(เรื่องสั้น) ผมคือ...นางเอก
ซีน 10 (จบ)“รีบฆ่าเชื้อก็ดีนะครับ…เดี๋ยวพิษคนแก่ จะซึมเข้ากระแสเลือดเสียก่อน…เข้าไปแล้วอาจรักษาไม่ได้เสียด้วยสิ”".......คุณนี่มัน...ฮึ่ย..."
สดายุเดินกระแทกไหล่ผ่านคนช่างเย้าไปอย่างอารมณ์เสีย ไม่อยากต่อปากต่อคำซ้ำซาก เพราะโดยส่วนตัวเขาก็ไม่ค่อยชอบวุ่นวายกับใครอยู่แล้ว (ถึงได้โดนตราหน้าว่าพระเอกจอมหยิ่ง จนถึงตอนนี้) ดังนั้นแม้จะหงุดหงิดงุ่นง่านที่ถูกอีกฝ่ายแหย่เล่นราวกับเป็นผู้หญิง แต่ก็ตีบตันเกินกว่าจะไปนั่งต่อความยาวสาวความยืด
'มีปากพูดได้ก็พูดไป'
ว่าจะเดินหนีไปให้ไกลเป็นต้องหยุดชะงัก เมื่ออีกฝ่ายยังยียวนตามหลังไม่เลิก จนสดายุเองยังแอบก่นด่าในใจไม่ได้ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้จ้องแต่จะแขวะเขาอยู่เรื่อยเลยนะ จงเกลียดจงชังมาแต่ชาติปางไหนกัน!!
"งั้นเอามานี่!"
เรื่องเยอะนัก สดายุจึงตัดสินใจเข้าไปกระชากถุงจากสองมือของกฤตเมธหมายจะเอาออกมาถือไว้เสียเอง ทว่าคนตัวสูงกว่ากลับเบี่ยงมือหลับได้ทันควัน
"เอาคืนมาสิคุณ ถ้าจะกลับคำทำไม่ได้ขึ้นมาก็เอาคืนมานี่!"
ปากว่าสองมือไขว่คว้า แต่กฤตเมธก็ยังหลบได้พลิ้ว พร้อมขมวดคิ้วตั้งคำถาม
"อะไรกันคุณ ผมยังไม่ได้บอกว่าจะให้คุณถือเองซะหน่อย งอนอะไรขึ้นมาอีกล่ะ?"
คำว่า 'งอน' กระแทกเข้าหน้าจนเกือบหงาย ผู้ชายแท้ๆแถมยังเคยเป็นถึงพระเอกดังอย่างเขา กลับถูกเย้าด้วยคำว่า 'งอน' ราวกับเด็กสาวๆเนี่ยนะ!? เพื่อนสนิทก็ไม่ใช่ คนรู้ใจก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคนตรงหน้าย่อมไม่มีสิทธิ์มาล้อเล่นกับเขาแบบนี้ ยิ่งคิดสดายุก็ยิ่งโมโห
"ไม่ได้งอน! ผมแค่สงสารคนแก่อย่างคุณที่ต้องถือของหนักอยู่กลางแดด จนพาลจะหมดเรี่ยวแรงไปเสียก่อน จนทำของของผมเสียหายขึ้นมา มันไม่คุ้มกัน!"
"เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ คุณ? อะไรเนี่ย? คำก็แก่ สองคำก็แก่ แล้วคุณอายุเท่าไหร่กันครับ?"
"ยี่สิบหก!"
"ผมก็เพิ่งจะสามสิบสาม แก่กว่าแค่เจ็ดปีนะครับ ไม่ใช่เจ็ดรอบ แขวะกันจัง"
ตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันจนลืมไปแล้วว่ายังอยู่กลางตลาด สายตาของคนผ่านไปผ่านมาเริ่มจับจ้อง สองหนุ่มจึงยอมยุติสงครามน้ำลายกันชั่วคราว สดายุเป็นฝ่ายยอมล่าถอยก่อน แต่ก่อนจะเดินเลี่ยงไปก็ได้ทิ้งคำเด็ดไว้ให้กฤตเมธอีกดอก
"แก่!!"
ต่อจากนั้นแม้ว่ากฤตเมธจะต่อเรื่องต่อราวอะไรอีก สดายุก็จะทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยิน ไม่ยอมฟัง กระทั่งกลับกันมาถึงโรงแรมในที่สุด
เพราะเป็นดารานำ ดังนั้นความเป็นอยู่จึงดีกว่าสต๊าฟคนอื่นเล็กน้อย เพราะในขณะที่ทีมงานทั่วไปอยู่ห้องรวม ตัวประกอบอยู่ห้องคู่ แต่กฤตเมธ สดายุ และอ๊อดนั้น ได้สิทธิพิเศษในการนอนเดี่ยวในห้องเล็กๆ ของโรงแรมระดับสามดาว
สดายุโอเคมากที่ได้อยู่คนเดียว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นห้องคอนเน็คกับกฤตเมธด้วย แม้ประตูตรงกลางระหว่างห้องจะไม่เคยเปิดไปมาหาสู่กัน แต่มันก็ทำให้อดีตพระเอกหนุ่มไม่พอใจอยู่ดี
“เอาของมาได้แล้วคุณกฤตเมธ ขอบคุณที่ช่วยถือมาให้”
เดินถึงหน้าห้องสดายุก็หันไปขอถุงพะรุงพะรังจากมือของกฤตเมธ
"ให้ผมเข้าไปส่งให้ดีกว่ามั้ย มันเยอะนะ ถือลำบาก"
กฤตเมธเสนอตัว ทั้งยังไม่ยอมคือของให้อีกฝ่าย
"......ชอบเป็นเบ๊สินะคุณน่ะ...ชอบถูกกดขี่ ชอบโดนใช้แรงงานหรือไง?”
สดายุแขวะออกไปไม่เบานักเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมคืนของให้แถมยังดึงดันจะเข้าห้องเขาให้ได้ แต่ถึงจะพูดจาออกไปค่อนข้างรุนแรง แต่ดูเหมือนกฤตเมธจะไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังยืนยิ้มร่ายอมให้ด่าเล่นเสียอย่างนั้น
“ไม่ได้ชอบหรอกครับ ผมทำให้แค่กับบางคน...แล้ว...เราจะคุยกันหน้าห้องอีกนานมั้ยครับ? ผมเมื่อยแล้วนะ”
“คุณนี่มัน...คนเขาไล่แล้วยังไม่ยอมไป ต้องให้ผมพูดตรงๆเหรอครับ ถึงจะเข้าใจ?”
“...พูดตรงๆ...ว่าผมหน้าด้านน่ะเหรอ หึหึ ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ...”
“คุณกฤตเมธ!!”
“คุณกลัวผมเหรอ คุณสดายุ ขู่แฟ่ดๆเป็นลูกแมวเชียว”
แทนที่จะเป็นคนทำให้อีกคนเสียอารมณ์ เขากลับเป็นฝ่ายถูกยั่วจนแทบเต้นแทน ทั้งคำว่า ‘กลัว’ ทั้งคำว่า ‘ลูกแมว’ เล่นเอาเขาต่อคำไม่ถูกเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่เกิดมาจนอายุปาเข้าไป 26 ปีแล้ว ยังไม่เคยโดนใครกระเซ้าในเรื่องน่าอายแบบนี้มาก่อนเลย
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกครับ หึหึ...ให้ผมเข้าไปได้ยัง?”
“...โอเค...ได้...แต่ก่อนเข้าไปผมถามอะไรหน่อยสิ”
โมโหไปก็เท่านั้น เพราะดูท่าอีกฝ่ายจะดูยี่หระกับคำค่อนขอดของเขาเลยแม้แต่นิด แต่การจะรามือล่าถอยง่ายดายก็ไม่ใช่ตัวเขาเช่นกัน
“คนแก่น่ะ...เขาหน้าหนาอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าครับ? หรือว่าคุณเป็นคนพิเศษ”
“.................”
แขวะออกไปพร้อมมือที่ยังคงไขประตู และก็เช่นเดิมที่กฤตเมธได้แต่ยิ้มให้แทนการตอบโต้ สดายุเองก็อยากด่าออกไปให้มากกว่านี้อยู่เหมือนกัน แต่พอนึกถึงสิ่งที่ได้รับความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายในหลายๆครั้ง ความขุ่นข้องก็ดูจะเบาบางลงบ้าง...แม้จะแค่นิดเดียวก็ตามที
“ผมตั้งไว้ตรงนี้หมดเลยนะ”
มาถึงห้องสดายุก็เปิดตู้เย็นดื่มน้ำอึกๆ โดยไม่สนใจคนที่อุตส่าห์ถือของตามมาจนถึงห้องหับ แถมยังไม่มีน้ำใจต้อนรับขับสู้ ถ้ากับคนอื่นสดายุก็คงจะยังพอมีกระใจทำนั่นนี่ให้บ้าง แต่สำหรับคนอย่างกฤตเมธ เขาไม่สามารถตัดใจทำอะไรให้ได้ทั้งนั้น
‘แกร๊ก’
“เฮ้ย? ทำไมยังไม่ออกไปอีกล่ะ แล้วปิดประตูทำไมเนี่ย?”
อารามตกใจสงสัยเลยลืมที่จะรักษามารยาทเสียสนิท
ตกใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมออกไป แถมยังปิดประตูขังตัวเองไว้ในห้องของเขาอีก
"อะไรคุณ? กลัวเหรอ?"
"ไม่ได้กลัว! แต่ไม่ชอบ คุณกำลงบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของผมอยู่!!"
"ผมนึกว่าคุณจะเชิญผมดื่มน้ำดื่มท่าของคุณที่ผมอุตส่าห์ช่วยคุณถือของ ช่วยปฐมพยายบาลคนเป็นลมแดด ช่วยอุ้ม ช่วยพัด..."
"ผมก็ขอบคุณคุณไปแล้วนี่..."
เห็นอีกฝ่ายตั้งการ์ดกับตนไม่เลิก กฤตเมธก็ได้แต่กอดอกยืนพิงประตูห้องเพื่อรอดูท่าทีของอีกฝ่ายต่ออีกนิดอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะเอ่ยปากบอกจุดประสงค์ของตัวเองบ้าง
"นี่คุณ...ผมไม่น่ามืดทำอะไรคุณหรอกน่า ถึงคุณจะขาวถูกใจ ถึงรูปร่างคุณจะอ้อนแอ้นตามแบบที่ผมชอบ ถึงตาคมกลมสวยกับปากแดงๆนั่นจะทำให้ผมรู้สึกดี แต่วางใจเถอะครับ ผมยังไม่คิดจะจับคุณกินตอนนี้อย่างแน่นอน"
แต่ละคำพูดที่ออกจากปากของกฤตเมธล้วยตั้งใจจะยั่วโมโหสดายุทั้งสิ้น พระเอกหนุ่มวัยดึกเองยังอดคิดในใจๆไม่ได้ว่าตัวเองคงมีอาการทางจิต เพราะแทนที่จะทำตัวสมวัย พูดจาถ้อยทีถ้อยอาศัยกับอีกฝ่าย เขากลับทำตัวเป็นเด็กพูดจายั่วโทสะของนักแสดงรุ่นน้องอยู่ได้ แต่ถ้าจะไม่ทำมันก็อดไม่ได้อีก เพราะเจ้าคนไม่รู้จักตัวเองตรงหน้า ชอบท้าทายให้เขานอกลู่นอกทางอยู่เรื่อย และไม่ต้องคิดเลยว่าหลังจากประโยคเมื่อครู่ของเขา สดายุจะเดือดดาลแค่ไหน เพราะตอนนี้คนตรงหน้าแทบจะกลายร่างเป็นเสือโผเข้ามาขย้ำคอเขาอยู่แล้ว
"มันจะมากไปแล้วนะ คุณกฤตเมธ!! คุณดูถูกผมเกินไปแล้ว!"
"แล้วคุณเคยให้เกียรติผมในฐานะรุ่นพี่บ้างหรือเปล่าล่ะ? คุณสดายุ..."
"ก็คนอย่างคุณมัน........!! คุณกฤตเมธผมรู้คุณไม่ชอบน้ำหน้าผม แล้วทำไมคุณถึงมาคอยวุ่นวายกับผมอยู่ได้!!?"
""เอ้า? ใครบอกคุณกันว่าผมไม่ชอบคุณ?"
กฤตเมธสวนขึ้นทันทีที่สดายุพูดจบ และแน่นอนว่าคำตอบของนักแสดงรุ่นพี่อย่างเขาทำเอาสดายุถึงกับหน้าเหวอ 'ใครว่าไม่ชอบ?' งั้นก็แสดงว่า 'ชอบ' สินะ? พอประมวลผลได้แทนที่จะโวยวายโหวกเหวกต่อว่าตัวเองถูกกระเซ้าโน่นนี่ แต่สดายุกลับหุบปากฉับ ใบหน้าขึ้นสีเลือดเล็กน้อย
(หลังจากแดงเพราะโกรธรอบแรก ซีดเพราะถูกบอกว่าชอบด้วยคำพูดกำกวม และแดงขึ้นมาอีกเมื่อตีความหมายคำพูดของอีกฝ่ายกับสายตากรุ่มกริ่มนั้นได้)
"คุณ...หมายความว่ายังไง?..."
จริงอยู่ว่าสดายุไม่ได้ซี่อใสกับเรื่องเหล่านี้ คำป้อ คำหยอด เขาคุ้นเคยดีมาทั้งชีวิต ทั้งเป็นฝ่ายพูดทั้งเป็นฝ่ายโดนพูดใส่ โดนมาแล้วทั้งหญิงทั้งชาย...แต่สำหรับคนแก่แสนกลตรงหน้า จะให้จู่ๆเขาตีความเข้าข้างตัวเองเร็วไปคงไม่เหมาะ เพราะไม่แน่นี่ก็อาจเป็นแค่คำเย้าแหย่เขาเล่นๆเหมือนที่ทำอยู่ทุกทีก็เป็นได้
'กันไว้ก่อน'
"...แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?"
".................."
'แล้วจะให้คิดยังไงล่ะ ไอ้บ้านี่!? ลูกล่อลูกชนเยอะเกินไปแล้วนะ!!'
จากหน้าแดงๆเริ่มปลี่ยนเป็นเขียวคว่ำอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายลองใจไม่เลิกรา ด้วยความที่ส่วนตัวแล้ว สดายุเป็นคนตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นเวลาเจอกับอะไรที่ต้องให้คิดเอง ต้องมาแปลความแบบนี้ เป็นเรื่องที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง
“.........ผมคิดว่าคุณกำลังสนุก กับการที่ได้เห็นผมเต้นไปตามความคิดคุณ...คุณคิดว่าผมมันโง่ มันแค่ไก่อ่อน จองหองสมองกลวง ไม่ว่าคุณจะพูด จะหลอกยังไง ผมก็ทำได้แค่เตลิดไปกับคำพูดของคุณเท่านั้น...”
“.......คิดไปไหนของคุณน่ะ?”
กฤตเมธถึงกับต้องยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้วยิกๆ เพราะดูท่าสดายุจะใช้ทิฐิบวกกับอคติตีความคำพูดของเขาไปไกลจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว
‘ทำไมกันนะ คำว่าชอบของเขาถึงได้กลายไปเป็นคำว่า ล้อเล่น หลอกลวง เล่นสนุก? ไปเสียได้ล่ะ?’
“คุณคิดมากไปแล้วคุณสดายุ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย...”
พระเอกหนุ่มใหญ่เอ่ยคัดค้านทั้งที่นิ้วมือยังคงขยี้หัวตาที่ให้ความรู้สึกปวดแปลบอยู่
“แล้วหมายความว่ายังไงล่ะ? หมายความว่าคุณชอบผมอย่างนั้นเหรอ? ทั้งๆที่เมื่อก่อนคุณนั่นแหละที่เป็นฝ่ายที่ไม่ชอบหน้าผม หาว่าผมมันเหลวไหล เหลวแหลกเนี่ยนะ คุณเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผมไม่ใช่เหรอ ว่า ‘นักแสดงที่มัวแต่หลงระเริงจนไม่รู้จักประมาณตนเอง ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง สุดท้ายก็ดับทุกราย...’ ไม่ใช่เหรอครับ? แล้วช่วงเล่นหนังเรื่องนี้ตอนแรกๆ คุณก็เหม็นขี้หน้าผมอย่างกับอะไร แล้วอย่างนี้จะให้ผมเชื่อคุณลงเหรอว่าคุณชอบผมจริงๆ อย่าหลอกผมเล่นซะให้ยากเลย”
คำอธิบายยาวเหยียดถึงเหตุผลที่ไม่ยอมเชื่อ ขุดกันมาตั้งแต่สมัยยังรุ่งเรืองซึ่งก็ผ่านไปนานเป็นปีๆ กฤตเมธได้แต่ถอนหายใจ
'ดื้อ...'
"โอเค ผมยอมรับ..."
"......!!?..."
กฤตเมธเอ่ยขึ้นก่อนจะผละตัวเองออกจากการพิงประตู แล้วสืบเท้าเข้าใกล้คนที่ยืนตั้งการ์ดรออยู่อีกฟากห้องขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ รังสีคุกคามก็ยิ่งแผ่กำจายจนสดายุเองยังต้องถอยหนีโดยไม่รู้ตัว
พระเอกหนุ่มใหญ่ได้แต่ยิ้มให้คนตรงหน้าพร้อมกล่าวคำขอโทษเสียงหวาน 'คนถือตัวย่อมใช้ไม่แข็งไม่ได้ผล' แต่คนอย่างสดายุนั้นยิ่งรับมือลำบากกว่าคนทั่วไปเสียด้วย ใช้ไม้แข็งก็ยิ่งเตลิด ใช้ไม่อ่อนก็ยิ่งไม่ยอมเชื่อใจขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้คนดื้อเพ่งที่ชื่อสดายุคนนี้ยอมรับฟัง วิธีที่จะทำได้คงมีแค่ 'การบังคับกลายๆแบบนุ่มนวล' เท่านั้นสินะ
"คุ...คุณกฤตเมธ?..."
เพราะระยะห่างที่ดูเหมือนจะลดลงอย่างช้าๆ กับตัวเขาเองที่เริ่มจะใกล้กำแพงที่เป็นเหมือนทางตันขึ้นเรื่อยๆ ความอึดอัดกดดันชักนำให้เริ่มหวาดหวั่น หัวใจที่เต้นระรัวขึ้นนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธเกรี้ยวที่โดนคุกคาม หรือเป็นเพราะตื่นเต้นกับสายตาเร่าร้อนที่แฝงอยู่ในแววตาของอีกฝ่ายกันแน่!
'จะโดนตะปบกินแล้วอย่างนั้นเหรอ!!?'
"ผมขอโทษแล้วกันนะ กับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น..."
กึ่ก
"ผมมันปากไม่ดีเอง..."
".............!!?"
'แย่แล้ว!'
สุดท้ายก็ถูกต้อนจนจนมุมในที่สุด สดายุแทบจะสะดุ้งโหยงทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับผนังห้อง จะขยับตัวเลี่ยงก็เหมือนจะช้าไปเสียทุกอย่าง เมื่อแขนขวากำยำเท้าคร่องร่างเขาไว้ ความหวาดหวั่นเข้าครอบงำทั้งร่างของสดายุทันที
“ทะ...ทำอะไรของคุณน่ะ...ถ...ถอยไปนะ”
ไม่ปล่อยให้กฤตเมธได้ฉอเลาะต่อ สดายุรีบไล่คนตรงหน้าออกไปทันที คิ้วเรียวขมวดมุ่น สถานการณ์แบบนี้เขาไม่เคยเผชิญมาก่อนเลย รับมือลำบากจริงๆ!
“หึหึ...”
“ฮึ่ยยย!!”
เสียงหัวเราะคล้ายว่าเยาะหยันในระยะประชิดทำเอาสดายุแทบจะทิ่มหัวใส่คางคนตรงหน้าไปให้รู้แล้วรู้รอด หากจำต้องข่มอารมณ์ไว้แล้วรีบออกไปให้ไกล คิดได้ดังนั้นสดายุก็รีบเบี่ยงตัวไปทางซ้ายมือของกฤตเมธเพื่อหลบให้พ้นจากแรงกดดัน แต่ดูเหมือนร่างสูงจะไวกว่า แขนซ้ายกำยำจึงยกขึ้นมายันกำแพงเอาไว้ได้ทัน กลายเป็นกรงขังมนุษย์กักร่างของสดายุไว้ระหว่างกำแพงและร่างสูงในทันที
“หื้อ...อย่าเพิ่งหนีสิครับ...หนีเก่งจังนะคุณน่ะ”
“ค...คุณจะเอายังไงกับผมเนี่ย?”
“ผม...แค่อยากอธิบายให้คุณเข้าใจ แค่อยากขอโทษ...”
เสียงทุ้มนุ่มหูที่เอ่ยขึ้นในระยะประชิด ทำเอาสดายุต้องหดคอเบือนหน้าหนีทันควัน ‘ใกล้เกินไป’ จนหายใจหายคอแทบไม่ออก
“เรื่องอะไรเล่า!? จะพูดอะไรก็รีบๆเข้าสิ อ้อยอิ่งอยู่ได้!!”
สดายุทำเสียงตะคอก ทั้งๆที่ไม่ยอมสบตาอีกฝ่ายที่ใบหน้าอยู่ห่างกันแค่ฝ่ามือกั้น กฤตเมธยิ้มพึงใจ
‘สำหรับเด็กแบบนี้ การสั่งสอนแกมบังคับ ได้ผลสัมฤทธิ์เสมอ’
“ผมยอมรับว่าเมื่อก่อนผมเคยรู้สึกไม่ดีกับคุณ ยอมรับว่าตอนที่เจอหน้ากันแรกในกองถ่ายผมยังไม่เข้าใจคุณ ยังเฉยชากับคุณ และรู้สึกไม่พอใจในการวางตัวของคุณมาก...ซึ่งผมรู้แล้วว่ามันผิด ผมขอโทษ...”
“........อ...อืม...รู้แล้ว...ถอยออกไปสิ...เฮ้ย!!”
พูดจบก็ต้องเบี่ยงหน้าหนีแทบไม่ทัน เมื่อจู่ๆ กฤตเมตก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนลมหายใจร้อนๆนั่นรดข้างแก้มเลยทีเดียว จนสดายุสุดทนกับสภาพที่เขาเกินจะรับไหว สองมือจึงรีบผลักอกหนาของคนที่ยังคงส่งยิ้มร้าย หวังให้เจ้าตัวถอยออกหลีกทาง แต่ก็เหมือนอะไรๆก็ไม่เป็นดั่งใจคิด เมื่อสองมือที่ผลักร่างคนตรงหน้าถูกจับตรึงเขากำแพงแทน ไม่ได้รุนแรง แต่ก็ไร้ทางขัดขืน
“ปล่อยผมนะ!! ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ!!!”
สดายุดิ้นรนจ้าละหวั่นเมื่อรู้สึกว่าตนกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนเกินไป แต่ก็เหมือนเสียแรงเปล่า เพราะยิ่งดิ้นก็รู้สึกว่ามือยิ่งโดนกดทับ จนทั้งมือจะหายเข้าไปในผนังห้องอยู่แล้ว และยังไม่ทันที่จะหายตื่นตระหนก ก็ดันถูกกฤตเมธยื่นหน้ามากระซิบเบาๆที่ข้างหูอีก
‘นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับเขากันแน่เนี่ย!!?’
“นี่คุณครับ...ถ้าเลิกดิ้นผมจะไม่ทำอะไรคุณ...แต่ถ้ายังฤทธิ์เยอะไม่เลิก ผมไม่รับประกันนะ...”
คำขู่ได้ผลชะงัดนัก สดายุหยุดดิ้นรนทันที แต่ไม่ใช่เพราะความกลัวเลยสักนิด เพราะตอนนี้เขากำลัง…
‘โมโหสุดๆเลยต่างหาก!’
“คุณกฤตเมธ! ผมขอเตือนคุณอีกครั้งนะ ถ้ายังล้อผมเล่นไม่เลิกแบบนี้ล่ะก็ ผมจะไม่ไว้หน้าคุณอีกต่อไปแล้วนะ!!”
คราวนี้กฤตเมธไม่ได้รีบร้อนตอบคำใดๆ เพราะมัวแต่มองใบหน้าของสดายุที่แดงแล้วแดงอีกอยู่ ปกติริมฝีปากของคนตรงหน้านั้นก็ถือได้ว่าแดงจัดอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมีอารมณ์ทั้งโกรธเกรี้ยวจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าด้วย ปากของสดายุยิ่งเห่อแดงเข้าไปใหญ่ ทั้งแก้มก็แดง ปลายจมูกก็แดง กระแทกคำว่า ‘น่ารัก’ ใส่กฤตเมธจนแทบหงายหลัง ต้องตั้งสติอยู่ถึงครู่ใหญ่กว่าจะสามารถปรับระดับเสียงให้ปกติขึ้นมาได้
‘ให้ตายสิเจ้าเด็กบ้า ยั่วชะมัด…’
“โอเค โอเค ผมปล่อยแน่นอน แต่คุณต้องฟังผมก่อน”
กฤตเมธเริ่มต่อรองอีกครั้งพาลคิดไปว่า ถ้ายังมัวทะเลาะกันทุกประโยคอยู่แบบนี้ วันนี้ทั้งวันคงคุยไม่จบแน่ๆ
“ปล่อยก่อนแล้วผมจะฟัง!”
“ฟังก่อนแล้วผมจะปล่อย!”
เสียงแข็งมาก็แข็งกลับบ้าง ให้รู้กันไปว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่คุมเกมอยู่ เจ้าลูกแกะผู้หยิ่งทะนง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังจะโดนหมาป่าเฒ่าผู้ชาญศึกขย้ำเอาได้ง่ายๆ เพียงแค่ขยับตัว
“.............งั้นว่ามา! เอ้ยๆๆๆๆ ใกล้ไปแล้วนะ!!”
รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ก็ไม่อยากเสียฟอร์ม จึงยังทำเป็นเหมือนไม่ตื่นกลัว ดังนั้นพอกฤตเมธแกล้งยื่นหน้าเข้าใกล้ปุ๊บ คราวนี้สดายุเป็นอันต้องร้องเหวอจนเสียงแทบหลงเลยทีเดียว
‘เสียท่าคนแก่เสียแล้ว...’
“หึหึหึ...ขอโทษนะครับ ผมล้อเล่นแรงไปหน่อย เอาล่ะ ผมจะปล่อยแล้ว...แต่สัญญากันก่อน...”
“อะไร!!?”
เห็นโอกาสก็ต้องรีบคว้าไว้ เมื่ออีกฝ่ายยื่นเงื่อนไขที่น่าจะพอเป็นประโยชน์กับตน อย่างไรเสียก็ต้องยอมรับไว้ก่อน
“ตกลงกันก่อนว่าพอผมปล่อยมือปุ๊บ คุณต้องอยู่นิ่งๆตรงนี้ ห้ามหนีไปไหน แล้วฟังผมให้จบก่อน...”
“...........อื้ม...รู้แล้ว ปล่อยสิ...”
“และที่สำคัญ...ห้ามต่อยผมนะ...หึหึ โดยเฉพาะที่หน้า...ผมยังต้องใช้ทำมาหากินอยู่...”
“.......อ๋อ...รู้ด้วยสินะ ว่าที่ทำอยู่มันสมควรโดนสักหมัดสองหมัดน่ะ ฉลาดนี่...มีเตือนกันก่อนด้วยนะ...”
ได้ยินเงื่อนไข สดายุก็พ้นลมหายใจออกทางจมูกแรงๆเพื่อเย้ยอีกฝ่าย แต่กฤตเมธก็ยังยิ้มร่ารับคำสรรเสริญนั้นอย่างไม่ยี่หระอยู่ดี จากนั้นก็ตัดสินใจปล่อยสดายุให้เป็นอิสระในที่สุด โดยการปล่อยมือและถอยหลังออกมาสองก้าวเพื่อเว้นระยะให้อีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
“อย่างน้อยผมก็อาบน้ำร้อนมาก่อนคุณตั้งเจ็ดปีล่ะนะ...”
“...........แก่!!...”
“แก่แต่ก็อึดนะครับ ข้ามวันข้ามคืนผมก็ยังไหวอยู่นะ”
จากที่จะยอมฟังดีๆ เจอคำพูดสองแง่สองง่ามของคนผ่านโลกมานาน (กว่าเขาตั้งเจ็ดปี) ของกฤตเมธเข้า สดายุก็แทบหมดความอดทนที่จะฟังอะไรอีกครั้ง ดีว่าอีกฝ่ายไหวตัวทัน ชิงตัดหน้าเข้าเนื้อหาขึ้นเสียก่อน
“ผมยอมรับครับว่าเมื่อก่อนผมไม่ชอบคุณ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับ...เรียกได้ว่ากลับตาลปัตรจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลยทีเดียว”
“........................”
“ผมเคยบอกคุณแล้วครั้งหนึ่ง ว่าคุณบลูม่าฝากคุณไว้กับผมใช่มั้ย?”
“.........ไม่...ไม่เคยสักหน่อย”
สดายุหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบออกไปด้วยท่าทางลังเลไม่น้อย
“ตอนนั้นคุณเมาอยู่...คุณอาจจำไม่ได้...”
“..............ตอนไหน? หรือว่า?...ตอน...”
“ให้ผมเล่าให้ฟังมั้ย? ว่าคืนนั้นจริงๆแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันบ้าง...”
กฤตเมธลองหยั่งเชิงคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม กับสายตาที่ดูจะเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่คราวนี้สดายุจะไม่ยอมติดกับดักของคนตรงหน้าอีก
“ไม่ต้อง! ผมไม่อยากฟังแล้ว เดี๋ยวผมโทรคุยกับเจ๊บลูม่าเอง!”
สดายุรีบตัดบท แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กฤตเมธเสียแผน
“โอเคครับ ไม่ฟังก็ไม่ฟัง งั้นผมจะบอกแค่ส่วนของผมให้ฟังแล้วกันนะ...ที่คุณบอกว่าผมไม่ชอบคุณน่ะ มันถูกแค่เฉพาะช่วงแรกเท่านั้นแหละครับ เพราะหลังจากคืนที่คุณเมา...แล้วเราก็ได้ทำอะไรหลายๆอย่างร่วมกัน หลังจากนั้น...ผมก็รู้สึกว่า...ผมชอบคุณเข้าซะแล้ว...”
“......!!!???”
“ผมจะทิ้งไว้แค่ตรงนี้แล้วกันนะ ถ้าคุณไม่สนใจก็ไม่ควรต้องฟังเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นจากผมอีกจริงมั้ย?”
ในระหว่างที่สดายุยังคงนิ่งอึ้งตะลึงงันอยู่นั้น กฤตเมธก็ค่อยๆถอยห่างออกไปเรื่อยๆ จนถึงบานประตูที่เชื่อมห้องของกันและกันอยู่ ก่อนจะเปิดประตูบานนั้นออกเบาๆ
“แต่ว่า...ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณพร้อมจะแล้วฟังล่ะก็...คุณเปิดประตูบานนี้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะ...ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน...ผมก็อยู่กับคุณได้...เอาล่ะ...ผมขอตัวก่อนนะ...”
พูดทิ้งท้ายให้คิดลึกพร้อมกับจากไปดื้อๆ สมกับเป็นคนกวนอารมณ์ในสายตาของสดายุจริงๆ ทว่าขณะนั้นสดายุไม่ได้คิดถึงข้อนั้นแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวคุณ!!.........”
เพราะก่อนที่ประตูจะปิดลง เขาก็เผลอตะโกนเรียกอีกฝ่ายไว้เสียแล้ว
“คุณเป็นเกย์เหรอ!!?”
จากนั้นก็ยิงคำถามตุงตาข่ายประตูของกฤตเมธทันที
“.............คุณเคยถามผมแล้วนะ...”
ประตูบานนั้นแง้มออกเล็กน้อยพร้อมกับครึ่งหลังของกฤตเมธที่แค่ชำเลืองมองมาก่อนตอบคำถามของสดายุด้วยคำตอบที่ไม่น่าจะเป็นคำตอบได้
“ห๊ะ? เมื่อไหร่!!?”
“...แล้วผมก็ตอบคุณไปแล้วด้วย...”
จบคำตอบคลุมเครือพร้อมกับประตูที่ปิดลงดัง แกร๊ก ทิ้งไว้แต่คำถามอันไร้คำตอบ และห้องที่เงียบงันที่รายล้อมสดายุไว้แค่นั้น
‘ไอ้แก่นั่น ตั้งใจให้เราไปง้อ...ไอ้บ้าเอ้ย เรายอมให้มันนัวเนียอยู่ได้ตั้งนาน เพื่อคำตอบที่ยิ่งฟังก็ยิ่งงงเนี่ยนะ!? ไอ้บ้าห้าร้อยเอ้ย...’
‘แกร๊ก...’
“...........!!!?”
ไม่ทันจะได้ตั้งตัว ประตูที่เคยปิดสนิทไปรอบหนึ่งแล้วนั้น จู่ๆก็พรวดพราดเปิดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต พร้อมกับกฤตเมธที่แค่ชะโงกหน้าเข้ามาแจ้งข่าวราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องของสดายุเมื่อกี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง!
“ขอโทษทีนะ...ผมลืมบอกไป”
“..................”
“พรุ่งนี้เราต้องซ้อมคิวกันด้วยนะ พร้อมไม่พร้อมผมไม่สน เดี๋ยวหรุ่งนี้ 9 โมงผมมาปลุก บายครับ...”
‘ปัง...’
จู่ๆก็โผล่มา แล้วก็หายไปอีกครั้ง พร้อม คำสั่งที่น่าโมโห...
และแน่นอนว่าคนที่ยังยืนหัวเราะน้อยๆอยู่ที่หน้าประตูเชื่อมของตน คงจะได้ยินชัดเต็มสองหู ทั้งคำที่ตะโกนด่า ‘ไอ้แก่’ และเสียงของหมอนใบใหญ่ที่ปลิวหวือมากระทบกับประตู...“เอาสิสดายุ ฉันรุกขนาดนี้แล้ว นายจะตั้งรับยังไงนะ...ถ้ายังสมองช้าตามไม่ทันล่ะก็ นายโดนฉันจับกินก่อนแน่...หึหึ” *******************************************
สวัสดีค่ะ หายหัวไปเสียหลายวัน...
ไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ ฮึ่กๆๆ ฮือๆๆ

รับตอนที่10ครึ่งหลังไปอ่านเล่นๆก่อนนะคะ
ตอนนี้กำลังจะ 5 ทุ่มในไม่ช้า...อีชั้นยังนั่งแกร่วทำงานเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ในออฟฟิสร้างไร้ผู้คนอยู่เลยค่ะ
...เที่ยงคืนจะได้กลับบ้านมั้ยเนี่ย!!...
แอบมาเรียกคะแนนความสงสาร...เล็กน้อยค่ะ..แฮะแฮะ
ขอบคุณค๊า....
(มาไว...ไปแว๊บ...หายหัวไปสักระยะ...)

ปล.2 ในที่สุดก็กลับถึงบ้าน...และแอบเข้ามาแก้คำผิดอย่างเงียบๆ...