรูเป็นของคุณมรึงเลยนะครับ’ ผมได้แต่คิดประโยคพวกนี้ในใจ แต่นิ้วมือทั้งสองข้างผมก็พิมพ์ตอบกลับมันไปอีกอย่างหนึ่ง


ท่านกร : เปิดห้องให้คุณมรึงนอนหรือเปิดห้องให้คุณมรึงมาแดรกเหล้ากันครับ เพื่อนกรคิดว่ามรึงเมสเสจมาแบบนี้ไม่ใช่แค่จะมานอนที่ห้องกรูหรอกครับ บอกมาเลยดีกว่าว่าพวกมรึงมากันกี่คน


หลังจากที่ไอบาสได้อ่านเมสเสจมันก็ได้แต่ส่งอีโมชั่นยิ้มแหะ ๆ มาให้พร้อมกับยอมสารภาพความจริงว่าเป้าหมายที่มันต้องการมาค้างที่ห้องของผมคืออะไร


บาส : มรึงนี่รู้ทันตลอดวะไอกรก็ มีกรู มีไอเจมส์ ไอเปอร์แล้วอีกหลาย ๆ คนวะขอหน่อยน่า มรึงก็รู้ว่าหอในเอาเหล้าเข้าไปแดรกได้ที่ไหน กรูอยากแดรกเหล้าพร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนเท่านั้นเองนะ เลยขอมาแดรกที่คอนโดมรึงไงนะ นะ นะ


ไอคำของแบบนี้ในตอนแรกผมก็ปฏิเสธมันไปหละครับแต่ว่าไอบาสมันเจือกส่งเมสเสจมาป่วนผมหลายต่อหลายรอบทำเอาเฟซบุคของผมเด้งไม่หยุดหนำซ้ำยังทำให้โน๊ตบุคลูกรักของผมค้างอีก จนในท้ายที่สุดผมก็ต้องจำใจยอมให้เหล่าเพื่อนฝูงและมิตรสหายเข้ามาก๊งเหล้าที่ห้องของผมครับ


ซึ่งไอบาสบอกว่าเวลาที่พวกมันจะมาคือราว ๆ บ่าย 4 โมงและตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่าย 2 โมงครึ่งแล้ว นี่แสดงว่าผมต้องวิ่งกลับไปเคลียร์ห้องเพื่อไปรองรับพวกมันภายในชั่วโมงครึ่งสินะ ให้ตายเถอะผมไม่มีทางทำทันแน่นอน ตามที่ผมบอกไงครับผมย้ายสำมโนครัวมาที่ห้องพี่ศิได้สักพักแล้ว…


ดังนั้นตอนนี้ห้องของผมมันเขรอะและเต็มไปด้วยฝุ่นแน่นอนครับ…ถ้าให้ทำความสะอาดนี่มีตายแน่นอนครับและถ้าเกิดจะทำความสะอาดจริง ๆ คงใช้เวลาสักครึ่งวันแน่นอนครับ…


คราวนี้…งานเข้าผมหละครับจะทำยังไงให้ห้องของผมเคลียร์เสร็จในชั่วโมงครึ่ง ยิ่งคิดยิ่งหนักใจไอผมก็รับปากพวกมันไปแล้วด้วยสิ งานนี้ผมก็ได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงเพื่อหาวิธีแต่ในท้ายที่สุดผมก็ไม่สามารถหาวิธีมาทำให้ห้องของผมสะอาดภายในหนึ่งชั่วโมงครึ่งได้ ผมจึงจำใจปล่อยมันไว้อย่างนั้นหละพวกมันจะกินเหล้า แดรกกับแกล้มก็แดรกกันเคล้าฝุ่นไป ส่วนผมก็สิงสถิตอยู่ที่ห้องของพี่ศิต่อไปนี่ละครับ แล้วเดือนหน้าผมค่อยเอาเงินที่อดออมมาจากการมาผลาญไฟห้องพี่ศิใช้เอาไปจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องก็แล้วกัน (ปกติตามคอนโดจะมีพวกแม่บ้านประจำคอนโดรับจ้างทำความสะอาดใช่ไหมครับพอดีผมไม่ได้จ้างไว้ครับเพราะปกติผมทำความสะอาดห้องเองอยู่แล้วแต่นี่ผมบอกว่าผมย้ายสำมโนครัวมาห้องพี่ศิร่วม 2 อาทิตย์แล้วดังนั้นห้องของผมมันก็เลยเป็นที่สิงสถิตของฝุ่นครับและถ้ามันไม่มีฝุ่นนี่หละแปลกแล้วหละครับ)


ผมยังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเล่นคอมต่อไปอีกสักพักไม่นานนักโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นซึ่งชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือก็ไม่ต้องบอกครับว่าใครนอกจากว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ที่ตอนนี้กำลังยุ่งหัวหมุนอยู่ในโรงพยาบาลครับ ผมกดรับโทรศัพท์พร้อมกับกรอกเสียงที่อู้อี้ลงไป


“ไงพี่ศิ” ผมพูดพร้อมกับนั่งงับมันฝรั่งทอดกรอบเข้าปากไปพร้อมกับเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยให้พี่ศิฟังเสียด้วย


“กรเย็นนี้พี่คงกลับไปทานข้าวด้วยไมได้นะครับพอดี เพื่อนพี่ของแลกเวรนิดหน่อยทำให้พี่ต้องเข้าเวรช่วงหัวค่ำจนถึงตีสองครับ” สิ้นเสียงความคิดความคิดหนึ่งของผมก็ลอยขึ้นมาในสมอง ‘ถ้าห้องของไม่สะดวกที่จะรับรองพวกเพื่อน ๆ มัน…ทำไมผมไม่ใช้ห้องของพี่ศิซะเลยละ’ สิ้นความคิดนั้นผมก็ทำเสียงกระดี้กระด้าและเตรียมคำพูดอ้อนว่าที่คุณหมอศิรวิทย์ทันที


”นี่พี่ศิ…พี่ศิครับ…วันนี้เพื่อนน้องกรของพี่ศิเขาบอกน้องกรว่าเขาอยากมาดื่มที่ห้องของน้องกรหนะครับ” ผมพูดไปก็คันปากตัวเองไป ความจริงแล้วผมไม่อยากจะเรียกตัวเองว่าน้องกรของพี่ศิหรอกครับมันรู้สึกจักกะเดียมหัวใจแต่นี่ผมต้องอ้อนพี่ศินี่นะเลยต้องทำตัวน่ารัก ๆ ใส่พี่ศิเขาสักหน่อย


“กรมีอะไรจะอ้อนพี่เหรอครับ” พี่ศิพูดตอบกลับอย่างรู้ทัน ซึ่งถ้าพี่ศิรู้ทันผมอย่างงี้ผมก็ไม่ต้ององต้องอ้อนพี่ศิมันแล้วหละครับ ผมพูดมันไปตรง ๆ เลยดีกว่าครับ


“ก็จากผมบอกว่าเพื่อนของกรเขาบอกว่าจะมาขอดื่มที่ห้องของกร…พี่ศิก็รู้ใช่ไหมว่าสภาพห้องของกรตอนนี้มันเต็มไปด้วยฝุ่นอ่ะ กรก็เลย…อยากขอยืมห้องพี่ศิสักวันได้ไหมอ่ะ คือถ้าดื่มกันเสร็จนี่พวกกรจะเก็บให้เรียบร้อยเลยนะ จะไม่ให้รกเลยสักนิดเดียวนะ นะ นะ นะ พี่ศินะ น้า…..” ผมย้ำเสียงในคำว่า ‘นะ’ ไปเรื่อย ๆ จนพี่ศิหัวเราะออกกมาเสียงดัง สักพักเสียงทุ้มค่อย ๆ ปรับอารมณ์พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำตอบกลับมา “น้องกรมีอะไรแลกเปลี่ยนกับพี่ศิหรือเปล่าครับ”


ผมขมวดคิ้วแน่นพี่ศิมามุกนี้ แสดงว่าพี่ศิต้องอยากได้อะไรบางอย่างจากผมแน่นอนซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าพี่แกอยากได้อะไรผมก็เลยออกปากถามไปอย่างซื่อ ๆ นั่นหละครับ “แล้วพี่ศิอยากได้อะไรจากกรครับ”


สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าผมสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวบางอย่างที่แฝงอยู่ในเสียงหัวเราะนั่นครับ “…พี่ให้กรเดาครับว่าพี่อยากได้อะไรจากกร” เอาหละครับมามุกให้เดาแล้วผมจะเดาใจพี่แกถูกเหรอครับพี่แกนี่ความคิดชั่วร้ายเต็มสมองแต่แกไม่แสดงออกมาครับ


ผมไม่อยากจะบรรยายถึงความชั่วร้ายของพี่ศิหลังจากพี่แกได้อัพเกรดเป็นคนสำคัญของผมครับ มีโอกาสนี่ไม่ได้เลยต้องมาจับมือถือแขน (แต่ผมว่าอันนี้พี่แกทำประจำอยู่แล้วครับ) แกล้งหยอกผมบ่อยขึ้นผมสาบานได้เลยครับก่อนหน้าที่พี่แกจะได้อัพเกรดสถานะพี่ศิแกไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยครับ! ตัวนี่ผมนี่แทบจะไม่เคยแตะถ้าไม่จำเป็น แถมเมื่อก่อนก็ตามใจผมอย่างกับอะไรดี…


แต่ตอนนี้นี่! ตอนนี้!…พี่ศิสุดที่รักของทุก ๆ คนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าครับ ความเจ้าเล่ห์ของพี่ศินี่มีมากพอ ๆ กับความรู้ในสมองของพี่เขาครับ ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่า…ใครที่คิดว่าพี่ศิเป็นคนดีเป็นพ่อพระนี่คุณคิดผิดแล้วครับพี่ศินี่สำหรับผมตอนนี้แกกลายเป็นจอมมารสุดชั่วร้ายที่ฉวยโอกาสอะไรจากผมได้พี่แกก็ทำผมแล้วครับ


หลังจากที่ผมพร่ำเพ้ออยู่นานสองนานในที่สุดผมก็ได้เวลาตอบคำถามของพี่ศิแล้วครับ “พี่ศิคิดว่ากรจะเดาถูกเหรอครับพี่ศิบอกมาเลยดีกว่าว่าพี่ศิอยากได้อะไรแต่เอาในขอบเขตที่กรทำให้พี่ศิได้นะครับ”


ทุก ๆ คนคงคิดสินะครับที่ผมพูดแบบนี้เหมือนเปิดโอกาสให้พี่ศิขออะไรได้จากผมสินะ ความจริงพี่ศิเขาขออะไรจากผมไม่ได้ทุกอย่างหรอกครับ (ที่เล่าเมื่อกี๋เป็นช่วงเวลาที่ผมเผลอครับถ้าไม่เผลอพี่แกไม่มีโอกาสหรอกครับ) พี่ศิกับผมเป็นแค่คนสำคัญแต่ไม่ใช่คนพิเศษของกันและกันนะครับขอบเขตที่พี่ศิขอได้จากผมมันมีไม่มากหรอก พวกคุณไม่ต้องจิ้นหรือมโนกันไปนะครับมันไม่เป็นไปตามอย่างที่พวกคุณคิดไว้แน่นอนครับต่อให้ผมบ่นถึงความเจ้าเล่ห์ของพี่ศิแต่พี่ศิก็ไม่เคยขอให้ผมทำอะไรเกิดขอบเขตของฐานะที่ผมให้หรอกครับ (แต่บางทีก็มีอย่างที่เล่าไปเมื่อกี๋นะครับ พี่เขาอาจจะมีเผลอไปบ้างอันนั้นหยวน ๆ ให้เพราะบางทีผมก็เผลอเหมือนกัน)


“ถ้าแบบนั้น...ถ้าแบบนั้นไว้พี่ขอจากกรตอนเจอหน้ากันดีกว่าแค่นี้ก่อนนะครับน้องกรของพี่ศิ พี่ต้องเข้าไปเลคเชอร์ต่อแล้ว” สิ้นเสียงของพี่ศิสายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป พร้อมกับผมที่ทำหน้าเหวอกับคำพูดของพี่ศิเขา


ผมได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีน้อย ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ “พี่ศิบ้า ถึงกรจะพูดว่าน้องกรของพี่ศิก็ไม่ต้องมาล้อกรแบบนี้ก็ได้นะ”




หลังจากที่ผมคุยโทรศัพท์กับพี่ศิเสร็จผมก็นอนกลิ้งอย่างสบายอารมณ์จนในที่สุดตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงเย็นตามที่เหล่ามิตรสหายได้นัดกันแล้วครับและพวกมันก็ไม่ทำให้ผมต้องนั่งรอเหล่าสหายร่วม 10 คนก็เดินออกจากลิฟท์และมุ่งตรงมายังที่ห้องของผมครับ ซึ่งผมก็ไปยืนดักรอพวกมันที่หน้าห้องครับเพราะไอห้องที่พวกมันจะนั่งดื่มกันมันไม่ใช่ห้องของผมแต่มันเป็นห้องของพี่ศิครับ


“โหยไอกร นี่มรึงมารอรับพวกกรูเลยเหรอคิดถึงพวกกรูมากหนะสิ” ผมขมวดคิ้วมองไอบาสที่พูดพล่ามออกมาก่อนจะยื่นมือไปมอบมะเหงกให้มันไปหนึ่งที


“ไอเชี่ยบาสมรึงคิดว่ากรูจะพิศสวาทพวกมรึงมากขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ กรูแต่มาดักรอพวกมรึงก่อนที่พวกมรึงจะเข้าไปคลุกฝุ่นในห้องกรูครับ” สิ้นเสียงของผมพวกสหายทุก ๆ คนของผมก็มองหน้าผมด้วยความสงสัยมันมองผมอยู่นานจนในที่สุดผมก็ต้องพูดไขข้อข้องใจให้พวกมัน


“กรูไมได้อยู่ในห้องกรูมาเกือบสองอาทิตย์แล้วตอนนี้ฝุ่นมันเขรอะมาก กรูเลยจะเปลี่ยนสถานที่ให้พวกมรึงแดรกกันไงครับกรูห่วงสุขภาพพวกมรึงเลยนะครับ กรูถึงได้ไปหน้าด้านของพี่เขาเนี่ย” พอมาประโยคนี้ไอบาสกับไอเจมส์นี่เริ่มจะเก็ตแล้วหละครับ ส่วนเพื่อน ๆ คนอื่นยังคงมึน ๆ งง ๆ อยู่


ในที่สุดผมก็เฉลยให้พวกมันรู้โดยการเดินเลยห้องของผมไปอีกห้องพร้อมกับไขกุญแจเปิดประตูห้อง 1404 ให้พวกมันทุกคนเข้าไปในห้อง “ห้องของพี่ศิ กรูโทรไปขอพี่เขามาวันนี้พี่เขาแลกเวรกับเพื่อนเลยจะกลับห้องมาดึกให้พวกมรึงมานั่งแดรกเหล้ากันได้”


สิ้นเสียงพูดของผมพวกมารทั้งหลายก็ร้องแซวผมกันเกรี้ยวกร้าวซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกครับ แต่ในประโยคสุดท้ายที่แว่วดังมาจากใครสักคนมันทำให้ผมหันหลังกลับไปกระโดดเตะเพื่อนคนที่พูดประโยคนั้นออกมาครับ ใครใช้ให้มันพูดออกมาหละครับว่า ‘กรแม่มมีผัวดี พูดอ้อนอะไรผัวแม่มให้หมดเลยเว้ยน่าอิจฉา ๆ”


“สรัดผักครับ กรูยังไม่มีผัวครับอย่ามาปากพล่อย” หหลังจากกระโดดเตะเพื่อน ๆ เรียงตัว ถัดจากนี้ไปก็คือการทำให้ห้องของพี่ศิกลายเป็นที่ตั้งวงเหล้าครับ


ตอนนี้สหายของผมเริ่มเข้าไปในครัวและจัดกับแกล้มต่าง ๆ ใส่จานแล้วหละครับ ส่วนเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในครัวตอนนี้มันเริ่มม้วนพรม (ที่พี่เตอร์แกชอบกลิ้งเล่นบ่อย ๆ) เก็บครับ เพราะพวกมันกลัวว่าตอนมันเมามันจะเผลอทำเหล้าหกหรืออ้วกรดใส่พรมครับ พอดีพวกมันไม่มีเงินจะชดใช้ค่าพรมที่ท่าทางจะแพงระยับนี่


ผมนั่งกระดิกเท้าบนโซฟา (ที่ผมชอบนอนกลิ้งดูทีวี) มองพวกมันจัดห้องของพี่ศิกันไป บ้างก็หยิบมันฝรั่งทอดกรอบ (ถุงเดิมที่ผมกินไม่หมดสักที) ใส่ปากไป ไม่นานนักห้องของพี่ศิที่ผมเคยรู้จักมันก็กลายเป็นที่ที่พร้อมสำหรับการตั้งวงเหล้าของชายหนุ่มเกือบสิบคนเรียบร้อยแล้วครับ


“มรึงจัดกันแบบนี้…ถ้าพี่ศิกลับมาแล้วด่าพวกมรึงนี่กรูจะไม่สงสัยเลยวะครับ” ผมพูดหลังจากมองสภาพห้องที่เปลี่ยนไปมืออีกข้างหนึ่งก็ยังคงหยิบมันฝรั่งทอดใส่ปากไปด้วย


“กรูไม่กลัวครับ ถ้าพี่เค้าด่าพวกกรูก็เตะมรึงให้พี่เขาแล้ววิ่งออกจากห้องกันไปเท่านี้ก็จบแล้ว พี่ศิแม่มไม่กล้าทำอะไรมรึงหรอกครับเพื่อนกร” เสียงไอเจมส์พูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงตบไม้ตบมือขอสหายทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบ ๆ คำพูดนั่นมันแทบจะทำให้ผมลงจากโซฟาไปกระโดดเตะพวกมันเรียงตัวอีกรอบเสียจริง


“…ถ้าพวกมรึงไม่เลิกพูดกรูจะไล่พวกมรึงออกจากห้องพี่ศิตอนนี้เลย” ผมพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดก่อนจะหันหน้าหนีพวกมันไปแล้วนอนกลิ้งบนโซฟา เรียกง่าย ๆ ว่าผม ‘งอน’ พวกมันครับ


ซึ่งพวกมันทุกคนก็ไม่สนใจคนที่นอน ‘งอน’ อยู่ตรงนี้เลยครับผมเลยเมินพวกมันสนิทและปล่อยให้เหล่าสหายของผมนั่งก๊งเหล้ากันอย่างสนุกสนาน ไอใจผมก็อยากจะเข้าไปร่วมด้วยหรอกครับแต่ไออาการ ‘งอน’ ของผมยังคงมีอยู่แต่…ในที่สุดผมก็อดทนต่อความอยากไม่ไหวและกระโดดเข้าไปร่วมวงเหล้ากับเหล่าสหายทั้ง ๆ ที่ยังคงความ ‘งอน’ ของตัวเองไว้ครับ (เอาเป็นว่าผมไปแดรกเหล้ากับพวกเพื่อน ๆ แบบเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาแล้วกันครับ)


ผมยังคงนั่งจิบเหล้าเงียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ และฟังเรื่องของเพื่อน ๆ แต่ละคนเล่าถึงวีรกรรมที่ทุก ๆ คนทำในปิดเทอม ซึ่งต่อให้ผมไม่งอนพวกมันจนไม่พูดผมก็ไม่มีเรื่องจะเล่าหรอกครับ เพราะตั้งแต่ปิดเทอมวันแรกยันวันนี้ผมก็นอนไม่ก็นั่งเล่นคอมเล่นเกมส์ในห้องพี่ศิเนี่ยหละครับ (รวมถึงห้องตัวเองแล้วก็กลับบ้านด้วย)


ระยะเวลาผ่านไปจนตอนนี้เริ่มค่ำแล้วครับผมกับเพื่อน ๆ ก็ กรึ่ม ๆ กันเต็มที่หละครับ บางคนที่ขอไปนอนเก็บแรงไว้ตอนดึกกว่านี้ ส่วนผมก็แค่มึน ๆ ครับยังไม่ได้เมาอะไรมากมาย (อย่างน้อยผมก็ไม่เมาเหมือนตอนที่ฉลองวันปิดเทอมครับ)


แต่มันดันมีไอคน ๆ หนึ่งที่ยังไม่เมาไม่มึนและไม่กรึ่ม ดันนึกครึ้มอกครึ้มใจเสนอให้เล่นเกมส์กันครับไอคน ๆ นั้นก็คือไอเจมส์นั่นเองและเกมส์ที่มันเสนอก็คือ ‘เกมส์กล้าหรือจริง’ เกมส์นี้หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยนะครับแต่ว่าไอเกมส์กล้าหรือจริงมันเป้ฯคายความลับของเพื่อนมานักต่อนักครับแต่ใครบางคนที่ไม่อยากเผยความลับก็เลือกเป็นกล้าแทนครับ วิธีการเล่นก็ง่าย ๆ ครับ ขวดเหล้า 1 ขวด ตั้งกลางวงแล้วหมุนปากขวดชี้ไปที่ใครคนนั้นต้องเลือกความกล้าหรือความจริง ผมขออธิบายจากความกล้าก่อนนะครับ ถ้าเกิดคุณเลือกความกล้า คุณอาจจะโดนทุก ๆ คนสั่งให้ไปทำอะไรบ้าบออย่างเช่นไล่ให้ไปวิ่งขึ้นลงจากชั้น 1ถึงชั้น 15 ของคอนโดผมหรือการสุ่มเบอร์ให้โทรไปบอกรักใครครับ แต่ยางวงเหล้าความกล้านี่จะหมายถึงการดื่มครับแล้วไอการดื่มนี่คือดื่มตามจำนวนแก้วของคนที่อยู่ในวงเหล้าครับ สมมติในวงมี 5 คนไม่รวมตัวเอง นั่นก็หมายถึงคุณต้องดื่มเหล้าหรือเบียร์ 5 แก้วครับ (ไอเหล้าหรือเบียร์นี่แล้วแต่วงอีกเหมือนกัน)


ส่วนความจริงถ้าคุณเลือกความจริงนั่นหมายความว่าเวลาเพื่อนในวงเหล้าของคุณบอกให้คุณพูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องอะไร คุณก็ต้องพูดครับ (โดนส่วนใหญ่ข้อนี้จะทำให้ความลับรั่วไหลกันมาเยอะแล้วครับดังนั้นถ้าในวงไม่สนิทกันผมไม่อยากให้เลือกข้อนี้นะครับ) ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะโดนคนในวงให้พูดถึงเรื่องในอดีตอย่างเช่นคุณฉี่รดที่นอนจนถึงกี่ขวบ หรืออาจจะโดนแบบให้บอกชื่อคนที่ชอบออกมาอะไรแบบนั้นครับ หรือขั้นหนักหน่อยก็คืออาจจะโดนบอกให้เล่าเรื่องเซ็กส์ครั้งล่าสุดเลยก็ได้ครับ ผมถึงบอกไงว่าถ้าไม่ชัวร์อย่าเอาข้อนี้ครับ ถ้าคุณจะเลือกคุณต้องมั่นใจว่าคุณไม่มีความลับอะไรที่ต้องปิดบังหรือคุณไม่มีความผิดติดตัวครับ





ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
“พวกมรึงมาเล่นเกมส์กล้าหรือจริงกันเถอะวะ กุคิดว่าเกมส์นี้พวกเราไม่ได้เล่นกันนานแล้วนะเฮ้ย” ประโยค์บอกเล่าเชิงคำถามของไอเจมส์เอ่ยขึ้นแต่รู้สึกว่าเวลามันพูดชวนเพื่อน ๆ นี่มันปรายตามองมาที่ผมนิด ๆ นะครับ


ท่าทางที่มันเอ่ยปากชวนเล่นเกมส์นี้เพราะว่ามันอยากล้วงความลับของผมแน่นอนเลยครับและความลับที่มันอยากจะรู้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ศิแน่นอนครับ ‘ไอนี่มันชอบเจือกเรื่องของชาวบ้านเสียจริง ไอเจมส์’


ซึ่งเพื่อนทุกคนก็ช่างเออ ๆ ออ ๆ ตามไอเจมส์กันไปหมด ไอผมก็ทำท่าจะลุกออกจากวงเพราะไม่อยากเล่นแต่คุณคิดเหรอครับว่าพวกเพื่อน ๆ โดยเฉพาะไอเจมส์กับไอบาส จะปล่อยให้ผมหนีรอดเหรอครับ ขอบอกเลยว่ามันไม่ปล่อยผมครับเพราะตอนนี้มือของไอเจมส์และไอบาส…มันดึงผมให้นั่งลงพร้อมกับเข้าขนาบข้างผมทันที


“ไอกรมรึงไม่ต้องมาหนี มรึงเป็นผู้เล่ยรายแรกเลยครับ” ไอบาสเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอาแขนเข้าลอคผมไว้ข้างหนึ่ง “ใช่เกมส์นี้กรูเสนอเพื่อมรึงเลยนะครับไอกร” สิ้นเสียงของไอบาสเสียงของไอเจมส์ก็เอ่ยขึ้นตามมาติด ๆ พร้อมกับอามือเข้ามาลอคแขนผมอีกข้างหนึ่งไว้ สรุปสภาพผมตอนนี้โดยสหายรักทั้งสองลอคตัวไม่ให้ขยับเขยื้อนครับ


‘นี่พวกมรึงกลัวกรูหนีขนาดนี้เลยเหรอไงวะ’ ผมลอบคิดในใจและถ้ามันอยากจะให้ผมเล่นมากขนาดนี้ผมก็ไม่ขัดศรัทธามันครับ ‘เล่นก็เล่นว่ะ’ ถ้ามันโดนผมผมก็เลือกความกล้าแทนความจริงก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องกลัวโดนล้วงความลับหรือโดนมันถามอะไรพิสดาร ๆ


“เอาก็เอาวะ...มรึงจะบังคับให้กรูเล่นมา! กรูยอมเล่นกับพวกมรึงก็ได้” ผมพูดพร้อมกับตบเข่าแล้วกระเถิบเข้าไปใกล้ขวดเหล้านั้นพร้อมกับเอ่ยปากเริ่มเกมส์ทันที “กรูหมุนขวดเหล้าเปิดเอง พวกมรึงนี่เตรียมความกล้าหรือความจริงของพวกมรึงไว้เลยกุจะไล่บี้พวกมรึงเรียงคนเลยครับ” สิ้นเสียงผมก็ใช้มือหมุนขวดเหล้าอย่างแรง ขวดเหล้าค่อย ๆ หมุนวนไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็ชะลอลงและหยุดลงตรงหน้าไอเปอร์ครับ…


เพื่อน ๆ ทุกคนแสยะรอยยิ้มและจ้องหน้าไอเปอร์ด้วยสายตาชั่วร้ายแต่ก่อนที่พวกเราจะทำอะไรมันนะครับเราต้องเริ่มจากการถามว่าไอเปอร์จะเอาความกล้ามหรือความจริง


“คุณเปอร์ผู้โดนเปิดประเดิมคนแรกครับ…คุณมรึงจะเลือกความกล้าหรือความจริงครับคุณเปอร์” เสียงของไอเจมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับโปรยรอยยิ้มร้ายใส่ไอเปอร์ (ผมไม่อยากจะบอกเลยนะครับมันเป็นการเลือกที่ยากจริง ๆ ถ้าเลือกความกล้ามันก็กลัวโดนเพื่อนสั่งไปทำอะไรแปลก ๆ ถ้าเลือกความจริงเราอาจจะโดนคำถามพิสดาร ๆ ก็ไดครับ)


ไอเปอร์ในเวลาคิดไปสักพักจนในที่สุดเหมือนมันจะตัดสินใจได้และมันก็เลือกความจริงออกมาครับ “คุณกรูเลือกความจริงครับสหาย” ดูท่าทางมันมั่นใจมากเลยครับว่ามันไม่มีความลับให้ล้วง


แต่ทุกท่านคิดว่าไอเจมส์มันจะไม่มีเส้นสายสืบความลับล้วงความลับอะไรของเพื่อน ๆ เหรอครับ ผมไม่อยากจะบอกว่าไอเจมส์นี่สายมันเยอะมากครับมากจนน่ากลัว บางความลับหรือบางคำถามที่มันถามของมันเนี่ยผมไม่รู้ว่ามันขุดมาจากไหนเลยครับ คราวนี้ไอเปอร์ซวยแล้วครับซวยแน่นอน


“มรึงเลือกความจริงสินะครับคุณเปอร์ มรึงแน่ใจนะครับว่าจะเอาความจริง” เสียงของไอเจมส์ชั่วร้ายมากครับซึ่งผมก็กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เพราะกลัวในน้ำเสียงชั่วร้ายของมัน ซึ่งสีหน้าของไอเปอร์ที่ได้ยินคำถามนั้นมันก็ซีดลงทันทีแต่ด้วยคติประจำใจลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ดังนั้นไอเปอร์ก็ยังคงตัดสินใจเลือกที่จะพูดความจริงมากกว่าความกล้าครับ (ผมของบอกเลยว่าไม่ว่าคุณจะเลือกความจริงหรือความกล้า ไอเจมส์ก็หาเรื่องบัดซบหรือบรรลัยมาให้ทำ มาถามคุณได้ครับ)


“เปอร์ครับกรูให้โอกาสมรึงแล้วนะครับแต่ถ้ามรึงเลือกความจริง ดังนั้นกรูก็ไม่ขัดศรัทธามรึงแล้วครับ” ไอเจมส์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิทมันนิ่งเงียบไปอีกสักพักก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยคำถามออกมา


“เพื่อนเปอร์ครับ...กรูได้ยินข่าวเกี่ยวกับมรึงมาครับตอนปิดเทอมอาทิตย์แรก มรึงรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปทันทีซึ่งเท่าที่คุณกรูสืบมาได้หลังจากที่มรึงถึงบ้านมรึงก็รีบร้อนขับรถออกไปรับใครสักคนสงสัยว่าจะไปเที่ยวทะเลกันหละมั้งแถมที่มรึงไปเที่ยวครั้งนั้นมรึงไม่ได้ไปกับครอบครัว คำถามของกรูก็คือ คน ๆ คือใครเพศหญิงหรือชายและความสัมพันธ์ระหว่างมรึงกับเขาคืออะไร และตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว” ไอเจมส์ยิ้มที่มุมปากหลังจากที่มันเอ่ยคำถามออกไปจนหมด งานนี้คำถามนี้ทำเอาเพื่อนเปอร์ของเราถึงกับหน้าซีดหนักกว่าเก่าเลยครับ


ความจริงไอเจมส์มันคงรู้อยู่หนะครับว่าคนในรถเป็นใครและมีความสัมพันธ์กับไอเปอร์ลึกซึ้งขนาดไหน (ตามที่บอกครับแหล่งข่าวมันดีจริงอะไรจริง) แต่ที่มันถามออกไปแบบนี้มันแค่อยากแกล้งไอเปอร์ที่ปิดบังพวกผมเท่านั้นหละครับ มันก็แค่อยากให้เพื่อนฝูงเปิดตัวคนพิเศษออกมาก็เท่านั้นครับ


ไอเปอร์เงียบไปสักพักใหญ่ ๆ แต่ในเมื่อตัวเองเลือกความจริงไปแล้วก็ต้องพูดความจริงออกไปหละครับ (ในเกมส์นี้มันจะมีกฎอีกอย่างหนึ่งซึ่งถ้าเลือกความจริงแล้วไม่พูดความจริงอาจจะโดนบทลงโทษอะไรแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครพูดโกหกหรอกครับยังไงก็เล่นกันในวงเพื่อนสนิทอยู่แล้ว)


“กรูไปกับพิมพ์เด็กคณะนิเทศ ความสัมพันธ์กำลังดูใจกันอยู่ ส่วนขั้นไหน…กรูไปเที่ยวกับเขากรูยังแยกห้องนอนกันมรึงคิดว่ากรูกับเขาจะไปถึงขั้นไหนได้ว่ะ!” ไอเปอร์แม่มตอบออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่จะยินดีนัก ที่มันบ่นแบบนี้แสดงว่ามันคิดว่าจะเผด็จซึกสาวคณะนิเทศน์ที่ทะเลแน่นอนครับ


ไอประโยคแรก ๆ พวกผมก็พยักหน้าตอบรับกันอยู่หละครับแต่พอในประโยคสุดท้ายที่ไอเปอร์มันพูดออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ พวกผมนี่ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง แถมบางคนมีการนอนกลิ้งไปชักดิ้นชักงอเสียด้วย ความจริงพวกคุณจะบอกว่าพวกผมแย่ก็ได้นะครับ เพราะพวกผมถือคติว่า ‘ความทุกข์ของเพื่อนคือความสุขของเรา’ ครับ ดังนั้นการที่พวกผมหัวเราะชักดิ้นชักงอสะใจบนความทุกข์ของไอเปอร์นั้นถือเป็นเรื่องปกติครับ


หลังจากที่พวกเราสูดลมหายใจเข้าปอดกันเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปของเกมส์ก็คือให้คนที่โดนปากขวดชี้ในรอบที่แล้วเป็นคนหมุนต่อตาไปครับ ซึ่งหน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของไอเปอร์ครับผมรอให้ไอเปอร์ทำใจไปสักพัไม่นานนักเกมส์ตาต่อไปก็เริ่มขึ้นไอเปอร์ยื่นมือไปหมุนขวดที่อยู่ตรงกลางวงพร้อมกับลดมือมานั่งดราม่ากับชีวิตของมันต่อ


คราวนี้ขวดมุนหมุนไปตรงกับเพื่อนบอสครับ ทุกท่านไม่รู้จักมันสินะครับเอางี้ผมอธิบายสหายในกลุ่มทั้งหมดให้พวกคุณฟังก่อนดีกว่าแล้วค่อยเล่าต่อว่าไอบอสมันจะเลือกความจริงหรือความกล้า กลุ่มของผมมี 9 คนครับถ้าตัดผม ไอเจมส์ ไอบาส ไอเปอร์ ทืพวกคุณรู้จักแล้วในวงยังมี ไอบอส ผู้ที่ถูกปากขวดชี้เป็นรายที่สองนิสัยมันออกจะเงียบ ๆ ครับแต่อย่าให้มันมีเรื่องพูด ถ้ามันพูดทุกคนต้องอุดปากมันแน่นอนครับเพราะเห็นมันเงียบ ๆ แต่เรื่องพูดมันเยอะนะครับ คนถัดไปคือไอฟองครับไอนี่…ผมจะอธิบายมันยังไงดีหละเอาเป็นว่ามันอาร์ตครับอาร์ตเสียจนนึกว่ามันอยู่ศิลปกรรมศาสตร์ครับนึกมันเป็นเด็กศิลป์กันหมดแล้วครับและขอบอกว่าอย่าไปขัดตอนมันบิ้วความอาร์ตนะครับอาจจะโดนมันแผ่นกระบาลได้ คนถัดมาคือไอแมกซ์ครับไอนี่จืดจางอย่าไปพูดถึงมันเลย เอ้ยสงสารมันเหรอครับก็ได้ครับมันเป็นคนจืดจางของกลุ่มครับมันเป็นคนเงียบ ๆ แต่เหล้าเข้าปากเมื่อไหร่หละสนุกสนานครับผมสนิทกับมันได้เพราะอยู่ในวงเหล้าเนี่ยหละครับถ้าไม่ได้ไปกินเหล้ากับมันไม่มีทางสนิทกับมันได้หรอกครับ คนถัดมาคือไอวิวครับชื่อเสียงเรียงนามเหมือนผู้หญิงแต่ตัวจริงมันก็แมนแท้ครับแม้ชื่อจะน่ารักน่าหยิกแต่ก็นะ ตัวมันไม่หน้าหยิกอย่างชื่อมันหรอกครับส่วนสูง 187 เซน มันเป็นนักบาสของคณะครับ ซึ่งไอวิวก็ซี้กับเฮียก๊อตพี่รหัสของผมพอ ๆ กับไอเจมส์นั่นหละครับในวงเหล้าก็มีเท่านี้หละครับ แต่เพื่อนในกลุ่มของผมมี 9 คนใช่ไหมพอดีคนที่ 9 เขาบอกว่าถ้าเกิดผู้หญิงไปคอนโดหรือหอเพื่อนผู้ชายมันไม่ดีนางเลยขอตัวอยู่บ้านวันเปิดเทอมค่อยเจอกันครับ ทุกท่าคงจะสงสัยกันอีกสินะครับว่าทำไมผมถึงเรียกเพื่อนคนนี้ว่านางใช่ไหมครับ ที่ผมเรียกแบบนั้นก็เพราะนางเป็นผู้หญิงไงครับเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ที่ไม่ใช่สาวประเภทสองครับแต่จะเรียกนางว่าเป็นผู้หญิงก็ถูกนักหรอกเพราะนางอึด ถึกและทนมาก ขนาดผมเป็นผู้ชายยังยอมแพ้ความถึกของนางเลยแต่นางเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เท่านั้นนะครับแต่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถึกได้ขนาดนั้น ผมลืมบอกชื่อของนางไปสินะครับนางชื่อพรีมครับ เป็นสาวสวยประจำกลุ่ม ในกลุ่มนี่นางสวยที่สุดแล้วครับ (ก็นางเป็นผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มครับ ถ้านางไม่สวยที่สุดก็แปลกหละครับ)


เอาหละหลังจากที่ผมเล่าถึงเพื่อนของผมทั้งหมดคราวนี้เรามาดูกันว่าเพื่อนบอสของเรานี่จะเหลือความจริงหรือความกล้า ซึ่งไม่ต้องคิดมากเลยครับไอบอสมันเลือกความกล้า คราวนี้เป็นหน้าที่เพื่อนบาสแล้วครับว่ามันจะตัดสินใจให้เพื่อนบอสมันทำอะไร (ไอบาสเป็นบุคคลที่คิดอะไรแผลง ๆ ให้เพื่อนทำได้เสมออย่างเช่นตอนที่ผมแพ้ไพ่จนต้องไปสารภาพรักกับพี่ศิอันนั้นมันก็คิดครับ)
“เพื่อนบอสครับถ้าเพื่อนสอบเลือกความกล้า” ไอบาสเงียบเสียงตัวเองไปสักพักให้ไอบอสใจเสียเล่น ๆ มันเงียบเสียบลงไปไม่นานนักมันก็โปรยยิ้มร้ายพร้อมกับออกปากสั่งไอบอสทันที “กรูของสั่งให้มรึง ไปไล่เคาะประตูคอนโดชั้น 14 ทุกห้องยกเว้นห้องไอกรกับพี่ศิแล้วไปขอเบอร์ครับ”


ไอบาสสั่งอย่างงี้ไอบอสก้หน้าซีดครับคือไอไปเคาะห้องไม่เท่าไหร่ แต่ให้ขอเบอร์ด้วยเนี่ยสิงานหนักเลยครับซึ่งไอบอสมันทำหน้าเสียอยู่นานจนในที่สุดมันก็ยอมออกไปไล่เคาะประตูห้องทุกห้องในคอนโดชั้น 14 นี้ (ซึ่งมีไม่ถึงสิบห้องครับน่าจะสัก 8 ห้องและถ้าตัดห้องของผมกับพี่ศิไปมันก็เหลือไปเคาะประตูแค่ 6 ห้องเองซึ่งจิ้บ ๆ ครับแต่ไองานหนักคือขอเบอร์นี่หละครับคือคอนโดผมนี่ใกล้มหาลัยครับเลยจะมีพวกเด็กมหาลัยอยู่เยอะแต่ชั้นบน ๆ นี่ราคาห้องจะสูงเลยจะมีแต่พวกผู้ใหญ่อยู่กันซึ่ง…มันคงโดนด่ากลับมาทุกห้องหละครับ) ไอบอสเดินออกไปเคาะประตูห้อง 1401 – 1408 สักพัก (โดยมีตากล้องบาสเดินตาม) ไม่นานนักสักสามสิบนาทีได้ ไอบอสก็เดินกลับเข้าห้องมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของไอบาส


ไอบาสหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลไปหลายตลบจนในที่สุดมันก็ส่งมือถือของมันวางไว้กลางวงแล้วปล่อยให้เพื่อน ๆ ทุกคนดูความหรรษาของคำสั่งนี้ และหลังจากที่ทุกคนดูแล้วทุกคนก็มีอาการไม่แพ้กับไอบาสที่ตอนนี้ยังไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองได้เลยครับมันยังคงนั่งทุบพื้นหัวเราะอยู่อย่างนั้น พวกเราทุกคนในห้องหัวเราะกันอยู่นาน ในที่สุดเกมส์ตาต่อไปก็ได้เริ่มสักทีครับ และหน้าที่เปิดเกมส์ก็เป็นไอบอสครับมันยื่นมืออันอ่อนระโหยโรยแรงไปหมุนขวดก่อนจะผละมือออกจากขวดครับ พวกเรานั่งลุ้นกันต่อไปว่าคราวนี้ปากขวดมันจะไปหยุดที่ใคร ผมแอบหันมองไปด้านข้างทั้งสองของผมครับไอเจมส์กับไอบาสเหมือนจะสวดมนต์ภาวนาอะไรสักอย่างอยู่ในที่สุดขวดที่กำลังหมุนอยู่ก็ค่อย ๆ ชะลอและค่อย ๆ หยุดลง คราวนี้ผมให้เดาครับว่าปากขวดมันมาหยุดที่ใคร 1 ไอเจมส์ 2 ไอบาส 3 ผม… ผมให้เวลาคุณคิดหนึ่งนาทีครับแล้วผมจะมาเฉลย


เอาหลังครับคุณอ่านผ่านไป 1 บรรทัดผมขอมโนว่ามันผ่านไป 1 นาทีแลว ใครที่เดาว่าไอเจมส์หรือไอบาสโดนนี่คุณคิดผิดครับเพราะคนที่โดนปากขวดเหล้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าคือ…ผมเอง…


เอาหละครับผมเริ่มหน้าซีดไอเพื่อนสองตัวที่อยู่ด้านข้างก็กระยิ้มกระย่อง เหมือนกับว่ากำลังยินดีปรีดาอะไรสักอย่างผมไม่อยากจะบรรยายเลยว่ารอยยิ้มของพวกมันสองตัว เออ…เรียกว่ารอยยิ้มของคนทั้งห้องจะดีกว่าครับผมไม่อยากจะบรรยายออกมาว่ามันยินดีปรีดากันขนาดไหน ไอรอยยิ้มนี้ผมรู้เลยจุดประสงค์ของการเล่นเกมส์เนี่ยเลย พวกมันต้องการมาล้วงความลับจากผมชัด ๆ ไม่งั้นพวกมันทุกคนไม่ลุ้นให้ปากขวดมาหยุดที่หน้าผมกันขนาดนี้หรอกครับ


แล้วทุก ๆ คนคิดเหรอครับว่าผมจะยอมเลือกความจริงผมไม่เลือกอยู่แล้วผมเลือกความกล้าออกไปแทนซึ่งไอการที่ผมเลือกนี่มันทำให้เพื่อน ๆ ของผมนี่อารมณืเสียกันไปเป็นแทบ ๆ ผมรอไอเจมส์กับไอบาสสั่งไปสักพักเหมือนว่ามันจะไปตกลงความคิดเห็นกันได้ในที่สุดทั้งสองคนก็คลี่รอยยิ้มที่แสนชั่วร้ายออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำสั่งที่ทำให้ผมอยากจะไปกระโดดตบหัวพวกมันทั้งสองคนอย่างแรง


“เพื่อนกรครับไหน ๆ กรูก็สนิทกับมรึงมากที่สุดกรูเลยไม่อยากสั่งอะไรรุนแรงกับมรึงครับ…ดังนั้นคำสั่งที่กรูกับไอบาสไปคิดกันมากนั่นก็คือ มรึงจงตอบคำถามที่พวกกรูสองคนถามทุก ๆ จนกว่ากรูจะพอใจครับ” เอากับมันไหมหละยังไงมันก็อยากรู้เรื่องของผมกับพี่ศิให้ได้ไอเราก็เลือกความกล้าไปแล้วนึกว่าตะรอด ดันเจอคำสั่งที่น่าสยองกว่าเลือกความจริงอีกครับไอตอนแรกผมก็ทำทีไม่ยอมมันอยู่หรอกแต่เพื่อนทุกคนต่างตะโกนบอกว่าผมปอด ผมไมได้เรื่องจนผมต้องตัดสินใจตบปากตกลงว่าจะทำไป


“เอา…ถ้ามรึงสั่งแบบนี้โอเคกรูทำ” มันบอกให้ผมตอบทุกคำถามที่พวกมันถามแต่มันไม่ได้บอกว่าผมห้ามโกหกนี่ครับจริงไหม
ผมกอดอกกรอคำถามของพวกมันจนในที่สุดคำถามแรกก็ถูกเอ่ยออกมาจากปากของไอบาส “มรึงกับพี่ศิเป็นอะไรกันวะ”


มันเป็นคำถามแรกที่ผมเดาเลยครับว่ามันต้องถามคำถามนี้ซึ่งคำถามนี้ผมไม่มีปัญหากับการตอบคำถามครับ “กรูไม่ใช่แฟนของพี่ศิพี่ศิเป็นคนสำคัญของกรู” แค่ตำตอบนี้ของผมเพื่อนผมทั้งห้องก็โห่ร้องแซวผมกันเกรี้ยวกร้าวไอผมนี่ก็มานั่งคิดว่าผมบอกพวกมันไปเนี่ยผมคิดถูกหรือเปล่า ผมปรายสายตามองหน้าไอเจมส์และไอบาสที่อมยิ้มน้อย ๆ


“แล้วที่มรึงพาพี่ศิไปที่บ้านมรึงพาพี่เขาไปทำอะไรว่ะ อันนี้กรู้เพราะคุณปากับคุณม๊ามรึงโทรมาเมาส์แตกกับกรู” ไอเจมส์พูดพร้อมกับริมฝีปากที่ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


“เลี้ยงเค้ก” ผมตอบมันไปตรง ๆ ก็พาพี่ศิไปบ้านก็จะพาพี่ศิแกไปเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมนั่นหละครับ แต่ดูเหมือนคำตอบนี้ของผมจะไม่เป็นที่พอใจของเพื่อน ๆ สักเท่าไหร่นักเพราะจากท่าทางของพวกมันนี่ส่งเสียงจิ้จะไม่พอใจไม่ก็เบ้หน้ากัน (อ่อผมลืมบอกนะครับไอพวกเพื่อน ๆ ของผมตอนนี้กดโทรศัพท์หาพรีมสาวคนเดียวของกลุ่มแถมพวกมันนี่เปิดโฟนพร้อมเลยครับ)


“แล้วมรึงกับพี่ศิขั้นไหนกันแล้ววะ เห็นไปที่บ้านก็นอนห้องเดียวกัน ตอนนี้มรึงก็ยังมานอนห้องพี่เขาอีกมรึงอธิบายให้เคลียร์ข้อนี้พวกกรูอยากรู้มาก” ไอคำถามนี่ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเลยครับไอพวกนี้นะ ผมกับพี่ศิยังไม่ใช่คนพิเศษกันสักหน่อยจะให้มันเกินเลยไปขั้นไหนกันได้หละครับก็บอกว่าคนสำคัญและยังไม่ใช่แฟนไอพวกนี่ก็มโนเดากันไปได้เลยเรื่อย ๆ นะ ผมถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเอ่ยปากตอบพวกมันออกไป


“…ขั้นไหนหละมรึง...กรูมาผลาญไฟห้องพี่ศิเท่านั้นห้องนอนก็แยกห้องกัน ส่วนที่บ้านพี่ศิเค้านอนบนโซฟา ส่วนกรูนอนดิ้นมันบนเตียงนี่มรึงถามกรูแบบนี้ มรึงอยากให้กรูเสียตัวมากเลยไงว่ะ” สิ้นเสียงผมก็ประเคนมือไปตบหัวของไอบาสและไอเจมส์ทันทีข้อหามันคิดแต่อยากจะให้ผมเสียตัวให้พี่ศิ


ซึ่งไอพวกเพื่อนที่ลุ้นคำตอบก็ทำหน้าเหมือนจะผิดหวังแถมบางคนมีตบไม้ตบมือกันแล้วพูดใส่อีกคนว่า ‘มรึงเสียพนันให้กรูแล้วจ่ายมาซะดี ๆ’ ประเด็นคือนี่พวกมรึงเอาเวอร์จิ้นกรูไปพนันกันเหรอวะครับอย่างงี้มันน่าต่อยเรียงตัวจริง ๆ ผมหน้ามุ่ยมองเพื่อนทุก ๆ คนก่อนจะยืนขึ้นแล้วเดินออกจากกลุ่มไปแต่ผมก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะมือของไอเจมส์มันรั้งแขนของผมไว้อยู่


“แล้วที่คุณเจ้โทรมาบอกกรูหละวะ…ที่มรึงกับพี่ศิจูบกัน” ประโยคนี้ทำเอาผมชะงักและเพื่อน ๆ ทุกคนที่อยู่ในห้อง (ยกเว้นพรีมไว้คนนะครับแม่นี่แค่ร้องเสียงหลง) ต่างหันไปทางต้นเสียงก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมแล้วพวกมันก็ส่งเสียตกใจออกมา


ผมขมวดคิ้วแน่นพลางคิดในใจว่า ‘คุณเจ้นี่เอาเรื่องผมไปเล่าให้ใครฟังมั่งวะ’ แต่ผมก็ต้องหลุดออกจากผวั่งเพราะไอเจมส์มันเขย่าแขนผมให้ผมตอบคำถามผมก้มมองมันที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้น รอยยิ้มและแววตามันมุ่งร้ายกับผมมากเลยครับท่าทางของมันนี่แบบว่าถ้าไม่ได้คำตอบจากผมมันจะไม่ปล่อยมือผม


“ไม่ได้จูบ...คุณเจ้เข้าใจผิดคุณเจ้มโนไปเองโอเคป่ะ” ผมตอบไปตามความจริงครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้พูดไปถึงเหตุการณ์หลังจากนั้นครับซึ่งปฏิกิริยาของผมนี่ทำเพื่อน ๆ เสียเซลเป็นแทบ ๆ นี่ผมตอบความจริงทุกข้อเลยนะครับแถมกลัวว่าคำถามที่พวกมันถามมันน่าจะน่ากลัวกว่านี้อันนี้จิบ ๆ เบ ๆ ไม่ต้องโกหกก็เอาตัวรอดได้ครับผมสะบัดมือของไปเจมส์ออกแล้วเดินออกจากวงไป


อย่างน้อยคำถามที่มันถามผมก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดล้วงลับถึงไส้ถึงพุงผมมันเป็นคำถามที่ตอบได้ง่าย ๆ และไม่มีอะไรน่ากลัวกับคำถามผมเลยหละครับ และหลังจากที่ผมออกจากวงเหล้าไปพวกสหายทั้งหมดของผมก็เลิกเล่นเกมส์นี้และนั่งดื่มกันอย่างปกติสุขกันต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนสหายทั้งหมดของผมก็หมดสภาพนอนตายกันเป็นแทบ ๆ ไอผมก็ได้แต่มองพวกมันและทิ้งตัวลงนอนที่โซฟา


‘เพื่อนก็นอนลำบากละ นอนลำบาก ๆ เป็นเพื่อนพวกมันแล้วกัน ถ้าเก็บของพรุ่งนี้หวังว่าพี่ศิจะไม่โกรธที่ทำห้องรกขนาดนี้นะ แถมผมยังมีข้อติดค้างจากพี่ศิอยู่ด้วยถ้าโกรธขึ้นมาแล้วต้องทำอะไรแผลง ๆ ให้พี่แกนี่ผมซวยแน่ ๆแต่ช่างมันเถอะยังไงพี่ศิก็ไม่ขอเกินขอบเขตของฐานะที่ผมให้พี่เขาอยู่แล้ว’ ผมคิดแบบนั้นก่อนจะซุกตัวนอนขดบนโซฟาและเข้าสู่ห้วงนินทราไป




__________________________________________



...โบกทิชชู่ด้วยความมึนและความเมา// เจอกันตอนหน้าค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
รู้สึกว่าเพื่อนๆ เชียร์อยากให้กรมีปั๋วจังเลยนะ
ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
มารอลุ้นดีกว่า พี่ศิจะขออะไรน้องกร

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
เพื่อนๆสนับสนุนให้น้องกรมีฝามีขนาดนี้น้องกรก็น่าจะทำตามนะคะ ฝาระมีแสนดี ดีกรีคุณหมอในอนาคตเลยนะคะ!

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
โธ่ น้องกรจ๋าเปิดใจมองพี่ศิมั่งสิลูกเอ๊ย :ling1:
สงสารพี่ศิเบาๆ   :a6:
แต่รักจริงก็ต้องสู้ต่อไปล่ะนะพี่ศิ ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มที่เลย สู้ตายพี่ศิ :a2:

รอตอนต่อไปค่ะ  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ karatop

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
แหมๆๆๆ เป็นสำคัญของกันและกัน ใกล้แล้วอ่ะดิ คิคิ ^^"

ออฟไลน์ DZiik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พี่ศิจะให้น้องการทำอะไรหว่า  :hao3:

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
แหมคนสำคัญของกันและกัน
พี่ศิต้องการอะไรจากน้องกรกันแน่นะ

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
พี่ศิน่ารักง่ะ อยากได้คนเป็นนี้เป็นแฟน ฮาา

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
พี่ศิ น้องกร โอ้ยยยยน่ารักอะ เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันซักที่ คาดว่าพี่ศิคงพร้อมเป็นแฟนนานแระ น้องกรรู้ตัวไวๆนะว่าตอนนี้พี่ศิอะจีบอยู่ :impress2:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0







Chapter 17



อรุณสวัสดิ์นะครับทุกคนเช้าวันนี้เป็นเช้าของวันเปิดเทอมใหม่ครับซึ่งการลงทะเบียนเรียนผมก็ลงเรียบร้อยไปเมื่อสามวันก่อน ดังนั้นวันนี้ผมก็ได้เวลาไปเรียนแล้วครับวิชาแรกของเทอมคราวนี้ผมเรียนช่วง 11 โมงเช้าจนถึงเที่ยงครึ่งครับ และต่อด้วยวิชาตอนบ่ายที่เรียนตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งจนถึงสี่โมงครึ่งเลยครับ เรียนแบบนอนสต็อกสามชั่วโมงติดเลยทีเดียว แต่มันก็ไม่คนามือผมหรอกครับ เพราะเย็นนี้มีสิ่งดึงดูดให้ผมพยายามเร่งเรียนให้หมดวัน…นั่นก็เป็นเพราะพี่ศิจะเลี้ยงข้าวผมครับ (ทุกท่านคงคิดว่าทุก ๆ วันพี่ศิก็ทำกับข้าวให้เอ็งกินอยู่แล้วกรแล้วมาดีใจอะไรกับการเลี้ยงข้าง) พอดีพี่ศิ พี่วิ พี่เตอร์ จะนัดเลี้ยงสายครับดังนั้นพี่ศิเลยชวนผมไป ผมก็เลยเกาะติดเป้นปลิงดูดเลือดไปเขาไปด้วยเรื่องมันก็เป็นฉะนี้แล


และทุกท่านคงจะสงสัยต่ออีกสินะครับหลังจากเมื่อคืนนั้น คืนที่พวกผมยืมห้องพี่ศิก๊งเหล้ากันหละครับ เมื่อพี่ศิกลับมาถึงห้องในตอนปีสองกว่า ๆ พวกเราทุกคนก็ตื่นครับ ตื่นมานั่งฟังเสียงเทศน์ของพี่ศิกัน พี่แกไม่ได้ว่าอะไรที่พวกเราทำห้องรกหรอกครับแต่พี่แกบ่นว่าดื่มเหล้ามากไม่ดี นี่ดื่มกันไปกี่ขวด และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง หลังจากพวกเราฟังเทศน์จากพี่ศิเสร็จพวกเพื่อน ๆ ของผมทุกคนก็ตาสว่างและทำตัวเป็นเด็กดีสำนึกผิดช่วยกันเก็บข้าว เก็บของ ที่วางระเกะระกะอยู่ที่พื้นและปูพรมให้เรียบร้อยเหมือนเดิม ดูเหมือนการเก็บห้องจะทำให้พี่ศิหายโกรธได้หน่อยหนึ่ง แต่ผมไม่อยากจะอวดนะครับผมนี่หละเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องที่ไม่โดนพี่ศิว่าเอา เพราะผมดื่มไม่มาก และยังมีสติ พี่ศิเลยไม่ว่าอะไรผม


แล้วหลังจากเรื่องห้องของพี่ศิทุกท่านก็ยังคงคาใจกับข้อแลกเปลี่ยนของพี่ศิที่มีต่อผมใช่ไหมครับ ผมจะบอกอะไรให้ว่าตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้พี่ศิแกไม่ได้เอ่ยปากขอข้อแลกเปลี่ยนกับผมเลยครับ และที่สำคัญเหมือนพี่ศิแกจะลืมไปแล้วด้วย แต่ก็คาดเดาแบบนั้นไม่ได้เพราะคนอย่างพี่ศิเป็นมนุษย์ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาก ดังนั้นพี่เขาต้องมีแผนร้ายอะไรในใจแน่นอนเลยครับ ผมขอเอาหัวของผมเป็นประกันเลยครับว่าแกต้องกำลังคิดข้อแลกเปลี่ยนกับผมอยู่แน่นอน


เอาหละครับหลังจากที่ผมบรรยายไปเสียยืดยาวตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้วได้เวลาผมจะต้องไปเรียนวิชาแรกแล้วหละครับผมขอตัวก่อนนะครับ อ่อแล้วใครคิดว่าพี่ศิจะไปส่งผมนี่พวกคุณคิดผิดเลยครับเพราะว่าพี่ศิไปเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้าแล้วครับ แต่ตอนเย็นพี่ศิแกจะมารับผมนะครับดังนั้นผมจึงต้องใช้บริการสารถีกิตติมศักดิ์คนที่สองคือไอบาส (ไม่ก็ไอเจมส์ครับ) และตอนนี้ผมก็ออกมายืนรอมันหน้าคอนโดผมแล้วครับ (ความจริงผมก็เห็นใจมันนะ ต้องขับรถจากหอในมารับผมแล้วก็ต้องขับเข้าไปอีกแต่ทำไงได้หละครับ ผมไม่อยากเสียเงินนี่เพราะช่วงนี้ผมกำลังเก็บเงินอยู่ด้วยสิ) ผมยืนรอไอบาสไปสักพักไม่นานมอเตอร์ไซค์คู่ใจของมันก็ขับมาเทียบท่าพร้อมให้ผมขึ้นไปซ้อนแล้วครับ ซึ่งแน่นอนผมก็รีบซ้อนและบอกให้มันขับออกไปทันที ความจริงมันก็เหลือเวลาตั้งเยอะนะครับกว่าจะเข้าเรียนแต่ผมอยากไปเจอหน้าเพื่อน ๆ ก่อนเข้าเรียนจะได้เมาส์อะไรได้สะใจ ไม่งั้นเข้าเรียนแล้วจะไม่มีเวลาพูดกัน ซึ่งการขับมอเตอร์ไซค์มันเร็วกว่าขับรถยนต์ครับดังนั้นเราจึงใช้เวลาไม่นานมากนักก็ขับมาจอดที่ตึกคณะแล้วครับ
ผมเดินตรงเข้าไปใต้คณะพร้อมกับยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ตั้งแต่ปี 2 ยันปีสูง ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนซึ่งเป็นที่นั่งประจำของพวกผม และเมื่อผมเดินไปถึงโต๊ะผมก็ยกมือขึ้นทักทายทันที แต่ไอพวกเพื่อนทั้งหลายต่างส่งเสียงโห่ร้องแซวผมเรื่องพี่ศิกันยกใหญ่ไม่เว้นแม้แต่พรีมสาวน้อยคนเดียวของกลุ่ม (มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจทันทีเลยครับว่าผมไม่น่าเล่าเรื่องผมกับพี่ศิให้พวกมันฟังเล้ย)


“กรแม้ตอนนั้นเราจะมิได้อยู่ร่วมวงเหล้าแต่เราได้ยินเสียงกรทุกประโยคนะจะ” เสียงเล็กของสาวน้อยนามว่าพรีมเอ่ยขึ้นเธอพูดพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมา ท่าทางเช่นนั้นของเธอน่ารักน่าชังมากครับผมอาจจะใจสั่นได้ถ้าสิ่งที่เธอพูดไม่ใช่เรื่องที่เธอกำลังพูดล้อผมอยู่ ซึ่งผมกได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่เธอไปซึ่งสาวพรีมเธอก็ไมได้ทุกร้อนกับการกระทำของผมทั้งยังออกปากชมผมเสียอีกว่าท่าทางแบบนั้นของผมน่ารัก “อร้ายย….น่ารักจังเลยกร แต่ตอนพรีมได้ยินกรพูดนะ พรีมขอบอกเลยว่าตกใจมาก ก็พรีมคิดว่ากรไม่น่าจะตกลงปลงใจกับตกเป็นพี่ศิ”


คำถูดของพรีมทำเอาผมแทบจะกัดลิ้นตาย พรีมกับพรีม พรีมพูดอะไรออกมาครับเพื่อนกรคนนี้ยังไม่เสียเวอร์จิ้นครับ “พรีมครับ พูดอะไรกับครับใครตกลงปลงใจเป็นของใครกันพรีม ฟังมั่วแล้ว” ผมพูดตอบพรีมไปซึ่งพรีมก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ


“วิวกับฟองบอกพรีมว่ากรมีสามีแล้วอะ เอ้านี่ยังไม่ได้เสียกันอีกเหรอ” บางครั้งผมก็คิดว่าพรีมเป็นคนที่พูดตรงเกินไปครับ ตรงมากจนแบบ…เออผมอธิบายไม่ถูกครับแต่รู้คงแนว ๆ ขวานฝ่าซากหละมั้งครับ (บางทีการพูดตรง ๆ แบบนี้ของพรีมทำให้เข้ากลุ่มสาว ๆ ไม่ได้ครับเธอเลยรเห็จมาอยู่กลุ่มพวกผมไง แต่พรีมเขาเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของผมครับเธอจะสนิทและอยู่กลุ่มของกับพวกผมก็ไม่แปลกหรอกครับ)


สิ้นเสียงของพรีมเล่นทำเอาผมจะเป็นลมนอนฟุบไปกับพื้นแต่นี่ผมให้อภัยพรีมนะครับเพราะเธอพูดด้วยหน้าตาเหลอหรา แบบคนไม่รู้เรื่องจริง ๆ แต่ไอคนที่รู้เรื่องแต่เอาไปสื่อสารกันผิด ๆ แบบไอวิวกับไอฟองนี่ต้องมีไล่เตะครับ ผมปรายตามองไปยังไอสองคนนั้นทันทีซึ่งพวกมันก็รู้ครับว่าผมหมายหัวของมันอยู่ ไม่ทันที่ผมจะได้ เตะอะไรมันไอสหายสองคนนั้นก็วิ่งหนีขึ้นลิฟท์ไปเรียนแล้วครับ ‘เรื่องหนีนี่พวกมรึงไวหยั่งกับปรอทจริง’


“…พรีมครับกรกับพี่ศิเป็นพี่คนพิเศษกันนะครับ ยังไม่ได้เกินเลยขนาดนั้นครับพรีม” ผมพยายามใจเย็นพูดบอกพรีมไป ซึ่งพรีมก็พยักหน้าเข้าอกเข้าใจนะครับและหลังจากผมพูดอธิบายให้เธอฟังจนหมดสิ้น เธอก็เอ่ยพูดประโยคที่ทำให้ผมเกือบจะสำลักอากาศเลยครบ “อ่อ…คนพิเศษของกันและกันเหรอดูโรแมนติกจังเลย งั้นแบบนี้แสดงว่าอีกไม่นานกรจะต้องสละโสดแล้วสิเนี่ยแบบนี้พรีมให้อะไรกรเป็นของขวัญวันสละโสดของกรดีเนี่ย…” ผมยกมือขึ้นบอกให้พรีมเขาหยุดพูดแต่ทว่าสาวพรีมของเราจะหยุดการจินตนาการของตัวเองไม่ได้แล้วหละครับตอนนี้เธอยิ่งเพ้อใหญ่เลยครับ พูดอะไรเคะ ๆ เมะ ๆ วาย ๆ เนี่ยหละ เล่นทำเอาผมปวดสมองไปเลย ผมเลยขอตัดบทสนทนาของพรีมกับผมลงแค่นี้ครับก่อนที่ผมจะเมากับคำพูดเธอไปเสียก่อน


หลังจากผมตัดจบบทสนทนาไม่นานก๊วนเพื่อนของผมก็มายังดต๊ะม้านั่งประจำของเราจนครบ (ขาดแต่ไอวิวกับไอฟองที่ตอนนี้มันหนีตรีนผมขึ้นไปรอที่ห้องเรียนแล้ว) และในเมื่อเพื่อนของเรามาครบก๊วนสักทีตอนนี้พวกเราก็ได้เวลาเคลื่อนย้ายก้นออกจากเก้าอี้และขึ้นไปที่ห้องเรียนกันได้แล้วครับ ผมลุกขึ้นเป็นคนแรกก่อนที่หลาย ๆ คนจะลุกตาม ตอนนี้เป็นเวลา 10.45 นาทีแล้วครับดังนั้นถ้าไม่รีบนี่มีแววอาจจะเข้าเรียนสายตั้งแต่คาบแรกก็ได้ครับ


พวกเรารีบวิ่งขึ้นห้อง (เพราะลิฟท์ไม่ว่าง ดันไปขึ้นตอนช่วงใกล้เรียนคนก็เยอะเป็นธรรมดาครับ) กันอย่างรวดเร็วในที่สุดเราก็วิ่งขึ้นมาถึงห้องเรียนจนได้ เวลาก็พอเหมาะ อีกห้านาทีจะสิบเอ็ดโมง พอผมเปิดประตูเข้าไปในห้องผมก็เจอหน้าไอวิวกับไอฟองนั่งกันหน้าสลอนอยู่แถวที่สามครับ ผมเลยเดินตรงเข้าไปพร้อมกับตลบหัวมันคนละทีแล้วทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ พวกมันสองคน ถัดจากผมไปก็เป้ฯไอเจมส์ ไอบาสและคนที่เหลือครับส่วนพรีมเธอนั่งแถวสองครับเพราะด้วยเหตุพวกผมตรงสูงเปรตเกินไปถ้าไปนั่งหลังพวกผมเธอคงเรียนไม่รู้เรื่องแน่นอน


เวลาล่วงเลยไปถึงสิบเอ็ดโมงสิบห้านาทีพวกเราก็เพิ่งจะได้พบหน้าอาจารย์ของเราครับ (บางทีผมคิดว่ามันน่าจะมีแบบ จารย์เข้าเลต 15 นาทีหมดสิทธิสอน อะไรแบบนั้น อย่างพวกผมนี่ สิบห้านาทีหักคะแน หลังสามสิบนาทีเชคขาไรงี้อะครับ) ครอสเอาท์ไลน์ถูกแจกให้ทุกคนในห้องผมก้มมองเนื้อหาวิชาเรียนจนตาแทบถลน วิชานี้เป็นวิชาเกี่ยวกับการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ครับ ซึ่งผมคิดว่าทุก ๆ คนคงเคยเจอกับภาษานรกนี้มาตั้งแต่ม.ปลายแล้ว เช่นไอคำว่า Hello world. ไงครับ (แต่ว่าไอคำว่า Hello world.นี่…ในข้อสอบมันไม่มีครับในข้อสอบมันจะเป็นอะไรมากกว่าพวกนี้เยอะ ผมคิดว่ามันแอ๊บสแตรกครับมันไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างมันล่องลอยอยู่ในจินตนาการครับ) ไอภาษานี้ผมไม่ได้ถนัดอะไรเลย ไม่อยากจะบอกว่าตอนเห้นครอสเอาท์ไลน์ที่ผมอยากจะกดดรอปเสียให้รู้แล้วรู้รอดครับ มันเป็นอะไรที่ดราม่าสุดชีวิตจริง ๆ กับการต้องมาเรียนภาษาที่แอ๊บสแตรกแบบนี้


หลังจากผมหลุดออกจากห้วงคำนึงผมก็หันไปมองสหายของผมแต่ละคนซึ่งทุกคนก็มีสีหน้าอยากจะกดดรอปวิชานี้มันตอนนี้ไม่แพ้ผมครับ หน้าตาแต่ละคนนี่อารมณ์แบบโลกที่อาศัยอยู่ตรงนี้มันจะพังทลายให้ได้เสียตอนนี้


พวกเรานั่งมึน ๆ งง ๆ ฟังอาจารย์พูดถึงเนื้อหาวิชาที่จะเรียนกันไปสักพัก ผ่านไปสามสิบนาทีอาจารย์ก็ประกาศปล่อยครับ (สำหรับคาบแรกของเทอมจะเป็นแบบนี้หละครับอาจารย์จะสอนนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ปล่อยแล้วเด็กทุกคนก็ยินดีปรีดาแต่อาจารย์บางคนก็ประกาศเลยนะครับว่าการเรียนการสอนจะมีในอาทิตย์ถนัดไปหรือถัด ๆ ไป วิชาที่จะไม่สอนในคาบแรกของเทอม และส่วนใหญ่จะเป็นพวกวิชาเรียนยาวสามชั่วโมงแบบวิชาช่วงบ่ายของผมในวันนี้ หรือจะเป็นพวกแลปที่ต้องเชคเครื่องมือสำหรับการทำการทดลองให้พร้อมก่อนแล้วค่อยให้นิสิตเข้ามาเรียนเข้ามาทำการทดลองครับ) และหลังจากสิ้นเสียงของอาจารย์ผึ้งในห้อง (มันคือ ๆ กับผึ้งในรังหนะครับ) ก็แตกฮือส่งเสียจ็อกแจ็กคุยกันแบบไม่สนใจอาจารย์ที่ยังคงยืนอยู่หน้าห้องแต่ดูเหมือนกว่าท่าอาจารย์ของเราจะปลงแล้วแกก้ได้แต่ยิ้มและส่ายหัวไปมาก่อนจะเก้บของบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้อง


ผมกับเพื่อน ๆ ยังคงนั่งปักหลักในห้องเพื่อเสพเอาอากาศเย็น ๆ ของแอร์อยู่แต่ในท้ายที่สุดคุณป้าแม่บ้านก็ต้องเข้ามาไล่เนื่องจากไม่มีการเรียนการสอนทางมหาลัยต้องการประหยัดไฟ เลยทำให้ป้าแกต้องเข้ามาปิดแอร์ปิดไฟไล่พวกผมออกจากห้อง ไอระแบบแบบนี้มันก็ดีหรอกครับ แต่…พวกผมจะหาที่หลบร้อนที่ไหนได้ อยู่นอกห้องแอร์ก็ร้อนจะตายถึงมันจะเข้าใกล้หน้าหนาวแล้วก็เถอะ แต่เมืองไทยเค้ามีหน้าหนาวที่ไหนกันหละ! (ปล. ที่ผมยังไม่กลับคอนโดเพราะว่าคาบตอนบ่ายยังไม่ชัวร์ว่าอาจารย์จะประกาศยกเลิกคราสหรือเปล่านะครับ พอดีมันเป็นวิชาช่วยครับซึ่งโอกาสยกเลิกคราสสูงมากแต่ผมรอให้มันแจ้งให้ผมแน่ใจก่อนดีกว่าแล้วผมค่อยย้ายก้นกลับคอนโดแล้วโทรให้พี่ศิไปรับที่คอนโดเลย)


แต่คุณป้าแม่บ้านไล่พวผมก็ยอมย้ายตรูดออกจากห้องไปนะครับพวกเราทั้ง 9 คนก็เดินตรงไปที่โรงอาหารซึ่งเป็นสถานที่พักพิงสุดท้ายของพวกผมแล้วครับ (ความจริงมีโต๊ะหินอ่อนอีกที่และ ไอแมทซ์หิวข้าวครับ (มันคือคนสุดท้ายที่มาถึงครับและมันบอกว่ามันเพิ่งตื่นดังนั้นมันยังไมได้กินข้าวกินน้ำเลยครับ ดังนั้นพวกเราก็ทนต่อสีหน้าโอดครวญของมันไม่ไหวเลยมาที่โรงอาหารให้ไอแมทซ์กินข้าวครับ) ซึ่งในโรงอาหารนี้มีพวกรุ่นพี่ที่ผมรู้จักเยอะแยะเลยครับ ผมนี่ยกมือไหว้จนมือแทบจะพันกันอยู่แล้ว และเพื่อน ๆ ของผมก็ต้องรับกรรมตามเพราะมันไม่รู้จักรุ่นพี่สักคนแต่ต้องมายกมือไหว้พร้อม ๆ กับผม (ถึงผมจะไม่ชอบทำกิจกรรมแต่ตอนช่วงที่เพิ่งเข้ามหาลัยตอนแรก ๆ กิจกรรมแรกพบ เฟิร์สเดทไรพวกนี้ผมไปทุกงานนะครับ คือผมไปป่วนจนพี่ ๆ ตั้งฉายาให้ผมคือไอคุณน้องกรครับ)


พวกเราเดินหาโต๊ะกันอยู่ไม่นานนักสักพักเราก็เจอโต๊ะที่กว้างพอที่จะให้พวกเราทั้ง 9 คนนั่งยัดรวมกันได้แล้วครับผมถลาไปที่โต๊ะพร้อมโยนกระเป๋าไปกลางโต๊ะทันที ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อยเดินตามกันมาโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะและแยกย้ายกันไปหาอะไรกินรองท้องกัน (ทั้งกินให้หนักท้องกับกินเล่นหละครับ แต่สำหรับผมกินเล่นก็พอเพราะผมจะล้างท้องรอไปกินข้าวพร้อมกับพี่ศิครับ)
ผมเดินมองร้านอาหารี่เปิดเรียงรายอยู่ในโรงอาหารแต่ละร้านนี่คิวยาว ๆ กันทั้งนั้นเลยครับซึ่งกว่าจะได้นี่ชาติเศษแน่ในที่สุดที่ฝากท้องสุดท้ายของผมก็คือร้านผลไม้ครับ ผมเดินเข้าไปสั่งแตงโมกับมะม่วงมาอย่างละถุงก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะโดยที่บนโต๊ะยังไม่มีใครกลับมานั่งเลยสักคน ‘ท่าทางแต่หละคนนี่คงจะยอมทนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อกินอาหารขึ้นชื่อในโรงอาหารแน่ ๆ’


ไอผมก็นั่งรอเพื่อนไปเอาไม้จิ้มมะม่วงจิ้มเข้าปากไป ผมรอพวกเพื่อน ๆ ไปอีกสักพักในที่สุดไอบาสกับไอเจมส์ก็เป็นสองคนแรกที่ได้กลับมาจากศึกแย่งชิงข้าวกินครับ มันทั้งสองคนคงกินร้านเดียวกัน (ถ้าคนละร้านคงไม่กลับมาพร้อมกันหรอกครับ) ซึ่งร้านที่มันกินนั้นเป็นพวกขายข้าวมันไก่ครับ ไอเจมส์กินข้าวมันไก่เน้นว่าไก่นั้นต้องเป็นส่วนน่องเท่านั้นด้วย ส่วนไอบาสกินข้าวมันไก่ย่างครับไอนี่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากของน้ำซุปเยอะ ๆ ครับ ผมมองคนทั้งคู่ก่อนจะค่อย ๆ จิ้มมะม่วงเข้าปากไปอีกคำ พวกมันทั้งสองคนนั่งลงและกระเถิบเข้ามานั่งข้าง ๆ ผม ‘นี่พวกมรึงจะเอามาให้กรูอยากจนต้องวิ่งไปซื้อเหรอไม่มีวันซะหรอก มรึงยั่วไอกรคนนี้ไม่ได้หรอกสหาย’ ผมยั่งทำหน้านิ่งและกินมะม่วงจิ้มน้ำปลาหวานของผมต่อไป


ในที่สุดเพื่อนคนอื่น ๆ ของผมก็เดินตาม ๆ กันกลับมานั่งที่โต๊ะแต่ละคนนี่จัดเต็มกับอาหารกลางวันมื้อนี้มากเลยครับทำเอาผมนี่อยากจะลุกขึ้นเดินไปซื้อข้าวมาจ้วงกินกับพวกมันจริง ๆ แต่ทำไงได้ ผมตั้งใจแล้วว่าจะล้างท้องไปทานขาวกับก๊วนพี่ศิดังนั้น…ผมก็ต้องอดทนให้ได้ครับ


ผมนั่งมองเพื่อนแต่ละคนตักข้าวเข้าปาก คีบก๋วยเตี๋ยวเข้าปากแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองลงไป ในใจก็พยายามท่องคำว่า ‘ไม่สนใจ ไม่สนใจ ไม่สนใจ’ แล้วนั่งจิ้มผลไม้เข้าปากไป


ในที่สุดช่วงเวลาแห่งนรกของผมก็เสร็จสิ้นครับเพื่อนทุกคนกินข้าวจนหมดจานกันแล้ว และผมก็อิ่มด้วยผลไม้แล้วครับดังนั้นไม่มีใครมาทำร้ายท้องผมได้อีกแล้ว ผมหยิบน้ำส้มซึ่งเป็นน้ำดื่มประจำของผม หรือเรียกง่าย ๆ ว่ามันเป็นซิงเนเจอร์ของผมเวลาดื่มน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงแล้วครับซึ่งเหลือเวลาอีก 30 นาทีก็จะถึงเวลาเริ่มคาบต่อไปแล้ว คราวนี้พวกผมต้องรีบเร่งกันแล้วหละครับเพราะวิชานี้เป็นวิชาช่วยที่ไม่ได้เรียนในคณะครับดังนั้นพวกผมทุกคนก็ใส่เกียร์หมาวิ่งกันไปที่ตักเรียนรวมเลยครับ ผมเราวิ่งกันไปหอบกันไปในที่สุดตอนนี้เราก็มาถึงหน้าห้องเรียนแล้วหละครับ แล้วเมื่อเรามาถึงหน้าห้องเรียนมันก็ปรากฏว่า…อาจารย์ไม่ประกาศยกเลิกคราสครับ แต่อาจารย์ท่านนี้ก็ทำแบบเดียวกับอาจารย์ท่านแรกครับแต่อาจารย์ท่านนี่เอาครอสเอาท์ไลน์มาวางแปะไว้หน้าห้องและให้นิสิตแต่ละคนลงมาหยิบเองครับ (แต่แกให้หยิบหลังจากแกปล่อยแล้วหนะครับ)


ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ก็ทำเช่นเดียวกับอาจารย์ท่านแรกครับแกแค่พูดเรื่องบทเรียนที่จะสอนซึ่งคิดเหรอครับว่าพวกผมจะฟังกันผมนี่รายแรกเลยครับหยิบไอแพทมินิขึ้นมานั่งต่อไวไฟเล่น และเพื่อนแต่ละคนของผมนี่ไม่ไอโฟนก็ไอแพท ไม่ไอแพทก็แดนดรอยครับว่างกัน 9 เครื่องเรียงกันอย่างสวยงามเลยครับ เวลาผ่านไปได้สักสามสิบนาทีอาจารย์ท่านนี้ก็พูดเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนเสร็จสักที


ในที่สุดพวกผมก็เป็นไทกันครับไอเจมส์นี่ลุกเป็นคนแรกเลยครับพร้อมกับบิดขี้เกียจแบบไม่เกรงใจอาจารย์ที่ยังคงนั่งอยู่หน้าห้องครับ รายถัดไปคือไอวิวด้วยความสูงของมันทำให้มันนี่ทำให้นั่งโต๊ะเลคเชอร์ลำบากครับ และหลังจากนี้ทุก ๆ คนก็ค่อยลุกขึ้นตามกันแล้วครับแต่ละคนทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นนอนกันทุกคน (ขนาดมือไอแพทไอโฟนแอนดรอยแล้วยังเอาไม่อยู่สินะวิชานี้คิดถูกคิดผิดที่ลงเนี่ย) แต่ละคนนี่สภาพแบบยกมือขยี้ตา บ้างก็เอามือป้องปากหาว แต่พวกเราทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายครับนั่นก็คือการเดินไปยังประตูทางออกจากห้องนี้ครับ


ในตอนนี้พวกเราทั้ง 9 คนยืนอยู่หน้าห้องเรียนครับซึ่งในตอนนี้พวกเรากำลังคุยว่าจะไปอยู่ที่ไหนกันดี บางคนนี่ขี้เกียจกลับหอ บางคนก็ขี้เกียจกลับบ้าน (หรือคอนโดเช่นผม) พวกเรายืนสนทนาธรรมกันอยู่สักพักในที่สุดข้อตกลงก็สรุปได้ว่าไปคอนโดผมครับ… (ทำไมอะไรยังไงก็ต้องคอนโดผมวะครับที่อื่นที่ดีกว่านี้ไม่มีแล้วหรือไงเนี่ย)


หลังจากทุกคนได้ข้อสรุปพร้อมกับบีบบังคับผมให้ยอมอนุญาตให้พวกมันไปสิงสถิตที่คอนโด ทุกคนก็ขับรถคู่ใจของแต่ละคนตรงไปยังคอนโดของผมครับ บ้างก็ขับมอไซค์ไป (อันนี้เป็นพวกอยู่หอใน) บ้างก็ขับรถไปเช่นพรีมเพราะเธอไปกลับครับใช้เวลาไม่นานพวกเรา 9 คน ก็มาถึงคอนโดของผมครับไอในใจผมนะอยากจะพูดใส่พวกมันว่าพวกมรึงเคยถามความสมัครใจของกรูมั่งไหมเนี่ย แต่ก็ต้องเงียบปากไปเพราะสายตาพิฆาตของเพื่อนแต่หละคนนี่หละครับ ผมก็เลยต้องจำใจให้เพื่อนทุก ๆ คนเข้ามาสิงที่หอผมครับในเวลาว่าง ๆ และพวกมันไม่อยากกลับบ้านกลับหอกัน


เมื่อมาถึงคอนโดผมก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีเปิดประตูห้องตัวเองให้เพื่อน ๆ เข้าไปด้านใน (แต่ผมขอบอกไว้เลยนะครับตอนนี้เครื่องเล่นเกมส์ของผมไปสิงสถิตที่ห้องพี่ศิหมดแล้วต่อให้พวกมันมา มันก็เล่นเกมส์ไม่ได้) ก้าวแรกที่สหายทั้งหมดของผมเข้าไปในห้องคำถามแรกของมันก็คือ “เพลย์ 3 หายไปไหนว่ะ” น่านผมคิดไว้แล้วหละครับว่าจุดประสงค์ของไอเพื่อนของผมแต่ละคนคืออะไร ‘นี่พวกมันตั้งใจมาผลาญค่าไฟห้องผมชัด ๆ เลยครับ’


“อยู่ห้องพี่ศิ” ผมตอบไปตามความจริงซึ่งไอพวกเพื่อน ๆ ของผมก็หันมามองผมเป็นตาเดียว แถมสายตาของเพื่อนแต่และคนนี่สื่ออารมณ์ไม่ต่างกันเลยครับเพราะสิ่งที่ผมรับรู้ได้จากสายตาพวกมันก็คือ ‘ไอกรมีสามีแล้วแม่มหนีตามกันไปที่ห้องสามีเลยนะมรึง’
“ไม่ต้องมามองแบบนั้นเดี๋ยวกรูไปเอามาให้เล่น พวกมรึงนั่งเรียบร้อย ๆ อยู่ในห้องก็แล้วกัน” ผมชี้นิ้วสั่งเพื่อนแต่ละคนก่อนจะออกจากห้องตัวเองเพื่อไปห้องพี่ศิ ผมเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับแบกเครื่องเล่นต่าง ๆ (พร้อมเกมส์) ออกมาจากห้องพี่ศิและเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง


“มาแล้ว ๆ เอาไปต่อกันเองนะเว้ยเดี่ยวกรูต้องโทรบอกพี่ศิก่อนว่ากรูกลับมาที่หอแล้วพี่เขาจะได้มารับถูก” ผมพูดพร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อบ่งบอกว่าผมของเวลานอก แต่ไอเพื่อนเวรเพื่อนกรรมที่น่ารักของผมไม่ปล่อยให้ผมขอเวลานอกได้ครับเพราะว่ามันส่งเสียงซวย เสียงอวยกันมาจนผมต้องจ้องเขม่งใส่พวกมันและเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่นอกระเบียง


ผมเข้าระบบโทรศัพท์ในไอโฟนของผมก่อนจะกดลงไปที่ระบบโทรออกล่าสุด คือหาแบบนี้ง่ายกว่าครับเพราะผมกับพี่ศิช่วงนี้โทรหากันบ่อยมากดังนั้นเบอร์ที่โทรเข้าโทรออกในเครื่องผมนั้นจะเป็นเบอร์ของพี่ศิที่ขึ้นอยู่คนแรกเลยครับ ผมจิ้มไปยังเบอร์ของพี่ศิ พร้อมกับถือสายรอพี่เข้าไปสักพักหนึ่ง ไม่นานนักเสียงทุ้มก็เอ่ยพูดขึ้น


“สวัสดีครับกร แปปนะครับกรเดี๋ยวพี่ออกจากห้องเลคเชอร์ก่อน” พี่ศิพูดบอกผม ผมได้ยินเสียงขยับเขยื้อนโต๊ะเล็กน้อยและเสียงของอาจารย์ในห้องค่อย ๆ เบาลง เบาลงจนในท้ายที่สุดก็เงียบสนิท สงสัยพี่ศิเดินออกจากห้องเลคเชอร์ไปจริง ๆ เพราะผมได้ยินเสียงบานประตูปิดลงด้วย ไม่นานเกินรอเสียงพี่ศิก็ดังขึ้นในโทรศัพท์อีกครั้ง “มีอะไรเหรอครับกร”


“คือกรจะแค่โทรมาบอกพี่ศิว่าตอนนี้กรอยู่คอนโดนะ พอดีตอนบ่ายมันไม่มีเรียนเพื่อน ๆ เลยตกลงกันว่าจะมานั่งเล่นห้องของกร ดังนั้นตอนเย็นพี่ศิมารับกรที่ห้องแทนนะ” ผมพูดให้พี่ศิฟังซึ่งพี่ศิก็ตบปากรับคำว่าจะมารับผมที่คอนโดแทนการไปรับที่ตึกเรียน เมื่อจุดประสงค์ของการสนทนานี้ของผมจบลงผมก็ตั้งใจจะวางสายเพราะไม่อยากรบกวนพี่ศิมากกว่านี้ ทว่าก่อนที่ผมจะวางสายคำพูดของพี่ศิก็ดังแว่วมา และไอประโยคนั้นทำให้ผมแทบจะสำลักอากาศตายอีกรอบ “ครับ ไว้เจอกันตอนเย็นนะครับน้องกรของพี่ศิ” สิ้นประโยคนี้เสียงของพี่ศิก็หายไปพร้อมกับสัญญาณที่ถูกตัดทิ้ง




v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0




ใบหน้าของผมแดงก่ำพร้อมกับกำโทรศัพท์มือถือในมือตนไว้แน่น ‘พี่ศินะพี่ศิ เล่นกรซะแล้วแล้วแบบนี้จะกลับเข้าไปในห้องได้ยังไงเนี่ยหน้าแดงแบบนี้’ ผมสงบสติอารมณ์ของตัวเองสักพักค่อย ๆ ปรับให้หัวใจของตนเต้นช้าลงและค่อย ๆ เปิดประตูเลื่อนเข้าไปในห้อง


แต่ทันทีที่ผมเข้าไปในห้องผมเจอเพื่อนของผมที่แอบฟังบทสนทนาของผมกับพี่ศิยืนกันหน้าสลอน แต่ละคนนี่ร้อยยิ้มชั่วร้ายกันทุกคนครับไม่เว้นแม่แต่สาวน้อยคนเดียวของกลุ่มเรา พรีมนี่ค่อย ๆ เดินนำแล้วทำมือเป็นโทรศัพท์แล้วพูดประโยคล้อเลียนผมพร้อมกับบิดไปบิดมาแสร้งทำเป็นท่าเขินอายส่วนไอวิวก็เดินออกมาแสดงเห็นพี่ศิ ไอผมนี่อยากจะกระโดดเตะทั้งสองคนเสียจริงแต่ผมถือคติว่าผมจะไม่ทำอะไรผู้หญิงครับดังนั้นผมก็ได้แต่โกรธหน้าดำหน้าแดงกระทืบเท้าเดินหนีไป โดยมีเสียงล้อเลียนและแซวผมตามหลัง ‘ไอเพื่อนบ้าอย่าให้ถึงทีกรูมั่งนะ จะเล่นให้พวกมรึงพูดไม่ออกกันเลย’


ผมเดิยลี้ภัยเข้ามาหลบในห้องนอนของผมแล้วลอคประตูทันที ห้องนอนของผมในตอนนี้เหมือนเป็นห้องแห่งความลับไปแล้วครับ เพราะแม้แต่ไอเจมส์กับไอบาสผมก็ไม่อนุญาตให้มันเข้ามาในห้องนอนของผมแล้วครับ ตอนแรกมันก็ไม่ใช่ห้องแห่งความลับอะไรหรอก แต่ตั้งแต่ผมรู้จักกันพี่ศิมาในห้องของผมก็เต็มไปด้วยกระดาษโน้ตสีฟ้าอ่อนที่แปะไปทั่วกระดานไวท์บอร์ดบนหัวเตียงและตอนนี้เริ่มลามไปตามประตูตู้และกำแพงแล้วด้วย นี่แหละที่ทำให้ผมไม่อยากให้พวกเพื่อน ๆ เข้ามาในห้องเหตุผลก็เพราะผมกลัวว่ามันจะล้อนี่หละครับ กลัวว่ามันจะล้อเลียนว่าผมนี่ทำตัวเป็นสาวน้อยเพิ่งเจอรักแท้ รักแรกเลยตั้งใจเก็บของของอีกฝายที่ให้มาทั้งหมดไว้ไม่อยากจะทิ้งไปสักแผ่นเดียว


ความจริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับที่ผมเก็บกระดาษโน้ตไว้เพราะประโยคแต่ละประโยคของพี่ศิที่เขียนลงในกระดาษโน้ตนั่นหละครับ ต่อให้ผมกลับมาอ่านซ้ำกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมันก็ทำให้ผมอมยิ้มและทำให้ผมมีแรงที่จะทำอะไรได้เสมอ ผมเลยเก็บพวกมันไว้เป็นอย่างดีและไม่เคยเก็บออกเลยสักใบ ผมไม่รู้ว่าพี่ศิแกจะเก็บกระดาษโน้ตที่ผมเขียนส่งให้พี่ศิทุกวันไว้ไหม แต่ผมรู้ว่าผมเก็บก็เป็นพอ


ผมถลาขึ้นไปนอนที่เตียงและหยิบกระดาษโน้ตแผ่นล่าสุดที่พี่ศิแกสอดไว้ใต้ประตูเมื่อเช้าออกมาอ่านซ้ำ




‘กรครับ วันนี้เปิดเทอมวันแรกอย่าสายนะครับ พี่ไปเรียนก่อนนะ ตอนเย็นเจอกันล้างท้องรอได้เลยเดี่ยวพี่เลี้ยงข้างกรเอง จากพี่ศิ’



ผมหัวเราะน้อย ๆ กับประโยคที่พี่ศิเขียนเหมือนพี่เขาจะรู้ใจผมนิดหน่อยนะครับว่าผมล้างท้องรอผลาญเงินพี่ศิเขา ผมค่อยๆ ยันตัวขึ้นพร้อมกับน้ำกระดาษโน้ตแผ่นนั้นขึ้นไปแปะบนกระดานไว้บอร์ดเพิ่มขึ้นอีกแผ่น นี่เป็นแผ่นที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่ที่รู้กระดาษโน้ตทุกใบที่พี่ศิเขียนให้ผม…มันทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านครับ


หลังที่ผมชื่อชมกับกระดาษโน้ตแต่ละแผ่นเรียบร้อยผมก็ขอเข้าเฝ้าพระอินทร์ตอนกลางวันก่อนนะครับลาหละครับเจอกันตอนเย็น (ตอนพี่ที่ศิแกมาเคาะประตูห้องของผมแล้วกัน)




เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ภายนอกห้องนอนผมก็ส่งเสียงโห่ร้องกับเกรียวกราวและเสียงนี่ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นทันที ผมหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งมันบอกผมว่าตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้วครับ ผมรีบเด้งตัวออกจากเตียงพร้อมกับวิ่งถลาไปเปิดประตูห้องนอนทันที


ซึ่งสภาพภายในห้องของผมมันไม่ได้คลาดเคลื่อนไปจากการคาดเดาของผมเลยครับ เพราะผมเดาไว้ว่าเมื่อพี่ศิแกไขกุญแจห้องของผมเข้ามาก็คงเจอกับพวกเพื่อน ๆ ของผม และไอเพื่อน ๆ ตัวร้ายของผมนี่แต่หละคนมันเกรงใจกันเป็นซะที่ไหนหละครับ พอพวกมันเห็นพี่ศิมันก็ส่งเสียงโห่ร้องและแซวพี่ศิกันเสียยกใหญ่ (ไอพวกนี่ปีนเกลียวกันเก่งจริง ๆ) ส่วนพี่ศิก็ได้แต่เกาแก้มที่ขึ้นสีจาง ๆ ของตัวเองเบา ๆ โดยที่ไม่คิดจะพูดตอบโต้อะไรพวกเพื่อน ๆ ของผมเลยครับ


และทันทีที่ผมเปิดประตูห้องนอนของผมออกมาเป้าหมายใหม่ของเหล่าสหายก็พุ่งมาที่ผม โดยมีไอเจมส์ไอบาสเป็นแกนหลักของการแซว “ตายแล้วสามีมารับแล้วครับ เพื่อนกรออกมาต้อนรับสามีเร็วจริง ๆ”


สิ้นประโยคนี้ผมก็วิ่งถลาเข้าไปกระโดดเตะพวกมันเรียงตัวเลยครับ ส่วนพี่ศิหนะเหรอตอนนี้ก็ยังคงยืนยิ้มจางๆพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อย


พี่ศิเขิน! ผมก็เขิน! แต่พี่มาช่วยผมเตะไอพวกนี้ ให้มันเลิกล้อทีเถอะครับอย่ามัวแต่ทำตัวเหนียมอายเลยครับผมขอร้องแต่ผมก็ไล่เตะพวกมันได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์มือถือของพี่ศิกรีดร้องดังขึ้น ซึ่งทันทีที่พี่ศิแกกดรับสายเสียงของพี่วิก็กรีดร้องผ่านสายสัญญาณโทรศัพท์ออกมาทันที “ศิที่รักค่ะนี่ ศิที่รักไปรับน้องกรหรือไปทำมิดีมิร้ายน้องกรค่ะไปนานจริง นี่วิกับเต๋อร์มารอที่ร้านได้สักพักแล้วนะคะ”


เสียงของพี่ศินี่ดังออกมานอกโทรศัพท์ เสียงนั้นทำให้พวกเพื่อน ๆ ของผมนี่หัวเราะเป็นบ้าเป็นบอเลยครับ พร้อมกับช่วยกันดันหลังผมกับพี่ศิให้ออกจากห้องไปพร้อมกับบอกลาด้วยประโยคตามประสาแม่บ้านว่า “ไปดีมาดีนะคะ/ครับ แต่อย่าทำอะไรเพื่อนกรของพวกเรานะ ครับ/ค่ะ แต่ถ้าทำก็รับผิดชอบมันด้วยนะคะ/ครับ”


ไอผมที่โดนดันออกมาจากห้องแบบงง ๆ แต่ก็เดินแบบงง ๆ ไปที่ลิฟท์เพื่อลงไปยังชั้นจอดรถและขึ้นรถพี่ศิไปยังร้านอาหารที่พี่วิกับพี่เต๋อร์นั่งรออยู่




พวกเราทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานนักเราก็มาถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่พี่ศินัดกับพี่วิและพี่เตอร์ไว้ โดยพี่ศิวนรถเข้าไปจอดในตัวห้าง เราวนหาที่จอดกันอยู่นานนั่นก็คงเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานและเลิกเรียนพอดีเลยทำให้หาที่จอดรถยากมากกว่าเดิมแต่มันก็ไม่ยากเกินความอดทนครับ เราวนรถกันอยู่สิบนาทีได้ในที่สุดเราก็เจอช่องที่จะให้รถคันหรูของพี่ศิเข้าไปจอดได้แล้ว (น้ำตาผมแทบจะไหลปลาบปลื้มกับการหาที่จอดรถได้ เหตุผลก็เพราะว่าตอนนี้ตรูดของผมเริ่มจะชาแล้วครับ นั่งนาน ๆ มันเมื่อยตรูดครับ!)


และทันทีที่ตัวรถจอดสนิทตัวผมนั้นก็เด้งออกจากรถทันทีพร้อมกับบิดขี้เกียจออกมาเสียงยกใหญ่ ซึ่งพี่ศิก็หัวเราะในท่าทางของผมเล็กน้อย แต่คนมันเมื่อยจริง ๆ นี่นาก็เลยต้องบิดขี้เกียจแบบนี้ หลังจากที่พี่ศิรอผมทำการคลายปวดเมื่อยตามตัวเสร็จแล้ว ผมกับพี่ศิก็เดินเข้าไปในตัวห้างและตรงไปที่ร้านอาหารที่นัดกับพี่วิกับพี่เตอร์ไว้ (ไม่อยากจะบอกเลยนะครับไม่ว่ารถจะหรูหรือโลโซขนาดไหน...นั่งแล้วก็พวกตรูดด้วยกันทุกคันนะครับดังนั้นซื้อรถถูก ๆ ก็ได้ไม่ต้องซื้อรถแพง ๆ แบบพี่ศิใช้กันหรอกครับมันเปลืองเงิน)


“พี่ศินัดพี่ ๆ เค้าร้านไหนอะ” ผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองพี่ศิที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ


“พี่คิดว่าน่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นนะ ไอพี่ก็ไม่ค่อยได้มาทานอะไรพวกนี้เท่าไหร่เลยไม่รู้ว่าชื่อร้านอะไร” พี่ศิตอบผมพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาพี่วิ และทันทีที่พี่วิรับสายพี่ศิก็กรอกเสียงลงไปโดยที่ไม่ยอมให้พี่วิพูดสวนอะไรมาเลยสักคำ (ถ้าพี่วิพูดมันคงยาวกว่าการถามทางนะครับผมคิดแบบนั้นพี่ศิแกเลยชิงพูดก่อน)


และเมื่อพี่ศิวางสายจากพี่วิ มือกร้านของพี่เขาก็เอื้อมมาจับมือของผมพร้อมกับเดินนำผมเพื่อพาไปที่ร้านอาหารที่ได้นัดพวกพี่ ๆ เขาไว้


แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าพี่ศิไม่จำเป็นต้องจูงมือผมก็ได้นะครับเพราะผมคงไม่หลงกับพี่เขาง่าย ๆ หรอกแต่ก็นะการโดนพี่เขาจูงมือแบบนี้ก็ดีเหมือน กันไม่รู้สินะครับผมแค่รู้สึกดีเวลาที่มือของผมถูกกอบกุมด้วยมือของพี่ศิเท่านั้นเอง แต่งบางครั้งผมก็แอบคิดนะว่า พี่ศิจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าทุกครั้งที่มือของผมถูกกอบกุมด้วยมือของพี่ศิมันทำให้ผมมีความสุขทุกครั้ง


ผมโดนพี่ศิจูงมือไปไม่นานตอนนี้เราก็มายืนอยู่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่พี่วิกับพี่เตอร์รออยู่ด้านใน โดยพี่ศิเดินนำเข้าไปก่อนพร้อมกับพูดคุยกับพนักงานไม่นานนัก พนักงานคนนั้นก็เดินนำเราสองคนไปโต๊ะที่พี่วิกับพี่เตอร์นั่งจุ่มรอกันอยู่ ผมยกมือไหว้พี่ ๆสองคนตามมารยาทพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่นั่งตรงข้ามกับพี่วิ (อธิบายสภาพโต๊ะนะครับโต๊ะต่อกัน 3 ตัว ตัวแรกเป็นโต๊ะที่พี่วิ พี่เตอร์ พี่ศิ แล้วก็ผมนั่งส่วนอีกสองตัวที่เหลือไว้ให้สายรหัสของพี่ ๆ ทั้งสามคนเค้านั่งซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครมาสักคนเลยครับ


“น้องกร…ไอศิไปรับน้องกรของพี่นานมาก ไอศิมันทำอะไรน้องกรหรือเปล่า หรือล่วงเกินอะไรไหม ถ้ามีนี่บอกพี่วิเลยนะ เดี๋ยวพี่วิคนนี้จะจัดการไอศิแทนน้องกรให้” พอเจอหน้ากันพี่วิก็เริ่มเลยครับ ผมหละปวดสมองเวลาที่มาเจอก๊วนของพี่ศิเขาจริง ๆ ไม่โดนล้อก็โดนแซวไม่โดนแซวก็โดนจับเป็นคู่ชู้ชื่นกับพี่ศิเขา


“พี่วิก็พูดไปครับไปเสียเวลากับเพื่อน ๆ ของกรที่มาเที่ยวในห้องกรกันมากกว่าเลยมาช้าแถมที่จอดรถก็ไม่มีกว่าจะได้ที่จอดก็ปากไปสิบกว่านาทีแล้วเลยมาเลตแบบนี้ไงครับ” ผมปฏิเสธพี่วิพร้อมกับบอกเหตุผลที่แท้จริงของการมาช้าว่าคืออะไรออกมาซึ่งพี่วิก็หรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจจนพี่ศิต้องเอาตะเกียบไปตีหัวพี่วิให้แกเลิกจินตนาการอะไรเลยเถิดสักที


พี่ซิยกมือคลำหัวตัวเองและหันไปแลบลิ้นให้กับพี่ศิ พวกเรานั่งรอพวกรุ่นน้องของพี่ศิไปสักพักไม่นานนักพวกรุ่นพี่ปีสามก็เริ่มถอยกันมาทุกคนนี่ยกมือไหว้พี่ ๆ ทั้งสามคนหมดและทุกคนก็มองมาที่ผมด้วยแววตาสงสัยเหมือนกันหมดด้วย ไอผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบไปและกระตุกแขนพี่ศิให้พี่ศิช่วยพูดอธิบายให้รุ่นพี่พวกนั้นฟัง ซึ่งพี่ศิก็ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา (??) ให้เป็นอย่างดีครับพูดอธิบายพร้อมกับแนะนำตัวผมเรียบร้อย และรุ่นพี่ปีสามพวกนั้นก็พยักหน้าเข้าใจพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงที่โต๊ะที่เสริมด้านข้างที่พวกเรานั่งกัน


พวกรุ่นพี่ปีสีอย่างพี่วิ พี่เตอร์ก็ซักถามพวกน้อง ๆ ของตัวเองว่าเป็นอะไรมั่งเรียนสนุกไหมซึ่งพี่ศิก็ทำครั้งด้วยการที่พวกเค้าพูดศัพท์แพทย์ที่ผมฟังไม่รู้เรื่องเลยสักกะนิดเดียว็เลยได้แต่นั่งเฉย ๆ และยิ้มอย่างเดียว ผ่านไปสักสิบนาทีได้รุ่นน้องล็อตสองก็มาถึงครับคราวนี้เป็นพี่ปีสองครับทุกคนยกมือไหว้คนทั้งโต๊ะและเป็นอีกครั้งที่ทุกคนมองมายังผมด้วยแววตาที่สงสัย และถัดจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของล่ามแปลภาษาอย่างพี่ศิที่ต้องอธิบายให้ทุก ๆ คนเข้าใจครับ ซึ่งมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีกครั้งครับ เมื่อพี่ศิอธิบายจบพี่ ๆ ชั้นปีที่สองก็เข้ามานั่งต่อจากรุ่นพี่ปีสามครับ


หลังจากที่ทุกคนทักทายกันเสร็จโต๊ะทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยศัพท์แพทย์ลอยว่อนอีกครั้งครับ และผมก็กลายเป็นคนธรรมดาที่หลุดมาอยู่ในโลกของนิสิตแพทย์ครับ ผมนั่งดูดน้ำส้มที่เป้นน้ำโปรดของผมเงียบ ๆ จนในที่สุดพี่ศิก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศดำมืดข้าง ๆ ตัวเอง พี่ศิเลยรู้สึกตัวและหันมาคุยกับผมบ้าง (จริง ๆ ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่ศิเลยนะครับแค่ไม่พอใจเท่านั้นเอง อนึ่งพี่ศิชวนผมมาแต่ให้ผมมานั่งหงอยแบบไม่มีใครคุย น้ำลายผมบูดหมดครับ สอง…รุ่นน้องของพี่ศิที่คุยแต่ละคนนี่ส่งสายตาวิ้งวับให้พี่ศิทั้งนั้นเลยครับ นี่ผมไม่ได้หวงพี่ศินะครับผมแค่ไม่พอใจแทนพี่ศิที่โดนมองด้วยสายตาแบบนั้น)


“กรครับอยาทานอะไรสั่งได้เลยนะครับ วันนี้พี่เลี้ยงเอง” เสียงทุ้มของพี่ศิเอ่ยบอกผมพร้อมกับมือกร้านของพี่เขายกขึ้นมาลูบหัวของผมอย่างแผ่วเบา ผมก็ดูดน้ำส้มพยักหน้าเออ ๆ ออ ๆ ตอบพี่ศิไปพร้อมกับโบกมือเรียกพนักงานให้นำเมนูมาให้ผม แต่ขอบอกเลยครับว่าตอนนี้ผมอยากกลับไปนอนที่คอนโดแล้วมากกว่า


ผมรู้สึกว่ามันหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้สิครับแถมผมไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลยสักนิดเดียวครับ แต่ในเมื่อผมรับปากพวกพี่ ๆ เขาแล้วว่าจะมาทานข้าวด้วยผมก็เลยต้องจำใจนั่งทานข้าวตามคำชวนของพวกพี่ ๆ เขาครับ (ที่สำคัญที่สุดผมมารถพี่ศิครับผมไมได้ขับรถมาเองดังนั้นการกลับคอนโดของผมมันลำบากมากครับคือต้องเสียตังเสียเวลาด้วย) ผมบอกเมนูอาหารที่ผมอยากทานไปสามสี่อย่างตามที่ผมอยากทาน (แต่เชื่อว่าผมทานไม่ลงแน่นอนครับ) และหลังจากผมเริ่มสั่งอาหารพวกรุ่นพี่ทุก ๆ คนก็เริ่มสั่งอาหารที่ตัวเองอยากทานตาม ๆ กันไปทีนี้ก็เหลือรอพนักงานมาเสริฟอาหารกับรอให้สายรหัสปีหนึ่งของพวกพี่ ๆ เขามา


ผมนั่งดูดน้ำส้มเล่นจนหมดแก้วแล้วอาหารที่ผมสั่งไปก็ยังไม่มา จนในที่สุดสิ่งที่ผมรอคอยอีกอย่างก็มาถึงก่อนนั่นคือสายรหัสปีหนึ่งของพวกพี่ ๆ เขาครับ คนแรกที่เดินเขามาเป็นสาวน้อยน่ารักผมบ๊อบครับรู้สึกว่าคนนี้จะเป็นสายรหัสของพี่เตอร์ครับเพราะพี่เตอร์เขาทักทายสาวน้อยคนนั้นด้วยรอยยิ้มและเดินไปรับให้เขามานั่งที่โต๊ะ ซึ่งการกระทำแบบนั้นเรียกเสียงโหร้องของน้องรหัสและหลานรหัสทั้งสองคนพี่เตอร์ได้เป็นอย่างดี คนต่อมาก็เป็นผู้หญิงครับแต่ดูแตกต่างจากหลานรหัสของพี่เตอร์นิดหน่อยครับเพราะสาวคนนี้จะดูเนิร์ดและคงแก่เรียนแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นพวกรั่วหลบในแบบพี่ศิ พี่วิ พี่เตอร์ไหมผมหันไปทักทายเพื่อนรุ่นเดียวกันกับผมด้วยรอยยิ้มและมาถึงคนสุดท้ายซึ่งเป็นหลานรหัสของพี่วิครับผมหันไปหาเพื่อจะทักทายเขาแต่ผมก็ต้องชะงักไว้เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีใบหน้าคมที่ไม่ค่อยจะแสดงสีหน้าอะไรออกมานอกจากอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิทซึ่งผมได้เห็นใบหน้าของคน ๆ นี้มาครบทุกรูปแบบแล้วครับเพราะผมกับมันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก เรียกง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่เกิดผมก็เห็นหน้ามันแล้วครับ คน ๆ นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไอไฮซ์เพื่อนรักเพื่อนแค้นของผมนั่นเอง


และทันทีที่ผมเห็นหน้ามันผมก็ยันตัวลุกขึ้นทันที โดยการกระทำของผมนั้นสร้างความสงสัยให้กับรุ่นพี่ทุกคนในโต๊ะมากครับแต่มันก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นผมพยายามสงบสติอารมณ์เป็นอย่างมากไม่ให้ระเบิดลงกลางโต๊ะ ส่วนไอไฮซ์มันชักสีหน้าเล็กน้อยและมันก็ทำท่าจะเดินตรงเข้ามาคุยกับผม ซึ่งทุกคนคิดว่าผมจะให้มันทำแบบนั้นเหรออย่าฝันครับผมไม่ยอมคุยกับมันหรอก หลังจากที่ผมลุกขึ้นผมก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านแทบจะทันทีโดยเส้นทางที่ผมต้องเดินออกนั้นต้องผ่านไอไฮซ์ ผมเดินผ่านมันโดยไม่แม้แต่จะชายตาแลและไม่คิดที่จะหยุดฟังเสียงเรียกของพี่ศิ ตอนนี้สติของผมไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้วอะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นไอเพื่อนรักสุดแค้นของผมเป็นหลานรหัสของพี่วิ ให้ตายเถอะมันเรื่องบ้าอะไรกัน


ผมเดินตรงลิ่ว ๆ ไปอย่างไร้จุดหมายแต่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังจะเดินออกจากห้องสรรพสินค้าเพื่อจะออกไปโบกรถแท็กซี่กลับบ้าน แต่ก็ไม่ทันที่ผมจะได้เดินออกจากประตูบานเลื่อนของห้างสรรพสินค้าร่างของผมก็ถูกกระชากเข้าไปในอ้อมกอดของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งผมก็รับรู้ได้ทันทีว่าคน ๆ นั้นคือใคร ผมหลับตาอยู่ในอ้อมกอดของเขาคนนั้นและซึมซับความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้มา


“กร...ยังจำข้อแลกเปลี่ยนที่พี่ขอไปตอนนั้นได้ไหมครับ” เสียงพี่ศิเอ่ยขึ้ยพร้อมกับวงแขนที่กระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น ซึ่งผมก็ครางเสียงเบาตอบพี่ศิเขาไป และเมื่อพี่ศิได้รับฟังคำตอบของผมเสียงทุ้มก็เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับมือกร้านที่ลูบแผ่วเบาที่ศรีษะของผม “งั้นพี่ขอจากเราตอนนี้เลยแล้วกันนะครับ…พี่อยากขอกรว่า ถ้ากรรู้สึกเจ็บปวด กังวล หรือมีปัญหาอะไรภายในใจ…นอกจากครอบครัวของกรแล้ว…พี่ขอให้กรคิดถึงพี่เป็นคนแรกได้ไหมครับ…จะถือว่าเป็นคำขอร้องของพี่ก็ได้…” ริมฝีปากหนาเอื้อนเอ่ยคำร้องขอพร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับแน่นยิ่งขึ้นกว่าเก่า ผมรับรู้ได้ถึงความประหม่าในน้ำเสียงของพี่ศิเขาซึ่งถ้าเป็นผมเอ่ยถามแบบนี้หรือเอ่ยขอร้องแบบนี้ออกไปผมก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน ผมซุกใบหน้าตนเองลงไปบนแผ่นอกกว้างของพี่ศิเขา พร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ถูกยกขึ้นมาโอบกอดตอบอีกฝ่าย


“พี่ศิครับ…พี่ศิพอมีเวลาฟังเรื่องราวของกรหรือเปล่า กรอยากเล่าเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ศิฟัง” ผมคิดว่าคำพูดของผมประโยคนี้น่าจะเป็นคำตอบให้พี่ศิได้ ร่างตรงหน้าผมค่อย ๆ คลายอ้อมกอดพร้อมกับพยักหน้าตอบรับคำพูดของผมเบา ๆ


มือกร้านละลงไปกอบกุมมือของผมอีกครั้งพร้อมกับพาผมเดินกลับเข้าไปในตัวห้างสรรพสินค้า “ก่อนที่พี่จะฟังกร พี่อยากให้กรทานข้าวก่อนดีกว่าเพื่อน ๆ เราบอกว่าเมื่อกลางวันกรทานแต่ผลไม้ ไม่ได้ทานข้าวตอนนี้คงหิวเอาเรื่องแล้วใช่ไหมครับ…ดังนั้นทานข้าวก่อน และถ้าถึงคอนโดแล้วพี่จะรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากกรนะครับ”




___________________________________________



เจอกันตอนหน้านะค้า สวัสดีค่ะ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด