“…ยุ….ผมรักคุณ…”*
*
*
*
*
ร่างเปล่าเปลือยผิวสีน้ำนมค่อยๆลุกขึ้นช้าๆด้วยว่าขัดยอกและเมื่อยขบไปทั้งตัว ลุกขึ้นนั่งได้ก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดท่อนล่างของตนอย่างหมิ่นเหม่เพื่อกันอุจาด พลางเอื้อมมือไปดึงโต๊ะตัวน้อยที่ยังคงมีอาหารอยู่เต็มโต๊ะเข้าใกล้ตัว จ้องมองเค้กก้อนน้อยตรงหน้าเงียบๆ ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักลงไปตรงส่วนท้ายของเค้กขอนไม้ขึ้นมา 1 คำ
…อ้ำ..."...หวานชะมัด"
แค่คำแรกที่แตะลงบนปลายลิ้น ความหวานก็ซึมซ่านไปทั้งปากอย่างรวดเร็ว จนสดายุอดบ่นออกมาเบาๆไม่ได้ แต่ถึงจะไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่นัก กระนั้นก็ยังคงใช้ช้อนตักเค้กก้อนนั้นเข้าปากคำแล้วคำเล่า เวลา 6 โมงเช้าไม่ใช่เวลาที่เขาจะหิว แต่เขาอยากทานเค้ก ทานไปเงียบๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคำสุดท้าย ชายหนุ่มวางช้อนลง แล้วใช้มือหยิบแผ่นช๊อกโกแลตที่เขียนข้อความ 'HAPPY BIRTHDAY to SADAYU' ขึ้นมากัดทีละคำเล็กๆ ละเลียดทีละข้างทีละข้างจากมุมไปขอบ จนเหลือเพียงข้อความตรงกลางเอาไว้ จ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งใส่ปากทั้งคำ เคี้ยวแล้วก็กลืน...
หลังเก็บเค้กจนไม่เหลือซากแล้วสดายุก็ขยับกลับมาที่เตียงเดิมข้างๆคนที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง จ้องมองใบหน้ายามหลับสนิทของกฤตเมธอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนค่อยๆ เอนตัวลงนอนข้างๆ ซุกกายเข้าหาความอบอุ่นที่ได้รับมาตั้งแต่เมื่อคืน...ความอบอุ่นที่เขาโหยหามานานแสนนาน
"...คุณมันเพี้ยนไปแล้ว กฤตเมธ..."
พอกลับมานอนประจำที่ ได้หนุนท่อนแขนกำยำของกฤตเมธ ได้จ้องมองใบหน้ายามหลับใหลของเจ้าของวงแขน ได้ลองใช้ปลายนิ้วสัมผัสเบาๆไปตามสันกราม โหนกแก้ม สันจมูก พอไต่นิ้วไปจนถึงหว่างคิ้วก็ละลงมาที่ปลายคาง แล้วจบลงที่ริมฝีปาก
"...และคุณ...กำลังจะทำให้ผมเพี้ยนไปด้วย..."
พูดจบก็ค่อยๆสวมกอดเอวสอบของร่างสูงเบาๆ ซุกกายเข้าหามากขึ้น และดูเหมือนผู้ถูกกระทำจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาครู่หนึ่ง สาดยุจึงถูกสวมกอดกลับในทันที
"อืม...อ้อนอะไรแต่เช้าหือ...เด็กดื้อ..."
พอหันมาสวมกอดสดายุเอาไว้ได้ กฤตเมธก็งัวเงียขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มพร่าที่แสนจะเซ็กซี่ ร่างใหญ่บรรจงจูบหน้าผากของคนในอ้อมแขนเบาๆ ก่อนจะนิ่งค้างไปพร้อมเสียงผ่อนลมหายใจบางๆ เป็นสัญญาณว่ากฤตเมธหลับต่อไปเรียบร้อยแล้ว
"...ตาแก่หื่นเอ้ย...คุณทำแบบนี้แล้วผมจะอยากปล่อยมือจากคุณเหรอ?"
เสียงแหบหวานของสดายุเอ่ยตัดพ้อเจ้าของอ้อมกอดเบาๆ
"มาทำให้เคยชินกับอ้อมกอดอุ่นๆขนาดนี้ แล้วถ้าวันที่ต้องแยกกันมาถึงผมจะทำใจห่างจากคุณไปได้ยังไงล่ะทีนี้..."
ถึงจะบ่นแต่สดายุก็ยังไม่ยอมผละจากอ้อมกอดของกฤตเมธ แม้จะยังบ่น แต่ริมฝีปากนั้นก็ยงคงเต็มไปด้วย...รอยยิ้ม...
"...ไอ้คนใจดำ..."เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน
เงียบๆคนเดียวและไม่อยากตื่นขึ้นพบใคร
เพราะว่าใจก็ยังเสียดาย
ที่ฝันดีๆกำลังจะจบและหายไป
ภาพที่ฉันได้เป็นดั่งคนที่เธอรัก
ช่างเป็นอะไรที่ประทับใจ
อยากซึมซับนานๆและเก็บไว้
ไม่ให้มันผ่านไป
อยากหลับตาอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้น
ฝันถึงเธอเรื่อยไป
เพราะว่าความจริง ไม่มีทางใด
ทำให้เราได้รักกัน
ทำได้แค่นั้น ทำได้แค่นี้
ทำได้เพียงแค่ฝัน
ต้องหลอกตัวเอง ฝันไปวันๆ
ไม่มีทางที่ฝันมัน(จะ)เป็นจริง...อ้างอิง ‘เพลงเรื่องบนเตียง’ บอย พีชเมกเกอร์
*
*
*
*
*
ภาพยนตร์ในส่วนของมัลดีฟส์ทั้งหมดในที่สุดก็จบลงตามกำหนดการ สองสัปดาห์หลังจากปาร์ตี้วันเกิดแสนหวานทีมงานทุกคนขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนกันอย่างพร้อมหน้า คิดถึงบ้านเหลือเกินแล้ว เพราะในช่วงเวลาสามเดือนเต็มบนเกาะมัลดีฟส์แม้ดาราหรือทีมงานบางคนจะมีบินไปๆกลับๆ แต่บางคนก็ต้องอยู่โยงยาวสามเดือนเต็ม
เดินทางกลับด้วยสายการบินประจำเมืองหลวงไฟลท์ PG0712 เป็นเครื่อง Aircraft Type : 319 เครื่องเล็ก ที่มีเพียงแถวละสามที่นั่งสองแถวเท่านั้น เครื่องออกจากเมืองหลวง มาเลย์ของมัลดีฟส์ตอนเที่ยงสี่สิบนาที และจะทยานถึงสุวรรณภูมิเวลาประมาณทุ่มตรง และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเสียที ทันทีที่เครื่องแลนดิ้งลงสู่สนามบินประจำชาติ ทุกคนก็ดูเหมือนจะเร่งร้อนกว่าเวลาปกติ ผ่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าและสัมภาระหนักอึ้ง ทั้งลากทั้งเข็นออกมาจนถึงจุดรอรับที่มีญาติบ้างคนรู้จักบ้างมารอรับอยู่พร้อมหน้า หลายคนตรงกลับบ้าน หลายคนมีที่แวะ อย่างน้อยก็เหล่าตากล้องช่างไฟของทีมถ่ายละครล่ะ ที่ต้องเข้าสตูดิโอก่อน
"ถึงบ้านแล้ว หายเหงายัง?"
กฤตเมธเอ่ยถามสดายุขึ้น ขณะที่กำลังแบกกระเป๋า เข็นสัมภาระกันออกมาด้านนอก ตัวติดกันมาตลอดตั้งแต่อยู่มัลดีฟส์ ขึ้นเครื่องก็นั่งด้วยกัน ลงจากเครื่องแล้วก็เข็นสัมภาระออกมาคู่กันอีก นี่ถ้าตามกลับบ้านได้ เชื่อว่ากฤตเมธคงไม่รอช้า
"...เพิ่งจะสนามบินเองคุณ ยังไม่ถึงบ้านเสียหน่อย..."
สดายุตอบออกไปขำๆ ตั้งแต่วันนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกฤตเมธดีขึ้นมาก ขนาดที่ว่าอ๊อดยังทักอยู่บ่อยๆ เพราะสองอาทิตย์สุดท้ายที่ต้องเข้าฉากพระนางหวานหยดนั้น กฤตเมธและสดายุเล่นออกมาได้ดีมาก สมจริงสมจังสุดๆ เล่นเอาหวานเลี่ยน เบาหวานขึ้นตากันไปทั้งถ่าย น่าเห็นใจสุดๆ
"ผมไปส่งมั้ยครับยุ ผมให้ที่บ้านเอารถมาฝากไว้ให้แล้ว"
(นั่นไง...วางแผนตามถึงบ้านจริงๆด้วย)
"...ไม่เป็นไรครับ พี่บลูม่ามารับแล้ว"
"...อ๋อ...โอเคครับ"
พอได้ยินว่าสดายุมีคนมารับ กฤตเมธก็เสียงสลดลงทันที ออกอาการผิดหวังสุดขีดจนน่าสงสาร ทำเอาสดายุถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ เพราะเขาแพ้ทางเวลาคนแก่งอนที่สุดเลย
"ฮะฮะ...โอเคๆ คุณเมธคนดีของผม ผมให้คุณไปส่งก็ได้ เดี๋ยวผมบอกพี่บลูม่าเอง"
"...จริงเหรอ?"
พอถูกตามใจเข้าหน่อย ผู้คงแก่พรรษาก็หันมาหรี่ตาใส่เด็กน้อยอย่างผู้มีชัย ก่อนจะอมยิ้มหวานแล้วเข็นกระเป๋าสัมภาระของตนและของสดายุตรงลิ่วไปที่ลานจอดรถทันที ฝ่ายสดายุก็ได้แต่ส่ายหน้า
ท่าทางเริงร่าจนสดายุต้องส่ายหน้ายิก 'แบบนี้มันเฒ่าทารกชัดๆ'
"ฮัลโหลพี่บลูม่าตอนนี้อยู่ไหนครับ?"
"อ๊ะ น้องยุพี่อยู่ตรงทางออกที่สี่น่ะค่ะ วนรถรออยู่เลย"
พอตัดสินใจได้ว่าจะให้กฤตเมธไปส่ง สดายุก็รีบโทรหาบลูม่าที่อุตส่าห์โทรนัดให้มารับทันที รู้สึกผิดกับผู้จัดการคนดีของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อยากขัดใจกฤตเมธ เอาเข้าจริง เพราะสดายุเองก็ยังไม่อยากห่างจากชายหนุ่มคนสำคัญด้วยเหมือนกัน ก็จะให้ทำอย่างไรล่ะ มันยังติดนิสัยต้องนอนกอดกันอยู่นี่ เพราะตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องนอนด้วยกันทุกคืน...มันก็เลยติด
ถึงจะรู้ว่าต้องรีบปรับตัว เพราะหลังจากนี้คงต้องห่างๆกันบ้างแล้ว...แต่ขอวันนี้อีกวันแล้วกันนะ
"เอ่อ...ขอโทษครับพี่บลูม่า...คือยุมีคนไปส่งแล้ว ขอโทษจริงๆนะพี่กลับก่อนได้เลยครับ"
"อ้าวจริงดิ? ใครจะไปส่งเหรอยุ?"
น้ำเสียงแสดงความสงสัย แต่ดูเหมือนบลูม่าเองก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรที่โดนผิดนัด แถมยังต้องมาวนรถรออยู่ตั้งนานสองนาน
"...เอ่อ...เดี๋ยวคุณเมธเขาจะไปส่งให้ครับ"
พอต้องบอกว่าใครเป็นคนไปส่งนี่ก็เล่นเอาสดายุพูดไม่ค่อยออก แต่ก็ไม่อยากมีความลับกับบลูม่าผู้จัดการส่วนตัวที่เขาทั้งรักและไว้ใจ เพราะแค่เขาปิดเงียบไม่ยอมเล่าเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับกฤตเมธให้เจ้าหล่อนฟังสดายุก็แอบรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน
"...ห๊ะ? ใครนะคะน้องยุ? เอ่อ...พี่ฟังไม่ค่อยถนัด..."
บลูม่าย้อนถามอีกครั้งเหมือนไม่ค่อยแน่ใจว่าชื่อที่ได้ยินมานั้นถูกต้อง สดายุเข้าใจในคำถามนั้นทันที เพราะเป็นใครก็คงตกใจจนต้องถามซ้ำกันทั้งนั้น หรือต่อให้ฟังถนัดชัดเจนยังไง ก็ต้องคิดว่าเป็นชื่อเดียวกันแต่คนละคนอย่างแน่นอน ในเมื่อความทรงจำที่เคยมีเกี่ยวกับสดายุและกฤตเมธก็คือ 'คนสองคนที่เหม็นขี้หน้ากันสุดๆ' และนั่นมันย่อมเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะรับส่งกันถึงบ้าน!
"คุณเมธครับ...เอ่อ...คุณกฤตเมธ พระเอกของผมนั่นแหละ..."
"ต๊ายยยยยยย!! ตายแล้วตายๆๆๆ!!! คุณน้องคะ เป็นไงมาไงคะ!? เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะคะ!!"
"เอ่อ...เราสนิทกันตอนถ่ายหนังน่ะครับ ก็ปกติเอาเป็นว่าในส่วนของรายละเอียดยุค่อยเล่าให้ฟังนะครับพี่บลูม่า"
"อัยย๊ะ อกอีแป้นแล่นลึก ไม่นึกเลยค่ะว่าจะมาลงอีหรอบนี้...แหม...เก็บเงียบเลยนะน้องยุ ไม่เห็นเล่าให้พี่ฟังเลยว่าดีกันแล้ว"
ถัดจากตกใจ เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ตามสไตล์ของบลูม่าก็ตามมาติดๆ
"อยากบอกอยู่หลายทีแล้วเหมือนกันครับ แต่เห็นว่าพี่น่าจะยุ่งๆ เลยไม่บอกดีกว่า ฮะฮะฮะ..."
"หือออออ! ใจร้ายเกินไปแล้วนะคะน้องยุ! เดี๋ยวเจอกันเรามีอะไรต้องคุยกันเยอะเลยนะคะ เตรียมใจไว้ได้เลยค่ะคุณน้อง!"
"ฮ่าฮ่า โอเคครับ แล้วเจอกันนะครับ บายครับ"
สดายุขอตัววางสายเมื่อเดินตามกฤตเมธมาถึงที่จอดรถ บลูม่ายอมถอนตัวกลับแต่โดยดี แต่แอบมีการคาดโทษเล็กน้อยว่าพรุ่งนี้ต้องเจอ เพราะมีเรื่องต้องเคลียร์ (เคลียร์ความคิดถึงล้วนๆ) หลังเก็บสัมภาระทั้งหมดขึ้นบน บีเอ็มดับเบิ้ลยู เอ็กซีรี่ย์สปอร์ตสีขาววาววับแล้ว กฤตเมธกันหันมาอัญเชิญสดายุขึ้นไปประดับเป็นตุ๊กตาหน้ารถคู่กับตนที่เป็นคนขับทันที ถามไถ่เส้นทางเสร็จสรรพก็ขับรถบึ่งออกจากสนามบิน
คอนโดของสดายุอยู่ย่านบางนา ไม่ได้ไกลจากสนามบินมากนัก ขับรถมาไม่นานก็ถึง คอนโดสวยสูงประมาณ 30 ชั้น โดยสดายุอยู่ขั้น 23 ของตึก คอนโดห้องนี้สดายุซื้อไว้ตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ แต่พอช่วงดังมากๆ เขาไปซื้อคอนโดอยู่ใหม่ตรงใจกลางเมือง ชั้นบนสุด ไฮโซสุด ดูดีที่สุด แต่หลังจากตกอับ ก็ต้องขายทิ้งอย่างไม่มีศักดิ์ศรี แล้วย้ายตัวเองกลับมาอยู่คอนโดนห้องน้อยชานเมืองห้องนี้แทน คิดถึงตอนนั้นขึ้นมาทีไร สดายุก็ได้แต่แค่นหัวเราะในใจทุกที 'หัวเราะกับชีวิตเน่าๆของตัวเอง'
"ที่นี่ห้องกว้างดีเหมือนกันนะเนี่ย ดูสบายตาดีจัง"
พอขึ้นมาถึงห้องของสดายุได้ กฤตเมธก็เอ่ยปากชมเปาะกับความเรียบร้อยของห้องชายโสด ที่น่าจะรกกว่านี้กลับสะอาดสะอ้านน่ามอง
"หึหึ...อยากมาอยู่หรือไง ห้องข้างบนยังว่างนะครับ ราคาสูงหน่อย แต่คุณคงซื้อเงินสดได้สบายๆอยู่แล้วล่ะ"
"...นี่ชวนมาอยู่ด้วยเลยเหรอครับ ผมเขินนะ"
".................." -*-
โดนมุกคนแก่สวนกลับเข้า สดายุเลยหุบปากฉับ ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงจนเพลี่ยงพล้ำให้เจ็บใจเล่นอีก อยู่กันมาสักพักสดายุก็เริ่มจับทางกฤตเมธได้แล้วว่าตาแก่ที่ชอบแอ๊บด็กคนนี้แสบแค่ไหน ดังนั้นเขาเลือกที่จะถนอมตัวไม่หือไม่อือแบบนี้เป็นการดีที่สุด
"หึหึ งอนซะแล้วเหรอ? ผมแค่แซวเล่นนิดเดียวเองนะ"
ถึงจะเห็นว่าสดายุเงียบไป แต่กฤตเมธก็ยังคงแซวต่อ เพราะเขาเองก็จับทางของสดายุได้เหมือนกันว่าสดายุเป็นคนที่หากเมือ่ไหร่ตัวเองรู้สึกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็จะถอนตัวจากสมรภูมิทันที แล้วมีหรือคนอย่างกฤตเมธจะยอม 'ถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ยอมให้หนีง่ายๆเหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ'
"อะไรกันคุณ เดี๋ยวนี้ถึงเนื้อถึงตัวเหลือเกินนะครับ"
สดายุแขวะออกไปทันทีที่โดนสวมกอดจากด้านหลังขณะที่ยังรื้อของกินของฝากออกจากกระเป๋าที่ยังตั้งอ้าซ่าอยู่บนโซฟา แต่ก็แค่นั้นเพราะยังไงคนตัวยักษ์ข้างหลังก็ยังกอดไม่ยอมปล่อยอยู่ดี
'ข้าวใหม่ปลามันก็อย่างนี้แหละน๊า...'
"ปล่อยผมก่อนคุณเมธ ผมหิวข้าวอ่ะ จะไปหาอะไรกินก่อน"
เมื่อแกะมือปลาหมึกมือตุ๊กแกไม่ไหวก็ต้องใช้วิธีโอดครวญอย่างอื่นเพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจจากเจ้าของวงแขน แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะสดายุเองก็หิวจริงๆเนื่องจากตั้งแต่ออกจากสนามบินก็ตรงดิ่งกลับบ้านเลย เริ่มชักจะหิวขึ้นมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ผู้กำกับขอร้องให้เขาเพิ่มน้ำหนักขึ้นสักหน่อยก่อน เพื่อถ่ายทำฉากย้อนอดีต ก่อนที่ขอให้ดัมพ์ลงต่อเนื่องเพื่อฉากป่วย ฉากย้อนอดีตบางฉาก เขาถ่ายทำไปบ้างบางส่วนแล้วโดยเฉพาะในส่วนที่ต้องเล่นคู่กับกฤตเมธ แต่เพราะพี่อ๊อดต้องการให้ภุมราสมัยมหาวิทยาลัย เป็นหนุ่มร่างผอมบางจึงรอให้เขาลดน้ำหนักลงอีกหน่อยก่อนซึ่งในตอนที่ถ่ายทำตอนแรกกล้ามเขายังฟูเกินบทอยู่ แต่ตอนนี้ก็เพรียวเกินบทไปเยอะเช่นกัน ดังนั้นพี่อ๊อดเลยให้เขาเพิ่มน้ำหนักในช่วงนี้เพื่อถ่ายเพิ่มเติมในฉากย้อนอดีตแทน การเพิ่มลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากของสดายุ เพราะมันเป็นหน้าที่หนึ่งของนักแสดงที่ต้องแสดงในบทบาทต่างๆอยู่แล้ว...
ถึงแม้ว่า...คนที่สวมกอดเขาอยู่ตอนนี้จะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะเป็นห่วงสุขภาพเขาเหลือเกินก็เถอะ... (คิดแล้วก็แอบอมยิ้มเล็กๆ)
"...ผมหิวจริงๆนะ"
สดายุย้ำขึ้นอีกทีเมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยมือ
"ในตู้เย็นคุณมีอะไรบ้างล่ะ?"
จู่ๆกฤตเมธก็ถามถึงตู้เย็น สดายุก็ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบๆไปตามความจริง
"...จะไปมีได้ยังไงล่ะคุณ ผมไม่อยู่ตั้งสามเดือนนะ ขืนมีไว้ก็คงเน่าหมดแล้วล่ะ""
"...จริงด้วย เฮ้อ...ไม่อยากออกไปข้างนอกแล้วนี่ครับ สั่งมาทานที่ห้องได้มั้ย?"
"ผมไปซื้อให้ก็ได้นะ ข้างล่างมีอาหารตามสั่งขาย...เอ้อจริงสิ!...เขามีบริการส่งด้วย อยากทานอะไรบ้างคุณ เดี๋ยวผมสั่งให้ ร้านนี้ปิดตั้งเที่ยงคืน"
"จริงเหรอคุณ? มีเมนูเด็ดๆอะไรบ้าง ตอนนี้ผมอยากทานอาหารไทยมากเลยนะ เอาแบบเข้มข้นๆหน่อย ทานแต่อาหารไม่คุ้นปากอยู่ตั้งสามเดือน คิดถึงต้มยำจะแย่แล้วล่ะ"
พอรู้ว่าสั่งมาทานที่ห้องได้ กฤตเมธก็ยิ้มย่อง จ้องจะออร์เดอร์ของที่ชอบเป็นการใหญ่ จนสดายุยังต้องหัวเราะเยาะออกมาไม่มียั้ง
"ฮ่าฮ่า...คุณนี่อย่างกับเด็กแน่ะ ตื่นเต้นกับเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ หึหึ ว่ามาอยากทานอะไรเดี๋ยวผมโทรไปสั่งให้เดี๋ยวนี้เลย"
เห็นคนข้างกายมีความสุขสดายุก็ดีใจ เขาจดรายการอาหารที่กฤตเมธอยากทาน ก่อนจะโทรไปออเดอร์ร้านข้าวร้านประจำ จากนั้นก็จัดโต๊ะรออย่างใจจดใจจ่อ
และแล้ว...เมื่อเวลาผ่านไปได้ราวๆ 40 นาที
ในที่สุดกับข้าวถุงเล็กถุงน้อยก็มารอเสริฟอยู่ถึงหน้าห้อง สดายุรับอาหารทั้งทหมดมาแกะใส่จานที่วางรออยู่บนโต๊ะ โดยมีกฤตเมธเป็นลูกมือคนขยัน และจากนั้นก็ถึงเวลาลงมือทานกันอย่างเอร็ดอร่อย
"อื้ม...อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆด้วย"
"เห็นมั้ยล่ะ ป้าเจ้าของร้านน่ะเขาเป็นเชฟอาหารไทยในภัตคารของโรงแรมมาก่อน ผมรับรองได้เลยว่าฝีมือป้าเขาไม่แพ้ใครในสยามประเทศแน่นอนครับ”
"ว๊าว...ฮ่าฮ่า ขนาดนั้นเชียว"
บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ทำให้สองหนุ่มทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย และที่ทานกันไม่ขาดคำขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเพราะห่างอาหารไทยไปนาน หรือว่าเพราะหิวมากกันแน่
"เออ ยุครับ...พี่อ๊อดเขาให้คุณเพิ่มน้ำหนักกี่กิโลน่ะ?"
ระหว่างที่กำลังสนุกสนานกับการทานอาหารรสชาดที่คิดถึงอยู่นั้นจู่ๆกฤตเมธก็ไถ่ถามขึ้น เพราะวันนี้ดูสดายุจะเจริญอาหารมากกว่าปกติ ทั้งที่ตอนอยู่ที่มัลดีฟส์ ชายหนุ่มแทบไม่แตะมื้อเย็นเลยด้วยซ้ำ
“ประมาณ 5 กิโล”
“เหรอ แล้วนี่ได้กี่กิโลแล้วครับ?”
“…อืม…ผมยังไม่ได้ชั่งเลยเหมือนกัน คิดว่าคงได้แค่กิโลสองกิโลเองละมั้งครับ…?...”
พอสดายุพูดจบก็ถูกมือของกฤตเมธเอื้อมมาลูบศีรษะเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและเอ็นดู
“งั้นทานเยอะๆนะครับ ผมอยากให้คุณมีน้ำมีนวลกว่านี้…”
“…………..ทำไม?...”
ใบหน้ากรุ้มกริ่มเกินคำว่าห่วงใยไปนิดหน่อยทำให้สดายุต้องถามถึงเจตนาแอบแฝง เพราะดูท่าทางตาลุงตรงหน้าเขาจะเริ่มมีนัยยะซ่อนเร้น และทันทีที่ได้ยินคำถามของสดายุกฤตเมธก็หัวเราะเริงร่าทันที ‘มีเจตนาแอบแฝงจริงๆด้วย’
“ฮ่าฮ่า…รู้ทันนะคุณเนี่ย ผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแหละ แค่อยากให้คุณดูมีเนื้อขึ้นหน่อย ตอนนี้มันผอมเกินไป”
“……….แค่นั้น?...”
“…ก็ถ้ามีเนื้อกำลังน่ารัก…เวลากอดจะได้เต็มไม้เต็มมือไงครับ”
“……………….ตาลุงลามก” =*=
พอเฉลยความในใจก็โดนสดายุแขวะเอาตามคาด กฤตเมธหัวเราะร่าถูกใจทันที น่ารักเหลือเกินนางเอกของเขา ยิ่งนานวันก็ยิ่งน่ารัก แม้ตอนแก่นกะโหลกเหมือนที่เจอตอนช่วงแรกๆจะกวนประสาทไปหน่อย แต่พอได้สัมผัสจริงๆจังๆแล้วก็เข้าใจเต็มที่เลยว่า แท้จริงแล้วเป็นคนไร้เดียงสาและขี้อายกับเรื่องรักๆใคร่ๆมากแค่ไหน พอโดนต้อนให้จนมุมเข้าหน่อยก็จะหน้าแดงแล้วเฉไฉทำหน้าดุเพื่อกลบเกลื่อนทั้งที่พอเผลอก็จะแอบอมยิ้มโดยไม่รู้ตัวทันที…อย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน
“หึหึ…ผมก็อยากตามใจคุณนะ แต่ผมอ้วนกว่านี้มากไม่ได้หรอกคุณ ขืนปล่อยตัวขึ้นจนหยุดไม่อยู่ กว่าจะเอาลงได้ก็ตายกันพอดี อย่าลืมสิอีกสองเดือนผมต้องดัมพ์มันลงอีกหลายกิโลนะครับ”
เหตุผลของสดายุจริงจังเกินไป จนกฤตเมธยังต้องนิ่วหน้า บังคับน้ำหนักขึ้นๆลงๆในเวลาสั้นๆแบบนั้นมันค่อนข้างอันตรายต่อสุขภาพพอสมควร ถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นงาน แต่ก็อดเป็นห่วงสดายุไม่ได้
“…ยุครับ แล้วคุณจะไหวเหรอ?...”
คำถามคราวนี้แฝงความห่วงใยชัดเจน จนสดายุรู้สึกได้ และนึกขอบกฤตเมธอยู่เสมอที่คอยเป็นกำลังใจดีๆให้
“หึหึ…ไหวอยู่แล้วละครับ ผมยังฟิตน่า”
“…อย่าฝืนนักนะครับ ไม่ไหวต้องรีบบอกนะ ผมเป็นห่วง”
“……………” ( -/////- )
ถึงจะชอบที่ถูกห่วงใย แต่ถ้ามากไป….ก็เขินเป็นเหมือนกันนะ…
“พูดเยอะนะคุณเนี่ย รีบทานไปครับจะได้รีบกลับ ผมอยากพักผ่อนจะแย่แล้ว”
เมื่อเฉไฉไม่ไหวก็ต้องไล่กันดื้อๆ เพราะสดายุมั่นใจเหลือเกินว่าหากยังขืนปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ร่วมห้องกันต่อไปล่ะก็ น้ำตาลในเลือดของเขาอาจถึงจุดวิกฤต แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆเสียแล้ว
“อะไรกันคุณ ใครว่าผมจะกลับกัน? ผมเหนื่อยจะแย่ ง่วงด้วย ขับรถไม่ไหวหรอก นอนนี่แหละ ไหนๆพรุ่งนี้ก็อุตส่าห์ได้หยุดตั้งหนึ่งวัน ผมจะนอนให้ถึงเย็นเลย”
“เฮ้ยคุณเมธ? ตะแบงจะนอนที่นี่เนี่ย คุณถามความเห็นผมหรือยังครับ? ได้ข่าวว่าเจ้าของห้องยังไม่ได้เชิญนะ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายตีมึน จะค้างอ้างแรมกันดื้อๆ สดายุเลยต้องปรามลงเสียหน่อย ผู้ใหญ่อะไร เอาแต่ใจชะมัด
“แต่เราเคยอยู่ด้วยกันทุกคืน ถ้าคืนนี้ผมทิ้งคุณไว้ แล้วคุณจะอยู่คนเดียวได้ยังไง…จริงมั้ย?”
ถึงจะแขวะไปแล้วก็ดูเหมือนจะไม่ระคายผิว เพราะกฤตเมธยังคงลอยหน้าลอยตาหยอดคำหวาน(เข้าข้างตัวเอง)ไม่เลิก
“เฮ้อ…ผมอยู่คนเดียวได้ครับ” (สดายุ : สีหน้าหนักแน่นจริงจัง)
“จริงเหรอคร๊าบ…” (กฤตเมธ : ยื่นหน้าเข้ามาหาด้วยสายตากรุ้มกริ่มพร้อมส่งยิ้มหวานร้ายให้ไม่ขาด)
“เออๆ จะค้างก็ค้าง รีบกินข้าวไปเลยคุณ หึหึ” ( = _ = )
สุดท้ายก็ต้องยอมให้ค้างด้วยอย่างไม่มีข้อแม้ เล่ห์คนแก่ใช้ได้ผลเสมอจริงๆ
แม้จะดูเหมือนระอาลูกตื้อของกฤตเมธเล็กๆ แต่ความจริงแล้วหัวใจของสดายุพองโตมาก มีความสุข และอบอุ่นมากเหลือเกิน ยิ่งได้เห็นกฤตเมธยิ้มให้ ยิ่งถูกสัมผัสร่างกายอย่างอ่อนโยน ยิ่งอยากเกาะติด ยิ่งอยากเก็บเอาไว้คนเดียว…
…อยากให้เวลานี้คงอยู่ตลอดไป…
…อยากจดจำทุกวินาที และตักตวงให้มากกว่านี้…
…เวลาได้โปรดเดินช้าๆ…ขอเวลาให้ได้มีความสุขนานขึ้นอีกหน่อย
…ได้โปรด…********************************************************************
อุ๊ย…มาม่ายังไม่สุกจ๊ะ รอต่อไปอีกนิดนะจ๊ะ
ช่วงนี้กินบัวลอยน้ำขิงไปก่อนก็แล้วกันเนอะ
ปล. สมมติว่าเป็นเค้กวันเกิดของน้องยุเราก็แล้วกันเนอะ
(หารูปเค้กขอนไม้เจ๋งๆไม่ได้ เอาอันนี้ไปก่อนแล้วกันค่ะ)
เครดิต : Google เจ้าเดิมจ๊า[attachment deleted by admin]