เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. ตอนพิเศษ 2-2(ครึ่งหลัง) (24/12/56)  (อ่าน 115716 ครั้ง)

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4

ตอนที่ 12
เจ้าของที่ดิน



   แฟนธอมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นั่งมองคนที่อมยิ้มนอนเอนกายข้างเขาบนเตียงไม่ยอมกลับบ้านตัวเอง ส่วนตัวเขาจะออกปากไล่ก็ทำไม่ได้ เพราะดันเผลออนุญาตให้เจ้าตัวอยู่ต่อไปก่อนหน้านั้น เนื่องจากเจอรัลด์ออกอาการตัดพ้อน้อยใจ ในเรื่องที่เขาคิดจะไปอาละวาดใส่ก่อนหน้า ทั้งที่เจ้าตัวไม่ผิดเลยสักนิด

“เลิกยิ้มได้แล้วน่า! อยากนอนก็นอนไป แต่ห้ามรุ่มร่ามกับฉันด้วยล่ะ!”

“ครับ ๆ แค่ได้สูดกลิ่นคุณใกล้ ๆ แบบนี้ ผมก็ดีใจมากแล้ว”

แฟนธอมหน้าแดงวาบเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

“โรคจิต!”

“นาทีนี้ให้เป็นอะไรก็ยอมทั้งนั้นละครับ”

เจอรัลด์ตอบอย่างไม่ขุ่นเคือง ทำให้แฟนธอมยิ่งเขินหนักขึ้น ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเจอรัลด์เอื้อมมือมาปลดหน้ากากเขา

“เวลาอยู่กับผมสองต่อสอง ไม่ต้องสวมหน้ากากก็ได้ครับ”

เจอรัลด์บอกกับแฟนธอมที่เหมือนจะเบี่ยงใบหน้าหลบเขาอย่างลังเล จนอีกฝ่ายต้องชะงัก แล้วจำยอมให้ชายหนุ่มถอดหน้ากากออกจนได้   

“คุณแฟนธอมน่ารักจริง ๆ นี่อายอยู่สินะครับ”

ผีดิบหนุ่มเอ่ยแซว แล้วก็ต้องรีบขอโทษขอโพยตามมายกใหญ่ เมื่ออีกฝ่ายออกอาการงอนให้เห็น

“ฮะ ๆ ขอโทษทีครับ ไม่พูดแหย่ให้คุณเขินแล้วล่ะ ...แต่ตอนนี้ผมยังง่วงอยู่เลย เมื่อเช้าก็ตกใจนึกว่าคุณเป็นอันตรายอะไรไปเสียอีก ...ที่ไหนได้ เฮ้อ!”

แฟนธอมสะดุ้งเล็กน้อยที่อีกฝ่ายวกกลับมาพูดเรื่องเดิมเมื่อเช้าอีกครั้ง ชายหนุ่มดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าคนพูด แล้วแกล้งทำเป็นบ่นตามมา

    “ง่วงนักก็นอนไปสิ! แต่ถ้ายังจะคุยต่อ ก็ออกไปนั่งคุยนอกห้องแทนแล้วกัน!”

“อะ...งั้นเลิกบ่นก็ได้...เห็นแก่ที่คุณทำตัวน่ารักสุด ๆ ในวันนี้เลยนะครับเนี่ย โอ๊ย! ขอโทษครับ คุณแฟนธอม!”

เจอรัลด์ยกไม้ยกมือห้ามประท้วง เพราะแฟนธอมที่กำลังฉุนปนเขินลงมือทุบเขาเสียเต็มแรง จนเขาชักจะเริ่มเจ็บเข้าให้จริง ๆ เหมือนกัน

    “อูย...พอเถอะนะครับ ผมยอมแล้ว ...จะไม่ปากเสียอีกแล้ว ยกโทษให้ผมนะครับ”

       นักประดิษฐ์หนุ่มอ้อนทั้งน้ำเสียงและสีหน้า แถมยังจับข้อมือทั้งสองที่กำลังทุบเขาไว้เสียอีก ทำให้แฟนธอมที่เผลอหันมาสบตาตอบต้องรีบเบือนหน้าไปอีกทางด้วยความอาย ทว่าสุดท้ายก็ยอมอยู่นิ่งเลิกอาละวาด  ทำให้เจอรัลด์หลุดยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับรวบมือทั้งสองข้างของคนที่ตนหลงรักมาจูบแผ่วเบา

“นอนเป็นเพื่อนกันนะครับ สัญญาว่าจะแค่กอดอย่างเดียว ไม่ทำอะไรล่วงเกินแน่”

แฟนธอมชะงัก แล้วจึงพยักหน้ารับรู้ค่อย ๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ  ทำให้เจอรัลด์ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความดีใจ ก่อนจะรั้งร่างตรงหน้าให้เอนกายนอนไปพร้อมเขาอย่างอ่อนโยน ทว่าพอผ่านไปได้ครู่ใหญ่  คนที่รับปากว่าจะขอแค่นอนกอด ก็เริ่มจะระงับใจตนเองเอาไว้ไม่ไหว จากกอดเฉย ๆ ก็เลยเริ่มขยับมือแตะนิดแตะหน่อยพอเนียนเป็นพัก ๆ จนคนยอมให้กอดต้องนิ่วหน้า และมาแน่ใจชัดเจนว่าไม่ใช่การบังเอิญ ก็ตอนที่เจอรัลด์นั้นล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อนอนของตน

“หยุดเลยนะเจ้าซอมบี้หื่นกาม! หนอย! ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ด้วย!”

แฟนธอมดันตัวออกห่างและเตรียมจะลุกหนี แต่เจอรัลด์ก็รีบตามมากอดไว้แน่น  เสียงทุ้มพึมพำกระซิบใกล้หูทำให้คนฟังถึงกับขนลุกซู่ทั่วกาย

“คุณแฟนธอม...ขอโทษนะครับ  แต่ผมทนไม่ไหวจริง ๆ ตอนนี้นอกจากจะกอดแล้ว... ผมยังอยากจูบคุณให้ทั่วทั้งตัวเลยล่ะครับ”

คำสารภาพจริงใจด้วยน้ำเสียงอ้อน ๆ นั่น ทำเอาแฟนธอมเกือบจะใจอ่อน หากแต่ความอายที่มีมากกว่าก็ยังทำให้เขาฝืนใจแข็งเอ่ยปฏิเสธออกไปในที่สุด

“ไม่มีทาง! ฉันยังไม่ได้ตอบรับคบกับนายเลยนะ  จริง ๆ นายก็ไม่มีสิทธิจะทำถึงขั้นนี้เลยด้วยซ้ำ!”

เจอรัลด์ตีหน้าสลดแถมยังส่งสายตาเศร้า ๆ มองมา ทำเอาแฟนธอมใจอ่อนอีกรอบ จากที่เคยปฏิเสธเสียงแข็งก็เลยกลายเป็นเสียงแผ่วลงอย่างยอมอ่อนข้อให้บ้าง

“อุตสาห์อดทนรอมาได้ตั้งนาน...รอต่ออีกสักหน่อยจะไม่ได้เลยหรือ ฉันก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอะไรสักหน่อย”

เจอรัลด์ชะงักกับคำพูดนั้น แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนส่งให้อีกฝ่าย

“ก็ได้ครับ...คุณแฟนธอมอุตสาห์ยอมอ่อนข้อให้ผมขนาดนี้ ผมจะยังงอแงทำให้คุณเดือดร้อนได้ยังไงจริงไหมครับ”

แฟนธอมเบือนหน้าหลบมองทางอื่นด้วยความเขิน ทำให้เจอรัลด์ที่ได้เห็นต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วเตรียมจะฉวยโอกาสนี้หอมแก้มอีกฝ่ายให้สมอยาก ทว่าเสียงเคาะประตูที่ดังขัดขึ้น ก็ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งโหยงเสียก่อน

“คุณแฟนธอมครับ อาหารเช้าเสร็จแล้วนะครับ จะทานเลย หรือจะให้ผมเก็บไว้ให้ก่อนดีครับ”

พอได้ยินเสียงกีรติมาตาม แฟนธอมก็รีบตะโกนตอบกลับไปทันที

“เดี๋ยวฉันตามไปเลยแล้วกัน รอแป๊บนึงนะ!”

    พอบอกจบชายหนุ่มก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียง พลางหยิบหน้ากากที่ถูกถอดวางไว้แถวนั้นมาใส่อย่างรีบร้อน ส่วนเจอรัลด์เมื่อเห็นว่ายังไงแฟนธอมก็คงไม่กลับมาจู๋จี๋กับเขาต่อเป็นแน่ ชายหนุ่มจึงยันกายขึ้นนั่ง และลุกตามออกไปด้วยอีกคนอย่างนึกเซ็งไม่น้อยเลยทีเดียว



“นายกลับไปหากินที่บ้านนายโน่น! กีรติเขาไม่ได้ทำเผื่อนายหรอก!”

แฟนธอมตะโกนไล่คนที่เดินตามเขามาเพื่อแก้เขิน และกลัวกีรติเข้าใจผิดว่าเขาเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เจอรัลด์มานอนร่วมห้องด้วยเช่นนี้

“อ๋อ! ไม่เป็นไรครับ เพราะผมทำเผื่อคุณเจอรัลด์ไว้ด้วย พอดีผมเห็นรองเท้าถอดวางไว้ด้านหน้า ก็เลยคิดว่าคุณเจอรัลด์น่าจะอยู่กับคุณแฟนธอม  ก็เลยตัดสินใจทำเผื่อไว้ก่อนน่ะครับ”

แฟนธอมชะงักเมื่อได้ยิน ส่วนเจอรัลด์ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ เขาหันไปขอบคุณกีรติ และเริ่มหายหงุดหงิดเรื่องที่ถูกขัดจังหวะเมื่อครู่นี้

“ผมเห็นว่าคุณแฟนธอมเพิ่งฟื้นไข้ ก็เลยทำอาหารอ่อน ๆ แทน ...แต่ถ้าไม่ถูกปากพวกคุณ จะไม่ทานก็ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจผมก็ได้”

กีรติรีบออกปากดักไว้ก่อนด้วยความกังวล ทำให้คนฟังทั้งสองอมยิ้ม สักพักชายหนุ่มจึงยกหม้อข้าวต้มหมูสับที่ทำไว้ มาตักแบ่งเป็นสามถ้วย แถมยังมีเครื่องเคียงเป็นเต้าหู้ผัดถั่วงอกให้อีก 1 จานด้วย

“ว้าว! น่ากินชะมัด นี่คุณทำเองจริง ๆ หรือเนี่ย คุณกีรติ”

เจอรัลด์มองอาหารตรงหน้าอย่างประหลาดใจเล็กน้อย และยิ่งพอได้ลองชิมเจ้าตัวก็ยิ่งทึ่งในความสามารถของคนตัวเล็กเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า

“ผมว่าคุณลาออกจากยาม มาเปิดร้านแข่งกับคุณดาหลาดีกว่านะครับ”

เจอรัลด์พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง จนกีรติต้องยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนแฟนธอมนั้นก็รู้สึกไม่แตกต่างจากนักประดิษฐ์หนุ่มเท่าใดนัก และเพียงไม่นานทั้งข้าวต้มและผัดเต้าหู้ก็ถูกกินจนหมดเกลี้ยง สร้างความยินดีให้กับผู้ที่ทำอาหารเป็นยิ่งนัก

“ค่อยยังชั่ว อย่างนี้ผมค่อยมั่นใจสำหรับมื้อกลางวันหน่อย เกิดคุณริวทานแล้วไม่ถูกปากขึ้นมาคงแย่”

คำพูดคล้ายเปรยกับตัวเองทำให้เจอรัลด์และแฟนธอมชะงัก จากนั้นจึงปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นที่มุมปากของนักประดิษฐ์หนุ่มอย่างถูกใจ จนแฟนธอมที่หันไปเห็นนึกหมั่นไส้ยิ่งนัก เนื่องจากพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวเข้างานก่อนนะครับ คุณแฟนธอมก็พักผ่อนให้มาก ๆ นะครับ”

กีรติที่เหลือบมองเวลาหันมาบอกกับรุ่นพี่ร่วมงานของเขา อย่างไม่ได้ทันรู้สึกตัวเลยว่ากำลังถูกใครบางคนคิดจับคู่เขาให้กับผู้ชายด้วยกันเรียบร้อย

“อือ...นายเองก็อย่าหักโหมนักล่ะ”

แฟนธอมบอกกับรุ่นน้องพร้อมรอยยิ้ม และเมื่อกีรติหายเข้าไปในห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาก็เตรียมเดินกลับห้องของตนบ้าง ทว่าก็ต้องหยุดฝีเท้าเอาไว้ก่อนจะก้าวเข้าไปในนั้น

“อ้าว! ไม่เข้าห้องหรือครับคุณแฟนธอม หรือลืมอะไรไว้ข้างนอก”

เจอรัลด์เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ทำเป็นสงสัย หากแต่คนสวมหน้ากากนั้นพอจะมองออกดีว่าเจ้าตัวเสแสร้งแกล้งทำไปเช่นนั้นเองต่างหาก

“กลับบ้านนายไปได้แล้ว นี่มันเช้าแล้วนะ!”

แฟนธอมโพล่งบอกด้วยความอาย เพราะเมื่อครู่นี้หากกีรติไม่มาขัดจังหวะ เขาก็คงใจอ่อนยอมให้เจอรัลด์เอาเปรียบไปแล้ว

“เอ๋! แต่ก่อนหน้านั้น คุณอนุญาตให้ผมนอนที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือครับ”

เจอรัลด์รีบประท้วงแล้วส่งสายตาอ้อนมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้แฟนธอมไม่ยอมใจอ่อนเหมือนเดิม

“อยากนอนต่อก็ได้ แต่หลังจากตื่นขึ้นมา ก็เตรียมรับฟังคำปฏิเสธจากฉันเรื่องขอคบกันไว้ได้เลย!”

คนฟังกลืนน้ำลายลงคอเมื่อถูกยื่นคำขาด และเมื่อเห็นว่ายังไงแฟนธอมก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ เขาจึงยอมล่าถอยแล้วเดินคอตกกลับออกไป ทำให้คนที่มองอยู่นึกสงสาร จึงแสร้งทำเป็นเปรยอ้อมแอ้มให้ได้ยิน

“คืนนี้ตอนฉันเข้าเวร ถ้านายยังอยากจะมาคุยด้วยอีก... ก็แวะมาแล้วกัน”

เจอรัลด์สะดุ้งโหยงแล้วรีบหันขวับกลับมามองคนพูด ทว่าก็ทันได้เห็นเพียงแผ่นหลังของเจ้าตัวที่รีบเข้าห้องนอนพร้อมกับปิดประตูดังลั่นตามมา ชายหนุ่มอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกำมือแน่นด้วยความยินดี เพราะลองแฟนธอมพูดแบบนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายยังไม่คิดตัดเยื่อใย แถมถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปนัก แฟนธอมก็เหมือนจะมีใจให้เขาไปแล้วกว่าครึ่งด้วยซ้ำ

    “อยากให้ถึงกลางคืนไว ๆ จังเลยแฮะ”

เจอรัลด์พึมพำพร้อมฮัมเพลงเดินออกจากสำนักงานหมู่บ้านไปอย่างอารมณ์ดีผิดกับตอนขาเข้ามาลิบลับ ส่วนแฟนธอมที่อยู่ในห้องก็กำลังบ่นตัวเองที่ดันเผลอใจอ่อนจนพูดในสิ่งที่เขามั่นใจว่าจะทำให้เจอรัลด์นั้นได้ใจยิ่งกว่าเดิมแน่นอน

“เฮ้อ...ทำไงได้ ...ถือว่าเป็นการตอบแทนที่นายมองแต่ฉันคนเดียวมาตลอดแล้วกัน”

แฟนธอมถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก เพราะต่อให้เขาจะพูดหรือไม่พูดในสถานการณ์เช่นนั้น เขาก็ยังเชื่อว่าเจอรัลด์คงจะไม่เปลี่ยนใจไปจากเขาง่าย ๆ  และเพราะชายหนุ่มเป็นคนเช่นนั้น แฟนธอมจึงคิดว่าไม่ช้าก็เร็ว เขาคงจะยอมใจอ่อนเอ่ยปากตอบรับรักอย่างที่เจอรัลด์ต้องการในเร็ววันนี้เป็นแน่



    ในเวลาต่อมา หลังจากที่กีรติเข้าเวรกะเช้าได้สักพัก ชายหนุ่มก็ได้เห็นรถสปอร์ตสีเงินคันหรูเลี้ยวเข้ามาในเขตหมู่บ้าน คนขับนั้นลดบานกระจกลงให้กีรติเห็นใบหน้า ซึ่งพอเห็นว่าเป็นใคร กีรติก็รีบทักทายสวัสดีพร้อมยกไม้กั้นรถขึ้น แล้วปล่อยให้รถสปอร์ตคันนั้นขับเข้าไปด้านใน และเมื่อรถจอดสนิทในโรงรถข้างสำนักงานหมู่บ้านเรียบร้อย คนที่ลงจากรถก็หันมามองที่ป้อมยามชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทำงานด้านในตามปกติ

    “เพิ่งเคยเห็นคุณกรกฎขับรถมาวันนี้นี่ล่ะครับ ทุกทีผมเห็นเขาเดินเข้ามาในหมู่บ้านเอง ก็นึกว่าบ้านอยู่ละแวกนี้เสียอีก”

กีรติเปรยกับอเล็กซ์ด้วยความแปลกใจ และถ้าเขาจำไม่ผิด รถรุ่นที่กรกฎใช้อยู่ ราคามันเฉียด 30 ล้านบาทเลยด้วยซ้ำ

“บ้านพักของคุณกรกฎน่ะหรือครับ ก็ไม่ไกลจากแถวนี้นักหรอกครับ ห่างออกไปราวสิบกิโลเมตรได้ เท่าที่ผมทราบปกติเขาจะให้คนที่บ้านขับรถมาส่งหน้าปากทางเข้าแล้วเดินออกกำลังกายมาเรื่อย ๆ เอง แต่วันนี้อาจจะตื่นสาย หรือมีธุระต้องใช้รถในตอนเย็นต่อ เลยนำรถมาด้วยก็ได้ล่ะมั้งครับ”

อเล็กซ์อธิบายตามปกติโดยไม่นึกสนใจราคารถสปอร์ตคันหรูของกรกฎเลยสักนิด ซึ่งก็ทำให้กีรติคิดว่าบางทีกรกฎเองก็อาจจะไม่ใช่เลขานุการธรรมดาอย่างที่เห็นเบื้องหน้าก็เป็นได้

“อย่างนั้นหรือครับ...จริง ๆ เดินทางไกลมีรถขับไปไหนมาไหนเอง ก็สะดวกดีนั่นล่ะครับ”

กีรติตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรมากเช่นเดียวกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ยืนอยู่ยามต่อตามปกติ จนทำให้คนที่เดินออกมาจากสำนักงานหมู่บ้าน และแอบมองอยู่ห่าง ๆ ต้องอมยิ้ม เพราะทีแรกกรกฎนึกว่าเขาจะถูกตามซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรื่องรถที่เขาใช้ เหมือนดังเช่นยามกะเช้าคนอื่น ๆ ก่อนหน้านั้นเสียอีก

“อืม...ปฏิกิริยาตอบรับค่อนข้างแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอยู่มากเลยแฮะ... แถมประวัติส่วนตัวที่คลุมเครือนั่นก็น่าสนใจใช่เล่นอีกด้วย”

กรกฎพึมพำกับตัวเอง พลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ที่มุมปาก เพราะเมื่อเขาได้ตรวจสอบประวัติของกีรติโดยละเอียด ก็ทำให้พอจะรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นปลอมแปลงเอกสารราชการ รวมถึงประวัติส่วนตัวก่อนหน้าอายุ 15 ปี ทั้งหมด ในจุดนี้เขายังไม่ได้บอกเวธน์  เพราะเท่าที่สังเกต กีรตินั้นเป็นคนดีจริง ๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด และไม่น่าสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้แน่

‘เอาเถอะ...เรื่องของคุณกีรติคงต้องเอาไว้ทีหลัง ปัญหาก็คือเย็นนี้ต่างหาก หวังว่าคุณเวธน์จะอู้งานตามปกตินะ ไม่อย่างนั้นเราคงแก้ตัวเรื่องขอกลับไวลำบากแน่ เฮ้อ!’

กรกฏคิดในใจอย่างเอือมระอา เพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมา  ลูกพี่ลูกน้องของเขาซึ่งอาศัยอยู่ต่างประเทศ ได้โทรให้เขาไปรอรับที่สนามบินในตอนบ่ายของวันนี้ โดยกำชับให้ปิดเป็นความลับกับเวธน์ เพราะต้องการทำเซอร์ไพรส์ที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่กรกฎนั้นรู้ดีว่าที่จริงแล้วอีกฝ่ายกลัวเวธน์จะหนีไปเสียก่อน หากได้รู้ล่วงหน้าว่าจะต้องเจอกับเจ้าตัวนั่นเอง



พอใกล้เวลาสองโมงเช้า กรกฎก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาจ้องมองคนที่เดินยิ้มร่าเริงตรงเข้ามาในสำนักงานด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นขนาดเขาพยายามขอร้องให้อีกฝ่ายมาทำงาน เวธน์ก็ยังคอยแต่จะหาข้ออ้างปฏิเสธ แต่ในวันนี้เขาไม่อยากให้เจ้าตัวมาแท้ ๆ เวธน์ก็ดันมาทำงานเสียอย่างนั้น

“ไง! กรกฎ วันนี้นึกอะไรขึ้นมา ถึงได้เอารถคันโปรดออกมาใช้แบบนี้น่ะ ปกติถ้าไม่ให้คนขับรถมาส่ง นายก็ใช้แค่รถยนต์ธรรมดาคันละไม่กี่ล้านมาทำงานไม่ใช่เหรอ เอ...หรือว่าจงใจขับมาอวดใคร...แล้วเป็นไง เขาสนใจหรือเปล่าล่ะ”

กรกฎเลิกคิ้วนิด ๆ เพราะเวธน์เดาเจตนาของเขาได้ถูกครึ่งหนึ่ง เรื่องที่เขาจงใจใช้รถสปอร์ตคันหรู เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของกีรติ ทว่าอีกครึ่งหนึ่งนั้น กรกฎยังคงมั่นใจว่า เวธน์จะยังไม่รู้ตัวแน่

“ก็แค่มองเฉย ๆ แล้วก็ทำงานต่อนั่นล่ะครับ”

เลขาหนุ่มตอบกลับไปตามตรง ซึ่งเวธน์ก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างถูกใจ   

“ว่าแล้วเชียว  อืม...หรือบางทีเขาอาจจะไม่รู้ราคาของมันก็ได้นะ ว่ามันแพงมากขนาดไหน”

“ผมก็คิดเผื่อไว้ว่าอาจจะเป็นแบบนั้น ...หรือไม่เขาก็อาจจะไม่ใส่ใจเลยก็ได้”

เวธน์พยักหน้ารับรู้ แล้วจึงทำเป็นเดินไปมา ก่อนจะชะโงกหน้าไปดูหน้าประตูห้องนอนส่วนตัวของยามกะดึกอีกคน จนกรกฎต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“มีธุระอะไรกับคุณแฟนธอมหรือครับคุณเวธน์”

เวธน์สะดุ้งเล็กน้อย แล้วหันมายิ้มแปลก ๆ ให้อีกฝ่าย

“หึ ๆ นายไม่รู้เรื่องนี้สินะ...”

    เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของเลขาหนุ่ม เวธน์ก็หัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยต่อ

“ฉันได้รับรายงานข่าวเด็ดข่าวดัง มาจากคนในหมู่บ้านเมื่อเช้า เรื่องที่เจอรัลด์สารภาพรักกับคุณแฟนธอมไปเรียบร้อยแล้วไงล่ะ วันนี้ก็เลยอยากมาดูด้วยตาตัวเอง หรือจะให้พูดตรง ๆ ก็คือ อยากจะมาแซวคุณแฟนธอมเขาสักหน่อยน่ะ!”

เมื่อได้ฟังเจตนารมณ์ของชายหนุ่ม ก็ทำให้กรกฎต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นิสัยชอบแหย่ชอบแกล้งคนที่ถูกใจของเวธน์ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนไปสักที   

    ทางด้านเวธน์นั้นหัวเราะเบา ๆ หลังจากเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างเป็นการเป็นงานกว่าเดิม

     “นี่ กรกฎ ฉันว่าจะขยายพื้นที่หมู่บ้านออกไปทางด้านหลังเพิ่มอีกสักหน่อย  นายคิดว่ายังไงล่ะ”

กรกฎขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วย้อนถามกลับไป

“จะมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกหรือครับ”

เวธน์ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะตอบกลับไปตามตรง

“ยังไม่มีหรอก...แต่ฉันเริ่มคิดเรื่องนี้ หลังจากกีรติมาทำงานที่หมู่บ้าน... ฉันคิดว่ามนุษย์ที่พร้อมจะยอมรับปีศาจอย่างง่ายดายก็น่าจะมีอยู่อีกมาก และถ้าพวกเขาเหล่านั้นได้มาอยู่อาศัยร่วมกันที่หมู่บ้านมีสุขแห่งนี้เพิ่มขึ้น ก็คงจะเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยล่ะนะ”

กรกฎมองคนตรงหน้านิ่งสักพัก แล้วจึงมีรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้

“คุณอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ  ก็คุณเป็นเจ้าของที่ดินรุ่นที่ 3 ไม่ใช่หรือครับ”

    เวธน์จ้องมองตอบแล้วมีรอยยิ้มให้อีกฝ่ายเช่นเดียวกัน

“ฉันมันเป็นได้แค่ตัวแทน ตัวจริงมันควรจะเป็นนายต่างหาก เมื่อไหร่ถึงจะยอมรับตำแหน่งนี้แทนฉันเสียทีล่ะ กรกฎ”

กรกฎหัวเราะในลำคอเบา ๆ  จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่ได้นึกรังเกียจทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ความเป็นผู้นำ การแก้ปัญหาความขัดแย้งเฉพาะหน้า รวมไปถึงความมีมนุษยสัมพันธ์อันดีเลิศ  เวธน์นั้นเหนือกว่าเขาทุกอย่างและเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งได้รับมาเป็นที่สุด  ถึงแม้ว่าเขาจะได้ชื่อว่าเป็นหลานชายแท้ ๆ ของเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองก็ตาม



เมื่อหวนนึกถึงอาของตน ก็ทำให้กรกฎต้องย้อนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งอดีต เกี่ยวกับ ‘กอบพล’ น้องชายคนเล็กของบิดาเขา ซึ่งเป็นลูกหลงของปู่กับย่าที่เกิดตอนพวกท่านอายุค่อนข้างมากแล้ว กอบพลอายุมากกว่าเขาเกือบสิบปี และเป็นรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกับเวธน์  กรกฎจึงได้รู้จักเวธน์ผ่านการแนะนำของผู้เป็นอา พวกเขาสนิทคุ้นเคยไปมาหาสู่กันดี และเริ่มเหินห่างไปเมื่อเขาตัดสินใจไปเรียนต่อที่เมืองนอก

    ทว่าในปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเรียนจบ กอบพลก็มาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน เขาบินกลับมาเมืองไทยเพื่อร่วมงานศพของผู้เป็นอา และเวธน์ก็ได้มอบโฉนดที่ดินผืนใหญ่ รวมถึงเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านมีสุขให้เขาฟัง พร้อมบอกกับเขาว่าเขาเหมาะสมที่จะสืบทอดต่อจากกอบพลมากที่สุด ทว่าในตอนนั้นเขายังคงสับสนกับสิ่งที่ได้รับรู้ จึงได้ฝากให้เวธน์ช่วยดูแลแทนเขาไปก่อน ซึ่งก็เหมือนเวธน์จะเข้าใจว่าเขายังคงทำใจไม่ได้ ชายหนุ่มจึงยอมรับฝากทั้งที่ดินและตำแหน่งเจ้าของที่ดินจนกว่าเขาจะพร้อมกลับมารับช่วงแทน



“กรกฎ เฮ้! เป็นอะไรของนายน่ะ จู่ ๆ ก็เงียบไปเสียอย่างนั้น”

เวธน์เอ่ยทัก เพราะคนที่หัวเราะยิ้มรับคำเขา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบตกอยู่ในภวังค์ตัวเองเสียนานอย่างน่าแปลก

“อะ...ขอโทษด้วยครับคุณเวธน์ ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

คนฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ตามมา

“เฮ้อ! ฉันรู้นะ ว่าฉันอาจจะพูดจาเอาแต่ใจเกินไป ...แต่นายก็เห็นไม่ใช่หรือกรกฎ ว่าคนไร้ความรับผิดชอบและรักอิสระอย่างฉัน มันดูแลที่นี่ให้ดีไม่ได้ อย่างนายต่างหากถึงจะเหมาะสมกับที่นี่มากกว่า...เพราะว่านายน่ะเป็นหลานของผู้ชายซึ่งรักที่นี่จากใจจริงยิ่งกว่าใคร ยังไงล่ะ”

กรกฎจ้องมองคนที่มีสีหน้าเศร้าซึมลงสักพัก แล้วจึงหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา

“...ผมซึ่งเคยหันหลังให้ที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้นหรอกครับ”

“ตอนนั้นนายก็ยังแค่ทำใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง!”

เวธน์รีบแย้ง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ดูคล้ายกับกอบพลไม่มีผิด

“ผมเชื่อนะครับคุณเวธน์ ว่าถ้าอายังมีชีวิตอยู่ คนที่เขาจะขอร้องให้รับช่วงสืบทอดต่อ ก็คือคุณ...ไม่ใช่ผม”

เวธน์เม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะสะดุ้งนิด ๆ เมื่อเสียงเปิดประตูจากบางห้องดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นว่าแฟนธอมกำลังเดินออกมาจากห้องของอีกฝ่าย แถมยังไม่มีท่าทางจะสนใจพวกเขาเสียอีก  ชายหนุ่มตรงไปชงกาแฟสำหรับตัวเอง และเดินถือแก้วกลับไปเงียบ ๆ ทว่าก่อนที่จะก้าวเข้าห้อง แฟนธอมก็หยุดฝีเท้าลง แล้วเปรยขึ้นค่อนข้างดัง

“ก่อนหน้าคุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองจะเสียชีวิตราวเดือนกว่า เขาเคยมาปรึกษากับผมว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเกิดทำหน้าที่นี้ต่อไม่ได้  ผมจะรับได้ไหม...ถ้าคุณเจ้าของที่ดินคนใหม่จะเป็นผู้ชายที่ชอบกวนโมโห คอยหาเรื่องแหย่แกล้งชาวบ้าน โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจน่ะ”

เวธน์ชะงักกึก พลางจ้องมองแฟนธอมอย่างตกตะลึง เพราะเขาไม่คิดว่ากอบพลจะอยากให้เขารับช่วงสืบทอดต่อ แต่เขาก็มั่นใจว่าแฟนธอมไม่น่าจะพูดโกหก เพราะเท่าที่เขาเห็นมา กอบพลเองก็สนิทสนมและให้ความไว้วางใจกับแฟนธอมมากกว่าใคร ๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้

“ผมเองก็ไม่คิดว่าเรื่องที่คุณกอบพลกังวล มันจะเกิดขึ้นไวขนาดนั้น ...แต่ผมและทุกคนที่หมู่บ้านมีสุข ดีใจนะ ที่คุณเจ้าของที่ดินรุ่นที่สามของพวกเราคือคุณน่ะ...คุณเวธน์”

แฟนธอมเอ่ยปิดท้ายพลางหันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับเวธน์ แล้วเดินกลับเข้าห้อง ทางด้านกรกฎเองก็มีรอยยิ้มเช่นเดียวกัน เมื่อได้เห็นสีหน้าในยามนี้ของคนใกล้ตัว

“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม คุณเวธน์ ว่าคนที่อาเลือกน่ะไม่ใช่ผม...”

เวธน์ชะงักพลางหันมามองอีกฝ่าย แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งไม่แพ้ก่อนหน้านั้น เมื่อได้รับฟังในสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยต่อมา

       “ที่ผมยอมทิ้งฐานะหน้าตาในสังคมมารับงานเลขาให้คุณ ไม่ใช่เพราะผมต้องการปรับตัว หรืออยากจะรับช่วงต่ออะไรนั่นหรอก...ผมก็แค่อยากทำงานกับผู้ชายที่อาของผม และทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ยอมรับ ก็เท่านั้นเอง”

เวธน์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหันไปทางอื่นเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น ซึ่งก็ดูเหมือนกรกฎจะรู้ดี เลขาหนุ่มจึงแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ และเดินไปชงกาแฟสำหรับเขาและเวธน์ตามปกติแทน



อีกด้านหนึ่ง แฟนธอมซึ่งเลี่ยงเข้าห้องมาก่อนหน้านั้นต้องถอนหายใจเบา ๆ  อย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงด้านนอกเงียบไป  ในตอนที่เวธน์เพิ่งมาถึงสำนักงาน ตอนนั้นเขาไม่ได้หลับ และได้ยินชัดเจนดีว่าเวธน์มาด้วยจุดประสงค์อะไร ชายหนุ่มจึงตั้งใจว่ายังไงก็จะไม่ออกไปนอกห้องเด็ดขาด หากแต่พอเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างเวธน์กับกรกฎ แฟนธอมจึงตัดสินใจว่า ตนคงต้องออกไปบอกถ้อยคำที่ได้รับฝากฝังมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้สักที

“ปกติก็ชอบทำตัวยิ้มแย้มร่าเริงตลอด... แล้วใครจะรู้เล่าว่าคุณกังวลเรื่องอะไรอยู่  ไม่อย่างนั้นก็คงบอกออกไปนานแล้วล่ะนะ”

แฟนธอมพึมพำพร้อมกับสั่นศีรษะด้วยความระอา แต่ถึงกระนั้นริมฝีปากได้รูปก็ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับ ยามหวนคิดถึงเมื่อครั้งอดีตสมัยที่กอบพลยังมีชีวิตอยู่ ในตอนนั้นสำหรับเขาและทุกคนที่นี่ ต่างรู้สึกตรงกันว่า ผู้ชายซึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนวุ่นวายในหมู่บ้านพร้อมกับกอบพล ดูน่าคบหาและสามารถเป็นที่พึ่งพาให้พวกเขาได้ดี ไม่แพ้กับคนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในรุ่นนั้นเลยทีเดียว


 
… TBC …

ช่วงนี้ก็เฉลี่ยบทกันไปค่ะ แล้วจะค่อย ๆ ทยอยเข้าสู่บทของคู่พระเอก นายเอก คู่หลัก หลังจากนี้ค่ะ  ^^ ตอนนี้ก็อยากจะเขียนอีกหลายคู่มากมาย แต่อาจจะออกมาในลักษณะของตอนพิเศษหลังจบแทนค่ะ ซึ่งสำหรับตอนพิเศษของตัวละคนเด่น ๆ นอกจากคู่หลัก ก็จะนำมาลงบอร์ดให้อ่านเช่นกันค่ะ


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
กีริว จริงอ้ะๆๆๆๆ
แต่ตอนนี้อยากรู้เรื่องคุณเจ้าของที่ดินสุดละ 5555

ออฟไลน์ Thyme103

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
อยากเห็นกีกันริวหวานกันเร็วๆ จัง

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
อ่านเรื่องนี้เต็มอิ่มทุกวันเลย  ภาษาง่ายอ่านสบายมากเลยค่ะ  :mew1:

ให้อารมณ์เหมือนอ่านเรื่อง "คุณตำรวจยอดรัก" แม้จะคนละแนวก็เถอะ  :mew2:

ชอบจังเลย  มาอีกหลายๆคู่ได้เลยนะคะ  555

แต่แอบสงสัยว่าใครคือคนที่กรกฏจะไปรับ  แล้วเกี่ยวไรกับเวธน์น้า

บวกเป็ด

รอพรุ่งนี้  :heaven

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
ตามมาติดๆ งั้นคุณเลขาก็ไม่ใช่คู่ของเจ้าของที่ดินรุ่นที่สามสินะ :ruready

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
กีริว เรารอเทออยู่

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
ทำไมเหมือนว่าจะแอบจับคู่ผิดอีกแล้วสิ
เราอุตส่าห์แอบเชียร์เจ้าของที่ดินกับคุณเลขาง่าาา
คนที่จะมาเย็นนี้คือใครหว่า???




netthip

  • บุคคลทั่วไป
แม้ง่วงแค่ไหนก็จะลอจนกว่าจะได้อ่านนนนน :jul1:

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
มาแปะแล้วค่ะ ช้าไปหน่อยเกือบข้ามวัน ขออภัยด้วยนะคะ  :o8: :o8:


ตอนที่ 13
ลูกพี่ลูกน้อง



   

กรกฎเหลือบมองคนที่กำลังนั่งตรวจตราเอกสารด้วยสายตาเป็นกังวล เพราะวันนี้ดูเหมือนว่าเวธน์จะตั้งใจทำงานเป็นพิเศษ ขนาดพอถึงเวลาอาหารกลางวันที่ชายหนุ่มมักจะหาเรื่องแวบออกไปกินแล้วหายตัวยาวจนถึงเวลาเลิกงานอยู่เสมอ แต่วันนี้กลับสั่งอาหารจากข้างนอกให้มาส่งแทน แถมยังไปเบียดเบียน ‘เต้าหู้ทรงเครื่อง’ ที่กีรติแวะมาทำตอนพักอีกด้วย

    “ถ้าฉันจะขอให้กีรติเขาทำอาหารกลางวันเผื่อด้วยทุกมื้อ มันจะน่าเกลียดไหมกรกฎ”

เวธน์ที่จัดการกินมื้อกลางวันของตนเรียบร้อย เปรยลอย ๆ ถามเลขาคนสนิท ซึ่งกรกฏก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปทำงานต่อพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “น่าเกลียดครับ แต่ถ้าคุณเพิ่มเงินเดือนให้เขา หรือซื้อกับข้าวให้พร้อมจ้างเขาทำอาหารให้คุณต่างหากก็คงพอไหว แต่เชื่อเถอะครับว่าขืนลองยื่นข้อเสนอแบบนั้นไป เจ้าตัวก็ต้องบอกว่าเต็มใจทำให้ฟรี ๆ อยู่ดี”

เวธน์หัวเราะเบา ๆ กับคำตอบของอีกฝ่ายที่ค่อนข้างตรงกับความคิดของเขา   

“ว่าแต่...วันนี้ขยันจังนะครับ ไม่รีบกลับไปพักผ่อน หรือไปคุมงานที่บริษัทของคุณเหมือนเคยหรือครับ”

กรกฎแสร้งทำเป็นเปรยประชดถาม ทว่าอีกคนนั้นกลับเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วยักไหล่ตามมา

“ไม่ล่ะ วันนี้ตั้งใจจะทำตัวเป็น ‘คุณเจ้าของที่ดิน’ ผู้น่านับถือสักวัน จะได้เป็นการไถ่โทษที่คอยเอาแต่อู้งาน แล้วให้นายเหนื่อยคนเดียวอยู่เรื่อยน่ะ”

กรกฎหลุดยิ้มเจื่อนออกมา พลางคิดในใจว่าถ้าหากวันนี้เขาไม่ต้องไปรับลูกพี่ลูกน้องตัวปัญหาโดยไม่ทำให้เวธน์รู้ตัวล่วงหน้าล่ะก็ เขาคงรู้สึกดีใจและตื้นตันมิใช่น้อย ที่เวธน์เริ่มขยันเอาการเอางานช่วยแบ่งเบาภาระเขาบ้าง

“ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยดีใจเลยนะ”

เวธน์ที่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มเจื่อนและสีหน้าเป็นกังวลของเลขาหนุ่มเอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย ทำเอากรกฎสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงแสร้งตอบแก้ตัวกลับไป

“ไม่หรอกครับ ผมดีใจนะ...แต่กลัวว่าคุณจะขยันแค่วันนี้วันเดียว แล้วพรุ่งนี้ผมจะต้องทำงานต่อคนเดียวเหมือนเดิมต่างหาก”

เวธน์ชะงักก่อนจะหลุดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างนึกขำ

“แหม ๆ สงสัยฉันจะอู้งานบ่อยเกินไป จนนายไม่กล้าไว้วางใจเลยสินะ ...เอาน่า ๆ ต่อไปนี้จะขยันมาที่นี่บ่อยขึ้น หรือจะมาอยู่ประจำเลยก็ได้นะ”

กรกฎชะงัก ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“แล้วบริษัทเฟอร์นิเจอร์ของคุณล่ะครับ จะให้ใครดูแล”

เลขาหนุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะสีหน้าและแววตาของเวธน์ดูไม่เหมือนกับคนพูดเล่นหรือพูดแกล้งเอาใจเขาแม้แต่น้อย

“บริษัทฉันน่ะหรือ...ก็ตั้งใจจะขายกิจการต่อให้ลูกชายของลุงน่ะ เขาเพิ่งจบมาใหม่ ๆ แล้วอยากลงทุนเกี่ยวกับงานประเภทนี้  ลุงเขาก็เลยมาปรึกษากับฉัน ว่าจะพอแนะนำอะไรได้บ้าง ฉันก็เลยบอกไปว่างั้นก็ให้ลูกชายของลุงเซ้งบริษัทต่อจากฉันไปเลยแล้วกัน เพราะจะว่าไปฉันก็ไม่ชอบพวกงานค้าขายพวกนี้นักหรอก”

กรกฎนิ่วหน้ากับสิ่งที่ได้ยินแล้วถามต่อ

“คุยเรื่องนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

เวธน์มองหน้าอีกฝ่ายพลางยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนตอบ

“ก็สองวันก่อนนั่นล่ะ...ทีแรกฉันก็ตั้งใจจะยกตำแหน่งเจ้าของที่ดินคืนนาย จากนั้นก็ว่าจะขอให้นายขยายพื้นที่หมู่บ้าน แบ่งพื้นที่ให้ฉันปลูกบ้านสักหลัง  อืม...จะว่าไปก็คงเป็นเพราะได้อิทธิพลมาจากเด็กคนนั้นล่ะนะ  ถึงทำให้ฉันเริ่มคิดว่า ตัวเองควรจะย้ายมาอยู่เป็นสมาชิกของที่นี่เต็มตัวสักที”

กรกฎมองใบหน้าระบายยิ้มของอีกฝ่าย ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างไม่ได้   

“โชคดีของผมนะครับ ที่ไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินรุ่นต่อไป เพราะขืนได้มาดูแลลูกบ้านเจ้าปัญหาที่จะเพิ่มมาอีกคน ผมคงจะปวดหัวพิลึก”

เวธน์ชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วสั่นศีรษะไปมา

“นายนี่มันจริง ๆ เลยนะ เห็นแบบนี้ฉันก็รู้จักคิดอยู่นา”

กรกฎยิ้มตอบ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบมาดูเบอร์แล้วก็หลุดหน้านิ่วคิ้วขมวดให้เวธน์ที่เห็นต้องประหลาดใจ

“เอ่อ... ผมขอตัวไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกสักครู่นะครับ”

กรกฎบอกกับคนที่มองอยู่ ซึ่งเวธน์ก็พยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังคงมองไล่หลังเลขาหนุ่มไปอย่างสงสัยไม่หาย เพราะน้อยครั้งนักที่กรกฎจะมีพฤติกรรมหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้ให้เขาเห็น  ทั้งที่ปกติแล้วไม่ว่ามีใครโทรศัพท์มาหา เจ้าตัวก็มักจะรับคุยต่อหน้าเขาโดยไม่คิดปิดบัง แถมยิ่งถ้าอยู่ในเวลางานด้วยแล้ว ส่วนใหญ่ชายหนุ่มก็มักจะเป็นฝ่ายตัดบทวางสายเอง อย่างไม่คิดจะใส่ใจธุระของปลายสายด้วยซ้ำไป



กรกฎเลี่ยงเดินไปแถวลานหน้าสำนักงานหมู่บ้านเพื่อไม่ต้องการให้เสียงคุยของตนกับปลายสายเล็ดรอดไปถึงหูของเวธน์

“นายอยู่ไหนน่ะกาย! นี่ฉันลงจากเครื่องมาแล้ว แต่ไม่เห็นเจอนายเลย!”

คนฟังถอนหายใจแล้วเปรยบอกออกไปตามตรง

“อยู่กับคุณเวธน์ จะให้บอกเขาไหมล่ะ ว่านายมาเมืองไทย ขออนุญาตออกไปรับหน่อยน่ะ”

ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเสียงงึมงำเบา ๆ จะดังขึ้นให้ได้ยิน แล้วจากนั้นจึงมีเสียงพูดตามมา

“ก็ไหนนายบอกว่าเขาชอบโดดงานประจำไงล่ะ แล้วทำไมวันนี้ถึงเข้างานได้ล่ะ”

กรกฎถอนหายใจ ก่อนจะตอบกลับไป

“ใครจะรู้ได้เล่า ฉันก็เซอร์ไพรส์ไม่ได้ต่างจากนาย ...และที่สำคัญหลังจากนี้ เขาคงมาทำงานทุกวันแล้วล่ะ ดูเหมือนจะติดใจคนในหมู่บ้านบางคนเข้าให้แล้วนี่”

เลขาหนุ่มพูดไปอย่างนั้นโดยไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ปลายสายถึงกับสะดุ้ง แล้วรีบโพล่งตามมา

“ติดใจ! คุณเวธน์ติดใจใครกัน! ผู้ชาย หรือ ผู้หญิง!”

กรกฎชะงักแล้วนิ่งทบทวนคำพูดของตัวเองเมื่อครู่ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง

“ผู้ชาย...แต่เขาเป็น...เฮ้ย! ปาล เดี๋ยวก่อนสิ บ้าชะมัด! ตัดสายไปเสียแล้วไอ้คนใจร้อนเอ๊ย!”

กรกฎบ่นอุบแล้วพยายามต่อสายเข้าหาลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสายจนกรกฎต้องยอมแพ้ไปเอง

“คงกำลังมาที่นี่...เอาไงดี ถ้าบอกคุณเวธน์ เจ้าตัวคงจะหาเรื่องหลบหน้าแน่ แต่ขืนเป็นแบบนั้น ไอ้คนขี้หึงงี่เง่านั่นก็คงเข้าใจผิดไปกันใหญ่”

เลขาหนุ่มพึมพำกับตัวเอง แล้วลงท้ายจึงตัดสินใจปล่อยเรื่องราวไปตามยถากรรม ถึงแม้ว่าอยากจะช่วยลุ้นให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาสมหวังก็ตาม แต่หากเวธน์ไม่เล่นด้วย เขาก็คงไม่คิดจะฝืนใจชายหนุ่มที่เป็นเสมือนทั้งเพื่อนและพี่ชายของเขาเช่นกัน



กรกฎกลับเข้ามาทำงานต่อตามปกติ โดยไม่ได้แสดงท่าทางอะไรให้ผิดสังเกตสักนิด ทำให้เวธน์ที่ตั้งใจจะซักถามก็จำต้องเก็บงำคำถามของตนเอาไว้ก่อน พวกเขาทำงานกันต่อไปเรื่อย ๆ จนเวลาล่วงสู่บ่ายเกือบเย็น เวธน์ก็ลุกขึ้นบิดกายเล็กน้อย แล้วเปรยขึ้นกับคนที่ทำงานอยู่ด้วยกัน

“ฉันขอตัวกลับก่อนนะกรกฎ เพราะว่าจะไปเคลียร์เรื่องบริษัทกับลุงให้เรียบร้อยไปเลยน่ะ”

กรกฎชะงักก่อนจะเหลือบมองภายนอกที่ยังไม่เห็นวี่แววว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาจะมาถึง

“คุณแฟนธอมนี่ก็จริง ๆ เลยนะ  วันนี้นอกจากตอนเช้าแล้วก็เก็บตัวเงียบในห้องทั้งวัน ขนาดฉันลองไปเคาะประตูห้องเรียก ก็ยังไม่ยอมเปิดแท้ ๆ กลัวโดนล้อไปได้”

เวธน์พึมพำบ่นต่อพร้อมกับมองห้องนอนของยามกะดึกประจำหมู่บ้าน ทำให้ไม่ทันได้สังเกตสายตาเป็นกังวลของกรกฎยามที่มองออกไปด้านนอก

“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตกลับพร้อมคุณด้วยได้ไหมครับคุณเวธน์ ผมรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย อยากกลับไปพักผ่อนน่ะครับ”

เวธน์หันมามองเลขาของเขา แล้วเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงแสดงออกถึงความเป็นห่วงคนตรงหน้าอยู่เช่นเคย

“ปวดหัวอย่างนั้นหรือ  อืม...ก็ได้ งานช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรมากนักนี่นะ ว่าแต่ขับรถไหวไหมล่ะ จะให้ฉันขับไปส่งบ้าน แล้วให้คนที่บ้านนายมาเอารถกลับไปแทนไหม”

กรกฎมองคนที่ห่วงใยเขาอย่างรู้สึกผิด แล้วจึงตัดสินใจสารภาพความจริงออกไป

“คุณเวธน์ครับ จริง ๆ แล้ววันนี้น่ะ...”

คนพูดต้องชะงักคำพูดค้างไว้ เมื่อได้ยินเสียงรถเลี้ยวมาจอดหน้าสำนักงานหมู่บ้าน

“ใครมาน่ะ คนรู้จักนายหรือกรกฎ”

เวธน์มองรถแท็กซี่ด้านนอกอย่างแปลกใจ เพราะถ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้าน หรือคนที่ได้รับการรับรองให้เข้ามาในหมู่บ้านได้ ปกติอเล็กซ์ก็มักจะไม่ปล่อยให้เข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยเช่นนี้

“ยิ่งกว่ารู้จักอีกครับ... ที่สำคัญคุณเองก็รู้จักเขาเป็นอย่างดีด้วยนะครับ”

เวธน์มองเลขาหนุ่มตาปริบ ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ เขารีบหันขวับไปมองคนที่ลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทางใบย่อม อีกฝ่ายเป็นชายตัวสูงหุ่นนักกีฬา ไว้ผมค่อนข้างสั้นจนเกือบเกรียน สวมใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลำลองสีฟ้าอ่อนและกางเกงยีนส์สีเข้ม และถึงแม้เจ้าตัวจะสวมแว่นกันแดดสีดำ แต่เวธน์มองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด

“มิน่า...นายถึงได้ทำตัวแปลก ๆ แต่เช้า”

เวธน์หันมาทางกรกฎ แล้วขมวดคิ้วยุ่งด้วยสีหน้าขรึมลง ทำให้คนถูกจ้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วตอบออกไปเสียงค่อย

“ขอโทษจริง ๆ ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอก... แถมทีแรกก็คิดว่าคุณจะไม่มาทำงานในวันนี้ด้วยซ้ำไป”

“เฮ้อ! อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันก่อน จะได้แวบหลบทันบ้าง!”

เวธน์ที่เห็นสีหน้าสำนึกผิดของอีกฝ่ายก็อดสงสารไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ชอบที่จะเจอหน้าลูกพี่ลูกน้องของเลขาหนุ่มอยู่ดี

“ถ้าคุณไม่ชอบเขาจริง ก็ลองปฏิเสธตรง ๆ แรง ๆ ดูสักครั้งสิครับ หมอนั่นจะได้เลิกยุ่งกับคุณสักที”

กรกฎบอกกับคนที่มีสีหน้าหงุดหงิดข้างกาย ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้คนฟังสะดุ้งโหยง

“ฉันก็เคยปฏิเสธเขาหลายครั้งแล้วนะ ไม่ใช่ไม่เคย แต่หมอนั่นก็ยังตื๊อไม่เลิกเองนี่นา”

กรกฎมองคนพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงตอบเขา แล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจที่คุณทำเสมอนั่นมันไม่เจ็บนี่ครับ ...ยิ่งหมอนั่นเป็นพวกช่างตื๊ออยู่แล้ว รับรองไม่เลิกราง่าย ๆ หรอกครับ”

เวธน์เม้มปากน้อย ๆ อย่างลำบากใจ จริง ๆ เขาก็อยากทำตามที่กรกฎแนะนำอยู่หรอก แต่พอเห็นใบหน้าแบบนั้นมันก็ทำรุนแรงไม่ลงสักที

    “สวัสดีครับคุณเวธน์ ...คิดถึงคุณจัง ไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือนเลยนะครับ คิดถึงผมบ้างไหม”

แขกผู้มาเยือนเปิดประตูเข้ามา แล้วเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม เจ้าตัววางกระเป๋าเดินทางพร้อมกับถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาซึ่งคล้ายคลึงกับคนที่เวธน์แอบหลงรักข้างเดียวมานานจนบัดนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเสียชีวิตไปหลายปีแล้วก็ตาม

 “จริง ๆ นายน่าจะหายไปสักสามปีนะปาลิน เผื่อฉันจะได้รู้สึกถึงคำว่าคิดถึงได้บ้าง”

เวธน์บอกพร้อมกับทำเป็นเมินไปทางอื่น เพราะไม่อยากสบตากับอีกฝ่ายโดยตรงนั่นเอง

“ใจร้ายจังนะครับ ผมหรือสู้คิดถึงคุณทุกวัน...ขนาดเวลาว่าง ยังเอารูปคุณมานั่งมอง แล้วก็...”

ปาลินหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้นแล้วยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอากรกฎขมวดคิ้ว ส่วนเวธน์หันกลับมาจ้องอีกฝ่าย พร้อมกับมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่พอใจเรื่องที่ชายหนุ่มนั้นหน้าเหมือนกอบพล แต่กลับชอบทำตัวเจ้าเล่ห์แถมชอบลวนลามใส่เขาทั้งวาจาและการกระทำอยู่เสมอ

    “คุณเวธน์จะรีบกลับไปเจรจาธุรกิจสำคัญไม่ใช่หรือครับ ถ้าไปช้าจะไม่ดีต่อคู่ค้านะครับ”

กรกฎที่ฟังอยู่เอ่ยแทรกขัดขึ้นมา เพื่อไม่ต้องการให้เกิดการทะเลาะโต้เถียงกันขึ้น  ซึ่งเวธน์ก็ชะงัก ก่อนจะหันไปพึมพำขอบคุณเลขาหนุ่มที่ช่วยหาเรื่องให้เขาปลีกตัวหนีห่างปาลินได้  ทว่ากลับทำให้อีกคนขมวดคิ้วยุ่ง แล้วหันไปทำตาดุใส่ญาติผู้น้องที่อายุห่างกันเพียงแค่หนึ่งเดือน หากแต่กรกฎนั้นมิได้นึกกลัวปาลินแต่อย่างใด เพียงแค่รู้สึกว่าหลังจากที่เวธน์ไปแล้ว เขาคงต้องทนรำคาญฟังคำบ่นโวยวายจากคนตรงหน้านี้อีกนานเป็นแน่

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนล่ะนะ”

เวธน์ตัดบทแล้วเตรียมเดินจากไป ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อถูกดึงข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อน! ผมอยากรู้ว่า คุณมีคนที่ชอบคนใหม่จริง ๆ หรือ  แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่!”

ปาลินตะคอกถามเสียงดังเพราะรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกอีกฝ่ายเมินใส่ เพราะขนาดตอนบอกลา เวธน์ยังมองแค่กรกฎแล้วเมินไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ

“ฉันจะชอบใครมันก็ไม่เกี่ยวกับนายไม่ใช่หรือไง!”

เวธน์บอกเสียงห้วน เพราะไม่พอใจที่ถูกอีกฝ่ายขึ้นเสียงและยังใช้กำลังบังคับเขาที่มีอายุมากกว่าหลายปี น้ำเสียงและสีหน้าขุ่นเคืองของชายหนุ่มทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดถึงกับชะงักงัน

“คุณเวธน์...”

ปาลินที่รู้สึกตัว เรียกชื่อชายหนุ่มแผ่วเบา ก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นออก แล้วพึมพำขอโทษด้วยใบหน้าสลดลง ทำให้เวธน์ต้องเม้มปากน้อย ๆ แล้วเมินมองไปอีกทาง  สักพักชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินออกจากสำนักงานหมู่บ้านไป ทว่าระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูออกไปอยู่นั้น น้ำเสียงเศร้า ๆ ของปาลินก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา

“ผมรักคุณนะคุณเวธน์ ...ผมหลงรักคุณตั้งแต่ตอนเจอคุณที่งานศพของอากอบเป็นครั้งแรก ...รักทั้งที่รู้ว่าคุณชอบอากอบ และพยายามหลบหน้าผมที่คล้ายกับอามาก ...ผมรอคุณได้เสมอ ถ้าคุณยังไม่ลืมอากอบและไม่พร้อมที่จะมีรักใหม่ ...แต่ผมยอมไม่ได้ ถ้าคนที่คุณจะมีความรักใหม่ด้วยนั่น ไม่ใช่ตัวผม”

คำสารภาพที่ฟังมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และมันก็ทำให้เวธน์เกลียดปาลินไม่ลง จนไม่กล้าที่จะปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเพื่อตัดความสัมพันธ์ออกไป   

    ทว่าต่อให้ปาลินดีกับเขามากเพียงใด เขาก็ยังคงไม่สามารถตอบรับความรักของอีกฝ่ายได้ เพราะเขานั้นยังไม่อาจจะลืมคนที่เขาเคยรัก และเขาก็ไม่ต้องการให้ปาลินเป็นตัวแทนของกอบพลด้วย   

    ปาลินนั้นอายุยังน้อย หน้าตาดี ฐานะร่ำรวย การศึกษาสูง เป็นผู้ชายที่สมควรจะมีคนรักเป็นผู้หญิงดี ๆ สักคน และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นต่อไปในอนาคต มากกว่าที่จะมาจมปรักกับเขาที่ไม่อาจจะลืมคนในอดีตลงได้สักที

“ฉันไม่รู้ว่านายเข้าใจผิดอะไรมานะปาลิน แต่ฉันไม่ได้มีใครใหม่ หรือชอบใครใหม่ทั้งนั้น...”

เวธน์เว้นวรรคไว้ชั่วครู่ จ้องมองใบหน้าของคนที่ดูตกใจและเริ่มมีรอยยิ้มอย่างคาดหวังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบางประโยคที่เขาไม่กล้าจะพูดต่อหน้าอีกฝ่ายมาตลอดออกไปในที่สุด

“เพราะคนที่ฉันจะรักตราบชั่วชีวิตนี้จะมีแต่พี่กอบคนเดียว...และถึงแม้ว่าใบหน้าของนายจะเหมือนพี่กอบขนาดไหน  แต่สำหรับฉันแล้ว นายก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี”

บอกจบเวธน์ก็เปิดประตูเดินจากไป ทิ้งให้ปาลินมองตามไปเงียบ ๆ ส่วนกรกฎนั้นกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย เพราะถึงแม้ว่าเวธน์จะไม่ได้พูดจาตะคอกโวยวายรุนแรง แต่ก็แสดงถึงความเด็ดขาดชนิดไม่หลงเหลือเยื่อใยแห่งความหวังให้กับญาติผู้พี่ของเขา

“ตัดใจเถอะปาล คุณเวธน์เขารักอากอบมากเลยนะ”

ปาลินหันมามองหน้าญาติผู้น้อง แล้วจึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเศร้า ๆ

       “ไม่ได้หรอกนะกาย ถ้าฉันตัดใจ คุณเวธน์ก็น่าสงสารแย่น่ะสิ”

    กรกฎชะงักก่อนจะเงียบกริบพูดอะไรไม่ออก จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากให้เวธน์ปิดหัวใจเลิกรักใครเช่นกัน  เพราะต่อให้เวธน์รู้สึกมั่นคงกับกอบพลแค่ไหน อาของเขาก็ไม่มีวันจะกลับคืนมาอยู่เคียงข้างชายหนุ่มได้อีกแล้ว

“อีกอย่าง ถ้าฉันไม่คิดไปเอง คุณเวธน์อาจจะชอบฉันเข้าให้แล้วก็ได้...แต่คงเพราะคิดว่าตัวเขาชอบฉันเพราะฉันหน้าเหมือนอากอบ เลยไม่กล้ายอมรับความจริงเรื่องนี้ต่างหาก”

คำพูดถัดมาของชายหนุ่มทำให้กรกฎขมวดคิ้วยุ่ง แต่พอหวนคิดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ปาลินเริ่มสารภาพรักและตามตื๊อเวธน์ ก็อดทำให้เขาเห็นด้วยกับคำพูดของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่ได้ เพราะเวธน์นั้นแม้จะแสดงให้เห็นว่าเบื่อหน่าย หงุดหงิด แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจปาลินอย่างออกหน้าออกตาเลยสักครั้งเดียว

   “ฉันไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก  ฉันจะทำให้เขายอมเปิดรับฉันเข้าไปในหัวใจของเขาบ้างให้ได้!”

ปาลินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง จนกรกฎนึกทึ่งที่อีกฝ่ายมีรักมั่นคงกับเวธน์ถึงขนาดนี้

“ถ้านายเอาจริง ฉันก็จะเอาใจช่วยแล้วกัน”

กรกฎบอกกับญาติผู้พี่ของเขา ซึ่งคนฟังก็ยิ้มน้อย ๆ พร้อมพึมพำขอบคุณตามมา ทว่าจู่ ๆ ปาลินก็เหมือนจะนึกอะไรได้ เจ้าตัวขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วย้อนถามกลับไปเสียงห้วน

“แล้วคนที่นายบอกว่าคุณเวธน์เขาติดใจคือใครกัน!”

แม้จะพอมั่นใจว่าเวธน์คงไม่คิดจะเปิดใจรับรักใครอีก แต่แค่เพียงมีคนที่ชายหนุ่มเริ่มให้ความสนใจเป็นพิเศษปรากฏกายขึ้น ปาลินก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใครทั้งนั้น ขนาดเขาเห็นเวธน์ครั้งแรกเขายังตกหลุมรักชายหนุ่มได้ในทันทีด้วยซ้ำ

“หือ...เรื่องนั้นน่ะหรือ เฮ้อ! ก็จะอธิบายตั้งแต่แรกทางโทรศัพท์แล้ว นายก็งี่เง่าตัดสายไปก่อน ...คนที่เขาติดใจน่ะ อายุน้อยกว่าพวกเราไม่กี่ปี เพิ่งมาทำงานเป็นยามกะเช้าที่นี่ได้ไม่กี่วัน เขาเป็นเด็กดี นิสัยร่าเริง คุณเวธน์ก็เลยถูกชะตาด้วย ...ว่าแต่ตอนนั่งแท็กซี่เข้ามาไม่ได้เจอหรือไง”

ปาลินนิ่วหน้าแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ พอได้ฟังแบบนี้เขาก็ค่อนข้างเบาใจลงหน่อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังประมาทไม่ได้อยู่ดี

    “สงสัยจะไปขี่จักรยานตรวจตรารอบ ๆ หมู่บ้าน  คุณกีรติเขาเป็นคนขยันเอาการเอางานและมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับทุกคนที่นี่ได้ตั้งแต่วันแรกที่มาทำงาน แถมพอรู้ตัวจริงของพวกคนในหมู่บ้านก็ยังไม่กลัวเลยสักนิด  ซ้ำยังยอมรับทุกคนได้ง่าย ๆ อีก คุณเวธน์ก็เลยยิ่งติดใจไปใหญ่  อ้อ! ไม่ต้องทำหน้าหงิกอย่างนั้นหรอก ความรู้สึกที่คุณเวธน์มีต่อเขาไม่ใช่อย่างที่นายคิดแน่ ถ้านายได้เจอเขา นายก็จะรู้เองนั่นล่ะว่าทำไม”

ปาลินสะดุ้งเล็กน้อย แล้วจึงตัดสินใจออกไปรอพบกีรติที่ป้อมยาม ทำให้กรกฎต้องขอตามไปด้วยอีกคน เพราะเท่าที่เขาเคยสังเกตและได้ยินข่าวลือมา กีรตินั้นดูจะซื่อและหัวช้าในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แถมอเล็กซ์ก็มักชอบให้ข้อมูลที่ชวนให้คนฟังเข้าใจผิดอยู่เสมอ ขืนปล่อยให้ 1 คน กับอีก 1 สมองกล ได้พบกับปาลินตามลำพัง โดยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย กรกฎค่อนข้างมั่นใจว่าญาติผู้พี่ของเขาคงไม่แคล้วเข้าใจเรื่องของกีรติและเวธน์ผิดเอาง่าย ๆ เป็นแน่



         
… TBC …



ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ตอนที่ 14
ยอมรับ




พอกีรติกลับมาจากการขี่จักรยานตรวจตรารอบหมู่บ้านในช่วงบ่าย  เขาก็ได้พบว่ามีชายแปลกหน้ายืนรอเขาอยู่พร้อมกับกรกฎ ซึ่งชายคนนั้นมีใบหน้าค่อนข้างคล้ายคลึงกับเลขาหนุ่มอยู่มากทีเดียว

“สวัสดีครับ ผมชื่อปาลินเป็นญาติกับกรกฎ... คุณคือคุณกีรติสินะ”

ชายแปลกหน้าเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน ทางด้านกีรติพยักหน้ารับรู้แล้วตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่ครับ ผมชื่อกีรติ เพิ่งจะมาทำงานยามกะเช้าที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณปาลิน”

 ปาลินมองชายหนุ่มตัวเล็กหน้าเด็กตรงหน้าอย่างพิจารณายิ่งกว่าเดิม อีกฝ่ายมีใบหน้าหวานน่ารัก นี่ถ้ากรกฎไม่บอกเขาล่วงหน้าว่ากีรติอายุเท่าใด เขาก็คงนึกว่าเวธน์นั้นจ้างเด็กอายุไม่ถึง 18 ปี มาทำงานเป็นแน่

“คุณกีรติมีคนรักหรือยังครับ”

คำถามแรกของปาลิน ทำเอากรกฎสะดุ้งโหยง ส่วนกีรตินั้นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพราะไม่คิดว่าจะถูกคนแปลกหน้าถามเรื่องส่วนตัวเข้าให้

“เอ่อ...ยังไม่มีครับ”

“ใช่ครับ ยังไม่มี แต่คนสนใจนี่หลายคนอยู่”

เสียงอเล็กซ์เสริมมาหลังจากที่กีรติพูดจบ ทำเอากีรติสะดุ้งแล้วหันขวับไปที่ป้อมยาม แต่ที่เขาตกใจไม่ใช่เรื่องที่ว่ามีคนสนใจตน แต่เป็นเพราะเรื่องที่อเล็กซ์พูดกับคนอื่นนอกหมู่บ้านต่างหาก

“หลายคน...หวังว่าคงไม่รวมคุณเวธน์เข้าไปด้วยนะ”

ปาลินมองไปที่ป้อมยามพร้อมกับถามต่อ ส่วนกรกฎลอบถอนหายใจ เพราะสิ่งที่เขาคิดเอาไว้มันแทบจะไม่ผิดสักนิด

“เอ๋? คุณปาลินรู้จักคุณอเล็กซ์ด้วยหรือครับ”

คำถามของกีรติทำให้อเล็กซ์ที่กำลังจะตอบเงียบไป เช่นเดียวกับกรกฎแล้วก็ปาลิน

“อ๊ะ...ขอโทษทีครับ ผมลืมบอกคุณไป ปาลเขารู้เรื่องในหมู่บ้านแห่งนี้ดีพอ ๆ กับผมและคุณเวธน์นั่นล่ะครับ”

กีรติพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ต่อคำตอบของกรกฎ แล้วก็ยืนเฉยตามมารอว่าจะมีใครพูดอะไรต่อ ทำเอาปาลินต้องขมวดคิ้ว เพราะอีกฝ่ายไม่คิดจะแก้ตัวเรื่องเวธน์เลยสักนิด   

“ตกลงคุณกีรติคิดยังไงกับคุณเวธน์กันแน่”

ปาลินถามอีกฝ่ายอย่างต้องการจะได้คำตอบให้แน่ชัด ทำให้กีรติมีสีหน้างุนงงชั่วครู่ ส่วนกรกฎหันไปลอบถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อญาติผู้พี่ของเขายังไม่ยอมเลิกราสักที

“กับคุณเวธน์หรือครับ...ก็เป็นเจ้านายที่ดี มีมนุษยสัมพันธ์แล้วก็ใจกว้าง เป็นคนดีมากคนหนึ่งน่ะครับ”

กีรติตอบพร้อมยิ้มแย้มจริงใจ เสียจนคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคอ ต่อความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ฉายอยู่ในแววตาคู่นั้น เขาพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้างที่อย่างน้อยกีรติก็ไม่ได้คิดในแง่นั้นกับเวธน์  ส่วนเวธน์ก็คงจะรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายอย่างที่กรกฎเคยบอก เพราะจะว่าไปกีรตินั้นก็ให้ความรู้สึกชวนเอ็นดูต่อคนที่ได้พบเห็นอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“อ๊ะ! จริงสิ นึกยังไงคุณถึงมาทำงานเป็นยามล่ะครับ หน้าตาอย่างคุณน่ะ ไปทำงานสบาย ๆ กว่านี้ รายได้ดีกว่านี้ได้ตั้งหลายงานแท้ ๆ”

ปาลินทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยหลังจากได้รับรู้ในสิ่งที่ตนคาใจเรียบร้อย ทว่ากรกฎที่ฟังอยู่ด้วยถึงกับสะดุ้งแล้วโพล่งตำหนิญาติผู้พี่ของตนทันที

“ปาล! เสียมารยาทนะ!”

ปาลินสะดุ้ง พอ ๆ กับกีรติที่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นกรกฎขึ้นเสียงเช่นนี้มาก่อน   

“เอ๋!? ฉันพูดผิดตรงไหนหรือ ฉันก็พูดออกไปตามที่เห็นเท่านั้นเอง!”

ปาลินหันไปบอกกับลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างงุนงง ทำให้กรกฎต้องถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอาอีกครั้งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะเอ่ยปากบอก เสียงของอเล็กซ์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าให้ผมเดา ผมคิดว่า คุณกรกฎโมโหก็เพราะสิ่งที่คุณปาลินพูดกับคุณกีรติ มันเหมือนกับบอกให้คุณกีรติไปทำงานประเภทขายหน้าตาแทนความสามารถน่าจะดีกว่าน่ะครับ  ซึ่งงานประเภทนั้นถ้าจะให้จำแนกแล้ว มันก็มีงานบางประเภท ที่มีภาพพจน์ออกเชิงลบในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปอยู่ด้วยน่ะครับ”

คำอธิบายของอเล็กซ์ทำให้ปาลินนิ่งคิดตาม แล้วจึงสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบหันขวับไปทางกีรติทันที

“โอ๊ย! ตายล่ะ! ผมต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดสื่อไปถึงแบบนั้นจริง ๆ ผมแค่จะพูดถึงพวกงาน นายแบบ นักร้อง ดารา หรืออะไรก็ได้ที่หน้าตาและบุคลิกภาพมีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ น่ะ!”

กรกฎสั่นศีรษะอย่างระอาแล้วจึงขอโทษกับกีรติเช่นกัน

“ผมก็ต้องขอโทษแทนปาลเขาด้วยนะครับคุณกีรติ”

กีรติมองทั้งคู่อย่างงุนงง เพราะตอนนี้เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่า คนอื่นนั้นขอโทษเขาทำไม และอาชีพอะไรที่ทำให้ทุกคนมีปฏิกิริยาเช่นนี้

“เอ่อ...ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เพราะผมคิดว่าจะอาชีพไหน ๆ ก็ต้องใช้ความรู้ ประสบการณ์ และความเพียรพยายามด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ผมไม่คิดอะไรมากนักหรอกครับ”

กีรติตอบออกไปแล้วยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ ทำเอาอีกสองคนมองตาปริบ ๆ โดยเฉพาะกรกฎนั้นเริ่มคิดว่า บางทีอีกฝ่ายอาจจะนึกตามไม่ทันก็ได้ว่า พวกเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่

“นั่นสิครับ ผมก็เห็นด้วยกับคุณกีรติ อย่างอาชีพที่ว่ามาก็ต้องใช้ความสามารถในการชักจูงเจรจาต่อรอง และยังต้องใช้จิตวิทยาในการทำให้ลูกค้าพึงพอใจ ซ้ำยังต้องฝึกฝนปฏิบัติและศึกษาเรียนรู้ถึงความชอบพอของลูกค้าในแต่ละประเภท เพื่อเพิ่มคุณค่าของตนไว้แข่งขันกับคู่แข่งคนอื่นอีก  อืม...จะว่าไปก็ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ เลยนะครับ”

อเล็กซ์เอ่ยเสริมตามมาด้วยคำพูดที่ทำให้กรกฎและปาลินสะดุ้งโหยง ส่วนกีรติก็กำลังนิ่งคิดว่าอาชีพที่ทุกคนพูดกันคืออะไรกันแน่ ทว่าระหว่างที่กรกฎกำลังคิดเปลี่ยนเรื่องสนทนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของกีรติ เสียงโทรศัพท์มือถือของปาลินก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“อ้าว...หมอนั่นโทรมาทำไมกัน ขอโทษทีนะกาย ขอคุยโทรศัพท์แป๊บนึง”

ปาลินดูเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วหันไปบอกกับกรกฎ พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงขอตัวกับกีรติ ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตอบรับ แล้วจึงมองปาลินที่กดรับโทรศัพท์และเริ่มต้นบทสนทนาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างสนอกสนใจ

“ปาลเขาลงทุนเปิดร้านอาหารไทยร่วมกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสของเขาที่ปารีสน่ะครับ ร้านเปิดมาได้เกือบสองปีแล้ว หมอนี่รับผิดชอบเรื่องสูตรอาหารกับวัตถุดิบที่จะใช้  ส่วนเรื่องบริหารดูแลร้านก็ยกให้เพื่อนเขาไปนั่นล่ะครับ”

กรกฎเล่าให้กีรติฟังถึงหน้าที่การงานของญาติผู้พี่ ซึ่งกีรติก็หันไปจ้องมองปาลินด้วยสีหน้าทึ่ง เพราะหุ่นนักกีฬาอย่างอีกฝ่าย ดูแล้วแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีความสนใจและชำนาญในด้านสูตรอาหารไทยกับเขาด้วยเช่นกัน

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกครับคุณกีรติ หมอนั่นถามสูตรจากคนอื่นเขาทั้งนั้นล่ะครับ ให้ทำเองไม่ค่อยรอดหรอก เพราะเขาเป็นคนใจร้อนและไม่ค่อยละเอียดอ่อนเท่าไหร่นัก”

กรกฎขัดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของคนข้างกาย ทำเอากีรติสะดุ้งโหยงพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้อีกฝ่ายที่เดาความคิดเขาออก ทำเอากรกฎต้องอมยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ

“แต่ถึงยังไงปาลเขาก็ยังมีดีอยู่ล่ะนะครับ เพราะลิ้นของหมอนั่นเป็นลิ้นระดับนักชิมแถวหน้าเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแค่ชิมก็แยกแยะเครื่องปรุงได้เลยนั่นล่ะครับ”

กีรติยิ่งนึกทึ่งกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก เพราะแม้แต่คนทำอาหารเป็นบางคน ก็ยังไม่สามารถแยกแยะวัตถุดิบในการทำได้จากการชิมด้วยซ้ำ

“หือ...ดูเหมือนว่าจะมีปัญหานะครับ”

กีรติที่มองอยู่ชะงักแล้วเอ่ยขึ้น ทำให้กรกฎหันไปมองญาติผู้พี่ ที่ตอนนี้กำลังขมวดคิ้วรับฟังปลายสาย พลางเผลอบ่นกับตัวเองเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างเคยชิน ซึ่งกรกฎนั้นก็พอจะฟังออกเล็กน้อยว่าปาลินกำลังมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับร้านอาหารของเจ้าตัว   

    “ปาลมีอะไรให้ช่วย...”

ยังไม่ทันที่กรกฎจะพูดจบ กีรติที่ฟังอยู่ก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ผมว่าเพิ่มพวกผัดหมี่กะทิ หรือไม่ก็ผัดหมี่กรอบทรงเครื่องลงไปดีไหมครับคุณปาลิน รสชาติน่าจะถูกปากชาวต่างชาตินะครับ”

ปาลินเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ แล้วรีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะพูดกับปลายสายต่ออย่างรวดเร็ว และเมื่อวางสายลงเจ้าตัวก็หันมายิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณกับคนที่เสนอไอเดียให้กับเขา

“ขอบคุณจริง ๆ นะครับคุณกีรติ ถ้าไม่ได้คุณช่วยผมคงต้องงมคิดเองอีกนานเลย เรื่องเร่งด่วนเสียด้วย อ้อ! ทางร้านผมรับจัดอาหารสำหรับงานเลี้ยงด้วยน่ะครับ แล้วทีนี้ลูกค้าดันรีเควสรายการพวกเส้นเพิ่มเสียเกือบจวนตัว เพื่อนของผมก็เลยต้องรีบโทรมาปรึกษานี่ล่ะครับ”

กีรติยิ้มตอบรับ ทว่ากรกฎที่มองอยู่ขมวดคิ้วยุ่ง พลางจ้องกีรติเขม็งเสียจนปาลินที่หันมาเห็นแปลกใจ

“นายเป็นอะไรไปกาย ไหงจ้องคุณกีรติเขาแบบนั้นล่ะ”

กรกฎหันไปมองหน้าญาติผู้พี่ ก่อนจะหันกลับมามองกีรติที่ทำหน้างุนงงไม่แพ้กัน

“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณกีรติฟังภาษาฝรั่งเศสออกด้วยนะครับ”

กรกฎบอกพร้อมรอยยิ้มแปลก ๆ ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงจ้องเขาแบบนั้น

“เอ่อ...คือ แบบว่า...”

ระหว่างที่กีรติกำลังหาข้อแก้ตัว เสียงอเล็กซ์ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“คุณกีรติรู้ภาษาฝรั่งเศสด้วยหรือครับนั่น นี่ถ้ารวมไทย อังกฤษ กับญี่ปุ่นไปด้วย คุณก็อ่านออกเขียนได้ถึง 4 ภาษาเลยทีเดียวนะครับ”

กีรติยิ้มเจื่อน เพราะคำพูดของอเล็กซ์นั้นปิดโอกาสแก้ตัวของเขาจนหมดสิ้น คงต้องโทษที่เขาเกิดสนใจเรื่องเกี่ยวกับอาชีพที่ริวเคยทำ อเล็กซ์ก็เลยค้นหาข้อมูลให้เขา ซึ่งเจ้าตัวก็ดันหามาให้แต่ข้อมูลที่เป็นภาษาญี่ปุ่นกับอังกฤษแทบทั้งนั้น แล้วพอนึกขึ้นได้อีกฝ่ายก็อาสาจะแปลเป็นไทยให้ แต่เขาดันเผลอค้านด้วยความเกรงใจพร้อมบอกออกไปว่า เขานั้นอ่านออกทั้งอังกฤษและญี่ปุ่น ก็เลยทำให้ความลับบางส่วนของเขาถูกล่วงรู้จนได้

“เอ่อ...คือ ...ความจำของผมค่อนข้างดีน่ะครับ”

กีรติเลี่ยงตอบโดยอิงความจริงบางส่วน เนื่องจากเขาทราบมาว่า อเล็กซ์นั้นมีเครื่องจับเท็จติดตั้งอยู่ด้วย ขืนโกหกออกไปก็คงโดนจับได้แน่

“สำหรับผมเรียกว่าดีมากเลยนะนั่น ขนาดผมเรียนจนจบโทยังพูดได้แค่สองสามภาษาเท่านั้นเอง”

ปาลินบอกไปอย่างนึกทึ่ง ซึ่งกรกฎก็พิจารณาชายหนุ่มร่างเล็กอีกครั้ง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ

“เอาเถอะครับ...สมาชิกในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่ ก็เป็นพวกมีความลับปิดบังเรื่องก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่กันคนละอย่างสองอย่างอยู่แล้ว ถ้าคุณจะมีกับเขาบ้าง มันก็คงเป็นเรื่องธรรมดาล่ะนะ”

กีรติมองกรกฎอย่างรู้สึกผิดนิด ๆ แต่เพราะคำมั่นที่ให้ไว้กับบิดา เรื่องที่จะไม่เปิดเผยความลับชาติกำเนิดของเขาให้ใครรู้ จนกว่าจะถึงเวลาที่เขาได้กลับบ้านเกิดมาถึง จึงทำให้เขาต้องเก็บงำความลับนี้ไว้กับตัว นี่ถ้าหากเขาไม่ได้ให้คำมั่นสัญญากับบิดาเอาไว้ล่ะก็ เขาก็พร้อมจะบอกทุกอย่างให้กับทุกคนที่นี่ได้รู้โดยไม่คิดปิดบังอะไรอยู่แล้ว

“ขอบคุณครับที่ไม่บังคับกัน”

กีรติบอกพึมพำกับกรกฎซึ่งเลขาหนุ่มก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงหันไปทางป้อมยามแล้วเอ่ยบางอย่างดักคอเอาไว้ก่อน

“ผมหวังว่าคงไม่เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกันขึ้นมาหลังจากผมกลับไปแล้วนะครับ ...ถ้าคุณเป็นสมองกลที่อัจฉริยะผู้นั้นสร้างขึ้น ก็คงแยกแยะได้ใช่ไหมครับ...อเล็กซ์”

พอกรกฎพูดจบ ความเงียบก็เข้ามาครอบงำบริเวณนั้นทันที ทางด้านปาลินมองญาติผู้น้องด้วยสายตาขยาดเล็กน้อย ส่วนกีรติยิ้มเจื่อน ๆ พร้อมกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว เพราะไม่คิดว่าคนสุภาพยิ้มง่ายและดูเป็นมิตรที่เขารู้จัก จะเป็นคนน่ากลัวที่รู้เท่าทันความคิดคนอื่นไปเสียหมด แม้กระทั่งระบบสมองกลอย่างอเล็กซ์ ยังถูกอ่านออกได้อย่างง่ายดายเลยด้วยซ้ำ

“ว่ายังไงล่ะครับ อเล็กซ์  ...ผมยังไม่ได้คำตอบเลยนะครับ”

กรกฎย้ำตามมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนาน และพอได้ยินดังนั้น เสียงตอบรับฉะฉานก็ดังขึ้นทันที

“รับทราบ และจะปฏิบัติตามนั้นครับ!”

“หึ ๆ ดีมากครับ ...ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับคุณกีรติ  ...กลับกันได้แล้วปาล รบกวนเวลางานคุณกีรติเขามานานแล้ว”

กรกฎบอกกับอเล็กซ์ แล้วหันมาขอร้องกึ่งสั่งญาติผู้พี่ของตน ซึ่งปาลินก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี ส่วนกีรติก็ได้แต่มองตามไล่หลังพวกเลขาหนุ่มไปเงียบ ๆ และเมื่อลับร่างทั้งคู่จากสายตาไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้แถวนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

“เกือบไปแล้วเรา คราวหน้าคงต้องระวังเรื่องความเคยชินสักหน่อยแล้ว”

กีรติพึมพำกับตัวเอง จะว่าไปก่อนหน้านั้นเขาก็เกือบเผลอพูดภาษาจีนตอบลีไปหน โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ทันเอะใจ เขาก็เลยรอดตัวจากการโดนซักไปเช่นกัน

‘นี่ถ้ารู้ว่าจริง ๆ แล้ว เราอ่านเขียนได้หลายภาษากว่านี้ เห็นทีคงจะถูกสงสัยอีกรอบแน่’

กีรตินิ่งคิดแล้วจึงเผลอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำเอาอเล็กซ์เกิดอาการสนใจทันที แต่พอหวนนึกถึงคำเตือนของกรกฎ ก็ทำให้เจ้าตัวเลิกคิดถาม แล้วอยู่เงียบ ๆ ไปแทน เพราะถึงแม้กรกฎจะไม่น่ากลัวเท่ากับแฟนธอมเวลาโมโหก็จริง แต่จากข้อมูลที่เขามี มนุษย์อย่างกรกฎเวลาโกรธขึ้นมาดูจะยิ่งน่ากลัวกว่าแฟนธอมยามโกรธหลายเท่าเลยทีเดียว

  ..
..

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4



อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของเวธน์ หลังจากที่ชายหนุ่มกลับมาจากการเจรจาโอนถ่ายกรรมสิทธิ์บริษัทเฟอร์นิเจอร์ของตนกับผู้เป็นลุงแล้ว เขาก็ตรงกลับห้องพักในคอนโดซึ่งตั้งไม่ห่างจากบริษัทเท่าใดนัก

“เด็กบ้านั่น จะตัดใจได้สักทีไหมนะ”

เวธน์พึมพำกับตนเองหลังทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างทั้งชุดทำงานแบบนั้น

“ถ้าเด็กนั่นตัดใจได้จริง ๆ ก็คงดี...”

เวธน์หลับตาหวนคิดถึงภาพปาลิน ยามที่อีกฝ่ายมีหญิงสาวคนรักและลูกเล็ก ๆ เคียงข้าง มันช่างดูเป็นครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น หากแต่หัวใจของเขากลับเจ็บแปลบขึ้นมาแทน  เวธน์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลางแค่นหัวเราะออกมาแผ่วเบา เพราะในที่สุดเขาก็เริ่มรู้สึกตัวสักทีว่า เขาเองก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่ออีกฝ่ายบ้างแล้วเช่นกัน

“...ทั้งที่เด็กนั่นนิสัยไม่เหมือนกับพี่กอบเลยแท้ ๆ ทั้งช่างตื๊อ ทั้งเจ้าเล่ห์ หัวดื้อ ...จะหาความเป็นสุภาพบุรุษอ่อนโยนแบบพี่กอบสักนิดก็ไม่มี”

เวธน์พึมพำอย่างไม่เข้าใจตนเอง ว่าเหตุใดจึงยอมรับปาลินได้เช่นนี้ แต่เขาก็กลัวว่า บางทีที่เขาชอบชายหนุ่ม มันอาจจะเป็นเพราะว่าใบหน้าที่เหมือนกอบพลนั่นก็ได้ และถ้าปาลินรู้เข้า ชายหนุ่มก็คงต้องเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ที่ถูกเขามองว่าเป็นตัวแทนของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว

“ไม่ได้...จะต้องตัดใจเสียแต่เนิ่น ๆ จะต้องไม่ถลำลึกไปมากกว่านี้”

เวธน์บอกกับตัวเอง ก่อนจะหลับตาลงหลังจากนั้น และหลับสนิทตามมาในเวลาไม่นานด้วยความอ่อนเพลีย อันเกิดจากความเครียดที่ก่อตัวขึ้น นับตั้งแต่ได้พบเจอกับปาลินอีกครั้ง



เช้าวันถัดมาเวธน์ไม่ต้องไปทำงาน เพราะถึงแม้จะยังไม่ได้ส่งมอบบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เขาก็อยากให้ลูกชายของลุงได้เรียนรู้งานบริหารและทำความรู้จักพนักงานของเขาเอาไว้เนิ่น ๆ และเป็นที่โชคดีของพนักงานทุกคน ที่ญาติผู้น้องของเขาคนนี้เป็นคนดี สุภาพ และค่อนข้างเปิดใจรับฟังความคิดคนอื่น ซึ่งเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะได้รับการร่วมมือจากพนักงานในบริษัทเป็นอย่างดีเหมือนดังเช่นเมื่อครั้งที่เขาเคยเป็นมา

    “ว่างแบบนี้ แวะเข้าไปหมู่บ้านดีไหมนะ”

เวธน์พึมพำกับตนเอง แล้วจึงตัดสินใจเดินทางออกจากห้องที่คอนโด ตรงไปหมู่บ้านมีสุข เพราะอย่างน้อยที่นั่นก็ยังมีกรกฎ และพวกกีรติเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา โดยไม่ทันได้นึกถึงว่ายังมีอีกคนที่อาจจะมาดักรอคอยเขาอยู่ที่แห่งนั้นก็ได้



เวธน์เม้มปากน้อย ๆ อย่างนึกสังหรณ์ใจบางอย่าง เพราะระหว่างที่ชะลอรถเพื่อทักทายกีรติ  เขาก็เหลือบไปเห็นรถของกรกฎจอดในโรงจอดรถข้างสำนักงานหมู่บ้านลิบ ๆ เขาจึงได้หันไปถามกีรติที่ยืนยามอยู่   

“วันนี้มีใครมากับกรกฎด้วยหรือเปล่าน่ะ”

    กีรติสะดุ้งโหยงแล้วมีทีท่าอึกอักผิดเคย ทั้งนี้เพราะชายหนุ่มนั้นถูกปาลินกำชับเอาไว้ไม่ให้บอกเวธน์ว่าเจ้าตัวแอบตามมาด้วย

“อย่างนั้นหรือ...หมอนั่นมาสินะ”

เวธน์พึมพำแผ่วเบา มองจากปฏิกิริยาตอบรับที่กีรติมี ก็ทำให้เขาพอจะคาดเดาคำตอบได้เองโดยที่กีรติไม่ต้องบอก และแม้จะรู้สึกลำบากใจเพียงใด แต่ลึก ๆ เขาก็ยินดีที่ปาลินนั้นยังไม่คิดเลิกรักเขา แต่เพราะตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะตัดใจ เวธน์จึงจำต้องหลีกหนีหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนดีกว่า ฝากบอกกรกฎด้วยนะ ว่าวันนี้ผมไม่เข้างาน แต่ถ้ามีเอกสารด่วนจะให้เซ็น ก็ส่งแฟกซ์ไปให้ที่คอนโดผมก็แล้วกัน”

“เอ่อ...ลองคุยกันสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือครับ ถ้าหนีหน้าแบบนี้ อีกฝ่ายก็คงไม่เลิกราง่าย ๆ หรอกครับ”

กีรติแย้งเสียงอ่อยอย่างเกรงใจเพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเวธน์ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นเวธน์หนีความจริง เพราะจากที่ฟังคนในหมู่บ้านซึ่งมาจ่ายตลาดพร้อมเขาเล่าให้ฟังเรื่องปาลิน ก็ทำให้กีรติได้รับรู้ว่า ปาลินนั้นคอยตามตื๊อจีบเวธน์อย่างเปิดเผยมาหลายปี นับตั้งแต่กอบพลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรุ่นที่สองเสียชีวิตไปแล้ว

    “รู้จากใครกัน...มีคนเล่าให้คุณฟังหรือ”

เวธน์ถามอย่างไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะเรื่องที่ปาลินตามจีบเขา คนอื่นในหมู่บ้านนี้ก็รู้กันเกือบทั้งหมด เพราะปาลินนั้นแสดงออกทั้งการกระทำและคำพูดอย่างไม่คิดจะปิดบังใคร แถมบางคนที่นี่ก็ยังรู้ดีว่า เขานั้นมีใจให้กอบพลมานานแล้วอีกด้วย

“เอ่อ...ขอโทษนะครับที่ผมก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณเวธน์แบบนี้”

กีรติบอกเสียงค่อยอย่างรู้สึกผิด แต่คนที่มองอยู่นั้นยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ได้นึกขุ่นเคืองด้วยซ้ำ   

“หึ ๆ ไม่เป็นไรหรอก ถึงไม่มีใครบอก แต่เดี๋ยวคุณก็คงรู้ได้เองอยู่ดี ...ก็พอหมอนั่นกลับไทยทีไร ก็คอยตามตื๊อผมแบบนี้อยู่ประจำ”

เวธน์บอกแล้วก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยตามมาด้วยใบหน้าที่แสดงถึงการตัดสินใจ

“นั่นสิ...ถูกของคุณ บางทีคงต้องพูดกันให้ตรง ๆ สักที ว่าผมคิดอะไรอยู่กันแน่”

เวธน์พึมพำแผ่วเบาแล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กับกีรติ ก่อนจะปิดกระจกรถ และขับตรงไปที่โรงจอดรถของสำนักงานหมู่บ้าน  โดยมีสายตาของกีรติมองตามไปอย่างกังวล และภาวนาให้พวกเขาทั้งสองเข้าใจกันด้วยดี เพราะถึงยังไงกีรติก็อยากให้เวธน์นั้นมีความสุข และไม่อยากให้ถูกอดีตผูกมัด จนปิดโอกาสและหัวใจเอาไว้เช่นทุกวันนี้



กรกฎเงยหน้าขึ้นจากงาน พลางจ้องมองคนที่เพิ่งมาถึงด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก ทว่าเวธน์กับยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ พร้อมเอ่ยถาม

“แล้วหมอนั่นล่ะ มาด้วยกันไม่ใช่หรือ”

กรกฎกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพยักหน้าค่อย ๆ สักพักปาลินที่ซ่อนตัวอยู่ก็เดินออกมา พร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย

“รู้ว่าผมมาแต่ไม่หนีกลับก่อน แสดงว่าใจอ่อนแล้วสินะครับ”

ปาลินแกล้งเอ่ยแซวแม้จะนึกแปลกใจที่เวธน์ยอมมาพบเขาก็ตาม

“อือ...ฉันคิดว่าคงต้องคุยกับนายเรื่องความรู้สึกที่แท้จริงของฉันสักที เลยไม่อยากหนีอีกแล้วน่ะ”

เวธน์ตอบออกไปตามตรง เรียกสีหน้าตกใจได้ทั้งปาลินและกรกฎ ทางด้านปาลินนั้นรู้สึกทั้งคาดหวังและหวาดหวั่นไปพร้อมกัน แต่เขาก็พยายามตั้งสติให้มั่น เพื่อรับฟังคำพูดที่ชายหนุ่มจะบอกกับตน และต่อให้มันจะเลวร้ายสักแค่ไหนก็ตาม เขาก็จะอดทนและแสดงให้เวธน์ได้เห็นว่า เขานั้นรักชายหนุ่มมากเพียงใด

    “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวออกไปเดินเล่นรอข้างนอกก่อนนะครับ”

กรกฎบอกกับเวธน์เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดและลำบากใจ ซึ่งเวธน์ก็พยักหน้ารับรู้ และเมื่อเลขาหนุ่มเดินออกไปแล้ว เวธน์ก็เหลือบไปมองทางห้องของแฟนธอมอย่างลังเลเล็กน้อย แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อปาลินเอ่ยขึ้นคล้ายจะรู้ทันความคิดของเขา

“คุณแฟนธอมไม่อยู่ในห้องหรอกครับ เมื่อเช้าพอเขาได้ยินเสียงผมที่มาพร้อมกาย เขาก็ขอลี้ภัยไปอาศัยบ้านคุณเจอรัลด์หลับพักผ่อนต่อเรียบร้อย แถมยังฝากผมมาบอกคุณอีกนะครับว่า ถ้าจะเถียงจะโวยวายอะไร ก็ให้หัดเกรงใจชาวบ้านบ้างน่ะครับ”

ปาลินพูดตามที่ได้ยินมาทุกคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกึ่งขำ ซึ่งพอได้ยินเวธน์ก็อดยิ้มตามไม่ได้

“ดีจัง ...นาน ๆ จะได้เห็นคุณเวธน์ยิ้มให้เห็นสักครั้ง”

ปาลินเอ่ยขึ้นเบา ๆ ทำให้คนกำลังยิ้มชะงัก แล้วเปลี่ยนเป็นขรึม จนคนมองต้องถอนหายใจ แต่แล้วก็ต้องเงียบกริบ และมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

“ปาลิน...ปาล นายคิดยังไงกับฉัน ยังชอบฉันอยู่อีกไหม”

ปาลินที่เพิ่งเคยถูกเวธน์เรียกชื่อเล่นของเขาเป็นครั้งแรก จ้องมองคนถามอย่างค้นคว้าพิจารณาว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ทว่าเมื่อเห็นแววตาจริงจังของชายหนุ่ม เขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง พร้อมกับตอบออกไปตามตรง

“ครับ...ผมยังชอบคุณไม่เปลี่ยน ถึงต่อให้ถูกปฏิเสธอีกสักกี่ครั้ง ผมก็ยังรักคุณอยู่ดี”

เวธน์นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นใบหน้าเคร่งขรึมจึงแปรเปลี่ยนไปเป็นเศร้า ชายหนุ่มหลุบตาลงสักพัก แล้วจึงค่อย ๆ ช้อนสายตาสบกับคนอ่อนวัยกว่า พลางเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“ปาล...ฉันคิดว่าฉันคงชอบนายเข้าให้แล้วเหมือนกัน”

ปาลินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ขณะที่เขาเตรียมจะย้ำถามให้แน่ใจ เวธน์ก็เอ่ยตามมาเสียก่อน

“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ฉันไม่มั่นใจหรอกนะว่า ที่ฉันชอบนาย มันจะเป็นเพราะความรักที่นายมีให้กับฉัน ...หรือว่าเป็นเพราะหน้าตาของนายที่มันคล้ายกับพี่กอบกันแน่... ถึงจะเป็นแบบนี้ นายก็ยังจะรักฉันต่อได้อีกอย่างนั้นหรือ”

ปาลินได้ฟังแล้วก็ถึงกับเงียบกริบ เขาปิดตาลงสักพัก จนเวธน์ใจเสีย แต่ก็ยังคงเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรออกไป และภาวนาให้ปาลินเลิกรักเขาสักที แม้ว่าเขาจะเจ็บปวดเจียนขาดใจหากมันจะต้องเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

“เฮ้อ...ผมคิดแล้วไม่มีผิด ว่าเรื่องมันจะต้องเป็นแบบนี้”

ปาลินที่ลืมตาขึ้นถอนหายใจพร้อมเปรยแผ่วเบา ทว่าก็ยังคงมีรอยยิ้มและแววตาเปี่ยมรักซื่อตรงส่งให้กับคนตรงหน้าเช่นเคย

“ถ้าผมบอกว่าผมไม่แคร์ ไม่ว่าคุณจะคิดกับผมเป็นแค่เพียงตัวแทนอากอบเท่านั้น ...คุณจะว่ายังไงล่ะครับคุณเวธน์  ถ้าผมยอมรับได้จริง แล้วคุณล่ะ จะรับรักผมตอบไหม”

เวธน์นิ่งอึ้ง ก่อนจะรีบแย้งตามมาหลังตั้งสติได้

“คิดดี ๆ นะปาล! นายจะต้องทนเป็นตัวแทนคนอื่นไปตลอด ทั้งคำพูด รอยยิ้ม และความรู้สึกดี ๆ ที่ฉันจะมีให้ มันไม่ได้ให้กับนาย แต่มีให้กับพี่กอบที่ฉันมองผ่านนายต่างหาก นายจะทนได้หรือปาล!”

    ปาลินยังคงยิ้ม และจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาแน่วแน่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปร ทำให้เวธน์ยิ่งรู้สึกเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาคิดว่าจะเสียชายหนุ่มไปให้กับคนอื่นเสียอีก

       “…ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ไปพยายามหาคนที่เพียบพร้อมและคู่ควรกับความรักของนาย...คนที่เขาจะให้นายทั้งหัวใจ...ให้ความรักกับนาย...มองแค่นายคนเดียวเท่านั้น”

ปาลินมองคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างรู้สึกสงสาร และจึงตัดสินใจรั้งร่างของอีกฝ่ายมากอด  ทางด้านเวธน์นั้นตกใจในทีแรก แต่พอสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและอบอุ่นจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม เขาก็ค่อย ๆ สงบลง และยอมซบใบหน้ากับอกกว้าง ยืนนิ่งให้ปาลินกอดอยู่เช่นนั้น

“คุณเวธน์... คุณจำได้ไหม คุณเคยบอกกับผมว่า คุณรักอากอบ และไม่มีใครแทนที่เขาได้ ...ผมก็เหมือนกัน ผมรักคุณ ต่อให้คุณจะคิดกับผมเป็นแค่ตัวแทนของอากอบ ผมก็ยอม”

    “ปาล นายมันโง่... รู้ไหมว่าการหลงรักคนที่เขาไม่อาจจะตอบรับรักเราได้ตลอดไปน่ะ มันโง่แค่ไหน...”

เวธน์พึมพำต่อว่าทั้งอีกฝ่ายและตนเอง หากแต่ปาลินก็ยังคงยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับกอดร่างในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมเช่นเดิม

“ผมรู้ดีว่าผมคงสู้กับอากอบในหัวใจของคุณไม่ได้ แต่ผมก็ยังหวังว่า หากเราอยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ ...สักวันหนึ่ง คุณก็คงจะมีพื้นที่เล็ก ๆ ให้ผมเข้าไปอยู่ในใจของคุณบ้างเหมือนกัน”

เวธน์พูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกตื้อไปหมด ชายหนุ่มทำได้เพียงกอดร่างสูงกว่าตนกลับไปแน่นเท่านั้น ทั้งคู่ยืนกอดกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งปาลินเป็นฝ่ายคลายอ้อมแขนของตนก่อน

“หากกอดกันนานกว่านี้ ผมอาจจะอยากทำยิ่งกว่ากอดก็ได้นะครับ  แต่ขืนทำลงไปโดยที่ยังไม่รู้คำตอบจากคุณแน่ชัด ผมคิดว่าคงไม่ดีแน่ล่ะนะ”

ปาลินบอกพร้อมยิ้มแหย่น้อย ๆ เมื่อเห็นเวธน์ที่ยามนี้ตั้งสติได้แล้ว กำลังมีใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย   

“...ก็ลองทำสิ จะชกให้คว่ำจริง ๆ ด้วย”

เวธน์อุบอิบตอบ แล้วจึงทำทีจะเดินออกนอกสำนักงานไป ทำให้ปาลินสะดุ้งโหยง พลางรีบตามไปดึงมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

“คุณเวธน์ครับ! แล้วตกลงเรื่องของผมจะว่ายังไงล่ะครับ!”

เวธน์หันไปมองคนที่ดึงมือเขาเอาไว้ อีกฝ่ายนั้นมีแววตาเว้าวอนและคาดหวังเต็มที่ เสียจนเขาไม่กล้าพูดตัดรอนออกไป ชายหนุ่มอ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อย แล้วจึงตอบกลับเสียงแผ่ว

“จะลองให้โอกาสคบกันไปก่อนสักพักก็ได้...แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว ฉันยังคิดว่านายเป็นตัวแทนของพี่กอบไม่เปลี่ยน...ฉันก็อยากให้นายลองพิจารณาดูอีกครั้ง ...ตกลงไหม”

ปาลินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาค่อย ๆ ปล่อยมือออกจนเวธน์ใจหายวาบ เพราะคิดว่าชายหนุ่มนั้นโกรธที่เขายังคงย้ำเรื่องที่มองอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวแทนของกอบพล ทว่าวินาทีถัดมาเวธน์ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่ปล่อยมือเขาขยับเข้ามาใกล้แล้วสวมกอดเขาแน่นยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้านั้นหลายเท่า

“คุณเวธน์...ผมดีใจจริง ๆ ...ดีใจที่สุด ...ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผม...ขอบคุณมาก”

ปาลินพึมพำบอกซ้ำ ๆ ไปเช่นนั้น โดยไม่ลดแรงกอดลง ถึงแม้จะรู้สึกดีและอายแต่เวธน์ก็อึดอัดไม่แพ้กัน ทว่าปาลินก็ยังไม่ยอมปล่อย เวธน์จึงตัดสินใจหยิกเอวอีกฝ่ายแรง ๆ จนคนถูกหยิกสะดุ้งเฮือก คลายแรงกอดลงแล้วมองหน้าคนในอ้อมกอดของเขาอย่างงุนงงแทน

    “มองทำไม! ไม่รู้ตัวหรือไงว่าจะฆ่าฉันอยู่แล้ว!  ฮึ...กอดเสียแน่น กะฆ่ากันให้ตายเลยสินะ”

ท้ายประโยคเวธน์บ่นอุบอิบด้วยความฉุนปนอาย ทำให้ปาลินที่ได้คำตอบถึงกับหลุดหัวเราะเบา ๆ ตามมา แต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่ยอมคลายอ้อมกอด แม้จะผ่อนแรงลงเหลือเพียงกอดแค่หลวม ๆ เท่านั้นก็ตาม

“ปล่อยได้แล้วน่า...ไม่หนีไปไหนหรอก”

เวธน์บ่นอุบอิบ เพราะไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่ายนานขนาดนี้มาก่อน

“เราเป็นแฟนกันแล้วนี่ครับ ขอกอดให้ชื่นใจอีกสักนิดไม่ได้หรือครับ”

ปาลินเริ่มอ้อน ทำให้เวธน์ทั้งเขินทั้งหมั่นไส้ แต่พอใบหน้าหล่อเหลาเริ่มโน้มลงมาใกล้อย่างไม่น่าไว้ใจ เขาก็รีบดันตัวออกห่างจนหลุดจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวได้ในที่สุด

“หยุดเลย! ถึงจะยอมเป็นแฟนด้วย แต่ใช่ว่าฉันจะยอมให้ล่วงเกินง่าย ๆ หรอกนะ!”

ปาลินหรี่ตามองคนตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างเอือมระอาตามมา

“ทำไมล่ะครับ ขนาดเด็กอนุบาลคบกัน ยังมีหอมแก้มกันได้เลยนะครับ แล้วผมกับคุณนี่รุ่นใหญ่แท้ ๆ หอมนิดหอมหน่อยจะเป็นอะไรไป  อืม...หรือว่าผมจะบอกพ่อแม่ให้มาสู่ขอคุณ แล้วเข้าห้องหอตามประเพณีให้เรียบร้อยก่อนดี...ถ้าทำแบบนั้นคุณคงโอเคสินะครับ”

ปาลินทำเหมือนจะพูดเล่น ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับดูจริงจัง ผิดกับใบหน้ายิ้มแย้มนั่นลิบลับ จนเวธน์ชักนึกหวาดว่าอีกฝ่ายจะไปบอกพ่อแม่ของเจ้าตัวให้มาสู่ขอเขาจริง ๆ

    “บ้ารึ! ฉันก็แค่ไม่อยากทำตัวให้มันดูใจง่ายนักก็เท่านั้นเอง!”

    ปาลินถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเปรยตอบอีกฝ่ายด้วยใบหน้าระบายยิ้ม

“เอาเถอะครับ...ถ้าคุณไม่ชอบ ผมก็จะไม่ทำ เพราะแค่คุณตอบรับความรู้สึกผม แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้ว”

เวธน์มองคนที่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้อย่างลังเล และเมื่อปาลินชวนให้ออกไปตามกรกฎด้วยกัน ชายหนุ่มจึงฉวยโอกาสที่ปาลินหันหลังให้เดินตามไปข้าง ๆ พร้อมกับชะโงกหน้าไปหอมแก้มชายหนุ่มหนึ่งฟอด ก่อนจะรีบเปิดประตูสำนักงานจ้ำพรวดหนีออกไปข้างนอกทันที ทิ้งให้คนที่ยืนตกใจมองตามไปตาปริบ ๆ ทว่าพอตั้งสติได้เจ้าตัวก็มีรอยยิ้มกว้าง แล้วจึงรีบเดินตามคนที่ออกไปก่อนหน้านั้นอย่างว่องไวไม่แพ้กัน   


         

... TBC …


แฮปปี้เอนดิ้งไปอีก 1 คู่ ตอนหน้าจะเข้าเรื่องราว ของริว กับ กีรติ บ้างแล้วค่ะ  นอกจากนี้ก็จะยังมีตัวละครใหม่ทยอยมาเรื่อย ๆ สำหรับเรื่องนี้ค่ะ ^^" บทเฉลี่ย ๆ กันไปเนาะ

 

ออฟไลน์ Minerva

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
มานั่งมอง

----------------------------------------------
คู่เย๊อะ~เยอะ ก็ดีนะที่เขาแฮ็ปปี้กัน กลัวดราม่ากันอีก
แถมความลับของหนูกีก็ยังไม่หมดซะด้วย ยังรออ่านอยู่นะ
ว่าหนูกีเขามีอดีตอะไรกันแน่ อ่านไปก็ลุ้นไป :mew3:

ดีไม่หลับซะก่อน เกือบไม่ได้อ่านก่อนนอนแล้ว ฮิๆ
 :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2013 23:38:22 โดย minerva00 »

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เวธน์กับกรกฏได้คู่กันมั้ยเนี่ย อิอิ มีแต่หนุ่มๆทั้งน้านน  :katai3:

เว้นตอน ที่ ตอน 13,14 ยังไม่มา!

เผลอแป๊บเดียวมาอีกหนึ่งคู่ละ ผู้สืบทอดที่ดินเรามีหนุ่มหล่อกล้ามใหญ่มาพยุงหัวใจซะปว้ว

เหลือน้องกีผู้ลึกลับนี่แหละ ใสซื่อต่อไป อิอิ :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2013 00:32:32 โดย silverspoon »

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
 :mc4: :mc4: :mc4:คุณเลขาๆๆๆๆๆๆๆหาคู่มาให้ทีเต้อะ

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
คู่นี้น่ารักน่าหยิก

รอคู่ต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ DoubleBass

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 448
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
สนุกจังเลยค่ะ น้องกีน่ารักโอบอ้อมอารีสุดๆ แต่แอบอยากรู้ปูมหลังน้องกีเหมือนกันน้า

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
ปาลกับเวธน์  แฮปปี้อีกหนึ่งคู่จริงๆด้วย

รอคู่ต่อไป  ไม่รู้จะมีของกรกฏมั้ยน้า  ให้อารมณ์เคะราชินีไงไม่รู้  :laugh:

ก็เดาไป  แต่ก็ผิดประจำ  นั่งรอลุ้นดีกว่า

บวกเป็ด

ออฟไลน์ ชะรอยน้อย

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 973
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-0
ทุกตัวละครความลับเยอะจังเลย  :hao7:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หนูกีเป็นใครกันน๊า

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
ตอนแรกนึกว่าคุณเจ้าของที่ดินจะคู่กับคุณเลขาซะอีก
แต่ดันได้คู่กับคนที่หน้าตาคล้ายกับคุณเจ้าของที่ดินคนก่อน
แต่ที่อึ้งก็คงเป็นคุณเจ้าของที่ดินเป็นเคะนี่แหละ
โอ้ม้ายยยย! ประชากรเมะกระล่อนเราหายไปแล้วหนึ่ง
ตอนนี้ต้องมาลุ้นคุณเลขาว่าจะได้คู่กับใคร
แล้วก็กีกับริวอีกว่าจะลงเอยกันหรือไม่
แต่ที่อยากรู้ที่สุดก็คงเป็น กีเป็นครายยยย
รอลุ้น รอลุ้นค่าาาา  :mew1: :mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6
อร๊ายยย คู่นี้น่ารักอ่ะ ฮ่าาาา
เหลือคุณเลขาสินะ ที่ยังไม่มีคู่

ว่าเริ่มสงสัยหนูกี เป็นใครมาจากไหนน้าาา

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
มาโพสแล้วค่ะ  ถ้าลงถึงตอนที่ 20 แล้ว อาจจะทิ้งช่วงไม่โพสต่อเนื่องทุกวันเหมือนเดิมนะคะ แต่จะพยายามไม่ทิ้งห่างค่ะ ^^"



บทที่ 15
คนพิเศษ




         กีรติเหลือบมองเวธน์และปาลินที่แวะมาตามกรกฎซึ่งอยู่คุยกับเขาที่ป้อมยาม เพื่อรอให้ทั้งคู่ตกลงเรื่องส่วนตัวกันให้เรียบร้อย ทว่าดูจากสีหน้าของทั้งเวธน์และปาลินแล้ว กีรติก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องส่วนตัวของพวกเขาสองคนนั้น คงจะลงเอยกันได้ด้วยดีแน่นอน

         “ยินดีด้วยนะปาล”

        กรกฎบอกกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างตอบเสียจนน่าหมั่นไส้ เลขาหนุ่มสั่นศีรษะอย่างระอา แล้วจึงหันไปทางเวธน์บ้าง

        “ถ้าคบกันแล้ว ระวังหน่อยก็ดีนะครับคุณเวธน์ ...ก่อนจะมาเจอคุณนี่ก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ เปลี่ยนตุ๊กตาหน้ารถไม่เคยซ้ำกันเลยแต่ละวัน”

        ปาลินสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันขวับไปทางกรกฎด้วยสายตาขุ่นเคือง  แต่พอจะหันมาแก้ตัวกับเวธน์ เขาก็ต้องสะดุ้งซ้ำสองเมื่อเห็นนัยน์ตาวาววับของอีกฝ่ายจ้องเขาเขม็ง

        “อืม...จริงสิ พอจะนึกออกแล้ว ก่อนหน้านั้นพี่กอบเคยเล่าให้ฟังว่า ลูกของพี่ชายอีกคนเจ้าชู้ใช่เล่น ...คนนั้นน่ะ นายเองสินะ”

        “นั่นมันเมื่อก่อนต่างหากล่ะครับ! ตอนนี้ผมเลิกเจ้าชู้ ตั้งแต่ตกหลุมรักคุณแล้วล่ะครับ เชื่อเถอะนะครับคุณเวธน์”

        ปาลินรีบอ้อน ทำให้เวธน์ทั้งฉุนทั้งเขิน เพราะดันหันไปเห็นกีรติที่กำลังจ้องพวกเขาคุยกันตาแป๋ว และพอพวกเขาสบตากัน อีกฝ่ายก็เขินหน้าแดงแล้วรีบหลบตาทันที

         “กลับไปทำงานกันได้แล้วกรกฎ! ส่วนนายก็กลับบ้านนายไปได้แล้วปาล อยู่ก็เกะกะคนจะทำงาน!”

        เวธน์โพล่งไล่เสียงเข้มเพื่อแก้เขิน แต่นั่นก็ทำให้คนฟังสะดุ้งแล้วรีบอ้อนชายหนุ่มยกใหญ่

        “โธ่! คุณเวธน์ ให้ผมอยู่ด้วยเถอะครับ ผมช่วยงานคุณได้นะ ...นี่กาย ช่วยพูดให้ฉันอยู่ด้วยหน่อยสิ ฉันช่วยงานเอกสารนายด้วยก็ได้นะ”

        กรกฎมองญาติผู้พี่ของเขาอย่างนึกขำ จริง ๆ ก็อยากหาเรื่องแกล้งปาลินต่อ แต่ก็เห็นแก่ที่อีกฝ่ายยอมอดทนรอมานานกว่าจะสมหวัง เขาจึงยอมช่วยตามที่ชายหนุ่มขอร้องโดยไม่เกี่ยงงอนอันใด

        “ให้เขาอยู่ด้วยก็ดีนะครับคุณเวธน์ ผมว่าจะจัดแฟ้มสำเนาเอกสารต่าง ๆ ให้มันเป็นหมวดหมู่ค้นง่ายกว่านี้มาตั้งนานแล้ว แต่ถ้าขืนมัวไปจัด งานอื่นก็ไม่ได้ทำพอดี  ยังไงก็อุตสาห์มีคนอาสาเหนื่อยแทนให้ทั้งที เราก็ควรจะยอมรับข้อเสนอของเขานะครับ”

        เวธน์ฟังเลขาของเขาพูด แล้วก็ต้องอมยิ้มน้อย ๆ เพราะงานที่ว่ามันทั้งน่าเบื่อและชวนปวดหัวอยู่มากทีเดียว ดูจากสีหน้าลังเลของปาลินตอนนี้ ก็ทำให้เขานึกอยากหาเรื่องแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างเช่นเดียวกัน

        “งั้นก็ได้...ตกลงนายจะอยู่ช่วยงานพวกฉันสินะปาล”

        ปาลินยิ้มเจื่อน ๆ แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มของเวธน์เริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เขาก็รีบรับคำตามมาทันที

        “ครับ! ผมจะช่วยเต็มที่เลยครับ!”

        เวธน์ที่กำลังหน้าบึ้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นอมยิ้มน้อย ๆ ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าโดนแกล้งเข้าให้แล้ว แต่ถึงเป็นเช่นนั้นปาลินเองก็รู้สึกยินดีไม่น้อย เพราะกรกฎเคยบอกกับเขาว่า ถ้าเวธน์ชอบพอหรือถูกใจใครมาก ๆ ก็มักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งคนนั้นอยู่เสมอนั่นเอง

        “ถ้าอย่างนั้นก็ขอตัวก่อนนะกีรติ ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำเมื่อเช้า”

        เวธน์บอกกับลูกจ้างของเขา ซึ่งกีรติก็ยิ้มรับพร้อมพยักหน้านิด ๆ ทางด้านกรกฎและปาลินก็เอ่ยขอตัวลากับอีกฝ่ายสั้น ๆ แล้วจึงเดินตามเวธน์กลับสำนักงานหมู่บ้านไปด้วยกัน

        “อย่างนี้คู่รักชายกับชายของหมู่บ้านเราก็เพิ่มขึ้นอีกคู่แล้วสินะครับ...คุณกีรติไม่คิดจะมองผู้ชายโสดในหมู่บ้านนี้บ้างสักคนหรือครับ แต่ละรายก็เป็นคนดีและดูดีทั้งนั้นนะครับ”

        คำพูดของอเล็กซ์ทำให้กีรติที่มองตามไล่หลังทั้งสามคนไปสะดุ้งโหยง แล้วหันมายิ้มเจื่อน ๆ ให้กับป้อมยามตรงหน้า

        “เอ่อ...ผมทราบครับว่าทุกคนเป็นคนดี แต่ตอนนี้ผมยังไม่คิดจะมีความรักหรอกนะครับ”

        เสียงบ่นงึมงำดังมาจาก AI ประจำป้อมหลังจากกีรติพูดจบ ทำเอาชายหนุ่มร่างเล็กต้องหันไปลอบถอนหายใจ แต่พอลองนึกถึงคนดี ๆ ที่อเล็กซ์ว่ามา ใบหน้าของริวก็ดันปรากฏขึ้นในความคิดของเขาเสียอย่างนั้น

        ‘บ้าจริง...คิดอะไรกันนะเรา ขืนคุณริวรู้คงโกรธเข้าให้แน่ แค่ทุกวันนี้ก็ยังสนิทด้วยยากแท้ ๆ’

        กีรติพยายามลืมเรื่องที่เขาเผลอคิดถึงริวในแง่พิเศษอย่างเต็มที่ เพราะถึงแม้พวกเขาจะสนิทกันมากกว่าเดิม แต่ริวก็ยังคงทิ้งระยะห่างกับเขาในบางครั้งอยู่ดี   

         “เอ...วันนี้คุณริวก็จะมาทานอาหารกลางวันที่ป้อมยามด้วยอีกสินะครับ”

        เพราะเสียงถอนหายใจและสีหน้าซึม ๆ ของกีรติ ทำให้อเล็กซ์ต้องเปลี่ยนเรื่องสนทนา ซึ่งพอกีรติได้ยินเช่นนั้น เขาก็สะดุ้งโหยง ทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำให้อเล็กซ์มองปฏิกิริยานั้นอย่างรู้สึกสงสัย ทว่าพอเห็นใบหน้านั้นคลายซึมเศร้าลง  AI ประจำป้อมจึงรู้สึกว่า สถานการณ์ยามนี้น่าจะดีกว่าเดิม เจ้าตัวเลยชวนกีรติคุยต่อไปอีก

        “แล้ววันนี้จะทานอะไรกันล่ะครับ คงไม่ใช่อาหารประเภทเต้าหู้อีกหรอกนะครับ”

        พอได้ยินคำถามถัดมา กีรติก็ชะงักแล้วหันมาให้ความสนใจกับการสนทนาโต้ตอบกับฝ่ายตรงข้ามแทน

        “อ๊ะ...นั่นก็อยากทำอีกหรอกครับ เพราะคุณชิโระติดใจน่าดู แต่ก็ถูกคุณริวเบรกเอาไว้ก่อน ว่าอย่าตามใจให้มากนัก แต่ก็คิดว่าจะหาโอกาสทำเผื่อสักครั้งเหมือนกันน่ะครับ”

         “แสดงว่าข้อมูลทางเว็บที่บอกว่าจิ้งจอกญี่ปุ่นชอบเต้าหู้อะไรนั่นก็เรื่องจริงสิครับ”

        อเล็กซ์เอ่ยเสริมตามมา ซึ่งกีรติก็ยิ้มรับ เพราะตอนที่ได้กินเต้าหู้ทรงเครื่องของเขา ชิโระนั้นถึงกับบอกว่าให้เขาลองทำเต้าหู้ญี่ปุ่นทอดให้กินบ้าง และนั่นจึงทำให้สัตว์อสูรถูกริวซึ่งเป็นเจ้านายตำหนิเอาไปตามระเบียบ แถมยังย้ำไม่ให้เขาตามใจอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

        “เห็นว่าเต้าหู้ญี่ปุ่นในไทยก็หาซื้อง่ายอยู่ ผมฝากคุณไกรสรสั่งมาให้แล้ว แต่คงต้องแอบไปเอาทีหลัง ขืนคุณริวรู้ผมคงถูกดุเข้าให้ด้วยแน่”

        กีรติบอกแล้วก็ยิ้มเจื่อน ๆ เพราะนับตั้งแต่มีโอกาสได้คุยกับริวมากขึ้น เขาจึงได้รับรู้ว่า จริง ๆ แล้ว ริวนั้นเป็นคนเจ้าระเบียบจริงจังและเข้าหายากกว่าที่คิดไว้ ท่าทางที่เจ้าตัวยิ้มแย้มทักทายเขาแต่แรก ก็เป็นเพียงมารยาทที่ชายหนุ่มมีต่อคนแปลกหน้าเท่านั้นเอง

        “แต่คุณริวก็ค่อนข้างเปิดใจให้คุณอยู่มากนะครับ กับคนอื่นในหมู่บ้านก็สนทนาด้วยดีหรอก  แต่ที่มานั่งคุย นั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้ ตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาในหมู่บ้าน ผมก็เพิ่งได้เห็นนี่ล่ะครับ”

        คำพูดของอเล็กซ์ทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย แล้วแอบนึกดีใจที่ตัวเองนั้นเป็นคนพิเศษกว่าใครสำหรับริว ทว่าพอรู้สึกตัวเขาก็ต้องควบคุมความคิดไม่ให้เลยเถิดอีกครั้ง และพยายามบอกกับตัวเองว่า การที่เผลอใจเต้นเมื่อนึกถึงอีกฝ่ายนั้น คงไม่ใช่เพราะเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่างที่อเล็กซ์เคยพูดไว้หรอก

         

        จากนั้นไม่นาน กีรติก็ขอตัวไปขี่จักรยานตรวจตรารอบหมู่บ้านในรอบเช้า ทว่าพอชายหนุ่มขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านริว เขาก็เผลอชะลอจอดและมองเข้าไปในบ้าน ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อคนที่เขากำลังคิดถึง เปิดประตูบานกระจกเลื่อนของห้องรับแขกชั้นล่างออกมาพอดี

        “อ๊ะ...เอ่อ สวัสดีครับคุณริว”

        กีรติเอ่ยทักทายตะกุกตะกัก เพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอริวเช่นนี้

        “สวัสดีครับคุณกีรติ ขี่จักรยานตรวจตราหมู่บ้านหรือครับ”

         ริวทักตอบไปด้วยใบหน้าที่ทำเป็นนิ่งเฉย แม้จะรู้สึกตกใจไม่แพ้กันที่พอเปิดบานประตูเลื่อนออกมาเพื่อรับลมภายนอก แต่กลับเจอกีรติอยู่หน้าบ้านของตน

        “เอ่อ...ครับ”

        กีรติบอกแล้วก็เงียบไป นึกคำพูดต่อไม่ถูกเอาดื้อ ๆ ท่าทางลำบากใจของอีกฝ่ายทำให้ริวเข้าใจผิด และคิดว่ากีรตินั้นคงอึดอัดที่จะคุยด้วย หลังจากได้รับรู้นิสัยแท้จริงของเขา เพราะขนาดชิโระสัตว์อสูรของเขาเอง ยังเคยบ่นใส่บ่อย ๆ เลยว่า เขาเป็นคนจริงจังจู้จี้เกินกว่าเหตุด้วยซ้ำ   

        “ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมคงต้องขอตัวก่อนแล้วกันครับ เพราะผมคงจะรบกวนเวลาทำงานของคุณมามากแล้ว”

        ริวบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเตรียมจะเดินกลับเข้าไปด้านใน ทำเอากีรติหน้าเสียและรีบตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างลืมตัว

        “เดี๋ยวก่อนครับ คุณริว!”

        ริวชะงักก่อนหันไปมองคนที่ทิ้งจักรยานมายืนเกาะรั้วบ้านของเขาอย่างตกใจ

        “ขอโทษนะครับ! ผมไม่รู้ว่าเผลอทำอะไรให้คุณไม่พอใจไปหรือเปล่า แต่ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ!”

        ริวนิ่งอึ้ง พลางจ้องมองกีรติซึ่งยามนี้มีสีหน้าวิตกกังวลผิดเคย และนั่นจึงทำให้หนุ่มญี่ปุ่นต้องถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินผ่านสวนหน้าบ้านตรงไปที่รั้ว พร้อมกับยื่นมือของตนไปเกาะกุมมือของอีกฝ่าย ทำเอากีรติชะงักแล้วเงยหน้ามองอย่างงุนงง

        “คุณไม่ต้องขอโทษหรอกนะ กีรติ ...ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษคุณมากกว่า”

        กีรติจ้องมองชายตรงหน้าอย่างตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เพราะริวนั้นเพิ่งจะเคยเรียกชื่อของเขาโดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้าเป็นครั้งแรก   

        “กีรติ เป็นอะไรไปน่ะ ...คุณได้ยินผมพูดหรือเปล่า”

        ริวย้ำถามเพราะเห็นอีกฝ่ายจ้องเขานิ่งจนน่าแปลกใจ

        “อ๊ะ! ดะ...ได้ยินครับ เอ่อ...คุณริวไม่ได้โกรธผมสินะครับ”

        กีรติที่รู้สึกตัวบอกเสียงอุบอิบ พลางหลุบตาหลบเพราะรู้สึกอายเวลาถูกอีกฝ่ายจ้องตาตอบ   

        “ใช่...ผมไม่ได้โกรธคุณหรอก เอ่อ...ผมก็แค่คิดว่า คุณอาจจะรู้สึกอึดอัดเวลาคุยกับผมก็แค่นั้นเอง”

        กีรติเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าริวคิดยังไง แล้วจึงรีบแก้ตัวออกไปทันที

        “ไม่หรอกครับ! ผมไม่เคยอึดอัดเวลาอยู่กับคุณเลยนะครับ! อ๊ะ...เอ่อ...ผมก็แค่กังวลว่าคุณริวอาจจะเบื่อหรือไม่ชอบที่ผมมาคอยรบกวน ก็เลยไม่รู้จะชวนคุยอะไรดีน่ะครับ”

        กีรติหน้าแดงนิด ๆ เพราะเมื่อลองคิดดูดี ๆ แล้ว ทั้งเขาและริวต่างเข้าใจผิดกันทั้งคู่ และนั่นก็แสดงว่าหนุ่มญี่ปุ่นเองไม่ได้นึกรังเกียจหรือไม่พอใจเวลาอยู่กับเขานั่นเอง

        “เป็นอย่างนั้นเองหรอกหรือ  อืม...ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมว่าผมขอตัวก่อนแล้วกันนะ”

        ริวบอกเรียบ ๆ แล้วปล่อยมือของตนที่เผลอกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นจึงหันกลับเตรียมเดินเข้าบ้านพัก ทำเอากีรติงุนงงแกมตระหนก เพราะคิดว่าริวจะไม่พอใจอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไร หนุ่มญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

        “ไว้กลางวันนี้ เจอกันเวลาเดิมนะ...”

        บอกจบริวก็เดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมา เพราะไม่อยากให้กีรติได้เห็นสีหน้าของตนยามนี้ ส่วนกีรตินั้นยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงกำแพงสักพัก แล้วจึงมีรอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์ เพราะแม้ริวจะไม่พูดจาอ่อนโยนหรือยิ้มแย้มกับเขา ทว่าคำพูดทิ้งท้ายนั่น แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้รังเกียจในการคบหาพูดคุยกับเขาแต่อย่างใด

        “ครับ คุณริว...แล้วเจอกันกลางวันนี้”

        กีรติพึมพำ ก่อนจะตรงไปที่รถจักรยานแล้วขี่มันตรวจตรารอบหมู่บ้านต่ออย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษกว่าทุกวัน

         

         ภาพการสนทนาของริวและกีรติ ถูกฉายให้เห็นผ่านลูกแก้วสีขุ่นทึบซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เจ้าตัวโบกมือสะบัดผ่านหน้าลูกแก้วเบา ๆ ภาพในนั้นก็เลือนหายไป  ใบหน้าคมเข้มละม้ายคล้ายกับริวหากแต่อ่อนเยาว์กว่าปรากฏรอยยิ้มตรงมุมปากน้อย ๆ เมื่อในที่สุดเขาก็คิดวิธีที่จะนำตัว ยูกิมูระ ริว กลับญี่ปุ่นไปด้วยกัน โดยที่อีกฝ่ายจะไม่กล้าคิดขัดขืนเขาเช่นที่เคยผ่านมาได้อีก   

         “ไม่น่าเชื่อว่าคนเย็นชาไร้หัวใจอย่างคุณ ก็ยังอุตสาห์มีคนพิเศษกับเขาได้เหมือนกันนะ...คุณริว”

           ร่างสูงผอมบางพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยใบหน้ายิ้มหยัน เจ้าตัวลุกจากโซฟาราคาแพง แล้วเดินไปที่หน้าต่างห้องซึ่งเป็นกระจกใสบานใหญ่ พลางมองเหม่อไปยังทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครจากชั้น 20 ของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง มือที่สัมผัสผ้าม่านผืนสวยค่อย ๆ ขยุ้มจิกด้วยแรงอารมณ์ เมื่อหวนคิดถึงคนที่เขาเฝ้าเพียรพยายามจะนำตัวกลับไปญี่ปุ่น เพื่อรับตำแหน่งผู้นำตระกูลยูกิมูระอีกครั้ง

        “ผมจะต้องพาคุณกลับไปญี่ปุ่นด้วยกันให้ได้ คุณริว...ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีสกปรกเพียงใดก็ตาม!”


           

… TBC …

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
ตอนที่ 16
พี่น้อง



            กีรติเดินฮัมเพลงหิ้วปิ่นโตใส่อาหารกลางวันที่เขาเพิ่งทำเสร็จออกมาจากสำนักงานหมู่บ้านอย่างอารมณ์ดี พอมาถึงป้อมยามเขาก็ทักทายอเล็กซ์ตามปกติ แล้วเหลือบมองเวลาจากนาฬิกาติดผนังป้อมยาม ที่ตอนนี้บอกเวลาใกล้เที่ยงเต็มที

        “เดี๋ยวคุณริวก็คงตามมาล่ะครับ เมื่อวานก็เห็นมาตอนเที่ยงสิบนาทีไม่ใช่หรือครับ”

        เสียงอเล็กซ์ที่ขัดขึ้นทำเอากีรติสะดุ้งโหยง แล้วเผลอโพล่งปฏิเสธออกไปด้วยความลืมตัว

        “เปล่านะครับ! ผมไม่ได้กำลังคิดถึงคุณริวอยู่นะครับ!”

        อเล็กซ์เงียบไปชั่วครู่  ก่อนจะมีเสียงตอบดังขึ้น

        “หรือครับ...สงสัยเครื่องจับเท็จของผมจะเสียนะครับ เหมือนผลที่มันออกมามันจะตรงข้ามกับคำพูดของคุณอยู่พอสมควรทีเดียวล่ะ”

        แม้จะพูดตามปกติ แต่ถ้าชายหนุ่มฟังไม่ผิดน้ำเสียงของอเล็กซ์ดูแปร่ง ๆ ไปจากเดิม มันฟังเหมือนเสียงพูดที่คล้ายจะกลั้นหัวเราะไปด้วย  กีรติขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะชะงักตามมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น   

        “คุณเจอรัลด์สินะครับ!”

        “หึ ๆ ยังความรู้สึกไวเหมือนเดิมนะครับคุณกีรติ ...โอ๊ย! เจ็บนะครับ คุณแฟนธอม! ขอโทษครับ! จะไม่ทำอีกแล้วครับ!”

        เสียงโหวกเหวกโวยวายจู่ ๆ ก็เงียบหายไป กีรติมองป้อมยามตรงหน้าอย่างงุนงง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งนิด ๆ เมื่อเสียงของอเล็กซ์กลับมาดังตามเดิมอีกครั้ง

        “ขอโทษทีครับ จู่ ๆ ก็โดนมาสเตอร์แทรกแซงเอาเองอีกแล้ว”

        เสียงสังเคราะห์แข็ง ๆ แบบเดิมที่ดังขึ้น ทำให้กีรติลอบถอนหายใจ แล้วจึงถามต่ออย่างสงสัย

        “ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมว่าผมได้ยินคุณเจอรัลด์เรียกชื่อคุณแฟนธอมด้วยนะครับนั่น”

        “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่มาสเตอร์พาคุณแฟนธอมลงมาดูห้องทำงานที่ใต้ดิน แล้วมาสเตอร์ก็เข้ามาแทรกแซงระหว่างผมคุยกับคุณ ก็เลยโดนคุณแฟนธอมเล่นงานเข้าให้ ตอนนี้เท่าที่เห็นจากกล้องวงจรที่นั่น มาสเตอร์โดนคุณแฟนธอมลากกลับขึ้นไปบนบ้านพักแล้วล่ะครับ”

        อเล็กซ์ตอบคำถามของกีรติอย่างละเอียด ทำเอาคนถามต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ ต่อพฤติกรรมป่วน ๆ ของเจอรัลด์ และความโหดของรุ่นพี่ร่วมงานของเขา

         

        ทว่าระหว่างที่กำลังสนทนากับอเล็กซ์ กีรติก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อเหลือบไปเห็นรถยนต์สีดำติดฟิลม์ทึบคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาในเขตหมู่บ้าน เขาจัดการเอาไม้กั้นลงขวางทางเข้า แล้วจึงเดินตรงไปหารถยนต์ซึ่งแล่นมาชะลอจอดตรงป้อมยามที่เขายืนอยู่

        “เอ่อ...สวัสดีครับ มาพบใครครับ นัดไว้หรือเปล่าครับ”

        กีรติถามคนขับที่ลดบานกระจกลง อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มวัยทำงาน สวมสูทสีดำและใส่แว่นตาดำปกปิดใบหน้า เจ้าตัวเหลือบไปมองคนที่นั่งเบาะหลังเมื่อได้ยินคำถาม ซึ่งคนที่นั่งอยู่ก็พยักหน้าค่อย ๆ จากนั้นคนขับจึงหันไปบอกกีรติเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงปร่าแปร่ง

        “พวกเรามาพบคุณ ยูกิมูระ ริว ครับ”

        กีรติสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อของริว ส่วนอเล็กซ์นั้นลังเลว่าจะเปิดสัญญาณเตือนภัยดีไหม เพราะทั้งคนขับและคนนั่งด้านหลัง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์ทั้งคู่

        “เอ่อ...ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องอะไรกับคุณริวหรือครับ”

        กีรติถามต่ออย่างอดนึกสงสัยไม่ได้ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนนั่งเบาะหลังเปิดประตูลงมา

      “ไปรอฉันแถวทางเข้าก่อน”

        ชายหนุ่มที่ก้าวลงจากรถมา มีรูปร่างสูงโปร่ง เขาสวมเสื้อลำลองสีขาวแขนยาวและกางเกงสแลคสีดำ ใบหน้านั้นค่อนข้างคล้ายกับริว จนกีรติมั่นใจว่าทั้งคู่จะต้องเกี่ยวพันกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน

       “ครับ ท่านผู้นำ”

        คนขับรถเองก็ตอบกลับไปเป็นภาษาญี่ปุ่นเช่นเดียวกับอีกฝ่าย แล้วจึงถอยรถห่างออกไป ส่วนกีรติที่ฟังออกนั้นขมวดคิ้วน้อย ๆ กับตำแหน่งที่ได้ยิน เพราะพอจะรู้มาบ้างว่าก่อนหน้าที่ริวจะมาญี่ปุ่น ชายหนุ่มนั้นเคยเป็นผู้นำตระกูลยูกิมูระมาก่อน

        “ผมเป็นน้องชายของเขาชื่อ ยูกิมูระ เรน”

        ชายผู้มาเยือนแนะนำตัวเป็นภาษาไทยต่อกีรติ แม้สำเนียงจะไม่ชัดเท่าคนไทย แต่ก็ถือว่าชัดถ้อยชัดคำผิดจากคนต่างชาติที่หัดพูดทั่วไป

        “...น้องชายของคุณริว”

        กีรติพึมพำอย่างตกตะลึง เพราะริวนั้นไม่เคยเล่าเรื่องญาติพี่น้องให้เขาฟังมาก่อน แต่เท่าที่ดูใบหน้าของเรน ก็คล้ายคลึงกันกับริวอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว   

        “คุณ...กีรติ สินะ”

        เรนอ่านป้ายชื่อซึ่งอีกฝ่ายแขวนคอเอาไว้ ทำเอากีรติสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบรับ แต่ก็ยังคงนึกทึ่งที่อีกฝ่ายนอกจากจะพูดภาษาไทยได้แล้ว ยังสามารถอ่านออกอีกด้วย

        “ยินดีที่รู้จักนะครับ”

        เรนบอกพร้อมยิ้มน้อย ๆ และยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย กีรติพอเห็นเช่นนั้นก็รีบยื่นมือของตนไปสัมผัสบ้าง

        “เช่นกันครับ ...อ๊ะ!”

        ชายหนุ่มร่างเล็กหลุดอุทานแผ่วเบา เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ปลายนิ้วก้อยของตน

        “มีอะไรหรือครับ”

        เรนถามด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกตาขณะปล่อยมือออก ทางด้านกีรติลอบสังเกตที่นิ้วของอีกฝ่าย ก็เห็นว่าแหวนที่เรนสวมตรงนิ้วก้อย เป็นลายงูสีดำขดพันนิ้วอยู่ ซึ่งกีรติก็คิดว่าที่เขารู้สึกเจ็บขึ้นมา คงจะเป็นเพราะถูกพื้นผิวที่ดูคล้ายกับเกล็ดละเอียดเหมือนเกล็ดงูจริง ๆ นั่น ขีดข่วนเอาก็เป็นได้   

        “...คุณกีรติคงจะเป็นคนสำคัญของเขาสินะครับ”

        คำถามถัดมาของเรน ทำเอากีรติชะงักพลางขมวดคิ้วนิ่งคิดทบทวนในสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง ก่อนจะสะดุ้งโหยงตามมาเมื่อนึกถึงความหมายของคำถามนั้นออกในที่สุด

        “มะ..ไม่ใช่นะครับ! เราเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านกันแค่นั้นเองครับ!”

        กีรติปฏิเสธด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ทำให้คนมองยกยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ตัวอีกฝ่ายมากขึ้น

        “ถ้าคุณไม่ใช่คนสำคัญของเขาก็แย่น่ะสิครับ...เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงพาเขากลับไปด้วยไม่ได้แน่”

        เรนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ทว่านัยน์ตาสีดำว่างเปล่ากลับฉายแวววาวโรจน์ขึ้นมาชั่วครู่ จนคนถูกจ้องเสียวสันหลังวาบ



       “กีรติ! ถอยห่างออกมาจากผู้ชายคนนั้นซะ!”

        เสียงตะโกนที่แทรกขัดเข้ามาทำเอากีรติสะดุ้งโหยง แล้วหันขวับไปมองยังต้นเสียงทันที

        “คุณริว!”

        กีรติเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตกใจ ส่วนเรนพอได้เห็นริวเขาก็ชะงักในทีแรก แต่ก็มีสีหน้าและท่าทางสงบนิ่งเฉยตามมาหลังจากนั้น

        “กีรติ! ผมบอกให้ถอยออกมาไงล่ะ!”

        ริวย้ำเสียงเข้ม และนั่นจึงทำให้อเล็กซ์ตัดสินใจถามเพื่อความแน่ใจ เพราะสถานะของอีกฝ่ายนั้นคือน้องชายของริว ซึ่งตามฐานข้อมูลมนุษย์ของเขาถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญรองมาจากบิดามารดาผู้ให้กำเนิดนั่นเอง

        “ตกลงคุณริวจะให้ผมเปิดสัญญาณเตือนภัยไหมครับ”

        ริวชะงักเมื่อได้ยินคำถามของอเล็กซ์ แต่ก็ยังคงจ้องเขม็งไปที่กีรติและเรนไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยตอบ AI ประจำป้อมไปเสียงห้วน

        “ไม่ต้อง เดี๋ยวผมจัดการเอง!”

        อเล็กซ์รับทราบคำสั่งนั้น แต่ก็ยังคงลอบรายงานสถานการณ์ให้เจอรัลด์รับรู้ เพื่อที่มาสเตอร์ของเขาจะได้คอยเตรียมรับมืออยู่ห่าง ๆ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นนั่นเอง

        “คุณเรน จะมาบังคับให้คุณริวกลับไปด้วยกันหรือครับ...”

        กีรติที่ยังคงไม่ถอยออกมาเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างลังเล เขาเห็นความหวั่นไหววูบหนึ่งในดวงตาสีดำเข้มนั่น ทว่าเพียงชั่วครู่มันก็กลับมาเป็นเย็นชาตามเดิม

        “ถ้าผมจะทำแบบนั้น คุณจะว่ายังไงล่ะ...คุณกีรติ”

        เรนบอกพร้อมกับขยับกายเข้ามาประชิดร่างของกีรติจนริวที่มองอยู่กัดฟันกรอด พร้อมกับร่ายอาคมเตรียมจู่โจมอีกฝ่าย ทว่าก็ต้องชะงัก เมื่อกีรติขยับมาขวางหน้าของเรนเอาไว้

        “คุณทำบ้าอะไรน่ะกีรติ!”

        ริวเผลอตวาดใส่ด้วยความหงุดหงิด ทว่ากีรตินั้นกลับมีสีหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่บริเวณนิ้วซ้ายที่เจ็บตอนจับมือกับเรน และค่อย ๆ เริ่มลามขึ้นมาจนทั่วร่าง   

        “มะ..ไม่ใช่นะครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะขวางทาง แต่ขามันขยับไปเอง”

        คำพูดและสีหน้าของอีกฝ่าย ทำให้ริวถึงกับนิ่งอึ้ง ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ก่อนจะตวัดสายตาไปยังอีกคนที่อยู่ข้างหลังกีรติ แล้วตะคอกใส่อีกฝ่ายเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความฉุนเฉียวอย่างลืมตัว

       “นายใช้อาคมบังคับเขาอย่างนั้นหรือเรน!”   

        เรนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยตอบพี่ชายของเขาด้วยน้ำเสียงอันดังชัดเจน ในภาษาเดียวกัน

       “ถูกแล้วครับ ผมฉีดพิษของ ‘คุไร’ เข้าไปในตัวเขา ...ตอนนี้เขากลายเป็นหุ่นเชิดของผมเรียบร้อย ...คุณคงเข้าใจความหมายนั่นดีสินะ คุณริว”

        ริวกำหมัดแน่นตัวสั่นเทิ้ม เขาโกรธทั้งเรนที่จับตัวกีรติเป็นตัวประกัน และโกรธตัวเขาเองที่เผลอประมาทให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ว่ากีรตินั้นเป็นคนพิเศษ   ชายหนุ่มมั่นใจว่าเรนจะต้องลอบส่งชิกิงามิขนาดเล็กเข้ามาในหมู่บ้านนี้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว  เพราะถึงแม้ฝีมือเรื่องต่อสู้ของเรนจะแพ้เขาก็จริง ทว่าเรื่องการสอดแนมหาข่าวนั้น เรนเหนือกว่าเขาและทุกคนในตระกูลมากนัก

     “หึ! คงโกรธเกลียดผมมากสินะคุณริว ...แต่เพราะคุณนั่นล่ะที่บังคับให้ผมต้องเลือกวิธีนี้เอง”     

        เสียงพึมพำซึ่งดังจากด้านหลังทำให้กีรติชะงัก เขาไม่อาจล่วงรู้ได้ว่านิสัยใจคอของเรนเป็นเช่นไร ทว่าน้ำเสียงที่เขาได้ยินนั้นกลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด

       “ชิโระ! ออกมา!”

        ขาดคำของริว จิ้งจอกสีขาวตัวขนาดพอกับเสือโคร่งโตเต็มวัย ซึ่งมีบรรยากาศดุดันผิดจากที่กีรติเคยได้เห็น ก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของริว โดยชายหนุ่มนั้นตั้งใจให้สัตว์อสูรของเขาชิงตัวกีรติกลับมา ส่วนตัวเขาก็คิดจะสู้ตัดสินกับน้องชายต่างมารดา ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเสียที

       “ชิโระอย่างนั้นหรือ ช่วยไม่ได้นะ...ฝากด้วยแล้วกัน คุไร!”

        เรนเอ่ยพร้อมยกมือข้างที่สวมแหวนขึ้น ฉับพลันแหวนงูดำก็เริ่มคลายเกลียวออกพร้อมกับพุ่งไปด้านหน้า พลางขยายร่างกลายเป็นงูยักษ์ซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวร่วมเมตร และมีความยาวถึงสิบกว่าเมตรเลยทีเดียว

       “เฮอะ! ไม่ได้เจอกันนานนะเจ้างูน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำตามเจ้านาย จนถึงกับใช้วิธีสกปรกจับคนเป็นตัวประกันได้แบบนี้!”

        จิ้งจอกขาวตวาดใส่งูยักษ์ตรงหน้าแล้วยังพาดพิงไปถึงเรนที่อยู่ด้านหลังคุไรอีกด้วย

      “หึ...สกปรกอย่างนั้นหรือ”

        งูยักษ์สีดำคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาสีแดงเลือดวาวโรจน์ด้วยความโกรธ พร้อมกับสะบัดหางฟาดไปยังตำแหน่งที่จิ้งจอกขาวยืนอยู่

       “คนที่ทิ้งภาระทุกอย่างไว้ให้เรนแบกรับ แล้วหนีมาอยู่อย่างสุขสบายอย่างพวกแก ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์การกระทำของเรนหรอกนะ เจ้าจิ้งจอกเฒ่า!”

        ชิโระกระโดดหลบได้อย่างหวุดหวิด ส่วนริวนั้นชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน เขามองไปทางเรนก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเจ็บปวดให้เห็นวูบหนึ่ง แล้วจึงกลับมาเป็นเย็นชาอีกครั้ง

        “ผมไม่คิดสู้ตัดสินกับคุณอย่างที่คุณต้องการทำหรอกนะคุณริว ...เพราะผมรู้ตัวดีว่าต่อให้สู้ไป ก็ไม่มีทางชนะคุณได้แน่”

        เรนบอกพร้อมกับเดินเข้ามายืนใกล้กับกีรติ แล้วจึงร่ายอาคมเสกอาวุธเป็นมีดน้ำแข็งเล่มหนึ่งส่งให้ ซึ่งคนที่ถูกควบคุมร่างก็รับมันมาจ่อที่คอของตนเองเอาไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

       “ผมจะให้คุณได้เลือก ระหว่างชีวิตของผู้ชายคนนี้ และการกลับไปเป็นผู้นำตระกูลยูกิมูระอีกครั้ง!”

        เรนบอกกับพี่ชายต่างมารดาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ส่วนริวนั้นพอได้ยินก็ต้องกัดฟันกรอดกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ทางด้านชิโระที่ตั้งใจจะไปช่วยกีรติก็ถูกคุไรขวางทางเอาไว้   

        “เอ๋...เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ เฮ้ย! กีรติ ไหงเอามีดจี้คอตัวเองแบบนั้นน่ะ!”

        ลีที่วิ่งออกจากบ้านตามเสียงโครมครามมา ถึงกับเบิกตากว้างและโพล่งดังลั่นอย่างตกใจ ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่กับบ้านในช่วงกลางวันก็ต่างเริ่มออกทยอยมาล้อมรอบดูอยู่ห่าง ๆ กันบ้างแล้ว

      “บอกพวกนั้นด้วยนะครับคุณริว ว่าถ้าไม่อยากให้มนุษย์คนนี้เป็นอะไรไป ก็อย่าได้คิดเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างพวกเราเด็ดขาด”

        เรนยังคงใจเย็นไม่ได้ตื่นตระหนกอันใด ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่า แต่ละคนในหมู่บ้านนี้ล้วนแล้วแต่เป็นภูตผีปีศาจ หรือไม่ก็คนที่มีฝีมือไม่ธรรมดากันแทบทั้งนั้น

        “ปล่อยกีรติเดี๋ยวนี้นะ! ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นน้องชายของริว พวกเราก็ไม่ไว้หน้าแน่!”

        เสียงของแฟนธอมที่แหวกฝูงชนเข้ามาดังลั่นขึ้น แม้จะไร้พลังพิเศษดังเช่นปีศาจทั่วไป ทว่าบรรยากาศดุดันยามเจ้าตัวโกรธ ก็ทำให้ปีศาจแถวนั้นบางตน ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเลยทีเดียว

        “ผมปล่อยเขาแน่...ถ้าคุณริวยอมทำตามเงื่อนไขที่ผมเสนอไปล่ะนะ”

        เรนบอกกับแฟนธอมเป็นภาษาไทยด้วยใบหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน ทำให้คนฟังกัดฟันกรอดและเตรียมจะเดินเข้ามาหาด้วยความโมโห โดยที่เจอรัลด์ซึ่งตามหลังแฟนธอมมาติด ๆ ต้องรีบคว้าแขนของชายหนุ่มห้ามเอาไว้ เพราะเห็นกีรติเริ่มขยับมีดที่จ่อคอ ให้ปลายแหลมกดลงหนักขึ้น จนเลือดสีแดงนั้นไหลซึมออกมาเล็กน้อย

       “หยุดนะเรน! พอได้แล้ว! ถ้าแค้นนักก็มาลงที่ฉันสิ ดึงคนอื่นมาเกี่ยวข้องทำไมกันเล่า!”

        ริวตวาดลั่นด้วยความโมโหที่ตนไม่สามารถช่วยเหลือกีรติในยามนี้ได้เลย

      “แค้นอย่างนั้นหรือ...คุณนี่มันไม่เคยเข้าใจอะไรเลยนะคุณริว”

        เรนพึมพำแผ่วเบา สีหน้าเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดให้เห็น จนริวถึงกับชะงัก ส่วนคุไรที่เหลือบมามองเจ้านายของตน หันขวับไปทางริว แล้วคำรามขู่ลั่นด้วยความโมโหแทนอีกฝ่าย

       “คุณริว! นอกจากจะเห็นแก่ตัวแล้ว คุณยังใจดำเหลือเกิน...ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่น คุณไม่เคยได้รับรู้เลยสินะว่าเรนคิดยังไงกับคุณกันแน่ ...เรนน่ะหวังดีกับคุณยิ่งกว่าใครที่นั่นทั้งนั้น!”

       “หยุดพูดได้แล้ว คุไร!”

        เรนตวาดลั่นด้วยความลืมตัว ก่อนจะชะงักและพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติดังเดิม

      “เลิกพูดไร้สาระกันได้แล้ว...ผมให้เวลาคุณหนึ่งนาที เลือกเอาระหว่างชีวิตของเขากับอิสระของคุณ!”

        เรนตัดบทแล้วยืนประกบติดกับกีรติชนิดไม่ยอมเปิดโอกาสให้ใครหน้าไหนเข้ามาช่วยชายหนุ่มได้ทั้งนั้น

      “ริว! อย่ายอมนะ! กีรติน่ะ ฉันจะช่วยให้ได้เอง!”

        ชิโระตะโกนลั่นแล้วเตรียมจะพุ่งไปหากีรติทว่าก็ถูกคุไรพุ่งฉกมารัดร่างของเขาเอาไว้เสียก่อน หากแต่จิ้งจอกขาวก็ไม่ยอมแพ้และอ้าปากขย้ำฝังเขี้ยวลึกเอาไว้ที่ลำตัวของงูยักษ์สีดำเต็มแรง แล้วจึงกระชากเนื้ออีกฝ่ายขึ้นมา

      “ถ้านายไม่ปล่อย ฉันจะกัดให้ตัวนายขาดสองท่อนเลยทีเดียว คุไร!”

        จิ้งจอกขาวคำรามลั่น หากแต่งูยักษ์ก็ไม่ยอมคลายรัดออก แม้ว่าอีกฝ่ายจะกัดขย้ำย้ำแผลเดิมลงไปอีกครั้งก็ตาม

      “ไม่มีวัน...ต่อให้ตายก็ไม่มีทางให้ใครทำอะไรเรนได้เด็ดขาด!”

        ความภักดีของคุไร ทำให้จิ้งจอกขาวต้องชะงักการโจมตีด้วยความสับสน  เพราะจริง ๆ แล้วแม้ว่าเขาและอีกฝ่ายจะถือเป็นคู่ปรับกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่ญี่ปุ่น หากแต่ก็เพียงแค่การปะทะคารมเล็กน้อยและประลองฝีมือกันนิดหน่อย โดยต่างไม่เคยคิดเข่นฆ่าทำลายกันเลยสักนิด เพราะล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ทายาทของตระกูลยูกิมูระเช่นเดียวกันนั่นเอง

       “พอเถอะชิโระ...หยุดสักที ไม่ต้องสู้กันอีกแล้ว”

           ริวบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง คำพูดของคุไรเรียกสติเขากลับคืนมา และทำให้ได้สำนึกว่า ตลอดเวลาที่เขาทำหน้าที่ผู้นำแทนบิดาซึ่งล่วงลับไปแล้ว คนเดียวที่คอยเป็นห่วงและช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของเขามาตลอดโดยไม่เคยปริปากบ่น ก็คือน้องชายต่างมารดาผู้นี้  และเป็นเขาเองที่ไม่เคยใส่ใจต่อความห่วงใยนั้นแม้แต่น้อย หนำซ้ำเพราะความโกรธเกลียดและผิดหวังในตัวผู้คนรอบด้าน ทำให้เขาเผลอเหมารวมเรนเป็นพวกเดียวกับคนอื่น ๆ ในตระกูล ที่ต่างเห็นเขาเป็นเพียงเครื่องมือหาเงินและสร้างชื่อเสียงให้พวกตนเท่านั้นอีกด้วย 

      “ฉันจะกลับไปพร้อมนายเองเรน...เพราะฉะนั้นนายก็ปล่อยกีรติได้แล้วล่ะ”

        สีหน้าและแววตาของริวยามนี้ ทำให้เรนถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาควรจะยินดีที่จะได้รับอิสระจากภาระซึ่งต้องแบกรับแทนมานานสักที หากแต่ความรู้สึกที่เขากำลังสัมผัสอยู่ กลับกลายเป็นความเจ็บปวดราวใจสลาย ยิ่งกว่าตอนที่ได้รู้ว่าริวทิ้งตำแหน่งหนีจากตระกูลไปโดยไม่บอกเขาเสียอีก



        “ไม่เข้าใจเลย...ทั้ง ๆ ที่คุณริวไม่ต้องการเป็นผู้นำตระกูล จนต้องหนีจากญี่ปุ่นมา...ส่วนคุณเรนเองก็ไม่ได้นึกอยากเป็นผู้นำของตระกูลเลยสักนิด ...แล้วทำไมทั้งคู่ถึงต้องกลับไปที่นั่นอีกด้วยล่ะ... ที่นั่นมีความสำคัญกับพวกคุณขนาดนั้นเลยหรือครับ...สถานที่ซึ่งทำให้คุณริวมีสีหน้าเจ็บปวดขนาดนั้น และทำให้คุณเรนต้องมีน้ำเสียงที่เจ็บปวดถึงเพียงนี้น่ะ…”

         คำพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของกีรติที่ยังคงถูกควบคุมร่าง ทำให้สองพี่น้องชะงักนิ่ง ส่วนสัตว์อสูรทั้งสองเองก็ไร้ซึ่งคำพูดโต้ตอบ คุไรคลายรัดของตนให้ชิโระเป็นอิสระ แล้วจึงหันไปทางผู้เป็นเจ้านายของเขา

        “เรน...ถูกของเด็กคนนั้น ถ้ายังไงเรนหนีมาหลบอยู่กับริวที่นี่...”

        “ไม่มีทาง! ไม่ว่ายังไงก็หนีพวกนั้นไม่พ้นแน่...พวกนั้นจะตามรังควานเราไปทุกที่...ถึงต่อให้ป้องกันตัวเองได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันคนสำคัญได้หมดทุกคนหรอกนะ...”

        เรนโพล่งขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ทำให้แต่ละคนในที่นั้นเงียบกริบ แม้บางคนจะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่พวกเขาสนทนากัน แต่จากสีหน้าที่เจ็บปวดของเรนและคำพูดเมื่อครู่ของกีรติ ก็เพียงพอที่จะทำให้รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ในยามนี้เป็นอย่างดี

        “ตระกูลยูกิมูระของพวกคุณ มีอิทธิพลมากขนาดไหนหรือครับ”         

        เสียงที่จู่ ๆ ก็ดังขัดขึ้น นั่นคือเสียงของเวธน์ที่เดินแหวกฝูงชนเข้ามาหาพร้อมกรกฎและปาลิน  ชายหนุ่มนั้นอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ดี จึงเข้าใจในสิ่งที่เรนพูดมาเมื่อครู่ทั้งหมด

        “คุณเวธน์...”

        ริวเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างแปลกใจต่อคำถามนั้น ก่อนจะชะงักตามมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเองก็ค่อนข้างมาจากตระกูลใหญ่โตและมีอิทธิพลในประเทศไทยเช่นกัน

        “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ ...ต่อให้ทางบ้านของคุณและคุณกรกฎรวมตัวกันข่มขู่ ก็คงห้ามปรามไม่ให้ทางนั้นยุ่งได้ลำบาก เพราะพวกเขาไม่ได้ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศกับทางไทย ...หรือถึงจะขัดขวางไม่ให้เข้ามายุ่งวุ่นวายในไทยได้บ้าง ...แต่ทางนั้นคงไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ และคงจะหาวิธีนอกกฎหมายมาจู่โจมเรื่อย ๆ แน่นอนครับ”

        คำตอบของริวที่พอจะคาดเดาเจตนาของเวธน์ได้ ทำให้คนฟังต้องถอนหายใจยาว ส่วนกรกฎและปาลินก็นิ่งคิดทบทวนว่า พอจะมีญาติพี่น้องคนใดรู้จักกับผู้มีอิทธิพลของทางญี่ปุ่นบ้าง

        “ขอบคุณนะครับที่เต็มใจช่วย ...แต่ผมตัดสินใจลงไปแล้วล่ะครับ”

        ริวพึมพำด้วยความตื้นตันใจ เพราะไม่เพียงแค่พวกเวธน์ แต่ชาวบ้านแต่ละคนก็พากันหันหน้าปรึกษา ว่าจะช่วยเหลือพวกเขาพี่น้องได้อย่างไรบ้าง

        “ผมจะกลับไปที่นั่น เพื่อชดเชยเรื่องที่ผมเห็นแก่ตัว และทำให้น้องชายคนเดียวต้องมาลำบากเพราะผมเป็นต้นเหตุ...”

        เรนยังคงยืนนิ่งเงียบ ทว่าหยาดน้ำใสที่ไหลรินออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่นึกเวทนา และเมื่อริวเดินเข้ามาใกล้ เรนนั้นกลับไม่ได้โต้ตอบอะไร หากแต่ยอมอยู่เฉยให้ริวสลายมีดอาคมที่เขาสร้างขึ้น และช่วยเหลือกีรติให้มีอิสระดังเดิม

        “ขอโทษนะกีรติ ที่ผมมีส่วนดึงคุณเข้ามาให้พบกับเรื่องอันตรายแบบนี้อีกครั้งจนได้”

        ริวยิ้มเศร้า ๆ ให้ชายหนุ่ม แล้วเดินผ่านร่างของกีรติไปบีบบ่าของเรนแผ่วเบาอย่างปลอบโยน

       “ฉันจะกลับไปที่นั่นเอง...นายกับคุไรก็อยู่เสียซะที่นี่เถอะนะ”

        เรนชะงักแล้วจึงสั่นศีรษะปฏิเสธทันที

        “ไม่ครับ ผมจะไปกับคุณด้วย ...ผมจะไม่ปล่อยให้คุณไปเผชิญกับความเห็นแก่ตัวของคนที่นั่นคนเดียวหรอกครับ”

        ริวจ้องมองคนตรงหน้าอย่างรู้สึกผิดยิ่งขึ้น เพราะความที่เขากำพร้ามารดามาแต่เล็ก และยังถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและอยู่เหนือทุกคนในตระกูล จึงทำให้เขาเก็บซ่อนความอ่อนโยน และเลือกที่จะสวมหน้ากากเย็นชาเผชิญหน้ากับทุกคนในตระกูลเสมอ

         ทว่าถึงแม้เขาจะเป็นเช่นนั้น แต่เรนซึ่งเกิดจากภรรยาคนที่สองของบิดา ก็ยังคงให้ความเคารพและเชื่อฟังเขาเสมอมา หากแต่เขากลับไม่เคยแสดงออกถึงความรักแบบพี่น้องต่ออีกฝ่ายเลยสักครั้ง แม้กระทั่งตอนที่มารดาของเรนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เขาก็ไม่สามารถปลอบโยนให้อีกฝ่ายคลายเศร้าได้  ทว่าแม้เขาจะทำตัวเย็นชาโหดร้ายไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากเรนก็ยังคงมีแต่ความหวังดีและพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ตาม

       “ฉัน...ไม่สิ...พี่ขอโทษนะเรน...ขอโทษในทุก ๆ สิ่งที่ผ่านมา”

        เรนนิ่งอึ้งมองคนตรงหน้าเขาอย่างตกตะลึง และก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อผู้เป็นพี่โอบกอดเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

        “คุณริว...พี่ครับ”

        เรนสะอื้นพลางกอดอีกฝ่ายตอบ ความสัมพันธ์ของพี่น้องทำให้คนมองทั้งยินดีและสะเทือนใจคละเคล้ากันไป เพราะถึงแม้จะเข้าใจกันได้แล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังคงต้องกลับไปยังสถานที่ซึ่งพวกเขาไม่ปรารถนาจะอาศัยอยู่แม้แต่น้อย

        “ถ้าเป็นผู้มีอิทธิพลในญี่ปุ่นเป็นคนช่วยเหลือโดยตรง ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาสินะครับ”

        เสียงพึมพำที่ดังขึ้น ทำให้แต่ละคนต่างหันไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว

        “กีรติ...”

        ริวหลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบาอย่างประหลาดใจ เพราะกีรติยามนี้มีสีหน้าเคร่งขรึมผิดเคย แววตาของชายหนุ่มแสดงถึงความมุ่งมั่นในการตัดสินใจกระทำบางอย่างให้คนมองสัมผัสได้ จากนั้นกีรติจึงเดินผ่านสองพี่น้องยูกิมูระเข้าไปในป้อมยามโดยไม่พูดจาอะไรอีก ท่ามกลางสายตางุนงงของแต่ละคนในหมู่บ้านที่ไล่มองตามหลังของอีกฝ่ายไปอย่างไม่วางตา




...TBC...


ความลับใกล้เปิดเผยแล้วนะคะ อาจจะเริ่มเดากันได้แล้วมั้ง หุ ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2013 16:14:18 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Chichi Yuki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1584
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-3
เอาแล้วไง กีรติของเราจะทำยังไงล่ะเนี่ย
พ่อหรือคนรู้จักเป็นผู้มีอิทธิพลที่ญี่ปุ่นงั้น
ไม่อยากจะเดามาก เดี๋ยวมันผิด อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2013 20:55:50 โดย Chichi Yuki »

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2
อยากรู้จังว่ากีรติเป็นใคร

ออฟไลน์ Thyme103

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
กี ความลับเยอะนะเนี่ย

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 671
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ความลับของกีรติจะเปิดเผยแล้วสินะ

ลุ้นตอนต่อไป

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
กีรติ นายเป็นใครกันแน่ๆๆๆๆๆ   :a5:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สรุปว่าปีศาจทั้งหลายในหมู่บ้าน ดูเป็นคนปกติไปเลยเมื่อเทียบคนจริงๆ ในเรื่องนี้

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
หนูกีเป็นลูกเจ้าพ่อเรอะะะะะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด