ผมคือ...นางเอก : บทส่งท้ายสุดท้าย (แถม) 9 ก.ย. 59 (P.153)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ผมคือ...นางเอก : บทส่งท้ายสุดท้าย (แถม) 9 ก.ย. 59 (P.153)  (อ่าน 1267669 ครั้ง)

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ผมคือ...นางเอก (17 มีนาคม 2558)
«ตอบ #3570 เมื่อ11-05-2015 08:05:30 »

 :o8: :o8: ดินปรับความเข้าใจกับครอบครัวแล้ว

ออฟไลน์ Paparazzi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1050
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-11
Re: ผมคือ...นางเอก (17 มีนาคม 2558)
«ตอบ #3571 เมื่อ11-05-2015 11:37:30 »

ประกาศตามหาคนเขียน 5555  :hao7: :hao7: :hao7:
คิดถึงแล้ว กลับมาต่อน้าาาาา  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ mizzmizz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 477
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
Re: ผมคือ...นางเอก (17 มีนาคม 2558)
«ตอบ #3572 เมื่อ11-05-2015 19:10:42 »

เป็นอะไรที่ น้ำตาไหลพรากค่ะ ดีใจที่กลับมาต่อนะคะ
ปล. รีบกลับมานะคะ หายไปไหนเอ่ย

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ
ผมคือ...นางเอก



“คัททททททททท!”

“เอาล่ะ พักกอง 15 นาที เดี๋ยวถ่ายเลิฟซีนต่อเลย”

เสียงผู้กำกับมือดีที่แสนคุ้นเคย ยังคงโหวกเหวก ทีมงานยังคงสาละวนตระเตรียมฉากต่างๆ อย่างขมักเข่น การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘สุดปลายทางของหัวใจ’ ในที่สุดก็เข้าใกล้ความสำเร็จไปทุกขณะ  ทั้งเร่งทั้งโหมกันจนขอบตาคล้ำ แต่มันก็คุ้มค่า เพราะอีกเพียงไม่กี่ฉากหนังเรื่องนี้ก็จะจบสมบูรณ์แล้ว

อีกแค่อึดใจเดียว

แต่จบแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ดูเหมือนมันยังเป็นเรื่องที่ยากจะพยากรณ์ เพราะดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะมีอาถรรพ์ไม่น้อย ตั้งแต่เปิดกล้องมา ปัญหาถึงไม่มีไม่หยุดหย่อน

“แหม่ ไอ้นักข่าวพวกนี้นี่วันๆไม่คิดจะทำอย่างอื่นมั่งรึไงวะ เฝ้าอยู่นั่น ไล่แม่งก็ไม่ไป วู้ รำคาญจริง”  อ๊อดบ่นกะปอดกะแปดไม่หยุดมาตั้งแต่เช้า ที่จริงก็ตั้งแต่เมื่อวาน มาแล้ว ที่กองถ่ายของพวกเขาถูกราวีไม่เลิกจากพวกนักข่าวจอมจุ้นวุ่นวาย ข้ามคืนมาจนวันนี้ก็ยังไม่เลิก พร่ำแต่จะขอสัมภาษณ์ สดายุให้ได้ สืบเนื่องจากคลิปที่บดินทร์ปล่อยออกมา เล่นเอาผู้กับกับอารมณ์ร้อนอย่างอ๊อด รู้สึกรำคาญจนแทบจะเข้าไปจกตาพวกนักข่าวแบบเรียงตัว

“ผมขอโทษนะครับพี่อ๊อด ผม...ทำเรื่องให้พี่เดือดร้อนอีกแล้ว” เมื่อเห็นพี่ใหญ่หงุดหงิดงุ่นงานความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นในใจของสดายุเล็กๆแม้เขาจะไม่ใช่คนทำโดยตรงแต่ก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุไม่ผิดแน่

'"เฮ้ยขอโทษทำไมกันยุเราไม่ได้ผิดเสียหน่อยไอ้เจ้าของคลิปต่างหากที่ต้องขอโทษแหม่จู่ๆจะมาเปิดโปงอะไรตอนนี้แถมยังหนีหายเข้ากลีบเมฆราวกับตายทิ้งให้ยุโดนไอ้พวกแร้งนี่รุมทึ้งอยู่คนเดียวฮึ่ย! พูดแล้วขึ้นเจอหน้าพ่อเบิ๊ดหัวทิ่ม" อ๊อดส่ายหน้ายิกพลางปลอบน้องชายตามสไตล์คนปากจัดจ้านมึงมาพาโวยพาลไปหมดยิ่งได้เห็นพวกนักข่าวที่พยายามจะแถกตัวเข้ามาในกองถ่ายหาสดายุให้ได้ทันทีที่เห็นว่าได้พักกองอ๊อดยิ่งหงุดหงิดหนัก

ทว่า พอหันไปเห็นหน้าเจ้าของคำขอโทษ อ๊อดก็ถึงกับผงะ

“ไอ้ยุ นี่เอ็งรู้สึกผิดจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?”

จะไม่ให้ผู้กับกับรุ่นใหญ่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ควรจะตีหน้าเศร้าให้เข้ากับคำขอโทษเมื่อครู่นั้น มันดันยืนอมยิ้มพริ้มเพราอยู่ข้างกันซะได้

“จริงสิครับพี่อ๊อด ยุรู้สึกผิดจนแทบจะร้องไห้อยู่แล้วเนี่ย” พอโดนทักเข้าหน่อย สดายุก็แกล้งปาดน้ำตาป้อยๆ แสร้งว่าสลดเสียใจเป็นหนักหนา เรียกมะเหงกหลุนๆ ของพี่ชายที่แสนเคารพที่ระดมทุบลงมาเสียแทบหลบไม่ทัน

“มะเหงกแน่ะ แล้วนี่ไม่รำคาญบ้างรึไง พวกมาเฝ้าอย่างกับเจ้ากรรมนายเวร”

“เช็คเรตติ้งไงพี่อ๊อด พิสูจน์ได้ชัด ว่ากระแสผมยังแรงอยู่”

“ตลกละแก โดนเฝ้าจนเพี้ยนไปแล้วรึไง?” อ๊อดบ่นหนัก "แค่ไอ้พวกตามเฝ้านี่ก็น่าปวดหัวพอละไอ้คนโดนเฝ้ายังดูรื่นรมย์ซะอีก เฮ้อ” เมื่อเห็นว่าพูดไปก็เท่านั้น เพราะถึงอย่างไร สดายุก็ยังทำหน้าเป็น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด สุดท้ายพี่อ๊อดคนดีของน้องๆ เลยขอล่าถอย เดินดุ่ยๆ หนีสดายุออกไปเพื่อเช็คความพร้อมของฉากที่จะถ่ายต่อแทน

“ขอโทษนะครับพี่อ๊อด...” ลับหลัง ผู้กำกับรุ่นใหญ่ สีหน้าสดายุก็เปลี่ยนไปจากทะเล้น เป็นนิ่งทื่อ แน่นอนว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ แต่ที่ต้องทำเป็นไม่แยแส ก็เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของเขา

ไม่อยากให้ใครต้องรู้สึกลำบาก

“ปากก็บอกว่าไม่สนใจ  แต่คอยห่วงใยไม่ขาดเลยนะ...”

เสียงกระซิบข้างหูทำเอาสะดุ้ง นึกว่าความในใจหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อหันไปเจอหน้ากับต้นตอ ก็ต้องทำหน้ามุ่ยใส่ เพราะเจ้าของข้อความแทงใจไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนรักของเขา...กฤตเมธนั่นเอง

ช่างแสนรู้จนน่าโมโห

“อะไรลุง? ใครห่วงใคร” สดายุแสร้งไม่รู้ความ พร้อมยักไหล่ยียวน

“หึหึ...อย่ามาทำเป็นผู้ร้ายปากแข็ง แค่ผมมองตาคุณก็รู้แล้ว ว่าคุณเป็นห่วงบดินทร์ และโล่งใจที่เห็นนักข่าวทุกสำนักมาคอยตามมะรุมมะตุ้มอยู่กับคุณคนเดียว เพราะหาตัวบดินทร์ที่ถูกดนัยซ่อนไว้ไม่เจอ”  กฤตเมธไม่น้อยหน้า เขายืดตัวเต็มความสูง 192 เซ็นติเมตร เพื่อข่มคนตัวเล็กกว่าให้ได้รู้สึกประหม่า พลางเดินตีวงล้อมรอบตัวคนรักช้าๆ พร้อมกับเปิดเผยความในใจที่สดายุพยายามปกปิด

“แสนรู้จังนะลุง รู้ใจผมดีจนน่าขนลุกเลยนะคร๊าบ”  เมื่อถูกล่วงรู้ความในใจ จนราวกับถูกกฤตเมธมองจนทะลุปรุโปร่ง สดายุก็อดไม่ได้ที่จะแขวะกลับไปเล็กน้อย เป็นคนรักแล้วไง ไม่จำเป็นต้องรู้ทันกันทุกเรื่องก็ได้มั้ง

“เอ้า...ก็ลุงมันแก่แล้ว แค่ความวุ่นวายใจของวัยล่ะอ่อน ทำไมลุงดูไม่ออกล่ะครับ โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของลุงเอง...”  ถูกกวนมา ก็ยียวนกลับ นานแล้วที่เขากับสดายุไม่ได้ลับฝีปากกันขนาดนี้  เพราะโดยส่วนใหญ่ คนแก่กว่าอย่างเขาจะยอมโอนอ่อน ตามใจให้เด็กได้เหลิงบ้างอะไรบ้าง เว้นเสียแต่ครั้งนี้ ที่ต้องขอยกเว้น

“คุณกฤตเมธ” และตามที่คาดไว้ ถ้อยคำกวนประสาทของเขา ก็ทำให้สดายุฉุนขาดจนได้ สุดท้ายกฤตเมธก็ต้องรีบถอนตัวออกจากมาดตัวร้าย กลับสู่พ่อพระเอกใจงาม เป็นคนรักที่แสนดีของสดายุตามเดิม

“อ่ะ อ่ะ ผมขอโทษ....แค่แซวเล่นน่า ขี้งอนไม่เปลี่ยนเลยนะยุ หึหึ” กฤตเมธขอโทษพร้อมกระเซ้าเบาๆ หยุดยืนตรงหน้าสดายุ พร้อมยกมือสองข้างขึ้น เป็นเชิงว่ายอมแพ้ อย่างราบคาบ

“เป็นอะไรของคุณ แหย่ผมอยู่ได้” เห็นว่าอีกฝ่ายเลิกตอแย สดายุก็เลิกตั้งแง่ แล้วเริ่มสนทนาจริงจังกับกฤตเมธ ถึงเหตุผลที่จู่ๆตนก็โดนเย้าแหย่ไม่เลิก

“ก็แค่เป็นตาแก่ขี้น้อยใจ” ทว่าคำตอบที่ได้ กลับไม่ได้จริงจัง ดังที่สดายุตั้งหวัง ร่างบางพรูลมหายใจแรงๆ ทันที งานนี้ได้มีโวยคนแก่โชว์แน่ๆ

“น้อยใจอะไร?”ดังนั้นเสียงแหบหวานจึงกร้าวขึ้นเล็กน้อย และนั่นก็ทำให้ใบหน้ายียวนของกฤตเมธ กระตุกยิ้มร้ายขึ้นทันที

หนุ่มใหญ่แสร้งตีหน้าเศร้า พร้อมขยับกายเข้าใกล้คนรักชนิดที่ว่าลมหายใจแทบจะรดกัน ก่อนจะเอียงใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปกระซิบเบาๆที่ข้างแก้มใสว่า “ก็น้อยใจ...ที่แฟนไปสนใจแต่ชายอื่นมากกว่า...”

คำตอบเล่นเอาสะอึก ขนาดสดายุยังแทบจะขำพรวดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ชายหนุ่มเหลือบสายตามองกฤตเมธที่ยังคงเอียงหน้าใกล้ชิดอยู่ที่เดิม ก่อนจะยิ้มออกมาในที่สุด

“ที่เขาว่ากันว่า คนแก่ขี้ใจน้อยเนี่ย...ก็คงจะจริงสินะครับ...เฮ้อ มีแฟนแก่นี่ ลำบากใจจัง”  สดายุแกล้งกระเซ้ากลับทันที พร้อมรอยยิ้มสดใสน่ามอง ที่ทำให้กฤตเมธแทบจะลืมไปเลย ว่ากำลังแกล้งงอนเจ้าตัวร้ายของตนอยู่

“ก็...ผมหึงคุณนี่” แพ้ทางยิ้มหวานๆนั่นจริงๆ สุดท้าย กฤตเมธก็ได้แต่สารภาพ ออกไปอย่างสิ้นท่า ว่าหัวใจวัยดึกนั้น แท้จริงมันอ่อนไหวง่ายแค่ไหน นิดๆหน่อยๆ ก็พาลจะน้อยใจไปไกลเสียแล้ว

“...หึง? หึหึ...คุณหึงผมกับใครเนี่ย?” ก็พอจะรู้อยู่หรอก ว่ากฤตเมธหมายถึงใคร แต่ก็นะ สดายุขอแกล้งโง่อีกหน่อยแล้วกัน อยากรู้นัก ว่าตาลุงของเขา จะว่ายังไงต่อ

“หัวใจของยุอยู่ที่ใครมากกว่าผม ผมก็หึงคนนั้นแหละ” กฤตเมธก้มลงกระซิบใกล้หูสดายุขึ้นไปอีก ใกล้เสียจนได้กลิ่นหอมจางๆจากพวงแก้มที่เขาเฝ้าหลงใหล  ขนาดที่ว่ากฤตเมธเองยังต้องลอบกลืนน้ำลาย เพื่ออดทนต่อความเย้ายวน.......อยากขย้ำเหลือเกิน

ได้ยินดังนั้น สดายุก็ยิ้มพราว พร้อมเอียงหน้าเข้าหากฤตเมธมากขึ้นราวกับจะยั่วยุ ให้อีกฝ่ายฝังปลายจมูกลงบนแก้มตน “งั้นคุณคงต้องเกลียดคนทั้งโลกแล้วล่ะ” พร้อมกล่าวประโยคแทงใจหยอกเย้า แล้วใช้ปลายจมูกโด่งถูกับปลายจมูกของกฤตเมธอย่างจงใจ

ยั่วยวนให้คนแก่ใจง่ายยิ่งปรารถนาประทับจุมพิตจนแทบคลั่ง

“เฮ้ย ไอ้สองคนนั้นน่ะ ถ้าซ้อมบทกันเสร็จแล้ว ก็รีบมาเตรียมตัวเข้าฉากสุดท้ายกันซะที”

เสียงตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกล พาให้สองดารานำชะงักระฆังอ๊อดช่วยชีวิต

และพอรู้สึกตัวจากภวังค์ที่สร้างขึ้นสองต่อสองเมื่อครู่ ก็ได้รู้ตัวว่ามีสายตานับสิบกำลังจดจ้องมองมายังเขาทั้งคู่ สายตาแห่งความตื่นเต้น เขินอาย และอีกหลากหลายความรู้สึก แต่คงเพราะอ๊อดตะโกนว่า ‘ซ้อมบท’ สายตาคลางแคลงเหล่านั้น จึงคลายระแวงลง หลงเชื่อคำอ๊อดหมดใจ เพราะฉากต่อไป ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับลักษณะท่าทางที่พวกเขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้จริงๆ

สดายุและกฤตเมธผละออกจากกันเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปที่กองถ่าย แล้วแยกกันไปให้ช่างแต่งหน้าช่วยซับหน้าให้ใหม่ ด้วยอาการสงบนิ่ง ราวกับไม่มีเรื่องเมื่อครู่เกิดขึ้น

มืออาชีพเสียอย่าง เรื่องปกปิดตัวตนเป็นคนปกติน่ะ สบายมาก

แม้จะแก้มจะยังคงซับสีเลือดจางๆ แม้ใบหูจะยังคงแดงก่ำ แต่ใบหน้าก็ยังคงนิ่งเป็นรูปสลักสุดหล่อ เช่นเดิม

“อะแฮ่ม...ทำอะไร เกรงใจพี่บ้างเหอะน้องเอ้ย นี่ถ้าหันไปเห็นไม่ทัน มันคงจะเกินซ้อมบทไปไกลเลยสิ นี่ถ้าพี่ไม่ไหวตัวทัน พรุ่งนี้ได้เป็นข่าวอีก ดูโน่น ดูตาไอ้พวกนักข่าวที่เฝ้าอยู่สิ จ้องกันจนลูกตาพวกมันจะถลนออกจากเบ้าอยู่แล้ว เฮ้อ...ระวังตัวกันบ้างเถอะ พ่อคุณเอ้ย”  อ๊อดบ่นไม่หยุด ขณะกำลังเตี๊ยมบทให้สองพระนาง สำหรับฉากสุดท้ายของวัน และเป็นฉากรองสุดท้ายของเรื่อง

พรุ่งนี้จะปิดกล้องแล้ว วันนี้จึงต้องเร่งถ่ายทำ ในส่วนพระนางคู่หลักนั้น ฉากที่กำลังจะถ่ายเป็นฉากสุดท้ายของวันนี้แล้ว นอกจากนั้นจะเป็นในส่วนของ นคินทร์ หมอธเนศ และซอ ซึ่งจะหนักไปที่ ธเนศและซอ ที่เป็นบทของ พอร์ชกับรุจน์เสียมากกว่า กฤตเมธมีส่วนร่วมอีกเพียงเล็กน้อย ส่วนสดายุ เมื่อเสร็จจากฉากนี้แล้วก็จะว่างยาวจนถึงพรุ่งนี้เช้า ไม่มีฉากต้องเข้าอีก  และเพราะเมื่อคืนเขาโหมถ่ายทำจนเกือบสว่าง สดายุจึงตั้งใจว่า หลังจากจบซีนสุดท้าย ก็อยากจะย้ายกายกลับบ้านไปนอนก่อน ว่าจะบอกกฤตเมธ แต่ก็มัวแต่ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง สดายุไหวไหล่เล็กน้อย ไม่เป็นไร เดี๋ยวก่อนไปค่อยบอกก็แล้วกัน

เมื่อเตรียมตัวกันจนพร้อม สองพระนางก็เข้าประจำตำแหน่ง ไฟพร้อม กล้องพร้อม ผู้กำกับพร้อม.....

แอ็คชั่น!!

*
*
*
*
*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2015 12:58:34 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ


Smith & Wesson ขนาด จุด38 ถูกกำกระชับอยู่ในมือชื้นเหงื่อ ผู้เป็นเจ้าของเดินตามหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อในระยะประชิด ยังไม่ได้คิดจะทำลายในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดจะปราณี หากถึงคราวจำเป็น 

ในบ้านที่เคยงดงามราวคฤหาสน์หรู ตอนนี้ทรุดโทรมซอมซอ จนแทบไม่จำภาพลักษณ์เก่าก่อนไม่ได้ ของเลอค่า โซฟา ตู้ไม้ลายทองต่างๆ ไม่มีหลงเหลือให้เห็น วอลเปเปอร์ กระทั่งฝ้าหลังคาก็ดำเขรอะ เต็มไปด้วยฝุ่น และหยากไย่ เกิดอะไรขึ้นบ้าง เสน่ห์จันทร์ไม่คิดจะคาดเดา เพราะดูท่าทาง ก็คงไม่พ้น ถูกผีพนันขนไปบ่อนจนสิ้นทรัพย์แล้ว

‘สมน้ำหน้า’

ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของเสน่ห์จันทร์เพียงชั่วแล่น แต่มันก็สามารถทำให้หล่อนกระตุกยิ้มหยันออกมาได้ บ้านหรูที่เคยขับไล่ไสส่งหล่อนออกไป บ้านที่เป็นดังนรกบนดิน บัดนี้มันสูญสิ้นอำนาจลงแล้ว ไร้ซึ่งบารมี มีค่าไม่ต่างขยะ  อยากเห็นหน้าผู้เป็นเจ้าของเหลือเกิน ว่ามันจะหน้าสมเพชเพียงไหน อยากเห็นใบหน้าไร้ราศีของสมภพเหลือเกิน

อยากเห็นอดีตสามีที่หล่อนเกลียดเข้ากระดูกดำเหลือเกิน

“ไอ้สมภพมันอยู่ไหน? ไปตามมันมาหาฉันหน่อย”

เข้ามาถึงตัวบ้านแล้ว แต่ยังไม่เห็นคนที่อยากเจอที่สุดเสียที น้ำเสียงทรงอำนาจ ของเสน่ห์จันทร์ ก็เร่งเร้ากับทางเจ้าบ้านอีกครั้ง

“ข...เขาออกมาไม่ได้ ค..คุณต้องตามฉันมา”  เจ้าบ้านพูดตะกุกตะกัก หวดกลัวกับสิ่งที่จ่อตามหลังมาเหลือเกิน  สาวใหญ่เนื้อตัวมอมแมม รีบเดินนำเข้าไปที่ห้องหนึ่ง ตัวซีดตัวสั่นรีบเปิดประตูให้ แบบไม่คิดอิดออด

และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเสน่ห์จันทร์ ก็ทำให้หล่อนถึงกับมองค้าง ปืนที่กระชับอยู่ในมือ ลดระดับลงอย่างลืมตัว

ภาพนั้นกระแทกความรู้สึกของเสน่ห์จันทร์เข้าอย่างจัง ภาพของอดีตสามีผู้หยิ่งทะนง โหดร้าย ผู้ชายที่เธอเฝ้ารังเกียจ ผู้ชายที่ฝืนใจหล่อนจนมีลูกด้วยกัน ผู้ชายที่ไม่เคยให้เกียรติ ผู้ชายที่มองหล่อนไร้ค่าราวกับเป็นเพียงเศษดอกไม้ ผู้ชายคนนั้น...

คือคนเดียวกันกับผู้ชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงนี้จริงๆหรือ?

ผิวที่เคยขาวตามเชื้อสายลูกเสี้ยวจีนแผ่นดินใหญ่ ตอนนี้แห้งกร้าน ไม่น่ามอง ใบหน้าคมคาย สายตาคมกล้า ก็โบ๋ลึก เบิกโพลงมองมายังเสน่ห์จันทร์แบบตาไม่กระพริบ รีมฝีปากที่เคยมีสีสันตอนนี้ซีดเผือดแตกระแหง ร่างนั้นซูบผอม จนแทบจะเหลือเพียงโครงกระดูก เสห่ห์จันทร์มองร่างนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา คนคนนี้คือสมภพจริงๆน่ะหรือ

“...สมภพ?” เสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกชื่อชายที่อยู่ในความทรงจำออกมา หากคนตรงหน้าไม่ขานไข ก็แสดงว่าผิดตัว

ร่างตรงหน้าไม่ได้ตอบสิ่งใด มีเพียงรีบฝีปากพะเงิบพะงาบ กับดวงตาที่เบิกกว้างกว่าเก่า  แม้แต่เสียงที่เล็ดรอดออกมา ก็ราวกับเสียงลูกหนูตัวเล็กๆ

“...ข...เขาเป็นอัมพาต...ขยับไม่ได้มาเกือบสิบปีแล้ว...” เห็นว่าเสน่ห์จันทร์นิ่งอึ้งถึงภาพตรงหน้า หญิงที่เป็นเจ้าบ้าน ก็เอ่ยอธิบายเสียงสั่น หล่อนไม่รู้ว่าเสน่ห์จันทร์ต้องการอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเสน่ห์จันทร์เป็นใคร รู้เพียงว่าต้องมีปัญหากับสมภพ สามีของหล่อนไม่ผิดแน่ แต่มันเรื่องอะไรล่ะ หนี้สิน? หรืออะไรกันที่มันหนักหนาเสียจนต้องถึงขนาดเอาปืนมาข่มขู่

“อัมพาต?ทำไม? เขาเป็นแบบนี้ได้ยังไง?” เสน่ห์จันทร์ถามเสียงเรียบ ใบหน้านั้นสงบนิ่งไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ สมเพช เวทนา หรืออย่างไรไม่มีใครหยั่งรู้

 “เส้นเลือด....เส้นเลือดในสมองแตก ผ่าตัดช่วยชีวิตไว้ได้ แต่...ก็ต้องกลายเป็นอัมพาต...ตอนนั้น...” หญิงสาวอธิบายซ้ำ พลางขยับกายเข้าไปใกล้ร่างสั่นเทิ้มของผู้เป็นสามี

“อ้อ...เหรอ กรรมตามทันงั้นสิ” เสน่ห์จันทร์เย้ยขึ้น โดยไม่ยอมฟังจนจบว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ร่างบอบบางสมส่วน ย่างกรายเข้าหา สมภพที่นอนแน่นิ่งบนเตียง

“เพราะแกมักมาก ไม่รู้จักพอไง ถึงได้เป็นแบบนี้” เสน่ห์จันทร์หยุดยืนพอดีอยู่ตรงข้างเตียง แล้วเปิดฉากบริภาษ คนไร้ทางสู้ที่ได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างสาแก่ใจ

“เพราะแกมันชั่ว ขนาดลูกของแกโดนทำร้ายอยู่ในบ้าน แกยังไม่รู้ มัวแต่หลงอยู่กับนังนี่”  ความอัดอั้น ทำให้เสน่ห์จันทร์ไม่คิดจะยั้งวาจาเชือดเฉือน และไม่คิดจะไว้หน้าใครที่ไหนทั้งนั้น

หลังจากที่มีปากเสียงกับชิดจันทร์วันนั้น หล่อนก็แทบไร้เรี่ยวแรงจะทำอะไร ไม่ไปทำงานทำการ เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ดื่มสุราเมามาย ข้าวปลาก็แทบไม่แตะต้อง ถ้าไม่ได้เลขากับแม่บ้านช่วยคะยั้นคะยอ จนป่านนี้ ข้าวสักเม็ด ก็คงไม่ตกถึงท้อง ความเจ็บปวดโศกเศร้ารุมเร้า คิดพาลไปถึงอดีตที่ผ่านมา หลังจากสูญเสียคนรักและลูกคนแรกไป ชีวิตหล่อนก็ราวตกอยู่ในนรกตลอดมา โดยเฉพาะการแต่งงานกับสมภพ ถูกข่มขืนจนตั้งท้องกับคนที่หล่อนรังเกียจที่สุดในชีวิต แม้หลังจากที่หล่อนท้องแล้ว จะต่างคนต่างอยู่ เพราะสมภพมีภรรยาใหม่แต่การอยู่ในตระกูลผู้ดีจอมปลอมของสมภพนั้นก็ทำให้หล่อนรู้สึกเลวร้ายไม่ต่างกัน

แต่แม้จะเกลียดตระกูลและตัวสมภพมากแค่ไหน หล่อนก็ไม่เคยนึกรังเกียจ ‘ชิดจันทร์’ ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหล่อนเลยแม้แต่นิด กลับรักมากยิ่งกว่ามากเสียด้วยซ้ำ เพราะชิดจันทร์ ถือเป็นสิ่งเดียวที่หล่อนเหลืออยู่ ถึงแม้สุดท้าย สิ่งนั้นจะถูกแย่งไปจากอก โดยแม่สามีที่หล่อนชิงชังก็ตาม

ชิดจันทร์เกลียดแม่อย่างหล่อน เสน่ห์จันทร์รู้ดี ตั้งแต่ที่ยังอาศัยอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน ชิดจันทร์ถูกปลูกฝังให้เกลียดแม้แท้ๆอย่างเสน่ห์จันทร์มาตลอด แม้จะเจ็บปวด แต่ในเมื่อคุณย่าผู้เลี้ยงดูนั้นรักชิดจันทร์มาก ดูแลปกป้องเป็นอย่างดี เสน่ห์จันทร์ก็วางใจพอที่จะจากมา หล่อนไม่อยากเอาลูกออกมาลำบากด้วยกัน เพราะอยู่ในบ้านนั้นชิดจันทร์ก็ดูสุขสบายดีอยู่แล้ว 

หล่อนอุตส่าห์ตัดใจทิ้งลูกมา ด้วยเห็นว่าที่บ้านนี้จะมอบความสุขสบายและความก้าวหน้าให้กับลูกสาวของหล่อนได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง อุตส่าห์ฝากฝังและคาดหวัง ว่าคนเป็นย่า และพ่อแท้ๆของชิดจันทร์จะไม่ทอดทิ้ง ทั้งที่อุตส่าห์วางใจ แล้วทำไม...

ยิ่งคิดยิ่งเคืองแค้นแสนสาหัส ตัดสินแล้วว่า คนผิดคือสมภพ พ่อชั่วช้าที่ปล่อยปละให้ลูกน้อยต้องตกอยู่ในนรกเลวร้าย เพราะมันคนเดียว เพราะสมภพคนเดียว!!

“แกต้องชดใช้ สมภพ! แกต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำกับลูก!”

เสน่ห์จันทร์ตวาดลั่น เสียงแหลมสั่นก้าวร้าว แววตาดุดันไม่เหลือความเมตตาแม้ว่าคนที่หล่อนหันปลายกระบอกปืนใส่จะเป็นคนพิกลพิการอัมพาตไร้ทางต่อสู้

เสียงกริ๊กดังขึ้นคล้ายสลักปืนถูกปลด พร้อมกับเสียงกรีดร้องลนลานของหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างร่างสั่นเทาของสมภพ

“แกมันเป็นพ่อใจทรามสักแต่จะเอา!วันๆหลงอยู่แต่กับผู้หญิงไม่เคยโงหัวขึ้นมาดูเลยว่าลูกตัวเองถูกรังแกถูกทำร้ายแกมันเลวยิ่งกว่าหมาลูกคนเดียวแกยังปกป้องไม่ได้สักแต่จะทำให้เกิดไม่เคยคิดดูแลแกมันไม่สมควรเป็นพ่อคนไม่สมควรมีชีวิตอยู่!” เสน่ห์จันทร์ด่าทอเสียงดังพร้อมสืบเท้าเข้าใกล้สองร่างตรงหน้าอย่างมุ่งร้าย

“กรี๊ดดด....อย อย่าทำเขา! ได้โปรด อย่าทำเขา ฮือ....”เมื่อเสน่ห์จันทร์รุดเข้าใกล้จนเริ่มได้กลิ่นลางมรณะหญิงสาวเจ้าบ้านก็ผวากอดร่างสามีของตัวเองเอาไว้แน่นหวังให้คนที่รักปลอดภัยจากคมกระสุนที่อาจลั่นมาจากมือของผู้มุ่งร้าย  “อย่าทำเขาฮืออย่าทำเขา” หากแต่หล่อนทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากร่ำไห้อ้อนวอน

“ฮึไม่ต้องกลัวหรอกเดี๋ยวแกก็ตามมันไปฉันไม่ใจร้ายพรากผัวพรากเมียใครหรอกถ้าคนนึงต้องตายฉันก็จะสงเคราะห์ให้ได้ไปด้วยกันอยู่แล้วล่ะ” เสน่ห์จันทร์แสยะยิ้ม ขณะที่ปลายปืนจ่อประชิดศีรษะของหญิงคนนั้น  “พี่น้องชั่วๆของแกอยู่ไหน? พี่น้องของแกที่ทำร้ายลูกสาวฉันอยู่ไหน!? เรียกมันออกมาหาฉันสิ"พร้อมก้มลงใกล้ แล้วถามหาคนที่หล่อนต้องการฆ่าที่สุด

“พ...พวกมัน....ตายแล้ว”เมื่อถูกถามก็ตอบออกไปตรงๆ ตามประสาคนซื่อ แท้จริงแล้วผู้หญิงปอนๆคนนี้ไม่ได้มีพิษสงใดๆ แค่แสร้งทำเป็นเสียงดัง เพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น ซึ่งเสน่ห์จันทร์ไม่รับรู้ในจุดนี้ เพราะฉะนั้น ถึงได้แสดงการข่มขู่ให้ได้ยิ่งกลัวหัวหด

“โกหก!” เสียงทรงอำนาจตวาดก้อง เสน่ห์จันทร์ไม่มีวันเชื่อกับคำตอบที่ได้ฟัง ตาย? ทั้งสองคนเลยน่ะเหรอ? ไม่มีทางเป็นไปได้ ผู้หญิงคนนี้กำลังหลอกหล่อน เพื่อช่วยพี่น้องของตัวเอง หล่อนไม่มีทางหลงกลเด็ดขาด คิดดังนั้น ปลายกระบอกปืนก็กดหนักเข้าที่ขมับชื้นเหงื่อของหญิงตรงหน้า เพื่อคาดคั้นความจริงออกมาให้ได้

“จริงๆ มันสองคนตายแล้วจริงๆ หลังจากชิดจันทร์หนีออกจากบ้านไปไม่นาน ก็มีพวกมาเฟียที่ไหนไม่รู้ ตามมาฆ่าพวกมันถึงที่นี่  พวกมันถูกยิงตาย ต่อหน้าต่อตาฉันเลย....”  คนถูกปืนจ่อขมับละล่ำละลักอธิบายเสียงสั่น หล่อนยังไม่อยากตาย ดังนั้นอะไรที่หล่อนรู้ หล่อนจะพูดมันออกมาให้หมด  “ม...มาเฟียพวกนั้น มากับ...ชิดจันทร์...”

“ว่ายังไงนะ? แกอย่ามาสร้างเรื่องหลอกฉันนะ!!”  เสน่ห์จันทร์ แทบไม่เชื่อหูตัวเองจากสิ่งที่ได้ยิน หล่อนถามย้ำ เพื่อคาดคั้นคนเลวที่ใส่ร้ายลูกเธอ

“ฉันพูดจริง! ชิดจันทร์พาพวกนั้นมาฆ่าพี่ชายน้องชายฉันจริงๆ ซ้ำยังทำลายบ้านหลังนี้เสียจนย่อยยับ พวกมันมากันเป็นสิบ แค่พริบตาเดียวบ้านหลังนี้ก็ไม่เหลือเค้าเดิม พี่ภพทั้งตกใจทั้งเครียด จนเส้นเลือดในสมองแตก แต่ขนาดพ่อตัวเอง ล้มลงตรงหน้า ชิดจันทร์ยังไม่แยแสเลย หน้าตาเย็นชา แล้วทิ้งร่างพี่ภพไว้ตรงนั้น ไม่สนใจว่าจะเป็นจะตาย......ทำอย่างกับไม่ใช่พ่อ........”

“หุบปาก!! อย่ามาว่าลูกฉันนะ!!”

“กรี๊ดดด!!!”

เมื่อทนฟังต่อไปไม่ไหว ด้วยความบัลดาลโทสะ เสน่ห์จันทร์จึงใช้ด้ามปืนในมือตบหน้าคนเล่าไปเต็มฉาด ก่อนจะจิกศีรษะยุ่งเหยิงนั้นให้เงยขึ้นมารับฟังคำปรามาส

“ลูกสาวฉันไม่ใช่คนอย่างที่แกกล่าวหา หรือถ้าจะเป็น ก็เพราะพ่อมันชั่ว มันสมควรโดน! ถ้าแกยังปากพล่อยไม่เลิก ฉันจะเอาลูกปืนกรอกปากแกซะ!!”  เสน่ห์จันทร์ตวาดกร้าว มือที่จิกศีรษะอีกฝ่ายอยู่ออกแรงกระชากหนักหน่วงขึ้น ปลายกระบอกปืนที่เคยจ่อขมับ เลื่อนลงมาประชิดริมฝีปากหญิงปากมอม ที่บังอาจพูดจาใส่ร้ายชิดจันทร์  การกระทำรุนแรงนั้นทำให้หญิงสาวที่เพิ่งถูกตบด้วยด้ามปืนจนเลือดกลบปาก ถึงกับส่งเสียงร้องไห้เสียงดังอย่างสุดกลั้น สองมือพนมอ้อนวอนขอชีวิตอย่างไม่คิดรักษาศักดิ์ศรี ด้านสมภพผู้เป็นสามี แม้จะไม่สามารถขยับร่างกายได้ แต่ดวงตาเจิ่งน้ำนั้นก็พยายามส่งหาเสน่ห์จันทร์เพื่อขอร้องให้ปล่อยมือจากภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของตน พร้อมพยายามส่งเสียงอู้อี้อ้อนวอนไม่ขาด

“แม่!!”

เสียงแหลมเล็กตะโกนลั่นจากทางหน้าประตู ทำให้ความชุลมุนชะงักค้าง ทุกสายตาหันไปมองทางต้นเสียงทันควันร่างที่ปรากฏแก่สายตา คือร่างของเด็กชายตัวเล็กๆ ผอมแกร็น ที่กำลังแสดงสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด

“หนีไปเชน!”

ผู้เป็นแม่ที่กำลังถูกจิกทึ้งทารุณ ตะโกนไล่ลูกให้หนีไปใจแทบขาด กลัวตายแต่กลัวลูกเจ็บมากกว่า

“อย่าทำแม่นะ!!”

ทว่าแทนที่เด็กน้อยจะหนีไปอย่างที่ผู้เป็นแม่ต้องการ กลับวิ่งเข้ามาผลักเสน่ห์จันทร์สุดกำลัง เพื่อให้ปล่อยแม่ของตน อย่างไม่กริ่งกลัวกับสิ่งที่อยู่ในมือของผู้ร้ายเลยแม้แต่น้อย หลังผลักให้เสน่ห์จันทร์หลุดออกจากผู้เป็นแม่ได้ เด็กชายก็ผวาเข้ากอดแม่ของตนแน่น พลางร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว

“โธ่ เชนลูก....ฮึ่ก...อย่าทำลูกฉันเลยได้โปรด...อย่าทำอะไรเขาเลย...” 

ภาพสองแม่ลูกกอดรัด พยายามปกป้องกันและกัน สะท้อนวาบในอกของเสน่ห์จันทร์ เด็กน้อยตัวแค่นั้น แต่พยายามเอาตัวเข้าป้องแม่ กลัวแม่ตนจะโดนทำร้าย ฝ่ายแม่ก็พยายามเบี่ยงตัวป้องลูกน้อยไม่ต่าง ดวงตาเบิกกว้างที่ร่ำไห้ไม่หยุดของทั้งคู่นั้น แค่เห็นก็รู้แล้วว่า หวาดกลัวต่อลูกปืนในกระบอกนี้มากแค่ไหน ห่วงชีวิตเหลือเกิน จึงพร่ำอ้อนวอนไม่เลิกรา ทว่าถ้อยคำที่ออกมา ไม่ใช่เพื่อขอชีวิตตัวเอง

ทั้งหมด ล้วนอ้อนวอน เพื่อคนที่ตัวเองรักดั่งชีวิตตน

ภาพนั้นแสดงถึงความรัก สายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก ที่เสน่ห์จันทร์ไม่เคยได้สัมผัส ตั้งแต่อยู่กับชิดจันทร์มา นอกจากหน้ากล้องและสื่อมวลชนแล้ว แม่ลูกอย่างหล่อนกับชิดจันทร์เคยกอดกันบ้างหรือเปล่านะ ช่างไม่เหลือในความทรงจำบ้างเลย

ไม่เหลือ หรือไม่เคยมีกันแน่นะ...

ลูกไม่เคยกอดหล่อนเลยสักครั้ง

“ฮึ...รักกันดีนะ แม่ลูก...หึหึ จริงสิใครกันจะไม่รักลูก............................รักลูกแก แต่ทำร้ายลูกฉันเนี่ยนะ!!นังสารเลว!!”

เห็นความรักหนักแน่นสองแม่ลูกแล้ว หัวใจของเสน่ห์จันทร์ก็เจ็บจนทนไม่ไหว ความริษยา ความเจ็บร้าวซึมลึก  กัดกินหัวใจน่าสมเพชของหล่อนจนน่าเวทนา อิจฉากระทั่งความรักระหว่างแม่ลูกผูกพัน ยิ่งเห็นยิ่งสุดทน ยิ่งรับไม่ได้ ความชิงชังคลั่งแค้นจึงบังเกิดเสน่ห์จันทร์พร่ำบอกกับตัวเองว่าสองคนแม่ลูกตรงหน้า คือสาเหตุที่ทำให้หล่อนและชิดจันทร์เป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีสองแม่ลูกนี่ ไม่แน่ว่าวันนี้ชิดจันทร์อาจเป็นลูกที่น่ารักมากๆของหล่อนก็เป็นได้ ถ้าไม่มีนังผู้หญิงตรงหน้านี้ บางที เสน่ห์จันทร์อาจสามารถกอดชิดจันทร์ได้อย่างเต็มอ้อมแขน ลูกอาจมอบอ้อมกอดแสนชื่นใจให้หล่อนได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสองแม่ลูกนี่ วันนี้คง....

นั่นคือสิ่งที่เสน่ห์จันทร์ตัดสินเอาเองแล้ว หล่อนคือผู้ถูกกระทำ ใยยังต้องให้ความสงสารแก่ใครด้วย!

และแม้สองแม่ลูกตรงหน้าจะช่วยกันเถียงอย่างเอาเป็นเอาตาย เสน่ห์จันทร์ก็ไม่คิดที่จะฟัง

“ม...ไม่นะ!! ฉ...ฉันไม่ได้ทำอะไร ฉันไม่รู้เรื่องเลย!”

“ตอแหล! ฉันรู้ว่าแกมันเป็นผู้หญิงสารเลว แกรู้เห็นเป็นใจให้พี่น้องแกมันทำร้ายลูกฉันขนาดนั้น ยังจะมีหน้าบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรอีกเหรอ! หน้าด้าน!!”เสน่ห์จันทร์ตวาดกร้าวพร้อมจิกทึ้งยวงผมของหญิงตรงหน้าชนิดจิกติดมือ

“กรี๊ด!! ฉันไม่รู้เรื่อง ฮือออ ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ”  หญิงสาวร้องปฏิเสธข้อกล่าวหาพัลวัน ยิ่งถูกทำร้ายจนเจ็บแปลบไปทั้งศีรษะ นางยิ่งกอดบุตรชายของตนแน่นขึ้นเพื่อปกป้องจากอันตราย สองแม่ลูกร้องระงมเสียงขรม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์จันทร์ รู้สึกเมตตาเท่าไหร่นัก โอเค อย่างน้อยหล่อนก็จะไม่แตะต้องผู้เป็นลูกของนาง

“ฉันกับชิดจันทร์ เราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันเลย เรื่องที่ไอ้พวกระยำนั่นทำ ฉันก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วย ฉันเองก็รู้ตอนวันที่ชิดจันทร์พาพวกมาฆ่าพวกมันนั่นแหละ ฉันสาบานได้ ฉันไม่รู้จริงๆ”  หญิงสาวละล่ำละลักอธิบาย ถึงหล่อนจะไม่ใช่แม่เลี้ยงที่ดี แต่อย่างน้อยเฉพาะเรื่องนี้ หล่อนก็บริสุทธิ์จริงๆ

“เฮอะ! ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง คิดว่าพูดแบบนี้แล้วความผิดจะพ้นตัวแกรึไง!? แกเป็นคนเอาไอ้สัตว์นรกนั่นมาไว้ใกล้ลูกฉัน แล้วยังเสือกดูแลไม่ดี ปล่อยให้มันทำระยำกับลูกฉันได้ นั่นก็คือความผิดแล้ว! ยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์อีกเหรอ!!? พวกแกมันสมควรตาย ทั้งแก ทั้งไอ้ผัวเฮงซวยของแก พ่อเลวๆ ที่ลูกคนเดียวก็ยังดูแลไม่ได้!”เสน่ห์จันทร์ผรุสวาทไม่ยั้ง ไม่ฟัง ไม่สนสิ่งใดทั้งสิ้น ความชิงชังบังตา จนหล่อนไม่มีกะจิตกะใจไตร่ตรองสิ่งใดทั้งนั้น

"โธ่...ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ได้โปรดเชื่อเถอะ...”

“เลิกตอแหลเสียที!!”

ความเกลียดชังบังตาจนหน้ามืด ยิ่งหญิงสาวตรงหน้าพยายามแก้ต่าง เสน่ห์จันทร์ยิ่งเคืองแค้น จนอดรนทนไม่ไหว ฝ่ามือขาวข้างที่ไม่ได้จับลำปืนสะบัดหวือกะใช้หลังมือฟาดปากคู่กรณีให้ได้เลือดอีกคราทว่า...

ผั๊วะ!!

กรี๊ดดดดดดดดด!!! เชน!!!!

“.....!!!”

เสียงกระทบของฝ่ามือกับผิวกายมนุษย์ดังชัด ฝ่ามือของเสน่ห์จันทร์ยังคงระอุ จากแรงกระทบ แต่คนที่ร่วงลงตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่หล่อนตั้งใจลงมือเสียงหญิงสาวตรงหน้ากรีดร้องลั่นพร้อมกับร่างเล็กของผู้เป็นบุตรชายล้มลงไปกองตามแรงฟาดที่ข้างแก้มหัวใจผู้กระทำกระตุกวูบหล่อนไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเด็กแต่เพราะมันเข้ามาขวางเองหล่อนไม่ได้ตั้งใจแต่แม้จะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างไรเรื่องจริงตรงหน้าที่ว่าหล่อนได้ลงมือตบเด็กน้อยคนหนึ่งจนเลือดกบปากนั้นก็ทำให้เสน่ห์จันทร์ถึงกับชาวาบไปทั้งร่างในความสำนึกผิดชอบชั่วดีที่หล่อนเองก็ไม่คิดว่ามันจะยังหลงเหลืออยู่

หญิงเคราะห์ร้ายคว้าตัวลูกชายขึ้นมากอดพลางสะอื้นฮั่กจากกลัวเป็นเกลียดชังขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณคนเป็นแม่แม้อ่อนแอไร้หนทางต่อสู้แต่หากลูกน้อยที่รักดังแก้วตาดังชีวิตถูกทำร้ายต่อหน้าอย่างนี้ความกริ่งเกรงก็สลายมอดไปเหลือเพียงไฟโทสะที่คุโชนขึ้นแทนที่

ในเมื่อพยายามอธิบายความเพียงใดก็ไร้ผล แถมยังถูกทำร้ายซ้ำแล้ว ซ้ำอีก แค่ตนเองยังพอทำเนา นี่ขนาดลูกเต้าก็ยังไม่เว้นโดนเล่นงานไปด้วย พอกันที ในเมื่อไม่เหลือทางให้หนี  ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก

ก็ได้...ตายเป็นตาย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2015 20:25:58 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ


“ก็ฉันไม่รู้จริงๆ จะให้ทำยังไง!? เดิมทีชิดจันทร์กับฉันก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันอยู่แล้ว จะไปรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น!ว่าแต่คุณเถอะ โทษแต่คนอื่นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมคุณถึงไม่โทษตัวเองบ้างถ้าจะบอกว่าทำไมพวกฉันดูแลลูกคุณไม่ดี แล้วทำไมคุณไม่ดูแลซะเองเล่า!!โทษพวกฉันอยู่นั่น แล้วตอนที่ลูกคุณมีปัญหา คุณไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกัน!!?”

เมื่อจวนตัว เมื่อไร้ทางหนี สิ่งเดียวที่ทำได้คือต้องสู้ โดยเฉพาะคนเป็นแม่ ที่มีลูกน้อยอยู่แนบอก ความฮึกเหิมลุกโชติ หล่อนจึงสามารถตอกกลับผู้ที่มีอาวุธร้ายอยู่ในมือได้อย่างลืมตาย

“น...นี่แก...กล้าดียังไง.....”

“ก็ถ้าคุณรักลูกคุณจริง คุณคงไม่ปล่อยลูกคุณไว้คนเดียว จนต้องเจอเรื่องเลวร้ายหรอก!”

“หุบปาก! แกไม่มีสิทธิ์พูดแบบนนั้น ฉันรักลูกของฉันมากอยู่แล้วสิ ชิดจันทร์เป็นลูกคนเดียวของฉันนะ ฉันย่อมรักเขามาก ห่วงเขามาก และที่ฉันปล่อยเขาไว้ที่นี่ มันไม่ใช่เพราะความต้องการของฉันเลย เพราะอาม่าของชิดจันทร์เกลียดฉัน กีดกันฉัน จนฉันเข้าใกล้ลูกไม่ได้ ฉันจึงจำเป็นต้องออกไปแล้วปล่อยให้ชิดจันทร์ได้อยู่กับอาม่า เพราะฉันมั่นใจ ถึงอย่างไรอาม่าก็รักเขา...”

“เหอะ...จำเป็น? ข้ออ้างล่ะสิไม่ว่า เป็นฉันนะ ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยลูกของตัวเองไว้กับคนอื่นหรอก”

“นี่แก!”

“หรือไม่จริง! คุณเลิกใช้ข้ออ้างนั่น เพื่อยกตัวเองให้สูงส่งถูกต้องเสียทีเถอะ......”

“..................”

“ลึกๆแล้วคุณรู้อยู่แก่ใจ...ว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง คุณบอกว่าถูกกีดกัน จนต้องห่างจากลูก แต่หลังจากออกจากบ้านนี้ไปแล้ว อย่าบอกนะว่า คุณไม่ได้ใส่ใจจะกลับมาดูลูกคุณอีก เพียงเพราะเห็นว่าอาม่าเขารักเขาหลง ก็ตัดใจทิ้งไว้ไม่เหลียวหลัง...อย่าบอกนะว่าไม่รู้กระทั่งตอนอาม่าตาย งาศพออกจะใหญ่โต ย่านนี้เขารู้กันทั่ว หรือคุณไม่รู้?......ไม่รู้ก็แล้วไป  แต่ถ้ารู้อยู่แล้ว ก็ยังไม่ยอมกลับมาดูใจลูกล่ะก็ คุณก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่า ‘แม่’!!”

“หุบปากได้แล้ว หุบปาก!!”  เสน่ห์จันทร์แผดเสียงสั่นพร่า ทุกอย่างที่หญิงตรงหน้าพูด ช่างเสียดแทงใจดำจนเจ็บร้าวไปหมด ผู้หญิงคนนั้นมีสิทธิ์อะไร ผู้หญิงอย่างนั้น จะมารู้ใจเธอได้ยังไง! นังคนตรงหน้าไม่มีสิทธิ์กล่าวหาว่าเธอไม่รักไม่สนใจลูก!   “หล่อนจะรู้ดีไปกว่าฉันได้ยังไง”

“เฮ๊อะ ไม่รู้หรอก อิฉันจะไปรู้ดีกว่าใจคุณเองได้ยังไง ฉันก็แค่พูดไป ว่าคนที่รู้ทั้งรู้ว่าลูกตัวเองต้องอยู่ลำพังโดดเดี่ยว แต่ก็ยังไม่มาสนใจใยดี คนแบบนี้ ไม่ควรเรียกตัวเองว่าแม่ แต่ถ้าคุณยืนยันว่าไม่รู้เรื่องอาม่าตาย ฉันคงต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่ ....”

“พอแล้ว พอเสียที ขืนแกยังไม่หุบปาก ฉันจะเอาลูกปืนกรอกปากแกซะ!!”เสน่ห์จันทร์อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ที่ถูกต่อว่าต่อขานไม่หยุดหย่อน หล่อนจึงขู่ตะคอก พร้อมกดปากกระบอกปืนจ่อกลางหน้าผากชื้นเหงื่อของหญิงตรงหน้า จนหน้าหงาย

“เอาสิ! ยังไงซะคุณก็ตั้งใจมาฆ่าพวกฉันอยู่แล้วนี่ ถ้าจะทำก็รีบลงมือซะ ถ้าจะยิงก็รีบๆเข้า เอาทีเดียวให้ตายยกครัวนี่แหละ ชีวิตพวกฉันมันก็ทุเรศทุรังมาพอแล้ว ปากกัดตีนถีบไปวันๆ ญาติเยิดที่ไหนก็ไม่มี ถ้าจะฆ่าก็ฆ่าให้หมด เพราะถ้าฉันตาย ผัวที่เป็นอัมพาตอยู่นี่ไม่นานก็ตาย ลูกชายฉันหากปล่อยให้อยู่คนเดียว ก็คงอันตรายไม่ต่าง เพราะฉะนั้นช่วยฆ่าเราทั้งครอบครัวด้วย เราจะได้เป็นผีตายโหงกันทั้งครอบครัว ไม่ต้องแยกจากกัน!”

“แม่จ๋า..ฮือ...”สิ้นคำมารดา ลูกชายก็ร้องจ้าด้วยกลัวตายจับใจ เด็กน้อยตัวสั่นกอดรัดมารดาแน่น ไม่ยอมผละหนีไปไหน

“ไม่ต้องกลัวนะเชน แม่จะอยู่กับลูกตลอดไป แม่ไม่ทิ้งลูกหรอก แม่สัญญา...เอาสิคุณ! เหม่ออะไรอยู่ล่ะ ยิงเลยสิ เอาเลย!!”

“หากคิดว่าตัวเองเป็นแม่ที่ประเสริฐนักก็ยิงพวกฉันให้ตายๆไปซะ! ฮืออออ!”

จบคำท้าทาย สองแม่ลูกก็กอดกันกลม ก่อนกระถดร่างไปซุกอยู่กับสามีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงด้วย เสียงร้องระงมโหยหวน แต่อ้อมกอดที่มีกันและกันช่างเหนียวแน่น

‘ความรัก’

ทั้งสามคนแสดงความรัก ที่เสน่ห์จันทร์ลืมมานานให้ได้เห็น  มันตราตรึง ติดอยู่ในหัวใจที่โทรมเลือดของหล่อน ตราอยู่กับก้อนสมอง ที่ใกล้ระเบิดเต็มทีแล้วของหล่อน สิ่งนี้หรือ ที่เรียกว่าความรัก แล้วสิ่งที่หล่อนมอบให้ชิดจันทร์ตลอดมาเล่า นั่นไม่เรียกว่า ‘รัก’ หรอกหรือ?

ใช่...หล่อนไม่เคยกอดลูก แต่ไม่ได้หมายความว่าหล่อนไม่รอคอยอ้อมกอดของชิดจันทร์

ใช่...หล่อนไม่เคยกล่อมลูกนอน แต่ไม่ได้หมายความว่า ตลอดเวลาที่อุ้มท้อง หล่อนจะไม่เคยร้องเพลงรักให้ชิดจันทร์ฟัง

ใช่...หล่อนไม่เคยได้ร่วมงานวันแม่ของโรงเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะไม่เคยช่วยบริจาคสนับสนุนโรงเรียน เพื่อให้ชิดจันทร์ได้อยู่สุขสบาย

ใช่...หล่อนไม่เคยได้ร่วมเป่าเค้กวันเกิดกับลูก แต่ไม่ได้หมายความว่าหล่อนจะไม่พิถีพิถันเลือกของขวัญที่ดีที่สุดให้ชิดจันทร์

ใช่...หล่อนไม่เคยเข้าไปคลุกคลีกับลูก เพราะตั้งแต่หย่าขาดออกจากบ้าน หล่อนก็หมดสิทธิ์เลี้ยงดูชิดจันทร์อย่างสิ้นเชิงตามอำนาจศาล แต่ก็ไม่ได้ขาดหาย หล่อนยังคงให้คนไปเทียวดูแลชิดจันทร์ไม่ขาด เพียงแต่ หลังจากชิดจันทร์ขึ้นชั้นมัธยม เสน่ห์จันทร์ก็ห่างหายไป หล่อนคิดมาตลอดว่าไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย วันนี้กระจ่างแล้วว่า คำนั้น มันเป็นแค่การแก้ตัวที่น่ารังเกียจ ในฐานะคนเป็นแม่

ใช่แล้วล่ะ...หล่อนเป็นแม่ที่แย่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หล่อนไม่ได้รักชิดจันทร์


แต่ก็เท่านั้นแหละ....

เพราะมันจริงทุกอย่างตามที่ผู้หญิงตรงหน้าพูดมา ช่วงที่อาม่าเสีย เสน่ห์จันทร์ไม่รู้เรื่องจริงๆ ช่วงนั้น บริษัทของหล่อนกำลังเติบโต เช่นเดียวกับงานบริหารในมือที่เยอะขึ้นเป็นเงาตามตัว หล่อนแทบไม่ได้พัก วิ่งรอกหาลูกค้า หาสปอนเซอร์ ทั้งในและต่างประเทศ ทำสัญญากับโมเดลลิ่งเจ๋งๆ คัดบุคคลากรที่มีคุณภาพ ซื้อตัวดารา นายแบบ นางแบบ ที่เล็งเห็นแล้วว่าจะต้องโด่งดังมีอนาคต...โดยเฉพาะเป็นตัวตั้งตัวตี ในการปลุกปั้น กฤตเมธ ให้เด่นดังเป็นดาวประดับฟ้า และทอประกายแสงแรงกล้ากว่าดาวดวงใดๆ 

พอไพล่คิดถึงความเก่าหนหลังเสน่ห์จันทร์ก็รู้ตัวแล้ว... ปฏิเสธไม่ได้เลยปฏิเสธไม่ได้แล้วจากที่เคยหลับหูหลับตาเถียงใครต่อใครว่าหล่อนไม่เคยรักใครหรือสนใจใครมากไปกว่าเสน่ห์จันทร์นั้นแท้จริงเป็นเพียงการหลอกตัวเองเพื่อให้คลายความรู้สึกผิดเพราะลึกๆแล้วเสน่ห์จันทร์รู้ดีรู้อยู่เต็มอกว่าช่วงที่หล่อนได้ทำงานร่วมกับกฤตเมธนั้นหล่อนมีความสุขกับชีวิตแค่ไหนสิ่งที่เคยปฏิเสธว่าไม่ใช่แท้จริงแล้วก็เป็นดังที่ใครๆเขาว่าหล่อนมองกฤตเมธซ้อนทับกับลูกชายที่ตายไปของหล่อนจริงๆการได้อยู่กับเด็กดีอย่างกฤตเมธนั้นมันทำให้เสน่ห์จันทร์รู้สึกเหมือนได้ลูกชายที่ถูกพรากไปของหล่อนคืนสุขจนอยากจะทุบอกตัวเองในตอนนี้เพราะความสุขนั้นมันทำให้หล่อนเผลอละเลยชิดจันทร์ผู้เป็นลูกแท้ๆไป...

และกว่าจะรู้ตัวถึงความผิดพลาดนั้น เวลาก็ผ่านไปนานจนน่าตกใจ...

เกือบสองปี...

เกือบจะสองปีเต็มๆ ที่เสน่ห์จันทร์ปลุกปล้ำอยู่กับบริษัทที่หล่อนสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง จนมันเติบโตเข้มแข็ง วุ่นวายอยู่กับการวิ่งงานให้กฤตเมธ เด็กแสนรักในสังกัด แม้จะตระหนักรู้อยู่ในจิตสำนึกตลอดเวลาว่าหล่อนยังมีลูกสาวที่ต้องคอยเอาใจใส่ ทว่าก็ยังคงคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอว่าคงไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียชิดจันทร์ก็ยังมีอาม่าคอยดูแลเอาใจใส่ ช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกินกับความคิดแบบนั้น เสน่ห์จันทร์รู้ตัวแล้วว่าเป็นแม่ที่แย่ขนาดไหน แถมยังไม่เคยรู้สึกตัวจนกระทั่งวันหนึ่งที่เสน่ห์จันทร์ได้รับรู้ข่าวคราวของลูกสาวคนเดียวเป็นครั้งแรก หลังจากห่างหายมานานปี ทันทีที่หล่อนได้รู้ว่าอาม่าจากไปถึงสองปีแล้ว และชิดจันทร์หายตัวจากบ้านไป เสน่ห์จันทร์ใจเสียมาก เฝ้าภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกลมหายใจ ขอให้ลูกปลอดภัย ตอนที่สืบหาตัวชิดจันทร์จนเจอนั้น หล่อนดีใจมาก ทว่ามันกลับมาพร้อมข่าวร้าย ว่าชิดจันทร์กำลังถูกพ่อค้ายาล่อลวง หล่อนช่วยลูกออกมาจากวังวนอุบาทว์นั่นจนสำเร็จ และแจ้งความจับไอ้เดนนรกนั่นไปเป็นที่เรียบร้อย คิดว่าจากนี้ไป คงไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรอีกแล้ว ลูกอยู่กับหล่อนแล้ว...

แต่เปล่าเลย...

ชิดจันทร์ ไม่เคยมองหล่อนว่าเป็นแม่

นอกจากหน้ากล้อง หน้านักข่าว ชิดจันทร์ไม่เคยยอมเข้าใกล้เสน่ห์จันทร์เลย เสียงหวานใสของลูกรักที่เรียกหล่อนว่า ‘แม่’ เป็นแค่การทำไปตามมารยาท หัวใจของลูกน้อย ไม่เคยเป็นของหล่อนเลย

ตั้งแต่รับชิดจันทร์มาอยู่ในความดูแล เสน่ห์จันทร์คิดซ้ำไปเวียนมาอยู่ในใจตลอดเวลา ว่าหล่อนผิดตรงไหนนะ หล่อนพลาดไปตอนไหน

คงเพราะอาม่าปลูกฝังใช่หรอเปล่า? ปลูกฝังให้ชิดจันทร์เกลียดแม่แท้ๆของตัวเอง

เสน่ห์จันทร์คิดแบบนั้นจริงๆ คิดแบบไม่เหลือเนื้อที่ให้ความคิดอื่นใดมาทัดทานได้ หล่อนรักชิดจันทร์ รักขนาดที่ว่าให้ได้ทุกอย่าง ความจริงลูกควรจะสำนึกในบุญคุณและรักหล่อนมาก ถ้าไม่ใช่เพราะอาม่า ลูกคงไม่ก้าวร้าวแบบนี้

ความคิดเข้าข้างตัวเองอย่างสุดโต่งนี้ ติดอยู่ในจิตสำนึกของเสน่ห์จันทร์มาตลอด เจ็ดปี ตั้งแต่วันที่รับชิดจันทร์เข้ามาอยู่ในบ้าน  เจ็ดปีที่คนเป็นแม่หลับหูหลับตาให้ความรักความสนใจแบบผิดๆ คิดว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุด โดยไม่เคยสนใจเลยว่าแท้จริงแล้ว ชิดจันทร์ต้องการอะไร

ไม่สิ...ไม่ใช่แค่เจ็ดปี แต่มากกว่านั้น

นับตั้งแต่ชิดจันทร์ถือกำเนิด คนเป็นแม่อย่างเสน่ห์จันทร์ ไม่เคยคิดอย่างจริงจังแม้สักครั้งว่าลูกสาวคนเดียวของตนต้องการอะไร ลูกเกลียดหล่อน หล่อนก็พร่ำโทษแต่อาม่า โทษว่าผู้อาวุโสคนนั้นเสี้ยมสอนให้ชิดจันทร์รังเกียจเดียดฉันท์แม่ของตัวเอง ทั้งที่จริงแล้วเปล่าเลย

มันไม่ได้เป็นเพราะอาม่า แท้จริงคำตอบนี้ติดเป็นตะกอนอยู่ในใจของเสน่ห์จันทร์มานานหนักหนา คำตอบที่หล่อนรู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่เคยยอมรับมัน

ชิดจันทร์เกลียดแม่อย่างเสน่ห์จันทร์

ใช่เพียงเพราะอาม่า แต่เป็นเพราะสายตา และท่าทีของเสน่ห์จันทร์เอง

แน่นอนหล่อนรักลูก ไม่น้อยกว่าแม่คนไหน รัก....หากแต่ไม่ต้องการสัมผัส ทันทีที่ชิดจันทร์คลอด ทันทีที่ได้เห็นว่าหน้าตาลูกน้อยละม้ายคล้ายใคร เสน่ห์จันทร์ก็ทำใจไม่ได้ที่จะโอบกอด

ชิดจันทร์เหมือนสมภพ เหมือนทุกกระเบียด เหมือนเสียจนน่าขนลุก

หล่อนรักลูก ตอนตั้งท้องหล่อนรักลูกมาก แม้จะเกิดจากความไม่ตั้งใจ แม้จะเกิดจากการโดนฝืนใจ แต่ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข ถ้าเพียงเด็กคนนี้ จะหน้าตาไม่เหมือนชายชั่วคนนั้น  ถ้าแค่เพียงเด็กคนนี้.....

รักแต่ได้ไม่เต็มที่  กอดได้ แต่ก็ไม่นาน  ลูกงอแงร้องหา ก็ไม่สามารถโอ๋ปลอบได้อย่างเต็มที่ หน้าอกที่คัดคันไปด้วยน้ำนม น้อยครั้งนักที่ลูกน้อยจะได้ลิ้มรส หล่อนยอมที่จะปั้มออกมา มากกว่าที่จะให้ลูกโดยตรง แม้แต่ผม....หล่อนยังไม่เคยได้ทำให้ ไม่ว่าจะถักเปีย หรือผูกหางม้า ยามคิดถึงบางครั้งอาจมีอยากกอดบ้าง ทว่าก็ได้เพียงครู่เดียวหากลูกร้องโยเย เอาแต่ใจ บางครั้งอาจมีปลอบประโลมบ้าง แต่ก็มีหลายครั้ง ที่ปล่อยไว้อย่างนั้นแล้วหลบหน้าไป

ความทรงจำหนหลังหลั่งไหล จิตใต้สำนึกเปิดกว้าง กล่องดำของหัวใจที่ตั้งใจจะปิดตาย ถูกเปิดขึ้นฉับพลัน ภาพในอดีต ความรู้สึกในหนหลังที่เสน่ห์จันทร์พยายามปฏิเสธ ตีตื้นขึ้นมาจนจุกเจ็บอยู่กลางอก ภาพต่างๆในวันวานผุดทะลักในความทรงจำราวตาน้ำ แม้ตอนนี้เสน่ห์จันทร์จะยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพียงชั่วอึดใจ แต่ในมโนสำนึกของหล่อนมันนานราวกับชั่วกัปกัลป์

ร่างบอบบางสั่นระริกค่อยๆสูญสิ้นเรี่ยวแรง ค่อยๆเสียการทรงตัว ค่อยๆ...ทรุดฮวบลงสู่พื้นอย่างสิ้นท่า แม้อาวุธร้ายยังคงอยู่ในมือ แต่มันดูไร้อำนาจ หรือพลังสังหาร เช่นเดียวกับผู้ถือครอง

สองตาอิดโรยยังคงแข็งค้าง เช่นตอนที่ยังก้าวร้าว ต่างไปตรงหยาดน้ำตาที่พรั่งพรูทะลักพรวดๆออกมาราวท่อน้ำแตก ก่อนเสียงสะอื้นฮั่กจะตามมา ฮืออออ โฮ....สาวใหญ่ร้องไห้ราวกับเด็กเล็ก ร้องราวกับไม่เคยร้องมาก่อน ไม่เก็บอาการ ไม่เหลือแล้วความอาจอง เหมือนก่อนจะย่างเท้าเข้าสู่บ้านหลังนี้

จะทำอย่างไร จะทำอย่างไร จะทำอย่างไร

เรื่องมันผิดพลาด และเดินทางมาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปแก้ไขแล้ว หนำซ้ำ ยังไม่รู้อีกเช่นกัน ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร มืดมนอนธกาลไปหมด มีดมน เฉกเช่นวันที่ชิดจันทร์เอ่ยเรื่องราวเลวร้ายให้ได้ฟัง คนเป็นแม่อย่างเสน่ห์จันทร์ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร คิดอะไรไม่ออก ติดต่อลูกก็ไม่ได้ เลยดั้นด้นมาหาเรื่องสามีเก่า เพียงเพราะอยากหาที่ระบายความคั่งแค้น เจ็บร้าว ทว่า... ดูเหมือนมันจะยิ่งทำให้เจ็บ  เพิ่งรู้ตัวเองก็วันนี้แหละ ว่าแท้จริงแล้ว ผู้หญิงที่ชื่อเสน่ห์จันทร์ ไม่ใช่คนเข้มแข็ง ไม่ใช่ผู้หญิงแกร่ง แต่เป็นเพียงคนที่หนีความจริง คนเห็นแก่ตัว เป็นแม่ที่ชั่วช้าที่สุดในโลก

สมแล้วที่ลูกจะเกลียด

สมแล้วที่ชีวิตต้องเป็นแบบนี้...

เสน่ห์จันทร์ยังคงร้องไห้ ร้องหนักจนทั้งร่างบอบบางแทบจะลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น หล่อนไม่สนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ไม่สนแล้วว่าตอนนี้อยู่ตรงหน้าใคร อ่อนล้า ปวดปร่า ร้าวราน เอาผิดใครไม่ได้ แล้วจะทำยังไงต่อ จะเดินหน้าต่อไปแบบไหน จะเผชิญหน้ากับชิดจันทร์อย่างไร ศักดิ์ศรีความหยิ่งทะนง ภินท์พังเสียสิ้นแล้ว ตามหาคนผิด หาคนรับผิดชอบ แล้วอย่างไรเล่า เมื่อในที่สุดแล้วตัวเองต่างหากที่ชั่วช้า ที่ผิดพลาด เรื่องเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่ประเดประดัง ท้ายที่สุดแล้ว ก็ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะตัวของตัวเองทั้งสิ้น...

ร้องไห้แล้วมันยังไง ร้องไห้แล้วมันได้อะไร ไม่รู้... แต่มันหยุดไม่ได้ บางสิ่งสะท้อนอยู่ในทรวงอก ให้ต้องสะอึกสะอื้นไม่เลิก ในหัวมีเพียงใบหน้าของลูกสาวคนเดียวลอยวน จะขอโทษลูกอย่างไรดี จะไถ่โทษอย่างไรดี อื้ออึงไปหมด ไม่กล้า แม่คนนี้ไม่กล้าเผชิญหน้าลูกเลย ช่างขี้ขลาด

“....อิด....อัน......”

“............อิด”

“...อิด.....อัน”

เสียงอู้อี้ไม่เป็นภาษามนุษย์ลอยเข้าโสตประสาท ฟังไม่ค่อยเข้าใจนักในขณะที่ยังเศร้ากำสรด

 “....อิด....อัน......”

“....อูก....”

“...............................อ๋าน...”

คำสุดท้ายที่ผ่านหู ในที่สุดก็สามารถทำความเข้าใจ และเรียกสติของเสน่ห์จันทร์ให้ได้ผงกศีรษะขึ้นมามองตามต้นเสียง สบสายตากับเจ้าของเสียงเรียกนั้น สมภพ ชายวัยกลางคนพิกลพิการด้วยโรคอัมพาต พยายามอ้าปากพะเงิบพะงาบเรียกขาน  ‘อ๋าน’ ก็คือ ‘หวาน’  ชื่อเล่นของเสน่ห์จันทร์ที่น้อยคนนักจะรู้

“อ๋าน....อ๋ม...อ๋อโอ้ด....”

“.....อิด....อั...น....อ้อ....อ๋อ...โอ้ด....”

กว่าจะเอ่ยออกมาได้แต่ละถ้อยคำ ใบหน้าเกร็งกระตุก ริมฝีปากบิดเบี้ยวพยายามกลั่นแต่ละคำออกมาจนน้ำลายไหลย้อยเปรอะเปื้อน เกร็งหน้าเกร็งตา พยายามสื่อความหมาย พร้อมน้ำตาที่ถะถั่งจากดวงตาโบ๋ลึก เพื่อมอบคำว่า ‘ขอโทษ’ ให้กับอดีตภรรยาที่ตนเคยทำร้าย และลูกสาว ที่ตนไม่เคยให้ความใยดี

เสน่ห์จันทร์และสมภพ ทำได้เพียงมองหน้ากันทั้งน้ำตา ต่างคนต่างเข้าใจความหมายของสายตาที่ส่งถึงกัน พวกเขาทั้งคู่ ต่างก็เป็นพ่อและแม่ที่แย่ที่สุด เห็นแก่ตัวที่สุด และช่างเรียกร้องที่สุดในโลก ช่างเลวทราม ทำแต่เรื่องเลวร้าย กับลูกในไส้ตัวเล็กๆ

เสน่ห์จันทร์ถอนหายใจ พลางหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ อีกครั้งเพื่อเรียกสติที่พึงมีกลับมาเสียที

หลังลืมตาขึ้นได้อีกครั้ง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวก็อ่อนแสงลง เสน่ห์จันทร์เก็บอาวุธในมือเข้ากระเป๋า ก่อนจะหยิบบางสิ่งขึ้นมาแทน

สมุดเช็คเล่มบางถูกกางออกพร้อมกับที่ผู้เป็นเจ้าของ ทำการกรอกตัวเลขลงไปในจำนวนที่ไม่น้อยนัก ก่อนจะเซ็นชื่อกำกับแล้วฉีกเช็คแผ่นน้อยออกมา

การกระทำเหล่านั้นสร้างความฉงนฉงายไม่น้อยแก่สมภพและสองแม่ลูก ที่ยังคงกอดกันกลมเพระไม่รู้ว่าเสน่ห์จันทร์จะคิดทำอะไรพวกตนอีก และยังไม่ทันจะได้หาทางหนีทีไล่ ก็ต้องผวาตามกันอีกครั้ง เมื่อถูกเสน่ห์จันทร์สืบเท้าเข้าใกล้

“รับนี่ไป”

เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระดาษแผ่นบางในมือที่ยื่นให้กับสองแม่ลูก

แน่นอนว่า ทั้งสองยังคงกลัวเกรงบางสิ่งที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าของเสน่ห์จันทร์ไม่น้อย แต่ก็กัดฟันยื่นมือออกมารับแผ่นกระดาษจากมือของเสน่ห์จันทร์

“.....อะ....น...นี่มัน เช็คเงินสด...ห้าแสน!!!?” หญิงสาวตะโกนเสียงหลง เมื่อเห็นตัวเลขในเช็คเงินสดที่อยู่ในมือตน จำนวนมันเยอะมาก มากเสียจนหล่อนมือไม้สั่น ทำไมผู้หญิงตรงหน้าถึงให้หล่อนมา คนที่เพิ่งจะลั่นวาจาว่าจะฆ่ากันให้ตายเมื่อครู่...ทำไมถึง

“เอาไว้รักษาเขา และเก็บไว้เลี้ยงลูกเธอซะ สภาพมอมแมมแบบนี้ ไม่ได้เรียนหนังสือสินะ”  เสน่ห์จันทร์ว่าอย่างนั้น แต่ไม่มีทางที่สองแม่ลูกจะเข้าใจ

“ท...ทำไมถึงให้เงินพวกเรา....เยอะขนาดนี้” หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป ด้วยความไม่เข้าใจ

ทว่าเสน่ห์จันทร์ไม่ได้ตอบ หล่อนแค่จ้องมองสองแม่ลูกนิ่งงัน ก่อนจะผินหน้าไปหาอดีตสามีอีกครั้ง

“ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณเคยทำไว้กับฉัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรแบบไหนก็ตาม...ฉัน...อโหสิกรรมให้....ทั้งหมด” เสน่ห์จันทร์เอ่ยอโหสิกรรมออกมาด้วยเสียงเครือสั่น ดวงตาอ่อนล้าที่ทอดมองร่างแน่นิ่งของสามีเริ่มมีหยาดน้ำตารื้นขึ้นอีกครั้ง “ดังนั้น...ฉันขออโหสิกรรมจากคุณด้วยนะ...สำหรับทุกอย่าง...”

สิ้นคำของเสน่ห์จันทร์ สมภพก็ถึงกับสะอื้นฮั่ก ทั้งน้ำมูกน้ำตาไหลเลอะเปรอะไปหมด จนน่าสงสาร เห็นแบบนั้นแล้ว ความเกลียดชังที่เสน่ห์จันทร์เคยมีให้ มันก็กลายสภาพไปจนสิ้น เหลือเพียงความเวทนาเท่านั้น และเพราะอย่างนั้นเอง ในที่สุด เสน่ห์จันทร์ก็สามารถยิ้มให้สมภพได้เสียที
ยิ้มให้กันครั้งแรก ตั้งแต่รู้จักกันมา...

“ได้ไหมคะ? คุณภพ” ยิ้มให้พร้อมกับคำขอแสนอ่อนโยน 

ได้ยินดังนั้น สมภพก็เกร็งคอพยายามพยักหน้าให้เสน่ห์จันทร์อย่างเอาเป็นเอาตาย อยากพูดตอบโต้ให้มากกว่านี้ แต่เพราะน้ำมูกน้ำตาอื้ออึงอยู่ในโพรงจมูกจนต้องหายใจทางปาก ทำให้ไม่สามารถเกร็งปากพูดอะไรได้อีก สิ่งเดียวที่ทำได้จึงมีเพียงพยักหน้าซ้ำๆ ให้อดีภรรยาว่า ‘อโหสิกรรมให้แล้ว’ เท่านั้น

“ขอบคุณนะ” เสน่ห์จันทร์พูด พร้อมหันหลังเดินจากมา ใจเย็นลงราวกับคนละคน กับหญิงสาวที่ถือปืนมาหมายฆ่ายกครัวเมื่อสักครู่

เสน่ห์จันทร์เร่งฝีเท้า หล่อนต้องรีบกลับไป รีบกลับไปตามหาชิดจันทร์ ลูกสาวคนเดียวที่หล่อนรักเท่าชีวิต อยากเจอเหลือเกิน อยากพูดคุย อยากขอโทษ อยากพาชิดจันทร์ก้าวข้ามอดีตแสนทุกข์ระทมไปด้วยกัน

“คุณเสน่ห์จันทร์”

ทว่ายังไม่ทันจะได้พ้นประตูบ้าน หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เร่งฝีเท้าตามออกมาพร้อมตะโกนรั้งเสน่ห์จันทร์เอาไว้ เจ้าของชื่อชะงักก่อนจะเหลียวกลับมาหาคนเรียกชื่อ ไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายจะรู้จักชื่อแซ่ เพราะหากรู้ว่าหล่อนคือแม่ของชิดจันทร์ ย่อมรู้ว่าคือภรรยาเก่าของสมภพ ภรรยาคนเดียวที่ได้รับการแต่งงานและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายที่ชื่อว่า ‘เสน่ห์จันทร์’

“...ขอบคุณนะคะ สำหรับเงินก้อนนี้ คือมัน....” ทันทีที่เห็นว่าเสน่ห์จันทร์หยุดมอง หญิงสาวก็รีบกล่าวขอบคุณ ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดจบ ก็ถูกเสน่ห์จันทร์แทรกขึ้นเสียก่อน

“เธอชื่ออะไร?”

“...บ...บุหงา บุหงาค่ะ”

จู่ๆก็ถูกถามชื่อ หญิงเจ้าบ้านเลยค่อนข้างตกใจเล็กๆ ชื่อตนที่แนะนำออกจากปากเลยตะกุกตะกักเล็กน้อย

“ขอบใจนะ บุหงา ที่ให้สติฉัน...เลี้ยงลูกเธอให้ดีนะ ลูกเธอเป็นเด็กดี”

เสน่ห์จันทร์ทิ้งคำสุดท้ายไว้เพียงแค่นั้น  ก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยไม่ยอมฟังต่อว่าบุหงาจะพูดอะไรอีกหรือไม่ เพียงอึดใจรถยนต์คันหรูก็ถูกขับเคลื่อนออกจากหน้าบ้านเก่าแก่ ที่เป็นได้เพียงอดีตของผู้จากมา

จากนี้ไป จะเหลือไว้แค่ความทรงจำ...

***************

******************************

************************************************

*****************************************************************

************************************************

******************************

***************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2015 20:28:03 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ



"สวัสดีครับคุณดนัยผมไม่ทราบว่าคุณจะแวะเวียนมาเลยไม่ทันได้ต้อนรับต้องขอโทษด้วยนะครับ"

เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจ เอ่ยทักแขกคนสำคัญที่จู่ๆก็บุกมาเยือนโดยไม่คาดหมาย อัครเดชยิ้มทักทันทีที่ได้เห็นดนัยยืนยิ้มรับอยู่ตรงหน้าโซฟาห้องรับแขกสุดหรูหราพร้อมกับบอดีการ์ดประจำตัวยืนขนาบด้านหลังสองคนลูกนายพลก็แบบนี้แหละเวลาไปไหนมาไหนมักมีสมุนพ่อตามติดไม่ห่าง

“สวัสดีครับคุณอัครเดช หึ ทางผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่จู่ๆก็มาโดยพละการ ไม่ได้นัดเอาไว้ก่อน”  ผู้เป็นแขก เอ่ยต้อนรับการมาของเจ้าถิ่น ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มพราวผูกมิตรทันที แต่ก็หาได้ซ่อนแววตาแข็งกล้าท้าทาย  “พอดีว่า...ผมมีเรื่องร้อนใจ อยากให้คุณช่วยด่วนน่ะครับ เลยเผลอเสียมารยาท มาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า”

“แหม ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมยินดีช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว เชิญตามสบายเลยครับ”  แม้ว่าจะไม่ได้วางใจผู้มาเยือนนัก แต่อัครเดช ก็ไม่อาจแล้งน้ำใจ ชายหนุ่มรับปากแข็งขันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างเทพผู้ทรงศีล ตามสมัญญานามในวงการใต้ดิน ‘หน้ากากพระพุทธรูป’

หลังคำตอบรับของมาเฟียหนุ่มใหญ่ ดนัยยิ้มพราวขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ทั้งคู่ยังส่งสายตาหยั่งเชิงกันไม่หยุดหย่อน สองร่างกำยำสูสีหย่อนตัวลงบนโซฟาราคาแพงระยับคนละฝั่ง ด้านตรงกันข้ามที่สามารถหยั่งเชิงกันได้อย่างพอดิบพอดี 

แท้จริงแล้ว เส้นทางของดนัย และอัครเดช ไม่ค่อยจะได้ร่วมกันมากเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนชีวิตของทั้งคู่จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หนึ่งคือมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจใต้ดินทุกประเภท โดยเฉพาะการเป็นเจ้าพ่อในบ่อนสุดหรูกลางเมือง ที่กฎหมายยังไม่สามารถล่าล้างได้หมด แต่อีกหนึ่งกลับเป็นลูกชายคนเล็กของนายพลระดับสูง ผู้มากด้วยอิทธิพลทั้งทางการทหารและการเมืองการเผชิญหน้ากันระหว่างคู่ที่ต่างขั้วกฎหมายค่อนข้างสร้างบรรยากาศที่เข้มข้นได้ไม่หยอก

หากเข้าหากันด้วยอาชีพ คงต้องล่าล้างกันจนสิ้นกันไปข้าง ทว่าหากเข้าหากันด้วยผลประโยชน์แล้วไซร้ ก็ใช่ว่าจะเอื้ออาศัยกันไม่ได้แต่มันมีข้อแตกต่างกันนิดหน่อย ซึ่งมันเป็นเงื่อนไขสำคัญในการอยู่รอดของวงการเถื่อนในมือของอัครเดช นั่นก็คือ หากฝ่ายเขาต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมายจากท่านนายพล เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาอกเอาใจผู้ทรงอำนาจทางกฎหมายนั้นให้เห็นดีเห็นงามด้วย แต่หากเป็นฝ่ายนั้นต้องการความช่วยเหลือละก็ เพียงคำเดียวเท่านั้น  อัครเดชก็ต้องสรรหามาถวายให้ถึงที่ โดยไม่มีอิดออด

ก็บารมีมันต่างกัน ในข้อนั้นอัครเดชเข้าใจดี แต่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจในจุดนี้เท่าไหร่นัก อย่างไรเสีย เขาประโยชน์ที่เขาได้รับจากพวกคนใหญ่คนโตเหล่านี้ ก็ใช่น้อยเสียที่ไหน เสียของเสียศักดิ์ศรีไม่กี่มากน้อย แลกกับความสะดวกสบายของธุรกิจใต้ดินของตน เท่าไหร่ก็จ่ายได้เสมอ

คนมีบารมีคบไว้ก็ไม่เสียหาย หมดประโยชน์เมื่อไหร่จะกำจัดทิ้งเสียตอนไหนก็ได้อยู่แล้ว

 เช่นกันกับครานี้ หากไอ้เด็กเมื่อวานซืนตรงหน้าต้องการอะไร เขาก็คงต้องจัดหามาให้ คิดแล้วอัครเดชก็อมยิ้มน้อยๆ ด้วยวัยขนาดดนัย ก็อาจเดาของที่ต้องการได้ไม่ยากนัก

ทว่าดูเหมือนคราวนี้ มาเฟียตัวพ่ออย่างอัครเดช จะเดาผิดไปเสียแล้ว

“ได้ข่าวว่าคุณอัครเดช กำลังจะซื้อที่ดินผืนงามที่ราชบุรีอยู่สินะครับ” เพราะทันทีที่ได้ยินคำขอ ใบหน้าเสี่ยใหญ่ก็แทบจะคลายยิ้มเป็นมิตรแทบไม่ทัน

“อ่า...แหม...คุณทราบด้วยเหรอครับเนี่ย?” แม้นรอยยิ้มจะเจื่อนลง แต่เส้นประสาทระดับเจ้าพ่อ ย่อมแข็งกว่าคนทั่วไป อัครเดชจึงยังคงส่งยิ้มให้ดนัยไม่ขาดช่วง ขาดตอน ดวงตาคมกล้า เริ่มพิเคราะห์อีกฝ่ายด้วยความระแวดระวังมากขึ้น

“ระดับเจ้าพ่ออย่างคุณอัครเดช ขยับนิด ขยับหน่อยเขาก็รู้กันทั่วแล้วล่ะครับ”  คำตอบของดนัยทำเอาเปลือกตาขวาของอัครเดชกระตุกยิบ สมองอันชาญฉลาดของคนผ่านโลกมานาน สามารถประมาณการได้ทันทีว่า ‘เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา’ และคลับคล้ายว่าที่ดินผืนงามที่อุตส่าห์จะได้มากำลังจะหลุดลอยในไม่ช้า

“คุณดนัยอยากได้เหรอครับ? ถึงได้มาหาผม”  หลังประเมินด้วยสายตา และพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว อัครเดชก็ไม่อ้อมค้อมกับดนัยอีกต่อไป  ระดับเจ้าพ่ออย่างเขา แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่า คนตรงหน้าไม่ได้อ่อนเหมือนวัย ใจนั้นใหญ่พอฟัดเหวี่ยง ยิ่งมีแบ็คระดับนายพลด้วยแล้ว กระดูกอ่อนนั่นคงเคี้ยวแทบไม่แตกแน่ๆ

“ตรงดีนะครับ หึหึ ผมชอบคุณจัง” เห็นว่าอัครเดชเข้าใจเหตุผลการมาของตนโดยไม่ต้องเอ่ยปาก ดนัยก็หัวเราะร่า คลายร่างเอนกายพิงพนักโซฟา ดูหย่อนใจ ทั้งที่ใบหน้ายังไม่คลายแววตาแห่งลูกราชสีห์

แต่ถึงอย่างไรอัครเดชเองก็ใช่จะเป็นลูกกวางน้อยให้ล่าได้ง่ายๆ ดนัยรู้ดีว่าเวลาที่ผ่านไปแต่ละลมหายใจมีความหมายมากแค่ไหน ชายหนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะเปิดการเจรจา

“ครับ...ผมอยากได้ที่ผืนนั้น ตามที่คุณว่ามานั่นแหละ”

ดนัยประกาศความต้องการของตนออกไปแบบตรงเป้า และแววตาแรกที่เขาได้เห็นจากอีกฝ่ายในทันทีที่จบประโยคนั้น ตีความหมายได้ไม่ยากเลยว่า ‘ไม่มีทาง’  แต่นั่นก็อยู่ในเรื่องที่ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ถึงตัวเขาจะมากด้วยบารมี แต่ก็เป็นแค่บารมีพ่อ ใช่ของตัวเอง อีกฝ่ายต่างหากที่เป็นผู้มีพลังที่แท้จริง เพราะฉะนั้นการที่อัครเดชอ่อนข้อให้ขนาดนี้ ใช่เพราะตัวตนของคนที่ชื่อดนัย แต่เป็นเงาอำนาจสูงใหญ่ที่ค้ำยันแผ่นหลังอ่อนประสบการณ์นี้ไว้ต่างหาก

และเพราะอย่างนั้นแหละ ดนัยจึงต้องใช้มันให้คุ้ม

“คุณดนัยครับ...ขอโทษจริงๆ ที่ผมต้องเสียมารยาท แต่ที่ผืนนั้นน่ะ ผมไม่ได้ได้มันมาง่ายๆ เลยนะ ผมใช้วิธีหว่านล้อมสารพัด งัดออกมาแทบจะทุกกระบวนท่า กว่าเจ้าของที่ดินจะยอมใจอ่อน เสียเงินไปก็ใช่น้อย และผมเองก็ชอบที่ผืนนั้นมากเสียด้วย....”  อัครเดชยังคงเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจ เคล้าไปกับสีหน้าที่แสดงความรู้สึกลำบากใจ ว่าคำขอของดนัยนั้นมันช่างหนักหนา “เปลี่ยนเป็นของกำนัลอย่างอื่นที่สมน้ำสมเนื้อไม่ต่างกันแทนได้หรือไม่ครับ ผมคิดว่าสิ่งที่ผมจะเสนอให้ต่อไปนี้ คุณอาจชอบมันมากกว่าที่ผืนนั้นนะ” เจ้าพ่อหนุ่มค่อยๆหว่านล้อม

แน่ล่ะ เขาจะยอมเสียที่ดินฝืนนั้นไปได้อย่างไร โดยเฉพาะให้กับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างดนัย มีพ่อใหญ่ ทรงอำนาจแล้วไง สุดท้ายผลประโยชน์ระหว่างผู้ใหญ่ ก็สามารถทำให้เรื่องที่เขาไปขัดใจลูกชายคนเล็กกลายเป็นแค่เรื่องขี้ผงได้ไม่ยากอยู่แล้ว ที่

ดินที่ราชบุรีผืนนั้น เป็นที่ทำเลงามเหมาะสำหรับการทำรีสอร์ทและเปิดฟาร์มแกะ เป็นที่สุด อัครเดชต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็น ถึงกับรีบส่งคนไปติดต่อขอซื้อในราคาที่เรียกได้ว่าสูงกว่าท้องตลาดทันที ทว่าเจ้าของที่กลับปฏิเสธอย่างไร้เหยื่อใยสิ้นเชิง งที่เป็นแค่นายทหารปลดประจำการ กินบำนาญจนๆแท้ๆ แต่กล้าปฏิเสธเงินถุงเงินถังที่เขาอุตส่าห์จะขนไปปรนเปรอให้ นี่ถ้าไม่ได้ลูกชายดาราใจแตกแถมดวงซวยของมันช่วยไว้ ไม่แน่ว่าป่านนี้ ลุงทหารคนนั้นอาจเหลือแค่ชื่อไปแล้วก็เป็นได้

กว่าเหยื่อจะฮุบเหยื่อล่อ จนทุกอย่างกำลังจะเข้ามาอยู่ในมือในอีกไม่กี่อึดใจ อัครเดชไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดลอยไปเพียงเพราะดนัยบ่นอยากได้เป็นแน่

“โถ่...อย่าเพิ่งตัดรอนกันสิครับ ผมจำเป็นต้องได้ที่ผืนนั้นจริงๆนะ” ดนัยเองก็ไม่ยอมลดรา ยังพยายามส่งลูกตื้อเป็นช่วงๆ เพื่อสะกิดบางอย่างจากผู้ทรงพลังกว่า“เอาเป็นว่าผมขอซื้อต่อแล้วกัน คุยกันเป็นธุรกิจแฟร์ๆเลย คุณอัครเดชอยากเรียกสักเท่าไหร่ครับ สิบล้าน พอไหม? รู้สึกว่ามันจะมากกว่าราคาที่คุณซื้อมาตั้งเท่านึงเลยนะ...”  ตอนมา ก็ไม่ได้แค่คิดจะขอเปล่าๆ ฟรีๆอยู่แล้ว ดนัยจึงไม่คิดมากเลย หากจะลองเสนอราคาให้ทางเจ้าพ่อลองพิจารณา และแน่นอนว่า เขาต้องการให้อัครเดชพิจารณาเพียงคำตอบเดียว

ข้อต่อรองของดนัย เล่นเอาตาขวาของอัครเดชกระตุกยิบอีกรอบ ทุกถ้อยคำของอีกฝ่ายแย้มพรายให้ได้ประจักแล้วว่า การมาในครานี้ ไม่ใช่เพียงมาเพื่อขอของเล่น เช่นเด็กน้อยลูกท่านหลานเธอคนอื่นๆ แต่ดนัยมาเพื่อประกาศตัวช่วงชิงของที่เขากำลังจะได้ไว้ในกำมือ ที่ดินผืนนั้น ที่อุตส่าห์ทั้งหลอกทั้งล่อ การถูกลูบคม ไม่ใช่อะไรที่เส้นความอดทนของเขาจะยืดหยุ่นให้ได้มากนัก คิ้วคมหนาของคนระดับเจ้าพ่อถึงกับเริ่มขมวดปมลางๆ รอยยิ้มที่เคยเฉิดฉันท์ตอนนี้เหลือเพียงแค่ ยิ้มเจื่อนๆ กับดวงตาที่กล้าแสงขึ้น

“...ดูท่า ผมคงปฏิเสธลำบากเลยนะครับ หากจะไม่ตกลงยกให้” อัครเดชยืดตัวตรง ไหล่ที่ตั้งผึ่งผายดูองอาจนั้น แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าพ่อตลาดมืดได้แบบไม่มีซ่อนเร้น หากเป็นคนอื่นที่ต้องจับพลัดจับผลูมาเผชิญหน้า คงไม่วายกลัวตายหัวหดกันเป็นทิวแถว แต่กับดนัย มันไม่ได้ให้ความรู้สึกใดมากนักหรอก นอกจากความท้าทาย

“ผมก็แค่คาดหวังความเมตตาจากเจ้าพ่ออย่างคุณอัครเดชเท่านั้นแหละครับ” ชายหนุ่มยังคงสูดหายใจสบายๆ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศกดดันใดๆที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาข่ม แน่นอนว่าดนัยมั่นใจในตัวเองอยู่พอตัวอยู่แล้ว การมาวันนี้ไม่ได้จู่ๆก็มาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงโดยสันดานแล้วเขาจะเป็นแค่ผู้ชายเสเพล แต่ด้วยสัญชาตญาณพยัคฆ์ร้ายที่พ่อเขาได้ปลูกฝังตั้งแต่เยาว์วัย ดนัยย่อมไม่ผลีผลามจับเหยื่อตัวใหญ่โดยไม่มีการเตรียมพร้อม

“แล้วถ้าผมขอปฏิเสธล่ะ...” ในที่สุดรอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้าอ่อนกว่าวัยของมาเฟียหนุ่มใหญ่ก็จางหายไป ดวงตาแข็งกร้าว จ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาคมกล้าของฝ่ายตรงข้ามลูกพยัคฆ์แล้วไงยังไงก็แค่ตัวลูกเขาอุตส่าห์ล่าของดีมาได้ทำไมต้องยอมให้ใครก็ไม่รู้มาชุบมือเปิบถ้าเด็กมันคุยไม่รู้เรื่องมัวแต่เหลิงแบบนี้สงสัยจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวเช่นเดียวกับที่เขาเคยกำราบเด็กนิสัยไม่ดีลูกนักการเมืองสั่วๆพวกนั้น

"ในเมื่อคุณหนูเองถึงกับอุตส่าห์มาหาผมถึงที่นี่เพื่อขอสิ่งที่มีค่าสุดๆในมือผมไปคิดเหรอครับว่าเงินแค่สิบล้านมันจะพอ?"เจ้าพ่ออัครเดชพูดพลางโน้มห้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเล็กน้อยสองมือประสานกันเหนือเข่าที่ใช้ค้ำข้อศอกไว้อย่างมั่นคงเพิ่มความน่าเกรงขามและกดดันให้ดนัยได้รู้สึกกริ่งกลัวขึ้นได้บ้าง

"แหม...โก่งราคาจังเลยนะครับรับซื้อมาแค่ห้าล้านเองแท้ๆ" ดนัยหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินสิ่งที่อัครเดชพูดตาต่อตาฟันต่อฟันคิดจะข่มคนอย่างเขาคิดผิดเท่านั้นล่ะคนอย่างดนัยใช่มีเพียงบารมีพ่อหนุนหลังเท่านั้นหรอกนะเส้นสายในโลกมืดทั้งในทั้งนอกเขาเองก็มีอยู่ใช่น้อยเสียเมื่อไหร่เพียงแต่ไม่ได้ออกหน้าออกตาและแน่นอนว่า เรื่องนี้อัครเดชย่อมไม่รู้ นักแสดงหนุ่ม ตั้งตัวตรง ก่อนจะเองโน้มกายไปด้านหน้า เพื่อประจันหน้ากับอัครเดชโดยตรง พร้อมส่งข้อความที่แฝงความหมายหลายๆอย่างออกๆไป

“แถมยังเป็นห้าล้าน ที่ไม่ต้องจ่ายสักแดงเดียวด้วย”

“!!?”

เพียงได้ยินประโยคที่ดนัยเอ่ยออกมา เส้นเลือดข้างขมับของอัครเดชก็บีบตัวถี่ มันเต้นตุบๆ ราวกับจะปริแตก ด้วยแรงอารมรณ์เคืองขุ่น ไอ้เด็กบ้าตรงหน้ามันกำลังคิดจะงัดข้อกับเขา กำลังใช้บารมีที่หนุนหลังมันอยู่มาวัดรอยเท้าเขา อัครเดชกัดฟันกรอด ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาน้อยๆ

“หึ...ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณจะเอาที่ผืนนั้นไปทำอะไร แต่ผมคงให้ไม่ได้ ขอโทษด้วยที่ต้องปฏิเสธ คุณหนูดนัย...เก็บสิบล้านให้พ่อคุณไว้ใช้เลี้ยงสมุนให้ดีดีกว่านะ”

ดูเหมือนเส้นความอดทนของเจ้าพ่อจะตึงเกินกว่าผัดผ่อนได้ จริงอยู่เขาไม่ได้อยากมีปัญหากับพวกหัวโจกฝ่ายกฏหมาย ไม่อยากเกี่ยวพันกับพวกด้านสว่างสีเทาเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยอำนาจบารมีที่มีมันต่างกันคนละขั้ว อยู่ห่างได้น่าจะเป็นการดี ดังนั้นตลอดมาเขาจะพยายามตามใจ และดีด้วยกับคนเหล่านั้นมาตลอด เพื่ออวยทางให้เส้นทางใต้ดินของเขาไร้หูไร้ตาสอดส่อง เจ้าพ่อโลกมืดอย่างเขาเข้ากันได้ดีมากกับพวกนายพล นายกอง และพวกนักการเมืองกังฉินบ้าบารมีและเจ้ายศเจ้าอย่างกับอำนาจจอมปลอม  แสร้งทำเป็นอ่อนให้หน่อย ปั้นคำป้อยอ กับบรรณาการเล็กน้อย ขี้คร้าน คลานตามกลิ่นเงินกันมาเป็นแถว ไม่เว้นแม้แต่พ่อนายพลของไอ้เด็กเวรตรงหน้าเขาก็เช่นกัน ยิ่งใหญ่ แต่ก็ใช่จะไม่มีช่องโหว่ เอาเป็นว่าหากมีปัญหากับลูกมัน ตัวพ่อก็คงไม่คิดจะหักล้างถางพงเขาสักเท่าไหร่หรอก ไม่กล้าขนาดนั้นแน่ ตราบใดยังต้องเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันอยู่ ผู้ใหญ่ระดับนั้น คงไม่ปล่อยให้ลูกชายคนเดียวทำลายสิ่งที่สร้างมาแน่

คิดแล้วอัครเดชยิ่งแสยะยิ้มร้าย ไอ้เด็กอวดดีตรงหน้า คงคิดว่าตัวเองแน่เสียเต็มประดาเลยกระมัง ถึงได้ ไม่ยี่หระกับการโดนเขาข่มขวัญ คงต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้ว

“นายพลท่าน ประวัติดีมาตลอด และตัวผมเองก็ให้ความศรัทธาในบารมีของตัวท่านอยู่ไม่ใช่น้อย  ดังนั้นผมเองก็อยากเห็นท่าน ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคนนายคนแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน เข้าใจไหมครับคุณหนู ว่าผมไม่อยากมีเรื่อง เพราะงั้น กลับไปเสียตั้งแต่ผมยังอารมณ์ดีดีกว่านะครับ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมส่งของขวัญปลอบใจตามไปให้”

อัครเดชข่มขู่ และแน่นอนว่า คำขู่ของเขานั้นไม่ใช่แค่คำขู่พล่อยๆ ที่ทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้อย่างแน่นอน อัครเดช คิดอยู่ในใจว่า ความจริงจังของเขา คงพอทำให้ดนัยรู้สึกกริ่งเกรงได้บ้าง เด็กน้อยควรรู้ ว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงหมากเบี้ย แต่เป็นเจ้าของกระดาน ที่สามารถกำหนดตาเดินได้ด้วยตัวเอง และยังสามารถกำหนดได้กระทั่งเบี้ยตัวใหญ่ระดับนายพลได้ด้วย คนที่มีเบื้องหน้าดีๆ น่ะกลัวการป้ายสีอย่างกับอะไร แล้วคนที่มีเบื้องหลังไม่หน้าไว้ใจอย่างท่านนายพลก็ย่อมกลัวการถูกเปิดโปงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดอยู่แล้ว ผู้รักษากฏหมายน่ะเวลาถูกจับได้มันร้ายกว่าพวกใต้ดินไร้ตัวตนอย่างพวกเขาอยู่นักหนา ในข้อนี้แหละที่เจ้าแห่งโลกใต้ดินอย่างอัครเดชถือไพ่เหนือกว่าพวกนายพลคนดีล่ะ

“นี่...เล่นขู่กันถึงพ่อเลยเหรอครับ แหม...น่ากลัวจัง”  ดนัยแสร้งทำหน้าตื่นทันทีที่สิ้นคำขู่ขวัญ ก่อนจะยิ้มหวานออกมา พร้อมโน้มกายลงต่ำ คล้ายว่าจะนอบน้อม “พ่อผมท่านจะเกษียณอยู่แล้วให้ท่านพักสบายๆเถอะครับ เอ๊...แต่รู้สึกจะจำได้ว่าธุรกิจของคุณอัครเดชกับพ่อผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันสักเท่าไหร่จะเอาเรื่องอะไรมาเล่นงานพ่อผมเหรอ? อาห์...ก็คงมีแหละนะท่านก็ใช่จะตงฉินใสสะอาด แต่ผมขอร้องเถอะอย่าไปวุ่นวายท่านเลยถือว่าเป็นความปารถนาดีจากผมก็แล้วกันนะ”

ดนัยพร่ำพูดราวกับบ่นบางอย่างให้อัครเดชฟังฟังดูก็เหมือนจะขอร้องให้เจ้าพ่อโลกมืดไม่มาวุ่นวายกับครอบครัวตน ทว่าฟังไปฟังมากลับไม่ใช่ในความหมายในเชิงนั้น จากท่าที ถ้อยคำ และรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น อัครเดชรู้ดีแล้วว่า ไอ้เด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ได้กริ่งกลัวแม้แต่เพียงนิด นั่นทำให้อัครเดชเริ่มรู้ตัวว่า ดนัย ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมคนเดียวครับ สิบล้านนั่นก็เงินผมเอง ถ้าจะมีปัญหาล่ะก็ เล่นกับผมตรงๆเลยดีกว่านะ คุณอัครเดช” ดนัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับอยู่ในบรรยากาศสบายๆ ไม่ต่างอยู่บ้าน ร่างสูงใหญ่ขยับกายลุกยืนต่อหน้าอัครเดช ก่อนจะหันหลังให้เจ้าพ่อรุ่นใหญ่ แล้วเดินไปหยิบนู่น ชมนี่เล่น อย่างตอนนี้ก็กำลังชมความงามของแจกันหยกใบน้อยในมืออยู่

“ดูเหมือนธุรกิจค้าของเก่ากำลังไปได้สวยเลยนะครับ เส้นทางสายไหมจากแผ่นดินใหญ่ ดูท่าจะสร้างกำไรงามอย่างคาดไม่ถึง คู่ค้ารายล่าสุดอย่างมิสเตอร์จางก็ดูท่าจะถูกใจคุณอยู่ไม่น้อย...ขนาดยอมเสี่ยงรับงานตามล่าหยกแก้วโบราณในสุสานหลวงชื่อดังมาให้คุณได้ จุ๊จุ๊ เจ้าพ่ออัครเดชนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ...ถ้าได้หยกนั่นมาไว้ในมือเมื่อไหร่ คงฟันกำไรได้หลายล้านแน่นอนเลยใช่ไหมครับ...หึหึ”

คำพูดของดนัยเฉลยทุกสิ่ง ขนาดเจ้าพ่อที่ว่าแน่อย่างอัครเดช ยังถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มแผ่นหลัง ธุรกิจใต้ดิน มีมุมมืดซุกซ่อน เส้นทางการค้า คู่ค้า การได้มาซึ่งสินค้า ล้วนแล้วแต่เป็นความลับกับบุคคลภายนอกธุรกิจ พยัฆร้ายเจนสนามย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดอันตรายแก่ตน ให้คุณให้โทษ ซึ่งเจ้าพ่อหนุ่มกระจ่างใจแล้วว่าตอนนี้ ดนัยเป็นภัยแก่เขา อัครเดชเริ่มลุกลี้รุกลน เขาเดาไม่ออกจริงๆว่า ดนัยได้ข้อมูลเหล่านั้นมาได้ยังไง เขามั่นใจมากว่าในส่วนของคนมีสี ยังไม่มีใครทราบเรื่องนี้แม้แต่คนเดียว

“...แกเป็นใครกันแน่?” อัครเดชกัดฟันถามกันตรงๆ ถึงขั้นนี้คงไม่ต้องอ้อมค้อมใดๆอีก

ได้ยินดังนั้น ดนัยก็ส่งยิ้มให้ด้วยแววตาร้ายกาจ  “ก็แค่ดาราโกอินเตอร์ธรรมดา ก็แค่ลูกนายพลกระจอกๆ ไม่ได้มีความหมายกับคนระดับคุณหรอก เจ้าพ่ออัครเดชผู้มากด้วยบารมี...หึหึ ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันอย่างนั้นสิครับ วันนี้ผมก็แค่มาที่นี่เพราะมีเรื่องขอร้องอ้อนวอนคุณก็เท่านั้นเอง”

“...ที่ผืนนั้น...”

“ครับ ที่ผืนนั้น แค่ที่ผืนเดียวเอง แลกกับเงินตั้งสิบล้าน คุณไม่คิดว่ามันคุ้มเหรอ?”

“....หึ ถ้าฉันไม่ยอมตกลง คงไม่ใช่แค่ชวดเงินสิบล้านสินะ แต่ก่อนอื่น ฉันขอรู้หน่อยได้ไหม ว่าแกเป็นคนของใคร?”

ในเมื่อทางเลือกเหลือเพียงหนึ่ง อัครเดชก็ไม่คิดจะเสี่ยงดิ้นรน เจ็บใจไม่หยอก แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ดนัยเป็นคนของใคร และรู้ความเคลื่อนไหวของเขาแค่ไหน มันเสี่ยงที่จะวัดกันซึ่งๆหน้า จะให้ฆ่าอีกฝ่ายปิดปากไว้ซะที่นี่ยังรู้สึกว่าลำบากกว่าการปล่อยให้ที่ผืนนั้นหลุดลอยไปเสียอีก ยิ่งคิด เส้นเลือดในสองของเจ้าพ่ออัครเดชยิ่งโป่งโพงจนแทบจะปริแตก ตรงข้ามกับท่าทางสบายๆของอีกฝ่ายยิ่งนัก

“อาห์...นี่เห็นว่าคุณใจดียอมเจรจาด้วยง่ายๆหรอกนะ ผมจะยอมบอกเรื่องส่วนตัวของผมให้ฟังสักหน่อยก็ได้”

ดนัยเอ่ยพลางไหวไหล่เล็กๆ ก่อนจะเดินมายืนเผชิญหน้ากับอัครเดชอีกครั้ง ด้วยความที่ส่วนสูงและรูปร่างดูจะพอๆกัน ดังนั้นทางกายภาพจึงข่มกันไม่ค่อยลง ทว่าคนนอกไม่มีวันมองออกหรอกว่า ตอนนี้ดนัยกำชัยชนะเหนือเจ้าพ่อไว้ได้แล้ว

“จ้าวซิน  เควิน  บารอส... พวกเขาเป็นเพื่อนกินข้าวที่น่ารัก ถึงจะหัวรุนแรงไปหน่อย แต่ก็เป็นเพื่อนที่คบหาได้ ถ้าคุณอยากลองรู้จัก สักวันผมจะแนะนำให้ ดูเหมือนจ้าวซินเขาจะสนใจพวกค้าของเก่าอยู่เหมือนกัน แต่เพราะมิสเตอร์จางประกาศตัวเป็นขาใหญ่ จ้าวซินเลยยังไม่คิดจะทำอะไร เพราะไม่อยากไปขัดแข้งขัดขาใครเข้า...แต่ในอนาคต ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะ ว่าจ้าวซินจะเอายังไงต่อ เพราะถึงหมอนั่นจะเลือดเย็นเป็นอสรพิษที่เก็บทุกคนที่ขวางทางจนเกลี้ยงได้ แต่มันโคตรขี้เกียจและขี้รำคาญ อะไรที่ดูจะยุ่งยากเป็นไปได้มันก็จะไม่ค่อยเอาตัวเข้ามายุ่ง...ตรงจุดนี้เรื่องมิสเตอร์จางคงพอสบายใจได้นิดนึง...มั้งครับ”

ดนัยพูดแค่นั้นแล้วยิ้ม แต่คนฟังอย่างอัครเดชถึงกับหน้าซีดสนิท สามชื่อที่ดนัยเอ่ยออกมาล้วนเป็นเจ้าแห่งโลกมืดรุ่นใหม่ที่ถือได้ว่ามีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ บ่อน ยา อาวุธสงคราม ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุมของสามคนนี้ทั้งสิ้น นอกจากจะยิ่งใหญ่แล้วยังเข้าถึงตัวได้ยาก ไม่มีใครจะสามารถเข้าใกล้สนิทสนมแต่นี่...ถึงขั้นได้ร่วมโต๊ะกินข้าว....ถามตัวเองว่าจะเชื่อได้หรือไม่กับสิ่งที่ดนัยพูด สามผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าถึงยากขาดนั้น ทำไมคนอย่างดนัย ถึงได้ไปสนิทถึงขั้นนั้นได้ มันน่าสงสัย แต่เรื่องที่ดนัยพูดถึง เรื่องจ้าวซินสนใจค้าของเก่า เรื่องที่กำลังเล็งจัดการมิสเตอร์จาง เรื่องเหล่านั้นข่าววงในก็ระแคะระคายกันอยู่  ข่าววงในในสายทางของเขาเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีชื่อดนัยเอี่ยวอยู่แน่ๆ แล้วดนัยรู้ได้อย่างไร จากปากจ้าวซินโดยตรง ตามที่เจ้าตัวพูดไว้จริงๆน่ะหรือ? หรือมันเป็นเพียงแค่เรื่องแอบอ้าง? แสนยากที่จะคาดเดา  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เรื่องที่ดนัยอวดโอ้มาทั้งหมดก็เข้าเค้าเรื่องจริงอย่างยากจะปฏิเสธ แค่เท่านี้มันก็เกินพอแล้ว ที่จะทำให้อัครเดชไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงอะไรกับดนัยอีก

“ก็ได้...คุณดนัย ที่ดินผืนนั้นผมยกให้คุณ”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2015 20:29:57 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ



ในที่สุด อัครเดชก็ตัดใจปล่อยที่ดินผืนสำคัญที่หมายตาเอาไว้จากมือไปในที่สุด เอาเถอะ นอกจากเสียหน้าแล้ว ก็ไม่ได้เสียอะไร ในเมื่อไม่ได้ที่ดิน เขาไปขู่เอาเงินจากบดินทร์ ลูกชายเฮงซวยของไอ้เจ้าของที่นั่นแทนก็ได้ ไม่เป็นไร แค่เสียเนื้อที่อุตส่าห์ล่าได้ ดีกว่าเสียแขนขาล่ะนะ

เมื่อการเจรจาสัมฤทธิ์ผลตามคาด ดนัยก็ส่งยิ้มพราวเสน่ห์ให้อัครเดชทันที แบบไม่มีสงวนทีท่า ไม่กลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะมองว่ากำลังเย้ยเยาะ

“ขอบคุณนะครับเสี่ย ผมนี่เคารพใจเสี่ยสุดๆไปเลย หึหึ” ดนัยกล่าวชื่นชม ที่ใครฟังก็รู้ว่าไม่ได้มาจากใจ ก่อนจะหันไปเรียกลูกน้องคนสนิท ให้หยิบกระเป๋าใส่เงินสดจำนวนสิบล้านบาทถ้วนมาให้อัครเดช เพื่อเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนดังที่ได้ตกลงกัน

“ไม่ต้องหรอกครับ ที่ผืนนั้นผมเองก็ยังไม่ได้จ่ายเงินซื้อขาย คงไม่กล้ารับเงินจากคุณหรอก” อัครเดชรีบปฏิเสธ อย่างน้อยขอเหลือศักดิ์ศรีไว้สักหน่อยเถอะ อีกอย่างการรับเงินจากดนัยอาจไม่ใช่เรื่องดีกับตัวก็เป็นได้

“แหม...อย่าเพิ่งตัดรอนสิครับ ถือว่าเป็นค่าปลอบใจ ที่โครงการรีสอร์ทสุดหรูควบบ่อนคาสิโนเป็นอันต้องล้มไม่เป็นท่าเพราะผม...รับไปเถอะครับ” ยิ่งดนัยพูด อัครเดชยิ่งได้รู้ว่าดนัยไม่ธรรมดา ราวกับถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง ทุกความเคลื่อนไหวของเขาถูกเปิดเผยในที่แจ้ง แบบหมดเปลือก อันตราย เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาช่างอันตราย

“ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆครับคุณหนู หากอยากปลอบใจผม ช่วยรับปากว่าโปรดอย่างยุ่งเกี่ยวกับผมอีกก็พอ ฝ่ายผมเองก็จะระวังอย่างสุดความสามรถครับ ที่จะไม่ไปทำอะไรขวางหูขวางตาคุณหนูอีก  ผมขอเพียงแค่นี้ หวังว่าคุณหนูคงพอจะกรุณา” อย่างไรเสียอัครเดชก็ไม่ยอมรับเงินเพราะแม้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไร ศักดิ์ศรีเจ้าพ่อของเขา ก็ใช่จะโค่นกันได้ง่ายๆ และที่สำคัญ อัครเดชมั่นใจอย่างเต็มที่ ว่าหากเผลอรับเงินก้อนนี้ ดนัยอาจเข้ามาพัวพันกับชีวิตของเขาไปอีกนาน สู้ไม่ขอรับ แล้วแลกเปลี่ยนเป็นคำสัญญาแทนเสียยังเบาใจกว่า

“อาห์...ถ้าคุณว่าอย่างนั้นผมก็คงไม่คิดบังคับใจล่ะครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอเปลี่ยนเงินสิบล้านนี่จากค่าปลอบใจ เป็นค่าไถ่ก็แล้วกัน”

“ค่าไถ่?”

ดนัยถอยแต่โดยดี พร้อมเงื่อนไขใหม่ที่ทำเอาอัครเดชต้องขมวดคิ้วสงสัยอีกครั้ง ‘จะมาไม้ไหนอีกวะ?’

“สิบล้าน จำนวนเงินเท่ากับหนี้ที่บดินทร์ติดคุณอยู่ไงครับ ผมขอไถ่ตัวเขาเป็นไทจากคุณ คราวนี้รับเงินผมได้อย่างสบายใจแล้วสินะ”

ในที่สุดอัครเดชก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ทั้งหลายทั้งปวงหมู่มวลเหตุผลร้อยแปด ที่ดนัยดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่ แท้จริงแล้วเพื่ออะไร

‘เพื่อช่วยบดินทร์’

ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่า บดินทร์ไปเป็นคนของดนัยตอนไหน อัครเดชเองก็มีหูมีตาเป็นสัปรด เจ้าพ่ออย่างเขาที่รู้แทบจะทุกเรื่องเกี่ยวกับลูกท่านหลานเธอ เพราะมันจะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ในธุรกิจของเขาได้ และนั่นหมายถึงว่าเรื่องของดนัยเอง เขาก็พอจะรู้ แม้จะไม่ได้แม่นยำมาก เพราะอีกฝ่ายโกอินเตอร์อยู่เมืองนอก แต่ตอนช่วงที่ดนัยกลับมาไทย อัครเดชก็พอเห็นข่าวคราวอยู่บ้าง ส่วนใหญ่แล้วดนัยไม่มีการรับงานในไทยมากนัก เพราะเป็นแค่การกลับมาพักผ่อน จะเห็นมีสนิทสนมก็แค่สดายุ กับกฤตเมธ ไม่เห็นมีข่าวไหนโยงไปถึงตัวบดินทร์เลยแม้แต่นิด ไม่เคยร่วมงาน ไม่เคยพูดคุย ไม่มีทีท่าว่าดาราสองคนนี้จะมาสนิทชิดเชื้อขนาดที่ดนัยถึงกับหอบเงินสิบล้านมาใช้หนี้แทน แถมข่มขู่สารพัดเพื่อให้เขาตัดใจจากที่ดินของบ้านบดินทร์อีกต่างหาก นี่...เขาพลาดอะไรไปตอนไหนกันนะ

“นึกไม่ถึง ว่าคุณกับคุณบดินทร์จะสนิทกัน”  อัครเดชลองถามหยั่งเชิง

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ...” ทว่าดนัยไม่ยอมตอบ เพียงแค่ยิ้ม แล้วพยักเพยิดกระเป๋าเงินจำนวนสิบล้านให้เท่านั้น

“งั้นผมก็เต็มใจรับไว้ ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ ไม่นึกว่าบดินทร์จะเป็นคนของคุณ”

อัครเดช ยอมรับเงินไว้ในที่สุด เพราะมันคือเงินในส่วนที่เป็นสิทธิ์ที่เขาพึงได้ รับมาพร้อมกล่าวขอโทษที่เผลอล่วงเกินโดยไม่ตั้งใจ หากรู้ว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ เขาคงไม่เลือกบดินทร์เป็นเหยื่อตั้งแต่แรก…พลาดไปเสียแล้ว

“ขอบคุณที่ยอมรับเงินนี่ครับ ตามที่คุณขอมาให้เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีกนั้นผมทำให้ได้ทุกอย่างเลย ถ้าคุณยอมทำตามเงื่อนไขของผมข้อนึง”
เห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับเงินไปดนัยก็เอ่ยปากต่อรองเรื่องสุดท้ายให้อีกฝ่ายได้ใจตุ้มๆต่อมๆอีกครั้ง

“เงื่อนไข? เชิญคุณเสนอได้เลยครับ” อัครเดชเปิดทางอย่างไม่มีอิดออดถึงตอนนี้มีอะไรบ้างล่ะที่เขาจะสามารถใช้ขัดแข้งขาคนตรงหน้าได้จะเป็นเจ้าพ่อได้ต้องคิดถ้วนถี่แข็งได้อ่อนเป็น

“ถ้าคุณสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับบดินทร์และครอบครัวอีกผมก็จะช่วยคุยกับจ้าวซินให้ว่าควรปล่อยมิสเตอร์จางไปตามทางของเขาและไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่งกับวงการค้าของเก่าในเขตของคุณ คุณอัครเดชว่าข้อแลกเปลี่ยนนี้คู่ควรพอแล้วหรือไม่ครับ หรือคุณต้องการอย่างอื่นอีก?”

“โอ...แค่นี้ก็ขอบคุณแล้วครับ ความจริงแค่ชดใช้หนี้สิบล้านเสร็จสิ้น ผมก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับคุณบดินทร์อีกอยู่แล้ว แต่หากคุณหนูกรุณาผมถึงขนาดช่วยคุยกับจ้าวซินให้ ผมก็ยินดีขออรับน้ำใจไว้ไม่ขัดข้องครับ”

จริงไม่จริงไม่รู้ล่ะตกลงเอาไว้ก่อนหากข่าววงในหลังจากนี้เป็นไปดังที่ดนัยว่าเขาก็จะยอมรับนับถือเด็กคนนี้เอาไว้และรักษาคำสัญญาเป็นอย่างดีแต่ถ้าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าทั้งหมดเป็นเพียงคำลวงล่ะก็ถึงวันนั้นค่อยหาวิธีจัดการเอาคืนให้สาสมกับความเจ็บแสบที่ถูกล้อเล่นกับศักดิ์ศรีเจ้าพ่ออย่างเขาให้ดู จะจัดการจนล่มจมให้หมดทั้งตระกูล เอาให้เสียใจที่เกิดมาเลยทีเดียว!

“คุณรับปากผมแล้วนะ”

“ด้วยเกียรติ์ของผมเลย”


“งั้นเป็นอันว่าการเจรจาธุรกิจของเราไปได้สวยและจบลงด้วยดีขอบคุณที่สละเวลาครับเสี่ยอัครเดช”  เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการดนัยก็ยืนขึ้นพร้อมยื่นมือให้อัครเดชเพื่อเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญาระหว่างกัน

“ยินดีครับ”  อัครเดชเองก็ลุกขึ้นพร้อมเอื้อมมือไปจับมือกับดนัยเพื่อยอมรับข้อตกลงอย่างว่าง่าย

ดวงตาสองคู่จดจ้องกันอย่างไม่ลดละทั้งที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับแฝงแววระแวดระวังภัย

หลังจากตกลงธุรกิจกันเสร็จสิ้นดนัยก็ขอตัวกลับไปในทันทีแบบไม่ต้องให้เสียเวลาเชิญ และไม่ยอมพิรี้พิไรขออยู่ให้ต้องเลี้ยงอาหารตามมารยาท ก่อนจากไปยังมีทิ้งท้ายให้อัครเดชต้องนั่งกุมขมับอีกเล็กน้อย

‘อ่อ...ฝากเตือนน้องสะใภ้คุณด้วยนะครับว่าให้เลิกยุ่งกับกฤตเมธและสดายุเสียทีมันหมดเวลาเล่นสนุกของเด็กน้อยแล้วนะครับ ผมรู้คุณเองก็คงเหนื่อยตามล้างตามเช็ดแล้วเหมือนกัน เพราะงั้น ขอฝากด้วยนะครับ’

เจ้าพ่อรุ่นใหญ่นั่งกอดอกครุ่นคิดเพียงลำพังในห้องโถงกว้างขวาง ถึงสิ่งที่ตัวเองได้ประสบมาวันนี้

ดนัยผู้ที่เขาเคยมองเห็นเป็นเพียงลูกแมวตัวน้อยผู้เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองแน่ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกเลี้ยงดูอยู่แท้ๆ ทว่าวันนี้อัครเดชเพิ่งประจักษ์กับตาว่าที่เขาเห็นมาตลอดนั้นล้วนเป็นภาพลวง ลูกแมวที่ไหนกันลูกเสือตัวใหญ่เลยต่างหาก เผลอแค่นิดเดียวเขาก็เกือบโดนขย่ำคอตายโดยไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว ไอ้ลูกเสือที่แสร้งทำตัวเป็นลูกแมวนั่นซ่อนเขี้ยวเล็บแหลมคมขนาดไหนเอาไว้กันแน่นะ

อัครเดชถอนหายใจเฮือกเจ้าพ่อหนุ่มพยายามข่มกลั้นความเดือดดาลพยายาม สะกัดกั้นไม่ให้ความหวาดกลัวภายในจิตใจหลุดรอดออกมา คนอย่างเขากว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้ความแข็งแกร่งและความเลือดเย็นตั้งมากมายเท่าไหร่ หลังขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของกลุ่ม เขาอุตส่าห์ใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังมาตลอดทุกการเคลื่อนไหว ทุกย่างก้าวเงียบเชียบ มีสติทุกครั้งที่ลงมือทำอะไรสักอย่าง มั่นใจว่าความในที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเขานั้นแทบจะไม่มีเล็ดรอด เขาเชื่อมั่นอย่างนั้นจนกระทั่ง ได้มาเจอกับดนัยนี่แหละ คนอย่างดนัย...แค่คนอย่างดนัยกลับรู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมดที่เขาเป็น รู้ทุกความเคลื่อนไหว รู้แม้กระทั่งความสัมพันธ์ของเขากับคนที่คาดไม่ถึง มันรู้แม้กระทั่งปูมหลังว่าเขาเป็นใคร

ยิ่งคิดยิ่งหนักอก จากนี้ไปคงต้องใช้สายตามองคนใหม่และยังต้องเพิ่มการระมัดระวังมากขึ้นด้วย ขืนยังเป็นอย่างนี้ไม่แคล้วคงต้องพลาดท่าเสียทีใครๆ อีกเป็นแน่.....

“นายครับคุณชิดจันทร์มาขอพบครับ”

ขณะกำลังนั่งวิเคราะห์ตกผลึกความคิดของตัวเองลูกน้องคนสนิทก็ขออนุญาตเข้ามาแจ้งว่ามีคนขอเข้าพบซึ่งคนคนนั้นก็ใช่ใครอื่นชิดจันทร์ตัวปัญหานั่นเอง

“ให้เข้ามาได้เลย”  อัครเดชอนุญาตโดยไม่ต้องคิด ชิดจันทร์มาวันนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะเขามีเรื่องที่จะต้องตกลงกับเจ้าหล่อนให้เป็นที่เรียบร้อย

“วันนี้ทำไมเข้าถึงตัวยากจังคะพี่เดช? บอดีการ์ดยืนกันเต็มบ้านเชียว จะมีตำรวจมาตรวจบ่อนอีกแล้วเหรอ?”

เพียงไม่ถึงอึดใจเสียงหวานใสก็นำมาก่อนจะทันได้เห็นตัวเสียอีก อัครเดชไม่ได้หันไปมองเพราะรู้ว่าเดี๋ยวตัวก็มาปรากฏตรงหน้าอยู่แล้ว

ไม่นานนักรูปร่างสูงระหงสมส่วนในชุดเดรสชีฟองแขนกุดสีโอลด์โรสสดใสขับผิวขาวผ่องให้น่ามองก็นวยนาดเข้ามานั่งแปะลงบนโซฟาหรูตรงข้ามกับอัครเดชอย่างคุ้นชินโดยไม่ต้องเชิญ ใบหน้าสวยหวานส่งยิ้มให้อัครเดชไม่ขาด ผมยาวหยักศกสีน้ำตาลอ่อนมัดครึ่งศีรษะ ติดโบว์สีเดียวกับชุด ดูเป็นสาวน้อยแสนหวาน น่ารักน่ามอง จนแม้แต่อัครเดชยังต้องมองค้างทุกครั้งที่ได้เจอหน้า

ไม่ได้หลงเสน่ห์หรอกนะ แต่เห็นทีไร เจ้าพ่อหนุ่มเผลอคิดไปเสียทุกทีว่า ‘รูปลักษณ์ช่างตรงกันข้ามกับนิสัยอย่างสิ้นเชิงเลยจริงๆ’

“มีอะไรมาอีกล่ะ ถึงมาหาพี่ถึงที่นี่ได้”  อัครเดชถามขึ้นโดยไม่มีอ้อมค้อม เพราะทุกครั้งการมาของชิดจันทร์ มักมาพร้อมเรื่องชวนปวดหัว

“แหม...ดักคอกันเลยนะคะพี่เดช ชิดแค่อยากมาเยี่ยมไม่ได้หรือไง?” ชิดจันทร์ค้อนขวับเข้าทันที ก่อนจะประชดเล็กๆออกไป แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก เพราะอย่างไรเสีย ก็ถูกของอัครเดชแล้วล่ะ หล่อนมาเพราะมีเรื่องอยากขอให้ช่วยจริงๆ

ชิดจันทร์กับอัครเดชรู้จักกันมาเกือบจะเก้าปีเต็มแล้ว ตั้งแต่ที่ชิดจันทร์เข้ามาอยู่กับทศพล น้องชายคนเดียวของอัครเดช ตอนนั้นอัครเดชยังไม่ใช่เจ้าพ่อที่สมบูรณ์แบบอย่างเช่นตอนนี้หรอก เท่าที่ชิดจันทร์จำได้ ตอนนั้นสองพี่น้อง อัครเดช ทศพล ยังทำงานเป็นลิ่วล้อให้เจ้าพ่อสักคนอยู่เหมือนกัน อัครเดชเพิ่งจะมายิ่งใหญ่ได้ ก็ตอนที่ทศพลถูกจับ และชิดจันทร์ไปอยู่ที่ต่างประเทศแล้ว

แม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่พอมีโอกาสที่พบกันอีกครั้ง ความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัวเดียวกัน ยังคงรั้งให้อัครเดชและชิดจันทร์คงความสนิทสนมเหมือนวันวาน

ชิดจันทร์ผู้ที่คิดว่าตนไม่เหลือใครอีกแล้วบนโลก ยึดถืออัครเดชเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่หล่อนเหลืออยู่

ส่วนอัครเดชนั้น ก็ยึดมั่นในคำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องชายคนเดียวของตนอย่างทศพล ว่าให้ช่วยดูแลชิดจันทร์เป็นอย่างดี ชนิดท่องจำขึ้นใจ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่แวะไปเยี่ยมเยียนที่เรือนจำ ทศพลก็จะย้ำทุกครั้ง จนอัครเดชจะฝังใจตายอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลย ที่ชิดจันทร์จะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจอัครเดชมาก และอัครเดชเองก็เอ็นดูชิดจันทร์ผู้เป็นน้องสะใภ้ไม่ต่างกัน

“เออ พี่ขอโทษ แล้วมีเรื่องอะไรหรือเปล่า อันนี้ถามจริง”  ถูกแขวะไปก็เท่านั้น อัครเดชไม่เจ็บไม่คันเสียอย่าง เจ้าพ่อถอนหายใจเหนื่อยหน่าย พร้อมถามออกไปตรงๆอีกครั้ง

“พี่ช่วยสืบให้หน่อยสิ ว่าไอ้บดินทร์มันไปซุกหัวอยู่ที่ไหน ตั้งแต่มันทำงานพลาดแล้วออกคลิปป่วนฉันเนี่ย มันก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ฉันตามหามันจนจะพลิกแผ่นดินอยู่แล้ว”

อัครเดชก็กะไว้อยู่แล้วว่าชิดจันทร์ต้องมาด้วยเรื่องนี้ ถ้าหล่อนมาขอความช่วยเหลือจากเขาก่อนหน้านี้สักหนึ่งชั่วโมง เขาคงส่งคนออกตามสืบให้อยู่หรอก แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว บดินทร์ไม่ใช่คนที่จะแตะต้องได้อีกต่อไป งานนี้นอกจากจะช่วยไม่ได้แล้วเขายังต้องปรามชิดจันทร์ให้เลิกยุ่งกับบดินทร์อย่างเด็ดขาดด้วย

“พี่ว่าชิดเลิกยุ่งกับบดินทร์เสียจะดีกว่านะ พวกกฤตเมธกับสดายุด้วย”  ร่างสูงใหญ่บอกกล่าว ขณะเอนหลังพิงพนักโซฟา แล้วยกมือขึ้นขยี้หัวคิ้วด้วยความเหนื่อยอ่อน

“หมายความว่ายังไงคะ พี่เดช? คนของพี่ไม่ว่างเหรอ?”  ชิดจันทร์สงสัยหนัก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนถูกปฏิเสธคำขอความช่วยเหลือ คิ้วเรียวทรงสาวเกาหลีขมวดยู่ ใบหน้าสวยหวานบึ้งมุ่ย ไม่น่ามอง

“ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นยังไงแต่ตอนนี้บดินทร์ไม่ใช่คนที่เราจะไปรังแกได้อีกแล้วล่ะ วางมือซะเถอะชิด” อัครเดชอธิบายเสียงเนิบนาบ รอฟังการตอบโต้จากชิดจันทร์อย่างใจเย็น

“จู่ๆมันเกิดอะไรขึ้นคะพี่เดช? ทำไมไอ้บดินทร์ถึงกลายเป็นคนที่พี่แตะต้องไม่ได้ไปเสียแล้วล่ะ? เรื่องตลกหรือเปล่าคะเนี่ย?” ชิดจันทร์ลุกลี้ลุกลนถามไถ่เพราะเรื่องที่เพิ่งได้ยินเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินกว่าจะทำใจยอมรับ

"ไม่ตลกหรอกพี่เองก็เพิ่งรู้ไม่นานนี่แหละ"

"อะไรกันจู่ๆเกิดกลัวอะไรขึ้นมาคะพี่เดชแล้วนี่พี่ได้ที่ดินจากพ่อมันหรือยังคะ?"

"ไม่ได้"

"อ้าว? ทำไมล่ะคะอย่าบอกนะว่าไอ้บดินทร์มันมีสิบล้านมาคืนพี่แล้ว?"  ทันทีที่ชิดจันทร์ขึ้นเสียงถามอัครเดชก็พยักหน้าบุ้ยใบ้ไปที่กระเป๋าใส่เงินสิบล้านให้ชิดจันทร์ได้กระจ่างตา

"น...นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ยไอ้หมาจนตรอกนั่น...มันไปเอาเงินเยะขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน?"

"ชิด...มีคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจมากกว่าพี่หนุนหลังบดินทร์อยู่ สิบล้านนี่เขาเอามาให้พี่เพื่อไถ่ตัวบดินทร์ พร้อมกับข้อต่อรองบางอย่างแลกกับการที่พี่จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับบดินทร์และที่ดินผืนนั้นอีก"

"เขา...เป็นใครกันคะ?"

คำอธิบายพร้อมใบหน้าเครียดขึงของอัครเดชทำให้ชิดจันทร์กระจ่างใจ ในที่สุดเข้าใจแล้วว่าแตะต้องบดินทร์ไม่ได้ แต่ข้องใจเหลือเกินว่าผู้ยิ่งใหญ่หน้าไหนกันนะที่สอดมือเข้ามายุ่งกับคนอย่างบดินทร์

"...พี่ว่าชิดไม่ต้องรู้หรอกบอกไปก็คงไม่รู้จัก รู้แค่ว่าเขาร้ายกาจ และพร้อมจะถล่มธุรกิจของเราให้ย่อยยับได้ในพริบตาถ้าพี่กล้าแข็งข้อ..."

ตอนที่ชิดจันทร์ถามว่าคนคนนั้นเป็นใครอัครเดชก็คิดจะบอก เพียงแค่เอ่ยชื่อดนัยชิดจันทร์ที่คลุกคลีในวงการก็คงรู้จักทันทีว่าดนัยเป็นใคร ทว่าเมื่อหันกลับมาคิดดูอีกครั้ง การบอกว่าคนคนนั้นเป็นใครให้ชิดจันทร์ได้รู้ อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เขาไม่รู้ว่าบดินทร์นั้นต้องการให้เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างพวกเขาหรือไม่ และที่สำคัญอัครเดชไม่วางใจชิดจันทร์เท่าไหร่ ขืนรู้ว่าคนที่ช่วยบดินทร์เป็นใคร ไม่แน่ว่าเจ้าหล่อนอาจเผลอลงมือทำอะไรลับหลังเขา จนทำให้เกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โตขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นกันไว้ย่อมดีกว่าแก้ไม่ต้องให้รู้แหละดีแล้ว...

"เชอะ...น่าเจ็บใจที่สุดเลยชิดกะจะเล่นมันให้หนักเชียวที่กล้าออกคลิปเวรๆ นั่น แต่กลับแตะต้องไม่ได้แล้วแบบนี้มันน่าแค้นใจจริงๆ!!"  เมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้ถึงบุคคลปริศนาด้วยข้ออ้างที่ว่าบอกไปก็ไม่รู้จัก แม้ชิดจันทร์จะขัดใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่อยากรบเร้า เพราะหล่อนรู้ดีว่าแม้อัครเดชจะใจดีกับหล่อนมากแค่ไหนแต่ชายหนุ่มเองก็ไม่ชอบโดนขัดใจมากที่สุดเช่นกัน หากบอกว่าไม่ก็ต้องเป็นไม่เท่านั้น

"แล้วเธอจะเอายังไงต่อไปชิด?"  เห็นว่าชิดจันทร์ไม่รบเร้าอัครเดชก็เบาใจขึ้นหน่อยตอนนี้เขายังไม่ค่อยมีอารมณ์ทะเลาะกับใครสักเท่าไหร่เพราะยังรู้สึกโหวงในใจกับของที่เขาต้องชวดหลุดมือแบบไร้ทางกระเสือกกระสน แต่ถึงจะปรามให้ชิดจันทร์เลิกยุ่งกับบดินทร์ได้แล้วก็ยังเหลือตัวปัญหาอีกสองคนที่ต้องกล่อมให้ชิดจันทร์ยอมรามือด้วย

กฤตเมธและสดายุ

"ไม่รู้สิตอนนี้ชิดไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้นแหละ"

"...เลิกราวีไอ้คู่เกย์นั่นแล้วเหรอ?  ทำไม? สะใจแล้ว? พอแล้ว?"  เห็นสาวเจ้าตอบหน้าเซ็งอัครเดชก็เริ่มใจชื้นหรือว่าชิดจันทร์จะยอมรามือโดยที่เขาไม่ต้องกล่อมอะไรเลย ถ้าได้แบบนั้นได้ก็เยี่ยม

"ยังหรอกเพียงแต่ตอนนี้ชิดไม่มีอารมณ์ทำน่ะ ก็แม่น่ะสิหายไปไหนก็ไม่รู้ สาปสูญอย่างกับตาย แล้วถ้าคุณนายเสน่ห์จันทร์ไม่อยู่ดูความหายนะของลูกรัก ทำอะไรกฤตเมธไปก็ไม่มีความหมาย น่าเบื่อจะตาย สิ่งที่อยากทำตอนนี้นะมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ คือลากคอไอ้บดินทร์มาตบปากสักฉาด!”  ได้ยินคำเฉลยของชิดจันทร์อัครเดชก็ได้แต่ถอนหายใจเขาเองก็เกลียดเสน่ห์จันทร์ เกลียดจนเข้ากระดูกดำเพราะหล่อนทำให้น้องชายของเขาต้องติดคุกตลอดชีวิต แต่พอเห็นหล่อนโดนลูกสาวแท้ๆพยายามทำร้ายน้ำใจสารพัด เป็นแม่ที่โดนลูกในใส้เกลียดขี้หน้า ก็อดเห็นใจเล็กๆไม่ได้

"ตัดใจเรื่องบดินทร์ซะ อย่าทำให้พี่ต้องลำบากใจน่าชิด"  เห็นใจเสน่ห์จันทร์ก็ส่วนหนึ่งแต่พอได้ยินว่าชิดจันทร์เดือดดาลเรื่องบดินทร์แค่ไหนอัครเดชก็ต้องรีบห้าม หากชิดจันทร์บังเอิญเจอกับบดินทร์แล้วลงมือทำอะไรขึ้นมา เขาจะพาลซวยไปด้วย มั่นใจเลยดนัยรู้แน่หากเกิดอะไรขึ้น

"ก็มันน่าโมโหจริงๆนี่ ตั้งแต่มันออกคลิปแล้วหายหัวไป พวกนักข่าวก็ตามไล่ล่าฉันอย่างกับหมาล่าเนื้อ ตามราวีไปทุกที่เลย น่าโมโหที่สุดวันนี้ก็เหมือนกัน กว่าจะหลุดหนีมาถึงนี่ได้ หลบแทบตาย แบบนี้จะไม่ให้แค้นได้ยังไงล่ะคะ!?"  ยิ่งพูดชิดจันทร์ก็ยิ่งเดือดดาลโดยเฉพาะเมื่อหวนนึกถึงถ้อยคำในคลิปที่บดินทร์ใช้ ถ้อยคำหยาบคายก่นด่าหล่อนออกสื่อ ชิดจันทร์ยิ่งโกรธจนตัวสั่น

"ไหนเธอเคยบอกพี่ว่าไม่กลัวการเป็นข่าวไง ชอบเสียอีกไม่ใช่เหรอ จะได้ทำให้แม่เธอปวดหัวได้น่ะ" 

"ก็นั่นเป็นข่าวที่ชิดตั้งใจนี่คะ! พอสร้างข่าวได้แม่ก็จะร้อนรนวิ่งปิดข่าวให้จนเนื้อตัวสั่น จนมันเงียบไปไม่มีอะไรเสียหายนี่ แต่นี่มันต่างกันไอ้บดินทร์มันดันมาสร้างข่าวตอนแม่ไม่อยู่แ ถมมันยังพูดจาหมาไม่แ-กอีกต่างหาก ยิ่งพูดชิดยิ่งเกลียดมันจนอยากจะทึ้งหนังหน้ามันให้หลุดติดมือ!!"

“เอาเถอะ จะโกรธจะอะไรก็ตามสบายแล้วกัน แต่ห้ามยุ่งกับบดินทร์แค่นั้นพอ พี่ไม่อยากมีปัญหา”  อัครเดชปรามแบบเอือมๆ มองด้วยสายตาไม่เข้าข้าง ก็เห็นได้ชัด ว่าทั้งหมด ชิดจันทร์ทำตัวเองทั้งนั้น

“ก็เพิ่งรู้วันนี้แหละ ว่าเจ้าพ่อระดับพี่เดช จะตาขาวเป็นกับเขาเหมือนกัน จะกลัวอะไรกันขนาดนั้นก็ไม่รู้ ถ้าชิดเป็นคนลงมือ แล้วสร้างข่าวกลบเกลื่อน ไอ้คนใหญ่คนโตของพี่คนนั้นเขาอาจไม่รู้เรื่องก็ได้ ให้เดา คงเป็นแค่ตาแก่แม่ม่ายตัญหากลับ แฟนคลับของไอ้บดินทร์มันล่ะสิ คงอยากแซ่บดาราขาลง เลยมาขอพี่ไว้ใช่ไหมล่ะ ไม่รู้ว่าพี่จะไปกลัวคนพวกนั้นจนหัวหดทำไมกัน”  ถูกขัดใจหนักข้อเข้า ชิดจันทร์ก็เริ่มไม่พอใจอัครเดช จนอดรนทนไม่ไหว ถึงกับหลุดปากลามปามออกมา

“ชิด ที่พี่ตามใจเธอทุกวันนี้ก็เพราะไอ้พลมันฝากเธอไว้กับพี่หรอกนะ ไอ้พลมันเป็นน้องชายที่พี่รักมาก และพี่สัญญาว่าจะดูแลผู้หญิงของมันให้ดีที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการยอมให้เธอทำตามใจชอบได้ทุกเรื่องหรอกนะชิด! ธุรกิจยังคงเป็นธุรกิจ พี่คงตามใจ ให้เธอเล่นมากไปกว่านี้ไม่ได้ ไม่งั้นเราได้พังกันหมด แล้วไม่ต้องเดาด้วยว่าคนคนนั้นเป็นใคร เพราะเธอคิดไม่ถึงหรอก รู้ไว้แค่ว่า ไม่ใช่แค่พวกมีเงินมีบารมีกระจอกๆแน่ อำนาจที่เขามี บางทีอาจถล่มบ่อนนี้ กับธุรกิจทุกอย่างของเราให้ล่มจมได้ภายในชั่วข้ามคืนเลยก็เป็นได้ อย่าเอานิสัยทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังของเธอมาใช้กับพี่ เข้าใจตรงกันนะชิดจันทร์” 

เห็นว่าชิดจันทร์เริ่มเล่นแง่ ไม่ยอมฟัง อัครเดชก็หมดความอดทน ปกติคนอย่างเขาก็ไม่จำเป็นต้องคอยมานั่งเอาใจใครอยู่แล้ว

“...ชิดขอโทษค่ะ ชิดไม่ยุ่งแล้วก็ได้” พอถูกพาลใส่ชิดจันทร์ก็ไม่มีทิฐิจะโต้เถียงต่อ เพราะถึงอย่างไร การตัดสินใจของอัครเดช ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดอยู่แล้ว  “งั้น ชิดขอตัวกลับเลยแล้วกันนะคะ ไว้พี่อารมณ์ดีเมื่อไหร่ ชิดค่อยมาเยี่ยมใหม่แล้วกันค่ะ”  จากนั้นก็ขอตัวกลับแบบไม่ต้องให้อีกฝ่ายออกปากไล่

เจ็บใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย!

แต่ถึงกระนั้น ก็ใช่ว่าชิดจันทร์จะยอมเลิกรา...

“อย่าให้ฉันเจอเชียว ไอ้บดินทร์ ต่อให้คนที่เป็นแบ็คแกจะใหญ่แค่ไหนก็เถอะ ฉันจัดแกหนักแน่!”  ชิดจันทร์บ่นงึมงำอย่างหัวเสีย ตลอดทางเดินออกจากคฤหาสน์เจ้าพ่ออัครเดช เจ้าหล่อนเจ็บใจเสียยิ่งกว่าเจ็บใจ ตอนนี้เป้าหมายการทำลายล้างเบี่ยงเป้าจากกฤตเมธมาเป็นบดินทร์อย่างสมบูรณ์ และดูเหมือนโชคแห่งความชั่วร้าย จะเข้าข้างหล่อนอยู่ไม่น้อย

“ผมช่วยได้นะครับคุณหนูชิดจันทร์ เรื่องตามหาบดินนทร์...”

เสียงที่ดังตามหลังขึ้นมา ทำชิดจันทร์ต้องหันกลับไปมองด้วยสายตาแสดงความร้ายกาจเต็มขั้น เป็นปกติหล่อนคงผรุสวาทคนไม่รู้จักมารยาทที่บังอาจมาขัดเวลาส่วนตัวของหล่อน ถ้าไม่ติดที่ว่าฝ่ายนั้นมีข้อเสนอที่น่าสนใจที่สุดล่ะก็...

“แกเป็นใคร? ฉันไม่เห็นคุ้นหน้า”  แต่จะให้ตะครุบเหยื่อเลย มันก็ไม่ใช่วิสัยของชิดจันทร์สักเท่าไหร่ หล่อนไม่วางใจคนที่เพิ่งเจอหน้าง่ายขนาดนั้นหรอก มองดูก็รู้ว่าเป็นลูกน้องของอัครเดช แต่ชิดจันทร์ก็อยู่มานานพอ ที่จะจำใบหน้าของลูกน้องคนสนิทของอัครเดชได้เกือบทุกคน เว้นเสียแต่คนตรงหน้าคนนี้ ใครกันนะ ไม่เห็นคุ้นหน้า

“ผมชื่อ พิมานครับ เพิ่งจะมาอยู่กับเสี่ยไม่นาน”

ชายตรงหน้าตอบคำด้วยความนอบน้อม กิริยามารยาทดี จนชิดจันทร์ยังอดชื่นชมเล็กๆไม่ได้

“หน้าตาออกจะดี ทำไมมาทำงานเป็นเด็กพี่เดชได้ล่ะ” เพราะอีกฝ่ายดูมีมารยาทมากกว่าที่คิด ชิดจันทร์เลยผ่อนคลายความดุร้ายลงให้ แต่ก่อนจะเข้าเรื่อง หล่อนต้องสัมภาษณ์ประวัติผู้ที่อาจได้ร่วมงานกันเสียก่อน เพื่อความปลอดภัย

“ผมเคยเป็นนักแสดงมาก่อนน่ะครับ แต่ช่วงหลังงานหด ไม่มีงาน ไม่มีเงินแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ได้เสี่ยช่วยไว้พอดีน่ะครับ ผมเลยออกจากวงการแล้วมาทำงานกับเสี่ย เพื่อเป็นการตอบแทน”  คำอธิบายสร้างความพอใจไม่น้อย ก็พอไหวล่ะนะ ประวัติน่าสงสาร พอจะผ่านได้อยู่

“เหรอ? ไม่ค่อยคุ้นหน้านะ ว่าแต่แกจะหาตัวบดินทร์ให้ฉันได้ยังไง?”

“ผมพอจะรู้ครับ ว่าใครรู้ที่ซ่อนของบดินทร์”

“ใคร?”

“สดายุครับ”

“หึ...แกรู้ได้ยังไง ว่าไอ้สดายุมันรู้”

“มันเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ไม่เชื่อ ผมพาไปหาสดายุตอนนี้เลยก็ได้ครับ”

“แกรู้เหรอ ว่ามันอยู่ไหน?”

“มันถ่ายหนังอยู่ที่ตึก อโณทัย ไอเอฟบี ทาวเวอร์ ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่นครับ พาขึ้นไปเจอตัวมันได้ง่ายๆเลย”

“ดี...งั้นพาฉันไปหามันเดี๋ยวนี้เลย”


***************

******************************

************************************************

*****************************************************************

************************************************

******************************

***************

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2015 20:33:26 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ
"อ๊ะ...อื้อ...ปล่อยนะ!!...อื้อ...อึก..."

ร่างบางผลักอกร่างสูงใหญ่กำยำกว่าที่กำลังรุกรานตัวเองอยู่ออกอย่างแรง แต่มือแกร่งของผู้รุกรานนั้นก็ราวกับหนวดปลาหมึก เพราะนอกจากจะไม่ยอมหลุดจากร่างแล้ว ยังพัวพันไว้ไม่ยอมห่างอีกต่างหาก  ริมฝีปากร้อนผ่าวยังคงรุกไล่ไม่เลิก บดขยี้จนราวกับจะให้ริมฝีปากบอบบางนั้นยิ่งบอบช้ำ

เพี๊ยะ!

“.......................”

“แฮ่ก แฮ่ก... ฮึ่ย ไปบ้าอะไรไปแล้ววะ ไปหมอโรคจิต!!”

"...ข...ขอโทษ..."

"ไม่ต้องมาขอโทษเลย ถอย! ผมจะกลับแล้ว!!"

"เดี๋ยวสิ ซอ ฟังฉันหน่อย..."

"ไม่!!"

ปึ่ง!

ร่างเล็กกว่าถูกกักเอาไว้ได้พอดีอยู่ตรงหน้าประตู พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่คร่อมกักเอาไว้ไม่ให้หนีหาย

การถ่ายทำฉากของหมอธเนศและซอฉากรองสุดท้าย กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น นักแสดงอย่างพอร์ชและรุจน์นั้นมีสมาธิกับบทบาทดีมาก ไม่มีหลุดบท หรือผิดคิว ให้ผู้กำกับต้องหัวเสียก่อนปิดกล้องแต่อย่างใด อาจเหลือเพียงอารมณ์ของการแสดงที่อาจยังเข้าไม่ถึงบทบ้างในบางทีก็เท่านั้น ซึ่งก็แค่โดนผู้กำกับอ๊อดสั่งคัทแค่ไม่กี่เทค ไม่ได้หนักหนาเหมือนช่วงเริ่มแรก เป็นการพัฒนาที่น่าทึ่ง ที่ทั้งสดายุและกฤตเมธ อดที่จะร่วมยินดีไปด้วยไม่ได้

“สองคนนั้นเก่งขึ้นเยอะเลยนะครับ สมาธิดีขึ้นเยอะเลย...คุณว่าไหม?” 

เสียงแหบเสน่ห์กระซิบแผ่วข้างหู เรียกกฤตเมธให้ต้องหันไปยิ้มรับโดยอัตโนมัติ กะว่าจะได้เจอแก้มนิ่มๆ ให้ได้ขโมยหอมซักฟอด โดยแสร้งว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ ที่ไหนได้ ความจริงตรงหน้า กลับเป็นแก้วกาแฟเย็นเจี๊ยบรออยู่แทน

“ผมเอากาแฟแก้ง่วงมาให้ เจ้าข้างล่างตึกนี่ อร่อยอย่าบอกใคร คราวที่มาถ่ายทำที่นี่คราวที่แล้วผมเคยกิน การันตีได้เลย”  สดายุยกยอสรรพคุณกาแฟแก้วเขื่องในมือเป็นการใหญ่ แกล้งทำเป็นไม่เห็นโจรแก่กระจอก ที่กำลังหน้ายู่ใส่ตน เพราะพลาดจังหวะฉวยโอกาสงามๆ

“ไวจริงนะ นางเอกผมเนี่ย” กฤตเมธกระเง้ากระงอดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มรับกาแฟจากมือของสดายุไปดูดเสียเฮือกใหญ่...ชื่นใจเหลือเกิน

“มุขเสี่ยวลุงอ่ะ ผมรู้ทันหมดแล้วล่ะ หึหึ เป็นไง อร่อยป่ะ”  สดายุแอบจิกเล็กๆ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งข้างคนรัก พร้อมดูดกาแฟลาเต้หอมหวานในมืออย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อย แต่ผมว่ากาแฟปั่นที่ยุเคยทำให้กินอร่อยกว่า” อันนี้กฤตเมธไม่ได้แกล้งชม แต่พูดจากใจ เพราะในชีวิตจริง แม้ฝีมือการทำกับข้าวจะไม่เอาอ่าว แต่การชงกาแฟนั้นอร่อยจนต้องออกปากชม กฤตเมธรู้ว่าสดายุชอบทำกาแฟมาก ชอบขนาดที่ในห้องคอนโดเล็กๆนั่น ยังมีเครื่องทำกาแฟ เครื่องตีฟองนม แม้แต่ที่บีบวิปครีม ครบครัน จนกฤตเมธยังรู้สึกตกใจตอนที่ได้เห็นครั้งแรก

“หึหึ ของมันแน่อยู่แล้ว ก็ผมเป็นสุดยอดบาลิตต้านี่นา” สดายุรับคำด้วยความภาคภูมิใจ เขามั่นใจในฝีมือของตัวเองจริงๆ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ชงเป็น แต่เขาถึงขนาดเคยสมัครเรียนการเป็นบาลิตต้ามาแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังโด่งดัง

เรื่องที่ชอบทำกาแฟนั้น กฤตเมธรู้ดี แต่เรื่องที่ว่าทำไมถึงชอบนั้น สดายุยังไม่เคยบอกใคร

เหตุผลที่ชอบน่ะเหรอ... ‘หืม...กาแฟที่ลูกชงให้เนี่ย อร่อยที่สุดในโลกเลยนะ’ 


แล้วนี่พวกนักข่าวข้างล่างไปกันหมดแล้วเหรอ? คุณถึงลงไปเอ้อระเหยซื้อกาแฟอยู่ได้ตั้งนานสองนาน”  กฤตเมธถามขึ้นโดยไม่ได้ละสายตาออกจากบทที่กำลังท่อง และไม่ทันได้สังเกตว่าสดายุแอบเหม่ออยู่

“อืม...ก็ไม่แน่ใจนะว่ายังเหลือบ้างหรือเปล่า แต่กลุ่มใหญ่ๆ น่ะ คงจะกลับกันไปตั้งแต่เราย้ายกองขึ้นบนตึกกันแล้วล่ะ ตอนลงไปซื้อกาแฟผมเองก็ไม่ได้มองอ่ะ หลบอยู่หลังร้านเหมือนกัน” สดายุอธิบาย พลางดูดกาแฟ ซืดๆ ด้วยความชอบ

“แล้วนี่คุณเหลือถ่ายอีกกี่ฉากเนี่ย?” หลังสนใจเรื่องอื่นอยู่นาน สดายุก็นึกขึ้นได้ว่า กฤตเมธยังต้องมีถ่ายต่อ นี่ก็เกือบสองทุ่มแล้ว ยังไม่เห็นว่ากฤตเมธจะได้เข้าฉากเสียที เลยอดถามไถ่ไม่ได้

“อีกสี่ฉากครับ กับเจ้ารุจน์ฉากนึง กับเจ้าพอร์ชฉากนึง กับทั้งคู่อีกสองฉาก” กฤตเมธอธิบายด้วยใบหน้าส่อเค้าระอาเล็กๆ

“ก็ไม่เยอะแล้วนี่ ไหงทำหน้าเหม็นเบื่ออย่างนั้นล่ะครับลุง?”

“ก็คนเก่งของยุน่ะสิ ร่วมสิบเทคได้แล้วมั้ง เนี่ยยังไม่ได้ถึงครึ่งฉากของพวกมันเลย”

“หืม? ก็เห็นเล่นดีออกนี่ครับ นั่นไง”

“เล่นดีครับ แต่อารมณ์ไม่ถึงกันเลย บทที่ต้องเล่นน่ะ หมอธเนศกับซอครับ ไม่ใช่ชีวิตจริงพอร์ช รุจน์ ไม่รู้เจ้าพวกนั้นมันตีอารมณ์ของบทผิดไป หรือใส่อารมณ์ไม่ถูกจุดกันแน่ ดูหน้าพี่อ๊อดสิ แกจะกลายร่างเป็นยักษ์อยู่แล้ว เดี๋ยวได้เทคใหม่”


“คัทททท!!! โอย ไอ้รุจน์ ออกไปทำอารมณ์ใหม่ก่อนเลยไป ไม่งั้นถ่ายต่อไม่ได้แน่ ไปเลยๆ”

ยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงของอ๊อดก็คำรามขึ้นอย่างหัวเสีย  ไล่ให้รุจน์ ที่แสดงเป็นซอ ให้ไปตั้งสมาธิทำอารมณ์ใหม่ เพราะเจ้าหนุ่มหลุดคาเร็คเตอร์เยอะเหลือเกิน

“นั่นไง ไม่ขาดคำ” กฤตเมธถอนหายใจบางๆ “เดี๋ยวผมไปดูเด็กมันหน่อยดีกว่า” บ่นนิดบ่นหน่อย สุดท้ายกฤตเมธก็อดยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มตั้งท่าจะเดินไปหานักแสดงรุ่นน้อง ทว่ากลับถูกสดายุดึงเอาไว้เสียก่อน

“ผมดูแลรุจน์เองครับ ฝากพอร์ชไว้ที่คุณแล้วกัน” ไม่ใช่จะขวางไม่ให้ไป แต่สดายุแค่อยากมีส่วนร่วม “อ่อ ฝากพี่อ๊อดด้วยนะครับ ช่วยดับอารมณ์เฮียแกหน่อย เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแกจะแตกเสียก่อน” และยังเผื่อแผ่ความห่วงใยไปถึงผู้กำกับคนเก่งด้วย แม้ว่าจะค่อนข้างเรียกได้ว่า ผลักภาระ เล็กๆก็เถอะ

ละสายตาเพียงครู่ คนที่ต้องการตัวก็สาบสูญจากคลองสายตา สดายุเลยต้องเสียเวลาเล็กน้อยเพื่อเดินตามหา น้องชายคนดี หนีไปร้องไห้ที่ไหนกันนะ

และในที่สุด ก็เจอตัว

“ไงหนุ่ม วันนี้ทำไมสติแตกนักล่ะ?”

เดาได้ไม่ยากจากลักษณะนิสัย สุดท้ายสดายุก็ตามมาเจอตัวรุจน์ ในห้องน้ำของห้องพักโรงแรม สภาพที่เจอ ก็เป็นไปตามที่สดายุคิดไว้ไม่มีผิด ร้องไห้อยู่จริงด้วย

“ฮึ่ก พ...พี่ยุ ผมขอโทษครับ ที่ ฮึ่ก ทำพวกพี่เสียเวลา”  สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงทัก ที่ไม่คิดว่าจะมีใครมาเดินตามหา แล้วพอหันไปเจอว่าต้นเสียงแท้จริงเป็นใคร หนุ่มน้อยก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำขอโทษพร้อมก้อนสะอื้น

“เฮ้ย ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก พี่ไม่มีถ่ายแล้ว นี่ก็แค่ลอยชายไปมาตามประสาดาราว่างงานก็เท่านั้นแหละ เอ้า อย่าร้องขนาดนั้นสิ เดี๋ยวถ่ายต่อไม่ได้กันพอดี” สดายุรับอธิบาย แต่ก็นะ เนื่องจากไม่ใช่คนปากหวาน บางถ้อยคำจึงค่อนข้างกระด้างไปเล็กน้อย แต่นั่นสำหรับบรรดาคนสนิท จะรู้ดีว่านี่เป็นการแสดงการปลอบโยนที่จริงใจที่สุด ในสไตล์ของสดายุนั่นเอง

“...ผมมัน...ฮึ่ก...ไม่เอาไหน” ทว่ายิ่งมีคนปลอบ น้ำตาเจ้ากรรมของรุจน์ก็ยิ่งหลั่งไหล ร้อนถึงผู้มาเยือนให้ต้องรีบเดินเข้าไปกอดปลอบใจเป็นการใหญ่

“ใจเย็นๆ อย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นสิรุจน์เอ้ย นายไม่ได้ไร้ความสามารถเสียหน่อย ก่อนหน้านี้นายก็ทำได้ดีนี่หว่า พี่อ๊อดยังชมไม่ขาดปากเลย วันนี้นายแค่สติหลุดเท่านั้นเอง ไหนบอกพี่มาสิ อะไรกวนใจนายอยู่กันแน่?” หลังคว้าคนที่มีรูปร่างไม่ต่างจากตนนักเข้ามากอดเอาไว้ได้ สดายุก็ทั้งปลอบทั้งถาม เพื่อหาวิธีแก้ไข ให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่ผู้กำกับจะเรียกไปถ่ายต่อ ในอีกไม่ช้านานนี้

“พี่ยุ...ถ้าผม...จะถามอะไรหน่อย พี่จะ...รู้สึกแย่กับผมไหม?” หลังจากเงียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดรุจน์ก็เอ่ยบางอย่างออกมา แต่ดูท่าจะไม่ได้เกี่ยวกับบทแสดงเท่าไหร่นัก

“เอาสิ ถามได้เลย พี่ไม่ว่าอะไรแน่ สัญญา”  สดายุเปิดทางอย่างเต็มใจ มีอะไรอยากถามก็ถามมา พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเต็มที่ โดยคิดมุถึงเลยว่า คำถามของน้องรัก จะทำเอาแทบสำลักน้ำลายตัวเอง

“พี่ยุกับพี่เมธ...เป็น...เอ่อ...เป็นคนรักกันใช่หรือเปล่าครับ?”

คำถามตรงประเด็นแบบไม่มีอ้อมค้อม พร้อมสายตาจริงจังที่กำลังเนืองนองไปด้วยหยาดน้ำตา สภาพนี้ เล่นเอาสดายุหลีกเลี่ยงการตอบคำถามได้เลยแม้แต่นิด

เอาวะ...ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว

“อืม”

สั้นง่ายได้ใจความ ถามตรงก็ตอบตรง

“ผมว่าแล้วเชียว...เห็นมุ้งมิ้งกันตลอดเลย...ถ้างั้น ผมก็วางใจจะบอกพี่ยุ...”

“เรื่องอะไรล่ะ? แล้วใครมุ้งมิ้งวะ?...” ( -////-)

 สดายุอ้าปากจะบ่น แต่ก็พูดใออก เมื่อหัวหนักๆของรุจน์วางแปะลงบนไหล่

“พอร์ช...คิดกับผมเกินเพื่อนครับ...”

สดายุไม่ได้แปลกใจนักสำหรับเรื่องที่ได้ยิน เพราะเขาก็พอระแคะระคายอยู่บ้าง จากการร่วมงานกันที่ผ่านๆมา แม้จะไม่ได้จับทุกรายละเอียด แต่ก็พอสังเกตุได้

“....ฮึ่ก...พี่ยุครับ ผมขอระบายได้ไหม ผมอึดอัด ผมสับสนไปหมด...” พอได้พูดออกมา พอเห็นว่าสดายุนิ่งฟัง ไม่ผละจากไปไหน รุจน์ก็รู้สึกอยากเห็นแก่ตัวขึ้นอีกนิด อยากขอร้องให้สดายุอยู่เคียงข้าง อยากได้รับคำปรึกษา อยากได้รับคำปลอบใจ หรืออย่างน้อยที่สุด อยากได้ใครสักคน ที่จะฟังความในใจ

"เอ้าๆ ระบายออกมาสิ พี่จะรับฟังให้เอง" และสดายุก็รับคำขอร้องนั้นไว้ด้วยความอ่อนโยน พร้อมกระชับอ้อมกอดและลูบศีรษะทุยที่ซบอยู่บนไหล่เบาๆ

“"ฮือ...ผมจะทำยังไงดีอ่ะพี่ยุ พอร์ชมันคิดกับผมเกินเพื่อนอ่ะ แย่กว่านั้นคือการที่ผมก็ชอบมันอ่ะพี่...งื้ออออ"

ถ้อยคำวกวนของรุจน์ทำเอางง พอร์ชมีใจให้รุจน์ รุจน์เองก็ชอบพอร์ช นั่นมันเรียกได้ว่าใจตรงกันเลยไม่ใช่หรือไง? แล้วมันจะแย่ตรงไหนกัน? หรือเพราะใจตรงกันนี่แหละ เลยเครียดเรื่องหน้าที่การงานที่อาจมีผลกระทบ (อย่างแน่นอน) กันนะ?

ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถาม รุจน์ก็สาธยายต่อแบบลืมหายใจ สาสมกับความอัดอั้นที่สะสมไว้เต็มอก

"ผมกับมันสนิทกันมานาน ผมคิดเอาไว้เสมอว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกันไปตลอดชีวิต...จนกระทั่งมารับเล่นหนังเรื่องนี้ ผมไม่เคยรู้เลยว่าตลอดมามันคิดกับผมยังไง จนวันที่ได้เล่นฉากเลิฟซีนด้วยกัน....หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมสับสนมาตลอดเลย ไม่รู้ว่าควรทำยังไง ผมไม่อยากให้ความเป็นเพื่อนระหว่างเราเปลี่ยนไป ผมจึงพยายามรักษามันไว้ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้..."   

ความอัดอั้นตันใจพรั่งพรูราวก๊อกแตก ยิ่งเล่าน้ำเสียงสั่นเครือยิ่งอู้อี้จนแทบฟังไม่รู้เรื่องรู้ราว จนสดายุต้องคอยช่วยตบหลังให้เบาๆ เพื่อไล่ก้อนสะอื้นให้ ใจหนึ่งก็เห็นใจรุจน์อยู่พอสมควร แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าเดี๋ยวจะถ่ายต่อไม่ไหวเพราะตาบวมฉึ่งเสียอีก แต่สดายุก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่าการกระชับอ้อมกอดเพื่อปลอบโยน เพราะรุจน์ ไม่เว้นจังหวะให้พี่ยุคนนี้ได้สอดปากบ้างเลย

“ทั้งที่ผมคิดว่า เราจะไม่มีวันเปลี่ยน แต่สุดท้าย...ทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิม ตั้งแต่กลับมาจากมัลดีฟส์ งานของพวกเราก็เยอะขึ้น ผมกับพอร์ชแทบจะไม่ได้เจอกันเลย นอกจากตอนถ่ายหนัง...โทรศัพท์ที่เคยมีทุกวัน วันละหลายรอบก็น้อยลง ล่าสุดแทบจะไม่โทรมาเลย ผมโทรไปก็ติดงานตลอด พอร์ชมันเย็นชากับผมมากเลยพี่ยุ ถึงต่อหน้าคนอื่นมันจะยังคงเล่นกับผมบ้าง แต่พออยู่ด้วยกันสองคนเมื่อไหร่ มันก็จะเงียบ และทิ้งระยะห่างจากผมทันที...ผมอยากเคลียร์กับมันก็ไม่มีโอกาสเลย แถมวันนี้ยังเป็นซีนสุดท้ายของพวกผมแล้ว จากนั้นก็มีงานแยกกันตลอด เราอาจไม่ได้เจอกันอีกพักใหญ่ แม้แต่ตอนเลี้ยงปิดกล้อง ผมก็อาจไม่ได้มา...ถ้าจะต้องไปเจอกันอีกทีตอนฉายรอบปฐมทัศน์ที่ยังไม่มีกำหนดแน่นอนกว่าจะถึงตอนนั้นผมต้องอกแตกตายแน่เลยพี่ ผมจะทำยังไงดีอ่ะพี่ยุ จบวันนี้ไป ผมอาจไม่ได้คุยกับมันอีกแล้วก็ได้ พอร์ชมันคงไม่อยากคุยกับผมแล้ว มันคงเบื่อผมแล้ว....ฮือ...มันต้องเลิกรักผมไปแล้วแน่ๆ....”

จบประโยคน้ำไหล รุจน์ก็ร้องไห้เป็นน้ำหลาก พร้อมตบท้ายด้วยประโยค ที่แม้แต่สดายุยังต้องถอนหายใจ

“ทั้งที่ในบท ยังจูบกันอย่างเร่าร้อนอยู่เลย ยังมองผมด้วยสายตาที่เว้าวอน เรียกร้องความรักจากผมอยู่เลย...แต่พอพี่อ๊อดสั่งคัท...แม้แต่หน้าผม มันก็ไม่เหลียวมองแม้หางตา...จูบกันเป็นสิบเทคแท้ๆ...แม่ง โคตรเย็นชา.....”

จบคำก็ปล่อยโฮอีกคำรบ จนสดายุต้องแกะปลิงน้อยออกจากตัว มาคุยกันแบบตาสบตา

ปลอบใจสไตล์พี่ยุ

“ระบายจบยังไอ้หนู?” ถามเสียงเข้ม หน้าตาจริงจัง

“...ฮึ่ก...จ...จบแล้วฮะ” ตอบเสียงสั่น ความจริงยังไม่จบหรอกครับพี่ แต่ผมกลัวพี่ด่าอ่ะครับ

“งั้นตาพี่ถามนะ ที่ฟูมฟายอยู่เนี่ย เราได้เปิดอกคุยกับไอ้พอร์ชมันบ้างหรือยัง?”

“...ย...ยังครับ ผม...ไม่มีโอกาสเลย”

“ยังไม่ได้คุย แล้วรุจน์รู้ได้ยังไง ว่าพอร์ชคิดอะไรอยู่? รู้ได้ยังไง ว่าพอร์ชไม่ได้รักแล้ว? ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าที่พอร์ชเป็นแบบนี้ ความจริงอาจไม่ใช่เพราะเปลี่ยนไป หรือเปลี่ยนใจ แต่อาจเป็นเพราะ เหนื่อย เครียดจากงานอื่นมา รุจน์ไม่คิดเหรอว่า ตอนนี้ พอร์ชอาจรอให้รุจน์เข้าไปคุย เข้าไปปลอบใจ มากกว่ามายืนคิดมากฟูมฟายอยู่คนเดียวแบบนี้...”

คำปลอบ ที่ไม่เหมือนคำปลอบ พรั่งพรูใส่หน้ารุจน์แบบไม่มีการถนอมน้ำใจ ทุกคำตรงประเด็นจนเด็กน้อยเริ่มน้ำตาเอ่ออีกรอบ แต่เพราะเรื่องที่สดายุพูดมาล้วนแต่เป็นเรื่องจริง เรื่องจริงที่จี้ใจดำจนจุก รุจน์จึงไม่กล้าร้องไห้ออกมาอีก ทำได้เพียงหลุบตาก้มหน้าต่ำ เพื่อสำนึกผิดเท่านั้น

“ถ้าจะถามว่า พอร์ชไม่รักรุจน์แล้วเหรอ ถามตัวเองว่า รุจน์ไม่รักพอร์ชบ้างเหรอ จะดีกว่า เท่าที่พี่เห็น ก็มีแต่ไอ้พอร์ชนั่นแหละที่เข้ามาวอแว คอยแกล้ง คอยแหย่ ไม่เห็นจะมีรุจน์เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์แบบนั้นกับพอร์ชบ้างเลย แบบนี้เหรอที่เรียกว่า พอร์ชไม่รักรุจน์แล้ว? เรื่องงานก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ห่าง แต่รุจน์ต้องมองตัวเองด้วยนะ ว่าที่ห่างเนี่ย เพราะเรื่องงาน หรือว่ารุจน์รักษาระยะห่างมากเกินไปกันแน่ กลัวการเปลี่ยนแปลง เลยไม่คิดสานต่อความสัมพันธ์ กลัวใจตัวเองจะทำอะไรไม่ยั้งคิด จนความเป็นเพื่อนเปลี่ยนไป กลัวจนทำตัวห่างเหินออกมา แล้วพอไอ้พอร์ชรู้ตัวว่ากำลังโดนรุจน์ระแวดระวัง มันเลยต้องทำตัวดีๆ ไม่เข้ามายุ่งมากจนเกินไป เพราะกลัวคนที่มันรักจะคิดมาก ก็กลายเป็นโดนมองว่าห่างเหินออกไปเสียอีก พี่ถามหน่อยสิ ต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้มาจากใครกันแน่ครับ? วิเคราะห์เองได้ใช่ไหม?”

“....ครับ”

มาเป็นชุด จนรุจน์ได้แต่ตอบคำว่า...ครับ...นี่คือการปลอบใจแนวใหม่หรืออย่างไร ไม่มีคำหวาน ไม่มีคำโอ้โลม ด่าล้วนๆ ด่าจนน้ำตาไอ้รุจน์แห้งสนิทอย่างไม่น่าเชื่อ ด่า...ด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนราวกับพระแม่มารี

และก่อนจะได้ทันตั้งตัว สองแก้มของรุจน์ก็ถูกตะปบพร้อมกันทั้งสองข้างด้วยมือเย็นๆของสดายุ ผู้เป็นนักปลอบเด็ก ให้ได้ตั้งสติสบตากันตรงๆ แล้วสร้างข้อตกลง ที่ยากจะปฏิเสธ

“ออกจากเปลือกที่ตัวเองสร้างเอาไว้ แล้วไปเคลียร์หัวใจให้รู้เรื่องกันซะ อย่ามัวแต่หมกตัวอยู่กับอะไรที่ไม่เข้าใจและยังไม่คิดจะหาคำตอบ โตแล้ว ต้องมีสติให้มาก รู้ไหม?”

“ครับ”

“สัญญากับพี่สิ ว่าพอออกไปจากห้องนี้แล้ว จะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องพอร์ช และเรื่องงาน ถามตัวเองซิ ว่ายังอยากเก็บไอพอร์ชไว้ไหม ถ้าคำตอบคือใช่ รีบออกไปเคลียร์กับมันซะ รักก็คือรัก จะโกหกหัวใจตัวเองอยู่ทำไม? เวลามันเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ มันไม่ได้หยุดรอเราทุกครั้งที่เราหยุดเดินนะ ชีวิตคนน่ะ ไม่มีทางอยู่กับความจีรังไปได้ตลอดชีวิตหรอก ความเปลี่ยนแปลงมันอยู่กับเราทุกวินาทีอยู่แล้ว แต่เรากำหนดได้นี่ ว่าอยากให้มันเป็นแบบไหน จริงไหม?”

“ครับ”

“ตอบแต่ครับๆๆ นี่ เข้าใจที่พี่พูดจริงๆหรือเปล่า?”

“กระจ่างเลยครับพี่ยุ”

“ดีมาก มีสติไว้ ถ้าไม่ไหวก็บอก เดี๋ยวพี่ปลอบเรียกสติใหม่ให้”

“ครับพี่ยุ ผมจะพยายาม ไม่สติหลุด (จนโดนพี่ด่า) อีกแล้วครับ”

“ต้องอย่างนี้สิ!!”

สิ้นสุดการปลอบใจแนวใหม่สไตล์สดายุแล้ว รุจน์ก็ดูเหมือนจะมีสติ และเป็นตัวของตัวเองขึ้น รอยยิ้มแรกผุดขึ้นมาในที่สุด เป็นที่น่าพอใจของคนปลอบจนต้องมอบรางวัล เป็นการขยี้หัวให้เบาๆ ด้วยความเอ็นดู

เสร็จภาระกิจ สดายุก็ไล่ให้รุจน์ไปล้างหน้าล้างตาเสียใหม่ เพราะตอนนี้เมคอัพยับเยินไปด้วยคราบน้ำตาไปหมด เห็นว่าอีกฝ่ายดีขึ้น คนปลอบอย่างสดายุก็เตรียมตัวออกจากห้องน้ำ ทว่าขณะที่กำลังแง้มประตู เขาก็นึกสนุกขึ้นมาบางอย่าง ก่อนจะหันไปถามรุจน์หนึ่งคำถาม

“รุจน์...รักพอร์ชจริงๆใช่ไหม?”  

คำถามที่มาแบบกะทันหันเล่นเอารุจน์แทบเงิบ แต่ในเมื่อพี่ชายที่เคารพรักเป็นคนถามทั้งที รุจน์จึงตอบออกมาจากใจแบบไม่อิดออด

“รักครับ...รักที่สุด”

ได้ยินคำตอบ สดายุก็ยิ้มร่า หันหลังเปิดประตูจากไป พร้อมกับพูดกับคนที่ยืนรออยู่ตรงหน้าประตูว่า...

“ได้ยินชัดแล้วนะ พอร์ช”


ไม่ต้องรอคำตอบจากคำถามที่ส่งไป เพราะร่างสูงใหญ่ผู้ถูกถาม ไม่ได้ให้ความสนใจตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ร่างนั้นพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ คว้าคนที่ยืนเอ๋อรับประทานเข้ามาสวมกอดแบบไม่เบานัก ก่อนจะก้มลงบดจูบแบบไร้ซึ่งความอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง อดกลั้นมานานก็เงี้ย...

นึกว่าจะถูกปฏิเสธ ที่ไหนได้ อีกฝ่ายเอื้อมมือขึ้นโอบคอเฉย...จนสดายุยังได้แต่ถอนหายใจ

“เฮ้ย เฮ้ย...ไอ้เด็กพวกนี้นี่ รอผู้ใหญ่หัวหลักหัวตอออกไปก่อนก็ไม่ได้ หึหึ”

บ่นไปงั้น แต่ก็ยังช่วยปิดประตูห้องน้ำให้อย่างเงียบเชียบ.....



***************

******************************

************************************************

*****************************************************************

************************************************

******************************

***************

ตอนหน้าไคลแม็กซ์ค่ะ
คอมพ์ไม่มี ขอโทษจริงๆนะคะ
ต้องมาแอบพิมพ์ แอบลงที่ออฟฟิศเอา...
 :mew6:
ขอบคุณพี่ๆน้องๆ ที่คอยโทรตามกระทุ้งค่ะ
ยังไม่ได้หายไปไหนนะคะ
แต่ไม่มีเวลามาลงเลยจริงๆ
ตอนนี้พอมีเวลา เลยกำลังปั่นสุดกำลังค่ะ
อีกนิดเดียว
อดทนกันอีกนิดนะคะ
Please…
ต้องขอโทษแบบสุดใจขาดดิ้นจริงๆค่ะ

 :mew2:

ปล...ใครจะเป็นคนโชคดีที่ถูกรับเลือกให้ตายกันนะ...

แจ้งข่าววาโยโผล่มาคร่าา 555

ซีนที่28 หน้า79
 'เสียงกฤตเมธถอนใจหนักหน่วงเมื่อวาโยลากลิ้นลงถึงแอ่งสะดือ สุดท้ายก็ครอบครองความแข็งขืนของเขาที่เตรียมพร้อมมาได้เกือบครึ่งทาง และเพียงไม่กี่อึดใจสิ่งนั้นก็ขยายตัวเต็มที่ ภายใต้การควบคุมของสดายุสิ้น'

ก่อนหน้านี้ก็เห็นแว่บๆตอนนึง แต่จำไม่ได้แล้ว ถ้าหาเจอแล้วจะมาบอกนะคะ  :hao7:

อุ๊บส์!!! หนูวาแอบโผล่มาแจมอีกแล้ว!!
หรือใจอนาคี จะมีแต่ เตโชวาโยกันนะ ฮี่ฮี่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2015 10:39:21 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ยัยชิดนี่ไม่เลิกจริงๆ หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายๆนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ssipra

  • นักอ่านมืออาชีพ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
คนเขียนหายไปนานเลยในที่สุดก็มา  :hao5: :hao5: :hao5:

คู่คุณเมธน้องยุน่ารักไม่เปลี่ยนเลยแฮปปี้สุด เขิน ><
คู่พอร์ชกับรุจกว่าจะเข้าใจกันนะ เล่นพี่ยุเหนื่อยไปด้วย 55555
ส่วนเรื่องชิดจันทร์นั่นหล่อนจะไม่จบใช่มั้ยฮะ!!  :angry2 :angry2:

ขอบคุณคนเขียนที่มาต่อนะคะ จะรอติดตามตอนต่อไปค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2015 21:35:22 โดย ssipra »

ออฟไลน์ kdds

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
กรี๊ดๆ เห็นอัพเดท อยากจะสกรีมมมมม
สดายุ เธอเป็นนางเอก จริงๆล่ะ ทั้งในจอนอกจอ
ส่วนชิดจันทร์ ยังกัดบดินทร์ไม่เลิก จบไม่สวยแน่
อยากอ่าน ดนัย บดินทร์ อีก คู่นี้มันถูกจริตที่สุด
มาต่อยาวมาก จุใจ ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ จุ๊บๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
รออออ เสมอออออ

ออฟไลน์ VentoSTAG

  • ไม่รักอย่าทำให้มโนฯ GO AWAY!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 606
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-9
 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
มาต่อแล้ว ยาวจุใจมากรักคนเขียนเลยอ่ะ รอมานานมากกกกกกกกกกกกกกก
อ่านแล้วอยากได้แฟนแบบดนัย หล่อ ร้าย รวย ทรงอำนาจ แต่ขึ้นไปยุ่งมากมีหวัง
พี่แก o18 ทิ้งแหงๆ ยกตัวอย่างคนต่อไป คืออีดาราตกอับที่เสนอหน้าบอกข้อมูลยัยชิดจันทร์

ปล. ขอบคุณฟุดๆ อ่านแล้วอยากไปทำงานกองถ่ายนี้จัง คู่รักบังเกิดตั้ง 2 คู่ รวมนอกกองอีก 1
 :3123: :L2: :L2: :กอด1: :L1: :กอด1: :L2: :L2: :3123:

ออฟไลน์ THiiCHA

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-4
หายไปนานมากกกกกกกกกก
โผล่มาทีนี่ กรี๊ดดดดลั่น
บอกไม่ถูกเลยว่าชอบคู่ไหนมากกว่ากัน
ลุงกะยุก็หวานซะ  ดูยุผ่อนคลายขึ้นเยอะ
 พอร์ชรุจน์ก็น่าเอ็นดู   อารมณ์เด็กน้อยมากอ่ะ 5555
ดนัยกับบดินทร์ก็แซ่บได้ใจ  หน้าใสๆแต่ของเค้าสายโหดจริงๆ
เลือกไม่ถูกเลยอ่ะ  จิกหมอนนนน
ขอบคุณที่มาอัพจ้าา
 

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 :กอด1: ได้อ่านน้องยุแล้ววตอนนี้ดนัยเอาไปสิบเลยคะเท่มากๆเลยพ่อคุณ. ไม่รู้ว่าบดินจะพอเห็นใจดนัยได้ยังนะ   
เสน่ห์จันทร์ก็แบบแอบน่ากลัวนะ55 แต่นางคิดได้ก็ดีแล้วเอาเวลาล้างแค้นมาดูลูกนางดีกว่า
ชอบ  น้องยุกับพี่เมฆ หวานล้นจอตลอดเลยย :hao6:  อ่านไปยิ้มไปคิคิน้องยุถ้าไม่มี
านนี้ไปเปิดร้านกาแฟชิลได้นะคะแฟนคลับจะได้ไปเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นให้พี่เมฆหึงเล่นๆ
❤️

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
โอ๊ยยย เอาจริงๆตอนนี้สงสารคนทุกคนเลย
มีความจริงหลังม่านที่เรายังไม่รู้อีกมาก
หวังว่าตอนหน้าจะไม่มีอะไรร้ายแรงน้าาาา
รอตอนต่อไปค่ะ!!! ดีใจที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
ขอบคุณคอมฯที่ทำงาน ทำให้เรามีนิยายที่ลงยาวได้ใจมาให้อ่าน
ตอนหน้าให้เตรียมอะไรคะ ผ้าเช็ดหน้า หมอนหรือไม้หน้าสาม ไว้ช่วยสดายุ

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
ยุนี่เป็นนางเอกทั้งในจอนอกจอเลย มิน่าลุงถึงหลง ฮิ้วววววว

เสน่จันทร์ ชิดจันทร์ เหมาะเป็นแม่ลูกกันจริงๆ คนลูกหน่ะกู่ไม่กลับแล้ว คงเหลือแต่ความตายมั้งไม่รู้จะคิดได้เปล่า

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ถึงจะนานมาที

แต่ก็มาเยอะ


พอหายคิดถึงไปได้บ้าง


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คนเขียนหายไปนานมากกกก.... พยายามชะแง้ตลอดว่ามาต่อรึยัง (เพราะได้ข่าวว่าใกล้จบแล้ว)
แต่มาต่อทีละเยอะคนอ่านให้อภัยค่ะ (ได้อ่านซะจุใจสมกับที่รอ ฮา)
เข้าใจว่าไม่สะดวกในหลายๆเรื่อง ยังไงก็ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันนะคะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ p^tarn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-4
อือออมาแล้ว. คุ้มค่ากับการรอคอยมากคะ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เต็มอิ่ม 6 re  :pig4:

ห่วงยุจะโดนทำร้ายอีกนี่ซิ นังชิดจันทร์มันร้ายนัก  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ i c u

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ เสียดายจังใกล้จะจบซะแล้ว ///อยากอ่านดนัยกับบดินทร์แบบเรื่องยาวบ้างงงงงงง

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
บระเจ้า โคตรสนุกเลยอ่ะ ยาวจุใจ ชอบมากกกกกค่ะ
ตอนหน้าไคลแมลเหรอ แล้วตอนนี้ล่ะ ขนาดยังไม่ใช่ไคลแมคยังทำเอาคนอ่านลุ้นไปหมด
 o13 o13 o13 o13 o13 เอาไปค่ะ ชูนิ้วให้คนแต่ง พร้อมบวกเป็ด กดกระหน่ำ
ตอนหน้าอย่าหายไปนานนะคะ

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
คิดถึงยุจริงๆ

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
มาอัพแล้ว เย้ๆ :katai2-1: :katai2-1:

คู่กฤตเมธกับสดายุนี่หวานสุดๆเลย  :mew1:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คิดถึงน้องยุกับลุงงง สวีทกันตลอด ไม่ได้แคร์ชาวบ้านเลยน้า รุจน์พอร์ชนี่ก็อะไร ต่างต่างไม่คุย ได้จูบทีนี่รีบซะ
ดนัยใหญ่มากกกกก มั่นใจว่านังชิดแพ้แน่ ดูแลบดินทร์ด้วยนะ

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
กริ๊ดยาวสะใจ เนื้อหาครบถ้วน ดนัยมาเฟียมาก ชอบ ๆ ชิดจันทร์พอเหอะเดี๋ยวดนัยเอาจริงขึ้นมาเธอจะกลายเป็นบุคคลสาปสูญนะ

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
นึกว่าตาฝาดซะอีกกกกกก

อย่าหายไปนานๆนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด