“ถ้าคิดจะตาย ทำไมไม่ตายไปตั้งแต่ยังไม่สร้างเรื่องล่ะ อย่างน้อยจะได้พอเหลือความดีให้คนข้างหลังเขาได้พูดถึงบ้าง ตายตอนนี้จะได้ประโยชน์อะไร ในเมื่อเหลือแต่เรื่องเลวๆเอาไว้ให้เขาด่าตามหลัง ถ้าคิดจะตาย ก็ช่วยทำดีล้างชั่ว ทำคุณล้างโทษก่อนสิเว้ย จะตายทั้งที ก็ตายให้มันมีคุณค่าบ้าง! สมองน่ะ ไม่ได้มีเอาไว้ขั้นใบหูอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ? ถ้าคิดจะตายเป็น ก็ช่วยคิดทำอย่างอื่นด้วย!”
“....ยุ...”
ที่แท้...ไม่ใช่เพียงแค่คำปรามาส แต่มันคือคำเตือนสติด้วย ร่างสั่นเทาของบดินทร์รับรู้ได้ สมองของบดินทร์ก็เหมือนจะกำลังรับรู้ได้
น้ำตายังคงหลั่งไหล แต่ใบหน้ากลับเริ่มมีความหวัง...
สดายุ...ยังคงมองเห็นเขา
“กูถามมึงหน่อยเหอะ เคราะห์กรรมที่มึงเป็นคนสร้าง ทำไมกูต้องรับแทนมึงด้วยวะ? ตั้งแต่เรื่องเพียงดาว บอกว่ายกให้กู มึงเสือกไปทำจนท้อง แล้วมาโบ้ยกู ถามหน่อย กูไม่ใช่พ่อเด็กกูจะรับไหม? ไม่ว่ายังไงค่าก็เท่ากัน มีแต่เสียกับเสีย กูก็เลยไม่รับ...ฉิบหายเลย เป็นไง ถูกเฉดหัวออกจากวงการเฉย ทั้งที่กูไม่ได้ทำอะไรเลย...”
“...ขอโทษ...”
“เดี๋ยว ยังไม่จบ จบจากเรื่องเพียงดาว กูก็ยอมออกจากวงการไปดีๆ ไม่แม้แต่จะถามมึงสักคำ ว่ากูผิดอะไร กูไปทำให้มึงเจ็บช้ำน้ำใจตอนไหน? ทั้งที่กูอยากถามมึงจะแย่ แต่ถ้ามึงไม่พร้อม มึงไม่อยากยุ่งกับกูอีก กูก็พร้อมจะออกมาอย่างที่มึงต้องการ...”
“แต่ขนาดกูจากมาโดยไม่มีเงื่อนไขเหี้ยอะไรกับมึงแล้วนะ มึ๊งก็ยังอุตส่าห์ตามราวีกูอยู่นั่น จะไม่ให้กูลืมตาอ้าปากเลยใช่ไหม กูเคยไปเผาบ้านมึงไว้เหรอ? หรือกูเคยไปฆ่าญาติมึง? ถึงได้จองเวรกูนัก แค่กูกลับเข้าวงการได้ไม่เท่าไหร่ มึงก็ตามเป็นมารผจญกูซะแล้ว ไม่ต้องมาอ้างเลยนะว่าทำไปเพราะจำเป็น เพราะครอบครัว หรือเพราะห่าเหวอะไรของมึงน่ะ ต้องทำตามที่ชิดจันทร์บงการ? แล้วไง? บอกว่าจำใจทำ แต่มึงก็ทำ....”
“ดิน...กูถามจริง มึงเคยคิดว่ากูเป็นเพื่อนบ้างไหม?”
“...ฮึ่ก กูขอโทษ....โฮ....”
สิ้นคำถามของสดายุ บดินทร์ก็ทิ้งร่างลงฟุบหน้าร้องไห้ปริ่มใจจะขาดอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่ได้ร้องไห้เพียงแค่คำตัดพ้อของสดายุ แต่ร้องไห้ เพราะเห็นน้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากดวงตาที่ยังคงแข็งกล้าคู่นั้น
เจ็บไม่แพ้กัน...
เขาสำนึกแล้ว
“....ฮือ....ขอโทษ.....”
บดินทร์ร้องครางอย่างเจ็บปวด สองมือสั่นระริกที่ระยางไปด้วยสายน้ำเกลือค่อยๆขยับไปจับมือของสดายุที่อยู่ตรงหน้า อย่างหน้าไม่อาย เพราะไม่ได้ถูกสะบัดไล่ จึงค่อยๆซบใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงไปแนบ
ผิดไปแล้ว...
ผิดไปแล้ว...ผิด...จนไม่อาจสรรหาคำใดมาขออภัยจากเจ้าของมือคู่นี้ได้เลย
“สมควรแล้วที่มึงจะอิจฉากู...ดิน มึงสงสัยนักหนาใช่ไหมว่าทำไมกูถึงไม่สะทกสะท้านกับอะไรง่ายๆ...แล้วทำไมมึงถึงทำอย่างกูไม่ได้ นั่นก็เพราะมึงมันอ่อนแอไงล่ะ...อ่อนแอ อย่างกับหนอน ไม่สิ...หนอน มันยังรักชีวิต เอามึงไปเทียบกับมันก็สงสารหนอนเปล่าๆ...เพราะมึงอ่อนแอยิ่งกว่านั้น แถมยังไม่มีหัวคิดด้วย มึงเลยเป็นแบบนี้...จำคำกูไว้เลยนะ ถ้าจากนี้ไปมึงยังไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง มึงเตรียมอิจฉากูไปทั้งชาติได้เลย...”
เสียงแหบพร่าก่นด่า ขณะปล่อยให้บดินทร์ซบกายสั่นระริกอยู่กับสองมือ และยอมให้คนที่เขาด่าทอใส่ไม่ยั้งนั้นเคลื่อนกายเข้าโอบเอวบางของตนอย่างง่ายดาย
เกลียด...แต่ก็ยอมให้กอด
โกรธ...แต่ก็เผลอยกมือขึ้นโอบศีรษะของบดินทร์ที่ซบอยู่ตรงหน้าอกเสียแล้ว
“...ทำไมมึงไม่บอกกูสักคำ หือ?...”
สดายุเอ่ยถามทั้งน้ำตา สองแขนสั่นไหวไม่แพ้ร่างในอ้อมกอด ในหัวใจสับสนวุ่นวายราวกับอยู่ในทางวงกต ใจหนึ่งก็ช่างเจ็บแค้น ใจหนึ่งก็แสนคิดถึง ถอยคำที่หลั่งไหลออกมาตอนนี้ทุกอย่างกลั่นออกมาจากใจทั้งสิ้น ไม่มีแล้วซึ่งคำต่อว่า หรืออารมณ์ชิงชัง ทุกอย่างมีเพียงความรู้สึกที่ติดค้างในหัวใจ...
“ถ้ามึงเล่าให้กูฟัง ไม่ว่าเมื่อไหร่กูก็พร้อมจะฟังแท้ๆ...เรื่องเพียงดาวท้องกับมึง แค่มึงบอก...กูก็คงไม่ปฏิเสธมึงแน่ มึงก็รู้...เราเคยเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ...ทั้งๆที่กูรอให้มึงเล่าทุกอย่างให้กูฟังอย่างเคยๆ รอมาตลอด...ทำไม...มึงถึงปล่อยให้มันเป็นแบบนี้...หืม?...”
“...กู...ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ....ฮือ....ยุ...กูขอโทษ...”
มีเพียงเสียงขอโทษแผ่วเบากับอ้อมกอดที่กระชับแน่นเท่านั้นที่แทนทุกความรู้สึกของบดินทร์ออกมา
จากนั้นก็ไม่มีคำใดๆหลุดออกจากทั้งคู่อีก
นอกจากเสียงสะอื้นเบาๆเท่านั้น...
“ดิน...กูอโหสิกรรมให้...เพราะกูจะถือว่าคนที่ชื่อบดินทร์ได้ตายไปจากชีวิตกูไปแล้ว...”
“แต่เรา...”
“คงกลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีก...”
“อย่าร้อง...จากนี้ไปมึงต้องอยู่ให้ได้...กรรมที่มึงสร้างขึ้นมาแล้ว ชดใช้มันซะให้จบ”
“เอาล่ะ...”
“นอนพักซะ...”
*
*
*
*
*
“เรื่องครั้งนี้ เป็นบทเรียนราคาแพงเลยนะ สำหรับบดินทร์”
กฤตเมธเอ่ยขึ้น ขณะยังคงยืนกอดอกพิงกำแพง เสมองไปทางอื่นไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ข้างกายแม้แต่น้อย
“และมันก็เป็นบทเรียนที่มีค่ามากสำหรับนายด้วย ดนัย”
“.............” คำพูดของรุ่นพี่ที่เคารพ ที่วกมาจี้ใจดำทำเอาดนัยพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าที่เครียดเคร่งอยู่แล้วยิ่งตึงเขม็ง ถึงขนาดที่ว่าอยากจะอัดบุหรี่เข้าปอดสักฟอดใหญ่ มือเรียวขาวหยิบบุหรี่ตัวหนึ่งขึ้นมาคีบไว้ในมือ แต่ก็นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าตรงนี้คือโถงหน้าห้องผู้ป่วย การสูบบุหรี่เป็นที่ต้องห้าม ชายหนุ่มชะงักงัน แต่มือที่คีบตัวบุหรี่นั้นยังคงค้างอยู่และเกร็งสั่นน้อยๆ ขนาดที่ว่ากฤตเมธยังรู้สึกได้
และพี่ชายใจดีอย่างเขา ก็ไม่ปล่อยโอกาสสั่งสอนให้หลุดมือ
“อย่างที่พี่เคยบอกนาย จุดยืนของคนเราไม่เท่ากัน อย่างที่แล้วๆมา คนที่นายกำจัดให้พ้นทาง จุดยืนของพวกนั้น อาจเข้มแข็ง อาจมีคนคอยหนุน ถึงจะล้ม ก็ยังอยู่ได้ แต่สำหรับคนบางคนจุดที่เขายืน อาจมีเพียงที่เดียวตรงปากเหวลึก ซ้ำตัวเขาเองยังอ่อนแอ จนแทบจะสิ้นแรงอยู่รอมร่อ เพราะฉะนั้น เพียงแค่โดนลมพัด เขาก็พร้อมจะร่วงหล่นลงเหวนั้นได้โดยง่าย...อย่างเช่นบดินทร์ไง...”
“...ผมไม่นึกว่าเขาจะตัดสินใจแบบนี้...ไม่นึกว่าคนที่หยิ่งผยองอย่างบดินทร์...”
“ดนัย...เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าคนคนนั้นเป็นยังไงแค่การมองหรอกนะ พี่บอกเลย พี่เองก็เคยพลาดมา โชคดีนิดหน่อยที่คนที่พี่ทำพลาด จุดยืนของเขาเข้มแข็งพอ แต่เชื่อเถอะ เรื่องความเลวร้ายที่เราเคยกระทำต่อกัน มันลบล้างกันไม่ได้กับความดีที่เราพยายามทำชดใช้หรอก”
“...หมายถึงสดายุน่ะเหรอ?”
“อือ...พี่กับเขาเริ่มต้นได้ไม่ดีนัก พี่ทำไม่ดีกับยุเขาจนเกินขีดที่คนคนนึงจะให้อภัย กว่าพี่จะง้อเขาได้ใช้เวลาอยู่ตั้งนาน...และกระทั่งตอนนี้ พี่เองยังรู้สึกติดค้างกับยุมากยิ่งพี่รักและห่วงยุมากเท่าไหร่ พี่ยิ่งรู้สึกรังเกียจตัวเองในวันนั้น เคยคิดกระทั่งอยากกลับไปกระทืบตัวเองเสียทีที่ทำระยำขนาดนั้นกับยุได้ลงคอ...ความผิดแบบนี้น่ะ มันติดตัว ต่อให้ไม่มีใครรู้ มันก็จะยังคั่งค้างอยู่ในใจเราอยู่ดี...”
“...พี่...ขืนใจยุเหรอ?”
“...คนกำลังสั่งสอน อย่าย้อนน่า...”
“หึหึ...โอเคๆ..........เรื่องบดินทร์น่ะ...ผมอึ้งมากเลยนะ ที่จู่ๆ...เขาก็ตัดสินใจทำแบบนั้น...พี่เมธ...คนเรา มันคิดสั้นกันง่ายๆขนาดนั้นเลยเหรอพี่? เขาคิดว่าชีวิตที่เขาใช้มาถึงตรงนี้มันคืออะไรวะ?”
“เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่คนว่ะ พอถูกรุมเร้าหนักเข้า บางคนเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะไหวไง...บางครั้งความตายอาจเป็นทางที่สบายที่สุดในสายตาเขาก็ได้”
“...คิดอะไรโง่ๆ”
“นายก็ด้วย”
“.........”
“ดนัย ฟังพี่นะ ตอนนี้นายอาจจะแค่รู้สึกผิด ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้บดินทร์ลงมือทำเรื่องบ้าบิ่นแบบนั้น แต่ในสักวันหากนายรู้สึกรักบดินทร์ขึ้นมา นายจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่านี้...”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกน่า พี่เมธ ผมจะไปรักเขาได้ยังไง?”
“พี่ก็แค่สมมติ...ร้อนตัวทำไม”
“...................”
“พี่ก็แค่พูดไว้ก่อน นายจะได้ทำใจรอไว้ เมื่อวันนั้นมาถึง”
“ทำใจ...ว่าจะรู้สึกผิดไปจนตายน่ะเหรอ?”
“ก็ด้วย แต่อีกเรื่องคือ...ทำใจว่าบดินทร์คงเกลียดนายไปทั้งชีวิตต่างหาก”
“...ก็น่าอยู่หรอก”
“เออสิ ขนาดพี่ที่เป็นคนดีขนาดนี้ ตอนแรกยุยังเกลียดพี่จะตาย ไม่อาศัยลูกตื้อในวันนั้น พี่เองก็คงไม่มีวันนี้ หึหึ”
“...นี่พี่จะเล่าเรื่องตำนานความรักของพี่ให้ผมฟังทำไมเนี่ย?”
“ก็แค่อยากบอก...ให้สำนึกได้แล้วว่า ควรไปขอโทษเขาเสียที”
“...............”
“ไม่ต้องมาทำเงียบ ทำมึน เรื่องที่นายทำมันผิด รู้อยู่แก่ใจ ใช่ไหม?”
“...................ก็รู้...แต่ฝ่ายนั้นก็....”
“ฝ่ายนั้นก็ผิด ใครๆก็รู้ พี่เองก็บันดาลโทสะไปหลายหมัดเหมือนกัน เพราะหน้ามืดที่เขามาทำคนของพี่ ส่วนนายจะเจ็บใจไปด้วยพี่ก็ไม่ว่า แต่สิ่งที่นายทำ มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า? คิดบ้างไหม? พี่รู้ตัวนะ ว่าพี่เองก็มีส่วนผิด เราเจ็บใจ เราเดือดดาลที่เขามาทำคนที่เรารัก เราจึงลงมือทำร้ายเขา แล้วคิดว่ามันคือความยุติธรรม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่พอเขาทำร้ายเราเขาผิด แต่พอเราไปทำร้ายเขาแล้วเราไม่ผิดน่ะ ต่างคนก็ต่างผิดทั้งนั้น...”
“...พี่เมธ โคตรพ่อพระเลยอ่ะ สมฉายาเทพบุตรแห่งวงการสุดๆ”
“หึหึ...ก็ว่าไปตามหลักการแหละนะ เพราะเอาเข้าจริง มนุษย์ไม่มีทางยอมให้ใครมาก้าวก่าย ทำร้ายตัวเองโดยไม่ตอบโต้ได้หรอก เพราะงั้น เลยตื้บไปซะเยอะเลย”
“ฮะ ฮะ..ถามจริง พี่ไม่โกรธเลยเหรอว๊า”
“โกรธสิ เล่นเอาหน้ามืดเลยล่ะ...แต่ถึงตอนนี้ พี่ก็ได้แต่อโหสิกรรมล่ะนะ คนที่มีสิทธิ์เรียกร้องความจริงมันก็ไม่ใช่พี่ สดายุต่างหาก...”
“เฮ้อ...นั่นสินะครับพี่...ผมเอง...ก็คงพลาดไปแล้วจริงๆ...”
เหมือนกับว่าในที่สุดดนัยก็สามารถผ่อนคลายลงได้นิดหน่อย หลังจากได้พูดคุยกับกฤตเมธ พี่ชายที่คอยให้คำปรึกษากับเขามาตลอด แต่ถึงจะคลายความตึงเครียดลงได้แต่ความหน่วงในหัวใจก็ยังคงอยู่ครบถ้วนอยู่ดี
ความคึกคะนองลำพองตนว่าแน่ ผลักดันให้เขาเผลอกระทำเรื่องที่ถือว่าเลวร้ายระดับสุดยอดลงไปซะแล้ว ต่อให้คนที่รับมันคือคนอย่างบดินทร์ แต่ผลมันก็ยังร้ายกาจมากอยู่ดี...พลาดไปซะแล้ว
สภาพของผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ที่ในยามปกติดูองอาจผึ่งผาย ใบหน้าเคล้าด้วยรอยยิ้มแสนกลตลอดเวลา ตอนนี้ กลับดูราวเด็กเล็กที่ทำความผิดมหันต์และรอการลงทัณฑ์จากผู้ปกครอง ใบหน้ายับยู่น่าสงสาร จนกฤตเมธยังอดไม่ได้ที่จะส่งมือไปยีศีรษะที่ก้มต่ำนั้นแรงๆ แทนการปลอบโยนเสียที
“เรื่องมันเกิดไปแล้ว เรากลับไปแก้อะไรมันไม่ได้หรอกนะ หนทางต่อจากนี้ต่างหากที่สำคัญ ว่านายจะเลือกเดินทางไหน”
คำปลอบโยนของพี่ชาย เรียกให้คนก้มหน้าก้มตา ได้เงยขึ้นมามองหน้าเป็นครั้งแรก
“....แล้วผม...ควรทำยังไงดีอ่ะพี่ พูดจริง ตอนนี้นะ ผมตึ่บไปหมด...”
ดนัยเอ่ยถามกฤตเมธด้วยน้ำเสียงเครือพร่า คนอย่างดนัยไม่เคยพลาดขนาดนี้มาก่อน จะทำอะไรวางแผนอย่างดีทุกครั้ง และเหยื่อของเขาแต่ละคน ก็เจียมเนื้อเจียมตัวกันขึ้น ไม่เคยมีใครคิดปลิดชีวิตตัวเองแบบบดินทร์
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น จึงทำให้ดนัยคิดหนัก แน่นอนว่าชายหนุ่มโทษตัวเองทั้ง 100% ว่าเขาเองที่เป็นคนทำให้เรื่องราวมันดำเนินมาในทางที่เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่...
การเป็นต้นเหตุให้ใครสักคนหนึ่งคิดฆ่าตัวตาย มันช่างเลวร้ายจนดนัยคิดไม่ถึง หัวใจของดนัยเจ็บร้าวหน่วงหนัก
ปกติเขาทำเลวร้ายต่อใครหลายๆคนที่เลวร้ายใส่เขากับพวกพ้องก่อน ใช้ศาลเตี้ยตัดสินโทษทัณฑ์คนเหล่านั้นให้สาสมใจ จนอยู่ร่วมสังคม ทนเห็นหน้ากันไม่ได้ รู้สึกสะใจในทุกครั้งที่เห็นคนเหล่านั้นล่มจมไปต่อหน้า
แต่ตอนนี้ เขาไม่รู้เลยว่ากำลังรู้สึกยังไงกับคนในห้องนั้นกันแน่ สงสาร สมเพช เห็นใจ รู้สึกผิด...
ไม่รู้...ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับคนในห้องนั้นต่อไป
ปล่อยทิ้งไว้ เหมือนพวกที่เคยผ่านมือเขาอย่างเคยๆเหรอ?
ไม่...
ไม่รู้ทำไม...
แต่เขารู้สึกว่า...เขาทำไม่ได้
เขาปล่อยบดินทร์ไปตอนนี้ไม่ได้...
“พี่ว่านายมีคำตอบของตัวเองอยู่ในใจแล้วล่ะ”
กฤตเมธพูดออกมาเพียงแค่นั้น ก่อนเอื้อมมือไปตบตรงไหล่ของดนัยเบาๆ เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้คำพูดของตน
“ขอโทษที่ให้รอครับ”
ปล่อยความเงียบปกคลุมบริเวณอยู่ใด้ครู่หนึ่ง สดายุก็เปิดประตูออกมา กฤตเมธกับดนัยถึงกับหันมองเป็นตาเดียว ว่าใบหน้าของสดายุนั้นมีลางดีหรือลางร้าย ทว่า ใบหน้าคมคายนั้นกลับนิ่งสงบ ไม่มีริ้วรอยแห่งความโกรธเกลียดเคียดแค้น ไม่โมโห หรือแม้กระทั่งความยินดี
นิ่งสงบ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้น
แล้ว...ทั้งคู่คุยอะไรกันบ้างนะ?
“กลับกันเถอะครับ เราต้องรีบไปกองถ่ายกันแล้ว เดี๋ยวจะสาย” เห็นว่าสองหนุ่มยังคงนิ่งอึ้งกับท่าทีของตน สดายุก็ได้แต่ยักไหล่ให้ แล้วออกปากเรียกกฤตเมธกลับออกไปด้วยกัน วันนี้พวกเขามีนัดถ่ายฉากเก็บตกช่วงกลางคืนถึงรุ่งสาง แม้สดายุจะเพิ่งฟื้นร่างกายจากยาสลบ แต่ชายหนุ่มก็คิดว่าตัวเองยังพอไหว เลยไม่คิดจะขอหยุดพัก เพราะไม่อยากเป็นภาระให้กองถ่ายต้องรวนไปเพราะตน
“อ่า...เออ พี่กลับก่อนนะดนัย ไว้คุยกันใหม่” ถูกคนรักเรียกตัว กฤตเมธก็ไม่รอช้า เอ่ยลาน้องชายกลับไปก่อน
“ครับ...แล้วเจอกันนะยุ” ดนัยโบกมือลาพี่ชายน้อยๆ โดยไม่ลืมกล่าวลาสดายุด้วย
“อือ...แล้วเจอกัน” สดายุพยักหน้าตอบรับ ยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป พร้อมกับกฤตเมธ
แต่ก่อนที่จะเดินจากไป กฤตเมธได้หันกลับมาพูดสิ่งหนึ่งกับดนัย
“คนเรา...ไม่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตใคร เหมือนกับที่ไม่มีใครมีสิทธิ์ตัดสินชีวิตของเรานะ...จำเหตุการณ์ครั้งนี้ไว้แล้วกัน นายจะได้โตขึ้นเสียที”
“...ขอบคุณครับ...พี่เมธ”
คำสอนสุดท้ายของพี่ชายที่เคารพรัก เป็นไปด้วยความจริง และสัจธรรมของผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่า ทุกคำแนะนำที่เขาได้เคยได้จากกฤตเมธมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการล้วนมีแต่เรื่องดีๆ ที่สามารถทำให้เขายังสามารถเป็นที่รัของคนในวงการต่อไปได้ทั้งนั้น
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
คำสอนของกฤตเมธ จะตราตรึงในหัวใจของเขาไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
*
*
*
*
*
ดนัยเปิดประตูเข้ามาในห้องในที่สุด หลังจากยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงหน้าห้องเนิ่นนาน
ทันทีที่เข้ามาได้คนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ก็ผินหน้ามามองทางเขาเล็กน้อย ใบหน้านั้นซีดขาว แต่ดวงตาแดงช้ำราวกับผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ประกอบกับริมฝีปากและปลายจมูกที่แดงระเรื่อ เป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาเพียงครู่เดียว คนคนนั้นคงจะร้องไห้อย่างหนักอยู่
ดนัยยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู ไม่แม้แต่จะขยับกาย หรือพูดทักอะไรออกไป ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน แต่ดนัยยังคงจดจ้องไปทางร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้นไม่วางตา ใบหน้าราวรูปสลักของผู้จดจ้องไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา ดวงตานั้นหรือก็ว่างเปล่า ไม่หลงเหลือแล้วซึ่งความหยิ่งผยอง หรือกระแสคุกคามที่เจ้าต้วมักแสดงออกทุกครั้งยามสบตา
เนิ่นนานที่ทั้งสองมองหน้ากัน
และสุดท้ายก็เป็นบดินทร์เอง...ที่ละสายตาเบือนหน้ากลับไปในที่สุด
จากนั้นก็หลับตาลง ทิ้งหยาดน้ำหยดสุดท้ายกลิ้งผ่านแก้มสู่หมอนนิ่ม อย่างเงียบงัน
********************************************
ขอโทษที่มาช้านะคะ
ช่วงสิ้นปี งานค่อนข้างหนักค่ะ เรียกได้ว่า เสาร์-อาทิตย์ก็แทบไม่ได้หยุด T^T
ผนวกกับการปลุกปล้ำหนังสือเรื่อง ‘เกลียวบาป’ ด้วย เลยยิ่งทำให้แทบหมดพลังชีวิตกันเลยทีเดียวค่ะ
ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ
ต่อให้คนจะเลวจะชั่วยังไงก็ไม่มีสิทธิ์ไปข่มขืนอย่างนี้อ่ะ
ไม่ค่อยชอบนิยายที่มีฉากประเภทข่มขืนนี่เลยเหมือนเป็นการส่งเสริมการข่มขืนอย่างหนึ่งนะประมาณว่าข่มขืนแล้วได้เป็นพระเอกเดี๋ยวก็แฮปปี้เอ็นดิ้งนางเอกรักไรเนี่ยเหอๆ
ขอโทษนะคะที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึกไม่สบายใจ (T^T) เผลอดำเนินเรื่องมาในทิศทางนี้เสียแล้วคงไม่สามารถกลับลำทันเสียใจนะคะหากต้องทำให้เสียความรู้สึกจนเสียผู้อ่านดีๆไปอีกคนแต่คงต้องแจ้งว่าที่ปูทางมาแนวนี้ก็เพื่อให้ผลมันออกมาอย่างเช่นตอนนี้ค่ะมันอาจดูหนักหนาสาหัสและดูไม่สมเหตุสมผลต้องขออภัยทั้งคุณindy❣zakaและท่านผู้อ่านอีกจำนวนไม่น้อยที่อาจไม่ชอบแนวนี้มากๆด้วยนะคะสิ่งที่คุณindy❣zakaว่ามามันก็เป็นเรื่องจริงที่ทำให้สะอึกจนเขียนต่อไม่ถูกจริงๆนั่นแหละค่ะคงพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าขอโทษจริงๆค่ะ
นิยายเรื่องนี้ช่วงหลังอาจดาร์กไปหน่อยนะคะเนื้อหาอาจดูหนักไปหรืออาจไม่ค่อยสมเหตุสมผลอนาคีต้องขอโทษต่อผู้อ่านทุกท่าน
ที่อาจละเหี่ยใจกับนักเขียนที่เขียนเนื้อเรื่องเอาแต่ใจเหลือเกิน...(T^T)
ไหนๆก็จะจบในไม่ช้าแล้ว...
ได้โปรด...กัดฟันทน...อยู่กันไปจนจบนะคะ
Pleaseeeee….
ขอบคุณที่ยังติดตามนะค๊า
ปล. เพิ่งจะเข้าไปดูผลเซ็งเป็ดมาค่ะ...หลังจากไม่ได้เข้าบอร์ดเสียนาน
ตกใจเล็กน้อยที่น้องชิดจันทร์คนสวยติดโหวตตัวร้าย โอ้ว...นี่นางร้ายขนาดนั้นเลยหรือนี่ อิอิ
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะที่ช่วยร่วมโหวตให้
จนสามารถติดโผเซ็งเป็ดกับเขาได้ ปลื้มปริ่มจริงๆค่ะ
ปล. 2 ช่วงปลายปีงานหลวงอนาคีค่อนข้างยุ่งค่ะบางสัปดาห์เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องทำงานT^T
เลยอาจทำให้การลงแต่ละตอนช้านานเหลือเกินและทำให้แต่ละตอนยาวเป็นวรรคเป็นเวรด้วย
เนื่องจากอนาคีต้องออกนอกพื้นที่บ่อยเลยทำให้ต้องไปเขียนข้างนอกตลอด
แต่ง...แล้วเก็บไว้สะสมไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีโอกาสลงในบอร์ด
ต้องขอโทษจริงๆนะคะอยากมาบ่อยๆเหลือเกินค่ะ
แต่ช่วงนี้โอกาสอาจไม่อำนวยรอกันอีกหน่อยนะคะ
ไม่ได้หายไปไหนนะจ๊ะยังมาลงอยู่เนืองๆค่ะแต่อาจช้าสักหน่อย
ต้องขอโทษไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
อนาคี99
ชี้แจงเรื่องการสั่งซื้อนิยายเรื่องSin spiral_เกลียวบาป“แฝด”