ผมคือ...นางเอก
ซีนที่ 41 ขอโทษ"เฮ้อ...หนังเรื่องนี้มันอาถรรพ์รึเปล่าวะเนี่ย?"เสียงผู้กำกับวัยกลางคนเปรยบ่นด้วยเสียงระโหย
"อีกไม่กี่ตอนก็จะปิดกล้องแล้วแท้ๆ...จะได้ฉายรึเปล่าน๊า..."
น้ำเสียงเหนื่อยใจยังไหลออกมาเป็นระยะระยะ ท่ามกลางกฤตเมธที่ยืนนิ่งหน้าตาเครียดขึงไม่ต่าง และสดายุที่นั่งกอดอกทอดดวงตามองพื้นครุ่นคิด บรรยากาศระหว่างสามคนดูตึงเครียด จนทีมงานและดาราตัวประกอบรอบข้างได้แต่นั่งลุ้น ตุ้มๆต่อมๆ
"ถึงจะเป็นหนังนอกกระแส แต่ก็เป็นหนังน้ำดี ถ้ามันจะไม่ได้ฉายก็น่าเสียดายไม่น้อยล่ะนะ"
"ขอโทษนะครับพี่อ๊อด ที่มันลงเอยแบบนี้ มันเป็นความเอาแต่ใจของผมเอง ที่ผลีผลามทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน" กฤตเมธเอ่ยขอโทษ เพราะความหุนหันของเขา ทำให้เรื่องราวมันใหญ่โต
หลังจากการแถลงข่าวเมื่อวาน ตั้งแต่ตอนนั้นทั้งโลกโซเชียล ข่าวบันเทิง และสื่อสาขาต่างๆ ล้วนเผยแพร่การแถลงข่าวของเขาอย่างแพร่หลาย แน่นอนว่าเหล่านักเขียนข่าวก็ตีความกันไปหลากหลาย และมันก็ไม่ค่อยจะเป็นไปในทางที่ดีนัก ที่แน่ๆก็มีพูดกันว่ากฤตเมธแตกหักกับเสน่ห์จันทร์ในเรื่องผลประโยชน์ หรือการทำสัญญาค่าตัวที่ไม่ลงตัวนัก หรือมากกว่านั้นก็จะเป็นประเภทที่พูดในเชิง กะแล้วว่าต้องเลิก เพราะชิดจันทร์ยังเด็กเกินไป คงไม่ใช่แนวของพระเอกรุ่นใหญ่ ที่ทนคบมาเพราะต้องการผลประโยชน์จากแม่อย่างเสน่ห์จันทร์ และหรืออื่นๆ มีขนาดที่ว่า กฤตเมธเริ่มระหองระแหง ชิดจันทร์เลยวางแผนรวบรัด ภาพทีโรงแรมเลยหลุดออกมา แต่ฝ่ายชายไม่รับ....
แค่เรื่องนี้ก็คาวคลุ้งไปทั่วอยู่แล้ว ยังมีการขุดคุ้ยประเด็นคนรักคนใหม่อีก ที่เหยี่ยวข่าวแทบจะทุกสำนักพยายามตามกันว่า คนคนนั้นของกฤตเมะคือใคร?
บ้างก็เดาไปว่าเป็นคนนั้นคนนี้
บ้างก็ว่าเป็นน้องใหม่ในวงการอย่าง แตงกวาที่แสดงภาพยนตร์ร่วมกัน แต่ก็มีข่าวแย้งว่า แต่งกวาเป็นกิ๊กอยู่กับสดายุ และหรือ อาจกำลังมีศึกชิงนาง
แต่ก็มีบางข่าวที่วิเคราะห์ใกล้เคียงจนน่าตกใจ แล้วพอดูชื่อนักเขียนคอลัมน์ ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นคนคนเดียวกันกับที่เคยจะลงข่าวเรื่องที่กฤตเมธและสดายุอยู่ด้วยกัน แต่เพราะข่าวนั้นมันถูกสกัดเอาไว้เสียก่อนจึงยังเงียบมาจนตอนนี้ เจ้าของข่าวคงเห็นว่าสบโอกาส จึงกะจะลงข่าวนี้เรียกเรตติ้งใหม่ ทว่าด้วยเพราะไม่แน่ใจในความปลอดภัย เพราะยังไม่มีอะไรการันตีว่ากฤตเมธและเสน่ห์จันทร์แตกคอกันแล้วจริงๆ ทางนั้นจึงแค่ลงเป็นเปรยข่าว ไม่ได้เจาะลึกอย่างที่อยากทำ
แต่เพียงแค่นั้นก็ฮือฮากันไปในกลุ่มที่ได้เห็นได้อ่าน
'แท้จริงกฤตเมธเป็นเกย์' หลายๆคนก็ถึงกับตบเข่าว่า 'กะแล้วเชียว' ผู้ชายอะไรจะดีงามสะอาดหมดจดจากเรื่องผู้หญิงได้ขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นเกย์ แอบซุกหนุ่มนี่เอง
แต่ถึงยังไงแฟนคลับอีกนับร้อยนับพัน ก็ยังคงช่วยกันปกป้อง
ความคลุมเครือเป็นเรื่องโอชะ ที่เหล่าเหยี่ยวข่าวต้องการกัดแทะกลืนกินไปจนถึงรากเหง้า
เรียกร้องว่าตน 'มีสิทธิ์ที่จะรู้' แล้วขุดคุ้ยราวกับสุนัขดมกลิ่น โดยไม่สนว่าเจ้าของเรื่องราวจะต้องการหรือไม่
ยิ่งเน่ายิ่งเหม็นยิ่งน่าค้นหาสำหรับคนเหล่านั้น ที่อ้างว่า เหล่าดาราคือบุคคลสาธารณะ ไม่ว่าจะถูกเปิดโปงอะไรก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่น
เหล่าบุคคลที่ชอบเสพความหายนะของคนอื่นต่างอาหารสามมื้อ...
"เฮ้อ...ไม่มีใครผิดใครถูกหรอกเมธเอ้ย โดนจับเป็นข่าวขนาดนั้น เป็นพี่ พี่ก็ต้องแถลงให้โลกรู้เหมือนกัน ถ้าจะโทษ ก็โทษชะตากรรมเถ๊อะ ที่ทำให้หลายๆอย่างมาเจอกัน ทำให้หลายๆสิ่งมันเกิดขึ้น บางครั้งมนุษย์เราก็ไม่ได้เดินไปบนทางที่ตัวเองเลือกได้ตลอดหรอก เพราะถ้าเลือกได้ขนาดนั้น คงไม่มีใครต้องทุกข์..."
อ๊อดดึงกฤตเมธลงมานั่งข้างกัน ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วเอ่ยปากสอนน้องในฐานะที่ตัวเองผ่านชีวิตมานานกว่า
"ฟังพี่นะ เมธ ยุ พี่รู้ว่าพวกเอ็งคงจะอึดอัด แต่ถ้าอยากจะเปิดตัวกันแล้วจริงๆ พี่ก็อยากให้พวกเอ็งเคลียร์ทุกอย่างให้จบก่อน ถึงตอนนั้นจะได้เปิดตัวกันแบบสวยๆ จบแบบเคลียร์ๆไม่ต้องเสียเวลาขุดคุ้ย ไหนๆก็ตัดสินใจจะออกจากวงการทั้งคู่อยู่แล้ว"
คราวนี้อ๊อดไม่ได้เพ่งเป้าไปที่กฤตเมธคนเดียวอย่างตอนแรก ผู้กำกับหนุ่มใหญ่ค่อยๆจับมือของพระเอกรุ่นน้องทั้งคู่ แล้วเอ่ยปากสอนในฐานะรุ่นพี่ที่อยู่มานาน รู้ดีว่าอาจดูเหมือนจุ้นไม่เข้าเรื่อง แต่ก็อยากจะบอกเล่าเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกับน้องๆที่เขาให้ความเอ็นดู
"จะหาว่าพี่ยุ่งไม่เข้าเรื่องก็ได้นะ แต่พี่อยากจะเตือนเอ็งสองคนหน่อย ช่วงนี้มันยังกรุ่น นักข่าวยังตามกันเป็นเงา ถึงจะระวังยังไงพวกนั้นก็หาช่องเอาจนได้ เผลอแค่นิดเดียวก็เสร็จมันแล้ว ทางที่ดีพี่ว่าช่วงนี้พวกเอ็งแยกกันอยู่ก่อนดีกว่ามั้ย แค่รับส่งน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถึงขนาดขึ้นห้องด้วยกันเนี่ย เดี๋ยวมันจะเป็นประเด็น เชื่อพี่"
คำสั่งสอนตรงไปตรงมาของอ๊อดนั้น กฤตเมธและสดายุ เข้าใจความหมายของมันอย่างดี ไม่รักไม่ห่วงกันจริงคงไม่เตือนกันขนาดนี้ และเขาทั้งคู่รับรู้มันได้ด้วยหัวใจโดยไร้ข้อโต้แย้ง
"ผมก็คิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกันครับพี่อ๊อด จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ ผมคงต้องกลับไปนอนบ้าน..."
กฤตเมธพยักหน้ารับคำ พร้อมรับคำตามที่อ๊อดว่า พลางหันมองหน้าสดายุทียังคงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน
ฝ่ายสดายุที่ยังคงนิ่งงัน ก็ค่อยๆพยักหน้าเบาๆเป็นนัยน์ว่าเห็นด้วย แม้ว่าจะยังหน่วงใจอยู่ไม่น้อย
สดายุ คนอย่างเขาไม่ใช่พวกหนีความจริง ชีวิตผ่านอะไรมามากมายแม้จะเพิ่งผ่านเบญจเพศมาไม่นาน เพราะไม่เคยสนใจอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้สนใจใครเป็นที่ตั้ง ดังนั้นเขาจึงสามารถผ่านช่วงชีวิตในช่วงที่ตกต่ำมาได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนวุ่นวายใจ คิดเพียงอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเกิดไป ขนาดถูกยกเลิกสัญญาจ้าง ถูกออกจากวงการด้วยข่าวเสียหาย ถูกก่นด่าจนตกต่ำ ชีวิตเขายังอยู่ได้ เพราะหัวใจของเขายังเข้มแข็ง...
ไม่สิ...
หัวใจของเขายังเฉยชาต่างหาก...
เฉยชาจนแม้แต่เขาเองก็รู้สึกว่า คงไม่มีอะไรในโลกนี้ทำอะไรเขาได้อีกแล้ว
ทว่าตอนนกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น...
แค่เรื่องเป็นข่าวเล็กน้อย แค่โดนขุดคุ้ย เขาก็เครียดจนแทบบ้า
ยิ่งเห็นว่าคนที่โดนโจมตีหนักตอนนี้เป็นกฤตเมธ ใจของเขายิ่งกังวล ห่วงว่าอีกฝ่ายจะเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวว่าอีกฝ่ายจะถูกสังคมประนาม กลัวว่ากฤตเมธต้องเป็นทุกข์
กลัวในทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด ทุกๆวินาทีนับจากลมหายใจนี้เป็นต้นไป
คนที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจใดๆอย่างเขาตอนนี้...จะปกป้องกฤตเมธได้ไหมนะ
สีหน้าที่แสดงความกังวลชัดเจนของสดายุทำหัวใจของกฤตเมธหน่วงหนักราวถูกบีบรัด ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกุมมือคนรักด้วยความห่วงใย เขาไม่เคยเห็นสดายุเครียดเรื่องอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มแสดงหน้าตากังวลออกมาชัดเจนขนาดนี้มาก่อน
"...ยุ" กฤตเมธเอ่ยชื่อคนรัก ตั้งใจจะปลอบขวัญด้วยหลายล้านความห่วงใยที่อยู่ในอก ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร อีกฝ่ายก็เงยหน้ามาสบตากับเขาเสียก่อน
"เมธ...ผมจะปกป้องคุณให้ได้"
สดายุสบตา พร้อมเอ่ยคำสัญญาแน่นหนัก
"ใครหน้าไหนกล้าว่าร้ายคุณ ผมจะจัดการมันเอง!"
สิ้นคำสดายุ กฤตเมธได้แต่นิ่ง 'กำลังถูกปกป้องอยู่สินะ' คือคำที่ผุดขึ้นในใจของเขาเป็นคำแรก และอานุภาพของมันก็ช่างยิ่งใหญ่มหาศาล เพียงคำเดียวทำใจที่สั่นไหวของเขาให้กลับมามั่นคง พร้อมทั้งยังอุ่นซ่าน แผ่จากอกซ้ายสู่ร่างกายทุกส่วน
'นี่เรา...ถูกรักมากขนาดนี้เลย...สินะ' หวานล้ำยิ่งกว่าน้ำตาลหวานใดในโลก ชนะสิ่งใด ไม่เท่าชนะใจสดายุ ฝ่าฟันกว่าจะได้มา แม้จะเคยลิ้มลองมาหลายคราว แต่ตอนนี้ราวกับได้ตอกย้ำ ว่าหัวใจที่เคยแข็งราวกับเพชรของสดายุนั้น เนื้อในช่างหวานฉ่ำนุ่มนวล
...และกฤตเมธคนนี้ ก็รักสดายุมามากเหลือเกิน เช่นกัน
"...ครับยุ...เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะ"
กฤตเมธรับคำด้วยรอยยิ้มบางเบา พร้อมสายตาที่แสดงถึงความรักล้น มอบแด่คนที่เป็นดังดวงใจ
สดายุยิ้มรับไม่ต่าง สองมือประสานกันนิ่ง สองตาประสานกันนาน พร้อมกับถ้อยคำที่ย้ำชัดอยู่ในหัวใจ
'เราต้องผ่านมันไปได้...'
"แฮ่ม! ตรงนี้ยังเหลือพี่อยู่อีกคนนะครับน้องๆ ทำอะไรคิดถึงใจพี่บ้าง แฟนพี่ไม่อยู่หลายวัน อิจฉาบอกเลย!" หนึ่งคำของอ๊อด ยุติบรรยากาศหวานล้ำทั้งปวงสิ้น...สองหนุ่มแยกย้ายกันนั่งตามเดิม พลางลอบยิ้มเขินๆ
"หนังเรื่องนี้ก็คงถ่ายไปจนจบสินะครับ" พอได้คลายบรรยากาศลงมาได้หน่อย สดายุก็ถามอ๊อดขึ้น เพราะใจของเขาก็กังวลเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย สดายุไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนไปด้วยเพราะพวกเขา ถ้าหนังเรื่องนี้มีอันต้องยุติการถ่ายทำ ไม่มีแม้แต่การถ่ายทำต่อให้จบ คนที่เดือดร้อนมันมีเยอะจนเขาไม่อาจรับผิดชอบไหว ทุกคนจะน่าสงสารเกินไปถ้าต้องติดร่างแหไปด้วยพร้อมพวกตน
"ก็คงงั้นแหละ มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องเข็นกันไปจนจบล่ะ เรื่องฉายก็คงฉายแน่นอนอยู่แล้ว ลงทุนลงแรงไปไม่ใช่น้อย โค้งสุดท้ายแล้วด้วย พวกสปอนเซอร์ไม่ยอมอยู่เฉยแน่ถ้าถูกระงับ แต่จะได้ฉายตามกำหนดไหมนี่มันก็พูดยากว่ะ ต้องคอยดูกันต่อไป"
คำตอบของอ๊อดค่อยทำยุคลายความกังวลลงได้หน่อย ชายหนุ่มถึงกับพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่ได้พาใครจมลงไปกับตนด้วย
"เอ่อ...แล้วทางท่านประธานล่ะครับ เขาว่าไงบ้าง?" พอโล่งใจได้เพียงครู่ สดายุก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าของเรื่องยังอยู่ คนที่ตัดสินใจได้จริงๆแล้วคือเสน่ห์จันทร์ ไม่แน่ว่าทางนั้นอาจตัดสินใจยกเลิกโปรเจ็คหนังเรื่องนี้โดยไม่สนใจว่าใครจะเสียหายก็เป็นได้
"อันนี้ก็ไม่รู้เว้ย ลองโทรไปถามดุที่ออฟฟิสแล้ว แต่เห็นว่าวันนี้ประธานไม่มาทำงานว่ะ แถมไม่ได้แจ้งอะไรไว้ด้วย หายไปเฉยซะอย่างนั้น สงสัยกันว่าหนีนักข่าวน่ะ เพราะคงโดนรุมถามแน่อยู่แล้ว เรื่องจริงของคุณหนูชิดจันทร์กับเมธเนี่ย" อ๊อดตอบออกมาตามสิ่งที่ตัวเองรู้
"...หายไปเลยเหรอ ปกติเสน่ห์จันทร์เขาไม่ใช่คนแบบนั้นนะ เท่าที่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเขากลัวหรือหลบผู้สื่อข่าวเลย" แต่กฤตเมธท้วงขึ้น เพราะเห็นว่าผิดวิสัย
"ใครๆก็ว่างั้นแหละ แต่ในเมื่อจู่ๆหล่อนหายไปทันทีหลังมีข่าว จะให้คิดยังไงล่ะ?"
จากนั้นกฤตเมธกับอ๊อดก็เริ่มถกกันต่อ โดยมีสดายุคิยช่วยเสริมเป็นช่วงๆ
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงพักการถ่ายทำ เพื่อเปลี่ยนฉาก ระหว่างรอทีมงานเซ็ตฉากใหม่ เหล่านักแสดงก็จับกลุ่มคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
"พี่เขาคุยเครียดกันจังแฮะ ปวดท้องแทนเลยเนี่ย" รุจน์บ่นขึ้นมาเบาๆในวงสนทนา สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มของอ๊อด กฤตเมธ และสดายุ ที่ยังคงคุยเครียดกันอยู่
"ก็คงเรื่องข่าวแหละรุจน์ ตอนนี้นะพี่เมธโดนยับเลยอ่ะ พวกนักข่าวนี่ก็ไม่ยอมปรานีกันบ้างเลย" แตงกวาช่วยเสริม ขณะหยิบขนมชูครีมใส้แตกเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
"เฮ้อ จะว่าไปก็สงสารพี่ๆเขาเนอะ บางทีแค่เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ กลับโดนขุดคุ้ยซะใหญ่โต" รุจน์ว่า พลางเอื้อมมือไปหยิบขนมชูครีมจากแตงกวา หมายจะกินเล่นบ้าง
ปริ๊ด!!"!!? เอ้ย!" ทว่ายังไม่ทันจะได้เอาเข้าปาก ชูครีมใส้แตกของแท้ก็ทะลักพรวดออกมาเปรอะเลอะไปหมด
แค่เลอะมือยังพอว่า แต่ลามไปถึงหน้านี่รุจน์ไม่อยากจะเชื่อ ‘แม่ะ...บีบแรงไปหน่อย กระเด็นไกลเชียว’
“อี๋...ทำอะไรของนายเนี่ยรุจน์ อย่างกับเด็กแน่ะ อ่ะทิชชู่!" แตงกวารีบสาวกระดาษทิชชู่ส่งให้คนข้างกายเมื่อเห็นสภาพดูไม่จืดของเพื่อนร่วมวงเข้าแตงกวาก็ได้แต่เวทนา คนอะไรแค่จะกินชูครีมก็เอาซะเละคามือ ไส้ทะลักถึงหน้า ไม่เรียกว่าน่าสงสาร ก็คงต้องบอกสมน้ำหน้าแล้วล่ะ ( -*- )
"เง่อ...ตั้งใจซะที่ไหนล่ะ" รุจน์บ่นอุบ ก่อนจะพยายามเลยครีมที่มือด้วยความเสียดาย
"เลอะขนาดนั้นเดี๋ยวต้องรองพื้นเพิ่มอีกรอบแน่ ไม่ไหวๆ" แตงกวาเองก็บ่นไปหัวเราะขำไป กระทั่งมีผู้ร่วมวงสนทนาที่นั่งเงียบอยู่ตลอดคนหนึ่งขยับตัวทำอะไรสักอย่าง...
และการการะทำนั้น ก็ทำแตงกวาอึ้ง...
ขนาดที่ว่าชูครีมในมือถึงกับหล่นพื้น...แหมะ
แผลบ...
รุจน์ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อถูกคว้าปลายคางจนใบหน้าเงิบไปด้านหลัง และทันใดนั้นก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสเปียกลื่นที่ข้างแก้ม
“กรี๊ดดดด!! พอร์ช! นายทำอะไรรุจน์น่ะ!? อร๊ายยย ขนลุก! ฉันเขินนะ!!” ( >///Q///< ) พอตั้งสติจากภาพตรงหน้าได้ แตงกวาก็ถึงกับกรี๊ดลั่น หน้าแดงมือไม้สั่น
“อะไรของเธอ? ฉันแค่กินครีม” พอร์ชตอบแค่นั้น ก่อนจะหย่อนตัวกลับมานั่งที่เดิมของตัวเอง โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องโหยหวนของแตงกวา และหน้าอึ้งๆของรุจน์
“กินครีม!? บนหน้ารุจน์เนี่ยนะ!!” แตงกวาร้องถามแทบจะเสียงหลง เมื่อได้ยินคำตอบ กับสีหน้าที่ไม่รู้จักสะทกสะท้านใดๆของพอร์ช
“อื้ม ทำไม? แปลตรงไหน?” พอร์ชตอบเนียนๆพร้อมยักไหล่
“ก็แปลกตรงที่นายเลียแก้มรุจน์ไงล่ะ อร๊ายยย เขินจะตายแร้ววว!!!” ทั้งๆที่พยายามเลี่ยงที่จะพูดถึง แต่ก็อดตะโกนออกไปไม่ได้ คำที่ทำให้แตงกวาแทบลงไปดิ้นด้วยความขวยเขิน ก็แหม...เลิฟซีนชายชายเธอเคยเห็นแต่ในบท กับคู่พี่เมธพี่ยุ ไม่นึกว่าเพื่อนนักแสดงรุ่นเดียวกันอีกสองคนที่เธอรู้แค่ว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน หยอกล้อเล่นหัวกันได้อย่าง พอร์ชกับรุจน์ จะมีโมเม้นต์อันตรายแบบนี้ด้วย!
“...ก็แค่เลียแก้ม แปลกตรงไหน” พอร์ชพูดขึ้นยิ้มๆ แล้วเดินออกจากกลุ่มไป เพื่อตั้งสมาธิท่องบทของตัวเอง
“ถ...ถามมาได้ ตาบ้านี่!” แตงกวาได้แต่ด่าตามหลัง ทั้งที่ยังยิ้มค้าง (สารภาพตามตรง ว่าหล่อนชอบบบ!!)
สองหนุ่มสาวยังคงเอะอะมะเทิ่ง ใครๆก็ได้ยิน
ทว่า...ตัวรุจน์นั้น หูดับไปนานแล้ว
‘ไอ้พอร์ช ไอ้บ้า! ไหนว่าไม่รัก ไมมึงมาทำกับกูแบบนี้เนี่ย!!’ ( > ///// < )
“เฮ้ย รุจน์”เอือก!! “อ...อะไร?” กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ดีๆ รุจน์ก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อถูกพอร์ชเรียกมาจากข้างหลัง
“พี่เขาเรียกเข้าฉากแล้ว นั่งเหม่อไมเนี่ย?” ที่แท้พอร์ชก็มาช่วยเรียก หลังหมดเวลาพัก และเริ่มถ่ายฉากต่อไป แต่รุจน์ที่นั่งเหม่ออยุ่กลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
“อ...อ้าวเหรอ? เออๆ ไปแล้วๆ” คนถูกเรียกพยักหน้าหัวสั่นหัวคลอน จนพอร์อดจะรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้
“หึหึ...อย่าเทคมากนักล่ะ เดี๋ยวจะเสียเวลามากเกิน ไป ซ้อมคอนเสิร์ตเย็นนี้ไม่ทัน มึงโดนเฮียป๊อดด่ากระจุยอีก” ว่าพลางใช้มือยีผมเพื่อนรักเบาๆ
“...เออน่า...กูไม่เทคมากนักหรอก...” รุจน์แก้ตัวเสียงอู้อี้
“ก็ดีแล้ว ไปเข้าฉากไป พี่ๆเขารออยู่” พอร์ชรับคำด้วยรอยยิ้ม พร้อมดันหลังเพื่อนให้รีบเดินออกไป
“อืม...พอร์ช...” ตอนแรกรุจน์ก็ว่าจะเดินไปตามที่พอร์ชว่า แต่หัวใจของเขากลับยั้งให้เขาหยุดเดินเสียเฉยๆ แล้วยังบงการให้หันมาพูดอะไรบางอย่างกับพอร์ช...
อะไรบางอย่างที่แม้แต่เขา ยังไม่สามารถเรียบเรียงเป็นคำพูดออกมาตอนนี้ได้
“หืม?” พอร์ชตอบรับ รอฟังว่าเพื่อนจะถามอะไร
“...พอร์ช มึงยัง...ยัง...............” แต่รุจน์กลับพูดมันไม่ออก
“น้องรุจน์คะ พร้อมถ่ายแล้วค่ะ ขอซับหน้านิดนึง”สุดท้ายรุจน์ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ระหว่างซับหน้า ทำเพียงแค่จ้องมองไปยังพอร์ชอย่างมีความหมาย และดูเหมือนพอร์ชเองก็พอจะรู้สึกได้ ถึงสายตาที่ส่งมา เพราะพอร์ชเองก็จ้องกลับ ด้วยสายตาที่ไม่สามารถหยั่งถึง
เพียงครู่ต่อมารุจน์ ก็ต้องเดินตามทีมงานไปเข้าฉาก และในตอนนั้นชายหนุ่มก็ได้แต่คิดอยุ่ในใจถึงสิ่งที่กำลังจะหลุดปากถามออกไปเมื่อครู่...
คำถามไร้สาระที่ว่า...
‘พอร์ช...มึงเคยรู้สึกกับกูเกินเพื่อนบ้างหรือเปล่า?’
‘ตั้งแต่กลับจากมัลดีฟส์มา มึงก็เปลี่ยนไปมากเลยรู้ไหม?...’
‘เดี๋ยวก็ทำเป็นห่างเหิน เดี๋ยวก็เข้ามาใกล้...’
‘การกระทำของมึงทำกูสับสนนะ...’
‘มึงทำให้กูคิดไปเอง...คิดไปไกล จนจะกู่ไม่กลับอยู่แล้วนะเว้ย...’
‘พอร์ช...กูว่า...’‘กูคงรักมึง...จนจะถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว...’*
*
*
*
*
หนึ่งทุ่มครึ่งโดยประมาณ ในที่สุดการถ่ายทำในวันนี้ก็จบลง
เหลืออีกเพียงไม่กี่ฉากกี่ตอน การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘สุดปลายทางของหัวใจ’ ก็จะดำเนินการไปจนสำเร็จเสร็จสิ้นจนปิดกล้องภายในอีกไม่เกินสามสัปดาห์ข้างหน้า เพราะการเร่งถ่ายทำแบบเอาเป็นเอาตายและการคัด ตัดฉากที่ไม่จำเป็นและเยิ่นเย้อออก ทำให้ฉากที่เหลืออยู่นั้นมีน้อยลง และระยะเวลาสั้นขึ้น
“วันนี้ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้นะ ผมว่าจะเข้าไปหาเจ๊บลูที่สำนักงานสักหน่อย เดี๋ยวผมให้เจ๊เขาไปส่ง" สดายุเอ่ยทัดทานขณะที่กฤตเมธทำท่าจะคว้ากระเป๋าใบย่อมของเขาขึ้นรถ
"...เอางั้นเหรอ?" กฤตเมธหันมาถามเพื่อความแน่ใจ ใบหน้าแสดงความเสียดายเล็กๆ
"ครับ คุณกลับบ้านไปก่อนเถอะ ผมนั่งแท็กซี่ต่อไปเอง โทรบอกเจ๊เขาไว้แล้ว...หึหึ...อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ" ก็ว่าจะไม่ขำ แต่สุดท้ายสดายุก็อดไม่ไหว ในเมื่อกฤตเมธไม่ยอมหยุดทำหน้าราวกับเด็กน้อยโดนลงโทษไม่ให้กินขนม ช่างไม่สมกับอายุเอาซะเลยจนสดายุยังอดขำไม่ไหว
"งั้น...ให้ผมไปส่งที่สำนักงานแล้วกันนะ" แม้จะโดนขำใส่ แม้จะถูกไล่ แต่หัวใจของชายหนุ่มกลับยังไม่อยากไปไหนไกลทั้งนั้น อีกนิดเถอะนะ ขอเวลาเขาอีกสักนิด
"ไม่ต้องก็ได้ คุณจะอ้อมไปอ้อมมาทำไมกัน?" แต่คำตอบของสดายุก็ยิ่งทำให้หัวใจกฤตเมธฟีบเหี่ยว ยิ่งเห็นใบหน้ายิ้มแย้มสบายใจ กฤตเมธยิ่งอยากจะแอบน้อยใจให้รู้แล้วรู้รอด
"ขอเวลาผมหน่อยเถอะ ก็ผมยังไม่อยากห่างคุณนี่...นอนด้วยกันทุกวัน จู่ๆต้องนอนหนาวคนเดียวน่ะ คนแก่อย่างผมทรมานนะ" ไม่พูดเปล่า แอบใช้นิ้วเกี่ยวปลายนิ้วสดายุไว้ด้วย ซ้ำยังพยายามช้อนตาอ้อน
"...รุ่นใหญ่ใจเปลี่ยวเหรอคุณ หึหึ ผมก็คิดถึง อยากอยู่กับคุณนานๆเหมือนกันแหละ นอนคนเดียวในห้องนั้นผมก็คงหนาว...แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา ในเมื่อเรายังต้องรักษาระยะปลอดภัย..." สดายุคล้องนิ้วตัวเองเข้ากับนิ้วของกฤตเมธเป็นการตอบสนองสัมผัสอุ่น เสียงแหบหวานเอ่ยอ้อน
สำหรับกฤตเมธน้ำเสียงแบบนี้ของสดายุช่างน่าฟัง...
แต่มัน...ก็แสนเศร้า
"เมธครับ...จนกว่าจะปิดกล้องเรายังได้เจอกันทุกวันที่กองถ่ายนะ วันไหนเลิกเร็วเราค่อยไปกินข้าวกัน ผมว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงจะเคลียร์ได้..." สดายุพยายามคิดในแง่ดี ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกในตอนนี้ ก็ทำได้เพียงกัดฟันทน
"เรื่องนั้นผมรู้ ก็แค่ใจหาย ที่เรื่องมันลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะนิ่งไว้ อยู่กันแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจูงมือกันแถลงข่าวทีเดียวตอนหนังออกโรงแท้ๆ...ผิดแผนไปหมดเลยน๊า"
กฤตเมธเองก็เห็นด้วยทุกอย่างที่สดายุว่ามา ความจริงก็เข้าใจดีอยู่แล้วกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น อยู่กับตัวเอง อยู่ต่อหน้าคนอื่น เขายังคงดูเป็นผู้ใหญ่น่าเชื่อถือ มีหัวคิด แต่พออยู่ต่อหน้าสดายุ เขาดันอ้อนอีกฝ่าย งอแงวุ่นวายจนน่ารำคาญออกไปซะอย่างนั้น ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจเหมือนกัน ว่าทำอะไรช่างไม่สมวัยเอาเสียเลย...
แต่พอเห็นหน้าสดายุทีไร...ก็เผลออ้อนออกไปทุกที
"...ความลับมันไม่มีในโลกจริงๆสินะ...” ฟังกฤตเมธบ่น สดายุก็ได้แต่เปรยกับลมฟ้า พลางเอนกายพิงข้างประตูรถเพื่อพักร่างเมื่อยๆของตน
“มันไม่ใช่ความลับเสียหน่อย...” แต่กฤตเมธไม่ได้เห็นด้วยกับสดายุสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้ พร้อมค่ำแขนข้างหนึ่งข้างกายคนรัก พลางยกนิ้วชี้ขึ้นแนบที่ริมฝีปากสีโอโรสอ่อนๆของสดายุไว้ “แต่มันเป็นเรื่องที่เราแค่ปิดเอาไว้ เพื่อเซอร์ไพรซ์ชาวโลกในอีกไม่กี่วันนี้ต่างหาก”
คำพูดที่มาพร้อมสายตากรุ้มกริ่มของกฤตเมธ ทำสดายุขำออกมาอีกครั้ง “อื้ม...ดูยิ่งใหญ่มากครับคุณพี่...หึหึ”
“แน่นอนสิ ก็พี่อยากคบกับยุแบบเปิดเผยนี่นา อยากจูงมือ อยากกอด อยากทำอะไรตั้งหลายอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่าเราเป็นแฟนกัน เป็นคนรักกัน ให้ทุกคนได้เห็น ไห้ไอ้อิจฉากันเยอะๆ” พอโดนคนรักหยอกเย้ามา กฤตเมธก็ต่อบทด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ทำเป็นทีเล่นทีจริง แต่เนื้อหาที่กล่าวมาไม่ได้คิดเล่นอย่างเนื้อเสียงที่เปล่งออกมา
อยากกอด อยากจูงมือ อยากหยอกเย้ากลางแจ้ง ต่อหน้าสาธารณะชน สิ่งเหล่านั้น กฤตเมธคิดจริงจังอยู่ตลอด ว่าสักวันพวกเขาจะต้องเปิดตัวสู่สังคมให้ได้ แม้ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม
และความหมายในถ้อยคำเหล่านั้นสดายุก็เข้าใจมันดีด้วยเช่นกัน
“........พูดซะผมเคลิ้มเลยครับพี่เมธ หึหึ” ( - ///w/// - ) “ไปส่งผมได้แล้ว เดี๋ยวเจ๊บลูเขารอนาน”
“ครับ ครับ คุณผู้ชายของผม...”
แต่เวลาหวานๆประจำวันของพวกเขาหมดแล้ว จำต้องกลับสู่โลกปกติเสียที ต่อด้านล่างค่ะ