ผมคือ...นางเอก
ซีนที่ 24 ...หลุด (ครึ่งแรก)"คัททททททท!!"เสียงสั่งคัทของซีนสุดท้ายดังขึ้นในที่สุด เกือบตีห้าเข้าไปแล้วที่ถ่ายทำข้ามวันข้ามคืนกันมา ฉากของสดายุในเวอร์ชั่นคนปกติจะจบลงภายในเดือนนี้ จากนั้นชายหนุ่มจะได้พักยาวหนึ่งเดือนเพื่อทำน้ำหนักเตรียมพร้อมกับฉากผ่าตัดใหญ่กับฉากเจ้าชายนิทราที่จะมาถึง ดังนั้นเดือนนี้ทั้งเดือนงานของสดายุจึงชุกมากจนแทบไม่เหลือเวลาให้กระดิกไปไหน ทั้งถ่ายฉากย้อนความกับแตงกวา ย้อนอดีตกับกฤตเมธ ฉากรถคว่ำ ฉากหลังออกจากโรงพยาบาล กายภาพบำบัด และฉากจบ ทั้งเยอะทั้งหนัก โดยเฉพาะฉากรถคว่ำที่จะถ่ายกันอาทิตย์หน้า และฉากบนเตียงกับแตงกวาที่จะถ่ายกันอาทิตย์ต่อไป จนฉากกายภาพบำบัดของวันนี้ และฉากสารภาพผิดที่ป่าช้าวัดในวันมะรืนนี้นั้นถือว่าง่ายไปเลยทีเดียว
"เอ้า เลิกกองกันแล้ว กลับๆๆๆ พรุ่งนี้บ่ายโมงมาเจอกันอีกที...อ่อเมธ ยุ มาคุยกับพี่แป๊บดิ"
หลังเสร็จงาน ทั้งเหล่านักแสดงและทีมงานก็เริ่มกระจายตัวกันกลับบ้านใครบ้านมัน ทว่าดูเหมือนสองพระนางจะยังต้องอยู่คุยเรื่องคิวละบทกับทางผู้กำกับต่อ เป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้มีใครสนใจกันมากนัก
"เป็นไงเหนื่อยมั้ย เล่นได้ดีเหมือนเดิมเลยนะ"
เห็นสองนักแสดงหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ อ๊อดก็ชมเปาะขึ้นทันทีด้วยว่าชื่นชมในฝีมือของนักแสดงของตนเหลือเกิน
ชมก่อนแล้วค่อยเริ่มคุยเรื่องอื่นๆเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
"ก็เก่งเหมือนทุกๆวันน่ะแหละครับ วันนี้มีอะไรพิเศษจะคุยกับพวกผมเหรอ?"
เพราะมุกเดิมไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้นเหล่านักแสดงกระทั่งทีมงานทุกคนจึงรู้ทันกันหมดแล้วว่าการเรียกมาชมของอ๊อดนั้นมันนัยยะซ่อนเร้นเสมอ ถ้าไม่คุยเรื่องบทโหดต่อก็ต้องมีเรื่องงานเพิ่มเติมทุกที อย่างคราวนี้ก็คงไม่ต่างกัน...
"ฮ่าฮ่าฮ่า... รู้ทันทุกทีเลยนะเมธ ฉลาดจนพี่เกลียดจริงๆ ฮ่าฮ่า"
"ไม่ต้องหัวเราะกลบเกลื่อนเลยครับพี่ อยู่กันมาจะครบปีอยู่แล้วผมตามพี่ทันหรอกน่า หึหึ"
"เออๆ พี่มีอะไรจะคุยด้วยจริงน่ะแหละ เดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วอย่าเพิ่งกลับนะ แวะไปกินข้าวต้มรอบเช้ากับพี่ก่อน"
"...ครับ..."
คำเชิญสบายๆของอ๊อดนั้นแฝงไว้ด้วยความหนักอึ้งพอสมควร กฤตเมธและสดายุรู้ดีเพราะอย่างน้อยพวกเขาก็อยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี ดังนั้นท่าทีเพียงเล็กน้อยที่ผู้กำกับหนุ่มแสดงออกมา พวกเขาก็รู้ได้ในทันทีแล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายแค่การไปกินข้าวต้มรอบเช้าด้วยกันแน่ๆ
...ถ่ายทำที่มัลดีฟส์สามเดือน ถ่ายที่เมืองไทยเข้าเดือนที่สี่ กว่าครึ่งปีแล้วสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง 'สุดปลายทางของหัวใจ' ด้วยเนื้อหาและการถ่ายทำที่เข้มข้นแทบจะทุกซีนทุกฉาก เล่นเอาทั้งทีมงานน้ำหนักลดกันไปตามๆกัน ด้วยว่าอดตาหลับขับตานอนถ่ายทำกันให้ทันกำหนดการเข้าฉาย เพราะตอนนี้ทางต้นสังกัดได้ลงบิลบอร์ดโฆษณาไปบ้างบางส่วนแล้ว และแน่นอนว่ากระแสดีจนมีคนติดตามข่าวสารมากมาย ทั้งนักข่าวนิตยาสารบันเทิงชื่อดัง ทั้งรายการวาไรตี้ที่ติดต่อขอสัมภาษณ์เข้ามาแทบทุกช่องชาแนล ถ้าไม่ติดว่าทางต้นสังกัดคอยสกัดเอาไว้เพราะเหตุผลทางการตลาด และด้วยความต้องการให้ภาพยนตร์เสร็จสิ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนค่อยออกสื่อทีหลังของทางผู้จัดจึงยังพอช่วยให้เหล่านักแสดงยังพอเหลือเวลาหายใจหายคอจากตารางงานที่แน่นขนัดตั้งแต่มืดยันเช้า และต่อด้วยเช้ายันมืด...
และคงเพราะกำลังเป็นที่สนใจของสื่อแทบทุกแขนง ดังนั้นวันนี้อ๊อดจึงจำต้องเรียกสองหนุ่มน้องรักมาคุยเป็นการส่วนตัว ทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้ต้องการสักเท่าไหร่นัก...
เอาเข้าจริงแล้ว...ไม่ต้องการเลยต่างหาก
หลังการเก็บเครื่องมือ เคลียร์พื้นที่เสร็จสรรพก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเช้า ทีมงานแยกกันกลับหมดแล้ว อ๊อด กฤตเมธและสดายุจึงค่อยออกมาหาข้าวต้มยามเช้าทานกันก่อนแยกกันไปพักผ่อน โดยที่อ๊อดขออาศัยรถของกฤตเมธมาด้วยแล้วจอดรถตัวเองทิ้งเอาไว้ที่โรงแรมที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ (เพราะเดี๋ยวก็ต้องมาอีกเลยขี้เกียจเอารถกลับ)
"ร้านนี้เด็ดมากเลยนะ พี่ขอแนะนำเลย"
อ๊อดเปรยพลางซดน้ำข้าวต้มซรวบๆ ในขณะที่กฤตเมธและสดายุได้แต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยค่อนข้างกังวลกับเรื่องที่กฤตเมธชวนมาคุยไกลผู้ไกลคนถึงร้านข้าวต้มเพิงหมาแหงนริมแม่น้ำ
"พี่อ๊อด...เรื่องอะไรเหรอครับที่พี่อยากจะคุยกับพวกเรา?"
เกือบจะเจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้วที่อ๊อดเอ้อระเหยลอยชายไม่ยอมเอ่ยปากเสียทีว่าจริงๆแล้วเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้ผู้กำกับหนุ่มถึงกับต้องลากสังขารสภาพตาแทบปิดมาที่ร้านข้าวแทนที่จะบึ่งกลับไปหลับนอนพักผ่อนเหมือนดังปกติ อาการแบบนั้นของผู้กำกับหนุ่มยิ่งทำให้สดายุและกฤตเมธอึดอัด จนในที่สุดสดายุก็ทนไม่ไหว
"...รีบเหรอ? กินข้าวต้มก่อนสิ เดี๋ยวเย็นหมดนะยุ"
แทนที่จะตอบ อ๊อดกลับปรายยิ้มน้อยๆแล้วคะยั้นคะยอให้สดายุกินข้าวต้มก่อนจะเย็นแทน เล่นเอาสดายุกับกฤตเมธถึงกับต้องหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
'อะไรของเฮียแกวะ!?'
"เรื่องที่พี่อยากคุยเนี่ย...หมายถึงเรื่องที่ผมกับยุอยู่ด้วยกัน...สินะครับ..."
ด้วยเพราะทนความยืดยาดของอ๊อดไม่ไหว ในที่สุดกฤตเมธเลยต้องเป็นฝ่ายโพล่งออกมาเอง ช้อนข้าวต้มในมือของอ๊อดหยุดชะงักก่อนเข้าปากเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆลดระดับลงสู่ชามข้าวคนอยู่ในนั้นสักพักช้นคันนั้นก็ถูกวางลงข้างชามอย่างสมบูรณ์
ภาวะตึงเครียดแผ่ปกคลุมทั้งโต๊ะทันทีที่ช้อนคันนั้นวางนิ่งสนิท
"...เฮ้อ...ความจริงแล้วพี่ก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ เรื่องที่ใครจะอยู่หรือไม่อยู่ด้วยกันเทือกนั้นน่ะ...เพียงแต่..."
'แปะ'
เศษกระดาษที่พับเป็นสี่ทบถูกวางลงกลางโต๊ะ สภาพคล้ายกระดาษนิตยาสารสีสันฉูดฉาด เพียงแค่ได้เห็นสดายุก็หัวใจสั่นวูบ หากจะมีปัญหากับตัวเขาเองนั้นเขาไม่ได้กลัว แต่หากกฤตเมธจะโดนไปด้วยเขารับไม่ได้ สาดยุรีบเอื้อมมือไปคว้าแต่ช้ากว่ากฤตเมธนิดเดียว พระเอกหนุ่มคว้าไปคลี่อ่านพร้อมใบหน้าถมึงทึงเป็นที่เรียบร้อย
'ช็อค! พระเอกรุ่นใหญ่แอบแซ่บประตูหลังนายเอกหนังเกย์ถึงคอนโดฯ'
'พระเอกรุ่นใหญ่ฉายาพ่อเทพบุตรแห่งวงการ ตกสวรรค์โครมเบ้อเร่อเมื่อเจอถ้ำคูหาสวาทเข้าจังๆเล่นเอาโงหัวไม่ขึ้น น่าตกใจยิ่งกว่าที่เจ้าของคูหาหาใช่ชะนีที่ไหน แต่เป็นหนุ่มน้อยหน้าแฉล้มคาสโนวาเก่าที่ทิ้งลายลอกคราบมาศิโรราบของใหญ่ ไม่เห็นกับตาคงไม่กล้าเม้าท์ นี่ไม่รู้ว่าจะฟันธงว่าได้เสีย หรือแค่แอบแซ่บข้ามคืนปั่นกระแสจิ้นรักโปรโมตหนังใหม่กันแน่...'อ่านจบเพียงแค่นั้นกฤตเมธก็ขยำกระดาษในมืออย่างแรงราวกับจะให้มันยุ่ยสลายไปเสียเดี๋ยวนั้น เขารู้ดีตั้งแต่ต้นว่ามันเสี่ยงไม่น้อยที่เขาไปอยู่ที่คอนโดด้วยกันกับสดายุ แต่เพราะเห็นว่าการถ่ายทำค่อนข้างหนัก เวลาพักผ่อนก็น้อยมาก การค้างอยู่ด้วยเลยจึงเป็นเรื่องที่เขาคิดว่ามันน่าจะสะดวกกว่า รู้ว่าเสี่ยงดังนั้นเขาจึงระแวดระวังอยู่ตลอด ไม่เคยทำประเจิดประเจ้อที่ไหนเลย ทั้งๆที่ทำถึงขนาดนั้นแต่สุดท้ายก็โดนเล่นงานเข้าจนได้ ลำพังเรื่องของเขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่สดายุนี่สิเขาไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมากระทบกระเทือนทั้งนั้น ยิ่งคิดยิ่งแค้นจนต้องกัดกรามกรอด
"ขอผมดูหน่อย"
"...ยุ..."
สดายุเอื้อมมือไปแตะมือข้างที่กำเศษกระดาษไว้แน่นของกฤตเมธเบาๆ พลางเอ่ยปากขอดูด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราบเรียบจนกฤตเมธยังอดห่วงไม่ได้
"ไม่เป็นไร ขอผมดูหน่อย"
แม้กฤตเมธจะส่งสายตาห้ามปรามด้วยความห่วงกังวล แต่สดายุยังคงแย้มยิ้มส่งให้นัยความหมายว่า 'ไม่เป็นไร' ก่อนจะค่อยๆดึงกระดาษยับยู่ยี่แผ่นนั้นออกจากมือของกฤตเมธ แล้วคลี่ออกดูอย่างตั้งใจ
ภาพแรกที่เห็นทำหัวใจสดายุวูบไหวไม่น้อย รูปด้านหลังของผู้ชายสองคนเดินเคียงคู่กันบรรยากาศในรูปสลัวๆมีแสงไฟนีออนสาดส่องเล็กน้อย...คงโดนแอบถ่ายตรงทางออกลานจอดรถ ตัวรูปเองก็ไม่ได้ชัดคงเพราะถูกถ่ายมาจากระยะไกล แต่ประเด็นหลักของรูปเลยคงเป็นมือของชายที่ตัวสูงกว่านั้นกำลังจับท้ายทอยของคนที่เตี้ยกว่าอย่างสนิทสนม พร้อมโดน้มหน้าเข้าใกล้เล็กน้อยราวกับกำลังกระซิบกระซาบบางอย่าง รูปนี้เขารู้ดีว่ามันคืออะไร รู้ดีมากโดยเฉพาะเรื่องที่ผู้ชายสองคนในรูปคุยกัน เพราะมันคือเข้าเองและรูปนี้เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆเมื่อวานซืนหลังถ่ายหนังเสร็จตอนตีสามนั่นเอง
ดึกขนาดนั้นเขาคิดว่าคงไม่มีใครเห็น
ดึกสงัดขนาดนั้น...เขาเลยคิดว่าไม่เป็นไร
...พลาดไปจนได้...สินะ
"ยุ...ผมขอโทษนะ"
"............??"
ระหว่างที่สดายุยังคงจ่อมจมตัวเองอยู่กับภาพตรงหน้า กฤตเมธก็ขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยไม่น้อย พระเอกหนุ่มรู้สึกผิดจริงจังกับเรื่องที่เกิดขึ้น กฤตเมธโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องทั้งหมด เพราะเขาไม่ระวังตัว เพราะเขาเอาแต่ใจ เลยพาลทำให้สดายุติดร่างแหไปด้วย กฤตเมธรู้สึกผิดมากมายจนลมหายใจแทบสะดุดห้วง
"...ผมขอโทษจริงๆนะ ที่ทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วย เรื่องนี้ผมจะรับผิดชอบเอง"
กฤตเมธกล่าวย้ำแน่นหนัก ก่อนพยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดปมใหญ่เรียกรอยยิ้มของสดายุมากกว่าอาการเครียดขึง มือเรียวเอื้อมจับอีกมือเย็นชืดที่กำลังกำหมัดแน่น พลางปลอบประโลมด้วยเสียงแหบเสน่ห์ประจำตัว
"...ผมไม่เป็นไรครับคุณเมธ คุณอย่าโทษตัวเองสิ"
"แต่ว่า..."
"ฮื่อ อย่าดื้อ...ผมบอกว่าไม่เป็นไร ก็คือไม่เป็นไร ข่าวลือมีชีวิตอยู่ได้แค่ 49 วัน เดี๋ยวมันก็ตายไปเองแหละ คุณอย่าไปเครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่เลยนะ"
แม้สดายุจะพูดแบบนั้น แม้สดายุจะยิ้มแบบนั้น แต่กฤตเมธรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สดายุจะไม่ใส่ใจ ไม่มีทางที่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่สดายุไม่คิดมาก ไม่มีทางที่คนอย่างสดายุ...จะไม่หนักใจ หากเรื่องนี้มีผลกระทบถึงเขาคนนี้ด้วย...
"ข่าวแค่นี้ผมไม่คิดมากหรอกครับ...แต่ผมเป็นห่วงคุณมากกว่า..."
กฤตเมธกล่าวย้ำแน่นหนัก สายตาที่จ้องมองมายังสดายุฉายแววห่วงใยมากล้น กฤตเมธไท่สนใจหากตัวเขาจะมีปัญหา แต่หากสดายุที่จะต้องกลับเข้าวงการให้ได้ในงานภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องมีข่าวเสียหายขึ้นมาเสียก่อนล่ะก็ เรื่องราวมมันจะยิ่งไปกันใหญ่ กฤตเมธเป็นห่วงเรื่องนี้เหลือเกิน
"ผมไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่มีอะไรจะเสียซะหน่อย คุณต่างหากที่น่าจะมีปัญหามากกว่า..."
"โถ่...ยุ..."
"อะแฮ่ม..."
เสียงกระแอมขัดลำกล้องดังขึ้นเรียกสติของสองหนุ่มเมธยุที่กำลังห่วงกังวลเรื่องของอีกฝ่ายจนลืมไปเลยว่ายังมีอีกหน่อนี่งร่วมวงอยู่ด้วย และเมื่อหันกลับมามองก็เจอเข้ากับอ๊อดที่นั่งปั้นหน้าเซ็งสนิท ประมาณว่าเลี่ยนเหลือทนแล้วกับฉากหวานน้ำตาลกัดตาของสดายุและกฤจเมธ
"ความจริงแล้วข่าวนี้เนี่ยจะตีพิมพ์เป็นของวันนี้...แต่...มันโดนระงับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว"
"ว่าไงนะครับ? ระงับ?"
คำเฉลยที่ออกจากปากของอ๊อดทำเอากฤตเมธและสดายุถึงกับตาโตเป็นไข่ห่าน เพราะข่าวเน่าของดารานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะขอระงับได้ง่ายๆ นอกเสียจากว่าผู้ที่ทำนั้นจะมากไปด้วยอำนาจอย่างแท้จริง
"ใช่ ระงับเรียบร้อย ข่าวนี้จะเงียบกริบราวกับไม่เคยเกิดขึ้น"
"คุณ...เสน่จันทร์สินะครับ"
"หึหึ...แหงล่ะ ถ้าไม่ใช่ระดับนาง แล้วใครล่ะจะทำให้มันเงียบได้..."
คำว่าคุณเสน่ห์จันทร์มีความหมายเท่ากับเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิง ทั้งในส่วนของบริษัทจัดสร้างภาพยนตร์ อีเวนท์และในส่วนของการดูแลจัดการเหล่าดาราต่างๆแล้ว อำนาจของเสน่ห์จันทร์ยังมีอิทธิพลมากในส่วนของนิตยาสารบันเทิงโดยเฉพาะในส่วนของข่าวคาวของดาราอีกด้วย จะเกิดหรือจะดับ ส่วนหนึ่งก็อยู่ที่เสน่ห์จันทร์นี่แหละที่เป็นผู้ตัดสิน
"...ผม...ติดหนี้บุญคุณคุณเสน่ห์จันทร์อีกแล้ว..."
กฤตเมธเปรยขึ้นเมื่อได้รู้ว่าได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ที่ตนเคารพ เสน่ห์จันทร์ในความหมายของคนอื่นอาจเป็นเจ้าแม่คือผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจน่าเกรงขาม แต่เสน่ห์จันทร์ในความหมายของกฤตเมธคือผู้มีพระคุณที่ฟูมฟักเขามาตั้งแต่เข้าวงการ คอยให้ความช่วยเหลือและคอยปูทางให้เขาได้เดินจนปีกกล้าขาแข็งได้ถึงตอนนี้ และเพราะเสน่ห์จันทร์ของกฤตเมธหมายถึงผู้มีพระคุณที่เขาจะต้องทดแทนให้ได้ดังนั้นกฤตเมธจึงทำตัวดีเสมอมาไม่สร้างข่าวไม่ทำตัวร้ายจนเป็นเรื่องราวให้เสน่ห์จันทร์เดือดร้อน ทว่า...ในที่สุดก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นจนได้
...จะโทษใครได้ นอกจากความชะล่าใจของตัวเอง
“ไม่ต้องซึมไปหรอกไอ้สองเสือ ไหนๆเรื่องมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่กลัวแล้ว ก็สบายใจกันได้แล้วล่ะ ส่วนที่พี่เรียกนายสองคนมาคุยเนี่ย ก็แค่จะได้รู้และระมัดระวังตัวมากขึ้น ปาปาราสซี่บ้านเราหูตามันอย่างกับสัปรด ไม่ได้จะให้พวกนายเลิกคบเลิกติดต่อกันหรอก อย่าคิดในแง่ลบนักล่ะ”
“ขอบคุณครับพี่อ๊อด”
อย่างที่พูดออกไปตรงๆทุกอย่าง เพราะอ๊อดไม่ใช่คนเสแสร้งหรืออ้อมค้อม เป็นคนจริงใจที่น่านับถือคนหนึ่งซึ่งหาได้ยากในวงการมายา กฤตเมธและสดายุเข้าใจในจุดนี้ดี และพร้อมน้อมรับคำตักเตือนของพี่ชายคนดีอย่างไม่มีขัดขืน หรืออคติใดๆ
...จริงอย่างที่อ๊อดว่าทุกประการ เพราะตอนแรกคิดกันง่ายๆว่าคอนโดของสดายุคงไกลหูไกลตานักข่าว จึงเผลอได้ใจไปบ้าง แต่จากนี้ไปพวกเขาต้องระวังตัวกันมากขึ้นเป็นสองเท่าแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้น อีกฝ่ายที่ตัวเองรัก อาจต้องเดือดร้อนไปด้วย และพวกเขาจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นอย่างเด็ดขาด...
*
*
*
*
*
หลังจากแยกจากอ๊อดแล้ว แปดโมงเช้าสดายุและกฤตเมธก็กลับถึงคอนโดกัน จอดรถในที่จอดของอีกฝั่งตึกของคอนโด เพื่อให้ไกลจากจุดเกิดเหตุเดิมมากให้ที่สุด เลือกที่จะใช้ลิฟท์ของตึกฝั่งตรงข้ามแล้วเดินผ่านทางเชื่อมลับตา สดายุขึ้นลิฟท์มาจนถึงโถงห้องของตัวเอง ส่วนกฤตเมธออกจากลิฟท์คนละตัวคนละชั้น แล้วตามขึ้นมาด้วยบันไดหนีไฟ ที่ต้องลำบากขนาดนี้ เพราะต่างก็รู้ดีว่า หากข่าวที่รูปเบลอๆนั่นไม่ได้ตีพิมพ์ แน่นอนว่าจำนวนปาปาราสซี่ที่ชอบท้าทายและต้องการช็อตเด็ดย่อมแห่กันมามากขึ้นหากไม่ระวังตัวแจแบบนี้ล่ะก็ ต้องโดนเข้าสักวันอีกแน่
...ความเป็นส่วนตัวถูกลิดรอนลงไปทุกวันแลกกับชื่อเสียงหน้าตา ถึงไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้น แต่ในเมื่อเป็นพวกเขาเองที่เลือกจะเดินเส้นทางนี้ เลือกที่จะเป็นบุคคลสาธารณะ มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแลก...
“ยุ...”
“หืม?”
‘หมับ!’
ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องมาเห็นสดายุที่กำลังจัดแจงแขวนเสื้อเจ็คเก็ตตัวเก่งอยู่ กฤตเมธก็ถลาเข้ามากอดจากด้านหลังไว้ทันที เล่นเอาสดายุถึงกับขมวดคิ้วงง เพราะอ้อมกอดของกฤตเมธนั้นต่างออกไปจากปกติมาก
“ยุ...ผมขอโทษนะ...”
“............คุณเมธ?...”
“ขอโทษที่เกือบทำให้คุณต้องเดือดร้อนเพราะความสะเพร่าของผม...ผมขอโทษจริงๆ”*********************************************
เอาครึ่งแรกไปก่อนนะจ๊ะ
ช่วงนี้งานยุ่งเหลือเกินจนไม่มีเวลาให้น้องยุพี่เมธเลย...

อีกครึ่งหลัง เก๊าจะรีบมาภายในอาทิตย์หน้าให้ได้จ๊ะ
ขอโทษที่ต้องให้รอนานนะคะ
อนาคี99