ผมคือ...นางเอก‘ปลายฝนต้นหนาว’(ครึ่งหลัง)
“ไม่ต้องเลื่อนหรอกครับ คุณสุริยาวดี นัดพวกนักข่าวได้เลยครับ ผมออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ จะเปิดแถลงข่าวทันที”
“เมธ!?”
“ผมจะบอกพวกเขา ว่าผมกับยุคบกัน”*
*
*
*
*
“ไหนบอกมาสิ คุณคิดอะไรของคุณ? ถึงได้จะจัดแถลงข่าวเรื่องของเรา?” หลังจากคนเยี่ยมลากลับไปกันครบทุกคนแล้ว ก็ถึงเวลาสังคยนาปัญหาคาใจของสดายุเสียที โดยเริ่มต้นด้วยคำถามหนักแน่น พร้อมหน้าตาจริงจัง วุฒิภาวะมากกว่าแล้วยังไง ทำอะไรไม่ยอมปรึกษาแบบนี้ก็ต้องมีเคลียร์ใจกันหน่อย
“คิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วไงครับ” แล้วกฤตเมธก็ตอบกลับความจริงจังนั้นด้วยคำตอบที่เรียบนิ่ง พร้อมสีหน้าที่จริงจังไม่ต่าง “ผมไม่อยากเก็บยุเอาไว้ในห้องแห่งความลับอีกแล้ว...หรือว่ายุ...รังเกียจ...” ทว่าความหนักแน่นนั้น กลับถ้อยแผ่วปลายประโยค เมื่อนึกขึ้นได้ว่า การกระทำย่ามใจของตนอาจล่วงละเมิดจิตใจของสดายุมากเกินไป
กฤตเมธเริ่มอ่อนล้า เขาอาจด่วนตัดสินใจไปจริงๆ คงเพราะตอนนี้จิตใจของเขายังไม่ปกตินัก เลยอาจตัดสินใจอะไรบุ่มบ่าม ไม่ยั้งคิด จนสดายุอาจโกรธ... “ผมขอโทษนะยุ...ถ้าคุณไม่ต้องการ เราเลื่อนก็ได้นะ” เพื่อคนที่รัก สุดท้ายเขาคงต้องตัดใจ
“เอ้า เอ้า นอยด์ไปไกลแล้วลุง ผมยังไม่ได้บอกว่าโกรธคุณเลยสักคำนะ” เห็นกฤตเมธจิตตก สดายุก็รีบปลอบ เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ผลออกมาในแนวนี้เสียหน่อย จึงได้แต่ถอนหายใจ แล้วค่อยๆอธิบายความคิดของตนให้กฤตเมธฟังอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
คนแก่กำลังเจ็บหนัก ต้องรักษาน้ำใจกันหน่อย...
ว่าแล้วสดายุก็กลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม หย่อนตัวนั่งลงข้างขอบเตียง เพื่อจะได้เผชิญหน้ากับกฤตเมธในระยะสายตา ก่อนจะเปรยความคิดตน ให้คนรักฟัง
“ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณต้องเสียชื่อ...ด้วยการเป็นเปิดตัวว่าเป็นเกย์ออกสื่อกับผม สังคมจะคิดยังไง? ไหนจะแฟนคลับ ครอบครัว เพื่อนๆ จริงอยู่ว่าวงการนี้ เกย์เยอะเป็นขโยงออกหน้าออกตา... แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ใครจะเปิดตัวออกสื่อก็ได้หรือเปล่าครับ พวกรุ่นใหญ่ ที่มีลูกมีเมียเป็นตัวเป็นตน ถึงเขาจะเป็น เขาก็ยังไม่คิดเปิดตัวกันโต้งๆเลย แค่มีข่าวเล็ดรอด ก็แตกตื่นกันจะแย่แล้ว แต่นี่คุณถึงกับจะแถลงข่าว...คือผมไม่ได้รังเกียจนะ การได้เปิดตัวว่าเป็นคนของลุงน่ะ แต่ผมไม่อยากให้ชื่อเสียงที่คุณอุตอุตส่าห์สร้างมา ต้องมาจบลงแค่หน้าโต๊ะแถลงข่าว ตัวผมน่ะไม่อยากอยู่ในวงการนี่อีกแล้ว แต่ผมไม่ได้อยากดึงคุณออกมากินแกลบด้วยกันข้างนอกนะ...” สดายุพยายามอธิบาย สรรหาทุกเหตุผล ที่จะสามารถหาได้ เพื่อโน้มน้าว เพราะดูท่า คนที่ยังคงนิ่งฟัง ไม่ได้รู้สึกคล้อยตามแม้แต่น้อย กลับกัน ยิ่งพูด ยิ่งไม่ฟังเลยต่างหาก แค่มองสายตาแน่วแน่นั่น สดายุก็เริ่มจะถอดใจ “หึ...มองแบบนี้ นี่ไม่ได้คิดตามกันเลยสินะ”
“ผม...แค่อยากมีคุณ ในทุกๆที่ อยากพูดถึงคุณ ในทุกครั้งที่มีคนถาม ว่าคนพิเศษของผมคือใคร เขาน่ารักมากแค่ไหน และผมรักเขามากเพียงใด...”จบร้อยแปดเหตุผลที่สดายุอุตส่าห์ขุดขึ้นมาอธิบาย กฤตเมธก็เริ่มอภิปรายเหตุผลของตัวเองบ้าง
ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ด้วยดวงตาที่แน่วแน่
และน้ำเสียงที่จริงจัง
มือขวาข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บ ยกขึ้นลูบใบหน้าเนียนมือของคนรักอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรวบท้ายทอยเล็กดึงศีรษะสดายุเข้ามาหาตนช้าๆ ดึงเข้าหาแล้วกฆตเมธก็ใช้หน้าผากของตนประกบลงไปที่หน้าผากของคนรัก ก่อนพร่ำรำพันความอัดอั้นในอก
"ขอโทษ...ที่ผมคนนี้มันเห็นแก่ตัวเหลือเกิน ที่อยากแถลงข่าว อยากเปิดตัว...ทั้งๆที่ยุไม่ชอบ... ผมแค่อยากรักคุณอย่างเปิดเผย ปกป้องคุณได้อย่างเต็มความภาคภูมิว่าคนนี้คือแฟนผม...ผมต้องการเพียงแค่นี้จริงๆ...ผมขอโทษ..."เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังจะกลั่นบางอย่างออกจากอก บางอย่างที่มาพร้อมกับหยาดน้ำตา หยดเผาะแผะรินรดลงมาตรงหน้าของสดายุ
แล้วอย่างนี้ มีหรือที่ใจของสดายุจะยังยืนหยัดอยู่ได้ เขาโอบกอดร่างหนาของคนรักทันทีที่เห็นหยดน้ำน้อยๆนั่น หัวใจของกฤตเมธอ่อนแออยู่แล้วจากการสูญเสียผู้มีพระคุณคนสำคัญ แล้วสดายุจะยังกล้าทำร้าย กล้าเหยียบย่ำรอยแผลนั่นซ้ำเติมหรอกหรือ
ไม่มีทางอยู่แล้ว...
ยิ่งได้ยินสิ่งที่กฤตเมธเล่าขาน ยิ่งได้ฟังว่าคนตรงหน้ารักและให้ความสำคัญกับตนมากแค่ไหน บ่อน้ำตาที่ว่าลึกหนักหนา ก็ตื้นเขินขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับมีตาน้ำตาใหญ่ผุดขึ้นในดวงตา
“พี่เมธ...ยุรักพี่” สวมกอด ทอดศีรษะลงซบบนบ่ากว้าง ปล่อยหยาดน้ำตาหลั่งรินเงียบเชียบ ก่อนเอ่ยคำรัก ที่แม้จะบอกอีกเป็นร้อยเป็นพันคำ มันก็ไม่อาจแทนความรู้สึกที่เอ่อท้นในใจดวงนี้ได้... แต่มันก็เป็นเพียงคำเดียว ที่มีความหมายใกล้เคียงกับหัวใจที่สุด
ใช่เพียงรัก แต่รักที่สุด
“ตั้งแต่มีพี่เข้ามาในชีวิต ยุก็รู้สึกว่าตัวเองช่างมีค่า พี่ทำให้ยุรักตัวเองมากพอๆ กับที่ยุรักพี่ ขอบคุณนะครับ...ที่พี่เลือกยุ ขอบคุณครับที่ให้เกียรติยุ ขอบคุณครับที่ไม่ทิ้งยุ...ขอบคุณครับ พี่เมธ...”นี่คือถ้อยคำอนุญาต ว่าสดายุยอมสิ้นแล้ว ไม่ว่ากฤตเมธจะแถลงข่าวยังไง สดายุก็ไม่มีเกี่ยงงอนอีก ในเมื่อคนคนนี้ให้ความสำคัญกับเขาเหลือเกิน แล้วทำไมเขาคนนี้ต้องปฏิเสธด้วยเล่า
“ทั้งๆที่ยุตั้งใจว่าจะนอนตีพุงอยู่บ้านเฉยๆแล้ว เกาะพี่เมธกินไปวันๆ เสียหน่อย...” แต่จะดึงเป็นเรื่องเศร้าอย่างเดียวก็ไม่ใช่วิสัยของสดายุล่ะนะ นาทีนี้ที่พวกเขาเข้าใจกันแล้ว มันต้องเป็นบรรยากาศหวานๆสิ ไม่ใช่มากอดกันร้องไห้อยู่แบบนี้
“พี่จะดูแลยุให้ดีที่สุดแน่ๆครับ พี่สัญญา ไม่ให้อดมื้อกินมื้อแน่นอน” และนี่คือคำตอบติดตลกของกฤตเมธ
ในที่สุดทั้งคู่ก็คลายอ้อมแขนออกจากกัน แต่ก็ไม่ได้ยอมออกห่าง ดวงตาที่ยังคงฉ่ำชื้น จ้องมองกันไม่ลดละ แววตาทั้งคู่สะท้อนภาพของกันและกัน แน่นอนว่ามันอบอวลด้วยความรักเหลือล้น ‘กันและกัน’ มันช่างแสนหวานเหลือเกิน
สดายุยิ้ม เช่นเดียวกับที่กฤตเมธยิ้ม
ใบหน้าเคลื่อนเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะมอบจุมพิตหวานล้ำให้กันและกัน
*
*
*
*
*
เย็นย่ำ หลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คนเจ็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว สดายุก็จัดการจับตาแก่งอแงป้อนข้าว เพราะได้แต่นั่งๆนอนๆ กฤตเมธเลยค่อนข้างเบื่ออาหาร แต่ก็ยอมอ้าปากกว้าง เพื่อรับข้าวพูนช้อนจากสดายุแบบไม่ขาดช่วง
“รู้สึกข้าววันนี้ท่าทางจะอร่อยน่าดูเลยนะครับ”เสียงทักมาแต่ไกลใช่ใครอื่น น้องชายคนสนิทผู้ช่วยชีวิตของกฤตเมธ ที่มาพร้อมกับคนไข้ในความดูแลที่เพิ่งทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จหมาดๆ
“ของมันแน่อยู่แล้ว” กฤตเมธยิ้มรับคำแซวแบบไม่เคอะเขิน “ขอบใจนะ ที่ช่วยพี่ไว้...ขอบใจจริงๆว่ะดนัย” ก่อนตบท้ายด้วยคำขอบคุณจากใจ ถ้าไม่ได้ดนัย เขากับสดายุคงแย่
“เฮ้ยพี่ คนกันเอง ไม่ช่วยพี่แล้วจะให้ผมไปช่วยใครล่ะ โอ๋ๆ อย่าร้องนะครับ” โดนคำขอบใจจริงจังเข้าหน่อย ดนัยเลยต้องรีบแก้เก้อ โดยการรีบจ้ำเข้าไปหาพี่ชายคนดี แล้วเอ่ยแซวซ้ำเพื่อตัดอารมณ์ซึ้ง เพราะไม่ว่ายังไง เขาก้ไม่ถนัดทางนี้ เรื่องซึ้งๆนี่ดนัยขอผ่าน แล้วก็สำเร็จ เพราะทันทีที่สัพยอกออกไปคำว่า ‘ไอ้บ้า’ ก็ลอยมากระแทกหน้าอย่างจัง สมอารมณ์หมายเรียบร้อย
“ขอบใจนะดนัย ที่อุตส่าห์ไปช่วยเราไว้ ถ้าไม่ได้นาย เราคงแย่” คราวนี้เป็นตาสดายุเอ่ยคำขอบคุณบ้าง ดนัยยิ้มรับพลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มสดายุเบาๆคล้ายหมั่นเขี้ยว “คราวหน้าคราวหลังก็อย่าเที่ยวซ่าแบบนี้อีกนะ สงสารพี่เมธเหอะ แกแก่แล้ว....” ยังไม่ทันพูดจบหัวดนัยก็ปลิวตามมือกฤตเมธที่ผลักออกมาแบบสุดมือ ก่อนชี้หน้าคาดโทษแบบทีเล่นทีจริง เรียกเสียงหัวร่อต่อกระซิกกันทั้งสามคน
จะเว้นเสียก็แต่อีกคน ที่ยังคงยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาในระยะสายตา
แต่กฤตเมธมองเห็นชัดเจน ว่ายังมีใครอีกคนหลบมุมอยู่ อีกคนที่ลอบมองมาทางสดายุไม่วางตา มองด้วยสายตาที่แสดงความโหยหา จนเขาอดทักออกไปไม่ได้
“ขอบใจนะบดินทร์” คนเหม่อแทบจะสะดุ้งโหยงทันทีที่กฤตเมธทัก “ขอบใจที่นายอุตส่าห์ตามไปช่วยยุ ฉันขอบใจนายจริงๆ” กฤตเมธพูดจากใจ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบบดินทร์สักเท่าไหร่ แต่ก็ยังนึกขอบคุณจริงๆที่อย่างน้อย บดินทร์ก็ยังพอเป็นห่วงสดายุอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ชอบสายตาที่คนคนนี้ใช้มองสดายุของเขาเลย ให้ตายเถอะ!
ถูกพูดขอบคุณกันซึ่งหน้าบดินทร์ก็ได้แต่ยิ้มแหย แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาคมกล้าของกฤตเมธทันที เพราะบดินทร์รู้ดี ว่าสายตานั่น คือสายตาของผู้เป็นเจ้าถิ่น ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมให้เขาได้ล่วงล้ำเข้าไปในเขตปกครอง...ที่มีของเลอค่าแสนหวงแหน
ทว่า...สุดท้ายบดินทร์ก้ไม่อาจห้ามใจ ที่จะช้อนสายตาของตนขึ้นมองไปยังคนที่ตนแสนปรารถนาอีกครั้ง...
ยังอาวรณ์เหลือเกิน...
.......!!!?
ตาสบตา ทันทีที่แอบสอดส่อง เล่นเอาคนแอบมองสะท้านวาบ จะเบือนหน้าหลบก็ไม่ทัน จึงต้องยืนใจสั่นจดจ้องอย่างตรงไปตรงมา
“เฮ้...ไปเป็นเพื่อนซื้อกาแฟหน่อยสิ” “เอ๊ะ?”
คำชวนที่จู่ๆก็ลอยมากระแทกหน้า เล่นเอาบดินทร์ถึงกับเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก อย่าว่าแต่บดินทร์เลย แม้แต่กฤตเมธกับดนัยก็ยังถึงกับงง กระทั่งสดายุลากตัวบดินทร์ออกไปจากห้องแล้วนั่นแหละ กฤตเมธถึงได้ผุดยิ้มออกมาบางๆ
นี่แหละ...สดายุของเขาล่ะ เฮ้อ...*
*
*
*
*
“เอาน้ำอะไรไหม? ลาเต้ปั่นของที่นี่อร่อยนะ” หลังจากมาถึงหน้าร้านเก่าร้านเดิม ที่สดายุเคยแวะมาชิมตอนมาเยี่ยมบดินทร์ครั้งนั้น สดายุก็หันมาถามคนที่เดินตามต้อยๆ ไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากห้อง บดินทร์หน้าเหวอขึ้นเล็กน้อย เพราะไม่นึกว่าจะโดนถาม
“มึงชอบกินลาเต้ปั่นไม่ใช่รึไง? ไม่เอาสักแก้วล่ะ” ‘มึงชอบลาเต้ปั่นไม่ใช่เหรอ?...’ คำถามนี้สะท้อนไปมาในหัวของบดินทร์ ทั้งก้องอยู่ในโสตประสาท และยังแว่วหวานถึงความทรงจำ อันเนิ่นนาน ใบหน้าเศร้าหมองเริ่มทอประกายสดใสขึ้น ริมฝีปากที่เม้มแน่น ค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “...ยังจำ...ได้ด้วยเหรอ ว่ากูชอบ ลาเต้ปั่น” อึกอักถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ก็ชอบกินลาเต้เหมือนกันนี่ แต่กูชอบไม่ปั่น ส่วนมึงชอบกินแบบปั่น แค่นั้นทำไมจะจำไม่ได้...กูเป็นคนจำแม่น มึงก็รู้” สดายุตอบ โดยไม่ได้หันมามองทางบดินทร์เลยแม้แต่นิด ว่าท้ายประโยคของตนนั้น ทิ่มแทงใจของคนที่ยิ้มค้างอยู่มากเพียงใด บดินทร์ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ได้แต่ยืนเงียบ ยินเพียงเสียงสั่งน้ำของสดายุเท่านั้น
‘น้องครับ ขอลาเต้ปั่นหนึ่ง ไม่ปั่นหนึ่ง วิปครีมเยอะๆ อ่อ ราดคาราเมลฉ่ำๆเลยนะน้อง เอ่อพี่เอา...’“เฮ้ย...มึงจะยืนลดพลังวิญญาณอีกนานไหม? เอาแก้วมึง”
บดินทร์สะดุ้งเล็กๆ เมื่อถูกเรียกขาน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเหม่อไปนานแค่ไหน เพราะกว่าจะรู้ตัวอีกที ลาเต้ปั่นวิปครีมพูนแก้วก็ส่งถึงมือเขาแล้ว พร้อมกับจาน Choc Devil Cake อีกหนึ่งถูกยื่นมาให้ถือเต็มไม้เต็มมือ แค่เห็น น้ำตาของบดินทร์ก็พาลจะไหล
สดายุจำได้...
จำได้ว่าเขาชอบลาเต้ปั่น ที่ใส่วิปครีมจนพูนและราดคาราเมลเยอะๆ
และยังจำได้ว่าเขาชอบทานเค้กช็อกโกแลตมากขนาดไหน...
สดายุยังจำได้...
แม้แต่เรื่องของชอบของคนเลวๆคนนี้ สดายุก็ยังจำได้
“รีบไปนั่งดิเฮ้ย เดี๋ยวที่ก็เต็มกันพอดี” ก่อนที่หยาดน้ำตาของบดินทร์จะถูกกลั่นออกมาเป็นหยด สดายุก็เร่งผลักคนที่สูงใหญ่กว่าตนเล็กน้อยให้ได้เคลื่อนร่างออกจากหน้าร้าน เพื่อหาที่นั่งเสียที “เอ้า...นั่งตรงนี้แหละ” แล้วดันคนที่ยังเดินเหม่อ งกๆเงิ่นๆ ให้นั่งปุลงบนโซฟาหน้าร้านแบบไม่เบามือนัก
จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งคู่อีกครั้ง เนิ่นนาน เสียจนบดินทร์ไม่กล้าหยิบจับอะไรทั้งนั้น มีก็เพียงสดายุ ที่ดูดลาเต้ของตน ซืดๆอยู่ฝ่ายเดียว กระทั่งลาเต้หมดแก้ว
“รีบกินซะสิ กูจะขึ้นข้างบนแล้ว” สดายุแกล้งเร่ง
“อ..อืม” และบดินทร์ก็รีบกินของตรงหน้าตามที่สดายุว่า โดยไม่ยอมพูดยอมจาอะไรเช่นเดิม เขาไม่กล้าจริงๆ กลัวว่าจะเผลอพูดอะไรออกไปแล้วทำให้สดายุไม่พอใจ แค่การได้มานั่งกินกาแฟ กินเค้กด้วยกันอย่างตอนนี้ ก็เกินฝันมากพอแล้ว
เห็นคนตรงหน้ากินเอาๆ สดายุก็ได้แต่จ้องมอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาบางๆ แล้วเอ่ยบางอย่างกับอดีตเพื่อนรัก
“ขอบใจนะ ที่มึงอุตส่าห์ไปช่วยกู” คำขอบใจทำบดินทร์ชะงัก ดวงตาคู่โศกค่อยๆช้อนมองคนตรงหน้า ทว่าแสงสว่างเจิดจ้าเกินไปที่ส่องมาจากด้านหลังของสดายุจนเกิดเงานั้น ทำให้บดินทร์ไม่อาจมองเห็นว่าสดายุกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่
แต่...การที่มองไม่เห็นแบบนี้ มันอาจดีแล้วก็ได้
อย่างน้อยการที่ไม่ต้องเห็นสายตาของสดายุตรงๆ อาจทำให้บดนิทร์กล้าพอจะเอ่ยความในใจ
“...คือ...กูไม่ได้ทำไปเพื่อล้างบาปที่ทำกับมึงหรอกนะ...” บดินทร์อธิบาย เกรงว่าสดายุอาจเข้าใจเจตนาของตนผิดไป...
“กูรู้” และคำตอบของสดุก็สามารถเรียกกำลังใจของบดินทร์ให้กลับมาได้อีกโข ริมฝีปากสั่นระริก เลยกล้าที่จะเอ่ยเจรจา
“...ยุ...คือกู” ทว่า สดายุกลับไม่เปิดโอกาสให้เขาอีกเป็นหนที่สอง”
“ดิน กูกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับมึงไม่ได้แล้วว่ะ ไม่ว่ายังไงกูก็ทำไม่ได้ มึงเป็นคนที่ให้ตายกูก็เกลียดไม่ลง แต่มันก็คงฝืนใจกูเกินไป ถ้าจะให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน กูเป็นคนผูกใจเจ็บ มึงก็รู้ ลองได้ฝังใจไปแล้ว กูเลิกคิดยาก เพราะงั้น ถ้ามึงยังคาดหวัง กูก็ขอให้มึงเลิกคิดเสียเถอะ” คำปฏิเสธของสดายุชัดเจน แจ่มแจ้งเสียจนบดินทร์ไม่อาจกลั้นน้ำตาของตนเอาไว้อีกต่อไปได้
น้ำตาที่ถะถั่ง หลั่งไหลลงเต็มสองแก้ม รินรดเผาะแผะลงบนก้อนเค้กราวกับน้ำฝน เพียงครู่เสียงสะอื้นฮั่กก็ดังตามออกมา พร้อมคำว่า ‘ขอโทษ’ สดายุจับจ้องคนที่เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือเข้าหาใบหน้าที่ก้มต่ำนั่น แล้วบรรจงใช้ปลายนิ้วโป้งปาดหยาดน้ำตาออกให้อย่างเบามือ
การกระทำนั้น ทำบดินทร์ชะงักการสะอื้น ดวงตาแดงก่ำฉ่ำชื้นช้อนขึ้นมองสดายุอย่างไม่เชื่อสายตา
รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานแสนนานปรากฏขึ้นตรงหน้า
“กูกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับมึงไม่ได้ก็จริง......แต่กูเริ่มใหม่กับมึงได้นะ” *
*
*
*
*
“ยิ้มอะไรอยู่คนเดียวน่ะยุ? ออกไปกับบดินทร์แป๊บเดียว กลับมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ พี่ไม่โอเคนะ”
กฤตเมธทักขึ้น เมื่อเห็นว่าตั้งแต่คนรักกลับมาจากการกินกาแฟกับอดีตเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างบดินทร์ สดายุก็เอาแต่อมยิ้มตลอดเวลา ราวกับเจอเรื่องที่มีความสุขหนักหนา
พอโดนว่า สดายุก็หันมายิ้มให้กฤตเมธจนตาหยี แต่ก็ไม่ยอมปริปากบอกอยู่ดี ว่าตนมีความสุขเรื่องอะไร และนั่นยิ่งเติมเชื้อไฟ (ริษยา) สุมทรวงกฤตเมธหนักขึ้นไปอีก “ยุ...ทำแบบนี้พี่หึงนะ”
“หึหึ...ฝึกหึงไว้บ้างก็ดีแล้วล่ะลุง เพราะอนาคตลุงจะยังได้หึงอีกเยอะ” สดายุแซว พลางหยิบของใช้ส่วนตัวออกจากกระเป๋าเป้ใบย่อม
“งั้น หยิบมือถือมาให้พี่เลย พี่จะโทรให้ดนัยมันเก็บเพื่อนเก่ายุไปนั่งยางอำพรางคดีซะให้เรียบร้อย” โดนหยอกมา กฤตเมธก็ต่อคำกลับ ใจจริงก็รู้อยู่แล้วว่าที่สดายุมีความสุขอยู่ตอนนี้ ก็เพราะสามารถตกลงปลงใจบางอย่างกับอดีตเพื่อนรักได้ แต่ถึงสมองจะยอมรับ หัวใจคนแก่กลับร่ำร้องว่ายอมไม่ได้!!
เขาไม่มีวันยอมให้บดินทร์ได้เข้ามาออเซาะสดายุของเขาเป็นอันขาด!!
“คนแก่นี่ขี้หวงจริง หึหึ...ยุก็รักพี่คนเดียวแหละคร๊าบ” สดายุยิ้มพราว เข้ามานั่นแหมะตรงริมเตียงข้างกฤตเมธ แล้วก็...
จุ๊บ...
บ่นนัก จูบปิดปากลุงเสียเลย...
*
*
*
*
*
“ไม่ได้เห็นคุณยิ้มมานาน มีเรื่องดีๆสินะ”ดนัยทักขึ้น เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างกันอมยิ้มอยู่คนเดียว แน่นอนว่าบดินทร์ไม่ได้ตอบอะไร ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับอยู่แบบนั้น และรีบปรับสีหน้าเป็นปกติทันที ไม่ยอมหลุดยิ้มต่อหน้าดนัยอีก
“อะไรกันคุณ ทักนิดทักหน่อย หน้าบึ้งซะแล้ว ยิ้มอีกสิ ผมชอบ” ดนัยแกล้งแซว ขณะ ที่สายตายังคงแน่วแน่อยู่กับถนนมุ่งสู่นอกเมือง เส้นทางที่จะนำเขาทั้งคู่ไปยังเซฟเฮ้าส์ส่วนตัวของบ้านดนัย ที่ซึ่งมีครอบครัวของบดินทร์รออยู่ตามนัดหมายของดนัย เพื่อเหตุผลในการหลบนักข่าว
“ผมต้องทำตามใจคุณทุกอย่างหรือเปล่า แม้กระทั่งการนั่งปั้นหน้ายิ้มเป็นตุ๊กตาให้คุณดู” บดินทร์ย้อน
บรรยากาศผ่อนคลายหายไปจากรถทันที บดินทร์เบือนหน้ามองข้างทาง ส่วนดนัยก็ถึงกับเงียบขึงไปเช่นกัน สองมือที่ถือพวงมาลัยกำแน่น แม้ไม่ตั้งใจ แต่คนอย่างดนัยดันทนกับอะไรได้ไม่นาน เรียกว่าไม่เคยทนเลยน่าจะดีกว่า
และโดยไม่ตั้งใจ มือที่จับพวงมาลัยอยู่ก็ดันหักเลี้ยวแบบสุดตัว แล้วบึ่งขึ้นทางยกระดับออกสู่อีกฟากของจุดหมายปลายทางเดิม
“เฮ้ย! คุณจะไปไหน!? ทางนี้ไม่ใช่ที่ที่เราต้องไปนี่!” บดินทร์ร้องถาม เมื่อเห็นว่ารถออกนอกเส้นทางกะทันหัน
ทว่าถามไปก็เท่านั้น เพราะดนัยไม่ยอมตอบ แต่กลับกดเบอร์หาลูกน้องคนสนิทแทน
“มานพ บอกคุณบดีและครอบครัวด้วยว่า บดินทร์ยังไปหาวันนี้ไม่ได้ ให้รอที่นั่นไปก่อนแล้วกัน”****************************************
คอมฯไม่ยอมกลับมาค่ะ มันไปแล้วมันไปเลย...
สงสัยคงต้องซื้อใหม่แล้วค่ะ หมดทางเยียวยา TT^TT...
โชคเข้าข้าง วันนี้ฝ่ายบัญชีอยู่ปิดบัญชี
อนาคีเลยได้อาศัยอยู่พิมพ์นิยายต่อ....อิอิ
ตอนแรกกะว่าจะมายาวหน่อย แต่ไม่สามารถค่ะ เพราะเวลาจำกัด (ถึงแค่ตอนปิดบัญชีเสร็จ)
(เลยต้องตัดขึ้นตอนใหม่)
ในส่วนของดนัยกับบดินทร์ที่ยังติดค้างไว้ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าลงให้นะคะ TT^TT
(อาศัยปั่นในเวลางาน อะเกน...อะฮึ่ก อะฮึ่ก)
เป็นไงคะ ช๊อตเคลียร์ใจ อย่างน้อย ยุกับดินก็ยังพอเดินร่วมทางกันเนอะ
(แม้บดินทร์จะหงอจนน่ารำคาญก็เถอะ)
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
อนาคี//Thearboo
ปล. ใครเจอบดินทร์สลับดนัยแจ้งได้เลยนะคะ รู้สึกจะมีเพี้ยนอยู่บ้าง (*_*)
ปลล.ชิดจันทร์ยังไม่โผล่มาจ๊ะ ใครคิดถึงนาง อีกสัก 2 ตอนนะจ๊ะ
ปลลล. น้องพึ่ง เดี๋ยวมานะจ๊ะ (สักวันอังคาร)
ปล.สุดท้าย...การพยายามใส่รูป และแก้ไขข้อความผ่านมือถือนั้น...ร้องไห้หนักมาก