ผมคือ...นางเอก
ซีนที่ 27 สิ่งที่สำคัญกว่า ‘สดายุ’
ครึ่งแรก“หากผมต้องการจะกลับมามีชีวิตที่รุ่งโรจน์อีกครั้ง ก็แค่เลิกยุ่งเกี่ยวกับกฤตเมธเท่านั้นใช่มั้ยครับ?”“........................” สเน่ห์จันทร์ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ตอบคำถามใดๆของสดายุ ในอกประธานสาวรู้สึกยินดีที่สดายุเข้าใจอะไรง่ายๆ หล่อนก้มลงเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบอะไรบางอย่าง ทว่าขณะนั้นเอง...
“ผมเลิกยุ่งก็ได้นะ แต่ถ้ากฤตเมธไม่ยอม ผมก็ทำอะไรไม่ได้”
“...หมายความว่ายังไง?”
“ผม...ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มในความสัมพันธ์ครั้งนี้ เด็กคุณต่างหากล่ะที่รุกไม่เลิก ไล่ไม่ไป...”
น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาของสดายุเอ่ยขึ้น พร้อมรอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นที่มุมปาก ไม่ได้ตั้งใจ... ไม่ตั้งใจจริงๆที่จะทำตัวก้าวร้าวเหมือนในอดีต เขาตั้งใจแน่วแน่ตั้งแต่ที่ได้รับโอกาสกลับมาแสดงหนังว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ทำตัวดี ไม่กร่าง ไม่ก้าวร้าว
‘อยู่ในโอวาท’
แน่นอนว่าตั้งใจอย่างที่สุดที่จะทำตามคำสั่ง ทำใจท่านประธานทุกอย่างที่สามารถทำได้ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่อุตส่าห์เมตตา...ทว่า มันเป็นแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว เขารู้ดีว่าศักดิ์ศรีไม่ได้ทำให้ท้องอิ่ม แต่หากไร้ศักดิ์ศรีก็ไม่ควรเกิดมา!
‘บดินทร์ละทิ้งศักดิ์ศรี ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงอำนาจ’ ใช่...บดินทร์ทำมันสำเร็จ แต่สดายุมั่นใจเหลือเกินว่าลึกๆแล้ว บดินทร์ก็คงรู้อยู่แก่ใจว่าความสำเร็จที่ได้มา ไม่ได้น่าภูมิใจสักเท่าไหร่
แน่นอนเขาเองก็อยากทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ เพื่อความเด่นดัง แต่เขาทนไม่ได้ที่จะต้องโดนเหยียบขยี้ศักดิ์ศรีกันถึงขนาดนี้ ถูกทำราวกับไม่มีชีวิตจิตใจขนาดนี้ สดายุก็ขอไม่ทนเหมือนกัน
‘ช่างแม่งมันแล้ว!’
“.....................” เสน่ห์จันทร์ไม่ได้ตอบโต้เป็นถ้อยคำ เพราะหล่อนต้องการจะฟังให้จบ ทั้งที่ในอก ราวกับถูกเผาไหม้
“วันนี้ที่เขามาคุยกับคุณ ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุยอะไรกันไปบ้าง แต่ผมว่าอย่างน้อยก็ต้องมีเรื่องของผมบ้างล่ะ ผมมั่นใจเหลือเกินว่ากฤตเมธต้องพูดถึงผม เพราะเขามาที่นี่...ก็เพื่อผม”
‘เพื่อผม’ สดายุเน้นคำนี้หนักๆ เป็นการตอกย้ำให้เสน่ห์จันทร์ได้รู้สึกว่าแท้จริงกฤตเมธให้ความสำคัญกับตนมากขนาดไหน ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
“...สดายุ...เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่?...เธอกำลังจะทำลายทุกอย่างลงด้วยมือของเธอนะ” เสน่ห์จันทร์ทัดทาน สีหน้าของหล่อนเรียบเฉย แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาสดายุให้มอดไหม้ลงได้ทุกเมื่อ
‘มือใครกันแน่วะ ที่จะทำลาย!’
“ผมเป็นคนง่ายๆครับคุณเสน่ห์จันทร์ ใครดีมาผมก็ดีกลับ ใครร้ายมาผมก็แค่เลิกคุย ไม่มีอะไรเสียนี่ครับคนอย่างผม”
‘แม่ง...ถ้าจะทำอย่างนี้ แล้วจะเอากูกลับมาทำไมวะ!?’
น้ำตาพาลจะไหล ไม่ใช่แค่ความเจ็บใจ แต่เสียใจด้วย เสียใจจริงๆที่เกิดมาเป็นแค่คนกระจอกงอกง่อย เสียใจจริงๆที่ความทุ่มเทช่างไร้ค่า เสียใจจริงๆที่อุตส่าห์จะทำดีแต่กลับถูกมองว่าไม่มีความหมาย
“สดายุ เธอยังไปได้ไกลกว่านี้นะ ตัดสินใจให้ดี!” เสน่ห์จันทร์พยายามเกลี้ยกล่อม
“ดูอย่างบดินทร์สิ ขนาดว่าความสามารถของเขาสู้เธอไม่ได้ เขายังมาได้ตั้งไกล และยังไกลได้กว่านี้อีก เพียงเพราะเขารู้จักเลือก ฉันคาดหวังในตัวเธออยู่นะสดายุ ฉันยังคาดหวังอยู่ว่าเธอยังไปได้อีกไกล อนาคตเธอยังรุ่งโรจน์ อย่าให้มันมาจบเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบสิ”
‘ไกลเหรอ...ขนาดตอนนนี้ยังแทบจะไม่รอดเลย...’
“........................” ได้แต่คิดในใจ เพื่อฟังท่านประธานอธิบายต่อ
“เธอยังเด็กนะสดายุ โลกของเธอยังแคบ เธอต้องคิดให้ดีก่อนนะ ในการจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง...จริงอยู่เรื่องข่าวนั่นเธออาจรู้สึกว่ารุนแรง แต่ในแง่ของผลประโยชน์มันให้ผลดีมากกว่าผลเสียนะ ถูกต้องเหมาะสมกว่าถ้าเธอจะมีข่าวกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะไม่วาสยังไงเธอก็คือสดายุผู้มีเสน่ห์ล้นเหลือ มีข่าวออกไปก็มีแค่คำว่า ‘สมแล้วที่เป็นสดายุ’ แล้วพอหนังฉายออกไป พอทุกคนได้เห็นศักยภาพของเธอ ได้ประจักษ์ถึงตัวเธออีกครั้ง ได้เห็นว่าเธอกลับเข้ามาอย่างสง่างามแค่ไหน เรื่องข่าวนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป...แต่ถ้าเธอเป็นข่าวกับกฤตเมธ ผมมันจะออกมาตรงกันข้ามทั้งหมด แม้ว่าเธอจะแสดงได้ดีแค่ไหนก็ตาม แล้วมันจะพาลล่มกันไปหมด....การตัดสินใจของเธอมันมีผลมากนะ!!...ฉันรู้ว่าเธอฉลาดพอที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด...”
‘สิ่งที่ดีที่สุด?...ของใคร?...เพื่อใคร?...’
“ผมตัดสินใจแล้วครับ...” ยืดยาวเกินไป จนไม่อยากรับฟัง สดายุเอ่ยขัดขึ้นเพราะไม่อยากฟังอะไรอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มจ้องมองไปยังประธานเสน่ห์จันทร์ผู้ให้โอกาสครั้งสุดท้าย
‘เรามันช่าง...เนรคุณ!’
“หนังเรื่องนี้ถ้าคุณเสน่ห์จันทร์ยังอยากให้มันมีต่อ ผมก็จะเต็มที่กับมันเหมือนเดิม หรือถ้าคุณจะทิ้งมันซะ หรือจะเปลี่ยนตัวแสดงก็สุดแล้วแต่ดุลยพินิจที่คุณเสน่ห์จันทร์เห็นว่าสมควรเถอะครับ...ส่วน...งานชิ้นต่อๆไป ผมเองก็คงไม่คาดหวังแล้ว ขอบคุณสำหรับโอกาสที่อุตส่าห์ยื่นให้ แต่ผมคงรับไว้ไม่ไหวแล้วครับ...”
“หมายความว่ายังไง? ตกลงเธอเลือกอะไร?”
“...เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมครับ” สดายุตอบออกไปพร้อมรอยยิ้มหมองเศร้า ไม่มีความเจ็บแค้นอย่างในตอนแรกอีก
“เมื่อก่อนผมอยากมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ครับ...แต่...มันทำให้ผมไม่มีแม้ที่จะยืน ไม่เหลือแม้แต่อากาศที่จะหายใจ...และกฤตเมธเขาให้ที่ยืนผม เขาให้ผมยืนข้างๆโดยที่ไม่นึกรังเกียจว่าผมเคยสกปรกโสมมยังไง เขาให้อากาศผมหายใจได้เต็มปอดในทุกๆครั้งที่เราได้เจอกัน...ผมเลือกไม่ได้หรอกครับท่านประธาน กฤตเมธต่างหากที่เป็นคนเลือก...ถ้าเขาเลือกผม ผมก็ยังอยู่ได้...สิ่งที่ผมตัดสินใจก็คือ ผมจะยังยืนอยู่ข้างๆกฤตเมธตราบเท่าที่เขายังเลือกผม นั่นคือสิ่งที่ผมจะทำครับ...”
“...มันจะจบไม่สวย เธอคงรู้นะ” หลังจากฟังทุกคำพูดของสดายุจบ เสน่ห์จันทร์ก็ได้แต่เม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยถามครั้งสุดท้าย
“...รู้ครับ” สดายุตอบคำถามโดยไม่หลบสายตา
“ยังไงซะชีวิตผมก็เหมือนอยู่ในกำมือของคุณเสน่ห์จันทร์อยู่แล้ว คุณจะบีบยังไงผมก็ทำอะไรไม่ได้ ไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว ผมก็ดิ้นได้อยู่แค่นี้แหละครับ...ถ้าคุณเสน่ห์จันทร์ไม่มีอะไรจะพูดกับผมแล้ว ผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ”
“เดี๋ยว! คิดดูให้ดีอีกทีนะสดายุ ทางที่เธอเลือกน่ะ ไม่ใช่แค่เธอที่จะลำบากนะ! ไหนว่ากฤตเมธดีกับเธอไง แล้วเธอยังจะทำให้เขาตกต่ำไปกับเธอด้วยงั้นเหรอ?”
“...ผมรู้ครับ ว่าคุณเสน่ห์จันทร์จะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องกฤตเมธหากมีข่าวอะไรเกิดขึ้นมา...เหมือนคราวนี้...เพราะงั้น...ผมไม่ห่วง”
“สดายุ!!”
“ขอตัวครับ” ค้อมศีรษะให้น้อยๆ พร้อมหมุนตัวผละจากหน้าโต๊ะท่านประธานทันที
พูดจบก็เอ่ยลากันดื้อๆ ไม่มีอะไรจะพูด และไม่ขอพูดอีก ทว่ายังไม่ทันจะเดินถึงประตู เสียงเย็นเยียบของเสน่ห์จันทร์ก็ตามมาถึงตัว น้ำเสียงที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าหล่อนไม่ง้อสดายุอีกต่อไป และรู้แล้วว่าจะเอาชนะเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้ยังไง
เสียง...ที่เยือกเย็นแสนร้ายกาจ
“โอเค...สดายุ ก็สุดแล้วแต่เธอจะเลือกเดินเถอะนะ โชคดีที่เรายังไม่ได้เซ็นต์สัญญากัน ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถึงเธอจะทิ้งเราไปเธอก็ไม่ได้ผิดอะไรนัก แต่หากเธอจะกรุณาเล่นหนังเรื่องนี้จนจบสมบูรณ์ฉันก็จะถือว่ามันเป็นพระคุณมาก ค่าตอบแทนคือหลังจากนั้นหากมีงานอะไรเข้ามาฉันก็จะไม่ขัดขวาง เธอเป็นศิลปินอิสระ เธอจะรับงานอะไรยังไงก็ได้แล้วแต่เธอ ให้บลูม่าเขาเมนเนจงานให้ตามปกติแล้วกัน...”
น้ำเสียงเย็นชา ทว่าถ้อยคำกลับไม่ได้ร้ายกาจ สดายุขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมอง ว่าตอนนี้เสน่ห์จันทร์กำลังทำหน้าอย่างไร
“....................”
“เอาเถอะ ตราบใดเธอยังมีประโยชน์ ฉันก็จะยังเลี้ยงเธอไว้...”
‘อ้อ...อย่างนี้นี่เอง หึ...’
“แล้วมีอีกอย่างที่เธอต้องรู้สดายุ...กฤตเมธน่ะเขามีคนที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าเธออยู่...”
'สำคัญกว่าเรางั้นเหรอ...เฮ้อ...ก็มีออกจะเยอะแยะ'
"ฉันพลาดที่เผลอไปฝากฝังให้กฤตเมธเขาช่วยดูแลเธอ ดูเหมือนเขาจะทำตามคำสั่งของฉันดีไปหน่อย เพราะดูท่าจะดูแลกันจนเลยเถิด จริงอยู่กฤตเมธเขาให้ความสำคัญกับเธอ แต่...ตอนนี้ตัวจริงของเขากลับมาแล้ว ฉันขอเตือนเธอด้วยความหวังดีอีกครั้ง หากเธอยังพอจะรักศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่บ้าง แนะนำว่าให้เธอถอยออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้"
'...เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือไง! จะย้ำอีกสักกี่รอบกันวะ!'
"ขอบคุณครับที่หวังดี แต่ผมก็ยังขอยืนยันคำเดิมครับ 'ตราบเท่าที่กฤตเมธยังไม่ปล่อยมือผม ผมก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้นครับ' ผมขอตัว"
ขนาดเดินออกมาถึงประตู ขนาดขอตัวลาแล้วลาอีก ท่านประธานก็ยังพูดตามหลังไม่เลิก
“วันนี้มาพร้อมกับกฤตเมธสินะ เสร็จธุระแล้วจะกลับไปก่อนเลยก็ได้ เพราะตอนนี้กฤตเมธเขาไปรับคนสำคัญของเขาอยู่ ไม่แน่ว่าคงไม่ว่างพอกลับมารับเธอ อย่ามามัวหายใจทิ้งไปเปล่าๆเพื่อเป็นภาระคอยถ่วงเขาอยู่เลย...”
แกร๊ก...
ปัง...
ยังไม่ทันที่เสน่ห์จันทร์จะพูดจบ ยังไม่ทันที่สดายุจะทำความเข้าใจ ความมือไวก็ผลักดันให้สดายุเปิดประตูหนีออกจากห้องท่านประธานเสียก่อน ถ้าท่านประธานคนสวยจะจุดประเด็นไม่เลิกขนาดนี้ ขืนอยู่ต่อไป สดายุได้กลายร่างเป็นสดายุในอดีตที่วีนไม่ไว้หน้าใครแน่ๆ ดีแล้วที่หนีออกมาได้ทัน ดีแล้วที่สามารถสงบสติอารมณ์ไว้ได้ทัน
“ผมขอโทษกฤตเมธ ผมไม่ได้ตั้งใจ...ดึงคุณลงมา...ไม่ได้ตั้งใจ...”
*
*
*
*
*
[ขอโทษครับยุ ผมโทรหาคุณไม่ติดเลย...] 17:30 Read
[ท่านประธานใช้ให้ผมไปรับชิดจันทร์ ลูกสาวท่านที่สนามบินน่ะ รอผมที่ออฟฟิศนะ เสร็จแล้วไปรับ กินข้าวกัน...] 17:30 Read
[...( ^ 3 ^ )…] 17:31 Read
[โทรไปไม่รับอีกแล้วนะ...] 18:05 Read
[...( - _- )...] 18:05 Read
[ทำอะไรอยู่เนี่ย...] 18:15 Read
[รับสายบ้างสิ อยากได้ยินเสียง...] 18:16 Read
[...( T ^ T )...] 18:16 Read
[...รับลูกเจ้านายแล้ว เดี๋ยวจะรีบกลับครับ...] 18:23 Read*
*
*
*
*
‘13 สายไม่ได้รับ ’“โทรมาเอาโล่หรือไง ตั้ง 13สาย หึหึ”
พอหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เจอมหกรรมการเตือนสายไม่ได้รับและ ไลน์ไม่ได้อ่านเข้ามาระลอกใหญ่ เปิดดูปุ๊บสดายุก็ได้แต่ยิ้ม อากาศที่อึดอัดจนหนักปอดอยู่เมื่อครู่นั้น ราวกับจะสลายไปทันทีที่ได้เห็น ได้รับรู้ว่ายังมีคนที่ยังคิดถึงเขาอยู่...
รู้อยู่เต็มอกว่าถูกรักมากแค่ไหน...ทว่า
ยิ่งรู้ก็ยิ่งเจ็บ
“คนสำคัญกว่าผมที่คุณป้าเสน่ห์จันทร์บอก ก็คือ ยัยคุณหนูชิดจันทร์ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของนางนี่เอง...กะรวบหัวรวบหางกฤตเมธนี่หว่า ถึงว่า...หวงอย่างกับไข่ในหิน หึหึ...แล้วคนอย่างเรา...จะเอาอะไรไปสู้วะเนี่ย...”
อ่านข้อความทางไลน์ที่กฤตเมธส่งมาก็พอจะเดาออกว่าคนที่เสน่ห์จันทร์พูดถึงเมื่อครู่คือใคร บุตรสาวคนเดียวของเสนห์จันทร์ คนสำคัญที่ถูกกล่าวถึง สดายุไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรที่กฤตเมธไปรับคนคนนั้น เพราะชายหนุ่มไม่โกหก...
...กฤตเมธไม่โกหกเขาว่าหายไปไหน ทำอะไร กฤตเมธบอกเขาตรงๆ นั่นแสดงว่า...เขายังสำคัญ
แต่...พอถูกเห็นว่าสำคัญ สดายุก็กลับยอกในใจเล็กๆ...
“ผมเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่านะที่ไม่ยอมปล่อยคุณ...”
ได้แต่เปรยกับตัวเองอย่างอ่อนแรง ตอนนี้เขาไม่มีใครเลยพยายามยึดกฤตเมธไว้อย่างสุดกำลัง ยอมทิ้งทิฐิทั้งหมดที่มี เพื่อจะถูกรักอย่างเต็มที่ ยอมถูกกอด ยอมถูกตามใจ แรกๆก็แค่.. ‘ยอม’ ทว่าตอนนี้มันคือ ‘อยาก’ อยากถูกรักกว่านี้ อยากถูกกอดมากกว่านี้ อยากถูกตามใจ อยากถูกเอาใจใส่ อยากเป็นทุกอย่างของกฤตเมธ...
ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่อยากปล่อยมือไปตอนนี้...
“ผมยังยึดคุณไว้ได้ใช่มั้ยกฤตเมธ...ผมยังเห็นแก่ตัวได้ใช่มั้ย?”
คิดในใจเศร้าๆ ก่อนพิมพ์ตอบกลับไป
*
*
[...รีบกลับมานะ ผมจะรอครับ...พี่เมธ] 18:50
[...( ^ 3 ^ )/...] 18:50*
*
“อย่าเพิ่งปล่อยมือผม...อย่าให้ใคร...สำคัญกว่าผมนะ...พี่เมธ...”
สดายุถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ‘พี่เมธ’ เป็นคำที่กฤตเมธอยากได้ยินจากเขา...
ไม่ได้จะมาอ้อนเอาตอนที่รู้ว่ามีคู่แข่งหรอกนะ แต่เพราะถูกรักถูกเอาใจใส่มากขึ้นเรื่อยๆจนอยากจะตอบแทนบ้าง อยากรักตอบกลับไปให้อีกฝ่ายได้รู้สึกยินดีบ้าง นึกหน้าออกเลยว่าตาลุงของเขาจะทำหน้ายังไงเมื่อเห็นคำว่า ‘พี่เมธ’ เดี๋ยวพอเปิดอ่านปุ๊บ จะต้องรีบโทรหาเขาแน่ๆ
…ช่างคุณเสน่ห์จันทร์ปะไร เขาจะระวังตัวไม่ให้กฤตเมธเสื่อมเสียโดยไม่ต้องหยุดรักเอง จะไม่ยอมให้ดูถูกเด็ดขาด ตราบใดที่กฤตเมธยังเลือกเขา ตราบใดที่เขายังคงสำคัญที่สุด สดายุก็จะยังมั่นใจที่จะยืนอยู่ข้างๆกฤตเมธต่อไป แม้เมื่อก่อนเขาจะคิดว่าไม่อยากให้กฤตเมธต้องมาลำบากด้วย ไม่อยากให้จมไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ความคิดนั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว...จากนี้ไปเขาจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองตรงๆ รักก็คือรัก อยากอยู่ด้วยคืออยากอยู่ด้วย จะเปิดใจให้กฤตเมธอย่างจริงจัง
ต้องขอบคุณเสน่ห์จันทร์ด้วยเหมือนกัน ที่ทำให้เขารู้ใจตัวเองเสียที...
‘รีบโทรกลับมาเสียทีสิ…พี่เมธ’*
*
*
...รู้ใจตัวเองว่ารัก ยอมรับแล้วว่าใช่...ทว่าลึกๆแล้วสดายุรู้ดียิ่งกว่า... ‘อยากเอาชนะ’*
*
*
*
*
ปี๊บ...
{ เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... }
{…Sorry, it is not possible. to reach the number you've dialed at this moment…}*
*
ปี๊บ...
{ เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... }
{…Sorry, it is not possible. to reach the number you've dialed at this moment…}*
*
“น้องยุ จะห้าทุ่มแล้วนะคะ ให้เจ๊ไปส่งมั้ย?...”
บลูม่าถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ที่เห็นน้องรักนั่งแกร่วรอใครบางคนมาสามชั่วโมงได้แล้ว
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคุณเมธก็มา...เจ๊กลับไปก่อนเถอะ”
“แต่เจ๊ว่า...คุณเมธเขาอาจยังติดธุระอยู่ ยุกลับก่อนดีกว่ามั้ย?”
“แต่เขาบอกให้ผมรอครับ เขาบอกเขาจะกลับมารับที่นี่...ยุจะรอ”
ถามเป็นครั้งที่ร้อย ตอบเป็นครั้งที่ร้อย อยู่ด้วยกันตั้งแต่คนยังพลุกพล่าน จนเหลือกันอยู่แค่สองคน บลูม่าได้แต่แอบถอนหายใจกับตัวเอง ยิ่งเห็นหน้าน้องรักก็ยิ่งละเหี่ย...
‘โอย...คุณเมธคะ ไม่อยู่แห่งหนตำบลใดคะเนี่ย...รีบๆมาซะทีเถอะคะ น้องยุของเจ๊จะแย่แล้วนะ...’
และก็ได้แต่ภาวนาในใจให้กฤตเมธรีบโผล่มาไวๆ เพราะตอนนี้มันดึกมากแล้ว แถมยังติดต่อไม่ได้ สดายุก็ยืนยันจะรออย่างเดียวไม่ยอมเขยื้อน ไอ้ครั้นบลูม่าจะกลับก่อนก็อดสงสารสดายุที่นั่งทำหน้าแบกโลกไว้ไม่ได้ ‘เอาไงดีวะตู...กะเทยปวดเฮดฝุดๆค่ะ!’
“เอ้าๆ โอเคๆ อยู่ก็อยู่ งั้นเจ๊อยู่เป็นเพื่อนค่ะ...เอ่อแต่ได้แค่เที่ยงคืนนะยุ เจ๊ยังต้องไปสางงานที่บ้านเจ๊ต่อ ดองอยู่อีกเป็นลัง ถึงตอนนั้นถ้ากฤตเมธเขายังไม่มา ยุก็กลับพร้อมเจ๊เลยแล้วกันนะ ไม่ต้องรอแล้ว โอเคมั้ย?”
“................” สดายุไม่ยอมตอบ ได้แต่นั่งนิ่ง
“...ไม่ตอบ...ไม่รู้ล่ะ เที่ยงคืนเจ๊ลากกลับจริงๆ เฮ้อ...เดี๋ยวเจ๊ลงไปหาอะไรให้ทานรองท้องก่อนแล้วกันนะ ยุยังไม่ยอมทานอะไรเลยเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปถ่ายหนังไม่ไหวกันพอดี รอที่นี่นะคะ เดี๋ยวเจ๊มา”
“...................” พูดไปก็เหมือนคุยกับหัวหลักหัวตอ สดายุไม่ตอบอะไร ได้แต่นั่งนิ่งเป็นขอน แล้วก็ทำหน้าเหมือนคนใกล้ตายอยู่แบบนั้น จนบลูม่าได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ แล้วผละเดินออกไปซื้อของรองท้องให้สดายุได้ทาน
แกร๊ก...
ปิดประตูห้องสำนักงานแล้วเดินตรงไปยังโถงลิฟท์ บนตึกเงียบสงัดแล้ว งานนี้คงต้องอาศัยร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงข้างล่างไปก่อน
“เฮ้อ คุณเมธนะคุณเมธ จะมาไม่มาก็ไม่โทรบอก แถมติดต่อไม่ได้อีก เจอคราวหน้าต้องเทศน์ซะหน่อยแล้วมั้งเนี่ย”
ติ๊ง....
‘thirty-two Floor’เสียงลิฟท์ดังขึ้นต่อหน้าต่อตา บลูม่า
‘ใครกันมาเอาตอนนี้? หรือว่า....’
“คุณเมธ...?..เอ๋อ...”
“เฮ้อ โชคดีจังยังมีคนอยู่....อ๊ะ...”
บลูม่าที่แอบดีใจแทบตายเพราะนึกว่าคนที่จะโผล่ออกจากลิฟท์คือ กฤตเมธ ทว่าคนที่ออกมานั้นกลับเป็น...
“...ซอลย่า!?”****************************************************
‘จะเที่ยงคืนแล้ว...เจ๊หายไปไหนแล้วนะ’
สดายุที่นั่งเหม่อๆอยู่คนเดียว เพิ่งรู้สึกตัวว่าผู้จัดการส่วนตัวหายไปนาน เกินไปจนอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเห็นว่าแค่จะไปซื้อขนมมาให้ แต่นี่หายไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว พอโทรเข้ามือถือ เจ๊บลูม่าคนดีของสดายุก็ดันไม่พกมือถือลงไปด้วย ปล่อยให้ร้องระงมอยู่บนโต๊ะทำงาน
‘เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย มีแต่คนหายตัวได้...กฤตเมธ ก็คนหนึ่งแล้ว ยังจะมีเจ๊บลูม่าอีกเหรอเนี่ย...’
*
*
ปี๊บ...
{ เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้... }
{…Sorry, it is not possible. to reach the number you've dialed at this moment…}*
*
ลองโทรหากฤตเมธอีกครั้ง ไม่รู้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ แต่ผลก็ยังเดิมๆ...
‘โทรไม่ติด...แบตหมด?...ปิดเครื่อง?...หรือเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ...’
‘เป็นห่วงจะแย่แล้วนะไอ้คุณพี่เมธ...โทรกลับมาเสียทีสิ...’
‘...รีบโทรมาเสียที...ผมจะร้องไห้แล้วนะ...ตาแก่บ้า...’************************************************
อีกครึ่งจิรีบมาจ๊า...
ช่วงนี้มีแต่ดราม่า มาม่า ค่ะ ข้ามได้ก็ข้ามนะคะ...
นับจากตอนนี้ไป ขอดราม่าอีกสัก 5-6 ตอนนะตัวเอง
สดายุต้องเจอวันสดใสแน่นอนค่ะ
*
*
*
ปล.อิอิ ช่วงนี้ทำร้ายน้องยุหนักไปหน่อย เล่นเอา ไม่กล้าอ่านคอมเม้นท์กันเลยทีเดียวเชียว 555++ เดี๋ยวค่อยผนวกอ่านทีเดียวค่ะ รอช่วงเคลียร์ก่อน...
ปล. 2 แอบสปอยล์ : เดี๋ยวลุงเราจะมีบท ดุ! บังคับ! จับขัง! ปราบเด็กดื้ออย่างน้องยุ เรานิดหน่อยนะจ๊ะ (แสดงว่าสดายุกำลังจะแผลงฤทธิ์!!)
เฮ้อ...เขียนไปใจเต้นไป...

[attachment deleted by admin]