"อ๊ะ...อื้อ...ปล่อยนะ!!...อื้อ...อึก..."ร่างบางผลักอกร่างสูงใหญ่กำยำกว่าที่กำลังรุกรานตัวเองอยู่ออกอย่างแรง แต่มือแกร่งของผู้รุกรานนั้นก็ราวกับหนวดปลาหมึก เพราะนอกจากจะไม่ยอมหลุดจากร่างแล้ว ยังพัวพันไว้ไม่ยอมห่างอีกต่างหาก ริมฝีปากร้อนผ่าวยังคงรุกไล่ไม่เลิก บดขยี้จนราวกับจะให้ริมฝีปากบอบบางนั้นยิ่งบอบช้ำ
เพี๊ยะ!
“.......................”
“แฮ่ก แฮ่ก... ฮึ่ย ไปบ้าอะไรไปแล้ววะ ไปหมอโรคจิต!!”
"...ข...ขอโทษ..."
"ไม่ต้องมาขอโทษเลย ถอย! ผมจะกลับแล้ว!!"
"เดี๋ยวสิ ซอ ฟังฉันหน่อย..."
"ไม่!!"
ปึ่ง!ร่างเล็กกว่าถูกกักเอาไว้ได้พอดีอยู่ตรงหน้าประตู พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่คร่อมกักเอาไว้ไม่ให้หนีหาย
การถ่ายทำฉากของหมอธเนศและซอฉากรองสุดท้าย กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น นักแสดงอย่างพอร์ชและรุจน์นั้นมีสมาธิกับบทบาทดีมาก ไม่มีหลุดบท หรือผิดคิว ให้ผู้กำกับต้องหัวเสียก่อนปิดกล้องแต่อย่างใด อาจเหลือเพียงอารมณ์ของการแสดงที่อาจยังเข้าไม่ถึงบทบ้างในบางทีก็เท่านั้น ซึ่งก็แค่โดนผู้กำกับอ๊อดสั่งคัทแค่ไม่กี่เทค ไม่ได้หนักหนาเหมือนช่วงเริ่มแรก เป็นการพัฒนาที่น่าทึ่ง ที่ทั้งสดายุและกฤตเมธ อดที่จะร่วมยินดีไปด้วยไม่ได้
“สองคนนั้นเก่งขึ้นเยอะเลยนะครับ สมาธิดีขึ้นเยอะเลย...คุณว่าไหม?” เสียงแหบเสน่ห์กระซิบแผ่วข้างหู เรียกกฤตเมธให้ต้องหันไปยิ้มรับโดยอัตโนมัติ กะว่าจะได้เจอแก้มนิ่มๆ ให้ได้ขโมยหอมซักฟอด โดยแสร้งว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ ที่ไหนได้ ความจริงตรงหน้า กลับเป็นแก้วกาแฟเย็นเจี๊ยบรออยู่แทน
“ผมเอากาแฟแก้ง่วงมาให้ เจ้าข้างล่างตึกนี่ อร่อยอย่าบอกใคร คราวที่มาถ่ายทำที่นี่คราวที่แล้วผมเคยกิน การันตีได้เลย” สดายุยกยอสรรพคุณกาแฟแก้วเขื่องในมือเป็นการใหญ่ แกล้งทำเป็นไม่เห็นโจรแก่กระจอก ที่กำลังหน้ายู่ใส่ตน เพราะพลาดจังหวะฉวยโอกาสงามๆ
“ไวจริงนะ นางเอกผมเนี่ย” กฤตเมธกระเง้ากระงอดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มรับกาแฟจากมือของสดายุไปดูดเสียเฮือกใหญ่...ชื่นใจเหลือเกิน
“มุขเสี่ยวลุงอ่ะ ผมรู้ทันหมดแล้วล่ะ หึหึ เป็นไง อร่อยป่ะ” สดายุแอบจิกเล็กๆ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งข้างคนรัก พร้อมดูดกาแฟลาเต้หอมหวานในมืออย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อย แต่ผมว่ากาแฟปั่นที่ยุเคยทำให้กินอร่อยกว่า” อันนี้กฤตเมธไม่ได้แกล้งชม แต่พูดจากใจ เพราะในชีวิตจริง แม้ฝีมือการทำกับข้าวจะไม่เอาอ่าว แต่การชงกาแฟนั้นอร่อยจนต้องออกปากชม กฤตเมธรู้ว่าสดายุชอบทำกาแฟมาก ชอบขนาดที่ในห้องคอนโดเล็กๆนั่น ยังมีเครื่องทำกาแฟ เครื่องตีฟองนม แม้แต่ที่บีบวิปครีม ครบครัน จนกฤตเมธยังรู้สึกตกใจตอนที่ได้เห็นครั้งแรก
“หึหึ ของมันแน่อยู่แล้ว ก็ผมเป็นสุดยอดบาลิตต้านี่นา” สดายุรับคำด้วยความภาคภูมิใจ เขามั่นใจในฝีมือของตัวเองจริงๆ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ชงเป็น แต่เขาถึงขนาดเคยสมัครเรียนการเป็นบาลิตต้ามาแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังโด่งดัง
เรื่องที่ชอบทำกาแฟนั้น กฤตเมธรู้ดี แต่เรื่องที่ว่าทำไมถึงชอบนั้น สดายุยังไม่เคยบอกใคร
เหตุผลที่ชอบน่ะเหรอ... ‘หืม...กาแฟที่ลูกชงให้เนี่ย อร่อยที่สุดในโลกเลยนะ’
แล้วนี่พวกนักข่าวข้างล่างไปกันหมดแล้วเหรอ? คุณถึงลงไปเอ้อระเหยซื้อกาแฟอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” กฤตเมธถามขึ้นโดยไม่ได้ละสายตาออกจากบทที่กำลังท่อง และไม่ทันได้สังเกตว่าสดายุแอบเหม่ออยู่
“อืม...ก็ไม่แน่ใจนะว่ายังเหลือบ้างหรือเปล่า แต่กลุ่มใหญ่ๆ น่ะ คงจะกลับกันไปตั้งแต่เราย้ายกองขึ้นบนตึกกันแล้วล่ะ ตอนลงไปซื้อกาแฟผมเองก็ไม่ได้มองอ่ะ หลบอยู่หลังร้านเหมือนกัน” สดายุอธิบาย พลางดูดกาแฟ ซืดๆ ด้วยความชอบ
“แล้วนี่คุณเหลือถ่ายอีกกี่ฉากเนี่ย?” หลังสนใจเรื่องอื่นอยู่นาน สดายุก็นึกขึ้นได้ว่า กฤตเมธยังต้องมีถ่ายต่อ นี่ก็เกือบสองทุ่มแล้ว ยังไม่เห็นว่ากฤตเมธจะได้เข้าฉากเสียที เลยอดถามไถ่ไม่ได้
“อีกสี่ฉากครับ กับเจ้ารุจน์ฉากนึง กับเจ้าพอร์ชฉากนึง กับทั้งคู่อีกสองฉาก” กฤตเมธอธิบายด้วยใบหน้าส่อเค้าระอาเล็กๆ
“ก็ไม่เยอะแล้วนี่ ไหงทำหน้าเหม็นเบื่ออย่างนั้นล่ะครับลุง?”
“ก็คนเก่งของยุน่ะสิ ร่วมสิบเทคได้แล้วมั้ง เนี่ยยังไม่ได้ถึงครึ่งฉากของพวกมันเลย”
“หืม? ก็เห็นเล่นดีออกนี่ครับ นั่นไง”
“เล่นดีครับ แต่อารมณ์ไม่ถึงกันเลย บทที่ต้องเล่นน่ะ หมอธเนศกับซอครับ ไม่ใช่ชีวิตจริงพอร์ช รุจน์ ไม่รู้เจ้าพวกนั้นมันตีอารมณ์ของบทผิดไป หรือใส่อารมณ์ไม่ถูกจุดกันแน่ ดูหน้าพี่อ๊อดสิ แกจะกลายร่างเป็นยักษ์อยู่แล้ว เดี๋ยวได้เทคใหม่”
“คัทททท!!! โอย ไอ้รุจน์ ออกไปทำอารมณ์ใหม่ก่อนเลยไป ไม่งั้นถ่ายต่อไม่ได้แน่ ไปเลยๆ” ยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงของอ๊อดก็คำรามขึ้นอย่างหัวเสีย ไล่ให้รุจน์ ที่แสดงเป็นซอ ให้ไปตั้งสมาธิทำอารมณ์ใหม่ เพราะเจ้าหนุ่มหลุดคาเร็คเตอร์เยอะเหลือเกิน
“นั่นไง ไม่ขาดคำ” กฤตเมธถอนหายใจบางๆ “เดี๋ยวผมไปดูเด็กมันหน่อยดีกว่า” บ่นนิดบ่นหน่อย สุดท้ายกฤตเมธก็อดยื่นมือเข้าไปช่วยไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มตั้งท่าจะเดินไปหานักแสดงรุ่นน้อง ทว่ากลับถูกสดายุดึงเอาไว้เสียก่อน
“ผมดูแลรุจน์เองครับ ฝากพอร์ชไว้ที่คุณแล้วกัน” ไม่ใช่จะขวางไม่ให้ไป แต่สดายุแค่อยากมีส่วนร่วม “อ่อ ฝากพี่อ๊อดด้วยนะครับ ช่วยดับอารมณ์เฮียแกหน่อย เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแกจะแตกเสียก่อน” และยังเผื่อแผ่ความห่วงใยไปถึงผู้กำกับคนเก่งด้วย แม้ว่าจะค่อนข้างเรียกได้ว่า ผลักภาระ เล็กๆก็เถอะ
ละสายตาเพียงครู่ คนที่ต้องการตัวก็สาบสูญจากคลองสายตา สดายุเลยต้องเสียเวลาเล็กน้อยเพื่อเดินตามหา น้องชายคนดี หนีไปร้องไห้ที่ไหนกันนะ
และในที่สุด ก็เจอตัว
“ไงหนุ่ม วันนี้ทำไมสติแตกนักล่ะ?”เดาได้ไม่ยากจากลักษณะนิสัย สุดท้ายสดายุก็ตามมาเจอตัวรุจน์ ในห้องน้ำของห้องพักโรงแรม สภาพที่เจอ ก็เป็นไปตามที่สดายุคิดไว้ไม่มีผิด ร้องไห้อยู่จริงด้วย
“ฮึ่ก พ...พี่ยุ ผมขอโทษครับ ที่ ฮึ่ก ทำพวกพี่เสียเวลา” สะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงทัก ที่ไม่คิดว่าจะมีใครมาเดินตามหา แล้วพอหันไปเจอว่าต้นเสียงแท้จริงเป็นใคร หนุ่มน้อยก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำขอโทษพร้อมก้อนสะอื้น
“เฮ้ย ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก พี่ไม่มีถ่ายแล้ว นี่ก็แค่ลอยชายไปมาตามประสาดาราว่างงานก็เท่านั้นแหละ เอ้า อย่าร้องขนาดนั้นสิ เดี๋ยวถ่ายต่อไม่ได้กันพอดี” สดายุรับอธิบาย แต่ก็นะ เนื่องจากไม่ใช่คนปากหวาน บางถ้อยคำจึงค่อนข้างกระด้างไปเล็กน้อย แต่นั่นสำหรับบรรดาคนสนิท จะรู้ดีว่านี่เป็นการแสดงการปลอบโยนที่จริงใจที่สุด ในสไตล์ของสดายุนั่นเอง
“...ผมมัน...ฮึ่ก...ไม่เอาไหน” ทว่ายิ่งมีคนปลอบ น้ำตาเจ้ากรรมของรุจน์ก็ยิ่งหลั่งไหล ร้อนถึงผู้มาเยือนให้ต้องรีบเดินเข้าไปกอดปลอบใจเป็นการใหญ่
“ใจเย็นๆ อย่าดูถูกตัวเองแบบนั้นสิรุจน์เอ้ย นายไม่ได้ไร้ความสามารถเสียหน่อย ก่อนหน้านี้นายก็ทำได้ดีนี่หว่า พี่อ๊อดยังชมไม่ขาดปากเลย วันนี้นายแค่สติหลุดเท่านั้นเอง ไหนบอกพี่มาสิ อะไรกวนใจนายอยู่กันแน่?” หลังคว้าคนที่มีรูปร่างไม่ต่างจากตนนักเข้ามากอดเอาไว้ได้ สดายุก็ทั้งปลอบทั้งถาม เพื่อหาวิธีแก้ไข ให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่ผู้กำกับจะเรียกไปถ่ายต่อ ในอีกไม่ช้านานนี้
“พี่ยุ...ถ้าผม...จะถามอะไรหน่อย พี่จะ...รู้สึกแย่กับผมไหม?” หลังจากเงียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดรุจน์ก็เอ่ยบางอย่างออกมา แต่ดูท่าจะไม่ได้เกี่ยวกับบทแสดงเท่าไหร่นัก
“เอาสิ ถามได้เลย พี่ไม่ว่าอะไรแน่ สัญญา” สดายุเปิดทางอย่างเต็มใจ มีอะไรอยากถามก็ถามมา พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเต็มที่ โดยคิดมุถึงเลยว่า คำถามของน้องรัก จะทำเอาแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
“พี่ยุกับพี่เมธ...เป็น...เอ่อ...เป็นคนรักกันใช่หรือเปล่าครับ?”คำถามตรงประเด็นแบบไม่มีอ้อมค้อม พร้อมสายตาจริงจังที่กำลังเนืองนองไปด้วยหยาดน้ำตา สภาพนี้ เล่นเอาสดายุหลีกเลี่ยงการตอบคำถามได้เลยแม้แต่นิด
เอาวะ...ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว
“อืม”สั้นง่ายได้ใจความ ถามตรงก็ตอบตรง
“ผมว่าแล้วเชียว...เห็นมุ้งมิ้งกันตลอดเลย...ถ้างั้น ผมก็วางใจจะบอกพี่ยุ...”
“เรื่องอะไรล่ะ? แล้วใครมุ้งมิ้งวะ?...” ( -////-)
สดายุอ้าปากจะบ่น แต่ก็พูดใออก เมื่อหัวหนักๆของรุจน์วางแปะลงบนไหล่
“พอร์ช...คิดกับผมเกินเพื่อนครับ...” สดายุไม่ได้แปลกใจนักสำหรับเรื่องที่ได้ยิน เพราะเขาก็พอระแคะระคายอยู่บ้าง จากการร่วมงานกันที่ผ่านๆมา แม้จะไม่ได้จับทุกรายละเอียด แต่ก็พอสังเกตุได้
“....ฮึ่ก...พี่ยุครับ ผมขอระบายได้ไหม ผมอึดอัด ผมสับสนไปหมด...” พอได้พูดออกมา พอเห็นว่าสดายุนิ่งฟัง ไม่ผละจากไปไหน รุจน์ก็รู้สึกอยากเห็นแก่ตัวขึ้นอีกนิด อยากขอร้องให้สดายุอยู่เคียงข้าง อยากได้รับคำปรึกษา อยากได้รับคำปลอบใจ หรืออย่างน้อยที่สุด อยากได้ใครสักคน ที่จะฟังความในใจ
"เอ้าๆ ระบายออกมาสิ พี่จะรับฟังให้เอง" และสดายุก็รับคำขอร้องนั้นไว้ด้วยความอ่อนโยน พร้อมกระชับอ้อมกอดและลูบศีรษะทุยที่ซบอยู่บนไหล่เบาๆ
“"ฮือ...ผมจะทำยังไงดีอ่ะพี่ยุ พอร์ชมันคิดกับผมเกินเพื่อนอ่ะ แย่กว่านั้นคือการที่ผมก็ชอบมันอ่ะพี่...งื้ออออ"
ถ้อยคำวกวนของรุจน์ทำเอางง พอร์ชมีใจให้รุจน์ รุจน์เองก็ชอบพอร์ช นั่นมันเรียกได้ว่าใจตรงกันเลยไม่ใช่หรือไง? แล้วมันจะแย่ตรงไหนกัน? หรือเพราะใจตรงกันนี่แหละ เลยเครียดเรื่องหน้าที่การงานที่อาจมีผลกระทบ (อย่างแน่นอน) กันนะ?
ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถาม รุจน์ก็สาธยายต่อแบบลืมหายใจ สาสมกับความอัดอั้นที่สะสมไว้เต็มอก
"ผมกับมันสนิทกันมานาน ผมคิดเอาไว้เสมอว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกันไปตลอดชีวิต...จนกระทั่งมารับเล่นหนังเรื่องนี้ ผมไม่เคยรู้เลยว่าตลอดมามันคิดกับผมยังไง จนวันที่ได้เล่นฉากเลิฟซีนด้วยกัน....หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมสับสนมาตลอดเลย ไม่รู้ว่าควรทำยังไง ผมไม่อยากให้ความเป็นเพื่อนระหว่างเราเปลี่ยนไป ผมจึงพยายามรักษามันไว้ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้..."
ความอัดอั้นตันใจพรั่งพรูราวก๊อกแตก ยิ่งเล่าน้ำเสียงสั่นเครือยิ่งอู้อี้จนแทบฟังไม่รู้เรื่องรู้ราว จนสดายุต้องคอยช่วยตบหลังให้เบาๆ เพื่อไล่ก้อนสะอื้นให้ ใจหนึ่งก็เห็นใจรุจน์อยู่พอสมควร แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าเดี๋ยวจะถ่ายต่อไม่ไหวเพราะตาบวมฉึ่งเสียอีก แต่สดายุก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่าการกระชับอ้อมกอดเพื่อปลอบโยน เพราะรุจน์ ไม่เว้นจังหวะให้พี่ยุคนนี้ได้สอดปากบ้างเลย
“ทั้งที่ผมคิดว่า เราจะไม่มีวันเปลี่ยน แต่สุดท้าย...ทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิม ตั้งแต่กลับมาจากมัลดีฟส์ งานของพวกเราก็เยอะขึ้น ผมกับพอร์ชแทบจะไม่ได้เจอกันเลย นอกจากตอนถ่ายหนัง...โทรศัพท์ที่เคยมีทุกวัน วันละหลายรอบก็น้อยลง ล่าสุดแทบจะไม่โทรมาเลย ผมโทรไปก็ติดงานตลอด พอร์ชมันเย็นชากับผมมากเลยพี่ยุ ถึงต่อหน้าคนอื่นมันจะยังคงเล่นกับผมบ้าง แต่พออยู่ด้วยกันสองคนเมื่อไหร่ มันก็จะเงียบ และทิ้งระยะห่างจากผมทันที...ผมอยากเคลียร์กับมันก็ไม่มีโอกาสเลย แถมวันนี้ยังเป็นซีนสุดท้ายของพวกผมแล้ว จากนั้นก็มีงานแยกกันตลอด เราอาจไม่ได้เจอกันอีกพักใหญ่ แม้แต่ตอนเลี้ยงปิดกล้อง ผมก็อาจไม่ได้มา...ถ้าจะต้องไปเจอกันอีกทีตอนฉายรอบปฐมทัศน์ที่ยังไม่มีกำหนดแน่นอนกว่าจะถึงตอนนั้นผมต้องอกแตกตายแน่เลยพี่ ผมจะทำยังไงดีอ่ะพี่ยุ จบวันนี้ไป ผมอาจไม่ได้คุยกับมันอีกแล้วก็ได้ พอร์ชมันคงไม่อยากคุยกับผมแล้ว มันคงเบื่อผมแล้ว....ฮือ...มันต้องเลิกรักผมไปแล้วแน่ๆ....”จบประโยคน้ำไหล รุจน์ก็ร้องไห้เป็นน้ำหลาก พร้อมตบท้ายด้วยประโยค ที่แม้แต่สดายุยังต้องถอนหายใจ
“ทั้งที่ในบท ยังจูบกันอย่างเร่าร้อนอยู่เลย ยังมองผมด้วยสายตาที่เว้าวอน เรียกร้องความรักจากผมอยู่เลย...แต่พอพี่อ๊อดสั่งคัท...แม้แต่หน้าผม มันก็ไม่เหลียวมองแม้หางตา...จูบกันเป็นสิบเทคแท้ๆ...แม่ง โคตรเย็นชา.....”จบคำก็ปล่อยโฮอีกคำรบ จนสดายุต้องแกะปลิงน้อยออกจากตัว มาคุยกันแบบตาสบตา
ปลอบใจสไตล์พี่ยุ
“ระบายจบยังไอ้หนู?” ถามเสียงเข้ม หน้าตาจริงจัง
“...ฮึ่ก...จ...จบแล้วฮะ” ตอบเสียงสั่น ความจริงยังไม่จบหรอกครับพี่ แต่ผมกลัวพี่ด่าอ่ะครับ
“งั้นตาพี่ถามนะ ที่ฟูมฟายอยู่เนี่ย เราได้เปิดอกคุยกับไอ้พอร์ชมันบ้างหรือยัง?”“...ย...ยังครับ ผม...ไม่มีโอกาสเลย”
“ยังไม่ได้คุย แล้วรุจน์รู้ได้ยังไง ว่าพอร์ชคิดอะไรอยู่? รู้ได้ยังไง ว่าพอร์ชไม่ได้รักแล้ว? ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าที่พอร์ชเป็นแบบนี้ ความจริงอาจไม่ใช่เพราะเปลี่ยนไป หรือเปลี่ยนใจ แต่อาจเป็นเพราะ เหนื่อย เครียดจากงานอื่นมา รุจน์ไม่คิดเหรอว่า ตอนนี้ พอร์ชอาจรอให้รุจน์เข้าไปคุย เข้าไปปลอบใจ มากกว่ามายืนคิดมากฟูมฟายอยู่คนเดียวแบบนี้...”คำปลอบ ที่ไม่เหมือนคำปลอบ พรั่งพรูใส่หน้ารุจน์แบบไม่มีการถนอมน้ำใจ ทุกคำตรงประเด็นจนเด็กน้อยเริ่มน้ำตาเอ่ออีกรอบ แต่เพราะเรื่องที่สดายุพูดมาล้วนแต่เป็นเรื่องจริง เรื่องจริงที่จี้ใจดำจนจุก รุจน์จึงไม่กล้าร้องไห้ออกมาอีก ทำได้เพียงหลุบตาก้มหน้าต่ำ เพื่อสำนึกผิดเท่านั้น
“ถ้าจะถามว่า พอร์ชไม่รักรุจน์แล้วเหรอ ถามตัวเองว่า รุจน์ไม่รักพอร์ชบ้างเหรอ จะดีกว่า เท่าที่พี่เห็น ก็มีแต่ไอ้พอร์ชนั่นแหละที่เข้ามาวอแว คอยแกล้ง คอยแหย่ ไม่เห็นจะมีรุจน์เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์แบบนั้นกับพอร์ชบ้างเลย แบบนี้เหรอที่เรียกว่า พอร์ชไม่รักรุจน์แล้ว? เรื่องงานก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ห่าง แต่รุจน์ต้องมองตัวเองด้วยนะ ว่าที่ห่างเนี่ย เพราะเรื่องงาน หรือว่ารุจน์รักษาระยะห่างมากเกินไปกันแน่ กลัวการเปลี่ยนแปลง เลยไม่คิดสานต่อความสัมพันธ์ กลัวใจตัวเองจะทำอะไรไม่ยั้งคิด จนความเป็นเพื่อนเปลี่ยนไป กลัวจนทำตัวห่างเหินออกมา แล้วพอไอ้พอร์ชรู้ตัวว่ากำลังโดนรุจน์ระแวดระวัง มันเลยต้องทำตัวดีๆ ไม่เข้ามายุ่งมากจนเกินไป เพราะกลัวคนที่มันรักจะคิดมาก ก็กลายเป็นโดนมองว่าห่างเหินออกไปเสียอีก พี่ถามหน่อยสิ ต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้มาจากใครกันแน่ครับ? วิเคราะห์เองได้ใช่ไหม?” “....ครับ”
มาเป็นชุด จนรุจน์ได้แต่ตอบคำว่า...ครับ...นี่คือการปลอบใจแนวใหม่หรืออย่างไร ไม่มีคำหวาน ไม่มีคำโอ้โลม ด่าล้วนๆ ด่าจนน้ำตาไอ้รุจน์แห้งสนิทอย่างไม่น่าเชื่อ ด่า...ด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนราวกับพระแม่มารี
และก่อนจะได้ทันตั้งตัว สองแก้มของรุจน์ก็ถูกตะปบพร้อมกันทั้งสองข้างด้วยมือเย็นๆของสดายุ ผู้เป็นนักปลอบเด็ก ให้ได้ตั้งสติสบตากันตรงๆ แล้วสร้างข้อตกลง ที่ยากจะปฏิเสธ
“ออกจากเปลือกที่ตัวเองสร้างเอาไว้ แล้วไปเคลียร์หัวใจให้รู้เรื่องกันซะ อย่ามัวแต่หมกตัวอยู่กับอะไรที่ไม่เข้าใจและยังไม่คิดจะหาคำตอบ โตแล้ว ต้องมีสติให้มาก รู้ไหม?”
“ครับ”
“สัญญากับพี่สิ ว่าพอออกไปจากห้องนี้แล้ว จะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องพอร์ช และเรื่องงาน ถามตัวเองซิ ว่ายังอยากเก็บไอพอร์ชไว้ไหม ถ้าคำตอบคือใช่ รีบออกไปเคลียร์กับมันซะ รักก็คือรัก จะโกหกหัวใจตัวเองอยู่ทำไม? เวลามันเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ มันไม่ได้หยุดรอเราทุกครั้งที่เราหยุดเดินนะ ชีวิตคนน่ะ ไม่มีทางอยู่กับความจีรังไปได้ตลอดชีวิตหรอก ความเปลี่ยนแปลงมันอยู่กับเราทุกวินาทีอยู่แล้ว แต่เรากำหนดได้นี่ ว่าอยากให้มันเป็นแบบไหน จริงไหม?”
“ครับ”
“ตอบแต่ครับๆๆ นี่ เข้าใจที่พี่พูดจริงๆหรือเปล่า?”
“กระจ่างเลยครับพี่ยุ”
“ดีมาก มีสติไว้ ถ้าไม่ไหวก็บอก เดี๋ยวพี่ปลอบเรียกสติใหม่ให้”
“ครับพี่ยุ ผมจะพยายาม ไม่สติหลุด (จนโดนพี่ด่า) อีกแล้วครับ”
“ต้องอย่างนี้สิ!!”
สิ้นสุดการปลอบใจแนวใหม่สไตล์สดายุแล้ว รุจน์ก็ดูเหมือนจะมีสติ และเป็นตัวของตัวเองขึ้น รอยยิ้มแรกผุดขึ้นมาในที่สุด เป็นที่น่าพอใจของคนปลอบจนต้องมอบรางวัล เป็นการขยี้หัวให้เบาๆ ด้วยความเอ็นดู
เสร็จภาระกิจ สดายุก็ไล่ให้รุจน์ไปล้างหน้าล้างตาเสียใหม่ เพราะตอนนี้เมคอัพยับเยินไปด้วยคราบน้ำตาไปหมด เห็นว่าอีกฝ่ายดีขึ้น คนปลอบอย่างสดายุก็เตรียมตัวออกจากห้องน้ำ ทว่าขณะที่กำลังแง้มประตู เขาก็นึกสนุกขึ้นมาบางอย่าง ก่อนจะหันไปถามรุจน์หนึ่งคำถาม
“รุจน์...รักพอร์ชจริงๆใช่ไหม?” คำถามที่มาแบบกะทันหันเล่นเอารุจน์แทบเงิบ แต่ในเมื่อพี่ชายที่เคารพรักเป็นคนถามทั้งที รุจน์จึงตอบออกมาจากใจแบบไม่อิดออด
“รักครับ...รักที่สุด”ได้ยินคำตอบ สดายุก็ยิ้มร่า หันหลังเปิดประตูจากไป พร้อมกับพูดกับคนที่ยืนรออยู่ตรงหน้าประตูว่า...
“ได้ยินชัดแล้วนะ พอร์ช”ไม่ต้องรอคำตอบจากคำถามที่ส่งไป เพราะร่างสูงใหญ่ผู้ถูกถาม ไม่ได้ให้ความสนใจตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ร่างนั้นพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ คว้าคนที่ยืนเอ๋อรับประทานเข้ามาสวมกอดแบบไม่เบานัก ก่อนจะก้มลงบดจูบแบบไร้ซึ่งความอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง อดกลั้นมานานก็เงี้ย...
นึกว่าจะถูกปฏิเสธ ที่ไหนได้ อีกฝ่ายเอื้อมมือขึ้นโอบคอเฉย...จนสดายุยังได้แต่ถอนหายใจ
“เฮ้ย เฮ้ย...ไอ้เด็กพวกนี้นี่ รอผู้ใหญ่หัวหลักหัวตอออกไปก่อนก็ไม่ได้ หึหึ”
บ่นไปงั้น แต่ก็ยังช่วยปิดประตูห้องน้ำให้อย่างเงียบเชียบ.....
***************
******************************
************************************************
*****************************************************************
************************************************
******************************
***************
ตอนหน้าไคลแม็กซ์ค่ะ
คอมพ์ไม่มี ขอโทษจริงๆนะคะ
ต้องมาแอบพิมพ์ แอบลงที่ออฟฟิศเอา...

ขอบคุณพี่ๆน้องๆ ที่คอยโทรตามกระทุ้งค่ะ
ยังไม่ได้หายไปไหนนะคะ
แต่ไม่มีเวลามาลงเลยจริงๆ
ตอนนี้พอมีเวลา เลยกำลังปั่นสุดกำลังค่ะ
อีกนิดเดียว
อดทนกันอีกนิดนะคะ
Please…
ต้องขอโทษแบบสุดใจขาดดิ้นจริงๆค่ะ
ปล...ใครจะเป็นคนโชคดีที่ถูกรับเลือกให้ตายกันนะ...แจ้งข่าววาโยโผล่มาคร่าา 555
ซีนที่28 หน้า79
'เสียงกฤตเมธถอนใจหนักหน่วงเมื่อวาโยลากลิ้นลงถึงแอ่งสะดือ สุดท้ายก็ครอบครองความแข็งขืนของเขาที่เตรียมพร้อมมาได้เกือบครึ่งทาง และเพียงไม่กี่อึดใจสิ่งนั้นก็ขยายตัวเต็มที่ ภายใต้การควบคุมของสดายุสิ้น'
ก่อนหน้านี้ก็เห็นแว่บๆตอนนึง แต่จำไม่ได้แล้ว ถ้าหาเจอแล้วจะมาบอกนะคะ 
อุ๊บส์!!! หนูวาแอบโผล่มาแจมอีกแล้ว!!
หรือใจอนาคี จะมีแต่ เตโชวาโยกันนะ ฮี่ฮี่