ผมคือ...นางเอก
ซีนที่ 31 เนรคุณ ไม่เกินสิบโมงครึ่งสดายุก็เดินทางมาถึงบริษัทต้นสังกัด ด้านล่างทางเข้ายังคงพลุกพล่านไปด้วยเหล่าทีมงานหลายที่สดายุคุ้นตาบ้างไม่คุ้นบ้างเดินกันอยู่ขวักไขว่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของสดายุมากนัก เพราะความมุ่งมั่นของเขา คือคนที่อยู่ชั้นบนสุดของที่นี่ต่างหาก
ผู้บริหารสูงสุด 'ท่านประธานเสน่ห์จันทร์'
ความจริงกะจะเข้ามาหาบลูม่าก่อน แต่ผู้จัดการสาวใหญ่ของเขาดันออกไปพบลูกค้าข้างนอกพอดี กว่าจะกลับเข้ามาคงอีกพักใหญ่ๆ สดายุเองก็ไม่คิดจะรอ ขอไปเคลียร์กันซึ่งหน้ากับท่านประธานก่อน แล้วค่อยมาว่ากันอีกทีกับบลูม่า
“อ้าว? สดายุ?” ในขณะที่กำลังอยู่ในอารมณ์มุ่งมั่น และกำลังจะกดลิฟท์ จู่ๆก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง ด้วยเสียงที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าที่ควร
“.....................??” สดายุไม่ได้ตอบโต้ในทันที เพราะยังฉงนเล็กน้อยด้วยว่าจำไม่ได้แล้วง่าคนที่เรียกคือใคร
“หวัดดี วันนี้เข้าบริษัทด้วยเหรอ?”
“...อ่า...สวัสดีครับ...คุณ...” ถึงจะถูกถามไถ่อย่างเป็นมิตร แต่สดายุก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าใคร ได้แค่คุ้นๆหน้าเท่านั้น
ชายหนุ่มที่มาทักเขานี่ถ้าจำไม่ผิด เขาอาจเคยเห็นหน้าค่าตาบ้างทางโทรทัศน์ แต่ไม่ยักจำได้ว่าเคยคุ้นเคยหรือไปรู้จักมักจี่กันตอนไหน ดังนั้นสดายุจึงอาศัยช่วงทักทายตอบโต้สังเกตคู่สนทนาใหม่อีกครั้ง ชายหนุ่มตรงหน้าอายุน่าจะพอๆกับเขา ผมขาว...ถึงขาวมาก ขนาดสดายุที่มั่นใจในความขาวของตัวเอง ยังรู้สึกได้เลยว่าคนตรงหน้าสว่างกว่าเขาเยอะ ขาวจนริมฝีปากบางๆนั่นแดงแจ๊ด...ส่วนสูงน่าจะประมาณกฤตเมธ ซึ่งถือได้ว่าตัวใหญ่เลยทีเดียว ดวงตาคมเรียวดูมีเสน่ห์แกมเจ้าเล่ห์นิดๆ (อันนี้สดายุยอมแพ้)ผมหยักศกฟูฟ่อง ลักษณะนิสัยดูเป็นมิตรน่าคบหา...
ทว่า...นี่มันใช่เวลาที่เขาจะมาสนใจคนอื่นมั้ยเนี่ย?
“จำเราไม่ได้แล้วเหรอ? เฮ้ย เสียใจว่ะ” หนุ่มตัวขาวตัดพ้อพร้อมรอยยิ้ม
“อ่า...ขอโทษทีนะ...” แต่ก็ไม่ได้ทำให้สดายุนึกอะไรออก
“หึหึ...เรา ‘ดนัย’ ไง ที่เคยเล่นหนังเรื่อง ‘เรือนแก้ว’ ด้วยกันน่ะ เอ้ย นี่ลืมสนิทเลยจริงๆเหรอ?” ชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าชื่อ ‘ดนัย’ ถึงกับเลิกคิ้วสูงพร้อมขบขันออกมาทันทีที่รู้ว่าสดายุจำตัวเองไม่ได้
“อ๋อ...อ่า พอจะจำได้แล้วล่ะ ขอโทษทีนะ ดนัย” สดายุขมวดคิ้วน้อยๆ เหมือนยังนึกสงสัย แต่ก็เออออ ออกไปเพื่อจะได้จบบทสนทนาเสียที นี่เขาไม่ได้ว่างพอจะมารื้อความหลังเอาตอนนี้หรอกนะ!
“แอ่ะ จำกันจริงเปล่าเนี่ย? ฮะฮะ ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวคุยๆกันไปก็จำได้เองแหละ” ดนัยยิ้มจนตาหยี เป็นมิตรสุดๆ
นั่นสินะสดายุก็เริ่มรู้สึกคุ้นตาขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะทบทวน
“เอ่อ...ขอโทษทีนะดนัย คือผมกำลังรีบน่ะ ขอตัวก่อนนะ”
“อ้าว....”
สดายุเอ่ยขอโทษจบ ก็หันไปกดลิฟท์ที่ลงมารออยู่ก่อนแล้ว เพื่อจากไปแบบไร้เยื่อใยสานต่อ
ติ๊ง...
Going Up…“.............................................”
“โอ๊ะ ขอโทษที เราก็จะขึ้นสำนักงานเหมือนกัน ขอติดไปด้วยคนนะ”
ทันทีที่สดายุก้าวเท้าเข้าลิฟท์ ดนัยก็ตามเข้ามาด้วยติดๆ รอยยิ้มหวานที่ตอนนี้ดูไม่ค่อยจะเข้าตาสดายสักเท่าไหร่ยังคงส่งให้ไม่ขาด
‘เฮ้อ...ไอ้ประหลาดคน’
ติ๊ง...
Thirty two floor…ถึงชั้น 32 ประตูเปิด ดนัยเดินออกไปได้สองก้าวก็ต้องชะงัก แล้วหันกลับมาถามสดายุด้วยท่าทีฉงน “อ้าว? ไม่ออกไปสำนักงานด้วยกันเหรอ?”
สดายุส่งยิ้มน้อยๆให้คนถามก่อนตอบออกไปตามมารยาท “ผมจะไปชั้น 40”
“อื๋อ? ห้องท่านประธานน่ะเหรอ?” ดนัยเลิกคิ้วสูงถามต่อโดยใช้ตัวโตๆของตนขวางประตูลิฟท์เอาไว้ไม่ยอมให้ปิด
“ขอโทษนะผมกำลังรีบ” ถูกตื้อนานเข้าสดายุเริ่มอารมณ์ไม่ดี ‘หมอนี่มันจะอะไรของมันนักหนาวะ!?’ ทั้งๆที่เขาอยากริบไปทำธุระให้เสร็จไวๆ แล้วทำไมต้องมาติดหนึบอยู่กับคนที่เขาไม่ได้รู้จักสนิทสนมด้วยละเนี่ย!!?
“เฮ้ย!?” ทันทีที่สดายุผลักอกอีกฝ่ายให้ออกพ้นประตู ก็เป็นอันต้องสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดเพราะถูกอีกฝ่ายคว้ามือของเขาไว้อย่างถือวิสาสะ
“อย่าเพิ่งฉุนสิยุ เราแค่จะบอกว่า ท่านประธานคงไม่ว่างมั้งตอนนี้”
“ทำไม?” สดายุเสียงกร้าวเล็กน้อย พลางกระชากมือตัวเองกลับมา
ตี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด...เสียงร้องเตือนพร้อมประตูลิฟท์ที่ปิดลงทันทีเพราะหมดเวลารอ ทำให้ดนัยลนลานเข้ามาในลิฟท์อีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มยิ้มแผล่ให้กับสดายุที่ได้แต่ขมวดคิ้วหงุดหงิด
“เอ่อ...โทดทีนะ...เราแค่จะบอกว่า ตอนนี้ท่านประธานน่าจะมีแขกอยู่น่ะ...”
“.....รู้ได้ไง”
“คือ...เมื่อกี้ตอนเราเอาแผนงานขึ้นไปส่งท่านประธานแทนผู้จัดการส่วนตัวของเราน่ะ เราเห็นคุณกฤตเมธเข้ามาคุยกับท่านประธานอยู่ ตอนนี้ก็คงยังอยู่มั้ง ยังไม่ยักเห็นลงไปด้านล่างเลย”
ติ๊ง...
Forty Floor…“อ๊ะ? ยุ? เฮ้ยจะเข้าไปแทรกเลยเหรอ ไม่เวิร์คมั้ง?” ดนัยคว้าสดายุเอาไว้ทันทีที่เห็นว่าเพื่อนนักแสดงเลือดร้อนตรงหน้า วิ่งฝ่าโถงกว้างไปอย่างไม่คิดฟังคำห้ามปราม
“ปล่อย!”
“โอ๊ะ?....เอ้ย...สดายุ!!”
สะบัดทีเดียวหลุด สดายุก็จ้ำห้อตรงไปข้างหน้าจุดหมายคือห้องท่านประธานโดยไม่คิดจะฟังเสียงทัดทานให้ระคายหู อารมณ์นี้ใครห้ามเขาก็ไม่สนแล้ว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า ‘กฤตเมธ’ ก็อยู่ในห้องนั้นด้วย
แกร๊ก!!
“ขออนุญาตครับ!”
ทันทีที่ถึงหน้าประตูบานเขื่อง สดายุก็เปิดเข้าไปทันทีแบบไม่มีการให้สัญญาณใด ทั้งที่มันเคยเป็นห้องที่เขาเคยหวาดหวั่นไม่คิดย่างกราย
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของสดายุคือ เสน่ห์จันทร์ที่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าที่ไม่รับแขกเท่าไหร่ กับกฤตเมธที่ยืนอยู่ฝั่นตรงข้ามที่กำลังแสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กๆ
“...ยุ?”
กฤตเมธเอ่ยเรียกสดายุเบาๆ ชายหนุ่มดูท่าทางจะตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าคนที่ควรนอนพักอยู่ที่คอนโด ดันมาโผล่ที่นี่
“อึ๋ย...ขอโทษครับท่านประธาน คุณกฤตเมธ เดี๋ยวผมพาเขาออกไปก่อนให้นะครับ” ดนัยที่วิ่งตามหลังมาติดๆ เอ่ยขอโทษที่เสียมารยาทแทนสดายุ ก่อนจะเข้ามาคว้าตัวคนสร้างเรื่องไว้แล้วพยายามดึงรั้งออกไปด้วยกัน
“เฮ้ย! ทำอะไรเนี่ย? ปล่อยฉันนะ!” สดายุบ่นอุบ พลางพยายามฝืนกายออกจากอ้อมแขนแข็งแรงที่กำลังจับรั้งต้นแขนทั้งสองข้างของเขาจากด้านหลัง
“อย่าดื้อน่า เดี๋ยวก็เจอดีหรอก บ้าบิ่นเหมือนเดิมเลยนะนายเนี่ย” ทว่าดนัยเองก็ไม่ยอมปล่อย ด้วยความที่ชายหนุ่มตัวโตกว่าสดายุมากนัก จึงทำให้ไม่ว่าสดายุจะดิ้นรนยังไง ดนัยก็ไม่คนามือ
“เดี๋ยว!!”“...........................” เสียงคำรามต่ำของกฤตเมธทำเอาทั้งสดายุและดนัยถึงกับกยุดการเคลื่อนไหวชะงัด
“........................” และยิ่งได้เห็นใบหน้าถมึงทึงตึงเปรี๊ยะของพระเอกเนื้อทองเข้าด้วยแล้ว เล่นเอาดนัยหายใจไม่ออกเลยทีเดียว ผิดกับสดายุที่แค่ขมวดคิ้วขัดใจเท่านั้น
“ปล่อยสดายุเถอะ ดนัย เขามีธุระกับฉัน” ไม่พูดเปล่า มือของกฤตเมธคว้าตัวสดายุเข้ามาโอบไว้ในอ้อมอกด้วยแขนเพียงข้างเดียวทันทีที่แจ้งให้เด็กร่วมสังกัดทราบ ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มรื่นหู
“อ่า...ครับ” ทว่าสายตาอันโหดเหี้ยมที่ส่งมานั้นไม่ได้ทำให้ดนัยรู้สึกดีกับเสียงสบายหูนั่นแต่อย่างใด แค่สบตาประกายไฟก็แล่นปราดเล่นเอาหน้าดนัยชาไปเป็นแถบ หนุ่มหน้าทะเล้นจึงทำได้แค่ถอยไปตั้งหลัก แล้วออกจากห้องไปเงียบๆ ปิดประตูให้เบาๆ
>
<
>
<
ดนัย นักแสดงหนุ่มฝีมือดี ที่เพิ่งจะกลับจากการไปรับงานที่ต่างประเทศมาเป็นเวลาสองปี เขาไม่ค่อยรู้นักว่าในวงการบันเทิงของไทยนั้นใครเป็นอะไรยังไงบ้าง เพราะเพิ่งจะกลับมาได้ไม่ถึงสัปดาห์
ก่อนไปเขารู้ว่าสดายุที่เคยเล่นละครด้วยกันถูกข่าวลือรุมเร้าจนต้องออกจากวงการ ตอนนั้นดนัยรู้สึกเสียดายมาก เพราะโดยส่วนตัวแล้วเขาเองนั้นชื่นชมในฝีมือของสดายุอยู่ไม่น้อย อยากส่งกำลังใจไปช่วยแต่ก็ติดงานต้องไปต่างประเทศเสียก่อน มาวันนี้พอได้เจอสดายุตัวเป็นๆที่บริษัท ดนัยยอมรับตรงๆเลยว่าดีใจสุดๆ สดายุในสายตาของเขายังคงเปล่งประกายเจิดจ้า แม้จะแปลกจากความทรงจำไปหน่อยตรงที่ผอมมาก แต่ก็ผอมแบบดูดี ไม่ขัดตา ออกไปทางน่าทะนุถนอมเสียมากกว่า
ถูกตาต้องใจจนต้องรี่เข้าไปทักทายด้วยว่าทนไม่ไหว ทว่าอีกฝ่ายดันจำเขาไม่ได้เลยแม้สักกระผีก เล่นเอาเสียเส้นไปนิด แต่ไม่เป็นไร เขาเข้าใจอยู่ เพราะตอนนั้นที่เล่นละครด้วยกัน สดายุที่เล่นเป็นพระเอกนั้นกำลังขึ้นหม้อและโด่งดังสุดๆ เทียบกับเขาที่เป็นเพียงเพื่อนพระรองนอกสายตาที่เข้าฉากด้วยกันเพียงไม่กี่ฉากแล้ว ก็ไม่แปลกที่สดายุจะลืม...
“มีธุระอะไรกันน๊า...เฮ้อ ทำโก๊ะซะแล้วเรา” ดนัยได้แต่บ่นกับตัวเอง เกาหัวแกร๊กๆ แล้วเดินลงลิฟท์ไปยังที่ของตน
“เอาไว้ค่อยขอเบอร์คราวหน้าแล้วกันวะ”
>
<
>
<
>
กฤตเมธ มาถึงบริษัท ตอนเก้าโมงสี่สิบ หลังจากที่ตอนแรกเขาตั้งใจแค่จะไปหาอ๊อดที่กองถ่าย จึงโทรเข้าไปนัดอีกฝ่ายก่อนทว่า ข้อมูลที่อ๊อดแจ้งให้ฟังทำให้กฤตเมธต้องเปลี่ยนเส้นทางบึ่งเขาบริษัทก่อน
‘เฮ้ยเมธ มีคำสั่งลงมาจากคุณเสน่ห์จันทร์ว่ะ ว่าให้ลดเวลาพักของไอ้ยุ และการถ่ายทำลง เพื่อจะปล่อยทีเซอร์เดือนหน้า ลองโทรไปเช็คกับไอ้บลูม่าก็ดูเหมือนจะถูกสั่งห้ามรับงาน พี่ว่ามันไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ ไอ้บลูม่ามันก็บอกเดี๋ยวจะลองคุยกับไอ้ยุมันก่อน พี่ว่าเมธก็เถอะ ลองไปเคลียร์กับท่านประธานเธอดูหน่อยแล้วกัน ผลที่มันออกมาแบบนี้ พี่ว่าเหตุก็คงไม่แคล้วไอ้ข่าวที่เคยเกือบหลุดน่ะแหละ...’
ได้ยินดังนั้นกฤตเมธก็ไม่รอช้า เขาเปลี่ยนเส้นทางตรงไปยังบริษัทต้นสังกัดทันที นี่อาจถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเคลียร์บางอย่างกับเสน่ห์จันทร์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีแล้ว
>
<
>
<
>
ติ๊ง!
Forty Floor…>
<
>
<
>
“ขอร้องเถอะครับ ท่านประธาน! ได้โปรดของานให้ผมหน่อยนะครับ!!”ทันทีที่กฤตเมธเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของเสน่ห์จันทร์ น้ำเสียงกระวนกระวายของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
วันนี้กฤตเมธรีบร้อนไปหน่อย จึงทะเล่อทะล่าเข้ามาให้ห้องทำงานส่วนตัวของประธานเสน่ห์จันทร์โดยไม่ได้แจ้งทางเลขาฯให้ทราบก่อน และพอขึ้นมาถึงก็มาเจอเข้ากับเหตุการณ์นี้พอดี
ชายคนที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้าโต๊ะของเสน่ห์จันทร์นั้นไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเขาเข้ามาเป็นส่วนร่วมอยู่ตอนนี้ ยังคงร้องไห้ฟูมฟายอ้อนวอนบางอย่างกับท่านประธานด้วยทีท่าน่าสงสาร
แต่ดูเหมือนเสน่ห์จันทร์จะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก ปล่อยให้อีกฝ่ายเกาะโต๊ะทำงานอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ไล่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง และแม้เสน่ห์จันทร์จะเห็นแล้วว่ากฤตเมธเข้ามาในห้อง หล่อนก็ยังคงนิ่งฟังชายคนนั้นต่อไป
“ท่านประธานครับ ผมขอร้องจริงๆ งานอะไรก็ได้ เล็กน้อยก็เอา ขอให้ผมได้ลับมาทำเถอะนะครับ ผมไม่มีเงินเลย ครอบครัวผมตอนนี้ก็ลำบากมากครับ ซ้ำพรอกับแม้ยังป่วยอีก ผมสิ้นไร้ไม้ตอกแล้วจริงๆครับท่านประธาน เห็นใจผมด้วยเถอะครับ ได้โปรด ผมขอร้อง…”
“หมดตัวเพราะการพนัน จนเจ้าหนี้ตามเรียกถึงกองถ่ายจนเสียงานเสียการมากี่ครั้งกี่หนแล้ว หืม เธอยังมีหน้ามาขอความเห็นใจอีกเหรอ พิมาน?”
“ตอนนั้นผมผิดไปแล้วครับท่าน จากนี้ไปผมจะไม่เล่นพนันอีกแล้ว ผมจะตั้งใจทำงาน ขอร้องล่ะครับ”
“กลับไปซะเถอะ ฉันไม่มีงานอะไรให้เธอทั้งนั้นแหละ”
“ไม่นะครับ โธ่ท่านประธาน ได้โปรด…”
“กลับไปซะ! แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้วนะ”
“ทำไมทีกับไอ้สดายุท่านยังเรียกมันกลับมารับงานได้ แล้วผมล่ะ…” เมื่อโดนไล่อย่างไร้เยื่อใย ชายคนนั้นก็กร้าวเสียงขึ้น ซ้ำยังอ้างไปถึงสดายุที่ถูกเรียกกลับมาทำงาน ทั้งที่ประวัติก็ไม่ได้ดีไปกว่าตน
คำพูดนั้น ทำเอาเสน่ห์จันทร์ถึงกับหัวร่อ พร้อมกล่าวคำเย้ยหยันอย่างที่สุดใส่คนตรงหน้าอย่างไร้ความปรานี “ฉัน…ไม่ชอบทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ เธอก็น่าจะรู้ดีใช่มั้ย ฉันเรียกสดายุกลับมา เพราะเขายังมีค่า…”
“ต่างกับเธอ…ที่ไม่เหลืออะไรประโยชน์อะไรอีกต่อไป”
“….ท่าน…ประธาน………”
“กลับออกไปได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องเสียมารยาท” เสน่ห์จันทร์ออกปากไล่เป็นครั้งสุดท้าย
“……………………..ท่านประธาน….แล้วท่านจะเสียใจ ที่ปฏิเสธผม…” ชายหนุ่มที่ชื่อพิมาน ตัดพ้อเสียงสั่นพร่า ทว่าไม่เป็นผลอะไรกับเสน่ห์จันทร์อีกต่อไปแล้ว
ตี๊ด…
“สุริยาวดี ให้คนขึ้นมาเชิญพิมานออกจากห้องฉันหน่อย เดี๋ยวนี้เลย”
เห็นว่าอีกฝ่ายยังรั้น เสน่ห์จันทร์เลยใช้มาตรการเด็ดขาด ได้ยินดังนั้น พิมาน ก็ไม่รั้งรอให้ถูกจับหิ้ว ชายหนุ่มผลุนผลันออกจากห้องไปทันทีเช่นกัน ตอนที่หันมาเจอกฤตเมธยืนอยู่ฝ่ายนั้นผงะไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใด นอกจากเร่งฝีเท้าก้าวผ่านหน้ากฤตเมธ จ้ำเดินงุดๆออกไป ด้วยสีหน้าเจ็บร้าวระคนเจ็บแค้นชิงชัง…
“ว่าไง เมธ เรื่องที่เธออุตส่าห์มาหาฉันตั้งแต่เช้าแบบนี้ คงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาสินะ” เสียงหวานกังวานน่าเกรงขามของท่านประธานสาวใหญ่ถามไถ่ขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กๆทันทีที่ได้อยู่กันสองต่อสอง
“ขอโทษครับที่ขึ้นมาโดยไม่ได้แจ้งก่อน” กฤตเมธกล่าวขออภัยด้วยความนอบน้อม พลางสืบเท้าเข้าใกล้โต๊ะทำงานที่เสน่ห์จันทร์นั่งรออยู่
“เอ่อ…คนเมื่อกี้นี่ใช่พระเอกที่ถูกปลดกลางอากาศ ตอนก่อนที่ผมจะไปมัลดีฟส์ใช่มั้ยครับ” กฤตเมธถามถึงคนที่จากไปแล้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“ฮึ อย่าไปสนใจเลย ไม่มีประโยชน์ให้ต้องใส่ใจหรอก” ทว่าเสน่ห์จันทร์ก็ไม่ได้สนใจที่จะตอบ
“คุยเรื่องขอเธอมาเถอะ….เรื่องสดายุล่ะสินะ” เสน่ห์จันทร์ลากเข้าเรื่องแบบไม่ต้องจั่วหัวเรื่อง
“ได้ข่าวว่า...ท่านห้ามสดายุรับงานอย่างนั้นเหรอครับ?” และกฤตเมธเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเสน่ห์จันทร์ได้ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นตามตรงไม่มีอ้อมค้อม สายตามุ่งมั่นแน่วแน่ จ้องมองผู้เป็นนายและผู้มีพระคุณอย่างไม่มีลดละ
เสน่ห์จันทร์เพียงแต่ยิ้มให้กับคำถามของกฤตเมธ หล่อนเอนตัวลงไปด้านหลังเพื่อพักลงกับเบาะหนานุ่มของเก้าอี้ระดับผู้บริหารตัวใหญ่มั่นคง เท้าแขนลงบนที่เท้าขาทั้งสองข้างด้วยท่าทีสบายๆ สายตาของหล่อนหลุบต่ำลงเล็กน้อยพร้อมประสานนิ้วมือไว้ระดับหน้าอกราวกับกำลังใช้ความคิด
“เมธ เธอคิดอะไรอยู่...หืม?”
“ครับ?” คำถามแรกที่หลุดออกมาจากปากของเสน่ห์จันทร์ที่นั่งเงียบงันอยู่เนิ่นนาน
"หึหึหึ...แหม แหม...ตอบได้ฉะฉาน ราวกับวัยรุ่นเลยเชียวนะเมธ ป๊อบปี้เลิฟอยู่ล่ะสิ...หึหึ...ไร้เดียงสาจริงเชียว" เสน่ห์จันทร์หัวเราะชอบใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วหันหลังให้กฤตเมธ เดินไปยืนชมวิวของกรุงเทพมหานครตอนสายริมกระจกบางเขื่อง ไร้ความเชื่อมั่นในคำพูดของกฤตเมธอย่างสิ้นเชิง
"คุณเสน่ห์จันทร์........."
"เฮ้อ...เรื่องนี้ฉันคงเป็นคนผิดเองแหละ" เสน่ห์จันทร์ส่ายศีรษะที่มวยผมไว้อย่างสวยงาม มือซ้ายหล่อนยกขึ้นทาบอกราวกับรู้สึกผิดหนักหนา
"ผิดที่ให้เมธไปเล่นหนังเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าอ๊อดอยากได้ และผิดหนักยิ่งกว่านั้นอีกตรงที่...เอาสดายุกลับเข้ามา" เสียงของเสน่ห์จัทร์กร้าวขึ้นเล็กน้อยตอนออกเสียงเรียกชื่อของสดายุ หล่อนปักใจเชื่ออย่างจริงจัง ว่าเรื่องนี้มันเป็นแค่ความรู้สึกฉาบฉวยของคนสองคนเท่านั้น มันไม่มีทางจริงจังไปได้
เพราะหนึ่งคือพระเอกหนุ่มใหญ่ที่ผาดโผนในวงการมานานผ่านสาวน้อยสาวใหญ่มากก็มาก เดิมๆในทุกวันอาจแค่รู้สึกอยากทดลองของแปลกใหม่
และอีกหนึ่ง ก็แค่อดีตพระเอกเสเพล ที่ฟันไม่เลือกสมัยยังโด่งดังเพียงแต่เมื่อก่อนหน้านั้นสนใจแต่ผู้หญิง สงสัยว่าช่วงตกอับคงอดอยากปากแห้ง มาเจอกฤตเมธเข้าเลยไม่คิดจะเลือกมาก แถมยังเป็นประโยชน์สองชั้น เพราะกฤตเมธทั้งดังและมีบารมีในวงการไม่น้อย คว้าเอาไว้ได้ ก็ไม่อดตายอยู่แล้ว...
ไม่ได้จริงจังสินะ
ไม่มีทางจริงจังกันได้อย่างเด็ดขาด........................สินะ"เธอคงแค่หลงไปน่ะกฤตเมธ ฉันว่าเธอเองก็คงรู้ ไม่ว่ายังไงมันก็ไปไม่รอด แค่ชั่วครั้งชั่วคราวฉันจะไม่ถือสา ความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบนี้ฉันหวังว่ามันคงจะจบไปพร้อมกับการถ่ายทำหนังเรื่องนี้นะ ทางที่ดีเธอก็ควรห่างออกมาได้แล้วเมธ ฉันเร่งเวลาการถ่ายทำแล้ว อีกไม่นานก็คงจบ ทำเหมือนที่ผ่านๆมาน่ะแหละ ไม่ยืดเยื้อ...”
“ขอโทษนะครับท่านประธาน”%
%
%
%
%
ต่อด้านล่างจ๊ะ