
ผ่านความวุ่นวายมาได้เกือบสัปดาห์ กฤตเมธก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ยังต้องพยุงแขนซ้ายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลที่ไหล่ได้รับความกระทบกระเทือนมาก ที่ที่ชายหนุ่มตัดสินใจกลับมาคือคอนโดห้องน้อยของสดายุ แทนที่จะเป็นบ้านใหญ่ หรือคอนโดของตน อาจเพราะกฤตเมธมาอาศัยสิงสู่อยู่กับสดายุนานแล้ว จึงรู้สึกผูกพัน และเคยชินมากกว่า ทั้งยังสะดวกต่อสดายุด้วย ฝ่ายกรพิณน์ที่มาช่วยดูแลไม่ขาด ก็ไม่ติดใจที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้าน ซ้ำยังช่วยไล่ซ้ำเสียอีก บอกว่ากลับไปอยู่บ้านก็เป็นภาระ สู้ให้สดายุดูแลสบายใจกว่า
มีแม่ที่ใจดีและเปิดกว้าง ทำให้กฤตเมธและสดายุมีความสุขและผ่อนคลายมาก
แต่วันนี้ยังไม่ใช่วันที่พวกเขาควรจะดื่มด่ำ เพราะพวกเขายังมีภารกิจที่จะต้องทำ
คืนสุดท้ายของงานบำเพ็ญกุศลศพของ เสน่ห์จันทร์
“ไหวแน่นะพี่เมธ ยังปวดอยู่ไหม?” สดายุถามขึ้นขณะเข้าประคองกฤตเมธลงจากรถ
หลังจากกลับถึงห้องได้ กฤตเมธและสดายุก็ไม่ได้มีเวลาส่วนตัวมากพอที่จะจัดการเรื่องต่างๆ มากนัก เพราะ ต้องเตรียมตัวเพื่อจะได้เข้าร่วมงานสวดอภิธรรมของเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเหลือเวลาในการเตรียมตัวอีกเพียงแค่ สองชั่วโมงเท่านั้น
“พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกยุ ให้พี่ขยับบ้างก็ได้” กฤตเมธแซวขึ้นเล็กๆ เมื่อคนรักไม่ยอมให้เขากระดิกตัวเลยตั้งแต่มาถึง ประมาณว่าเขาคือตุ๊กตาตัวใหญ่ที่จับไปวางไว้ตรงไหนก็ห้ามเขยื้อน
“อยู่นิ่งๆไปน่ะดีแล้ว แผลพี่ยังไม่หายดี เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกอีก คุณหมอก็บอกอยู่ว่าห้ามพี่ขยับตัวเยอะ เพราะแผลมันยังไม่แห้ง ติดเชื้อขึ้นมาอีกล่ะก็ ได้กลับไปนอนแกร่วอยู่โรงพยาบาลเพื่อรื้อแผลใหม่อีกแน่” ทว่าก็โดนสดายุตอกกลับเสียจนต้องรีบหุบปากฉับ ไม่ใช่แค่เถียงไม่ออก แต่เถียงไม่ได้อีกแล้วต่างหาก คนรักเขาช่าง…ดุเสียจริงด้วย
“คร๊าบ คร๊าบ จะไม่กระดุก กระดิกเลยสักกมิลเดียวเลยครับ” โดนดุเข้าหน่อยกฤตเมธก็ยกมือขอยอมแพ้ แล้วยอมอยู่เฉยๆให้สดายุช่วยจัดการทุกอย่างให้แต่โดนดี แต่ไหนๆก็ไหนๆ คนแก่เลยขออ้อนต่ออีกนิด ชนิดได้คืบเอาศอก "...งั้น ช่วยพี่อาบน้ำหน่อยได้ไหมครับ มือเดียวมันลำบากจังเลย"
ได้ยินคำอ้อน พร้อมสายตาเว้าวอนที่ช้อนมองมา สดายุก็ได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะพร้อมจิกกัดออกมาเบาๆ
“เฒ่าทารกเอ้ย”.
.
.
.
.
ห้าโมงครึ่งโดยประมาณ ระหว่างที่สดายุกำลังช่วยกฤตเมธแต่งตัวในชุดไว้ทุกข์สีดำชวนโศก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
“อ่ะ สงสัยมาถึงกันแล้วล่ะ” สดายุอุทานขึ้นเบาๆ ก่อนจะผละจากกฤตเมธไปที่ประตูห้อง
ส่องตาแมวเห็นเป็นคนที่นัดกันไว้จริง ก็เปิดประตูให้โดยไม่รอช้า พร้อมเอ่ยทักทายผู้มาเยือนอย่างเป็นมิตร “สวัสดีครับ คุณสุริยาวดี พี่บลู”
“สวัสดีค่ะ คุณสดายุ ขอรบกวนหน่อยนะคะ” สุริยาวดีโค้งศีรษะให้สดายุเล็กน้อย ก่อนขออนุญาตเข้ามาในห้องอย่างมีมารยาท ตามมาด้วยบลูม่าที่เอ่ยทักทายสดายุจบก็เดินโอบไหล่เจ้าของห้องตามเข้ามาพร้อมปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย
หลังจากตกลงใจว่าจะไปร่วมไว้อาลัยในงานบำเพ็ญกุศลของเสน่ห์จันทร์แม้ว่าจะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงวัน สดายุก็รีบติดต่อไปทางบลูม่าเพื่อแจ้งความประสงค์ และกฤตเมธเองก็แจ้งไปทางสุริยาวดีต้นสังกัดเพื่อช่วยเตรียมการ เพราะตอนนี้เขากับสดายุยังอยู่ในช่วงฮอต ที่เหล่าเหยี่ยวข่าวทุกสำนัก ต้องการตัวไปสัมภาษณ์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ของชิดจันทร์ ตายของเสน่ห์จันทร์ และแม้กระทั่งความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่
หลังจากเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดจบลง สดายุถูกทางตำรวจเรียกตัวไปให้ปากคำที่ สน. ทันที ในฐานะพยานปากเอกและผู้เสียหาย โชคดีที่ทางตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ครบทุกคน และคนร้ายเหล่านั้นก็ยอมสารภาพทุกข้อกล่าวหา
สดายุถูกเชิญไปให้ปากคำที่โรงพัก ส่วนกฤตเมธนั้นเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บ ทางตำรวจจึงมาสอบปากคำถึงที่โรงพยาบาลเอง คดีถูกปิดได้ภายในไม่กี่วัน เพราะพยานหลักฐานครบครัน และผู้ต้องหาให้การสารภาพอย่างไม่มีอิดออด
ส่วนพิมานหัวหน้ากลุ่มคนร้าย ที่ตายไปพร้อมเสน่ห์จันทร์นั้น ตำรวจก็สรุปว่ามันเป็นการฆ่าตัวตาย ตามความจริงที่ได้รับข้อมูลมา แต่ในส่วนของสาเหตุในการตัดสินใจปลิดชีพตัวเองของพิมานนั้นทางตำรวจเองก็ยังไม่สามารถลงความเห็นได้ เพราะดันไม่มีพยานปากไหนปริปากพูดถึง ทั้งหมดอ้างว่าไม่ทราบ ไม่เว้นแม้แต่ชิดจันทร์
"ตกลงจะไปพร้อมกันแบบนี้เลยจริงๆเหรอคะคุณเมธ น้องยุ มันจะไม่เป็นเป้าไปเหรอถ้าสองคนไปพร้อมกัน ที่งานน่ะพวกนักข่าวเต็มเลยนะคะ" บลูม่าถามย้ำ ขณะช่วยจัดปกเสื้อสูทให้สดายุ
"ไหนๆก็ตั้งใจจะแถลงข่าวในเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ให้เขาเห็นๆกันไปตั้งแต่ตอนนี้เลยน่าจะดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องคลุมเครือกันมาก" กฤตเมธอธิบาย แต่ถึงอย่างไรบลูม่าก็ยังค่อนข้างกังวลอยู่ดี
"กว่าจะแถลงข่าวได้ก็ต้องรอจนกว่า 'สุดปลายทางของหัวใจ' ออกฉายจนออกโรงก่อนไม่ใช่เหรอคะ มันก็อีกตั้งเดือนแน่ะ เล่นให้เห็นกันโต้งๆตั้งแต่วันนี้ มันจะไม่ยิ่งเร่งความกระสันของพวกนักข่าว ให้รีบขุดคุ้ยกันเหรอคะ"
"ถ้ามีเจ๊กับคุณสุริยาวดีไปด้วย ก็คงไม่อึกทึกเท่าไหร่หรอกมั้งเจ๊ อีกอย่างเราไปเคารพศพท่านประธานนะ ในอารมณ์เศร้าสลดขนาดนั้นคงไม่มีใครกล้าจู่โจมเราหรอก อย่างน้อยเขาคงต้องเกรงใจและให้เกียรติในความสัมพันธ์ระหว่างพี่เมธกับท่านประธานอยู่บ้างล่ะ" สดายุให้เหตุผล
"ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ" ถึงจะเข้าใจตามที่สดายุว่า แต่บลูม่าก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณบลูม่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวทางเราช่วยจัดการให้เองค่ะ" เห็นว่าผู้จัดการสาวใหญ่ยังไม่คลายความกังวล สุริยาวดีก็ช่วยพูดเสริมให้อีกแรง
ถึงบลูม่าจะไม่สามารถวางใจได้ ถึงจะยังหวาดหวั่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ต้องจำใจตามยอมพร้อมไปกับทั้งสดายุและกฤตเมธ ถึงอย่างไรเขาก็แค่คนนอก ในเมื่อสดายุและกฤตเมธได้ตัดสินใจร่วมกันแล้ว เขาก็ทำได้เพียงคอยอยู่เคียงข้างและเป็นแรงใจให้ทั้งคู่ในการฝ่าฟันกระแสสังคมที่รอจะโถมถล่มใส่ทั้งสองคนก็เท่านั้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ยิ้มให้ทั้งที่ใจยังกังวล
ทั้งสี่เดินทางโดยรถตู้ของทางบริษัท เดินทางไปยังวัดใหญ่ที่จัดงานบำเพ็ญกุศลศพของเสน่ห์จันทร์ การเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัด ทำให้ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเดินทางถึงในงาน นั่นอาจนับเป็นโชคดีพอสมควรของกฤตเมธ และสดายุ เพราะการมาถึงก่อนการสวดอภิธรรมเพียงอึดใจ ทำให้ทั้งคู่มีเวลาแค่เพียงเคารพศพ แล้วฟังการสวดเลย โดยไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์กับทางสื่อไหนก่อน
ทันทีที่เข้าในศาลาได้ กฤตเมธและสดายุก็ตกเป็นเป้าสายตาในทันที
ทันทีที่เข้าในศาลาได้ กฤตเมธและสดายุก็ตกเป็นเป้าสายตาในทันที แน่นอนว่าย่อมเป็นอย่างนั้น เพราะตอนนี้บุคคลที่กำลังเป็นข่าว และเป็นบุคคลที่สื่ออยากจับมานั่งแถลงไขในสิ่งที่พวกตนอยากรู้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นพวกเขาทั้งคู่ กับอีกคนที่ถูกลักซ่อนออกจากสายตานักข่าวโดยสิ้นเชิงอย่างบดินทร์...
อย่าว่าแต่นักข่าวเลยที่อยากรู้เรื่องของ กฤตเมธ สดายุ บดินทร์ แม้แต่คนอื่นๆในวงการ หรือแม้แต่ประชาชนตาดำๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรูเหมือนกันว่าสิ่งที่นักข่าวตั้งสมมติฐานจะเป็นจริงดังว่าหรือไม่
ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฤตเมธและสดายุที่มีออกมาให้สงสัยกันเป็นระยะ เหตุการณ์คืนที่เสน่ห์จันทร์ถูกฆ่า และคลิปสารภาพบาปของบดินทร์
ทันทีที่ได้เห็นกฤตเมธและสดายุ แน่นอนว่าเหยี่ยวข่าวเล่านั้นย่อมถลาเข้าหา แต่ด้วยสุริยาวดีเตรียมการเพื่อรับมือในเรื่องนี้มาอย่างดี คนที่รับหน้านักข่างเหล่านั้นจึงเป็นหล่อนแทน โดยให้คำตอบในเชิงที่ว่า
กฤตเมธยังอยู่ในอาการโศกเศร้า กอปรกับเพิ่งออกจากโรงพยาบาลทั้งยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บเนื่องจากถูกยิงตอนบุกไปช่วยชิดจันทร์และสดายุ จึงขอความร่วมมือจากทางนักข่าวทุกคนให้ช่วยเห็นใจและช่วยรออีกหน่อย รับรองว่าในอีกไม่นานทางต้นสังกัดจะรีบแจ้งนัดหมายแก่นักข่าวทุกสำนักเรื่องการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการจากกฤตดเมธและสดายุแน่นอน
การเกลี้ยกล่อมของสุริยาวดี ทำให้เหล่านักข่าวยอมล่าถอยในที่สุด แม้บางคนอาจไม่เต็มใจนัก แต่ก็ต้องยอมปล่อยผ่านเพราะทางต้นสังกัดอย่างสุริยาวดีเลขาของเสน่ห์จันทร์ที่กำลังรักษาการแทนอยู่ตอนนี้เป็นคนออกปากแจ้งเอง ทั้งยังเพราะอยู่ในงานศพของเสน่ห์จันทร์อีกด้วย หากทำรุ่มร่ามเกินงามไปอาจเกิดดราม่าจนเสียชื่อสำนักข่าวได้
"ขอบคุณนะครับคุณไข่ ที่ช่วยออกหน้าแทนพวกเรา"
ทันที่สุริยาวดีเดินตามเข้ามานั่งลงข้างกัน สดายุก็เอ่ยขอบคุณที่ช่วยไว้ เพราะหากไม่ได้สุริยาวดี วันนี้พวกเขาคงไม่รอดปากเหยี่ยวปากกาเป็นแน่
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะคุณยุ มันเป็นหน้าที่ของไข่อยู่แล้วค่ะ" สุริยาวดีตอบเสียงหวาน พลางมองเลยไปที่กฤตเมธที่นั่งเหม่ออยู่ข้างๆกับสดายุ ก่อนจะรับธูปหอมจากเด็กหญิงคนหนึ่งเพื่อเคารพศพ
แม้จะปักธูปเคารพศพลงในกระถางธูปหน้าโลงแล้ว แต่กฤตเมธก็ยังไม่มีทีว่าจะลุกออกจากตรงนั้น ร่างสูงใหญ่ในท่านั่งพับเพียบเหยียดหลังตรงผึ่งผ่าย สายตาจับจ้องแน่วนิ่งอยู่กับรูปถ่ายหน้าโลงศพ
ใจหาย...จากวันที่เกิดเหตุการณ์ เขาหมดสติเพราะเสียเลือดมากเกินไปจนไม่อาจอยู่รับรู้เหตุการณ์ในตอนสุดท้าย กว่าจะได้รู้เรื่องก็ผ่านมาแล้วหลายชั่วโมง ที่เขาได้ลืมตาตื่นขึ้นในโรงพยาบาล
เขาถูกยิง
แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันเลวร้าย เพราะอย่างน้อยก็สามารถปกป้องคนรักเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย
แต่ก็อดรู้สึกเจ็บใจไม่ได้ ที่ไม่อาจช่วยเหลือเสน่ห์จันทร์ให้รอดพ้นด้วย
รู้ตัวดีอยู่ว่าลำพังตัวเองคงไม่สามารถ แต่หากเขาไม่หมดสติไปเสียก่อน เพียงแค่เขาจะกัดฟันอดทนอีกสักนิด
ไม่แน่ว่า...บางทีเสน่ห์จันทร์อาจไม่ตาย
ความปวดใจแล่นวาบจนในอกอึงอื้อ น้ำตาไม่อาจกลั่นออกมาภายนอก เพราะมันหลั่งรดอยู่ภายในใจจนท่วมเจิ่ง
ความปวดใจแล่นวาบจนในอกอึงอื้อ น้ำตาไม่อาจกลั่นออกมาภายนอก เพราะมันหลั่งรดอยู่ภายในใจจนท่วมเจิ่ง ภาพความหลังหลั่งไหลเข้ามาในหัว วนซ้ำราวกับกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า
ชีวิตที่มีคนคนนี้โอบอุ้ม มันอบอุ่นแค่ไหนเขายังจำได้แม่นยำ
บิดาเสียชีวิตตอนที่เขายังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ มารดาที่เป็นแม่บ้านมาตลอดต้องผันตัวไปเป็นผู้บริหาร ถึงกิจการโรงงานเบเกอรี่จะไม่ได้ใหญ่โต แต่ไม่ใช่จะดูแลแบบส่งๆได้ เสียเสาหลักกิจการก็สั่นคลอน การเงินก็ขาดแคลน กู้หนี้ยืมสิน กฤตเมธที่ยังเรียนอยู่จึงตั้งใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้ช่วยกิจการของที่บ้านได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้เป็นมารดาไม่ยินยอม
บ้านที่ขาดผู้นำ ทั้งยังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้บ้านกฤตเมธเกือบเอาตัวไม่รอด กระเสือกกระสนดิ้นรนสองแม่ลูก เงินหมุนในโรงงานแทบไม่พอยาไส้ เงินส่งหนี้ไปก็ส่งได้แค่ดอกเบี้ยเงินกู้ เงินต้นไม่ลดลงสักแดง จนในที่สุดก็หมดเงินจะส่ง แม้แต่เงินจ้างคนงานก็แทบไม่มีจ่าย แม้จะเจียดจากค่าอาหารส่วนตัวจนแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม สองแม่ลูกคิดว่าคงไม่รอดแล้ว แม้จะอยากรักษาโรงงานนี้ไว้อย่างไรก็ตาม...
ในความสิ้นหวังอันโหดร้าย เสน่ห์จันทร์ก็เข้ามา
เสน่ห์จันทร์ดึงกฤตเมธเข้าวงการ ทั้งยังยอมให้หยิบยืม ให้กู้เงินเพื่อฟื้นวิกฤตโรงงานใหม่อีกครั้ง โดยการทำสัญญาหักจากค่าตัวของกฤตเมธ ให้โดยไม่มีกลัวเลยว่ากฤตเมธอาจขายไม่ออก ช่วยทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
และตั้งแต่เข้ามาอยู่ในสังกัด เสน่ห์จันทร์ก็เอ็นดูกฤตเมธราวลูกในไส้เสมอมา ไม่เคยลิดรอนสิทธิ ไม่เคยคิดบังคับฝืนใจ ดูแลปกครองประหนึ่งลูกคนหนึ่ง
กฤตเมธจึงพยายามทดแทนในความเอื้ออารีย์นั้นอย่างเต็มที่ เท่าที่เขาจะทำได้ พูดแต็มปากเลยว่าเขานับถือเสน่ห์จันทร์ ไม่ต่างจากมารดาคนที่สอง
แม้ช่วงหลังๆมาเขากับเสน่ห์จันทร์จะมีเรื่องไม่เข้าใจกันบ้าง แต่กฤตเมธรู้ดีว่าหล่อนก็ไม่ได้คิดจะหมางเมินเขา ความรู้สึกที่เสน่ห์จันทร์มีให้เขารู้ซึ้งแก่ใจดี
ในสายตานั้น คอยเมตตาเขาอยู่เสมอ
แต่วันนี้...
เสน่ห์จันทร์จากไปแล้ว
จากไป ทั้งที่กฤตเมธยังรู้สึกว่าเขายังตอบแทนความเอื้ออาทรของอีกฝ่ายได้ไม่เต็มที่เลย
...ผมขอโทษใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนความเจ็บปวดออกมา เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงช้าๆ ก่อนร่างผึ่งผายจะค่อยๆ โน้มกายลงกราบแทบตั่งหน้ากระถางธูปด้วยมือเพียงข้างเดียว
"อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ...คุณเสน่ห์จันทร์"
เสียงแหบเครือเอ่ยคำขอขมา กระบอกตาเหมือนจะผ่าวร้อนขึ้น สติที่ยังคงยึดอยู่กับร่างเหมือนจะล่องลอยด้วยความเจ็บร้าว
กฤตเมธสูดหายใจลึก ก่อนจะยันตัวขึ้นมองภาพถ่ายของเสน่ห์จันทร์อีกครั้ง น่าแปลกที่คราวนี้เขากลับรู้สึกแตกต่าง จู่ๆรอยยิ้มของคนในรูปถ่ายก็ทำให้หัวใจของเขาอุ่นวาบขึ้นมาดื้อๆ เหมือนจะได้ยินคำว่า 'ไม่เป็นไร' ดังก้องอยู่ในใจ
เพียงแค่นั้น น้ำตาหยดหนึ้งก็ร่วงลงสู่ข้างแก้ม
"ขอให้ดวงวิญญาณของคุณไปสู่สุขตินะครับ"เสร็จจากตรงนั้น กฤตเมธก็ได้สดายุช่วยประคองมานั่งตรงตั่งเจ้าโซฟาด้านหน้าในฐานะเจ้าภาพคืนสุดท้าย ร่วมฟังสวดอภิธรรมด้วยหัวใจที่อาลัยรักในเจ้าของร่างที่นอนสงบนิ่งในโลงเย็น
กระทั่งพิธีการทุกอย่างจบลง
สุริยาวดีก็ไม่รอช้าที่จะพาทั้งสองหนุ่มกลับ โดยมีบลูม่าคอยช่วยกันพวกนักข่าวให้อยู่ใกล้ๆ แน่นอนล่ะ ขืนหล่อนให้กฤตเมธนั่งทอดอาลัยนานกว่านี้ ก็คงหนีไม่พ้นโดนนักข่าวไร้สำนึกบางคนจู่โจมเข้าให้แน่ 'ขอโทษนะคะ คุณกฤตเมธ'
"คุณไข่...ผมไม่ยักเห็นชิดจันทร์ในงาน" หลังถูกลำเลียงขึ้นรถตู้ได้สักพัก สดายุก็หันมากระซิบถามสุริยาวดีที่นั่งอยู่ข้างกัน ถึงความสงสัยตั้งแต่เหยียบเข้าไปในงานของตน ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขาไม่เห็นชิดจันทร์ลูกสาวคนเดียวของเสน่ห์จันทร์ที่ควรอยู่ในงานที่สุดคนนั้นเลย
ได้ยินคำถามของสดายุเข้า สุริยาวดีก็ได้แต่ถอนหายใจ “นี่คุณยุคงไม่ได้ดูข่าวเลยสินะคะ” ก่อนตอบออกไปด้วยสีหน้าค่อนข้างเหนื่อยหน่าย
“ไม่เลยครับ ทั้งทีวีทั้งโซเชียลผมตัดขาดหมด....ก็ผมกลัวข่าวตัวเองนี่ ไม่รู้เขาเอาไปเขียนยังไงบ้างแล้ว” แค่เรื่องที่เผชิญอยู่ก็เต็มกลืน สดายุเลยไม่อยากรับรู้สิ่งใด ไม่อยากให้อะไรเข้ามารบกวนใจอีก จึงได้แต่เก็บตัวเงียบไม่เสพกระแสใดๆ ถึงได้ตกข่าวอยู่แบบนี้
สิ้นคำอธิบายของสดายุ สุริยาวดีก็พยักหน้าเข้าใจในทันที เพราะเป็นใครก็คงทำแบบสดายุ ดังนั้นหญิงสาวจึงขยับเบี่ยงกายเล็กน้อย เพื่อเผชิญหน้ากับสดายุตรงๆ พร้อมเอ่ยปากอธิบายเรื่องทั้งหมดให้สดายุได้ฟังเพื่อคลายสงสัย “ตั้งแต่เกิดเรื่อง คุณชิดจันทร์เธอช็อคมาก เธอเองก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานเหมือนกันค่ะ”
“ชิดจันทร์บาดเจ็บมากเหรอครับ หรือโดนลูกหลง?...แล้วตอนนี้ เธอเป็นยังไงบ้าง?” ความสงสัยทบเท่าทวีคูณ ความเห็นใจเริ่มผลิดอกออกผล นั่นสินะ เขาเองก็ลืมคิดไป ต่อให้ชิดจันทร์เกลียดเสน่ห์จันทร์มากแค่ไหน แต่การที่ต้องเห็นแม่ของตัวเองถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อหน้าต่อตา ย่อมสะเทือนใจจนลุกไม่ขึ้น ลองคิดว่าเป็นตัวเอง สดายุยังยอกในใจเสียจนรู้สึกผิดที่เผลอๆไปคาดโทษชิดจันทร์ไว้ก่อนหน้า
“คุณชิดจันทร์ถูกช่วยไว้ทันทีที่ท่านประธานถูกฆ่า ได้ยินจากทางตำรวจว่าคุณหนูเธอนิ่งมากค่ะ ไม่ฟูมฟาย ไม่สะอึกสะอื้น ดูเหมือนจะช็อคมาก แต่ก็ยังให้ปากคำได้ พวกตำรวจ หมอพยาบาลที่ได้เห็นยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณหนูชิดจันทร์เธอช่างเป็นคนใจแข็ง แม่ตายทั้งคนกลับไม่มีอาการจิตตก แต่แม้ว่าเธอจะไม่แสดงอาการให้ต้องเป็นห่วงกังวล ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่ค่อยวางใจ เลยให้คุณหนูนอนโรงพยาบาลคืนหนึ่งเพื่อดูอาการ กระทั่งเช้าวันถัดมานั่นแหละค่ะ ทุกคนถึงได้รู้ว่า อาการของคุณหนูยิ่งกว่าน่าเป็นห่วง...” พูดถึงตรงนี้ สุริยาวดีหยุดเว้นวรรคเล็กน้อย ใบหน้าที่เรียบเฉยเป็นปกติ ครานี้ฉายแววกังวลชัดเจน
“อาการช็อคอย่างรุนแรง ทำให้คุณหนูไม่ยอมนอนค่ะ” “ไม่ยอมนอน?” คำเฉลยทำสดายุตกใจไม่น้อย และยังสามารถเรียกกฤตเมธที่นั่งฟังเฉยอยู่ถึงเมื่อครู่ ให้หันมามีปฏิกิริยาร่วมไปด้วย
“ค่ะ คุณหนูชิดจันทร์ไม่ยอมนอน เธอนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นทั้งคืน ไม่พูดไม่จา ไม่ยอมหลับ ทั้งยัง ไม่ยอมทานอะไรแม้แต่น้ำ จนหมอต้องให้น้ำเกลือ และฉีดยากล่อมประสาทให้ ไม่งั้นเธอไม่ยอมหลับตาเลยค่ะ นิ่งอยู่อย่างนั้นจนน่ากลัว ช่วงแรกต้อวมีหมอจิตเวชคอยประกบเลยนะคะ เพราะเกรงว่าเธอจะฆ่าตัวตาย แต่หลังจากวิเคราะห์ออกมาแล้วว่าเธอไม่ได้มีความคิดจะทำ จากที่เฝ้าระวังจึงเปลี่ยนเป็นการเยียวยาแทนน่ะค่ะ จนในที่สุดก็ยอมกินยอมนอนเสียที และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อวานนี้แหละค่ะ แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดนะคะ ตอนนี้ก็มีพญาบาลพิเศษตามมาเฝ้าให้ที่บ้านด้วย เพราะอย่างนี้แหละค่ะ เธอเลยไม่สามารถร่วมงานของท่านประธานได้ ช่วงนั้นคุณหนูเธอไร้สติจริงๆ”
"แม้แต่พรุ่งนี้ที่เป็นวันเผา ไม่แน่ว่าบางทีก็อาจไม่ได้เข้าร่วม"
สุริยาวดีอธิบายยืดยาวด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเครียด กฤตเมธและสดายุหันมองหน้ากันนิ่ง สงสาร เห็นใจ ความรู้สึกนั้นย่อมเกิดขึ้น อย่างน้อยๆ ชิดจันทร์ก็เป็นคนที่พวกตนรู้จัก แม้ว่าวีรกรรมที่เจ้าหล่อนเคยสร้างไว้ให้จะลดทอนความรู้สึกเหล่านั้นลงไปไม่น้อยเลยก็ตาม แต่ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน ก็คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนา
ถึงจะยังเป็นตะกอนเล็กๆอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็พร้อมแล้วที่จะให้อภัย สิ่งใดเราทำย่อมเป็นกรรมติดตัว ปล่อยกรรมนั้นสนองแก่เจ้าของเองเถอะ หากเพียงอโหสิกรรม เราก็หมดกรรมต่อกันแล้ว
"ก็น่าสงสารอยู่หรอกนะคะ แต่พอนึกถึงสิ่งที่คุณหนูเคยทำมันก็อดเจ็บใจไม่ได้ แบบนี้เรียกว่ากรรมสินะ เฮ้อ...เบื้องหน้าออกจะสวยงามขนาดนั้นแท้ๆ แต่เบื้องหลังนี่...สมกับเป็นโลกมายาจริงๆ" บลูม่าทั่งอยู่ด้านหลังเสนอความคิดเห็นขึ้นมาด้วย
ทุกคนเห็นด้วย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก
เสน่ห์จันทร์และชิดจันทร์ สองแม่ลูกที่เพิ่งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ไม่นาน เบื้องหน้าคือความรัก ความอบอุ่นจนน่าอิจฉา ดังนั้นพอชิดจันทร์ป่วยเนื่องจากอาการช็อคที่แม่จากไปอย่างกะทันหันจนไม่สามารถเข้าร่วมงานบำเพ็ญกุศลได้ จึงไม่มีใครถือสาหาความหรือถามหาเหตุผล เพราะทุกคนเข้าใจว่าชิดจันทร์รักแม่มาก ไม่แปลกที่จะช็อคจนป่วย
แต่ไม่มีใครรู้ ว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังฉาก สองแม่ลูกนี้บาดหมางกันแค่ไหน ปมแม่ปมลูกผูกพันเป็นปมใหญ่จนแก้ยาก ทั้งดึงทั้งทึ้งกันจนสุดท้ายก็ขาดสะบั้น ถึงตรงนี้ก็อดคิดแทนชิดจันทร์ไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะเดินไปทางไหนต่อ ทั้งชีวิตที่ไม่เหลือใครตามปกป้องตามสปอย ทั้งเรื่องความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น เพราะไม่ว่ายังไง ทั้งบริษัทและหุ้นในส่วนของเสน่ห์จันทร์ทั้งหมด ย่อมตกสู่มือของชิดจันทร์ที่เป็นทายาทคนเดียวโดยไม่ต้องสงสัย น่าเป็นห่วงว่าหล่อนจะทำมันไปต่อได้อย่างไร ต่อให้ตอนนี้ยังมีสุริยาวดีคอยประคับประคองให้
แล้วในอนาคตล่ะ?.
.
.
.
.
"คุณกฤตเมธกับคุณสดายุตั้งใจเข้าร่วมงานเต็มวันใช่ไหมคะ? พรุ่งนี้ไข่จะได้มารับตอนแปดโมง"
พากันมาส่งได้ถึงห้อง สุริยาวดีก็ออกปากขอทำนัดของวันรุ่งขึ้น ที่เป็นวันฌาปณกิจของเสน่ห์จันทร์ งานเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้า และจะเผาจริงตอนสี่โมงเย็น
"ครับ ผมอยากใช้เวลาในการอำลาท่านเสียหน่อย" กฤตเมธตอบพร้อมรอยยิ้มขื่น เขาอยากมีเวลาในการอำลาผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว ในห้องที่เหลือเพียงสองคนตกสู่ความเงียบอีกครั้ง กลิ่นอายความโศกเศร้าที่วนเวียนอยู่รอบกายของกฤตเมธ สร้างความเห็นใจให้สดายุไม่น้อย ขนาดเขาเป็นคนนอก ยังรู้สึกใจหาย คนสนิทอย่างกฤตเมธ ย่อมไม่มีทางหลีกหนีความเจ็บปวดจากการจากไปของเสน่ห์จันทร์ได้อยู่แล้ว สดายุลอบถอนหายใจบางๆ เขาคงทำได้แค่อยู่ข้างๆในยามนี้ก็เท่านั้น...
...ทำได้แค่อยู่ข้างๆอย่างนั้นเหรอ?
ไม่สิ เขาทำได้ดีกว่านั้นได้นิดหน่อย
ดวงตาของสดายุเป็นประกายอยู่เบื้องหลังของกฤตเมธ ขณะช่วยอีกฝ่ายถอดเสื้อสูทออกจากร่าง
ก่อนจะอ้อมมายืนส่งยิ้มอยู่ตรงหน้ากฤตเมธ แล้วสวมกอดออดอ้อน "โอ๋ๆ ไม่ร้องนะลุงนะ เดี๋ยวผมอาบน้ำให้"
กฤตเมธไม่ได้ตอบอะไรในทันที มีแต่สวมกอดกลับมาพร้อมกับซุกปลายจมูกโด่งลงตรงกลุ่มผมนิ่มของคนในอ้อมแขน "ขอบใจนะเจ้าเด็กดื้อ"
'ดีเหลือเกินที่เขามียุ' คำขอบคุณที่มาจากใจ กฤตเมธมอบให้สดายุนั้น นอกจากจะมาจากความรู้สึกขอบคุณที่สดายุพยายามช่วยปลอบโยนและอยู่เคียงข้างกันแล้ว มันยังแทนความว่า รัก รัก รัก ที่มีล้นอยู่เต็มอกอีกด้วย หนุ่มใหญ่วัยสามสิบสี่ปี มั่นใจกับตัวเองอย่างยิ่งว่า คนตรงหน้าคือรักแท้ คือคนที่เขาอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต
ทั้งหมดที่ตัวเขามี...ยกให้สดายุเพียงคนเดียว
จ๋อม...
วี้ วี้ วี้...เสียงที่โกนหนวดไฟฟ้า กับสัมผัสอ่อนโยนของมือที่ค่อยๆประคองใบหน้าเบาๆ ของตักอุ่นๆ ทำสมองตึงเครียดของกฤตเมธคลายลงอย่างน่าทึ่ง
พอบอกว่าจะช่วยอาบน้ำให้ สดายุก็จัดการปอกเปลือกกฤตเมธจนล่อนจ้อน ใช้พลาสติกแรปปิดแผลเอาไว้เพื่อระวังไม่ให้โดนน้ำ ก่อนจะจับแช่น้ำสบู่ฟองฟ่อด ช่วยขัดช่วยถู สระผม แปรงฟัน ล้างตัวให้เสร็จก็รองน้ำอุ่นให้แช่ต่อ เพื่อจะได้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น ถึงจะถูกกฤตเมธงอแงว่าอยากให้สดายุแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้พยายบาลพิเศษสมยอม สุดท้ายหนุ่มใหญ่ก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
แล้วพอถูกจับมาให้นั่งแหงนหน้าหนุนตักของสดายุที่นั่งอยู่ตรงขอบอ่าง เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยโกนหนวดให้ กฤตเมธก็เริ่มรู้สึกว่าแบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน
เมื่อจัดการขัดสีฉวีรรณจนผิวพรรณของคนแก่ผ่องนวลได้สำเร็จแล้ว สดายุก็ทิ้งให้กฤตเมธแช่น้ำอุ่นที่ผสมน้ำมันอโรม่าไว้อย่างนั้น โดยตัวเองอ้างว่าจะออกไปเตรียมเสื้อผาชุดนอน ก่อนจะหายออกจากห้องน้ำไป
เนิ่นนานกว่าจะกลับเข้ามารับ แต่เพราะน้ำยังอุ่นจางๆ รวมทั้งกลิ่นอโรม่ายังคงหอมระเหย กฤตเมธจึงยังนอนแช่น้ำรออย่างไม่มีอิดออด หรืองอแงอย่างตอนแรก กระทั่งสดายุกลับมา แล้วจัดการช่วยแต่งตัวให้
ทุกอย่างเหมือนเดิมๆ กระทั่งถูกพาตัวมาถึงห้องนอน
พรึ่บ...จู่ๆ ไฟทุกดวงให้น้องก็ถูกปิดลง ให้ต้องพรึงเพริ่ดเล็กๆ
แผนเจ้าเด็กแสบแน่ๆ...
ว่าแต่จะทำอะไรนะ...
