(เรื่องสั้น) ผมคือ...นางเอก
ซีน 7‘โอย...ปวดหัวจัง....’
‘สงสัยเมื่อคืนดื่มหนักไปแฮะ...เฮ้อ...คอยังอ่อนเหมือนเดิมเลยเรา...’
‘หืม? ทำไมตรงเอวมัน...หนักๆวะ?’
‘หลังก็อุ่น...’
‘เฮ้ยยยย!!!!!??’“อร๊ากกกกกกกก!!!!”พรึ่บ
โครม!!
“เอะอะ อะไรแต่เช้าเนี่ยสดายุ?”
“...............”
ทั้งเสียงตะโกนแสบแก้วหู ทั้งเสียงโครมครามเรียกให้พระเอกหนุ่มตื่นจากภวังค์ฝัน ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือที่หัวเตียงบ่งบอกเวลา หกโมงครึ่ง เพิ่งจะหกโมงครึ่งเท่านั้น พระเอกหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึก เรียกกำลังในการเผยอเปลือกตาหนักอึ้งของตนขึ้น เพื่อจะหันไปดูตัวต้นเหตุที่ลงไปนั่งกองอยู่ข้างเตียงอย่างเซ็งๆ
“เมื่อคืนกว่าคุณจะสิ้นฤทธิ์ กว่าผมจะได้นอนก็ปาๆเกือบตีสี่นะครับ คิวถ่ายวันนี้ก็ตั้งบ่ายสามโมง ผมขอนอนยาวๆหน่อยได้มั้ยครับคุณสดายุ?”
กฤตเมธในสภาพเปลือยท่อนบน บ่นออกมายาวๆ พร้อมกับใช้มือขวาขยี้ผมไปมา โดยไม่ได้มองไปทางสดายุเลยแม้แต่น้อย แต่เพียงครู่ก็ต้องรู้สึกสะกิดใจขึ้นมานิดหน่อยเมื่อเห็นคู่กรณียังคงเงียบงัน
และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตะลึงงันกับภาพที่ได้เห็น ภาพนั้นคือ
ร่างสดายุที่ถูกห่อไว้อย่างหมิ่นเหม่ด้วยผ้าห่มฟูฟ่องสีขาวปลอด สภาพที่ไหล่กับต้นขาด้านซ้ายที่เผยออกมาจากสิ่งปกคลุมนั้นสามารถบ่งบอกได้อย่างดีว่าภายใต้ผ้าห่มผืนนั้นร่างกายของสดายุไร้สิ่งใดปกปิดกีดกันสายตาแม้แต่ชิ้นเดียว
ทำไมกฤตเมธถึงรู้ว่าใต้ผ้าห่มผืนนั้นไม่มีสิ่งกีดขวางแม้สักชิ้นน่ะหรือ ก็เพราะเมื่อคืนเป็นฝีมือเขาเอง ที่เป็นคนปอกเปลือกสดายุจนล่อนจ้อน เขาเองที่เป็นคนทำให้ร่างขาวผุดผาดของสดายุนั้นเปล่าเปลือย ไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ กกน.
“ก...แก...ทำอะไรฉัน!!?”
เสียงแรกแทนการทักทายจากสดายุคือเสียงที่แหบต่ำราวกับจะขู่กรรโชก ตาขวาง ใบหน้าแดงก่ำ
“.....พูดกับรุ่นพี่ให้มันดีๆหน่อยสดายุ ผมเตือนคุณหลายครั้งแล้วนะ เรื่องมารยาทน่ะ...”
“ไม่จำเป็นต้องมีกับคนฉวยโอกาสอย่างแก!! บอกมา! เมื่อคืนแกทำอะไรฉัน!!!?”
‘ฉวยโอกาส’ ‘ทำอะไรกับ...’ พอเริ่มจับความได้ กฤตเมธก็ยิ้มน้อยๆออกมาที่มุมปาก นึกขำไม่หยอกที่คนข้างล่างเตียงคิดว่าตัวเองโดนเขาทำมิดีมิร้าย
‘ไหนว่าช่ำชองเรื่องพวกนี้ไงเจ้าตัวแสบ ที่แท้ก็อ่อนเหมือนกันนี่หว่า’
ตอนแรกก็กะว่าจะเฉลยออกมาดีๆ แต่พอเห็นเด็กนิสัยเสียทำตัวก้าวร้าวไม่เลิกขนาดนี้ กฤตเมธก็อดไม่ได้ที่ต้องแกล้งแหย่กลับไปเสียหน่อย ก็นะ ช่วยไม่ได้ที่บลูม่าฝากให้เขาช่วยดูแล ช่วยไม่ได้ที่เขาเองก็แอบให้ความเอ็นดูในตัวสดายุไม่น้อย และก็ช่วยไม่ได้ที่เขาเองก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดีสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นการจะอยู่นิ่งเป็นพระอิฐพระปูนให้เด็กมันลูบคมนั้น ย่อมไม่ใช่ตัวเขาอย่างแน่นอน
‘เด็กไม่ดีต้องตีให้เข็ด!’
เมื่อคิดวิธีที่จะเอาคืนผู้ชายปากกล้าตรงหน้าได้ กฤตเมธก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะชันเข่าซ้ายขึ้นเพื่อเท้าแขน โดยมีผ้าห่มคลุมกลางลำตัวไว้เล็กน้อย เพื่อเผยขาเปลือยออกมาสู่สายตาของสดายุบ้าง จากปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายแสดงออกมา กฤตเมธรู้ทันทีว่าสดายุต้องนึกว่าใต้ผ้าห่มนี้ไม่มีอะไรเลยเหมือนตนเองแน่นอน
‘ฉันยังใส่บ๊อกเซอร์อยู่นะเจ้าเด็กดื้อ’
“ไหนว่าตัวคุณเป็นสัตว์กินเนื้อไงครับสดายุ ไหนว่าคุณชินแล้วกับเรื่องบนเตียง แล้วทำไมแค่นี้คุณถึงไม่รู้ล่ะครับว่าผมทำอะไรคุณไปแล้วบ้าง?”
“...ม....หมายความว่ายังไง?”
คำพูดคลุมเครือ ความหมายคลุมเครือ ยิ่งทำให้สดายุเหงื่อตก จำได้แค่ว่าตัวเองเมา แล้วคลับคล้ายคลับคลาว่าจะถูกใครสักคนพากลับมาที่ห้อง จากนั้นความทรงจำของเขาก็ขาดช่วง ไม่ปะติดปะต่อ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเปลือยได้อย่างไร และถ้าหากถูกล่วงเกินจริงล่ะก็ เขายิ่งอยากโขกหัวตัวเองกับพื้นตาย เพราะดันจำไม่ได้ ไม่รู้ตัวเลยสักฉาก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจี๊ดๆ
“เอาเป็นว่า...”
กฤตเมธเท้าคางของตนไว้บนเข่า จดจ้องมาที่ร่างของสดายุแสร้งว่าจะโลมไล้ด้วยสายตา พร้อมรอยยิ้มร้าย ก่อนจะเอ่ยคำแกล้งให้สดายุต้องอกสั่นขวัญแขวนออกมา
“ผมรู้แล้วว่าตัวคุณหอมหวานแค่ไหน (เพราะได้นอนกอดอยู่ทั้งคืน) ผมเห็นแล้วว่าใต้ผ้าห่มผืนนั้นผิวคุณละเอียดเพียงใด และอย่าหาว่าผมทะลึ่งเลยนะ แม้แต่ห่อหมกทรงเครื่องของคุณ ผมก็...พอเข้าใจแล้วว่า ทำไมคุณถึงไม่ค่อยขาดแคลนเรื่องบนเตียง...”
“ส่วนเรื่องที่ว่าคุณเร่าร้อนแค่ไหนนั้น จะให้ผมเจียรไนให้ฟัง....อุ๊บ!!?”
‘ผลั๊วะ!!’
“หยาบคาย!! แกมัน....สารเลวที่สุด!!!”
ยังไม่ทันที่กฤตเมธจะพูดจบ ก็ถูกสดายุปาหมอนใบเขื่องเข้าใส่เต็มๆ จะหันไปโวยก็เป็นต้องอึ้งอีกคำรบ เมื่อใบหน้าที่แดงก่ำของสดายุนั้น เอ่ออาบไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความคั่งแค้นใจ ที่เผลอพลาดท่าเสียทีให้กับกฤตเมธคนที่ตัวเองชังน้ำหน้าที่สุดไปเสียแล้ว
และใบหน้านั้นของสดายุก็ทำให้กฤตเมธรู้สึกตัวในที่สุด ว่าเผลอกระทำรุนแรงต่ออีกฝ่ายลงไปอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะกล่าวขอโทษ ร่างบางของสดายุก็ทำท่าจะถลาออกไปจากห้องเสียก่อน
“เฮ้ยเดี๋ยว.....!!?”
โครม!
“โอ้ยยยยย!!”
จังหวะที่กฤตเมธจะร้องห้าม สดายุที่ยังไม่หายเมาค้างก็ดันเผลอเหยียบชายผ้าห่มรุงรังที่พันตัวอยู่จนเป๋ล้มโครมไปต่อหน้าต่อตา เล่นเอากฤตเมธถลาลงมาช่วยแทบไม่ทัน
“เป็นยังไงบ้างสดายุ!!?”
“ปล่อยนะ!! อึ๊ก!!”
แค่ตวาดออกไ/ปเพียงนิด ข้อเท้าที่พับอยู่ก็เจ็บจี๊ด ‘ท่าทางข้อเท้าคงจะแพลงไปเสียแล้ว’
“มานี่ ผมช่วยพยุง...”
“บอกว่าอย่ามายุ่งไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ!!!?”
แม้จะล้มจุมปุกไปไหนไม่รอด แต่สดายุยังไม่วายแสดงความแข็งกร้าวออกไปกับคนตรงหน้า คนไร้ยางอาย คนสารเลวในสายตาของสดายุ
“รู้ครับ แต่ผมไม่อยากฟัง ตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าการฟังภาษาคนก็คือการช่วยคุณ ขาแพลงใช่มั้ยเนี่ย”
“อย่ามาจับฉันนะ ปล่อย!!!”
ทั้งปัดป้องทั้งดิ้นรนสารพัด เพื่อไม่ให้กฤตเมธได้เข้าถึงตัว แม้จะเจ็บแค่ไหน เขาก็จะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายเด็ดขาด ฝ่ายกฤตเมธเองเมื่อเห็นว่าสดายุขัดขืนอย่างจริงจัง เขาเองก็ได้แต่ถอนใจ และยอมรับความผิดออกมาในที่สุด
“โอเค โอเค ผมยอมคุณแล้ว ผมขอโทษ!!”
“ขอโทษแล้วมันหายรึไง!!?”
“ผมขอโทษที่ผมแหย่คุณแรงไปหน่อย คุณสบายใจเถอะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณหรอก”
“............อะไรนะ?”
สดายุหันไปมองกฤตเมธที่อยู่ข้างตัวแทบจะทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบประโยค ‘ยังไม่ได้ทำอะไร’ นั่นก็หมายความว่า...ประตูหลังเขายังปลอดภัยอยู่?
“ถามจริงเหอะสดายุ ไหนว่าคุณเจนเรื่องพวกนี้แล้วไง คุณไม่รู้เรื่องตัวคุณเลยเหรอ?”
“....................”
หน้าตาที่บ่งบอกว่าเอ๋อไปแล้วของสดายุแทนคำตอบได้อย่างดีว่าชายหนุ่มเชื่อที่เขาอำเสียสนิทใจ
“เฮ้อ...คุณสดายุครับ คุณเจ็บก้นมั้ย? ถ้าผมล่วงเกินคุณไปจริงๆ คุณต้องเจ็บก้นจนแทบนั่งไม่ไหวแน่นอนครับ ผมมั่นใจในของของผมอยู่นะ แล้วนี่คุณไม่เจ็บใช่มั้ยครับ แค่ปวดๆ เมื่อยๆ จากอาการเมาค้างเท่านั้นใช่มั้ย?”
“ล...แล้วทำไมผมถึง...แก้ผ้า?”
พอรู้ว่าตัวเองยังปลอดภัย และนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจ็บปวดส่วนไหนเป็นพิเศษเหมือนที่อีกฝ่ายว่าไว้ แต่เขาดันขาดสติโวยวายออกไปเอง ทั้งอาย ทั้งรู้สึกผิด เสียงที่ถามออกมาจึงแผ่วเบาตามไปด้วย ครานี้กฤตเมธเองก็ถึงกับถอนหายใจโล่งอก ที่ในที่สุดก็สามารถสื่อสารกันได้เสียที
“จู่ๆ เมื่อคืนตอนตีสามคุณก็ลุกขึ้นบ่นว่าปวดฉี่ แล้วก็เดินเป๋ไปเข้าห้องน้ำ ผมก็ง่วงจะแย่เลยไม่ได้ตามไปดู ก็นึกว่าคุณจะสร่างบ้างแล้ว ที่ไหนได้ หึหึ คุณเล่นอาเจียน ลากตั้งแต่ในห้องน้ำยันหน้าประตู ไม่ต้องพูดถึงเสื้อผ้าคุณเลย ทั้งชั้นนอกชั้นใน ผมส่งซักแห้งไปหมดแล้ว...”
“.....อะ...เอ่อ....แล้วตัวผม....”
อยากถามออกไปเหลือเกินว่าสภาพหลังจากนั้นเป็นยังไง แต่จากที่เห็นคงไม่ค่อยดีนัก สดายุจึงได้แต่อ้ำอึ้ง ถึงวีรกรรมที่ตัวเองสร้างไว้เมื่อคืน
“จะให้ผมทนนอนกับคนตัวเหม็นอ๊วกรึไงคุณ เช็ดตัวคุณเสร็จก็ต้องโทรตามฟรอนท์ตอนตีสามครึ่ง ให้มาจัดการซากคุณจนแม่บ้านแทบจะแช่งผมอยู่แล้ว...”
“เอ่อ....ผม...”
“เอาเป็นว่าผมขอโทษแล้วกันนะที่โกหกคุณเมื่อครู่ ผมแค่หงุดหงิดที่นอนน้อยน่ะ”
“.........................”
พอเรื่องราวทั้งหมดกระจ่าง จากที่เดือดจนแทบจะบ้าเมื่อครู่ ละลายหายวับเหลือเพียงความอับอายเข้าแทนที่ทันที เล่นเอาสดายุตื้อจนพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘ขอโทษ’ หรือแม้แต่คำว่า ‘ขอบคุณ’
“เอาขามาให้ผมดูสิ บวมหรือเปล่า?”
“ไม่ต้อง! ผมจัดการเอง เอ่อ....ไม่อยากรบกวน”
ด้วยความอายบวกทิฐิทำให้สดายุไม่สามารถรับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้าได้อีก เพราะเขาเผลอให้อีกฝ่ายเห็นด้านที่อ่อนแอมากเกินไปแล้ว
“อย่าดื้อสิคุณ เอาขามาดูหน่อย”
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง!! ผมดูแลตัวเองได้!!”
อาการกระด้างกระเดื่องของเด็กดื้อ เล่นเอาเส้นเลือดตรงขมับของกฤตเมธเริ่มเต้นตุบๆอีกครั้ง
‘จะดื้อไปถึงไหนนะ ไอ้เด็กบ้า’
“ผมอยากมอมเหล้าให้คุณเมาทั้งวันจริงๆนะสดายุ”
“.........??....อะไรของคุณ....”
สดายุขมวดคิ้วมุ่น เมื่ออีกฝ่ายอยากให้เขาเมาตลอด อยากโวยออกไปว่าบ้าหรือเปล่า แต่ก็ต้องหุบปากฉับ เมื่อถูกร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงมาคร่อมเอาไว้ ก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่ไม่น่าเป็นไปได้ออกมา
“เพราะตอนคุณเมา...คุณน่ารักกว่านี้เยอะ”***************************************************************************************
มาแบบสั้นง่าย ฉากเดียว แล้วก็จบแบบค้างๆคาๆ
แฮะๆ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆค่ะ
เอาเป็นว่า เขาแอบมาลงไว้ต่อนนึงก่อนนะ
และจะหายหัวไปอีก 3-4 วัน ขอไปปั่นรีไรท์ก่อนนะจ๊ะ
ขอโทษที่ต้องให้รอนะคะ
จุ๊บๆๆๆๆ
THEARBOO / อนาคี 99
ปล.อนุญาตให้ก่นด่าคุณกฤตเมธได้เต็มที่ค่ะ
มันน่าโดนจริงๆ แหม มาแกล้งน้องยุให้ขวัญเสียซะได้
อิอิ