ผมคือ...นางเอก
ซีนที่ 20 ความรู้สึกกฤตเมธยกตัวขึ้นถอดเสื้อยืดตัวบางของตนออกอย่างรีบร้อน เผยให้เห็นมัดกล้าม กำยำ และผิวเปลือยขาวผาด สดายุปรือตามองคนตรงหน้าที่กำลังจัดการอาภรณ์ของตัวเองออก ใบหน้าคมหวานตกตะลึงระคนหวาดหวั่น ลมหายใจชายหนุ่มยิ่งหอบถี่ ใบหน้าแดงซ่าน
“อะไรกัน นี่นายเปียกขนาดนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ”
“อ๊ะ! ตรงนั้น! อย่า อย่าจับนะ อ๋า~!!”
สดายุสะดุ้งไหวไปทั้งร่าง เมื่อถูกรุกรานในจุดอ่อนไหว
“อ๊ะ...อื้อ...ได้โปรด...อ๊า”
“ฉัน...ขอนะ”
“หา?...อ๊ะ...อะไร?”
สิ้นคำเว้าวอนอ้อนขอ มือไม้อยู่ไม่สุขก็เริ่มรุกรานเลยจุดที่ยากจะทำใจ ร้อนถึงสดายุที่ต้องรีบร้องห้ามเสียงหลง พร้อมใบหน้าที่ตระหนกแตกตื่น
“อ๊ะ ไม่ !! เดี๋ยว ไม่เอานะ”
“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวจะเจ็บเอานะ”
กฤตเมธกระซิบเสียงแหบพร่าโดยไม่สนใจคำทัดทานของคนใต้ร่าง
“ไม่นะ ฉะ...ฉัน...อื้ม!?”
เพื่อตัดความรำคาญกับคำทัดทานเหนี่ยวรั้ง กฤตเมธจึงทำการจูบปิดปากคนตรงหน้าซะ เพื่อทำให้เสียงห้าม กลายเป็นครางหวานหูแทน
เวลาผ่านไปเพียงแค่ลมหายใจเดียว ดูเหมือนร่างกายของสดายุจะพร้อมพรั่งสำหรับกฤตเมธแล้ว กฤตเมธเองก็แทบจะอดทนต่อไปไม่ไหว เพราะคนตรงหน้าเขาช่างเย้ายวน ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่แสนจะทรงเสน่ห์ เสียงหอบหายใจเนื่องจากพ่ายแพ้ต่อความปรารถนา และเสียงครางหวานล้ำยวนใจ
“อืม...อย่าเกร็งนะ”
“อ๊ะ ...อื้อ... อ๊ะ...อ๊ะ ....อ๊า”
สดายุกรีดร้องเสียงสูง เมื่อถูกกระทั้นกายเข้าใส่แบบไม่ให้ได้เตรียมเนื้อเตรียมใจ
“อ๊ะ ...อ๊ะ...อย่ะ...อย่า...”
“ไม่ทันแล้วล่ะ อึก...อย่ารัดนักสิ”
“มะ...ไม่ไหว...อ๊ะ...อื้ม! อ๋า!!”
สดายุครางรับการเคลื่อนไหวโรมรันของกฤตเมธจนเสียงหลง ร่างบางสะท้านเฮือก เมื่อถูกกระแทกกระทั้นส่วนล่างอย่างไม่มีเว้นจังหวะให้หายใจหายคอ เนื้อต่อเนื้อเสียดสีจนร้อนฉ่า เสียงหนั่นเนินกระกระทบกันดังก้อง จนสดายุต้องร้องกลบเสียงลามกนั่นเป็นการใหญ่
“อ๊ะ! อ๊ะ โอ้ว!! อื้อออ อ๊ะ อ๊ะ”
“หืม...ตรงนี้...รู้สึกดีสินะ พอโดนปุ๊บ...ข้างในก็รัดฉันใหญ่เลย...”
“มะ...ไม่ ...อ๊ะ ...อ๊ะ ...อ๊ะ ...อ๊า ....อา ...อ๋า!!”
“อืม ...ดี ...ภุมรา ...ดีมาก อืม...”
ร่างสูงครางต่ำในลำคออย่างเหลืออดเหลือทน เขากระแทกกระทั้นหนักหน่วง เพื่อเรียกเสียงหวานน่าฟังให้ครางโหยมากขึ้น
“อ๊ะ ...มะ...ไม่ไหวแล้ว...ฉะ ...ฉันไม่ไหวแล้ว”
“อึก...อืม...”
ร่างหนาเร่งความเร็วในกระแทกกายในช่วงท้ายเกมที่ต้องเร่งทำสกอร์นำขาด เสียงผิวกายเสียดสีกันดังลั่น สมรภูมิสีขาวลั่นเอี๊ยดอ๊าด ร่างขาวโพลนของสดายุแอ่นหยัดเกร็งสะท้านก่อนจะกรีดร้องออกมา
“อ๋า~!!!”
“อึก!!”
กฤตเมธกัดฟันกระทั้นกายหนักๆอีกสองสามครั้ง ก่อนกระตุกร่างเฮือกๆอีกสองสามที แล้วจึงค่อยผ่อนการเคลื่อนไหวให้เนิบนาบเชื่องช้า ร่างทั้งร่างยังคงหอบสะท้าน ไม่ต่างสดายุที่ยังคงนอนหอบหายใจด้วยร่างที่สั่นระริก กระตุกวูบไหวในคราแรกที่กฤตเมธขยับกาย ก่อนจะกะปลกกะเปลี้ยนอนหอบหายใจรวยรินอย่างคนสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง ดวงตาคู่สวยปรือฉ่ำแดงรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาที่ปริ่มไหลออกมาเล็กน้อย และหลับตาลงทันทีที่ถูกกฤตเมธบรรจงจูบตรงขมับชื้นเหงื่อ จูบตรงเปลือกตาบวมช้ำจากการร้องไห้ จูบปลายจมูกแดง จูบแก้ม จูบริมฝีปากอิ่มแดงเจ่อ จูบซ้ำๆ ย้ำลงไปที่กลีบปากน่าหลงใหล ก่อนจะค่อยๆตระกองร่างอ่อนปวกเปียกขึ้นมากอดเอาไว้แน่น กฤตเมธขมวดคิ้วมุ่นราวกับกำลังรู้สึกสับสน พลางซบใบหน้าลงซุกตรงแผ่นอกผอมบางของคนใต้ร่าง สดายุเองก็ค่อยๆยกวงแขนขึ้นโอบร่างใหญ่โตของกฤตเมธแน่น ก่อนจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหวานล้ำอันแสนทรมานพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลนองสองข้างแก้ม...
“ภู...ฉันรักนาย...”“โอเค! คัทททททท!!!! เยี่ยมมาก เยี่ยมๆๆ สุดยอด”สิ้นเสียงสั่งคัทของอ๊อด ทีมงานทุกคนถึงกับถอนหายใจพรู บ้างก็ลุกขึ้นขยับกายคลายความปวดเกร็งในการนั่งลุ้นและอินกับการถ่ายทำที่แสนจะยาวนานของฉากเลิฟซีนเผ็ดร้อนอีกฉากของคู่พระนาง (ที่เคยล่มไปครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) หลังส่งเสื้อคลุมให้ตัวละครเอกทั้งคู่แล้ว ทีมงานรวมทั้งอ๊อดก็ถอยร่นออกจากนักแสดงเล็กน้อย เพื่อให้ทั้งคู่ได้มีเวลาในการปรับอารมณ์หลุดออกจากซีนหนักหน่วงเมื่อครู่ ซีนถ่ายทำที่ยาวนานแต่ก็ไม่มีพลาดเลยแม้แต่นิดเดียวสมกับฝีไม้ลายมือของสองนักแสดงแนวหน้าอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
“เอาล่ะ เมธ ยุ เดี๋ยวฉากต่อไปเป็นฉากง้องอนบนเตียงนะ แต่ไม่ต้องรีบพี่ให้เราพักสักยี่สิบนาทีก่อน เหลือซีนบนเตียงอีกแค่ซีนเดียว ไม่น่าเกินบ่ายก็คงถ่ายเสร็จแล้วล่ะ ช่วงบ่ายๆพี่ขอเก็บฉากในห้องน้ำอย่างเดียวก็พอแล้วสำหรับวันนี้ พวกนายโอเคนะ”
“ครับพี่อ๊อด”
กฤตเมธและสดายุรับคำแข็งขัน ก่อนจะนั่งพักกันชิวๆที่บนเตียงกว้าง อย่างไรเสียฉากต่อไปก็ยังต้องถ่ายทำที่เดิมอีก อีกสักพักค่อยลุกให้ทีมงานจัดฉากใหม่อีกที จัดการแจ้งลำดับการถ่ายทำเสร็จอ๊อดก็ผละไปจัดการบางอย่างตรงหน้าจอมอนิเตอร์กับผู้ช่วยต่อ ทีมงานจัดไฟจัดกล้อง ก็เริ่มจัดไฟ ย้ายมุมกันอย่างแข็งขัน ปล่อยให้คู่พระนางได้พักกันเงียบๆสองต่อสอง (แต่รายล้อมไปด้วยทีมงานนับสิบชีวิต) กฤตเมธคลุมเสื้อปิดกล้ามเนื้อสวยงามเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ส่วนสดายุก็แค่เอามาพันเอวเอาเพื่อปิดท่อนล่าง เปลือยร่างท่อนบนขาวผ่องเย้ายวนอวดสายตาทีมงานทั้งชายหญิงให้ได้ลอบมองไม่ขาดระยะ
“...................??”
นั่งกันเงียบๆอยู่พักหนึ่ง กฤตเมธก็เอื้อมมือไปวางไว้บนไหล่ขาวของสดายุแล้วบรรจงไล้ปลายนิ้วหัวแม่มือที่รอยช้ำม่วงตรงไหล่นั้นเบาๆ ดวงตาคู่สวยที่มองตรงรอยช้ำนั้นแฝงไปด้วยริ้วรอยแห่งความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
“ผิวคุณ...ช้ำง่ายจัง”
เสียงทุ้มเปรยกับเจ้าของรอยช้ำเบาๆ พร้อมช้อนสายตาขึ้นสบนิ่งกับดวงตาคู่โศกของสดายุที่จับจ้องตอบมาอย่างไม่วางตาเช่นกัน
“เจ็บหรือเปล่าครับ ผมขอโทษนะ”
กฤตเมธเอ่ยขอโทษออกไปด้วยรู้ดีว่าร่องรอยเหล่านั้นล้วนเกิดจากการที่ต้องเข้าฉากฉุดกระชากลากถูกันเมื่อตอนเช้าตรู่ ทั้งรอยที่ไหล่ขาว ทั้งรอยที่ต้นแขน เขียวช้ำเป็นจ้ำไปหมด ยิ่งได้เห็นได้มอง กฤตเมธก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วน้อยๆด้วยความรู้สึกผิดเล็กๆ เพราะแม้มันจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อการแสดง แต่เขาควรจะระวังมือมากกว่านี้ ไม่น่าปล่อยให้ตัวเองออกแรงมากไปจนสดายุต้องมีรอยช้ำไม่น่าดูแบบนี้เกิดขึ้นเลย เสียดายผิวขาวๆนั่นหมด...
“...ทีหลังก็อย่าทำผมแรงนักสิ ผม...เจ็บนะ”
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เรื่องแผล หรือรอยช้ำมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วในการเล่นหนังเล่นละคร แต่พอเห็นว่ากฤตเมธดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเสียขนาดนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกระเซ้าออกไปเบาๆพร้อมส่งยิ้มหวานที่เต็มไปด้วยเลศนัย คำพูดชวนคิดสองแง่สองง่ามทำให้กฤตเมธถึงกับลอบยิ้มให้กับความยียวนของคนตรงหน้า และมีหรือที่คนอย่างเขาจะยอมแพ้ทาง
"ขอโทษนะครับ คราวหน้าผมจะระวังแน่ๆ ว่าแต่..."
คำขอโทษพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อย เพื่อทิ้งหน่วงให้คู่สนทนาได้ลุ้น สดายุเอียงคอเล็กน้อยคอยฟัง แต่พอได้เห็นเป้าหมายสายตาของกฤตเมธที่ไล่มองเรือนร่างของเขาต่ำลงเรื่อยๆนั้น สดายุก็เริ่มรู้ทันว่าคนแก่กว่าจะเย้าอะไร
"เมื่อกี้ผมก็เผลอกระแทกเสียแรง ไม่รู้ว่าจะช้ำหรือเปล่านะ..."
พูดพลางยิ้มร้ายให้เล็กๆ พร้อมช้อนสายตาขึ้นมาหาสดายุอีกครั้งอย่างเป็นต่อ เล่นเอาสดายุยังต้องเผลอหัวเราะออกมาเบาๆพลางส่ายหน้าขอยอมแพ้
"หึหึ...ก็แค่เกือบเป็นหมันน่ะครับ หึหึหึ พอแล้ว ผมยอมคุณแล้ว ฮ่าฮ่า..."
บรรยากาศหวานๆสบายๆ ดูผ่อนคลายอารมณ์ของสองนักแสดงหลัก เรียกความสนใจของเหล่าทีมงานไม่น้อย ไม่นับกฤตเมธที่หล่อเทพและอัธยาศัยดีเพราะเป็นที่รู้ๆกันอยู่ เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือรอยยิ้มแสนหวานดูแล้วสว่างไสวทำหัวใจสดใสซาบซ่านของสดายุซึ่งปกติแล้วร้อยวันพันปีแทบไม่เคยปรากฏ ทั้งเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าหยิ่งอย่างนั้นขี้วีนอย่างนี้ ทั้งภาพติดตาในอดีตที่ทำตัวเหลวไหลเหลวแหลกไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ทว่าตอนนี้...สิ่งเหล่านั้นแทบจะจางหายไปจากอคติในใจทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มแสนหวานบาดตาบาดใจของเจ้าตัว
"...พี่อ๊อดคะ อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะคะ จิ๋มคันจนจะไม่ไหวแล้วค่ะ"
ระหว่างที่ทุกคนกำลังแอบเพ้อ (ไปกับรอยยิ้มสดใสอย่างร้ายกาจของสดายุ) และระหว่างที่อ๊อดยังคงนั่งปรับแต่งรายละเอียดของซีนที่กำลังจะถ่ายต่ออยู่นั้น จิ๋มช่างแต่งหน้าสาวก็แถตัวเข้ามานั่งยองๆเกาะแข้งเกาะขาอ๊อดไว้พร้อมกระซิบกระซาบเผยความอยากรู้อยากเห็นแก่ผู้เป็นนายจ้างควบตำแหน่งหัวหน้าอย่างไม่มีปิดบัง
"เป็นอะไรของแกนังจิ๋ม? จู่ๆมาคงมาคันอะไรตรงนี้ โน่นไปเกาเองในห้องน้ำนู่นเลยไป๊ เฮ้อ! อณาจารเปิดเผยนะแกเนี่ย"
คำทัดทานสะกัดดาวเสือ(ก)ของอ๊อดเล่นเอาจิ๋มถึงกับเงิบ ก่อนเจ้าหล่อนจะเร่งแก้ข้อเข้าใจผิดทันควัน
"ป๊าดดดด! พี่อ๊อดคะ จิ๋มไม่ได้คันจิ๋มค่ะ จิ๋มคันปากอยากถามอยากแชร์ข้อมูลเฉยๆ เง้อพี่นี่ก็...ฮ่วย"
แก้ตัวไปพลางค้อนหัวหน้าตาคว่ำ จนสุดท้ายอ๊อดเลยจำเป็นต้องละมือจากงานมาคุยกับเจ้าหล่อนที่พันแข้งพันขาไม่หยุดจนได้
"เอาๆ ว่ามา มีอะไรจะแฉมีอะไรจะสาระแนอีกก็ว่ามาเลย เร็วๆด้วย"
"วุ้ย ไม่ได้จะสาระแนค่ะพี่อ๊อด แค่อยากจะเม้าท์นิดเดียวเอง นี่ๆพี่คะ พี่ว่ามั้ยว่าช่วงนี้คุณยุเธอสวยขึ้นนะคะ"
พอเปิดโอกาสปุ๊บ จิ๋มก็เข้าประเด็นทันที แต่เป็นการเปิดประเด็นที่แปลกไปสักหน่อยเล่นเอาอ๊อดถึงกับนิ่วหน้า
"สวย? ไอ้ยุเนี่ยนะ? ดูยังไง?"
"หืมมมม พี่อ๊อดอ่ะ ตาถั่วจริ๊งงงง"
"เอ๊าอีนี่? ก็เห็นไอ้ยุมันก็ปกตินี่ หล่อเหล่าเหมือนเดิมสมราคาพระเอกเก่า เพียงแต่มันผอมลงเยอะเลยดูสะโอดสะองหน่อยไม่ล่ำเหมือนตอนแรกๆ แล้วมันยังไงล่ะ แปลกตรงไหนเนี่ย?"
"พี่ก็แหกตาดูสิคะ นั่นน่ะ ดูๆๆๆ ผิวขาวหยังกะไข่ปอก แขนขาขาวเรียวยาวนิ้วมือก็เรียวสวย ใบหน้าวีเชฟมีแก้มเล็กๆ จมูกโด่งสันคิ้วหนาตาคมกลมแบ๊ว ปากงี้แดงแทบไม่ต้องเติมลิป ริมฝีปากบางแต่อิ่มยั่ว อ๊ายยย เห็นทีไรจิละลายทุกที แล้วดูสิคะพี่คะ เวลายิ้มทีเขี้ยวเล็กๆแหลมเปี้ยวนั่นน่ะ โคตรมีเสน่ห์ คอระหง เอวบางร่างน้อย สะโพกเล็กๆที่รับกับก้นกลมบ๊อกดึ๋งดั๋งนั้น คุณพระ! พี่อ๊อดรู้ป่ะ จิ๋มอ่ะนะเกือบเผลอเอื้อมมือไปจับตั้งหลายทีแล้ว! วู้ยยย ทั้งที่ก็ผอมลงฮวบๆๆๆ แต่กลับไม่โทรมเลยสักกะตี๊ดเดียว แถมยังสวยวันสวยคืนขึ้นอีก จิ๋มงี้อิจฉ๊า อิจฉา เฮ้ออออ เมื่อไหร่จิ๋มจะผอมได้แบบนั้นบ้างนะ"
หลังจากเพ้อยาวร่ายเป็นมหากาพย์จิ๋มก็ลงไปนั่งถอนหายใจ แล้วคว้าขนมในจานของว่างของอ๊อดขึ้นมาใส่ปากแบบไม่มีการขออนุญาตเจ้าของ
"...หึ อยากผอม? กินจนปากมันทั้งวันแบบนั้นคงผอมลงอยู่หรอกนะ อีจิ๋ม!"
คำปรามาสทำให้จิ๋มสะอึกแต่ก็ไม่ได้ทำให้จิ๋มสลด หล่อนยังคงสวาปามขนมชิ้นเขื่องนั้นต่อไปแบบไม่ไว้หน้าอ๊อดเลยแม้แต่นิด
"ดูมัน ว่าแล้วยังมิได้สำเหนียก เฮ้อ...แล้วนี่แกไม่ตั้งแง่กับยุมันแล้วเหรอ? เห็นแต่ก่อนจงเกลียดจงชังอย่างกับอะไรดี?"
เห็นลูกน้องสาวกระดี๊กระด๊า อ๊อดก็อดที่จะถามไม่ได้ถึงอดีตที่เคยบาดหมาง แต่ดูเหมือนยิ่งจุดประเด็น นางก็ยิ่งจีบปากจีบคอพลางหัวร่อต่อกระซิกจนอ๊อดยังรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ
"แหม พี่อ๊อดล่ะก็...จะขุดเรื่องเก่าเหลาเหย่ขนาดนั้นขึ้นมาอีกทำไมกันคะคุณพี่ จิ๋มน่ะหน้ามืดไปหน่อยเลยตัดสินอะไรๆพลาด ตอนนี้จิ๋มกระจ่างแล้วล่ะค่ะว่าอะไรเป็นอะไร อุฮิอุฮิ"
"อะไร? แล้วมันอะไรล่ะ ไอ้อะไรๆของหล่อนน่ะ"
"อะไรๆของพี่เนี่ยพี่อ๊อด มันก็ต้องเป็นเรื่องที่จิ๋มเข้าใจกระจ่างแจ้งแดงแจ๋เกี่ยวกับคุณยุเธอแล้วยังไงล่ะคะ หุหุหุ จิ๋มเข้าใจแล้วว่าที่เมื่อก่อนเธอทำตัวแบบนั้นก็เพราะเธอยังเด็ก ยังอ่อนต่อโลก แล้ววงการมายาเนี่ยสิ่งยั่วยุก็มากมาย แต่ตอนนี้เธอโตแล้วเธอเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ตอนนี้เธอถึงได้ไม่ทำตัวแบบนั้นอีกแล้ว จิ๋มเข้าใจแล้วค่ะ ว่าเนื้อแท้ของคุณยุเธอเป็นคนน่ารัก ดูนั่นสิคะดูเธอยิ้มสิคะ อ๊ายยย น่ารักเวอร์ๆค่ะ"
"................" (-*-)
พอเห็นจิ๋มสาธยายไปเพ้อไป อ๊อดก็ได้แต่ถอนหายใจละเหี่ยกับลูกน้องตัวเอง แต่ความจริงเขาก็เห็นด้วยกับจิ๋มอยู่เยอะ เพราะสดายุทำตัวดีขึ้นจริงๆ และก็ไม่เถียงเลยที่ว่าสดายุ 'สวยขึ้น'
"ไปไป ไปทำงานเลยไอ้จิ๋ม อู้นานไปแล้วแกน่ะ โน่น จะปล่อยพระนางหน้ามันกันอีกนานมั้ย ไปเติมแป้ง ไป๊!"
ไล่ไม่ไล่เปล่า ขาแข้งเหวี่ยงหาพร้อมกันด้วย เล่นเอาจิ๋มคลานหลบแทบไม่ทัน แต่ก็ยอมวิ่งไปทำหน้าที่ของตัวเองเสียที
ได้รู้ว่าทีมงานสามัคคีกันได้อ๊อดก็ดีใจ โดยเฉพาะที่ได้เห็นว่าสดายุในที่สุดก็ได้รับการยอมรับ ทว่า...ก็แอบหนักใจกับสายตาเด็กเก็บกดอย่างสดายุไม่น้อยเหมือนกัน สายตาที่มักเผลอหันไปมองแผ่นหลังของกฤตเมธอย่างรวดร้าวโหยหา ทั้งๆที่กฤตเมธก็แทบไม่เคยห่างตัวไปไหน และแววตาที่ว่างเปล่าราวหลุมลึกมืดดำยามที่อยู่คนเดียว ทั้งๆที่หากใครเผลอไปสบตาเข้าก็จะยิ้มแย้มให้ทันที...
'ไอ้ยุ...สายตาแบบนั้นของแก มันหมายความว่ายังไงวะ...'ซ่า...
ครืนนนน...
ซ่า...ซ่า...“พอร์ช มึงจะไปไหน?”
เสียงเรียกที่เคยคุ้นทำให้ร่างสูงสมาร์ทต้องชะงักกลับกลับไปมองเพื่อนซี้ที่เมื่อกี้ยังเห็นว่าหลับอยู่ที่ห้อง
“อ้าวรุจน์? มึงไม่นอนต่อแล้วเหรอ?”
“กุไม่กล้านอนคนเดียว กูกลัวผีมึงก็รู้...แม่ง...เสือกทิ้งกู...”
พอโดนถามกลับรุจน์ก็ได้แต่บ่นกระเง้ากระงอด เรียกรอยยิ้มเพื่อนซี้ให้ต้องยืนขบขันอยู่ใกล้ๆ
“หัวเราะอะไร เดี๊ยะโดนเตะ ว่าแต่มึงจะไปไหน?”
“หึหึ กูว่าจะไปดูพวกพี่ๆเขาถ่ายทำหน่อย จะได้ไปดูเทคนิคบนเตียงของพี่ยุกับพี่เมธด้วย เพราะเดี๋ยวตอนกลับไทยเรายังต้องเข้าฉากด้วยกันอีกรอบ ตอนนั้นจะได้คล่องๆไงล่ะ แล้ว...มึงจะไปด้วยเลยมะ?”
“ไปดิ ไปอยู่แล้ว เรื่องสำคัญกับอาชีพการงานขนาดนี้ ทำไมไม่รู้จักชวนวะ!”
“เอ๊า? ก็เห็นว่าหลับอยู่เลยไม่อยากกวน อุตส่าห์หวังดีโดนด่าอีก ว้า ทำคุณบูชาโทษอีกแล้วเรา หึหึหึ”
เห็นว่าเพื่อนรักบ่นโน่นนี่โวยวายไม่หยุด พอร์ชก็ได้แต่เล่นบทแสร้งน้อยใจในโชคชะตาทั้งที่ยังแอบขำหน้าตาเพื่อนซี้เล็กๆ
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยไอ้พอร์ช ไอ้บ้า มึงอ่ะชอบแกล้งกู”
“แกล้งอะไร? ไม่เคยนะ ที่อยู่กูสปอยมึงจะแย่แล้วเนี่ย อย่ามาใส่ความ”
“อย่ามาพูดดีเลยมึง คราวที่แล้วมึงก็แกล้งกู...”
“เมื่อไหร่? จำไม่เห็นได้...”
“ปั๊ดโธ่! ก็ในห้องน้ำวันนั้น...งะ...ไง...!!?”
“.................”
หุบปากไม่ทัน จนเผลอพูดเรื่องที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดออกไปเสียแล้ว บรรยากาศสบายๆสะดุดลงชั่วพริบตา พอร์ชนิ่งเงียบไปทันทีไม่ยอมต่อคำใดๆอีก ใบหน้าหล่อเหล่าดูเศร้าสลดลงเล็กน้อย ฝ่ายรุจน์เองก็ถึงกับหน้าแดงเห่อดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยว่าตกใจที่พลั้งปาก บางสิ่งบางอย่างกำลังจะทะลักล้นออกมาจากร่าง จนทำให้ชั่วครู่ที่สบตา สองหนุ่มจึงรีบหลบสายตาของกันและกันทันควัน
“...รุจน์...กูขอโทษนะ”
ในที่สุดพอร์ชก็เอ่ยขอโทษออกมา แม้เสียงนั้นจะเบา แต่ก็เต็มไปดวยความหนักแน่นจริงจัง กระทั่งดวงตาที่จ้องมองมาที่รุจน์นั้นก็ช่างรวดร้าวอย่างจริงจังเช่นกัน และสายตาแบบนั้นก็ทำให้หัวใจของรุจน์เจ็บแปลบ
“...พอร์ช...ก...กู...กูไม่ได้...โกรธมึงนะ...”
“...................”
เห็นว่าเพื่อนรักดูสลดลง รุจน์ก็รีบอธิบาย ทว่าความตื่นเต้น ประหม่า ทำเอาเสียงสั่นพร่า ลิ้นก็พันกันจนพูดไม่ศัพท์ แถมเสียงยัง เบาราวกับสายลม
“...ท...ที่กะ...กูร้องไห้...นั่นเพราะ...กู...กู...ตกใจ กูเขิน...กู...กู...อุ๊บ...”
ยังไม่ทันจะได้พูดจบริมฝีปากของรุจน์ก็ถูกปิดไว้เบาๆ ด้วยปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลางของพอร์ช โดยที่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร ร่างสูงใหญ่ของพอร์ชก็เข้าประชิดขนาดที่ว่ารุจน์ไม่สามารถมองทัศนียภาพตรงหน้าได้เลย เพราะโดนร่างกำยำของเพื่อนซี้บังจนมิด และในพริบตาต่อมารุจน์ก็รู้สึกได้ถึงปลายคางของพอร์ชที่ก่ายเกยอยู่บนศีรษะ
“ลิ้นไก่พันกันหมดแล้วรุจน์ หึหึ”
“...พอร์ช?...”
“ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวพี่เขาก็เสร็จกันไปเสียก่อนหรอก”
“อ...อืม”
พอร์ชไม่ได้พูดหรือต่อความในเรื่องนี้อีก แต่ชายหนุ่มกลับเปลี่ยนเรื่องเป็นชวนรุจน์เดินหน้าไปดูการถ่ายทำของสดายุและกฤตเมธแทน แม้รุจน์จะยังทำตัวไม่ค่อยจะถูก แต่ก็ยินยอมให้พอร์ชจับจูงมือของตนไปแต่โดยดี แผ่นหลังกว้างกำยำของเพื่อนรักที่อยู่เบื้องหน้ายังคงเป็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยไม่เปลี่ยน รุจน์รู้ดีว่าแผ่นหลังนั้นคอยปกป้องเขามานานเท่าไหร่ แผ่นหลังนั้นอบอุ่นแค่ไหน และรู้ดีว่าแผ่นหลังนี้จะอยู่เคียงข้างเขาไปอีกนานแสนนาน
มันจะไม่มีวันเปลี่ยน...
เรื่องราวระหว่างเขากับพอร์ชจะไม่มีวันเปลี่ยน แต่ถ้าจะเปลี่ยนก็คงมีเพียงสิ่งเดียว...นั่นก็คือ...
‘หัวใจของเขาเอง...’****************************************************
หายหัวไปตั้งนาน มาสั้นแค่เนี๊ยะ!!?
อิอิ ขอโต๊ดค๊าบ...เก๊าไม่สบาย เก๊าเลยตื้อ...
ตอนนี้หายดีแล้วค่ะ เมื่อคืนเลยประเดิมด้วยการลงเรื่อง Prisoner_กรงเถื่อน ไปก่อน
แล้ววันนี้ เมธ*ยุ รุจน์*พอร์ช ก็ตามมาติดๆ
ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นคิวของเรื่องอะไรนั้น...ขออุบเอาไว้ก่อนนะจ๊ะ
(รอจ่อคิวอยู่เพียบ หลายเรื่องเกิ๊น...)

ขอบคุณที่ยังรักกันนะคะ
อนาคี99ปล. รู้นะว่าช่วงแรกของตอน มีคนแอบคิดไปไกลเกินกว่าการถ่ายหนัง...หุหุ 