- Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ถ้าเกิดนิยายเรื่องนี้จะรวมเล่ม ??

อยากให้รวม
79 (90.8%)
ไม่ต้องรวม
8 (9.2%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 82

ผู้เขียน หัวข้อ: - Love Surgery รักกวน ๆ ฉบับป่วน(ว่าที่)คุณหมอ - [แจ้งข่าว] [03/06]  (อ่าน 240766 ครั้ง)

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



และเมื่อผมขับรถมาถึงที่คอนโดของตัวเองผมก็วิ่งเข้าไปในลิฟท์พร้อมกับกดที่ชั้น 14 แต่ทันทีที่ประตูลิฟท์นั้นเปิดออกผมก็รีบวิ่งออกไปแต่จุดที่ผมวิ่งไปนั้นมันไม่ใช่ประตูห้องของผมแต่เป็นประตูห้อง 1404  ซึ่งเป็นของของพี่ศินั่นหละครับผมเคาะประตูห้อง กดออดอยู่หลายทีแต่ก็ยังไม่มีใครเดินออกมาเปิด พลันสิ่งที่พี่ศิพูดกับผมเมื่อเช้าก็ลอยขึ้นมาภายในหัว ‘กรครับ วันนี้พี่เข้าเวรนะครับน่าจะกลับสักสามสี่ทุ่มเลยวันนี้กรกลับเองนะครับ’


ประโยคนั้นในตอนเช้าผมก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันหรอกแต่ตอนนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกเซงพอดูเลยละครับ


‘ทีไอตอนอยากจะคุยก็ไม่อยู่ ไอตอนที่อยากปรึกษาก็ยิ่งไม่อยู่คนเรียนหมอมันไม่มีเวลาว่างมั่งเลยหรือไงวะเนี่ย’ ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินย้อนกลับไปยังห้องของผมซึ่งมันก็ไม่ได้ห่างจากประตูห้อง 1404 สักเท่าไหร่นัก


ผมไขกุญแจเพื่อปลดลอดห้องก่อนจะเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปภายในและเมื่อผมเข้ามาอยู่ภายในห้องผมก็จัดการเปิดไฟ เปิดแอร์ เปิดแม่มทุกอย่างที่ทำให้ผมไม่รู้สึกว่าตัวผมนั้นอยู่คนเดียวในห้องนี้ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้เปิดโทรทัศน์ หรือ สเตริโอให้ดังลั่นห้องเสียงเรียกเข้ามือถือของผมก็ดังขึ้นและหน้าจอของมันก็ปรากฏชื่อของคนที่ผมเพิ่งได้บ่นถึงไปเมื่อสักครู่


‘พี่ศิ’


ผมรีบกดรับสายโทรศัพท์ทันทีพพร้อมกับพ่นถ้อยคำบ่นให้พี่ศิฟังจนพี่เขาไม่สามารถพูดอะไรสวนมาได้นอกจากคำว่า ‘อืม อื้อ แล้วก็ครับ’


“พี่ศิรู้ไหมวันนี้กรน่ะ เซงที่สุดเลยดันไปเจอคนที่กรไม่ชอบขี้หน้ามาตั้งแต่มัธยม พี่ศิคิดดูดิกรจะรู้สึกยังไงแต่เจอหน้ามันไม่พอนะมันยังมาจับแขนกรแล้วบอกว่ามันมีเรื่องจะคุยกับกรด้วย กรก็ไม่อยากจะคุยนะเลยสะบัดมือมันออกพร้อมกับจะต่อยสวนไปสักหมัดแต่ให้ตายมันดันเจือกหลบได้ มันก็เลยเป็นกรที่จะล้มหน้าคว่ำแทน จริง ๆ ไอล้มไปเลยนี่กรไม่ค่อยอายหรอกเราะกรล้มประจำแต่ที่หน้าอายกรดันโดนไอคน ๆ นั้นมันช่วยประคองกรขึ้นมาน่ะสิ ให้ตายเถอะ กรหงุดหงิดชะมัดเลยอยากจะเดินเข้าไปต่อย ๆ หน้ามันสักหลาย ๆ ที แต่ก็ทำไม่ได้กลัวโดนพักการเรียน” เมื่ออผมบ่นจนจบ ผมก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่พร้อมกับนั่งฟังเสียงหัวเราะเบา ๆ ของพี่ศิที่ลอยมาตามสาย


“หัวเราะอะไรพี่หนะนี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ ไอคนที่กรไม่ชอบขี้หน้าคนนี้ของกรน่ะมันทำกรไว้แสบมันหนะ….....เออช่างเถอะ” ผมทำท่าจะบ่นเรื่องที่พี่ศิหัวเราะใส่ผมต่อแต่ผมก็ต้องเงียบปากลงเพราะถ้าขืนพูดมากยิ่งไปกว่านี่สิ่งที่เป็นความลับ (จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับหรอกครับผมแค่ไม่อยากพูดมันออกมาเท่านั้นเอง) ก็จะถูกเปิดเผยออกมาและผมก็ไม่อยากจะร้องไห้ให้กับเรื่องบ้า ๆ พันธ์นั้นอีกแล้วไม่อยากจะร้องไห้ให้กับมันอีกสักครั้งเดียว


เมื่อผมเงียบไปพักใหญ่พี่ศิพี่ก็ถามผมด้วยน้ำเสียงร้อนลนออกมา “กรโกรธพี่เหรอ” ซึ่งแน่นอนคำถามนี้ผมกล่าวปฏิเสธ ผมไม่ได้รู้สึกโกรธพี่ศิเลยสักนิดเดียว


“แล้วทำไมกรถึงเงียบหละ” พี่ศิเอ่ยปากถามซ้ำซึ่งผมก็ไม่รู้จะอธิบายให้พี่เขาฟังยังไงว่าทำไมผมถึงเงียบแล้วรู้สึกไม่อยากพูดอะไรออกไปแต่ยังไงละทุกคนก็น่าจะรู้นิสัยของพี่ศิดีนะครับว่าพี่ศิเป็นคนเอาแต่ใจมากอย่างหนึ่งซึ่งถ้าพี่ศิไม่รู้ความจริงจากปากของผมพี่ศิก็จะไม่วางโทรศัพท์ เขาถามคำถามสองคำถามนี้วนอยู่หลายต่อหลายครั้งจนผมต้องยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป ซึ่งมันก็ไม่ได้ทั้งหมดจริง ๆ หรอกครับมันเป็นแค่เรื่องราวโดยย่อแถมเซนเซอร์ชื่อของไอไฮซ์ไว้ด้วย


“ที่กรเงียบเพราะกรไม่อยากเล่าให้พี่ศิฟังว่าระหว่างกรกับไอคนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น…กรคิดว่ามันไร้สาระมากแต่ถ้าพี่ศิอยากรู้กรก็จะเล่าให้ฟังแต่เอาคร่าว ๆ นะ” ผมพูดอธิบายให้พี่ศิเขาฟังและรับปากว่าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับไอไฮซ์ออกไป และเมื่อผมเล่าจนจบหมด (แต่เป็นการเล่าโดยย่อ) พี่ศิก็เอ่ยปากขอโทษขอโพยผมออกมาเสียยกใหญ่


ซึ่งพี่ศิเขาก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องที่ผมไม่ยอมเล่าออกไปนั้นมันจะเป็นเรื่องที่กระทบกับจิตใจผมมากมายขนาดนี้ผมนอนคุยเล่นกับพี่ศิไปอีกสักพักผมก็กดวางสายจากพี่เขาไป (ความจริงแล้วที่ต้องวางสายก็เป็นเพราะพี่ศิโดนรุ่นพี่เรียกให้ไปช่วยงานครับ ผมกับพี่เขาก็เลยจำใจต้องวางโทรศัพท์และแยกย้ายไสหัวกันไปทำงานของตัวเองส่วนผมก็เตรียมอ่านหนังสือเพื่อเอาไปสอบในวันพรุ่งนี้ครับ)


การคุยกับพี่ศิในครั้งนี้ทำให้ผมสบายใจขึ้นและเหมือนกับว่าตัวเองนั้นได้ยกภูเขาออกจากอกไป ก็ไม่รู้สินะครับว่าทำไมผมรู้สึกแบบนี้ ผมก็เลยแอบตั้งฉายาให้พี่ศิเงียบ ๆ โดยรู้อยู่คนเดียวว่า ‘ที่ปรึกษาทางใจประจำตัวน้องกร’ ซะเลย


ผมนอนกลิ้งเล่นบนโซฟาในห้องของตัวเองไปอีกพักใหญ่ ๆ ก่อนจะเริ่มลุกเตรียมของว่างพร้อมกับหยิบหนังสือมาเปิดอ่านเพื่อเอาความรู้ยัดใส่สมองไปสอบในวันรุ่งนี้



บางครั้งผมก็สงสัยนะครับว่าทำไมการวัดผลการเรียนรู้ของนักศึกษาคือการสอบ คือไม่ได้อยากจะคัดค้านเรื่องการสอบเลยแต่การวัดผลการเรียนรู้ของนักศึกษามันน่าจะมีวีธีที่ดีกว่าการสอบสิ อย่างเช่นให้นักศึกษาทำร้ายงานอะไรแบบนี้ หรือให้นักศึกษาออกมาบรรยายสิ่งที่ตัวเองได้รับเข้าไปในสมองในระหว่าง 1 ภาคเรียน (ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเกิดมีการวัดผลการเรียนรู้แบบนั้นผมคงสามารถพูดแถไปแถมาจนได้เกรด A เป็นแน่แท้) ทำไมอาจารย์ทุกท่านถึงได้หยิบยื่นความทรมานที่เรียกว่าการสอบมาให้นักศึกษาแบบนี้ด้วย ผมคร่ำครวญอยู่ในใจ


ผมลืมบอกไปสินะครับว่าตอนนี้ผมอยู่ในห้องสอบอีกแล้วครับนี่เป็นวิชาสุดท้ายที่ผมจะต้องสอบแล้ว (ความจริงมันมีอีกวิชาแต่ผมขอปล่อยเบลอมันไปก็แล้วกันวิชานั้นผมยังไม่ได้แตกสักตัวแต่ดีที่มันยังพอมีเวลาก่อนวันสอบให้ผมติวได้อีกสองวัน) นั่นก็คือวิชาฟิสิกส์ 1 ที่เป็นตัววัดชะตาผมเลยครับชี้เป็นชี้ตายว่า คุณมรึงจะเรียน 4 ปีจบได้หรือไม่หรือว่าคุณจะดวงซวยต้องเรียนไปถึงปีที่ 5 ครับ


ซึ่งวิชานี้ผมก็ไมได้เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่นักผมออกจะทำมันได้ดีพอควรเลย นั่นก็เป็นเพราะเพื่อนเจมส์นั่นหละครับที่ทำให้ผมได้มีวันนี้ วันที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าอยู่เหนือมีนคืออะไร


ผมนั่งทำข้อสอบไปยิ้มไปเพราะมันตรงกับสิ่งที่ไอเจมส์มันเกรงข้อสอบไว้ผมซึ่งผมก็คิดว่าสหายทั้งหมดของผมก็คงยิ้มในใจแล้วก็ทำข้อสอบไปอย่างเพลิดเพลินแน่นอน ซึ่งคราวนี้เวลา 3 ชั่วโมงเต็มของอาจารย์ที่ให้ผมมามันไม่สูบเปล่าครับคราวนี้ผมนั่งทำมันจนหมดช่วงโมง ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้จนต้องนั่งงม แต่นั่นเป็นเพราะผมทำได้ครับเลยนั่งทำข้อสอบแบบสบายสมองชิล ๆ กันไปเลย


ผมเดินออกจากห้องสองก็เจอสหายทั้งหมดยืนกันหน้าสลอนและกำลังปรึกษากันอยู่ว่าเรื่องวิชาเคมีจะเอายังไงกันดีมีใครจะพอรู้เรื่องติวให้ได้มั่งไหม ซี่งผมไม่อยากจะใส่ใจแล้วครับผมคิดว่าผมจะปล่อยวิชานี้แล้ว (พอดีคะแนนตอนมิดเทอมผมได้มาเยอะเพราะเพื่อนเจมส์มันสอนแต่คราวนี้ไอเพื่อนเจมส์มันไม่รู้เรื่องเลยสนไม่ได้ดังนั้นผมทำอีกไม่กี่คะแนนก็ผ่าน F แล้วครับ)


ผมเดินโบกมือลาเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ที่ยังคงนั่งหน้าเคร่งเครียดเรื่องจะเอายังไงกับวิชาสุดท้ายที่จะต้องสอบแต่ผมลอยตัวครับ (จริง ๆ ใจก็ไมได้อยากจะชิลสบายอะไรขนาดนี้ แต่…ผมไม่รู้จะไปหาใครนี่ผมไม่ค่อยสนิทกับรุ่นพี่ด้วย แต่แค่รุ่นพี่ทุกคนรู้จักผมก็เท่านั้นเอง)


ผมเดินลงมาจากตึกพร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาพี่ศิครับ (วันนี้พี่ศิกลับมาทำหน้าที่สารถีกิตติมศักดิ์ให้ผมหลังจากวันนั้น วันที่ผมเล่าไปว่าเจอไอไฮซ์นั่นละครับพี่ศิเลยบอกว่าจะมาขับรถไปรับไปส่งผมทุกวันถ้าวันไหนว่าง ซึ่งเวลาว่างพี่เขาก็มีไม่เยอะหรอกครับวัน ๆ เห็นวิ่งวุ่นทั่วโรงพยาบาลโดยส่วนใหญ่ผมขับมาเองทุกครั้งแต่ช่วงนี้ดีหน่อยที่ช่วงสอบผมเลยมีสารถีส่วนตัวเป็นประจำ) ผมยืนฟังสัญญาณโทรศัทพ์ไปสักพักพี่ศิก็กดรับพร้อมกับกรอกเสียงใส่โทรศัพท์โดยที่ไม่ต้องให้ผมถามเลยว่าพี่ศิเขาอยู่ที่ไหน “ตอนนี้พี่กำลังจะเลี้ยวไปหน้าตึกที่กรสอบรอสักนาทีสองนาทีนะ พี่กำลังจะถึงแล้ว”


แน่นอนครับผมก็ตอบแค่ “อื้อ” เบา ๆ แล้วกดตัดสายไป พักนี้ผมคุยกับพี่ศิเป็นคำสั้น ๆ แล้วล่ะครับคือไม่ใช่โกรธอะไรกันหรอกครับคือเหมือนพี่ศิจะรู้ทันผมและทำทุกอย่างหรือพูดอะไรออกมาตามที่ใจผมนึก ซึ่งผมก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกันกับพี่เขาครับซึ่งพี่เขาอยากได้อะไรหรือต้องการอะไร ผมจะทำให้ล่วงหน้าเอาไว้ ดันนั้นเราเลยพูดคุยกันน้อยลง (ความจริงจะเรียกว่าน้อยลงก็ไม่ได้หรอกครับเราแค่เหมือนจะรู้สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการมากขึ้น หละมั้งครับพวกเราเลยทำอะไรให้กันและกันโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องบอกอะไร)


ผมยืนรอหน้าตึกสักพักผมรถยนต์คันหรูของพี่ศิก็มาจอดเทียบฟุตบาทจรงบริเวณที่ผมนั้นได้ยืนอยู่ ซึ่งผมก็ไม่ได้รีรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากชวนผมขึ้นรถผมก็ถือวิสาสะ (ที่เจ้าของเขาอนุญาต) เปิดประตูด้านข้างคนขับและขึ้นรถไปทันที


ทุกท่านอาจจะสงสัยว่าผมไม่กลัวเรื่องข่าวลือแล้วหรือไง ข่าวซุบซิบอะไรเนี่ยเมื่อก่อนเห็นกลัวนักกลัวหนาตอนนี้ผมอยากจะบอกว่าผมช่างแม่ม ไปนานแล้วครับจะเอาไปพูดบ้าพูดบอว่าผมเป็นอะไร ยังไง ก็เชิญเอาเป็นว่าผมรู้ตัวว่าผมทำอะไร พี่ศิทำอะไร และสถานะของผมกับพี่ศิคืออะไร (ซึ่งตอนนี้ผมกับพี่ศิเป็นแค่พี่น้องกันครับในความคิดผมนะ) แค่นั้นก็พอแล้วตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนี้หรอกครับแต่คำพูดของพี่ที่บอกผมมาว่า ‘กรจะสนใจข่าวทำไมเราไม่ได้ทำอะไรผิด และเราก็ไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่เขาเขียนแล้วเราจะรู้สึกทุกข์ร้อนทำไม’


แค่นั้นนั่นละครับทำเอาผมบรรลุธรรมและปล่อยให้ข่าวมันลือไปทั่วมหาลัย และใช้สกิลช่างแม่มที่พี่ศิสอนมาให้ผมนั่นละครับ
ตอนนี้ผมนั่งยึดไอโฟนห้าของพี่ศิมานั่งเล่นแล้วสวมหูฟังไปด้วยพลางโยกหัวตามจังหวะไปด้วย (ความจริงโทรศัพท์ของผมก็เป็นไอโฟนนะแต่มันรุ่นเก่ากว่าของพี่ศิไม่รู้ว่ามันเป็น 4 หรือ 4S ช่างมันก็แล้วกันตอนนี้เล่นมือถือของพี่ศิต่อไปก่อน) ผมอยู่ในโลกส่วนตัวไปอีกสักพักเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอยถามผมเรื่องการสอบและถามต่ออีกว่าผมยังเหลือวิชาไหนอยู่อีกบ้าง


“วันนี้เป็นยังไงบ้างกรสอบน่ะ” พี่ศิถามผมก็ตอบไปตามความจริง “สบายมากพี่ยิ่งฟิสิกส์เนี่ยยิ่งสบายไอเจมส์มันเกรงข้อสอบถูกแทบจะทุกข้อ”


“แล้วเหลือวิชาไหนอีกบ้างหละเรา” พี่ศิพูดไปพลางเอามือขยี้หัวผมไปก่อนสุดท้ายจะมือข้างนั้นของเขามาดึงฟูฟังไอโฟนออกจากหูของผม


ผมตวัดตาไปมองพี่ศิแล้วเพพ่งเบา ๆ แต่ก็ต้องระงับปากตัวเองเอาไวเพราะในมือมันมือถือของพี่ศิเขา “เคมี แต่วิชานี้กรปล่อยแล้วไอเจมส์มันติวให้ไม่ได้มันบอกเรียนไม่รู้เรื่อง” ผมพูดไปพพลางหยิบพูฟังไอโฟนใส่หูไปแต่ทันทีที่พี่ศิแกได้ยินว่าผมจะปล่อยวิชานี้ทิ้งพี่ศิแกเล่นเอามือมากระชากไอโฟน (ของพี่เขา) ออกจากมือผมพร้อมกับสายหูฟังที่หลุดตามไปด้วย


ไอผมก็ร้องเสียงหลงเลยสิครับว่าทำไมพี่ศิทำแบบนี้ “เฮ้ยยยย! พี่ศิอย่าเอาไปเอามาให้กรฟังเพลงต่อก่อน” ผมพยายามเอื้อมมือไปหมายจะคว้าไอโฟนเครื่องนั้นแต่ไม่ทันเสียแล้วพี่ศิจัดการเก็บไอโฟนลงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับโยนสายหูฟังไปทางเบาะด้านหลัง


“เดี๋ยวพี่ติวให้” พี่ศิพูดขึ้นมาลอย ๆ พร้อมกับใบหน้าของผมที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายเควสชั่นมาร์ค


“อะไรนะพี่ศิติวอะไร” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่ผมเข้าใจกับสิ่งที่พี่ศิสื่อมันตรงกัน


“เดี๋ยวพี่ติวเคมีให้” คำพูดนั้นทำให้ผมถลึงตามองพี่ศิทันที (ที่ผมมองแบบนั้นก็เพราะว่าพี่ศิเขาไม่ค่อยว่าง จริง ๆ คือไม่ว่างเลยมากกว่าแล้วพี่เขาจะมาติวเคมีให้ผมได้เยี่ยงไร)


“ก็พี่ศิไม่ว่าง เห็นว่าพรุ่งีน้ต้องเข้าเวรด้วยอีกนี่พี่จะมาติวให้ผมได้ยังไง” ผมพูดปฏิเสธพี่เขาซึ่งอย่างพี่ศิทุกคนคิดว่าเขาจะยอมให้ผมปฏิเสธเหรอครับ…คำตอบคือพพี่ศิเค้าไม่ยอมอยู่แล้ว


“หลังเข้าเวรพี่จะกลับมาติวให้” อันนี้ทำให้ผมยิ่งต้องถลึงตามองพี่ศิขึ้นไปอีก


นี่พี่ครับหลังจากพี่จะเข้าเวรเสร็จกว่าพี่จะกลับมาถึงคอนโดมันก็ปาไปสามสี่ทุ่มแล้ว ถึงติวพี่จะเอาเวลาที่ไหนนอนครับเนื้อหาเคมีก็ไม่ใช่น้อย ๆ นะครับพี่


“ไม่เอาดึกไป” อย่าว่าแต่พี่ศิเขาไม่ยอม…ผมเองก็ไม่ยอมติวตอนดึกตอนดื่นหรอกครับ


“เดี๋ยวก็เอฟ…” ฮึก คำว่าเอฟ คำ ๆ นี้มันปักใจ “งั้นเริ่มวันนี้เลยก็ได้ กลับห้องไปเดี๋ยวพี่ติวให้”


ซึ่งคำว่าเอฟมันเป็นคำที่ทำให้ผมสะเทือนใจไปทั้งสามโลก ดังนั้นผมก็จำใจตอบตกลงพี่ศิเขาไปโดยที่มีคำว่าเอฟลอยอยู่เต็มหัว



เอาล่ะครับหลังงจากที่เราทั้งสองคน ผมและพี่ศิมาถึงคอนโดตอนนี้ผมนั่งอยู่ในห้องของพี่ศิครับตอนแรกผมจะอีดออดว่าจะติวห้องผม ๆ แต่พี่ศิเขาไม่ยอมครับพี่แกกลัวว่าผมจะวิ่งเข้าห้องตัวเองแล้วลอคประตูห้องจนพี่เขาเข้าไปตามไม่ได้ พี่ศิเลยประกาษิตให้ผมเก็บเสื้อผ้าของใช้ไปอาศัยในห้องของพี่ศิจนกว่าผมจะสอบเคมีเสร็จ


ซึ่งตอนนี่ผมก็นั่งหน้าเจียม ๆ อยู่กลางห้องนั่งเล่นในห้องของพี่ศิเรียบร้อยแล้วครับด้านหน้าของผมมีโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก ๆ วางไว้อยู่ส่วนพี่ศิน่ะเหรอทำหน้าเข้มเปิดเลคเชอร์และชีทวิชาเคมีของผมอ่านคร่าว ๆ อยู่


“พะ…พี่ศิครับไม่ต้องเคร่งเครียดขนาดนั้นก็ได้” ผมพูดเสียงเบาพร้อมกับส่งสายตาว่าผมไม่อยากติวแล้วไปให้พี่ศิเขา แต่ทันทีที่พี่ศิเหลือบสายตาขึ้นมามองผม ผมก็จำใจต้องหุบปากตัวเองลงทันทีเพราะตอนนี้พี่ศิเขาสวมโหมดติวเตอร์สุดโหดเพื่อที่จะติววิชาเคมีผมเรียบร้อยแล้วครับ


“พี่พอเข้าใจเนื้อหาขอเราแล้ว หลัก ๆ ของครึ่งเทอมหลังนี่ท่าทางจะเป็นเรื่องของเคมีอินทรีย์ แล้วก็พวกสมดุลเคมี แล้วเทอร์โมไดนามิกนะกร เอางี้เราบอกพี่มาว่าเราถนัดเรื่องอะไรมากที่สุด” พี่ศิวางเลคเชอร์และชีททั้งหมดลงพร้อมกับเหลือบตามองมาที่ผม
ซึ่งผมก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ คือว่าครึ่งเทอมหลังนี้ผมเรียนเคมีไม่รู้เรื่องเลยครับผมถึงบอกพี่ผม…เรียนเคมีไม่รู้เรื่องเลยครับผม ถึงบอกพี่ศิไม่ได้ไงว่าผมถนัดเรื่องไหนจากทั้งหมด


ซึ่งปฏิกิริยาของผม…ทำให้พี่ศิถึงกับส่ายหัวไปมาอย่างระอา “คราวนี้งานไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะกรถ้าถนัดเรื่องไหนบ้าง พี่จะได้ข้ามเรื่องนั้นไปแต่นี่ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างเลยสินะ”


“คืนนี้ไม่ได้นอนแน่กร” พี่ศิพูดหมายหัวผมเอาไว้พร้อมกับเริ่มมหกรรมติวมหาโหดนรกแตกทันที แต่ก่อนที่พี่ศิจะเริ่มติวผมก็ยกมือเพื่อขอเวลานอก ซึ่งพี่ศิก็ใจดียอมให้เวลานอกผมผมวิ่งไปที่โซฟา (ตัวที่ผมโยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้) แล้วหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมไว้


ผมหันไปมองหน้าพี่ศิพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ให้ พร้อมกับเอ่ยปากตอบคำถามที่พี่ศิสงสัยทันที “กรสวมเวลาอ่านหนังสืออ่ะ นี่จะติวไงเลยเอาออกมาสวมไว้ ปกติไม่ค่อยได้ใส่หรอกกรใส่คอนแทคเลนต์เอา” (ทุกท่ายอย่ามาถามผมนะครับว่าทำไมผมถึงบอกพี่ศิไปแบบนั้นก็พี่ศิแกเล่นมองผมแล้วทำหน้างง ๆ เนี่ยละผมเลยตอบไปแกคงสงสัยล่ะครับว่าผมสวมแว่นสายตาด้วยเหรอ)


เมื่อผมพพูดจบผมก็รีบพาตัวเองไปนั่งที่เดิมทันทีพร้อมกับตั้งใจรับความรู้เข้าสู่สมองน้อย ๆ ที่ไม่มีอะไรเลยของผม


บรรยากาศภายในห้องนั้นเงียบสงัดมีเพียงแต่เสียของี่ศิที่คอยอิบายเรื่องราวพพันธะเคมี สมดุล แรงยึดเหนี่ยวโควาเลนตฺ แรงลอนดอน และสารมีขั่วไม่มีชั่วทั้งหมดยัดเข้ามาในหัวผมจนผมเบลอไปหมด ไอผมเริ่มยกมือจะขอเวลานอกแต่ก็โดนพี่ศิพูดดักเอาไว้เสียก่อน “กรนี่พี่ยังเริ่มติวเราได้ไม่ถึง 10 นาทีเลยนะจะมาขอเวลานอกอะไรบ่อย ๆ”


พี่ศูดเสียงดุใส่ผมจนผมสะดุ้งและก้มหน้าก้มตาจดในสิ่งที่พี่เขาสอนไป ผมก็อยากจะบอกนะครับว่าพี่ศิเป็นคนสอนอะไรที่เข้าใจง่ายแต่เรื่องความโหดในการติวนี่ถ้าเต็มร้อยผมให้พันเลยล่ะครับ เหม่อเมื่อไหร่มีเอาชีทฟาดหัว สะลึมสะลือเมื่อไหร่ก็เอาชีทฟาดหัว ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน ชีทปึกใหญ่ก็ประเคนลงบนหัวผมล่ะครับให้ตายเถอะพี่ศิครับ พี่จะติวโหดไปไหนนี่มันเริ่มเรียกว่าทำร้ายร่างกายแล้วนะครับ


ผมคร่ำครวญในใจแต่ก็เอ่ยออกไปไม่ได้เพราะถ้าเกิดพูดอะไรหรือถามอะไรนอกเหนือจากเรื่องบทเรียกชีทในมือพี่ซิก็จะปลิวมาฟาดหัวผมทันที


ความรู้ผมมันจะปลิวเพราะชีทที่พี่ตีหัวผมเนี่ยละครับให้ตายเถอะโหดไปไหนเนี่ย!



“กร! เขี่ยนหมู่ฝังชั่นของเคมีอินทรีย์มาให้พี่ทั้งหมดเดี๋ยวนี้มี 8 หมู่ห้ามดูในหนังสือด้วยเรื่องนี้ต้องจำได้ จำไม่ได้นี่ไม่ต้องสอบเลยกร ตกแน่ ๆ” พี่ศิสั่งผมซึ่งแน่นอนคิดเหรอว่าผมจะทำได้…ก็ผมทำไม่ได้แน่นอนอยู่แล้วยังไงครับ ถ้าทำได้ผมจะมานั่งให้พี่ศิติวแบบนี้เหรอไง


ตอนนี้ใครก็ได้ช่วยผมทีพพี่ศิกำลังจะกินหัวผมแล้วครับ ไม่นะ!





___________________________________


โค้งงงง ยังสอบไม่เสร็จเลยค่ะทางพลอยสอบเสร็จวันที่ 10 ช่วงนี้อาจจะ ไม่ได้เจอกันถี่แต่ยังแต่งนิยายตุนไว้เรื่อยๆค่า


ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่ศิเป็นติวเตอร์ที่โหดกับน้องกรมากๆ ถ้าผ่านไปได้
รีบมาหอมแก้มติวเตอร์เป็นรางวัลเงยนะ น้องกรสู้ๆ

พี่ศิทุ่มสุดตัว สงสัยจะเป็น รักซึมลึก ละมั้งคู่นี้

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ติวเตอร์โหดเค้าก็ชอบ

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
อิจฉาน้องกร ถึงพี่ศิติวเตอร์จำเป็นจะโหดไปหน่อยก็เถอะ :hao7:
สู้ๆน้องกร สู้ๆค่ะคนเขียน  :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :katai1:  อิตาไฮ เนี่ยจะมาอีกทำไม อย่าบอกนะว่าชอบ กรอ่ะ รู้ข่าวเรื่องกรกับพี่ศิเลยหึงสินะ  :hao3:  :angry2: ชร๊านไม่ยกให้หรอก

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
อ่านรวดเดียว10ตอน พี่ศิน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :-[
น้องกรก็น่ารักน่าหยิก เมื่อไหร่พี่กรจะใจกล้าบอกความรู้สึกในใจให้น้องกรรู้กันน๊า

ส่วนไฮซ์ ฉันว่านายคิดอะไรกับน้องกรใช่ไม๊!

ติดตามตอนต่อไปเป็นกำลังใจให้พลอยและน้องกรทำข้อสอบได้นะจ๊ะ  o13

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ไม่ได้เจอกันเกือบอาทิตย์ลากสังขารมาต่อแล้วค่า >< พอดีวันนี้เพิ่งสอบเสร็จไป(แต่เหลือวิชานรกแตกอีกวิชาเลยเอามาลงให้ก่อนเกรงว่าจะหายตัวไปนานเกินไป)




Chapter 11



สวัสดีครับนี่คือการรายงานสดภายในห้องสอบวิชาเคมีซึ่งเป็นวิชาสอบวิชาสุดท้ายครับ ผู้สื่อข่าวคือนายรณกร กิตติพงษ์พิพัฒน์คนเดิมที่ทุก ๆ ท่านรู้จักกันดีนะครับ ตอนนี้สหายเบอร์หนึ่งของผมคือเพื่อนบาสได้ปักธงขาวยอมแพ้วิชานี้และเดินออกจากห้องสอบไปเรียบร้อยแล้วกับ ส่วนเพื่อนเจมส์ผู้เป็นสหายเบอร์สองปากมันบอกว่ามันไม่รู้เรื่องวิชานี้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมก็เห็นว่ามันนั่งเขียนอะไรลงไปในข้อสอบอะไรเยอะแยะเลยหละครับ ผู้สื่อข่าวรณกรคนนี้ไม่อยากจะบอกเลยว่าเพื่อนเจมส์ของผมนี่มันต้องแอบซุ่มเก็บ A อย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ


แล้วส่วนกระดาษสอบของผู้สื่อข่าวรณกรเหรอครับ ผมไม่อยากจะอวดครับผมเขียนคำตอบได้แทบจะทุกข้อเลยครับแต่ว่าไอที่เขียนลงไปนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันจะถูกมากน้อยขนาดไหนหรอกครับ เอาง่าย ๆ คือผมก็เขียนคำตอบลงไปตามที่ติวเตอร์สุดโหดนามศิรวิทย์สอนนั่นละครับไม่มีอะไรมากมายไปกว่านี้ ข้อไหนติวเตอร์ส่วนตัวของผมไม่สอนผมก็ไม่เขียนครับแต่ก็ยังดีเพราะว่าสิ่งที่ติวเตอร์ศิรวิทย์สอนมันออกสอบมากกว่าสิ่งที่ติวเตอร์ศิรวิทย์ไม่สอนครับ ดังนั้นทุกท่านอย่าได้เป็นห่วงอะไรผู้สื่อข่าวรณกรคนนี้เลย ผ่านเอฟแน่นอนครับแต่ตอนนี้ผู้สื่อข่าวรณกรขอตัวออกจากห้องสอบก่อนหละครับเพราะตอนนี้ผู้สื่อข่าวกำลังปวดก้นมากเนื่องจากนั่งทำข้อสอบมาอย่างยาวนานโดยนับเวลาจากวินาทีแรกที่เข้าห้องสอบจนถึงเวลานี้ก็ศิริรวมแล้วประมาณสองชั่วโมงเศษแล้วครับ


ดังนั้นการรายงานสดจากห้องสอบเคมีต้องขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ เนื่องจากผมเกิดอาการปวดก้นขึ้นมาแล้ว


ทุกท่านอย่าคิดว่าผมทำอะไรไร้สาระเลยนะครับผมแค่อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าสถานการในห้องสอบตอนนี้เป็นยังไงส่วนผมหนะเหรอก็ตามที่เล่าไปครับผมลอยตัวเพราะมีพี่ศิติวให้เลยสบาย ๆ ทำข้อสอบแบบชิล ๆ (อย่าให้พูดเลยครับว่าพี่ศิติวโหดขนาดไหน…เอาเป็นว่ามันบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยครับ ดีกรีความโหดขึ้นอยู่กับความรู้ในสมองของผมแล้วความรู้ในสมองผมมันไม่มีเลยสักนิดเดียว ดีนะที่มันไม่ติดลบถ้าติดลบผมคงให้วิญญาณของผมออกมาสองแทบร่างกายของผมแล้วหละครับ)


นี่ผมพูดถึงพี่ศิไปไม่เท่าไหร่เจ้าตัวก็โทรมาแล้วหละครับดู้ดู พี่ศิแกมีญาณทิพย์หรือยังไง พี่แกถึงได้ชอบโทรมาตอนผมกำลังนินทาพี่แก (อยู่ในใจ) ทุกที


ผมกดรับสายพี่เขาพร้อมกับกรอกเสียงทักทายไป “สวัสดีครับพี่ตอนนี้นายรณกรสุดหล่อกำลังพูดอยู่ก่อนที่คุณจะพูดนะครับนายรณกรคนนี้อยากจะถามพี่ศิว่าพี่มีญาณทิพย์หรือไงครับทำไมถึงชอบโทรมาจังหวะเดียวกับที่ผมนายรณกรกำลังนินทาพี่อยู่ทุกทีเลย” ผมพูดตอบพร้อมกับใส่มุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงไปในคำพูดจึงทำให้คู่สนทนาของผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ


“พอดีพี่คำนวณว่ากรจะอดทนนั่งทำข้อสอบอยู่ในห้องสอบได้นานเท่าไหร่แล้วเท่านั้นเองแล้วส่วนเรื่องที่ชอบโทรมาหาทุกทีที่กรกำลังนินทาพี่อยู่ในใจอันนี้ไม่ทราบได้ครับว่าทำไมถึงโทรมาตอนเวลานั้นได้เหมาะเจาะพอดี” น้ำเสียงพี่ศิที่พูดตอบผมออกมานั้นมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งสิ่งที่พี่เขาตอบผมมานั้นมันพูดอีกก็ถูกอีกครับเพราะผมดันไปเล่าให้พี่ศิฟังซะเยอะแยะเลยเรื่องเวลาที่เขาให้มานั่งทำข้อสอบมันเยอะเกินไป (มันเยอะเกินไปสำหรับผมหนะครับ) นั่งไปนาน ๆ แล้วอาการปวดมันรวดร้าวไปตั้งแต่คอถึงตรูดครับ


“แหม เดาเก่งนะครับพี่ศิเดาได้ตรงเปะเลยโทรมาหากรตอนกรอยู่นอกห้องพอดีเลย” ผมพูดแซวพี่ศิพร้อมกับสาวเท้าเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน ๆ


ผมยืนคุยกระหนุงกระหนิงกับพี่ศิไปสักพักเสียงเรียนเข้าผมก็แพดเสียงดังขึ้น ผมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อการสนทนาระหว่างผมกับพี่ศิถูกขัดจังหวะแต่ในเมื่อชื่อของปู่รหัสผมเด่นหราอยู่บนหน้าจอมือถือผมก็เลยต้องจำในพักสายโทรศัพท์ของพี่ศิและหันไปรับสายโทรศัพท์ของปู่รหัสหรือเจ้น้ำหวานของผมนั่นเอง


“สวัสดีครับน้ำหวานมีอะไรให้กรรับใช้เหรอครับ” ผมกรอกเสียงพูดลงไปถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแต่คู่สนทนาของผมคนนี้ไม่ผิดครับผมเลยพยายามใช้น้ำเสียงที่เป็นปกติคุยกับเจ้น้ำหวานเขาไป


“กรจ๋า กรวันนี้กรสอบวันสุดท้ายใช่ไหมจะ” น้ำเสียงข้อเจ้น้ำหวานฟังดูเหมือนจะออดอ้อนผมซึ่งแบบนี้ผมรู้แล้วหละครับว่าเจ้แกต้องการอะไร


เพราะมันจะเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเจ้น้ำหวานจะนัดเลี้ยงสายครับ


“ครับเจ้มีอะไรเหรอ ตอนนี้กรมีสายซ้อนนะเจ้ถ้าเจ้จะนัดที่ไหนของแบบด่วน ๆ กรให้อีกสายเขารออยู่” ผมบอกเจ้น้ำหวานไปตามตรงว่าผมติดสายโทรศัพท์อีกสายอยู่


“จากไอศิมันอะดิ” เจ้น้ำหวานพูดขึ้นผมนี่แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง “เจ้รู้ได้ไงอะ” ผมถามเจ้แกไปเสียงสั่น ๆ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็แพดเสียงตอบผมกลับมาด้วยความมั่นใจว่า “เจ้เดา! เอา”


ไอผมพพอฟังคำตอบนั้นก็แทบอยากจะทรุดลงไปนั่งับเพียบกับพื้น เจ้ครับเจ้เดาเก่งไปนะครับไอผมนี่ใจหายวูบเลยแต่… ‘ทำไมต้องรู้สึกใจหายแบบนี้ด้วยว่ะแค่ผมคุยโทรศัพท์กับพี่ศิเท่านั้นเอง’


“เรื่องไอศิช่างมันเถอะเย็นนี้คงว่างสินะ เจ้ไปสืบมาแล้วว่าวันนี้ไอศิติดเข้าเวรดังนั้นเย็นนี้ตอน 6 โมงตรงที่เก่านะจะน้องกรของเจ้ แล้วอย่าลืมลากคอน้องเจมส์น้องบาสของเจ้มาด้วยนะเพราะปู่รหัสของทั้งสองก็ฝากให้เจ้ชวนน้อง ๆ เหมือนกัน” สิ้นเสียงเจ้น้ำหวานเจ้แกก็ตัดสายไปโดยทิ้งให้ผมยืนเหวออยู่คนเดียว ผมใช้เวลาตั้งสติสักพักก่อนจะสลับสายกลับไปคุยกับพี่ศิต่อโดยผมเล่าให้พี่ศิฟังวว่าเย็นนี้ผมมีนัดเลี้ยงสายแล้วก็คงกลับดึก


“พี่ศิเจ้น้ำหวานบอกว่าจะนัดเลี้ยงสายอะวันนี้กรน่าจะกลับดึกนะ” ผมพูดให้พี่ศิฟัง พี่เขาก็ส่งเสียงตอบรับกลับมา ซ้ำยังมีการบอกด้วยว่าถ้างานเลี้ยงเลิอกเมื่อไหร่ให้โทรหาเดี๋ยวพี่จะไปรับที่ร้าน ตามนิสัยคนขี้เกรงใจอย่างผม (??) ก็ต้องกล่าวปฏิเสธอยู่แล้ว (มันก็ต้องมีการเล่นตัวนิดนึงครับเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเราง่ายเกินไป…ใช่ซะที่ไหนละเฮ้ย!!) แต่ทุกคนคิดเหรอครับว่า ว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนนี้จะยอม


ก็ไม่ยอมหนะสิครับแถมพี่ศิแกชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดให้ผมฟังจนผมใจอ่อนยอมให้พี่เขามารับจนได้


“กรถ้ากรจะไปดื่มนี่พี่ไม่ว่าหรอกนะแต่ถ้ากรเมาละแล้วจะทำยังไงกลับยังไง บาสกับเจมส์ก็โดนนัดเลี้ยงด้วยยังไงก็ต้องดื่ม เมาแล้วขับมันดีตรงไหนกรให้พี่ไปรับดีกว่าไม่ต้องเกรงใจด้วยเพราะวันนี้พี่อยู่เวรดึกเวลาเลิกเวรเดี๋ยวพี่ขับรถแวะไปรับกรเอาได้ครับ” เมื่อแม่น้ำทั้งห้าสายถูกชัดมาพูดโดยว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ทุกคนคิดว่า ว่าที่นายช่างอย่างผมจะเอาอะไรไปเถียงกับเขาครับ ก็เถียงไม่ได้หนะสิครับผมก็เลยจำใจรับปากพี่ศิเขาให้พี่ศิมารับผมกลับคอนโดพร้อมกัน


แต่มันก็ดีไปอีกอย่างนะครับ…เพราะถ้ามองในอีกมุมหนึ่งผมมีคนมารับแบบนี้ผมก็สามารถเมาเรื้อนได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องสนใจเรื่องที่ผมจะกลับยังไงเพราะผมมีสารถีกิตติมศักดิ์รับปากแล้วว่าจะมารับผมและหิ้วผมไปส่งยันห้อง


“พี่ศิ ถ้าพี่จะชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดแบบนี้กรก็ปฏิเสธไม่ลงแล้วครับนี่ถือว่ากรเห็นความพยายามของพี่ศิเลยนะกรเลยตกลงให้พี่ศิมารับ” ผมพูดจอบพี่ศิไปโดยตั้งใจใช้คำพูดแหย่พี่เขาไปสักหน่อยซึ่งตำพูดของผมก็เรียกหัวเราะหัวเบา ๆ ตามสายมาได้อีกครั้ง


‘พ่อคนเส้นตื้น หัวเราะอีกแล้ว...อะไรมันจะเส้นตื้นได้ขนาดนี้นะ’ ผมบ่นในใจโดยไม่กล้าที่จะพูดแหย่อะไรพี่ศิผมคุยกับพี่ศิจนเวลาสอบวิชาเคมีหมดลง (ราว ๆ 5 นาทีได้ครับ) ผมก็เลยขอตัววางสายจากพี่ศิเพื่อที่จะเดินไปคุยเรื่องนัดเลี้ยงสายเย็นนี้ของผมกับไอบาสและไอเจมส์


“พี่ศิกรขอวางก่อนนะกรต้องไปคุยกับไอเจมสืกับไอบาสอีก เรื่องที่ปู่รหัสนัดเลี้ยง” ผมพูดจบพี่ศิก็ตอบรับและกดตัดสายโทรศัพท์ไป 


ผมก้มมองโทรศัท์ของตัวเองแล้วถอนลมหายใจออกมาเบา ๆ ช่วงนี้ผมไม่รู้เป็นอะไรทำไมถึงคุยกับพี่ศิได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้สึกเบื่ออะไรเลยสักนิดแต่ก็นะ…คิดไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาผมเก็บโทรศัพท์ของผมลงกระเป๋าแล้วสาวเท้าเดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนของผมที่ยืนออกันอยู่หน้าห้อง


รู้สึกว่าในวงสนทนาจะคุยกับบ้างเรื่องข้อสอบประปราย แต่ส่วนใหญ่ทุกคนคุยว่าสอบเสร็จแล้วเย็นนี้จะไปต่อที่ไหนดีไหน ๆ ก็ปิดเทอมแล้วก็เมาเรื้อนกันฉลองปิดเทอมไปเลยซึ่งบทสนทนานี้ผมก็วิ่งเข้าไปร่วมแจมกับพวกมันด้วย (ส่วนเรื่องสอบ…ปล่อยมันไปเถอะครับ)


“ไอเจมส์ ไอบาสปู่รหัสมรึงบอกว่าเย็นนี้จะนัดเลี้ยงสายวะ แต่กรูไม่ถามว่ามรึงจะไปไหมนะเพราะกรูรู้ว่าพวกมรึงว้อนท์ของฟรีแดรกกัน” ผมพูดบอกมันโดยไม่คิดถึงคำตอบของพวกมันสองคนเลยว่ามันจะตอบตกลงหรือปฏิเสธ (ถ้าใครอยู่หอคงเข้าใจดีนะครับว่าเด็กหอมันสรรหาของฟรีกินกันทั้งนั้น คือไอการอยู่หอมันสบายก็จริงแต่ มันลำบากตรงเรื่องเงินเนี่ยหละครับต้องจัดสรรปันส่วนกันให้ดีให้มันพอมีกินไปได้ถึงสิ้นเดือน ซึ่งวิศวะเป็นคณะที่รุ่นพี่มักจะนัดเลี้ยงบ่อยมาก ไม่ก็นัดแดรกกันเองบ่อยมาสภาพการเงินมันจะฟืดเคืองตรงนี้ครับ)


ซึ่งไอสหายรักสองคนของผมทันทีที่ได้ยินว่าปู่รหัสนัดเลี้ยงมันก็รีบ กระดิกหู กระดิกหาง สาวเท้าวิ่งมาหาผมทันที (ไอที่ผมเปรียบเทียบมันเหมือนหมานี่ก็เพราะไอสองตัวนี่ทำหน้าระรื่นเหมือนน้องหมาพัน์โกลเด้นท์รีทีฟเวอร์ที่มันจะวิ่งอย่างเริงร่ามาหาเจ้าของละครับ สภาพพวกมันสองคนไม่ต่างกับสภาพน้องหมาในเวลานั้นเลย)


“เฮ้ยจริงเหรอว่ะทำไมเฮียแกไม่โทรมาบอกพวกกรูเลยวะ ทำไมเฮียโทรไปบอกมรึงแทน” คำถามนี้ของไอเจมส์ทำให้ผมแทบอยากเอาเท้าขึ้นไปยันหน้ามัน ถ้ามันใช้สมองมันคิดสักนิดว่าเมื่อห้านาทีก่อนหน้านี้มรึงกำลังทำอะไรมรึงก็จะรู้คำตอบเองหละครับว่าทำไมพี่เขาถึงไม่โทรไปหามรึง ถ้าทุกท่านจะถามถึงไอบาสหนะเหรอครับว่าทำไมมันไม่โวยวายนั่นก็เพราะปู่รหัสมันโทรมาบอกมันเรียบร้อยแล้วครับ (แถมบอกครบถึงสถานที่โต๊ะนั่งเลยครับว่านั่งโต๊ะไหน ๆ ใครไปมั้งละเอียดกว่าที่เจ้น้ำหวานบอกผมตั้งเยอะ) มันเลยไม่ได้มาโวยวายกับผมยังไงหละ


แต่คนที่ทำหน้าที่กระโดดยันหน้าไอเจมส์แทนผมก็คือไอบาสครับซึ่งมันก็ไม่ได้กระโดดยันหรอกมัยแค่ตบหัวไอเจมส์อย่างแรงเพื่อจูนสมองพร้อมกับพูดว่า “เชี่ยตอนนั้นมรึงสอบ ถ้าลองให้พี่เขาโทรหามรึงดิมรึงได้โดนหิ้วไปสอบสวนข้อหาทุจริตการสอบแน่มรึง”


คำพูดของไอบาสเหมือนจะทำให้ไอเจมส์สำนึกได้ครับมันเลยรีบวิ่งออกจากกลุ่มและกดโทรศัพท์หาปู่รหัสมันทันทีครับซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกับปู่ของมันแต่ท่าทางดี้ด้าแบบนั้นมันคงได้อะไรพิเศษจากปู่รหัสของมันแน่นอนครับ (ไม่ขอให้ปู่รหัสสุดแสนจะเป็นคนดีของมันเลี้ยงข้าวก็คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาว ๆ มั้งครับ) ซึ่งมันคุยโทรศัพท์อยู่ไม่นานมันก็วิ่งกลับมาในกลุ่มพร้อมกับหิ้วคอผมกับไอบาสเพื่อเดินลงจากตึกสอบไป


ท่าทางไอเจมส์มันลั่นล้าสุด ๆ ครับ อันนี้ท่าทางมันน่าจะมีข่าดีอะไรจากปู่รหัสมันเยอะ ซึ่งผมยังไม่อยากถามอะไรมันตอนนี้เพราะถามไปมันก็ไม่บอก สู้ไปถามปู่รหัสของมันเอาเลยดีกว่าน่าจะได้เรื่องกว่า ปู่รหัสของไอเจมส์ชื่อเฮียซันครับ เฮียแกเป็นคนดีมากเลยครับเฮียแกรักษาศิลป์ 5 ได้ครบ เข้าวัดทุกวันเสาร์ ตักบาตรทุกวันอาทิตย์ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่แตะ แต่เพื่อนชวนไปร้านเหล้านี่เฮียซันแกไปหมดครับแต่ที่ไปไม่ได้ไปก๊งเหล้านะครับเฮียเข้าไปกินน้ำส้มไม่ก็กินนม (บางทีผมก็อยากจะบอกเฮียซันไปว่าหัดปฏิเสธเพื่อนบ้างก็ได้นะครับ ไม่ใช่จะยอมตามเขาไปซะหมด) ซึ่งนิสัยของเฮียซันมันช่างแตกต่างจากสายรหัสของพี่เขาเลยจริง ๆ ครับ นอกจากเฮียซันแล้ว สายรหัสของเฮียแกแดรกเหล้าอย่างกับน้ำทุกคนเลยครับเรียกง่าย ๆ ว่า เฮียซันไม่แดรกพวกผมแดรกแทนเฮียเองครับอะไรแบบนั้น


ส่วนไอบาสสายปีสองมันขาดครับมันเลยมีแค่ป้ารหัส กับปู่รหัส (พี่รหัสของมันเห็นว่าจะไปตามความฝันจะไปเป็นเดอะสตาร์ เฮ้ยไม่ใช่แล้วครับ) พี่รหัสมันซิ่วออกไปเข้าสถาปัตครับซึ่งมันก็ได้เจอกับพี่รหัสมันบ้างเป็นบางครั้งซึ่งพี่รหัสของไอเจมส์เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเก่าของผมครับก็เลยสนิทกัน ตอนที่มันรู้ว่าพี่รหัสมันซิ่วไอบาสแทบตามไปเขย่าคอพี่เขาถึงบ้าน แต่ทำไงได้ครับพี่เขาอยากเรียนสถาปัตมากกว่าไอบาสมันก็เลยปล่อยเลยตามเลย แต่บางทีมันก็ไปลากพี่เขามาแดรกเหล้าให้ครบสายก็มีครับ ซึ่งป้ารหัสกับปู่มันก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมดีใจด้วยซ้ำว่าน้องรหัสกับหลานรหัสมานั่งก๊งเหล้าร่วมวงกันได้อีก


ตอนนี้เท้าของผมก็ลงมาแตะยังพื้นดินแล้วหละครับหลังจากเหยียบพื้นคอนกรีตมานานและตอนนี้ผมก้กำลังจะเดินไปยังลานจอดรถที่ได้จอดมอไซค์ของสองสหายของผมไว้ตอนนี้พวกเรากำลังจะเดินทางไปยังจุดหมายที่เหล่าบรรดาปู่รหัสของพวกผมได้นัดไว้ (จริงแค่ผมบอกว่าผมลงมาถึงชั้นล่างแล้วกำลังจะซ้อนมอไซค์ของไอเจมส์ไปร้านที่พวกปู่รหัสนัดไว้จะง่ายกว่านะครับ พอดีผมอยากโอเว่อร์เลยใช้คำโอเว่อร์ ๆ บรรยายไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง แหะ ๆ )


ใช้เวลาไม่นานนักตอนนี้ผมและสหายก็มายืนอยู่หน้าร้านที่พวกปู่รหัสนัดกันไว้ ผมยืนรอไอเจมส์กับไอบาสแว้นซ์มอไซค์เข้าไปจอด ส่วนตัวผมก็ยืนรออยู่หน้าประตูร้านครับ ผมยืนกดโทรศัพท์มือถือเล่นสักพักไอเจมส์กับไอบาสก็เดินมาหาผมพร้อม ๆ กับเหล่ารุ่นพี่ ทั้งลุง ทั้งป้าทั้งปู่รหัส


ไอผมแทบจะยกมือไหว้ไม่ทันมิน่าทำไมพวกมันถึงไปจอดรถนาน สรุปว่าเจอพวกรุ่นพี่ในที่จอดรถนั่นเองเลยเดินเข้ามาพร้อมกันซะเลย ซึ่งแน่นอนในกลุ่มรุ่นพี่นั้นก็มีเจ้น้ำหวานปู่รหัสสุดที่รักของผมอยู่ด้วยครับ ร่างเล็กนั่งวิ่งเข้ามาพร้อมกระโดดมากอดผมแน่น


“น้องกรของเจ้ เจ้คิดถึ้งคิดถึงน้องกรจริง ๆ เลย” เจ้น้ำหวานกอดผมพลางเอาแก้มของเธอถูไถแก้มของผมด้วยความพิศสวาท ผมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เจ้น้ำหวานลงจากตัวผม “กรก็ว่าทำไมไอเจมส์กับไอบาสไปจอดรถกันนานจัง พวกพี่ ๆ มากันแล้วนี่เอง”


“มาครบแล้วเข้าร้านเถอะ” เสียงของเจ้น้ำหวานพูดตัดบทเพราะกลัวว่าเราจะคุยอะไรกันไปมากกว่านี้


สิ้นเสียงข้องเจ้น้ำหวานเธอก็เดินเข้ามาควงแขนผมพร้อมกับลากผมเข้าไปในร้านด้วยเรี้ยวแรงอันมหาศาลแต่ในช่วงที่เจ้น้ำหวานลากผมเข้าไปในร้านนั้น เธอแอบกระซิบถามผมเบา ๆ ว่า “บอกไอศิแล้วใช่ไหมว่ามากินเหล้ากับเจ้” ผมมองเจ้น้ำหวานด้วยความสงสัยแต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเลยพยักหน้าตอบเจ้แกไป ซึ่งเมื่อเจ้น้ำหวานเห็นผมพยักหน้าตอบแบบนั้นเจ้แกก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนกับว่าเธอรู้สึกโล่งอกอะไรประมาณนั้น


ซึ่งเจ้น้ำหวานแกก็ไม่ได้ทิ้งให้ผมสงสัยอยู่นานว่าทำไมเจ้เขาถึงถามผมแบบนั้นริมฝีปากบางที่ทาด้วยลิสกลอสสีชมพูก็พร่ำบ่นออกมาว่า “ตั้งแต่ไอศิมันรู้นะว่าเจ้เป็นปู่รหัสของกร มันแทบจะสั่งห้ามเจ้เลยละว่าห้ามพากรไปกินเหล้า ห้ามพากรไปผับ แต่ครั้งนี่เจ้แอบไปขอแยบ ๆ ไอศิมาแล้วมันอนุญาตมันบอกว่าถือเป็นการฉลองปิดเทอม เจ้เลยถึงได้โทรมาชวนกรได้ไง เจ้ก็ไม่รู้นะว่าไอศิมันห่วงอะไรกรนักหนานะแต่ว่าแบบนี้ไอศิมันอาจจะคิดไม่ซื่อกับกรก็ได้นะ”


ไอประโยคแรกของเจ้น้ำหวานผมก็เข้าใจอยู่หรอกครับเพราะผมกับพี่ศิมีฐานะเป็นน้องชายกับพี่ชายที่สนิทกันมาก ๆ แต่ไอประโยคหลังของเจ้น้ำหวานนี่ผมชักจะตะงิด ๆ ใจนิดหน่อยนะ “เจ้คิดมากพี่ชายก็ห่วงน้องชายเป็นธรรมดา แล้วไอที่เจ้บอกว่าพี่ศิคิดไม่ซื่อนี่เป็นไปไม่ได้เลยถ้ากับคนอื่นก็ว่าไปอย่างกับกรนี่ไม่มีทางอะ พี่น้องทั้งนั้นหละเจ้” ผมพูดปฏิเสธเจ้ไปพร้อมกับหัวเราะออกมาดัง ๆ ซึ่งเจ้น้ำหวานก็ได้แต่กอดอกมองผมแล้วพึมพำเบา ๆ โดยที่ผมฟังไม่ได้ศัพท์ (เลยจับเอามากระเดียดเผยแพร่ให้ทุกคนฟังไม่ได้ครับเรื่องนี้รณกรเสียใจมากจริง ๆ ทุกคนโปรดเข้าใจด้วย) แต่เจ้น้ำหวานก็พูดบ่นกับตัวเองไม่นานเจ้น้ำหวานก็เดินมาควงแขนผมร้อมกับลากให้ผมไปนั่งที่โต๊ะ


ตอนนี้ที่โต๊ะมีทั้งหมด 11 คนครับ (ซึ่งพี่รหัสไอบาสมาไม่ได้ครับพรุ่งนี้ติดสอบอีกวิชา) โดยผมถูกปู่รหัสและลุงรหัสนั่งประกบกันอยู่ครับดังนั้นผมขอแนะนำไล่จากปู่รหัสสุดสวยของผมเลยนะครับทุกท่านคงรู้จักกันดีแล้วเจ้ชื่อเจ้น้ำหวานซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไม่มีใครเรียกเจ้แกว่าเจ้น้ำหวานหรอกครับทุกคนต่างเรียกชื่อเล่นจริง ๆ ของเจ้ด้วยกันทั้งนั้นครับตามที่ผมบอกไปชื่อเล่นของเจ้น้ำหวานคือวินครับ ซึ่งทุกคนเรียกเจ้แกว่า ‘เฮียวิน’ กันหมดเลยครับ


คนถัดไปจากเจ้น้ำหวานคือพี่รหัสของผมเอง เฮียก๊อตนั่นหละครับตามที่ผมได้เล่าไปวามหล่อของเฮียแกจัดเต็มแต่ความแอ๊บแบ๊วของแกมีเยอะกว่า คนถัดไปคือเฮียซันครับเฮียซันคนดีของไอเจมส์กิตติศักดิ์คนดีของเฮียเขาผมก็ได้กล่าวไปไว้หมดแล้ว ถัดจากเฮีนซันคือเชี่ยเจมส์ครับ ถัดจากเชี่ยเจมส์คือ เฮียพีลุงรหัสของไอเจมส์ครับ เฮียพีแกนิสัยก็ไม่ได้ต่างจากไอเจมส์เท่าไหร่ครับ กินเหล้าต่างน้ำความจริงแล้วเฮียพีเป็นเด็กซิ่วครับเฮียแกซิ่วจากแพทย์มาเรียนวิดวะมันโคตรแตกต่างเลยครับผมเคยถามเฮียพีแกนะครับว่าทำไมย้ายมาเรียนวิศวะ เฮียตอบผมด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า  ‘เรียนหมอมันไม่มีเพื่อนกินเหล้ามากเท่าวิศวะนี่หว่า’ ซึ่งผมรู้หละครับว่าพี่แกพูดไปงั้นแหละความจริงแล้วมันไม่ใช่สไตล์เฮียเขาเฮียแกเลยซิ่วจากหมอมาเรียนวิดวะเรียกว่าแหวกแนวสุด ๆ คนต่อไปคือพี่รหัสของไอเจมส์ครับเป็นผู้หญิงครับตัวเล็ก ๆ น่ารักและดูเป็นกุลสตรี แต่อย่าไปมองว่าเจ้แกเป็นผู้หญิงหรือเจ้แกดูเป็นกุลสตรีเลยครับความโหดเหี้ยมเจ้แกนี่ทำให้หนุ่ม ๆ ในวิศวะศิโรราบมาแล้วครับซึ่งเจ้แกเป็นเฮดปี 2 ครับ ผมลืมบอกชื่อพี่รหัสไอเจมส์ไปใช้ไหมครับคือเจ้แกชื่อน้ำผึ้งครับผมเรียกแกว่าเจ้ผึ้ง ถัดจากเจ้ผึ้งเหรอครับคือไอบาสครับ ไอนี่มันก่ะหลีเจ้ผึ้งครับซึ่งมันโดนเจ้แกประเคนเท้าให้ไปหลายรอบแล้ว ถัดจากไอบาสคือปู่รหัสไอบาสเรียกว่าปู่เกรซ ชื่อผู้หญิงละสิครับใช่ครับชื่อผู้หญิงแต่เฮียแกเป็นผู้ชายแท้นะครับ ปู่รหัสของไอบาสนี่ที่ดูนุ่มนิ่มและใจดีสุด ๆ แต่อย่าให้เหล้าเข้าปากสุนัขจะล้นร้านทันทีครับ(เฮียเกรซแกเป็นพวกเมาแล้วปากหมาครับ) และที่สำคัญเฮียเกรซเป็นลูกครึ่งครับ แต่ลูกครึ่งอะไรนี่ผมก็ไม่ทราบได้ ถัดจากเฮยเกรซคือป้ารหัสของไอบาสครับพี่เรียวครับ พี่เรียวคนสวยที่เป็นถึงอดีตดาวมหาลัยครับ เรื่องนี้ไอบาสปลื้มมากมันเที่ยวบอกชาวบ้านว่าป้ารหัสมันเป็นดาวมหาลัยมาก่อนแต่ก็นะทำไงได้ป้ารหัสมันสวยจริงอะไรจริงครับ คนสุดท้ายที่ผมจะแนะนำคือลุงรหัสของผมครับชื่อของเฮียแกคือเฮียบุญเกิด ไม่ต้องนั่งหัวเราะตอนนี้นะครับเพราะบุญเกิดไม่ใช่ชื่อของเฮียแกหรอกครับ (ประมาณว่าเป็นฉายาของเฮียแกครับ) จริง ๆ ชื่อของแกคือเฮียแป้ง (ชื่อน่ารักน่าหยิกมาก…แต่นิสัยของเฮียแกผมไม่อยากจะบรรยายว่าเรื้อนไร้ที่ติครับ) ผมเคยถามเฮียแกนะครับว่าทำไมเฮียถึงโดนเรียกแบบนี้ เฮียบุญเกิดก็เลยตีหน้าเศร้าแล้วเล่าว่า คือตอนที่เฮียไปรับน้องแล้วมันจะมีการประกวด เดือน ดาว ดิน และอีกสองตำแหน่ง ภายในภาคแล้วตอนปีนั้นคือสองตำแหน่งหลังคือ นายบุญเกิด กับนางสาวสมศรีครับ ซึ่งเฮียบุญเกิดก็ได้ตำแหน่งนั้นมาและนับจากวันนั้นชื่อของเฮียแป้งก็กลายเป็นบุญเกิดทันที



อ่า…หลังจากที่ผมทนปากเปียกปากแฉะเล่าเรื่องของรุ่นพี่ทุกคนผมก็แค่อยากจะนำเสนอลุงรหัสของผมเท่านั้นละครับผมอยากสำเสนอความเรื้อนที่ไร้ที่ติของแกครับ (ผมไม่อยากจะบอกว่าแม้เหล้าไม่เข้าปากเฮียบุญเกิดก็สามารถเรื้อนและรั่วได้ครับ)



v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


เอาหละหลังจากที่ผมแนะนำรุ่นพี่ทุก ๆ คนให้พวกคุณรู้จักกันขั้นต่อไปก็เป็นการกังการเหล่าอบายมุขที่อยู่บนโต๊ะครับซึ่งรุ่นพี่หลาย ๆ คนพยายามเพลา ๆ เรื่องการดื่มเพราะว่ารุ่นพี่บางคนขับรถมา พวกไอเจมส์มันก็ต้องเพลา ๆ ครับ ส่วนตัวผม…สบายตัวครับมีสารถีกิตติมศักดิ์รับปากว่าจะมารับแล้วครับ ดังนั้นผม…สามารถแดรกเหล้าได้อย่างไม่ต้องแคร์ว่าหลังจากนี้ผมจะเมาเหมือนหมามากขนาดไหน


‘เรื่องเมากรไม่แคร์ กรแคร์แค่ว่ากรจะไม่ได้ดื่มครับ’


ช่วงหัวค่ำพวกเราสั่งของเบา ๆ มารองท้องก่อนครับถือว่าเอาข้าวลงไปตุนในกระเพราะเพื่อไม่ให้เมาง่ายพวกเรานั่งทานข้าวไปคุยไป (ร้านนี้เป็นสไตล์ร้านนั่งกินมากกว่านั่งดื่มครับไม่ใช่ผับหรือร้านเหล้าโดยตรงแต่ก็มีฟลอร์ให้ไปออกสเตปแด็นซ์ครับรู้สึกเจ้าของร้านจะทำแนวประยุคร้านเหล้ากับร้านอาหารเข้าด้วยกัน) พวกเราทุกคนหัวเราะเฮฮา บางคนนั่งคร่ำครวญถึงข้อสอบที่ได้สอบไป เช่น ไอบาสที่มันบ่นว่าเฮีย ผมจะเอฟเคมีไหมว่ะแม่มทำไม่ได้เลย หรือบางคนที่บ่นเรื่องปัญหาหัวใจเช่นเฮียก๊อต เพราะแฟนแกเริ่มบ่นว่าจะแอ๊บแบ๊วเกินฉันไปหน่อยแล้วนะเลิกแอ๊บแบ๊วสักทีสิ


ซึ่งปัญหาหลาย ๆ อย่างถูกปล่อยออกมาจากปากทุกคนโดยที่ทุกคนยังไม่ได้แตะเหล้าสักหยดครับ พวกเราหัวเราะเฮฮากันไปตามประสาครับ และหลังจากพวกเราเคลียร์อาหารบนโต๊ะหมดช่วงต่อไปก็เป็นช่วงของอบายมุขทั้งหลายแล้วหละครับ เจ้น้ำหวานแกเปิดตัวด้วยการสั่งเบียร์มาครึ่งโหลและเหล้าพร้อมมิกเซอร์มาเซทใหญ่ และเจ้น้ำหวานแกก็เป็นคนประเดิมคนแรกเลยครับ ในวงเหล้ามันจะมีคนที่มีหน้าที่เป็นคนชงเหล้าให้ใช่ครับหน้าที่นี้ไม่ต้องบอกเลยว่ามันจะตกเป็นของใครถ้าไม่ใช่ปู่รหัสผู้ไม่ดื่มเหล้าหรือแตะต้องอบายมุขของไอเจมส์ เฮียซันนั่งเองครับ


ไอผมเห็นเฮียแกชงเหล้ามือเป็นระวิงผมก็อยากจะไปช่วยชงอยู่หรอกครับแต่ ว่าวันนี้ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะเมาดังนั้นหน้าที่ของผมคือการดื่มเหล้าครับไม่ใช่ชงเหล้า


เริ่มแรกผมเปิดด้วยเบียร์ครับเป็นของเบา ๆ เพื่อไม่ให้เมาไว (ตอนนี้เพิ่งทุ่มกว่าสองทุ่มเองครับถ้าจะมาเมาตั้งแต่หัวค่ำนี่ไม่ไหวครับ) ผมนั่งจิบเบียร์ไปสักพักพลางมองเพื่อนร่วมโต๊ะไปด้วยไอเจมส์กับเฮียพี ลุงรหัสของมันพยายามจับปู่รหัสมันกรอกเหล้าครับซึ่งเฮียซันปฏิเสธครับ เฮียซันแกบอกว่าพี่ถือศิล 5 พี่ไม่ดื่มแอลกอฮอลนะน้อง ๆ สิ้นประโยคนี้ของเฮียซัน ไอเจมส์และลุงรหัสของมันก็ยอมแพ้โดยทันทีและคร่ำครวญว่ารู้สึกผิดที่จะหยิบยื่นอบายมุขไปให้เฮียซันผู้เป็นคนดีที่สุดในสาย (คือมันเคยจะให้เฮียซันแกดื่มเหล้ามาหลายทีละครับแต่เฮียแกใช้ความดี แพ่ออร่าแห่งพ่อพระแพร่กระจายใส่ไอเจมส์และเหล่าน้อง ๆ หลาน ๆ รหัสของแกจนพวกนั้นต้องพ่ายให้กับความเป็นคนดีของเฮียซันเขาครับ จะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือมันไม่เคยจับเฮียซันกรอกเหล้าได้เลยสักครั้งครับ) ผมมองกลุ่มสายรหัสของไอเจมส์แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ปู่รหัสของมันกำลังเทศน์เหล่าน้อง ๆ หลาน ๆ รหัสของตัวเองอยู่ซึ่งมันเป้ฯภาพที่แปลกน่าดูชมที่มีคนมาสั่งสอนเรื่องการดื่มเหล่าในวงเหล้าแบบนี้


ถัดมาก็เป็นกลุ่มสายรหัสของไอบาสสายรหัสนี้ผมอยากจะบอกว่าเป็นสายรหัสที่ธรรมดาที่สุดแล้วครับถ้าเปรียบเทียบกับสายรหัสของผมหรือของไอเจมส์ ป้ารหัสของไอบาสนั่งจิบเบียร์เงียบ ๆ ซึ่งไอบาสชวนคุยป้ารหัสของมันคุยเป็นพัก ๆ ป้ารหัสมันก็ส่งยิ้มมาให้แล้วหัวเราะเบา ๆ ตามประสาสาวสวยในวงล้อมของหนุ่ม ๆ ครับ


เอาหละครับผมบรรยายถึงสองสายรหัสในวงเหล้าแล้วตอนนี้ผมของพูดถึงสายรหสัของผมมั่งแล้วกันนะครับ ตอนนี้เจ้น้ำหวานเธอออกไปเต้นอยู่กลางฟลอร์แล้วครับ (คือเจ้แกจัดหนักตั้งแต่หัวคว่ำเลยเหล้าเปล่าแบเพรียว ๆ) ตอนนี้ความเมาเข้าครอบงำเจ้แกเรียบร้อยแล้วครับ ส่วนพี่รหัสของผมพี่ก๊อตคนนี้ก็จัดหนักไปตั้งแต่หัวค่ำเหมือนกันแต่ตามที่ผมได้เล่าไปนะครับเฮียก๊อตแกเป็นพวกดื่มแล้วไม่ค่อยจะเมาดังนั้นแกยังคงคุมสติของตัวเองได้อยู่และยังคงดื่มแบบจัดหนักกันต่อไป มาที่เฮียบุญเกิดครับ รายนี้เรื้อนอย่างไม่ต้องบรรยายเฮียแกจัดหนักและวิ่งไปกลางฟลอร์เต้นรำพร้อม ๆ กับเจ้น้ำหวานครับ สเตปของเฮียแกนี่ไม่ต้องบอกว่าท่าเต้นแกวอนตรีนขนาดไหน (ขนาดที่ผมเห็นแล้วผมยังอยากเข้าไปประเคนเท้าให้เขาเลยครับผมได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้แกโดนยันออกมาจากฟลอร์ตอนนี้ละครับ)


แล้วสุดท้ายก็คือผมตอนนี้ผมเริ่มเปลี่ยนจากเบียร์มาเป็นเหล้าแล้วครับซึ่งเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าก็มาจากการชงเหล้าขั้นเทพของเฮียซันครับ (ถึงเฮียซันแกดื่มเหล้าไม่เป็นแต่ชงเหล้านี่ของบอกเลยว่าเทพพระเจ้าสุด ๆ) ในตอนแรกผมก็ค่อย ๆ จิบ เอาละครับ เพราะผมยังไม่อยากเมาไวแต่พอเริ่มมึน ๆ ผมก็เริ่มจิบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนใจที่สุดผมก็เปลี่ยนมาเป็นกระดกเหล้าเข้าปากแทนจิบแล้วครับ


ซึ่งการกระดกเหล้าเข้าปากของผมแต่ละครั้งนี่ทุกคนมัจะเชียร์ให้ผมดื่มหมดแก้ว ๆ แน่นอนครับผมก็ไม่ทำให้คนเชียร์เขาเสียน้ำใจผมก็จัดหนักจัดเต็มดื่มหมดแก้วตามคำที่ทุก ๆ คนเชียร์เลยครับ ซึ่งแน่นอนไอการกระดกเหล้าเข้าปากหมดแก้วเนี่ยมันทำให้เมาไวมาก และเป็นที่แน่นอนครับว่าในตอนนี้ผมเมาแล้วแถมเมามากเสียด้วย แต่กระนั้นผมก็ยังไม่หยุดกระดกเหล้าเข้าปากนะครับ ผมยังนั่งกระดกเหล้าต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อทดแทนในส่วนที่มันขาดหายไปจากชีวิตผมครับ (ช่วงสอบนี่ผมไม่ได้แตะอะไรพวกนี้เลยต้องมีการกระดกทดแทนสักนักหน่อยครับ)


เวลาผ่านไปล่วงเลยจากสองทุ่มเป็นสามทุ่ม เอาละครับผมก็เมาได้ที่แล้วละครับและหลังจากเมามันก็ต้องออกสเตปแด็นซ์สิครับผมพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเซไปที่กลางฟลอร์พร้อมกับออกสเตปเต้นไปพร้อม ๆ กับ สายรหัสผมทันทีครับ


ความจริงแล้วสภาพผมไม่อาจเรียกว่าเต้นได้หรอกครับเรียกว่าผมไปเลื้อยไปกอดคอโอบเอวคนอื่นมากกว่าครับ ผมเริ่มออกลายสเตปเต้นบ้างก็เซไปซบสาวที่เต้นอยู่ด้านข้างบางทีก็หงายหลังไปซบกับแผ่นอกของผู้ชาย (คือสภาพของผมตอนนี้จะเรียกว่าเต้นก็ไม่ถูก ถ้าเต้นผมคงล้มลุกคลุกคลานมากกว่าเพราะขนาดยืนผมยังจะยืนไม่ไหวเลยครับแล้วนับประสาอะไรกับเต้น)


ความจริงถ้าเป็นผมในเวลาปกติ (เรียกง่าย ๆ ว่าตอนผมมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ได้มีอาการเมาเหมือนหมาแบบตอนนี้ครับ) ไออย่างแรกผมไม่มายครับได้ซบสาว ๆ มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตของผู้ชายแต่ไออย่างหลังที่ผมดันหงายหลังไปอิงแอบแนบชิดกับแผ่นอกของเพศเดียวกันนี่ผมขอบอกเลยว่าผมรู้สึกขนลุกยิ่งนักและยิ่งมือของมันเริ่มเลื้อยมาโอบเอวผมนี่ผมยิ่งสยิวกริ้วครับ


แต่ไอตรรกะนั้นมันใช้กับผมไม่ได้ในตอนนี้ครับเพราะว่าตอนนี้ผมแยะแยะเพศชายเพศหญิงไม่ออกแล้วครับไม่ว่าจะชายหรือหญิง และตอนนี้ผมเดินเซเข้าไปอยู่กลางฟลอร์และออกเสตปเต้นอย่างเมามัน (เรียกว่าผมไปเลื้อยและกระแซะชาวบ้านมากกว่า) ผมไม่รู้ว่าใครต่อใครเอามือมาลูบไล้ตามตัวผมบ้างซึ่งผมก็ไม่ได้ห้ามหรือยกมือปัดป้องนะครับและในขณะที่ผมกำลังออกสเตปแด้นซ์อย่างเมามันสิ่งที่ดึงสติของผมให้กลับคืนมา (บ้างเล็กน้อย) คือกระดุมเสื้อนิสิตของผมที่ถูกปลดออกทั้งหมดและฝ่ามือร้อน ๆ ของใครสักคน (ที่ผมมั่นใจว่าเป็นผู้ชายแน่นอน) ที่มาสัมผัสที่แผ่นอกของผมแล้วลูบไล้อย่างเบามือ


และนั่นละครับทำให้สติที่กระเจิงไปแล้วของผมกลับคืนมา ผมตวัดตาไปมองหน้าไอผู้ชายคนนั้นพร้อมกับส่งยิ้มจาง ๆ มาให้และแน่นอนมันคิดว่าผมจะเล่นด้วยมันก็เลยเอาใหญ่นอกจากสัมผัสแผ่นอกผมเบา ๆ ตอนนี้มันเริ่มเลื่อนลงไปที่ขอบกางเกงของผมแล้วครับแล้วทุกท่านคิดว่าผมจะยอมหรือ…ผมไม่ยอมแน่นอนหลังจากรอยยิ้มของผมที่มอบให้มันผมก็ประเคนหมัดงาม ๆ ไปที่หน้าของมันทันที (ท่าทางมันจะสูงกว่าผมนิดหน่อยนะครับแต่เรื่องส่วนสูงมันไม่มีผลกับผมครับ) ต่อด้วยลูกถีบที่ผมประทับไปที่แผ่นอกของมัน


คราวนี้ละครับสติของทุกคนในร้านนี่กลับมาหมดและหันมามองผมด้วยสายตาตกตะลึง


ผมซึ่งกำลังเบลอ ๆ แต่สติยังพอมีอยู่ที่ร่างก็ชี้นิ้วไปที่ไอผู้ชายคนนั้นพร้อมกับด่ามันด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ของคนเมาว่า “ไอเชี่ยกรูไม่ใช่อีตัวถ้า เสี้ยนมากนักไปหาที่อื่นไป” เมื่อผมพูดจบผมก็คิดว่าจะเดินเข้าไปกระทืบมันต่อสักหน่อยแต่ว่าเจ้น้ำหวานกับเฮียบุญเกิดแกถลามารั้งแขนของผมและขืนตัวไม่ให้ผมเดินเข้าไปประเคนตรีนให้มันต่อ


ซึ่งผมก็ไม่ยอมหนะสิครับผมออกแรงดิ้นเต็มแรงซึ่งก็เกือบจะหลุดออกจากการประกบลอคของเจ้น้ำหวานกับเฮียบุญเกิดละครับ (คือเมากันทั้งสามคนเลยละครับเรี่ยวแรงเลยหดหาย) ซึ่งเฮียซันกับเฮียพีเห็นท่าจะไม่ดีก็รีบวิ่งมาหิ้วปีกผมแทนเจ้น้ำหวานกับเฮียบุญเกิดและลากกลับที่ไปที่โต๊ะ


แต่ก่อนผมจะได้กลับโต๊ะผมก็ถมน้ำลายใส่มันไปทีซึ่งไอการกระทำนั้นของผมทำให้ไอเชี่ยนั่นลุกขึ้นมาพร้อมกับประเคนหมัดใส่ผม แน่นอนครับไอผมที่โดนหิ้วปีกอยู่ก็โดนไปเต็ม ๆ ครับ เพราะผมหลบไม่ได้คราวนี้เริ่มชุลมุลแล้วละครับผมสะบัดตัวออกจากเฮียซันกับเฮียพี และวิ่งเข้าไปตะลุมบอลกับมันทันที


ไม่ต้องถามเลยนะครับว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นคราวนี้เพื่อนทั้งกลุ่มของมันและพวกรุ่นพี่ของผมก็รีบวิ่งถลาเข้ามาแยกผมกับไอเชี่ยนั่นออกทันทีผมยังดีดดิ้นอยู่อีกสักพักจนสุดท้ายร่างของผมก็ถูกลากไปโยนแหมะไว้ที่โต๊ะของผม ซึ่งผมยังดื้อไม่ยอมที่จะหยุดผมก็จะถีบตัวไปต่อยไอเชี่ยนั่นให้ได้ ซึ่งไอทางนั้นมันก็จะถลามาต่อยผมเหมือนกันและเพื่อน ๆ มันก็ต่างหิ้วปีกไม่ให้มันถลามาต่อยผมได้


ผมยังดิ้ขลุกขลักไปเรื่อยจนในที่สุดมาตรการสุดท้ายที่จะจัดการผมได้มันก็คือการเรียกใครสักคนมารับผมกลับไปนอนที่คอนโด และแน่นอนหน้าที่นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่ศินั่นเอง


ไอเจมส์เอามือเข้ามาล้วงที่กระเป๋ากางเกงของผมแล้วคว้านหาโทรศัพท์รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ของผมออกไปมันรีบไล่หาเบอร์


โทรศัพท์ของพี่ศิพร้อมกับกดโทรออกไปทันที


ไอเจมส์ยืนรอให้พี่ศิรับโทรศัพท์สักพักไม่นานนักเสียงทุ้มของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ก็ดังขึ้น




“กร เดี๋ยวอีกสามสิบนาทีพี่จะออกเวรแล้วครับเดี๋ยวพี่ไปรับนะ” เสียงของศิรวิทย์ดังตามสัญญาณมาแต่เสีงที่กล่าวตอบเขาไปไม่ใช่เสียงของรณกรซึ่งเสียงที่ตอบกลับมานั้นทำให้ศิรวิทย์ประหลาดใจเล็กน้อย “พี่ศิ ๆ นี่เจมส์เองนะพี่ กง่าพี่จะมารับกรอีกสามสินาทีเลยเหรอ”


“ครับพี่ออกเวรตอนสี่ทุ่มครับ ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้วน้องเจมส์มีอะไรเหรอครับหรือกรเขามีปัญหาอะไร” เสี่ยงทุ้มที่เต็มไปด้วยความกังวลของศิรวิทย์เอ่ยถาม ซึ่งเจมส์ก็คิดว่าถ้าเกิดพี่ศิไม่ถามเขาก็ตั้งใจจะบอกอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับรณกรเพื่อนสนิทของเขา


“งั้นพี่ถ้าเข้าเวรเสร็จมารับมันด่วนเลยนะตอนนี้มันเมาอย่างกับหมาแถมกำลังจะมีเรื่องกลางร้านแล้วพี่ ถ้าพี่ออกเวรเมื่อไหร่รีบมาด่วน ๆ เลยตอนนี้ผมกับไอบาสกับพวกรุ่นพี่จะเอามันไม่อยู่แล้ว” สิ้นเสียงของเจมส์ศิรวิทย์ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าไอตัวแสบของเขาดันไปมีเรื่องชกต่อยในร้าน ในใจอยากจะขอเลิกเวรมันเสียแต่ตอนนี้แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้จึงได้แต่จดจ้องนาฬิกาให้มันหมุนบอกเวลาไปที่ 22.00 เสียที


เมื่อเจมส์คุยจนจบเขาก็โยนโทรศัพท์ไปให้ผู้เป็นเจ้าของที่ตอนนี้กำลังดิ้นและโวยวายอยู่ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจว่าทำไมไอเพื่อนตัวแสบคนนี้มันถึงอารมณ์เสียมากมายขนาดนี้ แต่ทำยังไงได้ละเมื่อมันเป็นพวกเมาแล้วเลื่อยไปซบคนนี้กระแซะคนนั้นเองนี่หว่า ใคร ๆ มันก็คิดว่าไอเพื่อนตัวแสบของเขามันก็ให้ท่ากันทั้งนั้นแหละ (ซึ่งผมก็เคยบอกไปแล้วว่าไอกรนี่สเปกของชนชาวสีม่วงครับไม่ว่าจะเป็นสเปกของฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับก็เถอะ) แต่ครั้งนี่ก็ถือว่าร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยเห็นไอกรมันเมาครับ ปกติมันไม่เมาเหมือนหมาขนาดนี้หรอกอันนี้ขอเรียกได้ว่าหนักสุด ๆ และมันก็โดนลวนลามแบบสุด ๆ เหมือนกัน


“เชี่ยเจมส์...มรึงเอามือถือกรูไปไหนเอาคืนมา” เสียงขงไอกรมันร้องโวยวายให้ผมเอาโทรศัพท์ของมันไปคืนแต่ท่าทางสติมันเริ่มจะเบลออีกแล้วละครับเพราะผมโยนโทรศัพท์คืนให้มันไปตั้งนานแล้ว


“อยู่ตรงท้องมรึงไงไอสรัดผัก” เสียงของไอบาสตะโกนตอบไอกร ซึ่งตอนนี้ไอบาสเปลี่ยนหน้าที่กับเฮียพีมาลอคไอกรแทนแล้วละครับเพราะเฮียพีท่าทางจะหมดแรงแล้ว (คิดว่าเฮียคงดื่มหนักเกินไป)


“เชี่ยยปล่อยกรูดิว่ะ แม่มกรูจะไปต่อยหน้ามานน” เสียงอ้อแอ้ของไอกรมันก็ยังคงโวยวายอยู่เรื่อย ๆ แต่ท่าทางมันจะอ่อนลงขึ้นเยอะแล้วครับ ซึ่งทางนั้นก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ผมเห็นว่าเพื่อน ๆ ของทางนั้นเริ่มปล่อยให้ไอคนที่มาลวนลามไอกรนั่งนิ่ง ๆ โดยที่ไม่มีใครไปจับลอคอะไรมันแล้ว


แต่ไอกรเพื่อนของผม…ผมคิดว่าอีกนานกว่ามันจะหายสติแตก ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูตอนนี้เป็นเวลา 22.17 นาทีแล้วท่าทางพี่ศิคงกำลังบึ่งรถมารับไอตัวแสบอยู่แน่นอน และยังพูดไม่ทันขาดคำรถยนต์คันหรูของซิรวิทย์ก็ทะยานเข้ามาจอดตรงหน้าประตูพร้อมกับร่างสูงที่รีบเร่งลงมาจากรถ


“เจมส์ กรอยู่ไหน” เสียงของพี่ศิดูร้อนรนมากครับแต่มันก็สมควรนั้นแหละครับเพราะคนที่เฮียแกชอบกำลังมีเรื่องในร้านเหล้าแบบนี้เป็นใครมันจะไม่ห่วงกันหละครับ


ผมชี้ให้พี่ศิหันไปดูที่โต๊ะซึ่งตอนนี้หน้าที่จับไอกรลอคไว้ไม่ให้ดิ้นเป็นหน้าที่ของเฮียบุญเกิดกับเฮียก๊อตแล้วละครับ พี่ศิรีบเดินสาวเท้าเข้าไปพร้อมกับขอโทษขอโพยทุก ๆ คนแล้วพี่เขาก็ใช้แรงทั้งหมดหิ้วร่างของไอกรไปที่รถของเขาทันที


ไอพวกผมและพี่ ๆ ทั้งโต๊ะได้แต่โบกมือลาไอกรไปและไว้อาลัยให้กับชะตากรรมของไอกรที่มันจะต้องเผชิญต่อไป





______________________________________________


กรสอบเสร็จแล้วแต่นังพลอยยังสอบไม่เสร็จเลยค่ะ ร้ำตาซึมใส่ทุก ๆ คน

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ร่วมไว้อาลัยด้วยคนค่า


ปล.สู้ๆ นะคุณพลอย

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
พี่ศิอบรมด่วน ไม่ไหวเลยน้องกรเมาแล้วเลื้อนนี่ดูสิโดนลวนลามเลย :mew2:

รอตอนต่อไป สู้ๆและโชคเอค่ะคนเขียน  :L2: :pig4: :กอด1: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
ขอไว้อาลัยให้น้องกรด้วยคน
สงสัยพี่ศิเปิดคอร์สอบรมชุดใหญ่

รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ไว้อาลัยให้น้องกร งานนี้พี่ศิต้องอบรบน้องกรนะคะ! จับน้องกรตีก้นเลย!(เอ๊ะ อันนี้หวังอะไร)  :hao7:

ออฟไลน์ ioohja

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 :z1: สงสัยน้องกร จะโดนทำโทษหนักแน่ๆ ขอไว้อาลัยให้น้องกร 55555  :hao7:

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
เพิ่งเข้ามาอ่าน
ติดงอมแงม
พี่ศิเอาแต่ใจแบบน่ารักมากกก ที่สำคัญกระเป๋าหนัก !!
อิจฉากรมันจริง ๆ เล้ยยย
แต่เมาแล้วเรื้อนแบบนี้ไม่ไหวนะลูกก
พี่ศิเค้าเป็นห่วงงงง !!

รอติดตามตอนต่อไป
 :hao6:

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0



Chapter 12



อรุณสวัสดิ์นะครับ เช้านี้เป็นเช้าของวันปิดเทอมวันแรกของผม หลังจากที่เมื่อวานที่สายรหัสของผม (รวมไปถึงสายของไอเจมส์และสายของไอบาส) ได้นัดเลี้ยงสายนี่ก็ผ่านมาคืนนึงแล้วครับ ซึ่งผมจำได้แค่ว่าเมื่อคืน…ผมได้เมาสมใจอยากแถมอาการเมาของผมก็เปรียบเทียบได้ว่าผมนั้นเมาเหมือนหมาเลยครับ อีกทั้งในตอนนี้ผมนั้นจำไม่ได้เลยว่าเมื่อคืนผมได้ทำอะไรไปบ้าง และยิ่งจำไม่ได้ใหญ่เลยครับว่าผมกลับมาที่คอนโดของผมได้ยังไง ที่สำคัญคอนโดนี้ไม่ใช่ห้องของผมเสียด้วยแต่มันเป็นห้องของว่าที่คุณหมอศิรวิทย์ครับ


ผมพยายามยันตัวให้ลุกขึ้นจากเตียง เสียแต่ว่าไออาการแฮงค์ของผมมันยังคงสะสมอยู่ในตัวมันก็เลยทำให้ผมออกอาการเวียนหัวและมึนเล็กน้อย อ่อ..ผมลืมบอกไปตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้าแล้วครับ ซึ่งพวกคุณไม่ต้องถามถึงเจ้าของห้องหรอกครับผมบอกเลยว่าพี่เขาไม่อยู่ครับ ผมไม่รู้ว่าคนเรียนหมอมันหนักยังไงแค่รู้ว่าพี่เขามักจะมีราวด์รอบเช้า และราวด์รอบเย็นเสมอ และบางวันยังมีเข้าเวรตอนมืด ๆ ดึก ๆ ด้วยครับ  แล้วแต่ตารางของอาจารย์เขาจะจัดให้ แต่การเข้าเวรก็มีการเข้าตอนช่วงบ่ายถึงเย็นก็มีนะครับ แล้วแต่ใครจะได้ช่วงไหน ซึ่งเรื่องการเข้าเวรของว่าที่แพทย์นี่เรียกได้ว่าอาศัยดวงสุด ๆ เพราะคนไข้จะมาเยอะเฉพาะบางช่วง ช่วงไหนคนไข้เยอะ เราก็เหนื่อยมากแต่ก็ได้ความรู้มากตามนะครับ เพราะบางทีเราอาจจะได้เจอเคสแปลก ๆ เหมือนกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี่ผมฟังมาจากพี่ศิครับ ซึ่งผมก็รู้สึกสงสารพี่เขา (และนิสิตแพทย์ทุกคน) นะครับ เรียนหนักและยังมีเวลาพักผ่อนน้อยอีก แต่ทำยังไงได้ละครับ ผมคิดว่าหมอนี่เป็นอาชีพที่ละเอียดอ่อน ซึ่งผมคิดว่าพี่ศิเนี่ยละเหมาะกับการเรียนหมอที่สุดแล้ว
หลังจากที่ผมเริ่มที่จะหายเบลอจากอาการแฮงค์ ตอนนี้ผมก็ได้มายืนอยู่ในห้องครัวในห้องของพี่ศิแล้วครับ ซึ่งผมก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปเปิดตู้เย็นโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของห้อง (อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะครับ หลังจากที่ผมโดนพี่ศิลากคอมาติวนรกในห้องของพี่ศิเขา ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องผมสถาปนากลายเป็นของผมหมดแล้วครับไม่ว่าจะเป็นเตียง หรือของกินต่าง ๆ ในตู้เย็น) ผมคุ้ยของที่พอจะนำมาทำเป็นอาหารได้ในตู้เย็น ก่อนผมจะปรายตาไปเจอยาแก้แฮงค์ที่มีขายตามเซเว่นวางอยู่ในตู้ ไอผมก็รู้สุกแปลกใจนิดหน่อยครับว่าทำไมของแบบนี้มันถึงมาอยู่ในห้องของพี่ศิได้ (คือตั้งแต่ผมรู้จักพี่ศิมา ผมไม่เคยเห็นพี่ศิดื่มเหล้าเลยครับ) แต่ความสงสัยพวกนั้นก็ได้หมดไปเพราะที่ขวดยาแก้แฮงค์นั้นมีกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ แปะไว้ข้างขวด และกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรหวัด ๆ ที่ผมคุ้นเคยเขียนอยู่



‘ยาแก้แฮงค์ครับกร ส่วนข้าวเช้ากับกลางวันพี่ใส่ไว้ในตู้เย็นให้แล้ว ถ้ากรตื่นแล้วค่อยอุ่นทานแล้วกันนะครับ จะได้ทานตอนมันร้อน ๆ จากพี่ศิ ปล.เย็นนี้พี่คิดว่าพี่อยากคุยอะไรกับเราสักหน่อย อย่าเพิ่งกลับห้องนะครับ’



ผมนั่งอ่านประโยคที่พี่ศิเขียนด้วยรอยยิ้ม แต่ในประโยคสุดท้ายที่พี่ศิเขียนทิ้งไว้มันทำให้ผมรู้สึกขนลุก เย็นเยือกไปถึงกระดูกไขสันหลังเลยละครับ ซึ่งที่พี่ศิเขียนลงท้ายไว้แบบนี้ มันไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ ผมคนต้องโดนพี่ศิเทศน์อะไรใส่แน่นอนเลยครับ ผมก็รู้นะว่าผมผิดที่กินเหล้าหนักมาก จนต้องลำบากพี่ศิให้พี่เขาหิ้วผมกลับคอนโดมา แต่ถ้าผมบอกไปว่าเมื่อคืนผมจำวีรกรรมที่ผมสร้างขึ้นไม่ได้เลย พี่ศิจะมีการลดหย่อนผ่อนโทษสักนิดหน่อยไหมนะ ทุกคนอย่าคิดว่าผมกลัวพี่ศินะครับ ผมแค่…เออ แค่... ช่างมันเถอะครับ แต่ผมอยากจะบอกอะไรเลยนะครับ อย่าทำให้พี่ศิออกปากเทศนาอะไรเลยครับ ยาวเหยียดยันสามชั่วโมงก็ไม่จบครับ พูดแล้วเหนื่อยใจไม่รู้ว่าเย็นนี้ผมจะเจอเทศนายาวขนาดไหน ผมปัดความคิดเรื่องพวกนั้นออกจากสมองพร้อมกับหยิบยาแก้แฮงค์ขวดนั้นขึ้นมาดื่มจนหมดขวด


ต่อไปก็เป็นการคุ้ยอาหารเช้าออกมาจากตู้เย็นแล้วละครับ (ความจริงตู้เย็นของพี่ศิจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยมากครับ แต่หลังจากที่ผมมาอาศัยห้องพี่เขาอยู่หลาย ๆ อย่างก็เริ่มเข้าไปสุ่ม ๆ กันอยู่ในตู้เย็นจนตอนนี้ทุกอย่างต้องเริ่มคุ้ยหาแล้วครับ)  และแล้วผมก็เจอข้าวเช้าของผม วันนี้เมนูที่พี่ศิทำไว้ให้ข้าวผัดแบบง่าย ๆ ครับ (ข้าวผัดแบบง่าย ๆ คือ ใส่ข้า ใส่หมูใส่ไข่ เท่านั้นล่ะครับ) ผมเดินถือจากที่ถูกซีนด้วยพลาสติกใสใส่เข้าไปในไมโครเวฟ รอเวลาสัก 3-4 นาที ข้าวผัดร้อน ๆ ฝีมือของพี่ศิก็พร้อมทานแล้วครับ
ผมตักข้าวผัดเข้าไปในปากรสชาติแรกที่ผมได้รับรู้คือรสชาติของความอร่อยครับ รสชาติมันกลมกล่อมมากจนแบบแน่ใจเหรอนี่คือฝีมือของนิสิตแพทย์! ผมนี่ไม่อยากจะบอกเลยนะครับว่าพี่ศิเป็นนิสิตแพทย์ที่ทำอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ ซึ่งทุกท่านก็สงสัยสินะครับว่าทำไมผมถึงรู้…ก็เพราะว่าผมมาฝากท้องที่ห้องของพี่ศิแทบจะทุกวันเลยครับไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า (ที่พี่ศิมักจะไปเคาะประตูห้องของผม เพื่อปลุกให้ผมไปทานข้าว) หรือจะเป็นมื้อเย็นที่ผมไปเคาะประตูห้องพี่ศิเพื่อของกิน
เอาเป็นว่าที่เล่ามาทั้งหมด ผมแค่จะชมว่าพี่ศิเป็นคนที่ทำอาหารอร่อยมาก ๆ เท่านั้นเองครับ น่าอิจฉาคนที่จะได้พี่ศิแกไปเป็นสามีจริง ๆ


หลังจากที่ผมจัดการข้าวผัดฝีมือของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ ผมก็เก็บจานและทำความสะอาดจานชามและของต่าง ๆ ที่ผมได้ใช้ไป เมื่อผมจัดการกับภารกิจทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยผมก็สาวเท้าเดินไปที่โซฟา และค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอนไป ในขณะที่ผมทิ้งตัวลงนอนกับโซฟามันก็ความคิดความคิดหนึ่งลอยเข้ามาในสมอง…


‘นี่กรูสวมชุดอะไรอยู่เหรอวะครับ’ ผมรีบเด้งตัวขึ้นมาทันทีพร้อมกับเช็คสภาพตัวเองซึ่งตามที่ผมคาดเดาครับ  เสื้อที่ผมสวมอยู่ในเวลานี้มันเป็นคนละชุดกับเมื่อคืนครับ และคนเปลี่ยนคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากไอคุณพี่ศิครับ เมื่อผมรู้ตัวผมก็รีบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในห้องนอนพร้อมกับกดโทรออกไปหา (ว่าที่) นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัณศิริทันที


ผมถือสายรออยู่สักพักไม่นานนักเสียงของ (ว่าที่) นายแพทย์ศิรวิทย์ ก็ดังขึ้นในโทรศัพท์ “ตื่นแล้วเหรอครับ กรเห็นยาแก้แฮงค์ที่พี่ซื้อมาให้ในตู้เย็นหรือยัง ถ้ายังไม่เจอมันอยู่ชั้นล่างสุดครับ” น้ำเสียงที่พี่ศิพูดมานั้นแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยมาก ซึ่งผมทราบดีครับพี่ชายคนนี้ของผมเป็นห่วงผมและคอยเอาใจใส่ดูแลผมดีมาก…แต่ว่าไอการเปลี่ยนเสื้อให้ (หรือมากกว่าเปลี่ยนเสื้อคืออาบน้ำหรือเช็ดตัวให้ผม) มันดูแลกันมากเกินไปแล้วกับ ผมก็มีของสงวนของผมเหมือนกันนะ


“เห็นแล้วพี่! แต่กรอยู่ในชุดนอนได้ยังไง ใครเป็นคนเปลี่ยน เมื่อคืนกรสวมเสื้อนิสิตอยู่นะ!” ผมตะคอกเสียงถามพี่ศิไปทันที ซึ่งทันทีที่ผมพูดจนจบประโยคเสียงหัวเราะของพี่ศิก็ลอยมาตามสายจนผมนี่อยากจะล้วงเข้าไปในโทรศัพท์แล้วเขย่าคอพี่ศิแรง ๆ สักหลาย ๆ ที


“ก็พี่ไง” พี่ศิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายและดูเหมือนว่าพี่ศิแกจะรู้สึกธรรมดา ๆ กับการเปลี่ยนเสื้อให้ผมเสียด้วย
“แล้วทำอะไรมากกว่าเปลี่ยนเสื้อหรือเปล่า” ผมถามเสียงแผ่วและคำถามนี้ของผมทำให้พี่ศิยิ่งหัวเราะออกมาดังมากกว่าเก่า
“แล้วอะไรที่มากกว่าเปลี่ยนเสื้อล่ะกร” พี่ศิเปลี่ยนจากคำตอบเป็นคำถาม ซึ่งคำถามนี้ทำให้ผมรู้สึกโกรธจนหน้าดำหน้าแดงเลยครับ (ความจริงผมอายจนหน้าแดงเสียมากกว่า)


“นอกจากเปลี่ยนเสื้อนี่พี่เช็ดตัวหรืออาบน้ำอะไรให้ผมหรือเปล่า” ประโยคนี้ผมพูดเสียงแผ่ว ซึ่งพี่ศิก็เกิดอาการหูตึงชั่วขณะ และแกล้งบอกให้พูดซ้ำโดยใช้เหตุผลว่าพี่เขาไม่ได้ยินคำถามที่ผมถาม “พี่ไม่ค่อยได้ยินเสียงกรเลย กรพูดใหม่อีกทีสิพอดีสัญญาณในโรงพยาบาลมันไม่ค่อยจะดีเลย”


ซึ่งไอประโยคสองประโยคนี้ผมกับพี่ศิพลัดกันพูดวนเวียนกันอยู่หลายทีจนในที่สุดความอดทนทั้งหมดของผมมันก็สิ้นสุดลง ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์มือถือของตัวเองทันที “นอกจากเปลี่ยนเสื้อนี่พี่เช็ดตัวหรืออาบน้ำอะไรให้ผมหรือเปล่า!” ซึ่งประโยคนี้ที่ผมได้พูดไปนั้นทำให้พี่ศิถึงกับต้องเอาโทรศัพท์มือถือ ออกห่างจากหูเลยทีเดียว และไม่นานเสียงหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ ของคนอื่นก็ดังแทรกเข้ามาในสาย และเสียงพวกนั้นทำให้ผมรู้ว่าผมได้ทำอะไรผิดมหันต์ลงไปเสียแล้ว
“ฮะ ๆ ….ถ้าพี่บอกว่าพี่ทำมากกว่าเปลี่ยนเสื้อละ กรจะว่ายังไงเหรอ” เสียงของพี่ศิที่ตอบกลับมาให้ผมนั้นกลัวไปด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มจะหน้าแดงแล้วล่ะครับ คือไม่ได้หน้าแดงเพราะความโกรธแต่ผมหน้าแดงเพราะความอายที่ได้รู้ความจริงว่าร่างกายของผมถูกพี่ศิเห็นไปหมดทุกส่วนแล้ว เกิดมานอกจากคุณป๊ากับคุณม๊า ไม่มีใครเคยได้ดูตอนผมโป๊เลยนะครับ แล้วนี่พี่ศิถือดีอะไรกันมาเห็นตอนผมโป๊ได้


“…” ผมเงียบเสียงของตัวเองลงไปสักพักเพื่อตั้งสติ (ทว่าในตอนนี้สติของผมมันไม่เหลือแล้วครับ ตอนนี้ผมอยากจะเอาหน้ามุดดินหนีคนทั้งโลกแล้ว หลังจากวันนี้ผมจะไม่ไปเหยียบโรงพยาบาลของมหาลัยอีกต่อไปแล้วครับ กรอยากจะบ้าตาย) ก่อนจะพูดเสียงแผ่วราวกับคนใกล้ผมลมออกไปว่า “เย็นนี้พี่ไม่ได้ตายดีแน่พี่ศิ”


สิ้นประโยคนี้ผมก็กดตัดสายโทรศัพท์ทิ้งทันที พร้อมกับเดินพาร่างที่ไร้วิญญาณไปนอนแหมะที่โซฟา สายตาของผมเหม่อลอยราวกับคนบ้าที่ไร้สติสัมปชัญญะ


“พี่ศิ…เย็นนี้ได้เห็นดีกันแน่ ไอเรื่องที่พี่จะเทศนาอะไรไม่สนแล้วไม่พี่ก็ผมเย็นนี้ต้องตายกันไปข้าง” ผมพูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาเบา ๆ พร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตออกมาทั่ว ๆ ห้อง


ซึ่งผมก็นอนในสภาพแบบนี้จนถึงเย็นละครับ (แต่ผมก็ลุกไปทานข้าวนะครับ คราวนี้ข้าวกลางวันเป็นแกงจืดเต้าหู้ฝีมือพี่ศิครับ ขอบอกว่ารสชาติก็อร่อยไม่แพ้ข้าวผัดครับ) และผมก็นอนยาวไปถึงตอนที่พี่ศิกลับมาถึงห้อง


เสียงปลดล็อดกลอนดังขึ้นพร้อม ๆ กับบานประตูที่เคลื่อนที่เปิดอย่างช้า ๆ เสียง ๆ นั้นทำให้ผมเด้งตัวขี้นมานั่งทันที พร้อมกับรีบลุกขึ้นวิ่งไปหาพี่ศิที่ยืนอยู่หน้าห้อง


“ไอคุณพี่ศิครับ!” เสียงผมตะโกนลั่นห้องผมกันร่างที่ถลาเข้าไปเขย่าคอพี่ศิอย่างคลุ้มคลั่ง


“กรเบา ๆ พี่หายใจไม่ออก ใจเย็น ๆ สิกร” ซึ่งพี่ศิก็พูดปฏิเสธ แต่พี่แกไม่คิดจะเอามือมาปัดป้องอะไรเลยดูเหมือนว่าพี่ศิเขาจะจงใจให้ผมเขย่าคอพี่เค้าล่ะมั้ง


“ไอคุณพี่ศิจะให้ไอคุณน้องกรคนนี้เย็นได้ไงหละครับ เมื่อคืนไอคุณพี่ศิทำอะไรไว้ครับ ทำอะไรไว้บอกมาขอทุกขั้นตอน และรายละเอียดแบบเรียลไทม์!” ผมยังคงตะคอกและเขย่าคอพี่ศิไปมา ส่วนพี่ศิก็คงยังหัวเราะใส่ผมเช่นเดียวกัน ตอนนี้ผมสติแตกแบบสุด ๆ แล้วล่ะครับ ไออายมันก็อายหรอกครับแต่ไอความอยากรู้อยากเจือกมันมีมากกว่าครับ


“ปล่อยมือจากคอพี่ก่อน เดี๋ยวพี่เล่าให้ตั้งแต่ตอนที่พี่ไปรับกรเลย” พี่ศิยื่นข้อเสนอให้ผมซึ่งทางเลือกของผมมีเพียงข้อเดียวครับ คือปล่อยมือออกจากคอพี่ศิเท่านั้นล่ะครับ


ผมละมือออกจากคอเสื้อนิสิตของพี่ศิพร้อมกับกลับหลังหันเดินไปนั่งกระดิกเท้าที่โซฟา ซึ่งพี่ศิก็เดินตามผมมานะครับแต่พี่ศิยังไม่ยอมนั่งพี่แกยังคงเดินไปทำธุระรอบ ๆ ห้องเหมือนพี่แกตั้งใจจะแกล้งผมให้ผมสติแตก และมันก็สำเร็จครับ ผมสติแตกขึ้นมาจริง ๆ ผมลุกขึ้นพร้อมกับตะคอกใส่พี่ศิไปอีกที “ถ้าพี่จะมีเวลาเดินไปเดินมาป่วนประสาทผม พี่ก็มาเล่าให้ผมฟังสักทีสิครับไอคุณพี่ศิ”
พี่ศิหัวเราะร่าพร้อมกับยอมแพ้ต่อความอยากรู้ของผมและเดินมานั่งที่โซฟาตัวข้าง ๆ ที่ผมนั่ง


“เจมส์เขาโทรไปให้พี่ไปรับกรที่ร้าน” พี่ศิกอดอกพร้อมกับเปรยคำพูดออกมา “ซึ่งตอนที่พี่ไปถึงที่ร้านสภาพของกร พี่ขอพูดเลยว่าดูไม่ได้สุด ๆ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เมาแล้วโวยวาย พยายามจะมีเรื่องกับโต๊ะอื่น จนพี่ต้องไปหิ้วกรออกจากร้าน” ผมพยักหน้าตอบรับในคำพูดของพี่ศิ ซึ่งผมก็จำอะไรไม่ได้หรอกครับว่าเมื่อคืนทำอะไรไปมั่ง รู้แต่ความ ผมเมาและเข้าไปแด๊นซ์แล้วก็ต่อยคนพร้อมกระโดดถีบอกเขาไปที และโดนต่อกลับมาทีเท่านั้นเอง นอกจากนั้นผมจำไม่ได้ว่าผมอะไรและพูดอะไรไปมั่งครับ


“และหลังจากพี่พากรออกจากร้าน กรก็เมามากแล้วก็พูดโวยวายซ้ำไปซ้ำมา เรื่องนี้พี่คิดว่าเอาไว้คุยกับกรทีหลัง หลังจากถึงคอนโดพี่ก็ต้องหิ้วกรขึ้นมาที่ห้อง ซึ่งพี่คิดว่าพี่พากรมาที่ห้องของพี่จะสะดวกกว่าก็เลยพามาที่ห้องของพี่ ในตอนนั้นตัวของกรเหม็นเหล้ามาก พี่ก็เลยจัดการทำความสะอาดกรโดยที่ไม่ถามความคิดเห็นจากกรครับ เรื่องมันก็มีเท่านี้หละครับกร” พี่ศิเล่าไปพลางคลี่รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจออกมา ผมมองหน้าพี่ศิด้วยความหวาดหวั่น และเมื่อพี่ศิพูดจนจบประโยคผมนี่ก็ถลาเข้าไปเขย่าคอพี่ศิอีกครั้งทันที


“ไอคุณพี่ศิ...เห็นอะไรไปมั่ง” ผมพูดงึมงำเบา ๆ ซึ่งคราวนี้พี่ศิก็ไม่ได้แกล้งอะไรผมแบบเดิม ๆ แล้วครับเพราะคราวนี้พี่ศิแกเล่นพูดออกมาตรง ๆ จนผมนี่เขินจนหน้าแดงไปถึงใบหู
“เห็นอะไรไปมั่งเหรอ…ก็ทุกอย่างน่ะกร” น้องกรอยากจะกัดลิ้นตาย โธ่...กรน้อยของพ่อ! พ่อจะเอาเลือดหัวของไอพี่ศิมาล้างความอายของกรน้อยให้ได้


ผมไม่รีรอให้พี่ศิพูด หรือทำอะไรต่อ ผมกระโจนตรงเข้าไปบนตักของพี่ศิแล้วเขย่าคอพี่ศิไปมา ปากนี่พร่ำคำพูดแทบไม่เป็นภาษา ส่วนหน้าทั้งหน้าก็ยิ่งขึ้นสีแดงจัดยิ่งขึ้น


“พี่ศิ...ตาย... ตายยย วันนี้พี่ต้องตายด้วยน้ำมือกร!” ผมกรีดร้องออกมาและเขย่าคอพี่ศิที่ยังคงหัวเราะร่า ทว่ารอยยิ้มนั้นก็ปรากฏบนใบหน้าคมไม่นานนัก สักพักใบหน้าของพี่ศิก็ตีหน้านิ่งพร้อมกับโอบตัวผมและดันให้ผมนอนราบไปกับโซฟาโดยที่มีร่างของพี่ศิทาบทับอยู่


“ฮะ...เฮ้ย…พี่ศิจะทำอะไรอ่ะ” ผมที่ในตอนแรกยังคงส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย แต่ตอนนี้เสียงที่ผมกล่าวออกไปนั้นกลับสั่นไหว และใบหน้าของผมที่เริ่มที่จะเบี่ยงหน้าหลบสายตาคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นที่พี่ศิจ้องมองมา


“ตอนที่พี่ไปรับกรที่ร้านพี่ได้ยินกรพูดว่า ‘ไอเชี่ยนั่นมาแกะกระดุมของกร แล้วมือของไอเชี่ยนั่นมาลูบแผ่นอกของกร’ เรื่องนี้พี่อยากรู้รายละเอียดช่วยเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม” เสียงทุ้มของพี่ศิที่เอ่ยออกมานั้นนิ่งสนิท ซึ่งน้ำเสียงนั้นก็มิได้ต่างอะไรไปจากใบหน้าคมของพี่ศิเลย


“เฮ้ย...อันนั้นกรไม่รู้ กรจำไม่ได้” ผมพูดปฏิเสธเสียงสั่น ซึ่งสิ่งที่ผมพูดออกไปมันก็เป็นความจริง เพราะตามที่ผมได้บอกไปแล้ว เมื่อตอนเช้าว่าผมนั้นจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเมา เมาแล้วเต้น เต้นแล้วมีเรื่อง มีเรื่องแล้วกระโดดถีบ กระโดดถีบแล้วก็มาตื่นที่คอนโดพี่ศิเนี่ย


“แน่ใจเหรอ…” พี่ศิเอ่ยถามซ้ำโดยน้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นยิ่งเพิ่มความกดดันให้ตัวผมมากขึ้นไปอีก
คือผมจำไม่ได้จริง ๆ ผมไม่ได้โกหกนะ เวลาผมเมาตอนตื่นขึ้นมาอีกวัน ผมจะจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากจะมีคนมาเล่าให้ผมฟังผมถึงจะค่อย ๆ จำได้


“แน่ใจสิจ๊ะ พี่ศิจ๋า” ผมเริ่มพูดจ๊ะจ๋าตามประสา แต่ในใจผมนี่แทบอยากจะดันตัวพี่ศิแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปเสียเหลือเกิน


“งั้นเหรอ...” เสียงทุ้มตอบรับแบบส่ง ๆ ก่อนจะใช้มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา นิ้วเรียวยาวกดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ที่เมมโมรี่ชื่อของเพื่อนตนเอาไว้พร้อมกับกดโทรออกไปทันทีเมื่อตนเจอชื่อของเป้าหมาย ‘วิน’


v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


พี่ศิถือสายโทรศัพท์รอสักพักไม่นานนักเสียงแหลม ๆ หวาน ๆ ของสาวประเพศสองที่มีนามว่า สาละวินก็ดังขึ้น “ไงยะไอศิมีไรเหรอ”


“วินครับ ช่วยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ศิฟังได้ไหมครับ” พี่ศิกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์พร้อมกับเปิดสปีคเกอร์ให้ผมฟังไปด้วย


“เรื่องของน้องกรเหรอแก เอาเรื่องไหนละเมื่อคืนเรื่องมันเยอะมากเลยนะ” เสียงของเจ้น้ำหวานพูดออกมา ผมแทบอยากจะตะโกนบอกเจ้น้ำหวานว่าอย่าไปเล่าให้พี่ศิฟัง แต่ผมก็ต้องเงียบปากและล้มเลิกความคิดนั้นไปเพราะเหมือนพี่ศิจะรู้ทันผมนัยน์ตาคมปรายมองพร้อมกับส่งสายตาดุมาให้ผม


“เรื่องที่กรโดนลวนลาม” เสียงทุ้มเอ่ยออกไป ซึ่งสิ่งที่ผมรับรู้ได้ในน้ำเสียงนั้นคือความโกรธ ความไม่พอใจและมันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดเล็ก ๆ


“ตาย แกจะฟังได้เหรอยะไอศิ…” เจ้น้ำหวานพูดตอบกลับซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้รอให้เจ้แกพูดจนจบประโยค เสียงทุ้มก็เอ่ยตะคอกกลับไป “บอกให้เล่าก็เล่ามาสิวะ ไอวิน”


คำหยาบคายคำแรกของพี่ศิหลุดออกมา ไอผมนี่ตกใจขั้นรุนแรง (แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับการที่ผมต้องมานอนแผ่ สามบาทห้าสิบอยู่ใต้ร่างของพี่ศิแบบนี้)


“เฮ้ย อย่าเพิ่งโกรธดิไอศิ ฉันเล่าก็ได้วะ…” เจ้น้ำหวานตอบตกลงพร้อมกับเอ่ยปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นออกมา


“คือน้องกรแกก็กินเหล้าปกติล่ะแก แต่วันนั้นน้องมันดื่มมากไปหน่อยจนเมา  แล้วก็นะตามประสาคนเมาก็ต้องทำอะไรบ้า ๆ ใช่ไหม่ละ อย่างฉันก็คือออกไปแด๊นซ์อะไรแบบนี้ แล้วน้องกรเขาก็เมาคือฉันเคยได้ยินว่าน้องกรเวลาเมาแล้วจะเลื้อยอ่ะแก คือแบบเลื้อยไปซบคนนั้นเอนไปทับคนนี้อ่ะ แล้วน้องกรแกก็เลยลุกขึ้นไปเต้น มันก็ไม่เชิงเต้นอีกแหละแก เรียกว่าน้องเขาไปเซไปเซมาในฟลอร์เต้นรำดีกว่า แล้วไม่รู้อีท่าไหนน้องกร แกโดนปลดกระดุมเสื้อนิสิตจนหมดแล้วก็มีคน ๆ หนึ่งพยายามเข้ามาเต้นใกล้ ๆ น้องเขา ความจริงก็ไม่ใช่มันคนเดียวหรอกแก ตอนน้องเขาไม่ได้ปลดกระดุมก็มีคนมาเต้นใกล้ ๆ น้องมันแล้วก็ลูบไล้ ๆ กันนั่นหละ เพียงแต่ไอคนนี้น่ะมันเข้าไปโอบกรมันแล้วลูบไปที่หน้าอกของน้องมัน กรก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอกนะ แต่ว่ามันนึกว่ากรเล่นด้วยมันเลยเริ่มลูบต่ำไปที่ขอบกางเกงน่ะ” เจ้น้ำหวานหยุดเล่าไปสักนิดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมาต่อ “แล้วตอนนั้นรู้สึกว่าน้องกรมันเหมือนจะมีสติขึ้นมาแล้ว น้องมันก็เลยประเคนหมัดไปที่หน้าไอเชี่ยนั่น  แล้วตามด้วยตรีนที่น้องมันกระโดดยันไปที่หน้าอกมัน หลังจากนั้นฉันก็เข้าไปหิ้วปีกน้องมันกลับโต๊ะ แต่ก่อนจะได้กลับไปที่โต๊ะน้องมันก็โดนไอนั่นต่อยกลับมาทีนึงที่หน้าอ่ะแก เรื่องมันก็มีแค่นี้ว่ะศิ” เมื่อเจ้น้ำหวานเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ พี่ศิก็กดตัดสายโทรศัพท์ของเจ้น้ำหวานทันที  ใบหน้าคมค่อย ๆ หันหนามามองหน้าผมพร้อมกับส่งรอยยิ้มเย็นเฉียบมาให้


ซึ่งผมก็พยายามส่งรอยยิ้มกลับไปให้พี่ศิเขานะครับ แต่ทว่าแววตาที่พี่ศิมองมายังผม…มันทำให้ผมยิ้มไม่ออก ผมไม่รู้ความหมายของรอยยิ้มของพี่ศิ ผมไม่รู้ถึงความหมายในแววตาของพี่เขาที่เขาสื่อออกมา ผมรับรู้เพียงแต่ว่าพี่ศิเขารู้สึกโกรธและก็รู้สึกผิดกับอะไรสักอย่างที่ผมก็ไม่อาจรู้ได้


ผมไม่อยากจะสารภาพเลยว่าผมจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอะไรไม่ได้เลยสักนิด และเพิ่งมานึกได้ทั้งหมดตอนที่เจ้น้ำหวานแกเล่า ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมโดนคนอื่นกระทำจะทำให้คน ๆ หนึ่งเป็นห่วงผมขนาดนี้ นอกจากครอบครัวของผม ไอเจมส์ ไอบาส แล้วก็กานต์ ผมก็ไม่เคยมีใครเป็นห่วงผมมากมายขนาดนี้ ผมรู้สึกได้ว่าพี่ศิโกรธตัวเองที่ไม่ได้ปกป้องน้องชายอย่างผมไม่ได้  โกรธตัวเองที่ไม่ได้ช่วยเหลือผมในขณะที่ผมโดนใครสักคนหนึ่งทำร้าย (ในที่นี้ผมหมายถึงกรณีที่ผมโดนต่อยนะครับ)


เราทั้งสองคนเงียบใส่กับไปสักพัก ซึ่งพี่ศิก็ยังจับผมล็อคอยู่ในท่าเดิมและผมก็ไม่ได้มีความคิดที่จะดิ้นหรือขัดขืนอะไรพี่ศิเขาเลยสักนิดเดียว


เราทั้งสองคนยังอยู่ในท่านี้อีกสักพักไม่นานนัก พี่ศิก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระพร้อมกับร่างของพี่ศิที่โถมเข้ามากอดผมไว้แน่น ซึ่งผมก็ยกมือขึ้นกอดพี่ศิตอบไปมือกร้านของพี่ศิลูบหัวของผมเบา ๆ พร้อมกับริมฝีปากหนาที่เอ่ยพร่ำคำขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมาก


“พี่ชายขอโทษนะครับที่ตอนนั้นพี่ชายไปปกป้องน้องชายไม่ได้” ผมรู้สึกได้ว่าพี่ศิกำลังระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้ซึ่งที่พี่ศิโกรธไม่ใช่โกรธไอบ้านั่นที่มาลวนลามผม แต่พี่ศิเขาโกรธตัวเองที่มาปกป้องผมไม่ได้


ผมลูบหลังพี่ศิเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำปลอบพี่ศิออกมา “ก็พี่ชายไม่ว่างมาปกป้องน้องชายตลอดเวลานี่นา น้องชายคนนี้รู้ว่าพี่ชายไม่ว่าง  พี่ชายไม่ต้องโกรธตัวเองนะที่พี่ชายโกรธต้องเป็นตัวของน้องชายต่างหาก  น้องชายทำผิดเพราะน้องชายทำให้พี่ชายเป็นห่วง”


สิ้นเสียงพูดของผม พี่ศิก็ดันร่างของผมออกจากอ้อมกอดก่อนที่ใบหน้าคมจะเลื่อนขึ้นไปประทับริมฝีปากที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบา  ผมชะงักตัวเล็กน้อยเมื่อได้รับสัมผัสที่อ่อนโยนแต่ผมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเลยสักนิด ผมปล่อยให้ริมฝีปากของพี่ศิแนบอยู่นานพอดูจนพี่ศินั้นละริมฝีปากของตนออกไปเอง


ในตอนนี้ใบหน้าของผมร้อนฉ่าพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดในไม่กี่วินาทีนี้  เราทั้งสองคนค่อย ๆ กระเถิบออกจากกัน  หลังจากนั้นพวกเราสองคนก็ได้แต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้อง
ความเงียบเข้าครอบคลุมภายในห้องสักพัก พลันเสียงทุ้มของพี่ศิก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบสงัดที่อยู่ในห้องไปจนหมด


“กร เย็นนี้อยากทานอะไรครับ เดี๋ยวพี่เข้าครัวทำให้ทาน” คำถามนี้ของพี่ศิทำให้ผมส่ายหัวปฏิเสธ และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ศิคิดเมนูไป


“แล้วแต่พี่ศิเลยครับ กรทานอะไรก็ได้” ผมได้แต่ก้มหน้างุด อาการหัวใจเต้นแรงของผมมันก็ยังไม่ยอมหยุด ผมพยายามที่จะไม่เงยหน้ามองใบหน้าของพี่ศิ เพราะผมรู้ตัวว่าถ้าหากผมยิ่งมองใบหน้าและสายตาของพี่ศิเขามันจะยิ่งทำให้หัวใจของผมที่เต้นแรงอยู่นั้นยิ่งเต้นแรงมากขึ้นไปอีก


“งั้นเหรอกร เดี๋ยวพี่ทำอะไรง่าย ๆ แต่หนักท้องให้ทานแล้วกันนะ นี่ก็เลยเวลาทานอาหารเย็นของกรมาแล้วด้วยนี่” พี่ศิพูดพร้อมกับหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ในตอนนี้เวลาที่เข็มสั้นและเข็มยาวชี้บอก มันก็ล่วงเลยไปถึงหนึ่งทุ่มเศษแล้วครับ


ผมพยักหน้าตอบพี่ศิน้อย ๆ โดยที่ผมก็ยังคงก้มหน้างุด ๆ เพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของคนอยู่ ผมแอบเหลือบมองพี่ศิที่เดินเข้าครัวไป แต่ในทันทีที่พี่ศิหันมามองที่ผม ผมก็รีบหันหน้ากลับเพื่อหลบสายตาของพี่เขาทันที เราทั้งสองคนผลัดกันแอบมอง ผลัดกันหลบสายตากันไปสักพัก ไม่นานนักอาหารที่พี่ศิทำก็เสร็จพร้อมกับเสียงทุ้มที่เรียกให้ผมเข้าไปทานอาหารในห้องครัว


ผมเดินตามเสียงเรียกของพี่ศิเข้าไปในห้อง พร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ผมชอบนั่งประจำเวลาทานอาหารกับพี่ศิเขา
กับข้าวมื้อนี้ข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวครับ ซึ่งผมอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นจานทั้งสองจานวางไว้คู่กันและพี่ศิก็ไม่ต้องเชื้อเชิญให้ผมนั่ง ผมก็จัดการเอาตรูดไปวางแหมะไว้บนเก้าอี้และเริ่มจัดการอาหารเย็นที่พี่ศิทำไว้ให้ทันที


รสชาติยังคงอร่อยเช่นเดิมและไข่ดาวที่พี่ศิทอดนี่ด้านบนขาวสะอาดและด้านล่างเป็นรอยไหม้เล็กน้อยซึ่งมันเป็นการทอดไข่ดาวที่เพอร์เฟคที่สุดเลยครับ (ผมเคยอ่านในหนังสือมา) แต่เอ๊ะ...แล้วผมจะมาบรรยายการทอดไข่ดาวและรสชาติกับข้าวของพี่ศิเขาทำไมเนี่ย  ช่างเถอะครับ เรามาเจอกันหลังที่ผมจัดการข้าวกะเพราไข่ดาวนี่เสร็จก็แล้วกัน


ผมค่อย ๆละเอียดทานข้าวแต่ละคำอย่างช้า ๆ โดยตลอดการทานอาหารมื้อนี้ผมหลบสายตาของพพี่ศิตลอดเลยครับซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกันกับผม อาหารมื้อนี้ผมกับพี่ศิไม่ได้พูดคุยหรือสบตาอะไรกันเลย เรานั่งกินกันเงียบ ๆ จนกระทั่งอาหารในจานนั้นหมดไป ผมรีบลุกเดินขึ้นไปล้างจาน ส่วนพี่ศินั้นก็ลุกขึ้นตามผมมาติด ๆ เราทั้งสองคนยืนล้างจานกันอยู่เงียบ ๆ โดยผมเป็นคนล้างน้ำเปล่า ส่วนพี่ศิเป็นคนใช้น้ำยาล้างจานล้างคราบอาหาร ผมกับพี่ศิใช้เวลาช่วยกันล้างจานไม่นานนักในที่สุดจานชามและกระทะที่ใช้ทำกับข้างก็สะอาดเรียบร้อย


ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้วครับ ซึ่งมันก็เป็นเวลาที่ผมสมควรจะกลับห้องแล้ว ผมเดินไปสะกิดพี่ศิเขาเบา ๆ พร้อมกับขอตัวกลับไปยังห้องของตัวเองก่อน


“พี่ศิ กรกลับห้องแล้วนะ ขอบคุณสำหรับข้าวมื้อนี้นะครับ” ผมยกมื้อไหว้ขอบคุณพี่ศิเหมือนทุกครั้งและค่อย ๆ สาวเท้าเดินออกจากห้องของพี่ศิเขา แต่ไม่ทันที่ร่างผมจะได้ก้าวออกจากห้อง มือของพี่ศิก็รั้งแขนผมเอาไว้พร้อมกับส่งกุญแจดอกหนึ่งมาให้ผม ผมมองกุญแจดอกนั้นด้วยความสงสัย แต่รู้สึกเหมือนพี่ศิเขาจะรู้ว่าผมกำลังงุนงงกับการกระทำของพี่เขา


พี่ศิยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กุญแจห้องของพี่เอง ไว้กรอยากเข้ามาเล่นอะไร หรือลืมอะไรไว้ในห้องพี่กรก็ไขเข้ามาได้เลยนะ พี่อนุญาต’


ซึ่งผมก็รับกุญแจดอกนั้นด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหยิบพวงกุญแจห้องของตัวเองขึ้นมา และแกะกุญแจสำรองห้องของผมและยื่นคืนไปให้พี่ศิ


“อันนี้กุญแจห้องของกร ถ้าพี่ศิอยากเข้ามากินขนมที่กรทำก็ไขเข้ามาได้เลยนะ กรไม่ว่า” ผมพูดกลับด้วยรอยยิ้มเราทั้งสองคนยิ้มให้กันสักครู่หนึ่ง สักพักผมก็เอ่ยปากขอตัวกลับห้องของตัวเองไป


“แล้วเจอกันนะครับพี่ศิ” ผมพูดพร้อมกับโบกมือลาและเดินเข้าห้องของตัวเองไป


และทันทีที่บานประตูห้องของผมปิดลง ร่างกายของผมก็ทรุดลงไปนั่งที่พื้นใบหน้าที่พยายามสะกดกลั้นความเขินอายตอนนี้กลับแดงก่ำและหัวใจที่เริ่มเต้นแรงอีกครั้ง


‘เป็นเชี่ยอะไรวะ...ทำไมแม่มต้องเขินแบบนี้ด้วย’ ผมพึมพำกับตัวเองในใจพร้อมกับยก กุญแจห้องของพี่ศิขึ้นมาดู และกอดมันไว้แนบอก “ขอบคุณนะครับ พี่ศิ” ริมฝีปากของผมยกรอยยิ้มขึ้นมาพร้อมกับมือทั้งสองข้างของผม ผมนำกุญแจห้องของพี่ศิไปแขวนอยู่ในพวงเดียวกับกุญแจห้องของผม


ผมยกมันขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปจัดการร่างกายและเตรียมตัวไปเปิดคอมพิวเตอร์ หลังจากที่ไม่ได้แตะมันมานาน


หลังจากที่ผมจัดการและทำความสะอาดตัวเองเสร็จ ผมก็วิ่งถลาเข้าไปเปิดคอมคู่ใจและเริ่มเปิดอีเมล์ และเฟซบุ๊คเช็คดูข้อมูลที่ผมพลาดไปตอนช่วงสอบ


ผมเลื่อนเคอเซอร์ไปที่กรุ๊ปของภาควิชาผมซึ่งในก่อนหน้านี้ (คือช่วงสอบ) มันเป็นแหล่งที่สูบคลังข้อสอบครับ แต่ในเวลานี้มันกลายเป็นที่แชร์รูปที่ทุก ๆ ต่างไปเที่ยวมา ไม่ก็เป็นภาพของตัวเองที่กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนที่อยู่ต่างจังหวัดบ้างหรืออยู่แถบชานเมือง หรือปริมณฑล และในนั้นก็มีรูปของเมื่อคืนที่สายของผมไอเจมส์ไอบาสอัพอยู่ด้วย


ภาพแรก ๆ ก็ดูดีอยู่หรอกครับ บนโต๊ะยังไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ภาพหลัง ๆ เริ่มเละครับ ขวดเหล้าขวดเบียร์เริ่มเต็มโต๊ะและหลาย ๆ คนก็เริ่มเมาและมึนกันไป รูปต่อไปเป็นรูปเจ้น้ำหวานที่กำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์พ่วงด้วยลุงรหัสของผมเฮียบุญเกิดที่กำลังเต้นท่าอะไรไม่รู้หลีสาวอยู่


ผมหัวเราะน้อย ๆ กับภาพ ๆ นั้นก่อนจะเลื่อนดูภาพถัดไป และถัดไปจนมาถึงรูปสุดท้ายที่ทำให้ผมต้องเลื่อนหน้าตัวเองเข้าไปดูใกล้ ๆ และถึงขั้นเซฟรูปมาขยายดูในโฟโต้ช็อปเลยทีเดียวครับ


ภาพ ๆ นั้นเป็นภาพของผมกับพี่ศิโดยผมโดยพี่ศิอุ้มอยู่ในท่าเจ้าสาวครับ ซึ่งในภาพพี่ศิกำลังพูดคุยอยู่กับเจ้น้ำหวานใบหน้าของพี่เขามีสีหน้ากังวลเล็กน้อยแล้วผมที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่ศินั้นกำลังเอามือโอบรอบคอพี่ศิ และยื่นตัวไปหอมแก้มพี่ศิเขาเบา ๆ แต่ก็ยังดีที่มันเป็นภาพที่ถ่ายด้านข้างซึ่งเป็นข้างที่ผมหันหลังใส่กล้องพอดีในภาพจึงมีแต่ใบหน้าของพี่ศิกับแผ่นหลังของผมที่ยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากที่แก้มของพี่ศิเขา


และเมื่อภาพนั้นประจักษ์แก่สายตาว่านั่นคือผมที่กำลังหอมแก้มพี่ศิไปเสียฟอดใหญ่…ไอผมนี่แทบจะกรีดร้องออกมาเสียงดัง แต่ไม่ใช่เพราะโกรธอะไรคนที่ถ่ายภาพหรอกนะครับ แต่ผมอยากจะกรีดร้องด้วยความอับอาย กับสิ่งที่ผมได้ทำลงไป


รู้สึกภาพนี้จะดูเหมือนเป็นภาพทอล์กออฟเดอะทาวน์เลยทีเดียว คอมเม้นท์นี่ยาวเป็นพรืด ซึ่งทุกคนต่างสงสัยว่าชายหนุ่มที่กำลังยื่นหน้าไปหอมแก้มว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คนนั้นคือใคร แล้วทำไมว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ถึงห่วงใยคนในอ้อมแขนของคนซะเหลือเกิน


คอมเม้นท์ในภาพนี้ยาวติดต่อกันเป็นร้อย ซึ่งทุกคนก็ต่างเดากันไปต่าง ๆ นานาว่าเด็กหนุ่มในภาพนั้นคือใคร แต่คนที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มในอ้อมแขนของว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์คือผม ก็คงมีพวกพี่ ๆ ที่เป็นสายรหัสของผมและของไอเพื่อนสนิทของผมที่นัดกันไปเลี้ยงรวมไปถึงพี่ศิเท่านั้นหละครับ (รวมตัวผมด้วยก็แล้วกัน ถึงจะมารู้ทีหลังก็เถอะ)


หลังจากที่ผมเช็คภาพจนหมดผมก็รีบกดโทรศัพท์ไปหาไอเจมส์และไอบาสทันที ผมถือสายโทรศัพท์มันรอสักพัก เสียงไอเจมส์ก็ดังแทรกขึ้นพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์รถที่ขับผ่านไปผ่านมา


“มีไรวะกร ตอนนี้กรูกำลังกลับบ้าน ไว้โทรมาใหม่นะเว้ย” เมื่อไอเจมส์พูดจบมันก็ตัดสายทิ้งไปทันที โดยมันทิ้งให้ผมยืนเอ๋อแดรกกับความรวดเร็วในการวางสายของมัน


รายต่อไปที่ผมจะโทรศัพท์ไปหานั่นก็คือไอบาส  ผมก็กดไล่หาเบอร์โทรศัพท์เช่นเดิมและกดโทรออกไปตามขั้นตอนเดียวที่ได้ทำตอนโทรไปหาไอเจมส์ ซึ่งคราวนี้สิ่งที่ผมได้รับจากการรอสายของไอบาสคือข้อความของคอลเซ็นเตอร์ที่บอกให้ส่งข้อความเสียงแทนเสียงของไอบาส ไอผมนี่แทบอยากจะปามือถือทิ้งหนักกว่ารอบของไอเจมส์อีกครับ  ซึ่งผมก็ฝากข้อความให้มันไว้นะครับ แต่ฝากเป็นข้อความด่ามันไปยาวเหยียดแบบไม่หยุดหายใจ ก่อนจะกดตัดสายทิ้งไปครับ


ตอนนี้ผมถลาลงไปนอนฟุบกับเตียงเรียบร้อย หนำซ้ำตอนนี้เวลามันก็ล่วงเลยมาถึง 4 ทุ่มจะครึ่งแล้ว ดังนั้นคืนนี้ผมขอลา ราตรีสวัสดิ์นะครับทุกคน



อรุณสวัสดิ์อีกครั้งนะครับทุกคน  วันนี้เป็นเช้าของวันปิดเทอมวันที่สองของผม ซึ่งแน่นอนผมควรจะแจ่มใสและลั่นล้ามากกว่านี้ ทว่าผมนั้นกลับรู้สึกว่าตัวเองโทรมลงยังไงก็ไม่รู้ นั่นก็เพราะสาเหตุมาจากอาการนอนไม่หลับของผมครับ เพราะทันทีที่ผมหลับตาลงภาพความทรงจำมันก็ลอยเข้ามาในหัวผมครับ ภาพที่พี่ศิแนบริมฝีปากบนหน้าผากของผมเบา ๆ และไม่ใช่แค่นั้น ภาพของผมที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่ศิก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวสมองของผมด้วยครับ และเหตุผลที่กล่าวมานี่ทำให้ผมนอนไม่หลับเลยสักนิดเดียว ซึ่งกว่าผมจะหลับได้ก็ร่วมตีสองครับ และตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงเช้าครับซึ่งในเวลา  นี่ถ้าเป็นวันปกติผมต้องวิ่งไปเข้าเรียนแล้วหละครับ แต่นี่ก็เป็นวัดหยุดผมจึงค่อย ๆ คลานลงจากเตียงแล้วเดินไปหาอะไรทานเป็นข้าวเช้าในห้องครัวครับ


แต่ผมก็ลืมไปตอนนี้ในครัวของผมไม่มีวัตถุดิบที่จะทำอาหารอะไรมากินได้เลยครับ ดังนั้นผมจึงได้ลากสังขารตัวเองไปหน้าห้องเพื่อที่จะออกไปซื้ออะไรทานเป็นข้าวเช้า แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกจากประตูไปกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งก็เสียบไว้ในช่องประตูของผมซึ่งไม่ต้องเดาอีกนะครับว่ามันเป็นกระดาษโน้ตของใคร  เพราะเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วครับว่ามันเป็นของพี่ชายข้างห้องของผมเอง ผมกวาดสายตาอ่านตัวอักษรหวัด ๆ ที่เขียนลงในกระดาษก่อนจะอมยิ้มออกมาจาง ๆ



‘ข้าวเช้าวันนี้เป็นข้าวผัดเหมือนเดิมนะครับ พอดีพี่ตื่นสายเลยไม่ทันทำอะไรที่แปลกไปจากเมื่อวาน กรใช้กุญแจที่พี่ให้ไขเข้าไปได้เลยนะครับ จากพี่ศิของน้องกร ปล.ข้างผัดอยู่ในตู้เย็นเหมือนเดิมครับผม’




_____________________________

นาน ๆ มาหย่อนให้ทีค่ะ แหะ ๆ สอบยังไม่เสร็จ ติวหนังสือก่ะยังไม่ไปถึงไหนแต่อยากลงนิยาย เลยแวปมาลงให้ก่อนค่า เกินกันอีกทีวันที่พลอยสอบเสร็จเลยนะคะ

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
 :impress2: อิจฉาน้องกรมีคนทำกับข้าวให้กินทุกมื้อเลย

ความสัมพันธ์ค่อยๆคืบหน้าแล้ว แต่ดูท่าทางพี่ศิคงต้องทำอะไรให้ชัดเจนกว่านี้ เพราะงั้นพี่ศิสู้ๆ  :mew1:

รอตอนต่อไป โชคดีกับการสอบค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
:impress2: อิจฉาน้องกรมีคนทำกับข้าวให้กินทุกมื้อเลย

ความสัมพันธ์ค่อยๆคืบหน้าแล้ว แต่ดูท่าทางพี่ศิคงต้องทำอะไรให้ชัดเจนกว่านี้ เพราะงั้นพี่ศิสู้ๆ  :mew1:

รอตอนต่อไป โชคดีกับการสอบค่ะ   :L2: :กอด1: :pig4: :L2:
เห็นด้วยเป็นที่สุด

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ความสัมพันธ์เริ่มคืบหน้า พีี่หมอศิน่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
อิจฉาน้องกร พี่ศิน่ารักกกกกกกกกกกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อิจฉากรจริงเลย

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
กรีส ๆๆๆ สอบเสร็จแล้วค่า(จริง ๆ สอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแต่แบบเพิ่งโผล่หัวมาตอนนี้)




Chapter 13



นับจากวันที่ผมสายรหัสของผมนัดไปเลี้ยงฉลองปิดเทอมนี่ก็ผ่านมาเกือบจะครบอาทิตย์แล้วหละครับ ซึ่งในเวลา 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมกับพี่ศิแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยครั้งเดียวและรวมไปถึงการโทรศัพท์พูดคุยกันผมก็ไม่ได้โทรไปหาพี่ศิเขาและพี่ศิก็ไม่ได้โทรศัพท์มาหาผม เรากลับไปใช้กระดาษโน้ตในการติดต่อเหมือนเมื่อก่อนซึ่งผมก็ไม่รู้นะครับว่าทำไมเราถึงกลับไปใช้กระดาษโน้ตติดต่อกันทั้ง ๆ ที่การใช้โทรศัพท์ติดต่อกันมันง่ายดายและรวดเร็วกว่าด้วยซ้ำ


ความผมก็ตั้งใจจะโทรไปหาพี่ศิหลายต่อหลายรอบอยู่นะครับแต่ไม่รู้ทำไม เวลาที่ผมเลื่อนเบอร์ของพี่ศิมาดูและกำลังจะกดโทรออกนิ้วของผมมันก็ชะงักค้างติ่งไม่กล้าที่จะกดโทรออกไป ผมจด ๆ จ้อง ๆ โทรศัพท์อยู่นานก่อนจะยอมพ่ายแพ้ให้ความรู้สึกประหลาด ๆ ที่วนเวียนอยู่ในใจ


มือของผมกำโทรศัพท์แน่นพร้อมกับเอนตัวนอนลงไปแผ่หลาที่โซฟา ภายในสมองพลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นอ้อมกอดของพี่ศิที่แสดงถึงความห่วงใย ริมฝีปากหน้าที่ประทับอยู่บนหน้าผากของผม ไอความรู้สึกพวกนี้ผมยังรู้สึกถึงมันได้จนถึงทุกวันนี้เลยครับ ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่ผมนึกถึงมันผมก็ยังคงมีอาการเขินอายและหน้าแดงอยู่เรื่อย ๆ 


ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นอะไรกับตัวผมแต่ที่ผมรู้แน่ ๆ ไอต้นเหตุที่ทำให้ผมมีอาการแบบนี้มันต้องเกิดมาจากพี่ชายข้างห้องหรือจะให้ระบุตัวตนเขาคนนั้นก็คือว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัณศิรินั่นเอง


ผมนอนกลิ้งตัวไปมาอยู่บนโซฟาภายในห้องของผมพลันความคิดความคิดหนึ่งของผมก็ลอยเข้ามา ‘ถ้าเรายังบึ้งตึงกับพี่ศิอยู่แบบนี้ไม่ใช่แค่เราจะไม่สบายอยู่ฝ่ายเดียวแต่พี่ศิก็เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจด้วยเช่นกัน’ เมื่อความคิดนั้นเกิดขึ้นผมก็รีบวิ่งไปหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่ผมวางทิ้งไว้ในห้องนอนออกมาเขียนข้อความลงไป




‘พี่ศิครับพรุ่งนี้วันเสาร์พี่ศิหยุดหรือเปล่าครับพอดีกรมีที่ที่อยากจะให้พี่ศิไปด้วยสักหน่อย ถ้าพี่ศิว่างช่วยส่งข้อความหรือโทรศัพท์มาหาผมหน่อยนะครับ จากกร’




เมื่อผมเขียนเสร็จผมก็ฉีกกระดาษโน้ตแผ่นนั้นออกและรีบเปิดประตูออกไปหน้าห้องเพื่อที่จะนำกระดาษแผ่นนั้นไปสอดใต้ประตูห้องของพี่ศิ แต่ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องออกร่างสูงของบุคคลที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีก็เดินออกมาจากลิฟท์พอดิบพอดี
ในตอนนั้นผมแทบอยากจะปิดประตูห้องของตัวเองเขามาทันทีแต่ร่างกายมันก็ไม่ยอมขยับ ผมจึงได้แต่พยายามหลบสายตาของพี่ศิเขาและแน่นอนคนที่อัธยาศัยดีแบบพี่ศิมีหรือจะไม่เอ่ยปากทักผมหนะ


“สวัสดีครับกร” และเป็นไปตามอย่างที่ผมคาดเดาพี่ศิเขาเอ่ยทักผมมาจริง ๆ แต่ปฏิกิริยาของพี่ศิที่แสดงออกมานั้นก็คล้าย ๆ กับสิ่งที่ผมแสดงออกไป นั่นก็คือพี่ศิพยายามที่จะไม่มองหน้าผมตรง ๆ หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือพี่เขานั้นพยายามจะหลบสายตาเช่นเดียวกับผมนั่นเอง


“เอ่อ...สวัสดีครับพี่ศิ” ผมยกมือไหว้พี่ศิทั้ง ๆ ที่มีกระดาษโน้ตอยู่ในมือ ไอตอนแรกความรู้สึกกล้าที่จะชวนพี่ศิเขาไปที่ ๆ แห่งนึ่งตอนนี้ความรู้สึกพวกนั้นมันหายไปหมดแล้วครับ มันเหลือแต่ความรู้สึกเขินอายแบบแปลก ๆ โดยที่ผมก็ไม่ทราบสาเหตุที่มาของมันได้


เมื่อผมเอ่ยจนจบประโยคเราสองคนก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาต่อเราได้แต่ยืนเงียบและหลบหน้ากันเท่านั้นแต่ผมนี่หละที่อดทนต่อความอึดอัดนี่ไม่ไหว ริมฝีปากผมเปิดออกและเอ่ยถามพี่ศิออกไป “พี่ศิลืมของเหรอครับทำไมวันนี้กลับคอนโดไวจังเลย” ผมถามพี่เขาในสิ่งที่ผมสงสัย นั่นก็เป็นเพราะปกติพี่ศิมักจะกลับคอนโดในตอนเย็น ๆ หรือไม่ก็ดึกไปเลย แต่ในตอนนี้ผมเชคนาฬิกาดูแล้วมันยังไม่ถึงบ่ายสองโมงเลยผมจึงสงสัยว่าทำไมวันนี้พี่ศิถึงได้กลับคอนโดมาไวจัง


“วันนี้พี่สอบหนะแล้วนี่พี่ก็สอบเสร็จแล้วแต่ก็ไม่คิดจะไปต่อที่ไหนก็เลยกลับคอนโดมาเลย” พี่ศิกล่าวตอบผมนิ้วมือข้างหนึ่งของพี่ศิถูกยกขึ้นไปเกาแก้มเบา ๆ


เราสองคนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่มีใครพูดอะไรใส่กันอยู่สักพักไม่นานนักความอดทนของผมมันก็หมดไปผมยื่นกระดาษโน้ตที่ผมเขียนไปเมื่อสักครู่ให้พี่ศิเขาและสั่งให้พี่ศิเขาอ่านข้อความที่อยู่ในกระดาษนั่นทันที “พี่ศิอ่านเลยนะกรอยากได้คำตอบตอนนี้เลย” สิ้นเสียงของผมพี่ศิก็ทำหน้างุนงงเล็กน้อยก่อนจะก้มลงอ่านกระดาษแผ่นนั้น


พี่ศิใช้เวลาอ่านกระดาษโน้ตแผ่นนั้นไม่นานนักใบหน้าคมก็เผยรอยยิ้มพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์ออกมา ผมมองการกระทำของพี่เขาด้วยความสงสัยแต่ความสงสัยของผมมันก็อยู่ไม่นานคำตอบของมันก็เฉลยขึ้นทันทีที่เสียงเรียกเขาโทรศัพท์ของผมดังขึ้น


ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมกับกดรับสายด้วยความสงสัยว่าพี่ศินั้นตั้งใจจะทำอะไรกันแน่และทันทีที่ผมยกโทรศัพท์แนบกับหนูเสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของพี่ศิเขาก็ดังตามสายมาว่า “พรุ่งนี้พี่ว่างครับกร แล้วกรจะพาพี่ไปไหนเหรอครับ”


เมื่อทุกอย่างเฉลยว่าพี่ศินั้นต้องการทำอะไรผมก็ถลึงตาไปมองที่พี่ศิทันที ซึ่งการกระทำแบบนั้นของผมมันเรียกเสียงหัวเราะของพี่เขาออกมาได้น้อย ๆ ไอผมก็อยากจะกดตัดสายทิ้งแต่ก็นะในเมื่อพี่ศิเขาทำตามที่ผมเขียนในกระดาษโน้ตผมก็ยอมเล่นตามพี่เขาไปสักหน่อย “ที่ลับเฉพาะถ้าอยากไปก็ตกลงมาถ้าไม่อยากไปก็นอนแกร่วในห้องไปนะครับพี่ศิ” ผมพูดติดตลกซึ่งพี่ศิก็หัวเราะออกมาน้อย ๆ ตามประสาคนเส้นตื้น


“โอเคครับพี่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์นี้สองวันครับ ถ้ากรจะพาพี่ไปนอนค้างคืนพี่ก็ว่างครับผม” เสียงทุ้มยังคงดังผ่านสายโทรศัพท์ คำตอบนั้นทำให้ผมยิ้มออกมาด้วยความยินดี


“งั้นจากโปรแกรมที่กรจะพาพี่ศิไปแล้วกลับ กรของสั่งให้พี่ศิเก็บเสื้อผ้าเตรียมไปนอนค้าง 1 คืนแทนนะครับ” เมื่อผมรับรู้ว่าพี่ศิว่างยาวสองวัน (นี่ถือเป็นการว่างยาวที่สุดของนิสิตแพทย์ปี 4 ขึ้นไปแล้วหละครับ) ผมจึงออกคำสั่งให้พี่ศิเตรียมตัวไปนอนค้างคืนทันที


“โอเคครับ กรอยากพาพี่ไปไหนก็เต็มที่เลยเสาร์อาทิตย์นี้พี่ยกให้กรหมดเลยก็ได้” พี่ศิกล่าวตอบผมด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำตอบนั้นทำให้ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากผมกดตัดสายโทรศัพท์ทิ้งทันทีและรีบปิดลอคประตูห้องของตัวเองก่อนจะลากมือพี่ศิไปที่หน้าของของเขา


ทุกท่านไม่ต้องสงสัยนะครับว่าผมทำอะไร…ผมแค่จะเข้าไปผลาญค่าไฟในห้องพี่ศิเท่านั้นเองครับไม่มีอะไรมากไปกว่านี้…อ่อ! อีกอย่างหนึ่งคือผมจะเข้าไปฝากท้องกับพี่ศิเขาครับเพราะในตอนนี้ผมยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยนิดเดียว…


การคุยครั้งนี้ทำให้ผมกับพี่ศิกลับมาคุยกันเหมือนเดิมอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ความอึดอัดภายในใจของผมหายไป แต่ทว่าไอความรู้สึกที่เขินอายและใจเต้นแรงเป็นระยะ ๆ นั้นมันก็ยังคงอยู่เช่นเดิมโดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มันเกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้นกับพี่ศิเขา




เวลาล่วงเลยไปจนตอนนี้เป็นช่วงเวลาของเช้าวันเสาร์แล้วครับไอผมก็ไม่อยากจะเล่าว่าหลังจากผมไปบุกห้องพี่ศิผมทำอะไรต่อไปมั่งผมเลยขอตัดบทมาเล่าอีกวันหนึ่งเลยก็แล้วกัน


เอะ…อะไรนะครับพวกคุณอยากรู้กันเหรอ…โอเค ๆ ครับผมเล่าให้พวกคุณฟังก็ได้ผมก็เข้าไปป่วนในห้องพี่ศิเหมือนกับทุก ๆ ครั้งนั่นหละครับ ป่วนในครัวคุ้ยหาอะไรกินบ้าง พยายามทำกับข้าวเองบ้าง (แต่มันกินไม่ได้เลยสักอย่างครับไอกับข้าวที่ผมทำ ๆ ไว้หนะ) จนสุดท้ายเมื่อพลังงานหมดผมก็ไปนอนแหมะบนโซฟาเปิดโฮมเทียเอเตอร์ในห้องพี่ศิดูหนังอย่างสบายอารมณ์ ส่วนเรื่องทำความสะอาดครัวหนะเหรอครับ…ยกให้เป็นหน้าที่ของพี่ศิเขาไปเรียบร้อยแล้วครับ


ทุกคนอย่าว่าผมนิสัยไม่ดีนะผมบอกพี่ศิว่าจะช่วยพี่เขาแล้วแต่พี่เขาก็ไม่ยอมให้ผมช่วย เหตุผลน่าจะมาจากการที่ผมทำจานในห้องพี่ศิแตกไปหลายใบและไม่รวมแก้วน้ำที่แตกไปอีก แหะ ๆ ขอโทษทีนะครับพอดีมือมันลื่นไปหน่อยเลยทำร่วงแตกไปซะหลายชิ้น


เรื่องของเมื่อวานมันก็มีเท่านี้ละครับไม่มีอะไรมากกว่านี้ อ่อ! ผมเล่าเพิ่มอีกอย่างนึงให้พวกคุณฟังก็แล้วกันนะครับหลังจากที่ผมนอนดูหนังอยู่ที่โซฟาผมก็เผลอหลับไปและตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวันนึงเลยครับ (ไม่ต้องจิ้นกันไปนะครับว่าผมโดนพี่ศิอุ้มไปนอนบนเตียงหรืออะไร คือทั้งผมและพี่ศิก็นั่งหลับและนอนหลับคาโซฟาด้วยกันทั้งคู่นั่นละแต่เป็นโซฟาคนหละตัวกันนะครับ) และเมื่อผมตื่นผมก็วิ่งแจ้นกลับห้องของผมไปและจัดการกับตัวเองจนอยู่ในสภาพเรียบร้อยแบบนี้ไงหละครับ เรื่องของเมื่อวานมันก็มีเท่านี้หละครับ


ตอนนี้ผมยืนรอพี่ศิอยู่หน้าห้องของพี่เขาซึ่งผมก็ทำตัวเป็นผู้มาเยือนที่ดีโดยการเปิดประตูเข้าไปในห้องของพี่ศิโดยที่ไม่ขออนุญาตพี่เขาเลยครับ (เห็นไหมหละผมเป็นคนดีขนาดไหนเจ้าของห้องบอกว่าให้ผมเข้ามาได้อย่างไม่ต้องเกรงใจผมก็ทำตามคำพูดของเจ้าของห้องทุกอย่างเลยครับโดยการเดินดุ่ม ๆ เข้ามาในห้องแบบไม่เกรงใจเจ้าของห้องที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เลยครับ)


“พี่ศิเสร็จยังเนี่ยกรรอนานแล้วนะ” ผมตะโกนตามพี่ศิที่ยังคงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปกอดอกเอาไหล่พิงประตูที่หน้าห้องนอนของพี่ศิเขา


ซึ่งการกระทำของผมก็เป็นการเร่งพี่เขาไปในตัวนะครับและไม่นานเกิดรอพี่ศิก็แต่งตัวและเก็บของที่จะเตรียมพร้อมไปนอนค้างคืนเสร็จเรียบร้อยแล้วหละครับ


“เสร็จแล้วครับกรไม่ต้องเร่งพี่ขนาดนั้นก็ได้” เสี้ยงทุ้มหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับเดินมาหาผมที่ยืนพิงประตูอยู่


“เสร็จแล้วแน่นะพี่ศิงั้นไปกันเลย” ผมกำลังจะก้าวเดินออกจากประตูห้องไปแต่ผมก็ไม่ทันที่จะได้ก้าวเดินออกไปมือกร้านของพี่ศิก็รั้งแขนผมไว้พร้อมกับถามคำถามหนึ่งออกมา “ไปรถพี่หรือรถกรครับ” พวกคุณไม่ต้องคิดว่าผมเป็นคนดีบอกพี่ศิไปว่า ‘ไปรถของกรเถอะเดี๋ยวกรขับเอง’ คำ ๆ นี้ไม่มีทางหลุดออกมาจากปากของผมแน่นอนครับ


“ไปรถพี่ศิดิ พี่ศิขับด้วยนะเดี๋ยวกรบอกทางให้” ผมเอ่ยตอบพร้อมกับโบ้ยหน้าที่ขับรถให้พี่ศิขับ ซึ่งพี่ศิก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธแถมยังตอบรับคำพูดผมด้วยรอยยิ้มเสียด้วย


“ครับกรเดี๋ยวพี่ขับให้” ผมปรายตามองพี่ศิที่ยังคงยิ้มหน้าระรื่นก่อนจะเดินนำออกจากห้องของพี่เขาไป ผมสาวเท้าเดินตรงไปที่ลิฟท์พร้อมกับกดลิฟท์เพื่อนที่จะลงไปยังลานจอดรถ


เมื่อบานประตูลิฟท์เปิดออกผมก็เดินนำพี่ศิเขาไปในตัวลิฟท์และกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้เพื่อให้พี่ศิที่เพิ่งออกจากห้องวิ่งเข้ามาในลิฟท์ได้ทันผมยืนมองพี่ศิลอคประตูห้องตัวเองสักพักหนึ่งไม่นานนักร่างสูงก็ค่อย ๆ เดินตรงและก้าวเท้าเข้ามาในลิฟท์ บานประตูลิฟท์ปิดลงและค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงไปยังลานจอดรถที่จอดรถคันหรูของพี่ศิ


หลังจากที่พวกเราสองคนเดินออกมาจากลิฟท์ผมก็เดินนำพี่ศิไปยังรถของพี่เขา (พี่ศิขับรถไปรับไปส่งผมจนผมจำรายละเอียดรถของพี่เขาได้ทุกส่วนแล้วครับเรียกได้ว่าผมนั้นจะเป็นเจ้าของรถแทนพี่ศิเขาแล้วหละครับ) เมื่อเราทั้งสองคนเดินมาถึงตัวรถพี่ศิก็จัดการกดรีโมตเพื่อปลดลอคประตูออก ซึ่งทันทีที่ประตูถูกปลดลอคผมก็เปิดประตูและย้ายก้นของตัวเองลงไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับทันที การกระทำของผมทำให้พี่ศิอมยิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไรในรอยยิ้มของพี่ศิหรอกครับผมรู้ว่าพี่เขาเป็นคนรวยรอยยิ้ม ผมทำอะไรนิดอะไรหน่อยพี่แกก็ยิ้มออกมาแล้วหละครับ ผมนั่งรอพี่ศิในรถสักพักไม่นานนักพี่ศิก็ก้าวเข้ามานั่งในที่นั่งของคนขับ ผมกับพี่ศิหยิบเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้ก่อนที่รถคันหรูจะสตาร์ทขึ้นและทะยานตัวออกไปจากลานจอดรถ


ทุกท่านคงสงสัยสินะครับว่าผมจะพาพี่ศิไปไหนมันเป็นที่ ๆ ทุกคนคาดไม่ถึงหรอกครับเพราะสถานที่ที่ผมจะพาพี่ศิไปมันก็คือร้านเบเกอรี่ของบ้านผมนั่นและ (และมันก็เป็นบ้านของผมด้วยครับ)


ผมบอกทางใหพี่ศิขับรถไปซึ่งพี่ศิก็ขับตามไปอย่างว่าง่ายโดยที่พี่เขาก็ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางที่ผมจะพาพี่เขาไป ไอผมหละสงสัยว่าถ้าเกิดมีใครมาหลอกให้พี่ศิขับรถไปนั่นมานี่พี่ศิแกจะยอมว่าง่ายแบบนี้ไหม แต่ก็นะผมมันเป็นน้องชายคนสนิทพี่แกเลยว่าง่ายขับตามยอมไปไหนมาไหนกับผม แต่สำหรับคนอื่นพี่แกคงจะระวังตัวมากกว่านี้หละมั้งครับ


ผมบอกทางให้พี่ศิขับตามไปไม่นานนัก (ราว ๆ สัก 45 นาทีได้ครับ) เราทั้งสองคนก็มาถึงจุดหมายเรียบร้อยแล้วครับ เบื้องหน้าของเราทั้งสองเป็นร้านเค้กตกแต่งสไตล์วินเทจ บริเวณหน้าร้านจัดเป็นสวนเล็ก ๆ และมีชุดโต๊ะเก้าอี้วางอยู่สามสี่ชุด ตรงจุด ๆ นี้ทางคุณม๊าของผมบอกว่าเอาไว้ให้ลูกค้าที่อยากชื่นชมดื่มดำกับธรรมชาติเวลากินเค้กครับ


ซึ่งไอตอนที่คุณม๊าจะจัดตรงส่วนนี้ผมก็เถียงกับคุณม๊าแกยกใหญ่เพราะผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครอยากมากินเค้กแล้วทนนั่งร้อนอยู่ทางด้านนอกหรอกครับ (เพราะถ้าเป็นผมผมขอเดินเข้าไปกินในร้านตากแอร์ให้เย็นสบายดีกว่า) ซึ่งศึกระหว่างคุณม๊าและผมใครชนะก็อย่างที่เห็นครับ ความจริงผมไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้นะแต่ผลการโหวตภายในบ้านผมดันแพ้คุณม๊าไปสองคะแนนเพราะคุณม๊าแกเล่นใช้อำนาจมืดดึงให้คุณป๊าไปอยู่ฝั่งตัวเองครับ


ผลก็เลยทำให้ร้านเค้กของบ้านผมมีสวนตั้งอยู่ด้านหน้าเลยครับ ถัดจากสวนเข้าไปก็จะเป็นส่วนของตัวร้านที่ติดแอร์แล้วหละครับ
ผมรีบสาวเท้าเดินเข้าไปโดยไม่รอพี่ศิที่เดินตามหลังมา ผมพุ่งตัวเข้าไปหมายจะเปิดประตูร้านแต่เจ้ากรรมประตูหน้าร้านมันลอคสนิทและภายในร้านยังไม่มีลูกค้าเลยสักคน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ในตอนนี้ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือมันคือ 10.35 นาทีซึ่งมันยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านครับ (ร้านเค้กบ้านผมเปิดตอนเที่ยงครับ) ไอผมที่เดินไปเปิดประตูแต่ประตูมันดันไม่เปิดผมก็หน้าเสียสิครับแถมได้ยินเสียงของพี่ศิหัวเราะเบา ๆ อยู่ด้านหลังเสียด้วย แต่ผมไม่ยอมเสียหน้าหรอกครับผมคว้าพวงกุญแจออกมาแต่พวงนี้เป็นคนละพวงกับที่ผมห้องประตูคอนโดนะครับ ผมไล่หาตัวลูกกุญแจสักพักก่อนที่จะหยิบมันออกมาและไขเพื่อปลดลอคประตูที่ขวางผมอยู่ในตอนนี้


“กริ้ก” เสียงปลดลอคประตูดังขึ้นผมกับร่างของผมที่ถลาเข้าไปภายในร้าน ผมหันหลังมามองพี่ศิที่ทำหน้าตกใจแต่ผมก็ไมได้เอ่ยอะไรออกมา แต่พี่เขาก็ไม่กล้าเดินเข้ามาในร้านนะครับจนในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวและเดินออกไปลากแขนของพี่ศิให้เข้ามาในร้านขนมแห่งนี้


“ไม่ยอมเข้ามาสักทีตกใจอะไรเหรอพี่” ผมถามพี่เขาพร้อมกับเดินจูงมือพี่ศิเพื่อเดินเข้าไปหลังร้านเค้ก แต่รู้สึกว่าพี่ศิยังจะเดาไม่ออกว่าร้านเค้กแห่งนี่เป็นร้านเค้กของผมบ้านพี่ศิกระตุกมือผมให้หยุดเดิมพร้อมกับริมฝีปากหน้าที่เอ่ยคำถามที่คั้งค้างในใจตนออกมา


“กร...พาพี่มาที่ไหนเนี่ย” สิ้นเสียงของพี่ศิผมก็หันไปพร้อมกับรอยยิ้มและเฉลยข้อข้องใจให้พี่ศิฟัง “พี่ศิรู้ใช่ไหมว่าบ้านกรเปิดร้านขนมเค้ก” พี่ศิพยักหน้าตอบรับและก็ไม่ได้พูดแทรกอะไรออกมา ผมรู้สึกว่าพี่ศิเขายังรอคอยให้ผมเฉลยข้อข้องใจของเขาต่อไปอีก (พี่ศิครับผมใบ้ขนาดนี้แล้วพี่ยังไม่รู้อีกเหรอครับว่านี่ที่เป็นร้านของบ้านผม) “เฮ้อ…พี่ศิกรใบ้ขนาดนี้แล้วนะ กรเฉลยก็ได้เนี่ยร้านเค้กบ้านกรเอง”


สิ้นเสียงของผมพี่ศิแกก็แทบจะปล่อยมือออกจากกระเป๋าที่พี่แก้ใส่เสื้อผ้ามา คราวนี้ผมกลับเป็นคนหัวเราะในท่าทางตกใจของพี่ศิแทนแล้วละครับ ซึ่งผมก็ใจร้ายปล่อยให้พี่เขาตกใจอยู่แบบนั้นและเริ่มทำการลากพี่ศิเข้าไปหลังร้านซึ่งเป็นที่ที่เอาไว้ทำขนมเค้กนั่นเอง


ผมที่กำลังจูงมือพี่ศิไว้ก็ถลาเข้าไปเปิดประตูบานที่ขวางกั้นหน้าร้านกับหลังร้านไว้ ร่างของผมและพี่ศิที่ปรากฏต่อสายตาเหล่าผู้คนที่อยู่หลังร้านสร้างความประหลาดใจให้ทุก ๆ คนมาก (เพราะว่าทุก ๆ ในร้านและที่บ้านของผมเขารู้ว่าผมไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านด้วยเหตุผลส่วนตัว ซึ่งมันไมได้เกี่ยวอะไรกับคนในบ้านหรอกครับ ผมแค่ไม่อยากกลับมาเจอหน้าไอบ้าคนหนึ่งที่อยู่บ้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของผมก็เท่านั้น เรื่องนี้คุณป๊าคุณม๊าเออเรียกง่าย ๆ ว่าทั้งครอบครัวเขารู้หมดครับว่าผมมีปัญหาอะไรกับไอไฮซ์)



v
v
v
v
v
v
v

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0


แต่หลังจากที่ทุกคนในหลังร้านถลึงตามองผมกับพี่ศิทั่วทุกซอกทุกมุมคุณป๊าและคุณม๊าก็วิ่งถลามาหาผมทั้ง ๆ ที่อยู่ในชุดของปาติซิเย่ครับ


“น้องกรทำไมกลับมาที่บ้านไม่ยอมบอกคุณป๊ากับคุณม๊าหละ นี่คุณป๊ากับคุณม๊าตกใจมากเลยนะที่เห็นกรเดินเข้ามาหลังร้านแบบนี้” คุณป๊ากับคุณม๊าต่างบ่นใส่ผมกันใหญ่เพราะว่าครั้งนี้ผมไม่ได้บอกทั้งสองคนว่าผมจะกลับมาที่บ้านความจริงผมก็ตั้งใจจะบอกนั่นหละครับแต่ว่ามันบอกไม่ทันเท่านั้นเองกว่าจะนึกได้รถของพี่ศิก็มาจอดที่หน้าประตูร้านซะแล้ว


ซึ่งผมก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับคุณป๊าและคุณม๊า ก่อนจะเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อแนะนำชายร่างสูงที่ผมพามาด้วยให้ทุก ๆ คนได้รู้จัก


“คุณป๊าคุณม๊า นี่พี่ศิพี่ชายคนสนิทของน้องกร พี่ศิเขาอยู่ห้องข้าง ๆ ห้องของน้องกรอะ” ผมพูดกับคุณป๊าคุณม๊าด้วยน้ำเสียงปกติที่ใช้คุยกับท่านทั้งสอง (ซึ่งมันจะออกดูน่ารักน่าหยิกไปสักหน่อยหน่อยแต่ไอสำเนียงและวิธีพูดแบบนี้ผมไม่เคยเอาไปใช้กับคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเลยนะครับ)


คุณป๊าคุณม๊าที่เริ่มจะตั้งสติได้ก็เริ่มที่จะมองเห็นคนอีกคนที่ผมพามาด้วยทั้งสองท่านก็เปลี่ยนเป้าหมายจากผมไปเป็นว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ทันที แม้พี่ศิยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แต่พี่แกก็สามารถตั้งสติกลับมาได้ไวพอดูครับเพราะตอนนี้พี่ศิยกมือไหว้คุณป๊ากับคุณม๊าของผมพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวเองให้ทั้งสองคนได้รับฟังเป็นที่เรียบร้อบแล้วครับ


“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ผมชื่อศิรวิทย์เป็นรุ่นพี่ของกรเขาครับ แล้วพอดีห้องของผมกับกรอยู่ข้าง ๆ กันพวกเราก็เลยสนิทกันครับ” พี่ศิเอ่ยแนะนำตัวออกมาด้วยรอยยิ้มและรอยยิ้มนั้นของพี่ศิทำให้คุณป๊ากับคุณม๊าของผมประทับใจตั้งแต่แรกเห็นเลยครับเพราะทันทีที่พี่ศิพูดจบลงท่านทั้งสองก็ลืมลูกชายอย่างผมและพาพี่ศิเดินออกจากหลังร้านเข้าไปยังส่วนด้านในที่เป้ฯสถานที่ที่ตั้งบ้านของผมเอาไว้


ผมเดินตามท่านทั้งสองกับพี่ศิไปด้วยความมึนงงจนผมสงสัยว่าใครกันแน่วะที่เป็นลูกชายของบ้านนี้แต่ก็นะคุณป๊ากับคุณม๊าแกดูเหมือนจะเห่อพี่ศิกันน่าดูตอนนี้ทั้งสองคนอนุญาตให้พี่ศิเรียกพวกเขาว่าคุณป๊าและคุณม๊าแบบผมแล้วหละครับ


“นี่พ่อศิจะเรียกเราสองคนตามน้องกรมันก็ได้นะลูก คุณป๊ากับคุณม๊าไม่ว่านะ” คุณม๊าแกพูดออกมาซึ่งคำพูดแบบนั้นทำให้พี่ศิคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง และรู้สึกว่าท่านทั้งสองคนกำลังรอให้พี่ศิออกปากเรียกพวกเขาว่าคุณป๊าคุณม๊าอยู่ ซึ่งพี่ศิก็ไม่ได้ทำให้ท่านทั้งสองเสียใจริมฝีปากหนาเอื้อยเอ่ยเสียงทุ่มถูกเปร่งออกมาจากลำคอ “ขอบคุณครับคุณป๊า คุณม๊า” 


ประโยค ๆ นี้ของพี่ศิดูเหมือนจะทำให้คุณม๊าของผมแทบจะเป็นลม ทำเอาคุณป๊าของผมรีบมารับร่างของคุณม๊าผมแทบจะไม่ทัน
ไอผมอยากจะกล่าวตัดพ้อท่านทั้งสองเสียจริงแต่ก็นะ คุณป๊าคุณม๊าดูแฮปปี้กับพี่ศิก็ดีแล้วหละครับยังไงคงต้องเจอกันอีกหลาย ๆ รอบเพราะผมคงลากพี่ศิมาเลี้ยงตอบแทนที่ร้านบ้านของผมแทนแล้วหละครับ (ผมนี่ติดหนี้ค่าข้าวเข้า ข้าวเย็นเป็นพัน ๆ แล้วมั้งครับ)


และหลังจากที่สั้งสามคนคุยกระหนุงกระหนิงกันเสร็จ คุณป๊าและคุณม๊าก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าทิ้งให้ลูกชายสุดที่รักยืนอยู่นอกวงสนทนามานาน


“น้องกรจะมานอนค้างที่บ้านใช่ไหม น้องกรไม่บอกคุณม๊าก่อนคุณม๊าเลยยังไม่ได้ให้ใครไปทำความสะอาดห้องของน้องกรเลย แล้วนี่ก็ไม่ยอมบอกคุณม๊าอีกด้วยว่าจะพาศิมาคุณม๊าก็เตรียมห้องนอนแขกให้ไม่ทันอีก สงสัยคงต้องนอนห้องเดียวกันแล้วหละมั้งสองคนนี้” คุณม๊าเธอบ่นใส่ผมพร้อมกับรีบร้อนสั่งให้คนรับใช้ในบ้านไปจัดเตรียมห้องของผมไว้แต่เหมือนแกจะรู้สึกว่าถ้าจัดการทำความสะอาดสองห้องไม่ทันแน่ คุณม๊าแกก็เลยตัดสินใจมัดมือชกผมให้รับแขก (ที่ผมเชิญมาเอง) เข้ามานอนในห้องนอนของผมด้วย ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรอกครับแต่ติดที่พี่ศิเนี่ยหละว่าพี่เขาจะรับมือกับการนอนดิ้นขั้นเทพของผมได้หรือเปล่า


“ก็ได้นะคุณม๊าน้องกรไม่คิดอะไรมากหรอก น้องกรแค่กลัวว่าพี่ศิแกจะหลับได้ไหมถ้าต้องมาเผชิญกับลูกเตะของกรบนเตียงเนี่ย” ผมตอบคุณม๊าไปพร้อมกับใส่มุขไปขำ ๆ ซึ่งพี่ศิเขาก็หันมามองหน้าของผมแล้วพูดตอบออกมาว่า “ไม่ต้องห่วงนะกรพี่ได้วิธีจากน้องบาสกับน้องเจมส์มาแล้ว เราจะดิ้นแค่ไหนพี่ก็รับมือได้สบายมาก”


หลังจากผมที่ได้ยินคำตอบจากปากของพี่ศิก็ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวิธีหลากวิธีที่ไอบาสกับไอเจมส์ต่างกับช่วยสรรหากันมาให้ผมเลิกนอนดิ้น ซึ่งมันเยอะแยะมากมายมีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ ดังนั้นผมก็เลยพูดหมายหัวพี่ศิออกไปว่า “ถ้าพี่ศิทำอะไรแปลก ๆ นะ พี่ศิโดนเตะตกเตียงแน่” ซึ่งเมื่อผมพูดประโยคนี้ออกไปคุณป๊ากับคุณม๊าก็ถลาเข้ามาตีผมกันคนละทีซึ่งมันไม่เจ็บอะไรหรอกครับแต่มันน่าน้อยใจนักที่ พ่อแม่ของตัวเองดันโอ๋คนอื่นมากกว่า


“คุณป๊าคุณม๊า น้องกรเจ็บนะ” ผมพูดพร้อมทำแก้มป่องใส่ท่านทั้งสอง ซึ่งการกระทำของผมนั้นเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุก ๆ คนที่ยืนอยู่ในที่นี้


ไอผมหละงอนจริงนะครับเลยสะบัดหน้าเดินดุ่ม ๆ หนีเข้าบ้านมาเลยโดยผมปล่อยให้พี่ศิยืนคุยกับคุณป๊าและคุณม๊าอยู่นอกบ้าน
ตอนนี้ผมยืนอยู่ภายในบ้านของผมแล้วหละครับและกำลังจะเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่ผมคาดเดาว่าคุณเจ้ กับน้อง ๆ ของผมน่าจะสิงสถิตอยู่ในห้อง ๆ นั้น ผมถลาเข้าไปที่บานประตูห้องนั่นเล่นและเปิดประตูเข้าไปจนสุดแรง เหล่าพี่ ๆ น้อง ๆ ของผมทั้งสามคนหันมาตกใจกันแทบตาจะถลน ทั้งสามคนนั้นตั้งสติกันสักพักหนึ่งและเป็นคุณเจ้ของผมที่ตั้งสติได้ก่อนใครเพื่อนซึ่งสิ่งที่คุณเจ้แกทำก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากการตะโกนด่าผมออกมาชุดใหญ่


“ไอกร นี่! เจ้ดูซีรีย์เกาหลีอยู่ดี ๆ มาทำอะไรให้ตกใจหมดอยากนอนตายตอนนี้หรือไงยัง” เสียงของเจ้กิฟท์ตะคอกขึ้นพร้อมกับร่างเล็กที่ค่อย ๆ ก้าวเดินมาหมายจะตบหัวผม ซึ่งทันทีที่เจ้แกหวดมือลงมาไอผมก็หลบหนะสิครับใครมันจะบ้ายอมเจ็บตัวกันหละ
หลังจากที่ผมวิ่งหนีเจ้กิฟท์ไปสักพักเราทั้งสองคนก็หมดแรงและนอนแผ่ลงไปบนพื้นพรมของห้องนั่งเล่น งั้นตอนที่ผมหมดแรงผมขอแนะนำครอบครับของผมเต็ม ๆ เลยแล้วกันนะครับ


ครอบครัวของผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนฐานะทางบ้านค่อนข้างมีอันจะกินนิดนึงครับ ซึ่งที่บ้านของผมหนะตามที่ได้บอกไปคือเปิดร้านเค้กสไตล์วินเทจครับ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าผู้คนที่ต้องการความสงบมานั่งทำงานและสนทนาเรื่องงานกัน ในครอบครัวของผมมีอยู่ 6 คน (ซึ่งนั่นรวมผมเข้าไปด้วยนะครับ) หัวหน้าครอบครัวของผมคือคุณป๊าคมสัน แต่หน้าที่ตัดสินใจทั้งหมดในบ้านคือหน้าที่ของคุณม๊านัทชา ซึ่งอำนาจของคุณป๊ากับคุณม๊านั้นกำลังข่มกันอยู่แต่เหมือนคุณป๊าจะยอมอ่อนให้คุณ ม๊าดังนั้นในบ้านกิตติพงษ์พิพัฒน์คนที่มีอำนาจสูงสุดคือคุณม๊าครับ


ผมมีพี่น้อง 4 คนในนั้นรวมผมด้วยนะครับพี่คนโตเป็นผู้หญิงครับชื่อเจ้กิฟท์ ตอนนี้เจ้แกอายุ 23-24 แล้วจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับผมได้ 2-3 ปีแล้วครับและตอนนี้กำลังทำงานในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเจ้แก คนถัดมาคือผมครับกร แต่ผมคงไม่ต้องบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้พวกคุณฟังแล้วหละมั้งครับเพราะเหมือนว่าจะรู้ ๆ กันหมดแล้ว คนที่สามก้เป้นเด็กผู้หญิงครับชื่อยัยกิ้ก เป็นน้องสาวตัวแสบที่ผมอยากจะไล่เตะเสียให้ได้ทุกครั้งที่คุยกับมัน และตอนนี้ยัยกิ้กเรียนอยู่ม.4 ครับ คนสุดท้ายคือน้องกัซ น้องชายที่น่ารักของผมครับ น้องกัซอยู่ป.2 ครับในพี่ ๆ น้อง ๆ นี่ผมรักน้องกัซที่สุดเลยครับน้องกัซไม่เคยว่าไม่เคยบ่นอะไรผมเลยครับผิดไปกับคุณเจ้และยัยกิ้กสองคนนี้ รวมพลังกันข่มเหงผมมากเลยครับ เอาหละผมคิดว่าผมแนะนำครอบครัวของผมครบแล้วหละครับตอนนี้ทุกท่านก็รู้จักครอบครัวของผมดีแล้วและผมก็หายเหนื่อยแล้วดังนั้นผมขอกลับไปสู้รบกับคุณเจ้และยัยกิ้กก่อนนะครับ


“เฮียกรกลับบ้าน โอย! พายุเฮอร์ริเคนถล่มบ้านแน่เลยเจ้กิฟท์รีบย้ายออกจากบ้านเถอะกิ้กว่าบ้านต้องถล่มแน่ ๆ เลยอะ” ยัยกิ้กพูดพร้อมกับทำท่าจะวิ่งหนีออกจากห้องไปจนผมต้องเอามือฟสดไปที่หัวยัยกิ้กหนึ่งทีเพื่อให้มันสงบสติอารมณ์


“เฮียกลับบ้านมาไม่คิดจะต้อนรับเลยยัยกิ้ก ดูน้องกัซเป็นตัวอย่างสิน้องกัซ น้องกัซนั่งยิ้มต้อนรับเฮียกรใช่ไหมครับ” ผมพูดจบพร้อมกับถลาไปกอดน้องกัซเอาไว้แน่น แก้มของผมถูไถไปที่แก้มของน้องกัซเบา ๆ ซึ่งน้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมก็หัวเราะไปมาตามประสาเด็ก ๆ หละครับ


“เฮียกร น้องกัซคิดถึงเฮียกรครับ” อ่า…ได้ยินคำนี้ผมก็ชื่นใจครับที่เติมพลังของผมนี่คือน้องกัซจริง ๆ พวกเราส่งเสียงเอะอะโวยวายกันได้ไม่นาน คุณป๊ากับคุณม๊าก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อม ๆ กับพี่ศิ เจ้กิฟท์กัยยัยกิ้กมองคนที่เดินเข้ามาทีหลังด้วยสายตาลุกวาว แววตาของพี่สาวและน้องสาวของผมนี่ระยิบระยับมากแถมยังจ้องพี่ศิจนแทบทะลุไอผมนี่ก็อยากจะเข้าไปบอกคุณเจ้กับยัยกิ้กว่าเก็บอาการหน่อยเถอะครับ ก่อนที่พี่ศิเขาจะหนีไปเพราะสายตาของคุณเจ้กับยัยกิ้ก


แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะพี่สาวและน้องสาวของผมถลาเข้าไปทำความรู้จักกับพี่ศิเรียบร้อยแล้ว


“สวัสดีจ้านี่เป็นเพื่อนของไอ…เอ้ย…น้องกรเหรอคะ งั้นก็เป้นน้องของพี่ พี่ชื่อกิฟท์นะจะ” เจ้กิฟท์ถลาเข้าไปแนะนำตัวคนแรกและตามด้วยยัยกิ้กที่แนะนำตัวเป็นคนที่สอง


“สวัสดีค่ะหนูชื่อกิ้กค่ะ พี่น้องสาวของเฮียกรยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เมื่อยัยกิ้กพูดจบเธอก็แสร้งทำท่าเขินอายและบิดตัวไปมา ซึ่งพี่ศิก็ยิ้มตอบรับให้ทั้งสองคนนะครับพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สุภาพว่า “สวัสดีครับผมเป็นรุ่นพี่ของน้องกรชื่อศิรวิทย์ครับ” พี่ศิพูดพร้อมกับโปรยรอยยิ้มพิมพ์ใจซึ่งคุณเจ้กับยัยกิ้กแทบจะเป็นลมสลบมันอยู่ตรงนั้น


ผมหละอยากจะบ้ากับพี่สาวน้องสาวของผมจริง ๆ ดังนั้นผมก็เลยเดินจูงมือน้องกัซเข้าไปหาพี่ศิพร้อมกับลากทั้งสองคนขึ้นห้องนอนของผมทันที แต่ก่อนที่ผมจะได้ลากพี่ศิขึ้นห้องผมก็หันมาแลบลิ้นใส่สาว ๆ ทั้งสองคนและรีบวิ่งปรี่ขึ้นไปทันที เพราะว่าถ้าขืผมอยู่ต่อผมอาจจะตายด้วยน้ำมือยัยกิ้กกับเจ้กิ้ฟท์ก็เป็นได้ครับ


ทันทีที่ผมลากทั้งสองคนไปที่หน้าห้องของผมผมก็เปิดประตูและโญนทั้งสองคนเข้าไปในห้องและรีบปิดลอคทันที ผมหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับถลาตัวไปนอนบนเตียง คราวนี้หละเราจะได้คุยกันตามประสาลูกผู้ชายกันสักที “พี่ศินี่น้องกัซน้า น้องกัซเป็นน้องชายสุดที่รักของกร น้องกัซครับไหว้พี่ศิเขาสิครับ” ผมบอกให้น้องกัซยกมือไหว้พี่ศิเขา ซึ่งน้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมก็ทำตามที่ผมบอกครับ น้องกัซพนมมือขึ้นแล้วโค้งตัวไหว้อย่างสวยงามก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งรอยยิ้มไปให้พี่ศิ (เฮียกรเป็นปลื้มน้ำชายของเฮียไหว้ได้สวยมาก)


“สวัสดีครับน้องกัซพี่ชื่อศิรวิทย์นะเรียกพี่ว่าพี่ศิก็ได้นะครับน้องกัซ” พี่ศิพูดแนะนำตัวออกไปอีกครั้งแต่น้องกัซดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากเรียกพี่ศิว่าพี่ศินัก น้องกัซเลยขอเรียกพี่ศิว่าเฮียศิเหมือนกับที่เรียกผมว่าเฮียกรซึ่งพี่ศิก็อนุญาตให้น้องกัซเรียกแบบนั้น ไอผมนี่อยากจะบ่นใส่พี่แกจริง ๆ เลยว่าพ่อคุณดี พ่อคนประเสริฐ แต่กลัวว่าจะโดนพี่ศิเอาอะไรฟาดหัวอีก (เหมือนตอนติวสอบให้) ผมก็เลยสงบปากสงบคำของตัวเองเอาไว้


เราทั้งสามคนคุยกันไปอีกสักพักจนตอนนี้เวลานั้นผ่านไปร่วม 2 ชั่วโมงแล้วหละครับและตอนนี้ร้านเค้กของบ้านผมก็ได้เปิดทำการเรียบร้อยแล้วหละครับ ผมเลยชวนน้องกัซกับพี่ศิลงไปที่ร้านเพื่อว่าจะได้ขนมอะไรติดมือขึ้นมากินบนห้องบ้าง


“พี่ศิ น้องกัซหิวหรือยังครับลงไปหาขนมกินกันเถอะ” ซึ่งผมก็ถามทั้งสองคนไปงั้น ๆ เพราะต่อให้เขาไม่ตกลงผมก็จะลากทั้งสองคนลงไปหาขนมกินอยู่ดี ซึ่งดีหน่อยที่พี่ศิและน้องกัซพยักหน้าตอบรับผมผมเลยทำตัวเป็นแม่เป็ดเดินนำพี่ศิและน้องกัซลงไปด้านล่างและด้านล่างก็มีคุณเจ้และยัยกิ้กยืนขวางไว้อยู่ทั้งสองจ้องผมตาขวางแต่ด้วยคนที่เดินตามหลังผมมาคือพี่ศิทั้งสองคนก็เปลี่ยนท่าทีเป็นพี่สาวและน้องสาวผู้รักพี่ร้กน้องทันที ไอผมนี่ขนลุกชันไปทั้งตัวก่อนจะบอกคุณเจ้และคุณน้องสาวของผมไปว่า “คุณเจ้ ยัยกิ้กพี่ศิได้ยินกิตติศักดิ์ของคุณเจกับคุณน้องสาวหมดแล้วครับไม่ต้องแอ๊บ”


สิ้นประโยคที่ผมพูดทั้งสองสาวก็แทบจะวิ่งเข้ามาแพ่นกระบาลผมทันทีซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะให้ผมพี่ศิ และทุก ๆ คนที่ยืนอยู่ในที่นี้ทั้งหมด ตอนนี้เพื่อนร่วมทางการไปขโมยขนมที่ร้านของคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชาก็เพิ่มขึ้นจากสามคนเป็นห้าคนเรียบร้อยแล้วครับ


ซึ่งพวกผมก็วางแผนกันอยู่พักใหญ่ว่าเราจะไปแอบยกถาดขนมเค้กจากในร้านกันยังไงดี (ความจริงเดินเข้าไปขอก็ได้ครับแต่ผมอยากทำอะไรน่าตื่นเต้น ๆ เท่านั้นเอง) จนได้ข้อสรุป คุณเจ้กับคุณน้องสาวตกลงกันว่าจะไปเบี่ยงเบนความสนใจของคุณป๊าและคุณม๊า ส่วนผมกับพี่ศิเป็นคนเข้าไปขโมยเค้กจากในร้านแล้วน้องกัซเหรอครับ น้องกัซเป็นตัวล่อเวลาผมกับพี่ศิโดนจับได้ยังไงหละจะได้มีเวลาหนีกันทัน และเมื่อทุกคนตกลงและรับรู้หน้าที่แล้วพวกเราก็เริ่มแผนการกันได้แล้วหละครับ


ตอนนี้ผมนั่งแอบอยู่ข้าง ๆ ร้านกับพี่ศิครับซึ่งตอนนี้คุณเจ้กับคุณน้องสาวกำลังเดินเข้าไปตะล่อมคุยกับคุณม๊าและคุณป๊าที่ยืนคุมร้านอยู่ซึ่งเมื่อคุณป๊ากับคุณม๊าตายใจคุณเจ้ของผมเธอก็จะส่งซิกให้ผมกับพี่ศิวิ่งเข้าไปขโมยถาดเค้กครับ


ซึ่งตอนนี้ผมกับพี่ศินั่งรอมาสิบนาทีจนตอนนี้คุณเจ้ของผมก็เริ่มส่งซิกให้ผมกับพี่ศิแล้วครับเราทั้งสองคนเดินย่องเข้าไปในร้าน ภารกิจนี้ของเราห้ามให้มีใครเห็นเราสองคนครับ (ความจริงเห็นไปก็ไม่เสียหายอะไรครับผมแค่อยากสร้างสถานการณ์ตื่นเต้นให้กับชีวิตเท่านั้นเองหละครับ) ผมค่อย ๆ คลานลงกับพื้นพร้อมกับจับมือของพี่ศิให้คลานตามมา (ทุกท่านคงสงสัยว่าทำไมผมถึงมาทำอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้ นาน ๆ ผมจะกลับมาที่บ้านทีครับดังนั้น…ผมขอเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ สักหน่อยซึ่งผมไม่รู้หรอกครับว่าพี่ศิอยากเล่นด้วยหรือเปล่าแต่ที่รู้ ๆ คือผมอยากเล่นครับ) ตอนนี้ผมกับพี่ศิอยู่ในห้องครัวและหลบอยู่ในซอก ๆ หนึ่งของห้องครัวครับผมพยายามชะโงกหน้าออกไปมองคุณเจ้และคุณน้องสาวที่กำลังจะพาคุณป๊ากับคุณม๊าไปหน้าร้าน ซึ่งทั้งสองคนทำสำเร็จครับผมก็เลยก่ะว่าจะหันกลับไปหาพี่ศิเพื่อเรียกให้พี่ศิเขาออกทำภารกิจแต่ทันทีที่ผมหันกลับไปหาพี่ศิ ปลายจมูกของผมก็เกือบจะชนกับปลายจมูกของพี่ศิใบหน้าคมกับใบหน้าของผมมันอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ริมฝีปากของผมเม้มแน่น ก่อนสายตาจะไล่ขึ้นไปมองที่นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่ในกรอบแว่นสีดำสนิทของพี่ศิ แววตาของพี่เขาที่ส่งผ่านมานั้นผมไม่รู้ความหมายของมันผมไม่รู้ว่าดวงตาคู่นั้นแสดงความรู้สึกอะไรอยู่ แต่ผมรู้ว่าในตอนนี้ตัวของผมนั้นหน้าแดงก่ำไปด้วยความเขินและหัวใจของผมก็เต้นแรงมาก…มากพอที่จะทำให้พี่ศิได้ยินด้วยเช่นกัน


เราทั้งสองคนจ้องตากันอยู่แบบนี้ไปอีกสักพักไม่นานนักบานประตูที่ขวางระหว่างห้องครัวกับหน้าร้านก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคุณเจ้และคุณน้องสาวของผมที่เดินกลับเข้ามาหลังร้านเสียงปิดประตูของทั้งสองคนทำให้ผมสะดุ้งและเบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาของพี่ศิ สติของผมกลับคืนมาและผมยังคงทำภารกิจขโมยขนมเค้กต่อไปแต่ภายในใจของผม…มันกับไม่ได้ไปจดจ่ออยู่ที่ขนมเค้กแล้วหละครับเพราะว่าในตอนนี้ภายในสมองของผมกลับคิดถึงแต่ดวงตาที่พี่ศิมองมายังผม พร้อมกับลมหายใจร้อน ๆ ที่พวกเราทั้งสองคนหายใจรดกัน


ริมฝีปากของเราห่างกันแค่คืบและในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าพี่ศิเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาใกล้ ๆ ผมเพื่อที่จะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของผม




_______________________________


เจอกันใหม่นะคะ จุบ ๆๆ

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :hao6: จุ๊บเลยพี่ศิ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ภารกิจระดับชาติเลยนะ
แหมะขโมยเค้กระวังโดนตีน่าน้องกร

ออฟไลน์ yymomo

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-3
 :m20:  ขโมยของกินกันเนี่ยนะ  ว่าแต่ทำไมพี่ศิไม่จับปล้ำ เอ๊ย จับจุ๊ฟๆๆๆไปเลย  :katai1:

ออฟไลน์ kongxinya

  • Skt KS
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
พี่ศิ จูบเลย จูบเลยยยยยยยยย   :hao7:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
จุ๊บเลย จุ๊บเลย จุ๊บจุ๊บ
มึนๆนะกร พาพี่ศิมาบ้านซะงั้น

ออฟไลน์ karatop

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 162
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
แอบมาอ่านรวดเดียว น่ารักมาก ^^" รอครับ

ออฟไลน์ S_oKiss

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0




Chapter 14



ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาออกมาจากห้องครัวของร้านได้ยังไง เพราะสิ่งที่ผมรับรู้ได้ในตอนนี้คือใบหน้าห่างกันแค่คืบของผมกับพี่ศิพร้อมกับลมหายใจร้อน ๆ ของเราสองคนที่หายใจรดกัน จะให้พูดยังไงดีหละครับเอาเป็นว่าในตอนนั้นและตอนนี้สติของผมที่หลุดลอยไปยังไม่กลับเข้าสู่ร่างของผมเลยหละครับ


ในสมองของผมได้แต่คิดซ้ำไปซ้ำผมกับภาพพวกนั้นเข้ามาวนลูบในสมองของผม จะให้ผมพูดยังไงดีหละครับ ผมไม่พอใจเหรอ ผมขอปฏิเสธครับผมไม่ได้ไม่พอใจ รังเกียจเหรออันนี้ก็ขอปฏิเสธอีกเช่นกันครับผมไม่ได้รังเกียจพี่ศิ หรือว่ามันจะเป็นความรู้สึกเขินอาย…บางทีมันอาจจะเป็นความรู้สึกนี้ก็ได้มั้งครับ


อาการหัวใจเต้นแรงและอยากจะหลบสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมามันอาจจะเป็นอาการของคนที่กำลังเขินอยู่ก็ได้หละมั้ง
ผมก้มหน้าก้มตาทานเค้กอยู่เงียบ ๆ โดยที่น้องกัซนั้นคั่นกลางระหว่างผมกับพี่ศิไว้ ผมพพยายามที่จะทำตัวให้เป็นปกติแต่ไม่รู้สิครับเวลาที่ผมหันไปมองหน้าพี่ศิหรือเหลือบตามองไปยังพี่เขาผมก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาซะอย่างงั้น ซึ่งมันเป็นปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดมากครับ


อาการแบบนี้ผมไม่เคยเป็นมาก่อนเลยครับ ไอใจผมก็อยากจะโทรไปปรึกษาไอสองสหาย หรือกานต์นะครับแต่เกรงว่าจะไปรบกวนพวกเขาเข้าเพราะนี่ก็เป็นช่วงเวลาปิดเทอมแต่ละคนก็มีสถานที่ที่ตัวเองอยากเที่ยวกับครอบครัว หรือเที่ยวกับคนสำคัญผมจึงได้แต่เก็บงำความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ไว้ภายในใจโดยที่ไม่สามารถปรึกษาหรือระบายให้ใครฟังได้


‘เอาไว้มีโอกาสค่อยปรึกษาไอพวกนั้นก็แล้วกัน’ ผมพึมพำมเบา ๆ แต่รู้สึกว่ามันจะเสียงดังเกินไปสักหน่อยจนทำให้พี่ศิที่นั่งถัดจากน้องกัซ (จากตำแหน่งที่ผมนั่งพี่ศิกับผมจะถูกขั้นกลางด้วยน้องกัซครับ) เบนสายตาจากซีรีย์เกาหลีบนหน้าจอทีวีให้หันมามองที่ผม


ไอผมก็สะดุ้งสุดตัวเลยสิครับจากตอนแรกที่รู้สึกแปลก ๆ เวลามองพี่เขา คราวนี้เพิ่มมาอีกอาการแล้วหละครับมันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดภายในใจในตอนที่โดนพี่ศิจ้องมอง หัวใจของผมยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ แรงขึ้นมาจนผมคิดว่าผมจะหัวใจวายได้เสียตอนนี้ แต่อาการพวกนี้ของผมก็ถูกขัดด้วยเสียงของน้องกัซที่พูดพร้อมรอยยิ้มว่า


“เฮียกร เฮียศิ น้องกัซอยากกินสตอเบอร์รี่” น้องกัซกระโดดตัวออกจากโซฟาพร้อมกับหันหน้าเข้ามาหาผมกับพี่ศิ ที่น้องกัซพูดใส่ผมกับพี่ศิแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะสตอเบอร์รี่ที่วางอยู่บนครีมเค้กในชิ้นของผมกับพี่ศิ ยังไม่ถูกแตะต้องอะไรเลยครับ ซึ่งสตอเบอร์รี่นี่เป็นผลไม้โปรดของน้องกัซครับผมจึงส่งยิ้มกลับไปให้น้องกัซและตักสตอเบอร์รี่บนชิ้นเค้กของตัวเองส่งไปให้น้องกัซครับซึ่งพี่ศิก็ทำเช่นเดียวกับผมครับ (ตายหละพี่ศิคนอะไรใจดี้ ใจดีแถมยังรักเด็กอีก)


น้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมก็ดีใจใหญ่ครับดีใจจนวิ่งไปหาคุณเจ้กับคุณน้องสาวที่กำลังนั่นดูซีรีย์เกาหลีอยู่หน้าโฮมเทียเอเตอร์ และหลังจากน้องกัซเดินจากไปบนโซฟาก็เหลือแต่ผมกับพี่ศิเท่านั้นครับ ซึ่งผมที่ยังคงมีความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจก็ไม่กล้าที่จะพูดหรือชวนคุยอะไรออกไป ส่วนพี่ศิก็ตีหน้าขรึมไม่ยอมพูดอะไรออกมาเช่นกัน เราทั้งสองคนยังคงนั่งเงียบใส่กัน จนกระทั้งคุณน้องสาวและคุณเจ้ของผมดูซีรีย์เกาหลีจนจบ เธอทั้งสองคนหันหน้ามามองพวกผมด้วยสายตางุนงง แต่พวกเธอก็สงสัยไม่ได้นานครับรอยยิ้มเป็นประกายที่ไม่น่าไว้ใจของทั้งสองคนก็ผุดขึ้นที่มุมปากและพร้อมใจกันจูงมือพาน้องกัซออกไปจากห้อง โดยพวกเธอทิ้งให้ผมกับพี่ศินั่งอยู่ภายในห้องนี้กันเพียงสองคน (กับเค้กอีกครึ่งก้อน)


เอาหละครับคราวนี้ห้องทั้งห้องยิ่งเงียบสนิทเลยครับ ในตอนแรกที่มันยังคงมีเสียงของซีรีย์เกาหลีดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่นี่ทีวีก็ปิดไปแล้ว แถมคนในห้องทั้งสองคนก็ไม่คิดจะเอ่ยปากพูดกัน ผมขอสรุปสถานการณ์ตอนนี้เลยนะครับว่ามันอึดอัดแบบขั้นสุดยอดไปเลย


ผมไม่พูดและพี่ศิก็ไม่คิดจะพูด ซึ่งทุกท่านก็คงรู้ดีนะครับว่าผมนายรณกรเป็นบุคคลที่มีความต้านทานต่อความเงียบต่ำมาก ซึ่งตอนนี้ความอดทนของผมนั้นกำลังจะหมดไปแล้วหละครับ มือทั้งสองข้างผมกำแน่นพพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่นจนเกือบจะเรียกได้ว่าผมกำลังกัดริมฝีปากของตัวเองอยู่แล้วหละครับ


แต่ดูเหมือนพี่ศิจะสังเกตเห็นว่าผมกำลังกำมือของตัวเองแน่นพร้อมกับกัดริมฝีปากตัวเองไปด้วยจนพี่ศิเขาเขยิบเข้ามาใกล้และจับมือข้องผมไปนวดเบา ๆ เหมือนกับว่าพี่ศิกำลังพยายามทำให้ผมผ่อนคลายอยู่


“อย่ากำมือแน่นสิกรเดี๋ยวเล็กก็จิกเข้าไปในเนื้อหรอก ถึงมันจะไม่เป็นแผลแต่ก็ทำให้เราเจ็บได้นะ” เสียงของพี่ศิเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนทั้งมือแกร่งที่คอยนวดเบา ๆ ที่มือของผม


ผมไม่อยากจะบอกครับว่ายิ่งพี่ศิทำแบบนี้ผมยิ่งสติแตกใบหน้าของผมที่ในตอนแรกน่าจะหายแดงแล้วตอนนี้กับร้อนผ่าวและขึ้นสีแดงเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง ไอใจผมก็อยากจะชักมือออกจากมือพี่ศิแล้วกระเถิบหนีพี่เขาไปอีกฝากของโซฟา แต่อีกใจก็คิดว่าปล่อยไว้แบบนี้หละดีแล้ว


ความคิดสองความคิดของผมต่างตีกันไปตีกันมาจนกระทั้งพี่ศิปล่อยมือข้างนั้นของผมและเอื้อมไปสัมผัสมืออีกข้างของผมจนทำให้ผมสะดุ้งออกมาเบา ๆ พี่ศิหัวเราะในท่าทางของผมน้อย ๆ ก่อนจะนวดมืออีกข้างของผมอย่างแผ่วเบา


ซึ่งการกระทำแบบนี้ของพี่ศิทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจากความคิดและความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหล่านั้น ผมยิ้มน้อย ๆ ตอบพี่ศิไปก่อนจะเอนศีรษะของตัวเองลงไปซบที่บ่าของพี่ศิและยังคงปล่อยให้พี่เขาถือวิสาสะจับมือผมนวดเบา ๆ ต่อไป


เราทั้งสองคนยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่นเล่นกันต่อไปจนไม่รู้เวลามันผ่านไปเท่าไหร่แล้ว และเค้กที่วางตรงหน้าของพวกเราตอนนี้ก็โดนผมกับพี่ศิจัดการทาน (และเล่นบ้าง) กันไปจนเกือบจะหมดแล้วหละครับ ผมยังคงเอนหัวซบบนบ่าของพี่ศิส่วนพี่ศิก็ยังคงนั่งนิ่ง ๆ ให้ผมซบบ่าของเขา ทว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากนั้นนั่นก็คือฝ่ามือของผมกับพี่ศิยังคบกอบกุมกันอยู่นิ้วมือของเราสอดประสานกันแน่น


จะให้ผมบรรยายความรู้สึกหนะเหรอครับว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร…ผมขอบอกเลยว่าแม้ในตอนนี้ผมจะมีอาการใจเต้นแรงและความรู้สึกแปลก ๆ อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกอุ่นใจและสบายใจมากขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ


แต่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าความรู้สึกและอาการแปลก ๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นมาจากว่าที่นายแพทย์ศิรวิทย์ หิรัณศิริและมันก็สามารถรักษาให้หายได้โดยว่าที่นายแพยท์ศิรวิทย์คนนี้เช่นกัน


ผมหลับตาลงทั้ง ๆ ที่ยังคงเอนหัวของตัวเองไปพิงกับบ่าของพี่ศิอยู่แบบนั้น ในตอนนี้ผมรู้สึกสบายใจและอบอุ่นในหัวใจแล้วมากพอตัวเลยหละครับ


ผมไม่รู้ว่าตัวของผมและพี่ศินั้นเผลอหลับกันไปตั้งแต่กี่โมง แต่ที่ผมรู้ว่านาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังมันบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้วหละครับ ซึ่งคนที่มาทำหน้าที่ปลุกผมก็คือคุณเจ้ คุณน้องสาว และน้องกัซนั่นเอง


“กรตื่นไปกินข้าวเย็นได้แล้ว อ่อพี่ศิด้วยนะคะคุณป๊าคุณม๊าเตรียมข้าวเย็นไว้ให้แล้ว” ในประโยคแรกคุณเจ้พูดกระแทกเสียงใส่ผม ส่วนประโยคหลังที่อ่อนหวานน่าฟังนั้นคุณเจ้แกพูดให้กับพี่ศิครับ ผมกับพี่ศิต่างง่วงเงียและยกมือขึ้นมาขยี้ตา แต่ในขณะที่ผมจะลุกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งของผมรู้สึกจะไปติดกับอะไรสักอย่างการที่ลุกขึ้นอย่างแรงแบบนั้นทำให้ผมเซตัวล้มลงไปนั่งที่เดิมทันทีผมหันซ้ายไปเพื่อจะมองว่ามือของผมนั้นติดอะไรอยู่พลันใบหน้าของผมก็ขึ้นสีอีกครั้งพร้อมกับพยายามแกะมือของผมกับพี่ศิให้ออกจากกัน


การะกระทำของผมทำให้คุณเจ้และคุณน้องสาวลอบหัวเราะคิก ๆ คัก ๆ กัน แต่สุดท้ายพวกเธอก็พยายามกลั้นหัวเราะและพาน้องกัซออกจากห้องไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้พวกเธอสองคนโผล่หน้าเข้ามาพูดใส่ผมกับพี่ศิว่า “พี่ศิ/น้องศิ ค่ะที่มาวันนี้อย่าบอกนะว่าจะมาขอ ไอกร/เฮียกร จากคุณป๊าคุณม๊าหนะ” สิ้นเสียงของทั้งสองคนผมก็ใช้เวลาประมวลผลอยู่สักหน่อยแต่ทันทีที่สติผมกลับคืนมาสู่ร่างผมก็แทบจะเอาหมอนอิงทั้งหมดในห้องปากใส่สองสาวที่วิ่งหนีไปพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก


“บ้าไปแล้ว! นี่พี่ชายเว้ยพี่ชาย พี่ศิพี่เป็นพี่ชายของกรใช่ไหม” ผมพูดตะคอกออกไปพร้อมกับหันกลับมาถามพี่ศิเพื่อหาลูกคู่ ซึ่งพี่ศิก็พยักหน้าตอบรับผมเบา ๆ แต่ในแววตาที่พี่เขาจ้องมองมาที่ผมนั้น กลับแทรกไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจอย่างแปลกประหลาด และเมื่อผมเห็นแววตาแบบนั้นของพี่ศิผมก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ซ้ำมันก็ยังทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาอีกด้วย


ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปนั้นมันผิดอะไรรู้เพียงแต่ความมันเป็นประโยคที่ทำร้ายพี่ศิและมันก็ทำร้ายผมด้วยเช่นกัน ไม่รู้สินะครับเมื่อผมเห็นแววตาแบบนั้นของพี่ศิผมก็รู้สึกเจ็บปวดในใจเบา ๆ อย่าไม่รู้สาเหตุ บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เราทั้งสองเงียบใส่กันแต่ในที่สุดความเงียบงันนั้นก็ถูกทำลายด้วยเสียทักทาย และเสียงบ่นของคุณป๊าและคุณม๊าที่กลับมาจากร้าน


“น้องกร น้องศิอยู่ไหนกันออกมาต้อนรับคุณป๊าหน่อยเร็ว” เสียงของคุณป๊าพูดขึ้นพร้อมกับเดินเปิดประตูห้องนั่งเล่นเข้ามา และร่างที่เดินตามหลังคุณป๊าคมสันก็คือร่างของคุณม๊านัทชาที่พูดบ่นเรื่องที่ผมแอบเข้าไปขโมยขนมเค้กในร้าน “น้องกรนี่เล่นอะไรอีกแล้วใช่ไหมเนี่ยคุณม๊านึกว่าเค้กหายไปไหนมาอยู่นี่นี่เอง เดี๋ยวคุณม๊าจับน้องกรตีซะเลย”


เสียงของคุณม๊าพูดกลั้วหัวเราะความจริงแล้วคุณม๊าไม่ได้โกรธอะไรหรอกครับ เท่านก็แค่บ่นไปอย่างงั้นเองซึ่งปกติทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้านจะมีภารกิจขโมยขนมของร้านแบบนี้ประจำจน คุณป๊ากับคุณม๊าแกจับไต๋ได้แล้วหละครับแต่บางทีก็มีการลืมเพราะผมก็กลับบ้านมานาน ๆ ทีครับ


สิ้นเสียงของคุณป๊าและคุณม๊าผมก็ถลาไปกอดเองท่านทั้งสองทันทีซึ่งภาพนี้ทำให้พี่ศิที่ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาอมยิ้มออกมาน้อย ๆ (แต่แววตาของพี่เขาก็ยังมีความรู้สึกเศร้าแฝงอยู่) พี่ศิลุกขึ้นก่อนจะสาวเท้าเดินมายังที่ที่ผมยืนอยู่พวกเราสี่คนคุยอะไรจิปาถะกันไปสักพัก จนกระทั้งเสียงท้องของผมร้องขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าผมนั้นหิวมาก ๆ แล้ว


คุณป๊ากับคุณม๊าไม่ได้ว่าอะไรที่ท้องผมร้องดังเพราะท่านชินแล้ว แต่พี่ศิรายนี้หัวเราะซะเหมือนกับคนที่ไม่ได้หัวเราะมานานผมจึงจัดฝ่ามืออรหันไปที่บ่าพี่ศิสักหนึ่งดอกเพื่อให้พี่ศิหยุดหัวเราะ


“อย่ามาหัวเราะกรนะพี่ศิ” ผมบ่นพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเดินนำทั้งสามคนไปห้องทานข้าวที่มีพี่น้องของผมนั่งรอกันอยู่อย่างพร้อมเพรียงแล้ว


ผมรีบวิ่งปรี่ไปที่ที่นั่งประจำของผมและหย่อนตรูดนั่งลงไปทันทีและรอไม่นานคุณป๊ากับคุณม๊าก็พาพี่ศิเข้ามาภายในห้องทานอาหารและเชิญแขก (ของผม) ให้นั่งลง ซึ่งที่นั่งของพี่ศิก็ขอบอกเลยว่าทุกคนพร้อมใจกันยกที่นั่งข้างผมให้พี่ศิเขานั่งด้วยเหตุผล ก็สนิทกันมาก ๆ เลยนี่ พวกเรากลัวศิเขาจะเกรงกินอาหารไม่อร่อยเลยให้นั่งข้างคนสนิทน่าจะกินอาหารได้สบายใจกว่า ซึ่งเหตุผลนั้นก็ทำให้ผมถียงอะไรไม่ได้เลยอยู่ในภาวะจำยอม ยอมให้พี่ศินั่งทานข้าวข้าง ๆ ผม (ความจริงผมก็ไม่น่าจะรู้สึกแปลก ๆ อะไรนะครับเพราะว่าผมกับพี่ศิกินข้าวด้วยกันบ่อยแต่ไม่รู้วันนี้เป็นอะไรผมถึงเกิดอาการแปลก ๆ ไม่อยากนั่งข้างพี่ศิขึ้นมาซะแบบนี้)


ผมนั่งทานข้าวเงียบ ๆ ซึ่งมันผิดวิสัยของผมแต่ทำไงได้หละผมไม่รู้เป็นอะไรดันไม่รู้สึกอยากพูดขึ้นมาซะแบบนั้นผมจึงได้แต่รีบ ๆ กินข้าวให้หมดจานและรีบขอตัวกลับขึ้นห้องนอนของตัวเองไป และทุกท่านคิดว่าผมจะได้ทำตามที่ใจหวังเหรอครับไม่มีทางครับคุณป๊าคมสันกับคุณม๊านัทชามิให้ผมหนีขึ้นห้องของตัวเองได้ง่ายครับนั่นก็เป็นเพราะคุณม๊านัทชาเป็นบุคคลที่ชอบไปสปามากครับ แน่นอนคุณม๊านัทชาที่รักมักจะชวนลูก ๆ ไปเสมอ และในทุก ๆ ครั้งที่ผมกลับบ้านมาคุณม๊านัทชาก็จะลากผมไปสปาด้วยและคุณม๊าก็จัดครอสบำรุงผิวให้ผมยกใหญ่ (แบบนี้หละครับทำให้ผมที่ผิวขาวตามประสาลูกคนจีนอยู่แล้วยิ่งขาวเข้าไปใหญ่ แต่ก็ขาวแค่ช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์แรกหละครับหลัง ๆ ไปผมก็กลับสู่สภาพเดิม)


“น้องกรวันนี้คุณม๊าอยากไปสปา” เสียงจากนรกเรียกผมแล้วหละครับ ทำไมผมถึงพูดว่าเสียงจากนรกเหรอครับสำหรับผู้หญิงการไปสปามันเสริมสวยจริง ๆ แต่สำหรับผู้ชายมันคือนรกดี ๆ นี่เอง คือผมไม่จำเป็นต้องผิวขาวเด้งไปอวดใครนี่ครับสาว ๆ เขาชอบหนุ่มสไตล์หล่อ เลว ๆ กันนะครับขาวใสน่ารักสไตล์เกาหลีนี่สาว ๆ เขาไม่ค่อยสนใจหรอกครับ


หลังจากเสียงจากนรกของคุณม๊าพูดจบคุณม๊าเธอก็ไม่ได้รอให้ผมปฏิเสธคุณม๊าแกรีบเดินมาจับมือผมและลากแขนผมออกไปจากห้องอาหารและมุ่งตรงไปยังโรงจอดรถครับ


อ่า…จนกว่าผมจะกลับมาทุกท่านรอไปสักพักนะครับเดี่ยวผมกลับมาเล่าเรื่องราวให้ทุก ๆ คนฟังต่อแต่ตอนนี้กรขอลาไปลงนรกที่ชื่อว่าสปากับคุณม๊าก่อนนะครับ



หลังจากที่ผมไปทรมานที่สปามาราว ๆ สองชั่วโมงตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้วหละครับและตอนนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะนอนมากและคิดว่าถ้ากลับไปถึงบ้านผมจะไม่อาบน้ำครับ นอนมันทั้งแบบนี้ไปเอง ยังไงเราก็อาบน้ำมาจากสปาอยู่แล้วมันคงไม่สกปรกมากหรอกถ้าเกิดจะนอนไปทั้งสภาพแบบนี้ครับ


รถของคุณม๊าค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปที่ลานจอดรถและทันทีที่รถมันจอดสนิทผมก็ดีดตัวออกจากรถและรีบวิ่งเข้าบ้านทันที และทันทีที่เท้าผมเหยียบถึงตัวบ้านผมก็รีบวิ่งปรี่ไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบ้านทันที ผมเปิดประตูเข้าไปด้านในพร้อมกับกวาดสายตามองหาพี่ชายที่มีนามว่าศิรวิทย์ ซึ่งพี่ชายคนนั้นของผมก็นั่งหัวโด่อยู่บนโซฟาโดยมีน้องกัซน้องชายสุดที่รักของผมนอนหนุนตักพี่เขาอยู่


‘ให้ตายเถอะพี่ศิ...เป็นคนที่สนิทกับคนอื่น ๆ ง่านจริง ๆ’ ผมมองพี่ศิที่ตอนนี้เริ่มคุ้นเคยกับครอบครัวผมแล้วใจหนึ่งผมก็ดีใจนะครับที่พี่ศิเขาคุ้นเคยกับครอบครัวผมไวแบบนี้


แต่อีกใจมันก็พาลไปนึกถึงความอัธยาศัยดีของพี่เขา…มันจะทำให้พี่ศิสนิทกับคนอื่น ๆ รวดเร็วแบบนี้หรือเปล่า แล้วเราเป็นน้องชายคนสนิทของพี่เขาคนเดียวไหมนะ หรือว่าพี่ศิเขาจะมีรุ่นน้องที่สนิทสนมแบบผมหลายต่อหลายคนพอนึกถึงแล้วผมก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอลองคิดไปว่าผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ศินี่นา การที่พี่ศิจะไปสนิทกับคนอื่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมสักนิดเดียว พอคิดแบบนั้นจากไอความรู้สึกไม่พอใจก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ แทน ผมเม้มปากแน่นก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถ้อยคำออกไป


“นี่กรขึ้นนอนก่อนนะง่วงไม่ไหวแล้ววันนี้คุณม๊าจัดหนักกับกรมาก ตอนนี้หนังตาของกรจะปิดแล้วอะ” ผมพูดพร้อมกับแสร้งยกมือขึ้นมาป้องปากหาว พร้อมกับเดินถอยหลังออกมาจากห้องนั่งเล่นเพื่อนที่จะเดินขึ้นไปบนชั้นสองแต่ไม่ทันที่บานประตูจะปิดลงเสียงทุ้มเข้มของพี่ศิก็เอ่ยดังพร้อมกับค่อย ๆ ขยับตัวออกจากน้องกัซและรีบเร่งเดินตามผมออกมา “กรครับรอพี่หน่อยครับ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปด้วย”



v
v
v
v
v
v

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด