ผมคือ…นางเอก
ซีนที่ 30 (ครึ่งแรก)ห้องพักเงียบงัน ตั้งแต่ที่กฤตเมธพาสดายุกลับมาถึงห้องก็ต่างคนต่างอยู่ ระหว่างที่กฤตเมธกำลังเตรียมอาหารเย็นให้ง่ายๆ เมนูคือสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศไก่สับ สดายุเองก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำ
ผ่านไปร่วม 40 นาที กฤตเมธยังคงจัดการกับอาหารไม่เสร็จ ไม่ใช่ไม่มีฝีมือหรือมัวแต่เงอะงะ แต่เพราะกำลังใช้ความคิดหัวแทบแตกต่างหากทำให้มือไม้มันช้าเชื่องไปเสียหมด
...แรงไปหรือเปล่านะกับคำถามที่ถามสดายุออกไปเมื่อตอนเย็น…
ทั้ง
‘……..ยุ คุณรักผมจริงๆใช่มั้ย?’
และ
‘คุณ…ไม่ได้กำลังหลอกปั่นหัวคนแก่เล่นใช่มั้ย?’
คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ เพราะมันคงจะรุนแรงต่อหัวใจของสดายุเกินไป กฤตเมธได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขารู้ว่าคำถามลักษณะนี้ไม่ควรหลุดออกจากปากตัวเขาเอง เขาไม่ใช่เด็กน้อย ไม่ใช่วัยรุ่น วัยรักวัยคะนองที่จะต้องมาคอยนั่งนอยด์นั่งกังวลกับความรัก อายุขนาดเขานี่อีกแค่นิดเดียวก็จะเข้าวัยกลางคนอยู่แล้ว ยังจะมาพร่ำเพ้อเรื่องที่กลัวอีกฝ่ายจะรักไม่รัก นั่งกังวลว่าจะโดนปั่นหัว
“เฮ้อ...เรานี่มันบ้าจริงๆ”
พอได้ยืนย้ำคิดย้ำทำกับตัวเองสักพัก กฤตเมธก็เริ่มใจสงบขึ้นหน่อย ชายหนุ่มเริ่มตั้งสมาธิไล่เรียงก่อนหลัง และเหตุผลต่างๆที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ เหตุผลที่เขากับสดายุไปกันถึงไหนเสียที
กฤตเมธถามตัวเองซ้ำๆ ความจริงแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่นะ...
แรกเริ่ม...เขากับสดายุราวกับไม้เบื่อไม้เมา แค่มองหน้าก็แทบจะกระโดดฟัดกันเป็นหมา ทิฐิบางอย่างฝังใจกัดกร่อนให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางลบแบบสุดโต่ง เข้าฉากกันแต่ละทีแทบจะฆ่ากันตายให้ผู้กับกำกับทีมงานต้องอกสั่นขวัญแขวนกันทุกวี่วัน แม้แต่ฉากเลิฟซีนยังดุเดือดจนเลือดตกยางออก กระทั่งเขาถูกขอร้องจากบลูม่าผู้จัดการส่วนตัวของสดายุ ให้ช่วยดูแลสดายุแทนหน่อยจากนั้นก็เล่าปูมหลังของสดายุให้เขาฟังด้วยความไว้วางใจ ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธ และนั่นคงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาเริ่มมองสดายุในอีกมุมมองที่ไม่ใช่ด้านลบ
จากวันนั้น พระเอกเหลวแหลก เด็กโดนสปอยล์ในสายตาของกฤตเมธก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเด็กขี้เหงาที่หัวใจปิดสนิท เด็กที่ไม่คาดหวังความอบอุ่น ความรู้สึกตายด้านอย่างสิ้นเชิง...เด็กที่น่าสงสารที่สุด
เด็กน้อยที่หัวใจบอบช้ำแสนอ่อนแอ แต่กลับมีเปลือกที่แข็งที่สุดในโลก...
ยิ่งได้สัมผัสตัวตนของสดายุ กฤตเมธก็เริ่มประจักษ์ว่าแท้จริงสดายุมีสิ่งให้ค้นหามากกว่าตาเห็น เขาเริ่มรุกอีกฝ่ายเล็กน้อย แค่พอให้สดายุเผยตัวตนออกมาทีละอย่างสองอย่างให้ได้เห็น พระเอกเหลวแหลกในความทรงจำของเขาหายสิ้นไปตั้งแต่ตรงไหนไม่รู้ เพราะพอรู้ตัวอีกที สดายุตรงหน้าเขาก็กลายเป็นแค่ เด็กไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก แสร้งว่าแข็งแกร่งแท้จริงแสนจะอ่อนแอ
...เด็กไม่ดีที่เมาแล้วน่ารักที่สุดในโลก...
คิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกันที่มัลดีฟส์ขึ้นมาหัวใจของกฤตเมธก็พองโต...นี่เขาลืมไปได้ยังไงกันนะ ลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปได้ยังไง...
เขาที่เป็นฝ่ายเริ่มรุก เขาที่เป็นคนเลวลงมือย่ำยีสดายุก่อน เขาที่เป็นฝ่ายอ้อนวอนขอดูแลสดายุโดยไม่มีข้อแม้...
แล้ววันหนึ่งที่สดายุเปิดใจให้ วันที่สดายุยอมรับเขาเข้าไปในชีวิต ให้เขาเป็นคนพิเศษกว่าใคร ให้เขาสัมผัส ให้เขาแตะต้อง ให้เขาได้กอด ได้หอม ได้จูบ เขาเพียงคนเดียวที่สดายุยอมให้เข้าใกล้ ยอมที่จะถูกเขาคนนี้รักอย่างไม่มีเงื่อนไข...
แล้วเขายังจะต้องการอะไรอีก วันนี้ที่เขายังดึงดันเรียกร้อง ยังถือดีที่จะดึงดันตั้งคำถาม เขา...ต้องการอะไร?
‘คำว่ารัก’
‘คำสัญญา’
ยิ่งคิด กฤตเมธก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น พร้อมส่ายหน้าเบาๆ เขามันช่างโลภมาก เขามันช่างกลืนน้ำลายตัวเอง ทั้งที่เคยยืนยันหนักแน่นต่อสดายุเอาไว้ว่าต่อให้ยุไม่รักก็ไม่เป็นไร จะขอดูแลหัวใจไปตลอดแท้ๆ พอถูกฝ่ายนั้นดีด้วยหน่อย ยอมอ้อน ยอมให้ปกป้องดูแลเข้าหน่อย นี่เขาก็เผลอไผล มโนเอาเองว่าได้เป็นผู้ครอบครองสดายุโดยสมบูรณ์แล้วก็เรียกร้องกระจองอแง ขอนู่นขอนี่วุ่นวาย...
ถึงตรงนี้กฤตเมธส่ายหน้ายิก ‘น่าอายจริงๆแฮะเรา’
สปาเก็ตตี้ซอสไก่ในที่สุดก็พร้อมเสริฟ เส้นทีเหลืองอำพันถูกคีบมาวางบนจานด้วยความพิถีพิถัน ตามด้วยซอสมะเขือเทศไก่สับสีแดงชาดที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยราดทับลงไปบนเส้นนุ่มเหนียว จานใบน้อยถูกจัดการสวยงาม กฤตเมธค่อยๆ จัดโต๊ะอาหารด้วยความปราณีต ชายหนุ่มจัดดินเนอร์มื้อเล็กๆนี้ด้วยความตั้งใจ เพราะวันนี้เขาทำตัวเหลวไหล ไม่ได้ความ ไม่เป็นผู้ใหญ่ และที่สำคัญ...
เขาทำให้สดายุผิดหวังทั้งๆที่เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าสดายุจะไม่พอใจ หากเขาต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชิดจันทร์มากเกินกว่าเหตุ เขารู้ดีว่าสดายุ ‘หึง’ ความจริงแล้วตั้งแต่วันที่เขารับปากกับสดายุว่าจะให้สดายุเป็นคนเดียวของหัวใจ เป็นคนสุดท้ายของชีวิต เป็นที่หนึ่งเหนือกว่าทุกคนนั้น เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงการต้องไปไหนมาไหนกับชิดจันทร์โดยตลอด แม้ฝ่ายหญิงจะโทรหา หลายๆครั้งเขาก็ไม่รับสาย ปฏิเสธการชวนเที่ยวหรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เขาละเมิดคำพูดของตัวเอง แต่เพราะวันนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะรถเสน่ห์จันทร์ดันมาเสียอยู่ตรงทางผ่าน จะไม่รับว่าก็คิดว่าดูจะใจร้ายไปหน่อยในฐานะคนที่รู้จักกัน ไม่นึกเลยว่ามันกลับมีแต่ปัญหา ถ้าสดายุคือไฟ ชิดจันทร์ก็คือน้ำมันดีๆนี่เอง...
จริงอยู่ที่คุณเสน่ห์จันทร์เคยฝากฝังชิดจันทร์ไว้กับเขา แต่เขาไม่เคยรู้สึกอะไรกับชิดจันทร์มากไปกว่าคำว่าพี่น้อง ที่ผ่านมาเขายอมตามใจกับหล่อนเพราะเห็นว่าชิดจันทร์ก็ไม่ได้เลวร้ายและหลายๆเรื่องที่ถูกขอร้องให้ช่วยก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบาก
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เขาไม่ได้ตามใจชิดจันทร์เหมือนอย่างเก่า เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เขาควรตามใจใครมากกว่า
จัดโต๊ะไปด้วย คิดเรื่อยเปื่อยไปด้วย แล้วก็พาลนึกไปถึงเรื่องข่าวซุบซิบตามนิตยาสารบันเทิง ที่ข่าวของเขากับชิดจันทร์นั้นขยันลงกันจริง โฆษณากันจังทั้งที่ก็ไม่ได้มีมูลความจริง จนตอนนี้จะเริ่มเข้าข่ายกลายเป็นคู่จิ้นที่ใครๆก็อยากให้คู่กันโดยที่เขาไม่ต้องการเสียแล้ว
คนที่อยากจิ้นด้วยไม่ได้จิ้น แต่คนที่โดนจับมาจิ้นดันไม่ฟินด้วย....
“เฮ้อ...อยากจัดแถลงข่าว...ประกาศให้โลกรู้ แล้วหนีไปอยู่ด้วยกันสองคนให้รู้แล้วรู้รอดจริงวุ้ย” คิดไปคิดมาหลายตลบ ตรรกกะคนแก่ก็เริ่มแตก กฤตเมธถอนหายใจหนักหน่วงพร้อมตัดพ้อต่อโลกออกมาเสียงดัง
หมับ...
“จะหนีไปไหนครับ...”
“ยุ?”
ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเมือ่ถูกจู่โจมจากด้านหลัง แต่เพียงครู่ที่รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอุ่นจัดที่แนบเข้าก็มาทำให้กฤตเมธแย้มยิ้มออกมาได้ การถูกกอดแบบนี้นั้นก็หมายความว่า สดายุของเขาหายงอนแล้ว
อารมณ์ลิงโลดทำให้กฤตเมธรีบเอี้ยวตัวไปคว้าตัวของสดายุที่สิงอยู่ด้านหลังมากอดไว้ในอ้อมอก พร้อมจุมพิตที่กลางกระหม่อมหอมฟุ้งเพราะเพิ่งออกจากห้องน้ำเสียฟอดใหญ่
“หนีตามคุณไปไง วิวาห์เหาะน่ะ รู้จักมั้ยครับยุ?...หึหึ” กฤตเมธตอบออกมาเสียงหวาน พลางแนบแก้มถูกไปถูมาอยู่บนกระหม่อมของสดายุ
“ทำแบบนั้น...เดี๋ยวคุณเสน่ห์จันทร์ก็อกแตกตายพอดี...” น้ำเสียงประชดแผ่วๆอยู่ตรงซอกคอ อู้อี้จนกฤตเมธจับศัพท์ไม่ค่อยได้
“หืม? อะไรนะครับยุ?” กฤตเมธถามซ้ำ
“...คุณ...ไม่กลัวหมดอนาคตเหรอ? วงการนี้มันแรงนะคุณก็รู้ ข่าวว่าคุณแต๊บแตกออกไปเมื่อไหร่นี่...แฟนคลับคุณได้ช็อคตายกันเป็นแถบแน่ๆ”
“แคร์ที่ไหนล่ะ ปูนนี้แล้ว ผมไม่ได้อยากสุกสกาวค้างฟ้าเป็นดาราไปจนตายซะหน่อย สิ่งที่ผมต้องการก็แค่การได้ใช้ชีวิตคู่กับคนที่ผมรักอย่างมีความสุขไปจนตายต่างหาก....จะห่วงก็แต่คุณ...ยุ...คุณยังเด็ก อนาคตในวงการนี้ของคุณยังอีกยาว คุณยังมีโอกาสที่จะส่องประกายได้มากกว่าผม.........”
“ไม่เอาแล้ว....ผมไม่อยากจะเด่นอยากจะดังอะไรอีกแล้ว...ผมเหนื่อยเต็มทีแล้ว...” สดายุกระชับอ้อมกอดของตนเข้ากับตัวกฤตเมธมากขึ้น ดวงตาหม่นเศร้าปิดลงพร้อมกับที่ศีรษะหนักๆของตนซบซุกอยู่กับบ่ากว้าง
“ยุ...” กฤตเมธขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย วันนี้สดายุของเขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้ซุกกายออดอ้อนเขามากกว่าปกติ ทำไมถึงได้ดู...เหนื่อยล้า
“...เมธ...คุณบอกว่าคุณรักผมมากใช่มั้ย?...” เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆสดายุก็เงยหน้าพรวดขึ้นมา แล้วโพล่งถามแบบไม่ให้ตั้งตัว
“ครับ...ผมรักคุณ...รักมากด้วย” กฤตเมธตอบออกไปตามตรง ทั้งที่ยังคงขมวดคิ้วสงสัยว่าเจ้าตัวแสบของเขาจะมาไม้ไหนอีก
“คุณรู้มั้ย...ผู้ชายรักกันมันบาปนะ...สังคมก็ไม่ยอมรับ ถ้าคุณแถลงข่าวเมื่อไหร่ หรือถ้าข่าวที่เราอยู่ด้วยกันหลุดออกไปวันไหน...วันนั้นคงเป็นจุดจบของเส้นทางของเรา...”
“ผมไม่................”
“และคงเป็นวันที่ผมดีใจที่สุด”
“.................................................................” กำลังจะอ้าปากว่า ‘ผมไม่แคร์’ แต่คำพูดสุดท้ายของสดายกับลั่นเข้าหูมาเสียก่อน ‘วันที่เขาแถลงข่าว จะเป็นวันที่สดายุดีใจที่สุด’ สมองของกฤตเมธประมวลผมแทบไม่ทัน เพราะก่อนหน้านี้ สดายุยืนยันแน่นหนัก ว่าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เปิดเผย ไม่ยอมให้เขาต้องแปดเปื้อนไปด้วย แต่คราวนี้กลับ...เปลี่ยนไป...
กฤตเมธจ้องตากับสดายุนิ่งงัน จดจ้องความหมายหลายสิ่งที่ส่งออกมาจากดวงตาคู่โศกคู่นั้น และสิ่งที่เขารับรู้ได้คือ ‘ที่สดายุพูดออกมาทั้งหมดนั้น มันออกมาจากหัวใจจริงๆ’
“เมธ...ผมไม่อยากทำลายคุณ...ผมไม่ต้องการเห็นคุณต้องย่อยยับลงไปพร้อมกับผม...แต่…ผมก็แค่…อยากอยู่กับคุณ...อยากอยู่กับคุณเหลือเกิน” สดายุซบใบหน้าลงกับบ่ากว้างของกฤตเมธอีกครั้ง พร้อมกระชับอ้อมกอด
“เมธครับ...ผมขอโทษ...” เสียงขอโทษแผ่วผิว ทำเอาหัวใจของกฤตเมธที่เต้นรัวอยู่แล้วนั้น ยิ่งระเบิดตูมตามหนัดเข้าไปอีก
“ข...ขอโทษทำไมครับยุ? ยุยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ...”
“ผิดสิ ผมทำผิดที่ผมมีเสน่ห์เกินไปจนทำให้คุณหลงรัก...”
“..............” คำตอบแรก เล่นเอากฤตเมธถึงกับจุก แต่ก็จริงจนเถียงไม่ได้
“กฤตเมธ...คุณรักผมจริงๆใช่มั้ย?” สดายุถามคำถามเดิมออกมาซ้ำอีกรอบ
“รักสิ ผมรักคุณจริงๆ” และถึงจะมึนงงปนสับสน แต่กฤตเมธก็ตอบสดายุออกไปตรงๆเหมือนเดิม ‘หากจะถูกสดายุถามว่ารักหรือเปล่าล่ะก็ ต่อให้ต้องถูกถามสักร้อยสักพันครัง เขาก็จะตอบ’
“...แต่...ผมไม่เชื่อในความรักของคุณหรอกนะกฤตเมธ...”“....................................” คำพูดของสดายุเชือดเฉือนหัวใจของกฤตเมธจนพูดไม่ออก ‘สดายุไม่เชื่อในความรักของเขา’ ทั้งๆที่เขาทุ่มเทให้อีกฝ่ายขนาดนี้ ทำไม?
“...รักแท้...เรื่องบ้าบอแบบนั้น ผมเชื่อไม่ลงหรอก”
“ยุ”
“รักแท้…มันทรยศกันได้อย่างเลือดเย็นเสมอ…รักแท้…มันฆ่าคนให้ตายทั้งเป็นยิ่งกว่ายาพิษ…มันคือความอันตราย และความเลวร้ายของโลก…”
คำพูดของสดายุที่ยังคงก้มหน้าซบอยู่กับอกกฤตเมธนั้น เสียดแทงทะลุร่างของกฤตเมธโดยตรงโดยไม่ต้องใช้อาวุธอื่นใด หากสดายุไม่เชื่อในรักแท้ หากสดายุไม่เชื่อในสิ่งนั้น แล้ว…ความรักที่เขาทุ่มเทให้ล่ะ…
กฤตเมธได้แต่คิดอยู่ในใจอย่างท้อแท้ แต่…ก็ไม่ได้ทำให้หัวใจที่มีแต่ให้ของเขาเลิกรักสดายุไปได้ ทั้งยังไม่ได้คิดโกรธที่สดายุหมางเมิน แต่ยิ่งรักและสงสาร สดายุเจ็บปวดกับคำว่ารักมามากเกินไป เคยถูกคำๆนี้หักหลังมามากเกินไป จนยากจะปักใจยอมรับ เขาเข้าใจดี และยินดียอมรับทุกอย่างที่เป็นสดายุอยู่แล้ว
กฤตเมธกอดสดายุแน่น กอด…ให้อีกฝ่ายได้พอรับรู้ถึงไออุ่น ไม่ได้รัดแน่นจนหายใจไม่ไม่ออก กอดเพื่อถ่ายทอดความห่วงหา กอดเพื่อส่งต่อความรู้สึกรัก ให้สดายุได้สัมผัส แม้เพียงเล็กน้อยก็อยากให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความสวยงามของมันบ้าง…
“….ได้ยินแบบนี้แล้ว คุณยังจะรักผมมั้ย?...” เมื่อถูกกระชับในวงแขนอ่อนโยน สดายุหลับตาซึมซับมันไว้อย่างไม่อิดออด ก่อนจะถามกฤตเมธออกมาอีกครั้ง ถึงคำว่ารักของชายหนุ่ม
“มันไม่เคยเปลี่ยนครับยุ ผมรักคุณ” ครานี้ กฤตเมธยืนยันหนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ สองมือที่ใช้โอบร่างสดายุไว้เมื่อครู่ ยกขึ้นมาตระกองสองแก้มขาว เชยขึ้นมาให้ได้สบตากัน มุ่งมั่นให้สดายุได้เห็นความสัจจริงในดวงตาหน้าต่างของหัวใจของเขา
สดายุยิ้มหวาน จนตาหยีราวกับเด็กๆ สองมืออุ่นยกขึ้นมาจับมือข้างซ้ายของกฤตเมธที่ประทับอยู่ข้างแก้มเอาไว้ พลางตอบออกไปด้วยเสียงแหบหวานทรงเสน่ห์ “ผมก็เหมือนกัน”
จบคำก็มอบจุมพิตบางเบาที่มือของกฤตเมธ จูบเบาๆทว่าเนิ่นนาน จูบเสร็จก็เงยขึ้นสบตากับกฤตเมธแล้วยิ้มให้อีกครั้ง พลางแนบแก้มเข้าที่มือข้างนั้นที่ตัวเองประคองอยู่ราวกับโหยหา
“กฤตเมธครับ…ถึงผมจะไม่เชื่อในรักแท้…”
“แต่ผมเชื่อในคุณครับ”สดายุเอ่ยคำว่าเชื่อมั่นออกมาพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มช้อนตามองคนแก่กว่าที่กำลังทำหน้าทึ่งด้วยความขบขัน
“เชื่อ…ขนาดที่อยากจะฝากทั้งชีวิตที่เหลือของผม…ไว้กับคุณ”
กฤตเมธแทบพูดอะไรไม่ออก คำพูดของสดายุมันยิ่งกว่าคำว่า ‘รัก’ มันยิ่งกว่าคำสวยหรูใดๆ แค่ ‘เชื่อ’ แค่นั้น แค่คำเดียวเท่านั้นมันกลับบันดาลความสุขให้เขามากมายถึงเพียงนี้
ราวกับว่า ‘เปลือกน้ำแข็งที่ห่อหุ้มหัวใจของสดายุเอาไว้’ มันกำลังจะกะเทาะออกมา ‘เพื่อเขา’
‘หัวใจน้ำแข็งดวงนี้จะกลายเป็นของเราแล้วใช่มั้ย’
“ยุครับ”
กฤตเมธตระกองใบหน้าของสดายุขึ้น สบลึกเข้าไปในดวงตานั้นอย่างจริงจัง
‘เขา…ละลายหัวใจนี้…ได้แล้วใช่มั้ย’
“นับตั้งแต่วันที่ผมบอกว่ารักคุณ….ตั้งแต่วันนั้น…ผมก็เป็นของคุณ” กฤตเมธเอ่ยหนักแน่น ดวงตาของชายหนุ่มตอนนี้ราวกับกำลังมีอะไรคลออยู่จางๆ
‘เป็นเจ้าของ…ได้แล้วใช่มั้ย’
“ผมสาบาน ว่าผมจะเป็นของคุณคนเดียว…ชั่วชีวิต”สดายุยิ้มรับคำมั่นของกฤตเมธอย่างเต็มใจ ดวงตาเชื่อมปรอยด้วยความสุขล้น
“เมธครับ…คุณเคยบอกผมว่า ‘ในวันที่ผมพร้อมที่จะรับคุณเป็นคนรัก…พร้อมที่จะทำลายคุณ…ให้ผมเรียกคุณว่า ‘พี่เมธ’ ใช่มั้ยครับ?...” สดายุเอ่ยทวงคำสัญญา
“ครับ…แล้วยุพร้อมหรือยัง?”
ไร้คำตอบใดๆจากสดายุ ชายหนุ่มเพียงแค่อมยิ้มบางๆ ก่อนจะแหงนเงยขึ้นจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มของกฤตเมธแทน จูบนั้นมันหวานลิ้นจนทรมาน ใช่…สดายุไม่ได้มั่นใจหรอกว่าตัวเองจะดูแลหัวใจของใครได้ ไม่ได้มั่นใจหรอกว่าจะสามารถผ่านพ้นทุกอุปสรรคไปได้โดยที่ไม่ทำให้กฤตเมธบาดเจ็บ แต่…เขาไม่อยากฝืนทนอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาไม่ได้ผิด กฤตเมธต่างหากที่เสนอตัวมาให้เขาดูแลเอง คราวนี้เขาจะขอเห็นแก่ตัวบ้าง จะขอเห็นแก่ตัวโดยการยึดดาวค้างฟ้าอย่างกฤตเมธมาเป็นของตัวเองคนเดียว เขามันเป็นคนใจแคบ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่แบ่งปันให้ใครหน้าไหนอีก!!
ในเมื่อวงการที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ จะพรากกฤตเมธไปจากเขา เขาก็พร้อมจะออกจากวงการทันที!!
และแน่นอน…กฤตเมธก้ต้องไปด้วย
ในเมื่อกฤตเมธเองก็ยืนยัน เพราะฉะนั้น เขาควรจะมั่นใจ…สินะ
เขาตัดสินใจ ‘ถูกแล้ว’ ใช่มั้ย?“พี่เมธครับ…เรามา…จมไปด้วยกันนะ”****************************************************************************
หุหุ…หึหึ…อิอิ
เราจะไม่บอกชื่อตอน จนกว่าครึ่งหลังจะมา
ครึ่งหลัง…มาวันศุกร์นะจ๊ะ
