ผมคือ...นางเอก : บทส่งท้ายสุดท้าย (แถม) 9 ก.ย. 59 (P.153)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ผมคือ...นางเอก : บทส่งท้ายสุดท้าย (แถม) 9 ก.ย. 59 (P.153)  (อ่าน 1268605 ครั้ง)

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ สารภาพตามตรงว่าไม่คิดจะอ่าน แต่พอมาอ่านจริงสนุกมากเสีนดายที่ไม่ได้อ่านเร็วกว่านี้

ชอบทุกคู่เลย แต่หลังๆ เริ่มเอนเอียงไปทางดนัยกะดินซะส่วนใหญ่ เพราะเหมือนกับว่าคู่นี้เพิ่งจะเริ่มต้นความสัมพันธ์

สู้ๆ น่ะค่ะคนเขียน รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ GAZESL

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 675
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
คุณแม่น่ารักแล้วก็ใจดีมากกกกก
ยุไม่ต้องกังวลคิดมากอะไรแล้วนะ
เดี๋ยวพี่เมธจะแถลงข่าวขอแต่งงานละ 555
อยากอ่านคู่บดินทร์ดนัยต่ออออ

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
ยินดีกับน้องยุ พี่เมธ คุณแม่น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :กอด1:  :L2: :pig4:




ออฟไลน์ himoru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
TT^TT ยุ
พูดไม่ออก หาแบบยุได้อีกที่ไหน
#เมธถีบ
โถ้วววว
ก็เค้าชอบอ่า
ขอให้ความสุขอยู่กับยุไปนานๆนะ

ออฟไลน์ mana_ai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อร๊ายยย กดไลท์คุณแม่พี่เมธ

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
เย้
อ่านตามทีนแล้ววววว
ชอบสดายุ :z1: นายเเซ่บมว้ากกก

แต่ตอนนี้เริ่มชอบบดนทร์ คนอะไรเขิลร่ารักจัง  :L2:

ออฟไลน์ PPink

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 220
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
อ่านตอนนี้นี่รู้เลยว่าเนื้อแท้พี่ยุดีมาก
ถ้าครอบครัวดี ช่วยกันโอบอุ้ม พี่ยุจะไม่เป็นแบบก่อนหน้าอะ

คู่บลูซอลนี่ โอ้โห จิกหมอนแปป
พี่บลูโรแมนติกม้ากมากกก พี่ซอลก็แหม พอรู้ว่ารักก็ลืมน้องนุ่งเลย
แล้วแบบนี้ดินจะทำไงเนี่ย

สู้ๆ นะดิน ทำตัวนิ่งๆ ไม่ให้ดนัยร้ายใส่มากกว่านี้ก็พอแล้ว

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ยุน่ารักกกกก
คิดถึงคนอื่นตลอดจริงๆ
เอาล่ะ คุณแม่ก็ยอมรับขนาดนี้ ชดใช้ซะให้สาสมนะจ๊ะ 555

บลูซอลหวานมากกกกกก :o8:

ออฟไลน์ Chrysan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ยุจ๋า ฮือออ มีความสุขจริง ๆ จัง ๆ สักทีนะ
ขอให้ทุกอย่างต่อไปนี้ราบรื่น

เรื่องราวโดยสังเขปก่อนจบ
-   งานฌาปณกิจของเสน่ห์จันทร์ และฉากสุดท้ายของชิดจันทร์
-   งานแถลงข่าวเมธ+ยุ
-   ฉายหนังสุดปลายทางของ...หัวใจ รอบปฐมทัศน์
-   บทสรุป...
พอร์ช+รุจน์// บลู+ซอล// ดนัย+ดิน// เมธ+ยุ
และติ่งต่อจากตอน “Roommate” ย้อนรอย...อ๊อด x กมล
-   ตอนพิเศษ *ฮันนีมูน*


^ น่าติดตามอย่างยิ่ง ประเด็นเด็ดทั้งนั้น
                  :katai2-1:
                 

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
อ่านฉากของบลูม่ากับซอลย่าแล้วนึกภาพเป็นพวกเลสจีบกันเลย ><
ดีใจกับน้องยุที่ได้มีความสุขกับเขาสักที   :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ผมคือ...นางเอก : ‘ชดเชย’ [1 ส.ค. 2558] P.136
« ตอบ #4089 เมื่อ: 09-08-2015 18:59:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wwss2220

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :m31:สนุกมากค่ะ ยุกับเมธก็น่ารัก, รุจ พอร์ช เพื่อนรักรักเพื่อน, ซอลย่า บลู แซ่บลืม, ดิน ดนัย รักแบบร้อนแรง.....มาต่อไวๆนะค่ะชอบมาก :mew2:

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
รอติดตามตอนจบนะคะ

ส่งกำลังใจให้คุณอนาคีด้วยจ๊ะเรื่องงาน

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ในที่สุดยุก็มี "บ้าน" กับเขาสักที

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
คุณแม่ใจดี  :mew1:

ออฟไลน์ Baruda

  • มีความสุข
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 633
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ยินดีกับพี่เมธเเละยุจ้าครอบครัวสุขสันต์ :กอด1:
รอดูฉากสุดท้ายของชิดจันทร์

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
น้องยุ...ปลื้มใจจัง. ^^

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
 :o12: :o12: :o12: :o12:
พี่อนาคีคนสวย ทิ้งเราไม่แล้ว
ไม่มาอ่ะ
 :call: :call: :call:

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
เพิ่งอ่านทัน ฮ่าๆๆ( ลุ้นมาก)



สดายุน่ารัก น่าสงสาร


พี่เมธ พ่อพระเอกเนื้อทองยอดขมองอิ่ม




รักที่สุด :hao5:

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ
ผมคือ...นางเอก
#พรวิเศษ


บ่ายโมงกว่าๆท้องฟ้ายังคงขมุกขมัว วังน้ำเขียวที่ปกติดูร่มรื่นอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งครึ้มหนัก เข้าปลายฤดูฝน น้ำฟ้ายิ่งพรั่งพรู เสียงเมฆดำคำรามครืนมาแต่ไกล เดาได้ว่าในไม่ช้าหยาดฝนคงลงดอก ใต้ร่มหลังคาบ้านไม้ทรงสวย มีบางคนกำลังนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสลัวอย่างล่องลอย มองควันบุหรี่สีขาวปลอดที่ค่อยๆกระจายตัวพุ่งจากปอดออกมาทางจมูกปากตน อ้อยอิ่งอยู่ในอากาศตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะสลายตัวไปอย่างช้าๆ รสขมเฝื่อนในปากคงเป็นอย่างเดียวที่พอทำให้บดินทร์รู้ตัวว่าตนยังคงตื่นลืมตาอยู่

บดินทร์ถูกทิ้งให้อยู่ที่เซฟเฮ้าส์เพียงลำพัง เพราะพ่อของตนร้องขอไว้ ตอนนี้ยังมีนักข่าวบางคนวนเวียนอยู่แถวบ้านไม่ขาด การปรากฏตัวของบดินทร์ช่วงนี้คงไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ อีกทั้งร่างกายบดินทร์เองก็ยังไม่พร้อม ทั้งข่าวฉาวเรื่องคลิป ข่าวติดหนี้บ่อนพนัน ทั้งยังข่าวการฆ่าตัวตายที่เล็ดรอดออกในไปตอนที่ดนัยบุกเข้าไปช่วยไว้วันแรก หลายหลากประเดประดัง บดินทร์จึงยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใครทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุด ที่เขาจะถูกเก็บตัว หลบเร้นกายอยู่ในป่าเขานี่สักพัก...

แม้จะเป็นถิ่นของคนที่แสนเกลียดก็ตาม บดินทร์คงทำได้เพียงยกศักดิ์ศรีจอมปลอมของตัวเองทิ้งไป และยอมรับความช่วยเหลือแต่โดยดีเท่านั้น...เพราะเขามัน ไม่มีค่า

พูดถึงเจ้าของบ้าน เขาไม่เห็นหน้าดนัยมาตั้งแต่ช่วงสาย หลังทักทายครอบครัวของเขาเสร็จ รู้สึกเจ้าตัวจะขอตัวเข้าไปนอนพักผ่อน เพราะขับรถมือเดียวทางไกลแบบไม่มีแวะพักมาทั้งคืน แน่ละ จากหัวหินมาวังน้ำเขียว มันเกือบ 7 ชั่วโมงเชียวนะ

ทั้งที่ความจริงบดินทร์อยากจะคุยเคลียร์ให้จบๆไปเรื่องหนี้สิน แต่ดนัยดันหนีไปนอนเสียก่อน สุดท้ายเขาจึงต้องแกร่วรออยู่แถวระเบียงบ้านอย่างที่เห็น จะออกไปไหนก็ไม่ค่อยปลอดภัย แถมยังมีบอดีการ์ดเฝ้าเต็มบ้านไปหมด จนแล้วจนรอด บดินทร์เลยแทบไม่ได้กระดิกตัว

กลัวทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า อาจโดนเป่าด้วยลูกตะกั่วตายอยู่แถวนี้

เฮ้อ…พ่อไม่น่ารีบกลับ เพราะห่วงบ้านเลย

“บ่ายแล้ว ไม่ทานอะไรหน่อยเหรอคุณ?”

ดูเหมือนเพียงครู่ต่อมา การรอคอยของบดินทร์จะสิ้นสุดลงได้ในที่สุด ทันที ที่ได้ยินเสียงทุ้มละมุนหูที่ใครต่อใครต่างก็ชื่นชม ดังมาจากเบื้องหลัง บดินทร์ก็ได้ฤกษ์เปิดฉากการเจรจาเสียที

“คุณเอาเงินสิบล้านไปไถ่หนี้ของผมที่บ่อนของเสี่ยอัครเดช?” คำถามตรงประเด็นส่งตรงถึงดนัยโดยไม่รอช้า ทั้งๆที่คนถามไม่มีแม้แต่จะผินหน้าไปมอง

“อือฮึ แล้วมันทำไมเหรอ?” ดนัยไหวไหล่เล็กน้อย ตอบออกมาด้วยทีท่าที่ไม่ได้ยี่หระต่อคำถามของบดินทร์สักเท่าไหร่ ทั้งยังเดินเฉิบๆเข้ามานั่งเอกเขนกตรงเก้าอี้หวายข้างกายของบดินทร์เฉย

และท่าทีกวนประสาทแบบนี้ของดนัยนี่แหละ ที่บดินทร์นึกชังนัก “จู่ๆก็เอาเงินสิบล้านไปละลายทิ้งเพราะผม คุณต้องการอะไรขากผมกันแน่?”

และท่าทีกวนประสาทแบบนี้ของดนัยนี่แหละ ที่บดินทร์นึกชังนัก “จู่ๆก็เอาเงินสิบล้านไปละลายทิ้งเพราะผม คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่?” ความไม่เข้าใจทำกิริยาของชายหนุ่มก้าวร้าวขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

นอกจากไม่เข้าใจแล้ว ยังเจ็บใจตัวเองมากอีกด้วยที่ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งยังอับอายเหลือเกินกับเรื่องที่เขาทำลงไปเมื่อคืน

"ก็ไม่ได้ต้องการอะไร แค่เงินสิบล้านไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม" ดนัยตอบชิลล์ เอนกายลงเอนหลังกับเก้าอี้หวายเต็มตัว เขารู้ดีว่าบดินทร์เดือดขนาดไหน กอปรกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยแล้ว เวลานี้ในอกของอีกฝ่ายคงร้อนรุ่มดังไฟสุม

คำว่าไม่ได้ต้องการอะไรของดนัย หมายความตามคำนั้นจริงๆและดนัยรู้ว่าบดินทร์คงไม่พอใจ ยิ่งถ้ารู้ว่าที่เขาทำไปก็เพราะต้องการไถ่โทษ บดินทร์คงโกรธจนลมออกหู

บดินทร์หยิ่งในศักดิ์ศรีแค่ไหนทำไมเขาจะไม่รู้

เป็นตัวร้ายที่ยอมตายดีกว่าการขอความเมตตา

"สิบล้านไม่สำคัญ...เฮ๊อะ คนมีอันจะกินนี่โคตรน่าอิจฉา แต่ก่อนจะทำบุญทำทาน ก็ช่วยถามความสมัครใจของขอทานด้วยได้ไหมล่ะ ว่ามันอยากได้หรือเปล่า? โปรดอย่าใจบุญสุนทานพร่ำเพรื่อกับผมเสียทีได้ไหม? ผมไม่ต้องการ!"  คำปรามาสร่ายยาวเป็นวรรคเป็นเวร สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบดินทร์อารมณ์เสียกับเรื่องนี้มากแค่ไหน คำว่า 'หนี้บุญคุณที่ไม่ต้องการ' ฉายชัดอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลาแปลความหมาย

“อย่าคิดมากนักสิคุณ ผมไม่ใช่เจ้าหนี้ทวงโหดเหมือนเสี่ยอัครเดชหรอกนะ...หึหึ” ยิ่งเห็นว่าบดินทร์เริ่มพาลจนหน้าแดงหน้าดำ ดนัยก็ยิ่งเย้าแหย่ แท้จริงถึงภายนอกเขาจะดูเป็นมิตร ยิ้มสวย เทพบุตรสักแค่ไหน เนื้อแท้เขาก็แค่คนร้ายกาจที่ไม่ชอบให้ใครก้าวล่วงดูถูก หากคนตรงหน้าไม่ใช่บดินทร์ ป่านนี้คงได้ลงไปนอนกับรากไม้ใต้ดินไปแล้ว เพราะเป็นบดินทร์คนที่เขาให้สิทธิพิเศษหรอกนะ ถึงสามารถทำแบบนี้กับเขาได้...

"สนุกนักหรือไงที่เห็นผมต้องดิ้นรนกระเสือกกระสน เพื่อล้างหนี้ของคุณ แล้วเรื่องใหญ่ขนาดเงินสิบล้านเนี่ย ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่แรก ปล่อยให้ผมโง่เง่าทำเรื่องสิ้นคิดแบบนั้น! สะใจมากใช่ไหม ที่เห็นผมโง่น่ะ!!?" ถูกเย้ากลับมารวมถึงท่าทางได้ทุกข์ไม่ร้อนของดนัย ทำเอาบดินทร์สติแตก ร่างสูงลุกพรวด ตั้งท่าจังก้าชี้หน้าว่าร้ายดนัยไม่ขาดปาก ตัดพ้อต่อว่าสารพัดในเรื่องที่ถูกอีกฝ่ายปกปิด หากเขารู้สักนิดว่าตัวเขาถูกดนัยจองจำไว้ด้วยหนี้สินถึงสิบล้านนี้แล้วล่ะก็ อย่างน้อยเมื่อคืน...

เขาคงไม่ต้องเปลืองตัวแบบนั้น

เจ็บใจนัก!!

“ผมบอกคุณเหรอว่าสะใจ คิดเองเออเองเก่งนะคุณเนี่ย” ดนัยยังคงพูดขำ แต่ในอกชักไม่ขำด้วย รู้สึกว่าสิทธิพิเศษที่มอบให้บดินทร์ไปจะเริ่มสั่นคลอนไม่น้อย เส้นบางๆระหว่างความอดทนกับไม่อดทนมันกำลังจะขาดอยู่รอมร่อ

“หึ! คิดเองเออเองอย่างนั้นเหรอ? เห็นๆอยู่ว่าคุณยัดเยียดมันให้กับผม!!”

ปึ่ด…

ดนัยรู้สึกได้ทันที ว่าเส้นเชือกแห่งความอดทนของเขากับลังจะสะบั้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วประจันหน้ากับบดินทร์ตรงๆบ้าง สองแขนแข็งแกร่งสอดล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ เพื่อรั้งสติไม่ให้เผลอเอื้อมไปคว้าคอคนพูดไม่รู้ฟังให้มาอยู่ใต้อาณัติ ลมหายใจแห่งสัมปชัญญะถูกสูดเข้าปอดลึกๆครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนอารมณ์คุกรุ่นบางเบาที่ประทุขึ้นมาแล้วนั้น มันจะไม่สามารถข่มสะกดให้สงบลงได้ง่ายๆ

ร่างสูงใหญ่ของดนัยยืดตัวตรงกว่าเดิม ใบหน้าคมคายเอียงองศาเล็กน้อย จดจ้องไปยังสีหน้าดาลเดือดของบดินทร์เขม็ง หัวใจดนัยร่ำร้องว่าความต้องการในตัวของบดินทร์กำลังพุ่งสูงจนแทบจะปะทุออกจากอก ยิ่งภาพความทรงจำอันร้อนเร่าของคืนวานผ่านวาบเข้ามาในหัวทุกครั้งที่มีอารมณ์ขุ่นข้อง

มันยิ่งเร่งเร้า

มันยิ่งพลุ่งพล่าน

มันยิ่งขับดันให้เลือดในกายของดนัยร้อนระอุ จนอยากเอื้อมมือไปคว้า จับกด และฉีกทึ้งให้บดินทร์เปลือยเปล่าไปทั้งร่าง อยากสัมผัสผิวเนื้อรุนแรง อยากแทรกกายเข้าสู่เรือนร่างร่านร้อนจนแทบจะบ้าคลั่ง อยากกักขังเอาไว้ในห้องปิดตายไม่ให้หนีไปไหนได้

สั่งสอนด้วยกำลัง บังคับด้วยอำนาจ

ฝึกให้เชื่องกับเขา จนหนีไปไหนไม่รอด…




แต่…

มันยังไม่ใช่ตอนนี้




“นั่นสินะ...ใช่ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจทำให้คุณโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน สำหรับคุณแล้ว มันคือการยัดเยียด คือหนี้บุญที่คุณไม่ต้องการ… แต่ผมก็อยากให้คุณรู้เอาไว้ ว่าสิ่งที่คุณมอบให้ โดยอ้างว่าคือการชดใช้ ผมเอง…ก็ไม่เคยร้องขอเหมือนกัน” เมื่อยังพอรังสติอยู่ไหว ว่าเขาควรเว้นช่องว่าให้บดินทร์ได้หายใจหายคอบ้าง ยังอยากเลี้ยง ไม่ใช่ล่าม

ดังนั้นดนัยจึงเลือกที่จะตอบโต้บดินทร์ทางวาจาแทนร่างกาย ทว่าคำยอกย้อนของเขาก็ใช่จะเบาเหมือนสติ ทุกถ้อยทุกคำย้อนยอกตอกกลับจริงจังหนักแน่น เช่นเดียวกับที่โดนบดินทร์ต่อว่ามา

แน่นอนว่ามันแสบสันเสียจนบดินทร์ถึงกับหน้าชา

"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรับไปสิ!!"

“แล้วทำไมผมต้องปฏิเสธ? ในเมื่อคุณเป็นคนเสนอตัวมาให้ผมเอง”  

สิ้นคำดนัย บดินทร์ก็ไม่สามารถระงับความขุ่นข้องของตนได้อีกต่อไป เดือดดาลหนักหนากับสิ่งที่ตีความได้จากทุกถ้อยคำที่ดนัยกล่าวมา มันตีความได้ไม่ยากเลยว่า การยินยอมทอดกายเพื่อแลกอิสรภาพของเขานั้น ในท้ายที่สุด มันเป็นเพียงการดิ้นรนอย่างไร้ความหมายของเหยื่อที่โง่เง่าเท่านั้นเอง

“ไอ้ดนัย!!”

บดินทร์คำรามลั่น พร้อมกับที่เหวี่ยงหมัดฮุคเข้าหาดนัยอย่างไม่ออมแรง

หมับ!

แต่ก็ไม่ได้ระคายผิวดนัยแม้เพียงปลายผม หมัดหนักๆของบดินทร์ที่เจ้าของว่าแม่นยำนั้น กลับถูกดนัยคว้าเอาไว้อย่างง่ายดาย แม้ส่วนสูงจะต่างกันไม่เท่าไหร่ แต่แรงกล้ามที่ผิดกันหลายข้อ ทำให้บดินทร์แทบจะไม่สามารถสะบัดหลุดจากอุ้งมือหนาของดนัยได้เลย

“อย่ารนหาเรื่องบดินทร์ ผมขอล่ะ”

ดนัยขอร้องอย่างใจเย็น ทว่าดูเหมือนประโยคที่ว่านั่น จะไม่เหมือนประโยคขอร้องสักเท่าไหร่นักในความคิดของบดินทร์

สองร่างยืนประชิด สองสายตาสบประสานเกรี้ยวกราด ต่างขิงก็ราข่าก็แรง ไม่มีใครยอมลงให้ใครก่อน ดนัยขบกรามกรอดกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาคิดเอาไว้ไม่เคยผิดเลย บดินทร์คือตัวร้ายที่ยอมตายดีกว่าร้องขอชีวิต หากเป็นคนอื่นได้รับความช่วยเหลือขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นการฉุดขึ้นจากขุมนรกอย่างที่ถ้าเป็นคนอื่นร้อยทั้งร้อยคงยอมมอบกายถวายชีวิตให้เขาแบบไม่ต้องคิด แต่มันดันไม่ใช่สำหรับบดินทร์ คนคนนี้ นอกจากจะไม่ร้องขอให้ช่วยเหลือแล้ว ยังรังเกียจมือของเขาที่ยื่นลงไปให้อีกต่างหาก
 
ยอมถูกไฟนรกพร่าผลาญมากกว่าจะจับต้องมือของเขาสินะ

ความหงุดหงิดงุ่นง่านเริ่มคืบคลานเข้าครอบงำจิตใจใฝ่คุณธรรมที่เหลือเพียงน้อยนิดของเขาอย่างช้าๆ สมองดนัยประมวลผลเร็วรี่ ว่าควรทำอย่างไรกับคนดื้อด้านอย่างบดินทร์ดี

นิ่งไปพักใหญ่ๆ ใช้สมองขณะใช้ร่างกายจับตรึงบดินทร์ที่ดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายให้ยอมอยู่นิ่ง

และในที่สุดดนัยก็คิดขึ้นได้ ในจังหวะเดียวกับที่สามารถรวบบดินทร์เข้ามาในอ้อมแขนได้พอดี

“ไปอเมริกากัน!”

“ห๊ะ!? อะไรของคุณ?”  คำชวนที่จู่ๆก็ถูกโพล่งออกมาจากอีกฝ่าย เล่นเอาบดินทร์ที่กำลังดิ้นเร่าถึงกับหยุดชะงัก

“คุณก็รู้ตัวไม่ใช่เหรอ ว่าคุณไม่เหลือที่ยืนในประเทศนี้แล้ว สิ่งที่คุณทำลงไป อย่าว่าแต่กลับเข้าวงการเลย แม้แต่งานดาษๆอื่นๆคุณก็ทำไม่ได้ ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน คุณคงไม่คิดจะหมกตัวอยู่แต่บ้าน หลบๆซ่อนๆไปจนกว่าเรื่องจะเงียบใช่ไหมล่ะ?”  พอบดินทร์ชะงัก ดนัยก็เร่งอธิบาย เหตุผจูงใจมีร้อยแปดพันเก้า ติดอยู่แค่บดินทร์จะยอมคล้อยตามหรือไม่

“ใช่! เรื่องนั้นผมก็รู้อยู่ แต่มันเกี่ยวอะไรกับการที่ผมจะต้องไปต่างประเทศกับคุณด้วย?” แน่นอนว่าบดินทร์ยังคงเถียง แต่น้ำเสียงที่เบาลง และการดิ้นรนที่โอนอ่อนให้ ทำให้ดนัยพอจะสัมผัสได้ว่า ถ้อยคำจูงใจของเขา อาจได้ผล

ความตั้งใจของดนัยแรงกล้า เขาต้องการพาบดินทร์ไปอยู่ในรังของเขาให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แต่แน่นอนว่าการเกลี้ยกล่อมให้บดินทร์ยอมตัดสินใจตามไปด้วยตัวเองย่อมให้ผลที่น่าพึงใจกว่า แน่นอนว่าที่ทำไปทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือบดินทร์ดังที่เคยลั่นวาจาไว้ทั้งสิ้น ชดใช้ ชดเชยในสิ่งที่เขาเคยบังคับพรากมาก

แต่ก็แน่นอนอีกแหละ ว่าในความตั้งใจเหล่านั้น ย่อมมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แอบแฝงอยู่ด้วย

อ้อมแขนแกร่งกระชับร่างบดินทร์แน่นขึ้นโดยพยายามให้รู้สึกตัวน้อยที่สุด ก่อนจะโน้มใบหน้าลงใกล้ แล้วกระซิบคำโฆษณาสุดท้ายตรงริมหูบดินทร์…

“เพราะมันคือทางเดียวที่คุณจะสามารถทำงานหาเงินมาใช้หนี้ผมได้ในเวลาอันสั้นไง”

.
.
.
.
.
บ่ายสามแก่ๆ หลังการโต้เถียงอันยาวนานระหว่างดนัยและบดินทร์ ที่ไม่ว่าดนัยจะโอ๋จะกล่อมกระทั่งข่มขู่ยังไง บดินทร์ก็ยืนกรานไม่ยอมรับฟังท่าเดียว ประมาณว่า สุขใจผู้ให้ขัดใจผู้รับ บดินทร์ไม่อยากรับความช่วยเหลือใดๆจากดนัยอีก

แต่จนแล้วจนรอด ความพยายามของดนัยก็ได้ผล

เพราะในที่สุดทั้งสองคนก็ได้ข้อสรุป

ด้วยข้อตกลงระหว่างกันที่ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์สูงสุดให้บดินทร์ แต่จริงๆแล้วเข้าทางดนัยอย่างที่สุด

พร้อมๆกับที่ซอลย่าเดินทางมาถึงเซฟเฮ้าส์ แหล่งกบดานของบดินทร์เสียที

“ดิน!”

ร่างบอบบางของซอลย่าถลาเข้าหาน้องรักทันทีที่เจอหน้า ด้วยความที่ตัวเตี้ยกว่าอยู่หลายขุม ทำให้พอเข้าซุกอ้อมกอดของบดินทร์แล้วร่างบอบบางของซอลย่านั้นแทบจะจมหายไปในอ้อมอกน้องชายราวกับเด็กน้อย

“เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าหนีออกจากโรงพยาบาลตามคุณดนัยไประห่ำจับผู้ร้ายมาด้วยใช่ไหม? ทำไมชอบทำให้พี่เป็นห่วงแบบนี้หืม? แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง คลาดกันไปคลาดกันมาตลอดเลย” กอดจนอุ่นใจได้ ผู้จัดการดาราร่างเล็กก็รีบผละจากอ้อมอกอุ่น พลางเทศนาบดินทร์เสียยกใหญ่ที่ทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง รู้ดีว่าบดินทร์เป็นห่วงสดายุมาก แต่ก็ไม่ควรจะบุ่มบ่ามทั้งๆที่ตัวเองก็ยังบาดเจ็บอยู่แบบนี้ ดังนั้น ทันทีที่ได้เห็นหน้า ซอลย่าจึงอดบ่นไม่ได้ สองมือเรียวเล็กเอื้อมประคองสองแก้มของน้องชายไว้ จับหันซ้ายหันขวา ดูว่ามีรอยแผลฟกช้ำน่ากลัวที่ไหนหรือเปล่า หนวดเคราเขียวครึ้มสากมือที่สัมผัสได้ เป็นเครื่องหมายยืนยันได้อย่างดีว่า บดินทร์แทบไม่ได้ดูแลตัวเองเลย เห็นแค่นั้นซอลย่าก็แทบร้องไห้ ร่างบางจึงโผเข้ากอดน้องชายอีกครั้งด้วยความสงสาร หัวกลมเล็กของพี่ชายถูไถไปมาในอ้อมกอดกว้าง ปฏิกิริยาประจำตัวยามที่ซอลย่าต้องการจะปลอบใจบดินทร์

กิริยาน่ารัก จนบดินทร์ยังอดยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะทุกข์ หรือเครียดกับอะไรมากแค่ไหน พอได้เจออาการห่วงน้องสุดกำลังของซอลย่าเข้าไป ความอบอุ่นอ่อนโยนนั้นก็ทำให้บดินทร์ยิ้มได้ทุกครั้ง

พี่ชายคนนี้…เขารักมากเหลือเกิน

ทว่า…

พฤติกรรมของทั้งสองคนนั้นช่างขัดตาแขกอีกคนที่มาด้วยกับซอลย่าเหลือเกิน

“อะแฮ่ม!” 

ดังนั้นเสียงกระแอมไม่สู้มีมารยาทนัก จึงถูกส่งออกไปเตือนสติของคนทั้งคู่ ว่าโลกนี้ยังมีคนอื่นยืนหัวโด่อยู่ด้วย

“สวัสดีค่ะ คุณบดินทร์! ออกจากโรงพยาบาลได้ สบายดีแล้วสินะคะ!”

ประโยคทักทายระคนข่มขวัญที่ใช้เสียงเบสทุ้มต่ำคำรามถาม เรียกสายตาของบดินทร์ให้มาหยุดอยู่ที่ผู้มาเยือนอีกคนที่เขาค่อนข้างจะแปลกใจในการมาของอีกฝ่ายไม่น้อย

“สวัสดีครับคุณบลูม่า…”  บดินทร์ทักออกไปเพียงแค่นั้น ทั้งที่ใจจริงอยากจะถามต่อว่ามาได้อย่างไร และมาทำไม แต่ก็ได้สติยั้งปากไว้ได้ทันเสียก่อน เอาเถอะ เขายังไม่มีอารมณ์จะตีกับใครตอนนี้ โดยเฉพาะคนที่ยืนตาขวางจ้องเขม็งมาราวกับจะจับเขาหักคอได้ทุกเมื่ออย่างบลูม่า

“มาด้วยกันได้ยังไงครับเนี่ย?” แต่เห็นอย่างนั้นบดินทร์ก็แอบสงสัยไม่ได้ จึงต้องก้มลงกระซิบถามเอากับซอลย่าว่าแท้จริงแล้ว แขกคนนั้นโผล่มาหาเขาถึงนี่ได้อย่างไร

“เอ่อ…เขามากับพี่น่ะ ช่วยขับรถมาให้…” ซอลย่าตอบอ้อมแอ้ม ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยอย่างลืมตัว

“……!!??”  และสภาพนั้นก็เล่นเอาบดินทร์ถึงกับผงะ ขนาดนี้ คงไม่ใช่บังเอิญไปเจอกันแล้วตามกันมาเยี่ยมเขาแน่ๆ

ทำไมบดินทร์จะไม่สงสัยเล่า ก็ในเมื่อตั้งแต่จำความได้ ซอลย่ากับบลูม่านั้นไม่ถูกโรคกันยิ่งกว่าอะไร ข่าวว่าเป็นทั้งคู่แข่งทั้งด้านความรักและอาชีพ โดยเฉพาะหลังจากตอนที่เขากับสดายุแตกหักกัน ผู้จัดการส่วนตัวอย่างสองคนนี้ ก็แตกหักหนักข้อกันขึ้นไปอีก

เรื่องราวที่บดินทร์พอจะจำได้เป็นมาแบบนั้น แต่เหตุไฉนตอนนี้ ถึงได้จูงมือกันมาหาเขาได้เล่า มิหนำซ้ำซอลย่ายังออกอาการเคอะเขินทันทีที่ถามถึงบลูม่า ฝ่ายบลูม่าเองก็ดูท่าจะกระโดดเข้ามางับคอเขาให้ได้ที่เห็นว่าเขายังกอดร่างเล็กของซอลย่าไว้ไม่ยอมปล่อย ทำราวกับว่ากำลังหึงหวง…

อื๋อ…หึงหวง!!??

“พี่ซอล? อย่าบอกนะว่า…เฮ้ย! ตั้งแต่เมื่อไหร่!?”  พอตีความได้ บดินทร์ก็ยั้งใจไม่ได้ที่จะต้องถามความขึ้นทันที งานนี้ไม่ธรรมดาแล้ว พี่ซอลย่าของเขากับบลูม่ามีซัมติ้งกัน!!?

ยิ่งบดินทร์ทักซอลย่ายิ่งลนลาน หน้าแดงเหงื่อแตก กระทั่งจะพูดยังสำลัก

แต่สุดท้ายเมื่อตั้งสติได้ ก็อธิบายให้บดินทร์ได้ฟังและรับรู้ในที่สุด ซอลย่าไม่มีอะไรปิดบัง และไม่คิดจะปิดบังกับน้องชายคนนี้อยู่แล้ว

ความเข้าใจนำพาความโล่งอกโล่งใจมาสู่บดินทร์ แม้จะยังขัดใจ เพราะเขายังไม่อยากยกซอลย่าให้ใคร แต่ก็อุ่นใจ เมื่อได้รับรู้ว่าอย่างน้อย พี่ชายของเขาก็สมหวังในรักเสียที 

“ยินดีด้วยนะพี่ซอล” บดินทร์พูดแค่นั้น ก่อนจะโอบกอดพี่ชายไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง

“ขอบใจนะดิน…” ซอลย่าตอบกลับ พร้อมกระชับอ้อมแขนเพื่อกอดน้องชายแน่น ซบใบหน้าลงบนอกอุ่นด้วยความรักและห่วงหา

และคราวนี้ก็ถึงเวลาที่บดินทร์จะเล่าเรื่องของตนบ้างแล้ว

“ผมดีใจนะที่จะมีคนดูแลพี่แทนผม…”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ทำอย่างกับจะไปไหนไกล?”

“…พี่ซอล ผมจะไปทำงานกับคุณดนัยที่อเมริกานะ”

“ห๊ะ!? ว่าไงนะดิน! ป..ไปเมื่อไหร่!?”


“เดือนหน้าครับ”



 :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2015 09:30:19 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ
 :katai5:


ผ่านความวุ่นวายมาได้เกือบสัปดาห์ กฤตเมธก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ยังต้องพยุงแขนซ้ายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลที่ไหล่ได้รับความกระทบกระเทือนมาก ที่ที่ชายหนุ่มตัดสินใจกลับมาคือคอนโดห้องน้อยของสดายุ แทนที่จะเป็นบ้านใหญ่ หรือคอนโดของตน อาจเพราะกฤตเมธมาอาศัยสิงสู่อยู่กับสดายุนานแล้ว จึงรู้สึกผูกพัน และเคยชินมากกว่า ทั้งยังสะดวกต่อสดายุด้วย ฝ่ายกรพิณน์ที่มาช่วยดูแลไม่ขาด ก็ไม่ติดใจที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้าน ซ้ำยังช่วยไล่ซ้ำเสียอีก บอกว่ากลับไปอยู่บ้านก็เป็นภาระ สู้ให้สดายุดูแลสบายใจกว่า

มีแม่ที่ใจดีและเปิดกว้าง ทำให้กฤตเมธและสดายุมีความสุขและผ่อนคลายมาก

แต่วันนี้ยังไม่ใช่วันที่พวกเขาควรจะดื่มด่ำ เพราะพวกเขายังมีภารกิจที่จะต้องทำ

คืนสุดท้ายของงานบำเพ็ญกุศลศพของ เสน่ห์จันทร์

“ไหวแน่นะพี่เมธ ยังปวดอยู่ไหม?” สดายุถามขึ้นขณะเข้าประคองกฤตเมธลงจากรถ

หลังจากกลับถึงห้องได้ กฤตเมธและสดายุก็ไม่ได้มีเวลาส่วนตัวมากพอที่จะจัดการเรื่องต่างๆ มากนัก เพราะ ต้องเตรียมตัวเพื่อจะได้เข้าร่วมงานสวดอภิธรรมของเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเหลือเวลาในการเตรียมตัวอีกเพียงแค่ สองชั่วโมงเท่านั้น

“พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกยุ ให้พี่ขยับบ้างก็ได้”  กฤตเมธแซวขึ้นเล็กๆ เมื่อคนรักไม่ยอมให้เขากระดิกตัวเลยตั้งแต่มาถึง ประมาณว่าเขาคือตุ๊กตาตัวใหญ่ที่จับไปวางไว้ตรงไหนก็ห้ามเขยื้อน

“อยู่นิ่งๆไปน่ะดีแล้ว แผลพี่ยังไม่หายดี เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกอีก คุณหมอก็บอกอยู่ว่าห้ามพี่ขยับตัวเยอะ เพราะแผลมันยังไม่แห้ง ติดเชื้อขึ้นมาอีกล่ะก็ ได้กลับไปนอนแกร่วอยู่โรงพยาบาลเพื่อรื้อแผลใหม่อีกแน่”  ทว่าก็โดนสดายุตอกกลับเสียจนต้องรีบหุบปากฉับ ไม่ใช่แค่เถียงไม่ออก แต่เถียงไม่ได้อีกแล้วต่างหาก คนรักเขาช่าง…ดุเสียจริงด้วย

“คร๊าบ คร๊าบ จะไม่กระดุก กระดิกเลยสักกมิลเดียวเลยครับ”  โดนดุเข้าหน่อยกฤตเมธก็ยกมือขอยอมแพ้ แล้วยอมอยู่เฉยๆให้สดายุช่วยจัดการทุกอย่างให้แต่โดนดี แต่ไหนๆก็ไหนๆ คนแก่เลยขออ้อนต่ออีกนิด ชนิดได้คืบเอาศอก "...งั้น ช่วยพี่อาบน้ำหน่อยได้ไหมครับ มือเดียวมันลำบากจังเลย"

ได้ยินคำอ้อน พร้อมสายตาเว้าวอนที่ช้อนมองมา สดายุก็ได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะพร้อมจิกกัดออกมาเบาๆ “เฒ่าทารกเอ้ย”

.
.
.
.
.

ห้าโมงครึ่งโดยประมาณ ระหว่างที่สดายุกำลังช่วยกฤตเมธแต่งตัวในชุดไว้ทุกข์สีดำชวนโศก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“อ่ะ สงสัยมาถึงกันแล้วล่ะ”  สดายุอุทานขึ้นเบาๆ ก่อนจะผละจากกฤตเมธไปที่ประตูห้อง

ส่องตาแมวเห็นเป็นคนที่นัดกันไว้จริง ก็เปิดประตูให้โดยไม่รอช้า พร้อมเอ่ยทักทายผู้มาเยือนอย่างเป็นมิตร  “สวัสดีครับ คุณสุริยาวดี พี่บลู”

“สวัสดีค่ะ คุณสดายุ ขอรบกวนหน่อยนะคะ”  สุริยาวดีโค้งศีรษะให้สดายุเล็กน้อย ก่อนขออนุญาตเข้ามาในห้องอย่างมีมารยาท ตามมาด้วยบลูม่าที่เอ่ยทักทายสดายุจบก็เดินโอบไหล่เจ้าของห้องตามเข้ามาพร้อมปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย

หลังจากตกลงใจว่าจะไปร่วมไว้อาลัยในงานบำเพ็ญกุศลของเสน่ห์จันทร์แม้ว่าจะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงวัน สดายุก็รีบติดต่อไปทางบลูม่าเพื่อแจ้งความประสงค์ และกฤตเมธเองก็แจ้งไปทางสุริยาวดีต้นสังกัดเพื่อช่วยเตรียมการ เพราะตอนนี้เขากับสดายุยังอยู่ในช่วงฮอต ที่เหล่าเหยี่ยวข่าวทุกสำนัก ต้องการตัวไปสัมภาษณ์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ของชิดจันทร์ ตายของเสน่ห์จันทร์ และแม้กระทั่งความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่

หลังจากเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดจบลง สดายุถูกทางตำรวจเรียกตัวไปให้ปากคำที่ สน. ทันที ในฐานะพยานปากเอกและผู้เสียหาย โชคดีที่ทางตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ครบทุกคน และคนร้ายเหล่านั้นก็ยอมสารภาพทุกข้อกล่าวหา

สดายุถูกเชิญไปให้ปากคำที่โรงพัก ส่วนกฤตเมธนั้นเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บ ทางตำรวจจึงมาสอบปากคำถึงที่โรงพยาบาลเอง คดีถูกปิดได้ภายในไม่กี่วัน เพราะพยานหลักฐานครบครัน และผู้ต้องหาให้การสารภาพอย่างไม่มีอิดออด

ส่วนพิมานหัวหน้ากลุ่มคนร้าย ที่ตายไปพร้อมเสน่ห์จันทร์นั้น ตำรวจก็สรุปว่ามันเป็นการฆ่าตัวตาย ตามความจริงที่ได้รับข้อมูลมา แต่ในส่วนของสาเหตุในการตัดสินใจปลิดชีพตัวเองของพิมานนั้นทางตำรวจเองก็ยังไม่สามารถลงความเห็นได้ เพราะดันไม่มีพยานปากไหนปริปากพูดถึง ทั้งหมดอ้างว่าไม่ทราบ ไม่เว้นแม้แต่ชิดจันทร์

"ตกลงจะไปพร้อมกันแบบนี้เลยจริงๆเหรอคะคุณเมธ น้องยุ มันจะไม่เป็นเป้าไปเหรอถ้าสองคนไปพร้อมกัน ที่งานน่ะพวกนักข่าวเต็มเลยนะคะ"  บลูม่าถามย้ำ ขณะช่วยจัดปกเสื้อสูทให้สดายุ

"ไหนๆก็ตั้งใจจะแถลงข่าวในเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ให้เขาเห็นๆกันไปตั้งแต่ตอนนี้เลยน่าจะดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องคลุมเครือกันมาก"  กฤตเมธอธิบาย แต่ถึงอย่างไรบลูม่าก็ยังค่อนข้างกังวลอยู่ดี

"กว่าจะแถลงข่าวได้ก็ต้องรอจนกว่า 'สุดปลายทางของหัวใจ' ออกฉายจนออกโรงก่อนไม่ใช่เหรอคะ มันก็อีกตั้งเดือนแน่ะ เล่นให้เห็นกันโต้งๆตั้งแต่วันนี้ มันจะไม่ยิ่งเร่งความกระสันของพวกนักข่าว ให้รีบขุดคุ้ยกันเหรอคะ"

"ถ้ามีเจ๊กับคุณสุริยาวดีไปด้วย ก็คงไม่อึกทึกเท่าไหร่หรอกมั้งเจ๊ อีกอย่างเราไปเคารพศพท่านประธานนะ ในอารมณ์เศร้าสลดขนาดนั้นคงไม่มีใครกล้าจู่โจมเราหรอก อย่างน้อยเขาคงต้องเกรงใจและให้เกียรติในความสัมพันธ์ระหว่างพี่เมธกับท่านประธานอยู่บ้างล่ะ"  สดายุให้เหตุผล

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ"   ถึงจะเข้าใจตามที่สดายุว่า แต่บลูม่าก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณบลูม่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวทางเราช่วยจัดการให้เองค่ะ"  เห็นว่าผู้จัดการสาวใหญ่ยังไม่คลายความกังวล สุริยาวดีก็ช่วยพูดเสริมให้อีกแรง

ถึงบลูม่าจะไม่สามารถวางใจได้ ถึงจะยังหวาดหวั่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ต้องจำใจตามยอมพร้อมไปกับทั้งสดายุและกฤตเมธ ถึงอย่างไรเขาก็แค่คนนอก ในเมื่อสดายุและกฤตเมธได้ตัดสินใจร่วมกันแล้ว เขาก็ทำได้เพียงคอยอยู่เคียงข้างและเป็นแรงใจให้ทั้งคู่ในการฝ่าฟันกระแสสังคมที่รอจะโถมถล่มใส่ทั้งสองคนก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ยิ้มให้ทั้งที่ใจยังกังวล




ทั้งสี่เดินทางโดยรถตู้ของทางบริษัท เดินทางไปยังวัดใหญ่ที่จัดงานบำเพ็ญกุศลศพของเสน่ห์จันทร์ การเดินทางฝ่าการจราจรที่ติดขัด ทำให้ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเดินทางถึงในงาน นั่นอาจนับเป็นโชคดีพอสมควรของกฤตเมธ และสดายุ เพราะการมาถึงก่อนการสวดอภิธรรมเพียงอึดใจ ทำให้ทั้งคู่มีเวลาแค่เพียงเคารพศพ แล้วฟังการสวดเลย โดยไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์กับทางสื่อไหนก่อน

ทันทีที่เข้าในศาลาได้ กฤตเมธและสดายุก็ตกเป็นเป้าสายตาในทันที

ทันทีที่เข้าในศาลาได้ กฤตเมธและสดายุก็ตกเป็นเป้าสายตาในทันที แน่นอนว่าย่อมเป็นอย่างนั้น เพราะตอนนี้บุคคลที่กำลังเป็นข่าว และเป็นบุคคลที่สื่ออยากจับมานั่งแถลงไขในสิ่งที่พวกตนอยากรู้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นพวกเขาทั้งคู่ กับอีกคนที่ถูกลักซ่อนออกจากสายตานักข่าวโดยสิ้นเชิงอย่างบดินทร์...

อย่าว่าแต่นักข่าวเลยที่อยากรู้เรื่องของ กฤตเมธ สดายุ บดินทร์ แม้แต่คนอื่นๆในวงการ หรือแม้แต่ประชาชนตาดำๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรูเหมือนกันว่าสิ่งที่นักข่าวตั้งสมมติฐานจะเป็นจริงดังว่าหรือไม่

ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฤตเมธและสดายุที่มีออกมาให้สงสัยกันเป็นระยะ เหตุการณ์คืนที่เสน่ห์จันทร์ถูกฆ่า และคลิปสารภาพบาปของบดินทร์

ทันทีที่ได้เห็นกฤตเมธและสดายุ แน่นอนว่าเหยี่ยวข่าวเล่านั้นย่อมถลาเข้าหา แต่ด้วยสุริยาวดีเตรียมการเพื่อรับมือในเรื่องนี้มาอย่างดี คนที่รับหน้านักข่างเหล่านั้นจึงเป็นหล่อนแทน โดยให้คำตอบในเชิงที่ว่า

กฤตเมธยังอยู่ในอาการโศกเศร้า กอปรกับเพิ่งออกจากโรงพยาบาลทั้งยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บเนื่องจากถูกยิงตอนบุกไปช่วยชิดจันทร์และสดายุ จึงขอความร่วมมือจากทางนักข่าวทุกคนให้ช่วยเห็นใจและช่วยรออีกหน่อย รับรองว่าในอีกไม่นานทางต้นสังกัดจะรีบแจ้งนัดหมายแก่นักข่าวทุกสำนักเรื่องการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการจากกฤตดเมธและสดายุแน่นอน

การเกลี้ยกล่อมของสุริยาวดี ทำให้เหล่านักข่าวยอมล่าถอยในที่สุด  แม้บางคนอาจไม่เต็มใจนัก แต่ก็ต้องยอมปล่อยผ่านเพราะทางต้นสังกัดอย่างสุริยาวดีเลขาของเสน่ห์จันทร์ที่กำลังรักษาการแทนอยู่ตอนนี้เป็นคนออกปากแจ้งเอง ทั้งยังเพราะอยู่ในงานศพของเสน่ห์จันทร์อีกด้วย หากทำรุ่มร่ามเกินงามไปอาจเกิดดราม่าจนเสียชื่อสำนักข่าวได้

"ขอบคุณนะครับคุณไข่ ที่ช่วยออกหน้าแทนพวกเรา"

ทันที่สุริยาวดีเดินตามเข้ามานั่งลงข้างกัน สดายุก็เอ่ยขอบคุณที่ช่วยไว้ เพราะหากไม่ได้สุริยาวดี วันนี้พวกเขาคงไม่รอดปากเหยี่ยวปากกาเป็นแน่

"ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะคุณยุ มันเป็นหน้าที่ของไข่อยู่แล้วค่ะ"  สุริยาวดีตอบเสียงหวาน พลางมองเลยไปที่กฤตเมธที่นั่งเหม่ออยู่ข้างๆกับสดายุ ก่อนจะรับธูปหอมจากเด็กหญิงคนหนึ่งเพื่อเคารพศพ

แม้จะปักธูปเคารพศพลงในกระถางธูปหน้าโลงแล้ว แต่กฤตเมธก็ยังไม่มีทีว่าจะลุกออกจากตรงนั้น ร่างสูงใหญ่ในท่านั่งพับเพียบเหยียดหลังตรงผึ่งผ่าย สายตาจับจ้องแน่วนิ่งอยู่กับรูปถ่ายหน้าโลงศพ

ใจหาย...

จากวันที่เกิดเหตุการณ์ เขาหมดสติเพราะเสียเลือดมากเกินไปจนไม่อาจอยู่รับรู้เหตุการณ์ในตอนสุดท้าย กว่าจะได้รู้เรื่องก็ผ่านมาแล้วหลายชั่วโมง ที่เขาได้ลืมตาตื่นขึ้นในโรงพยาบาล

เขาถูกยิง

แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันเลวร้าย เพราะอย่างน้อยก็สามารถปกป้องคนรักเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย

แต่ก็อดรู้สึกเจ็บใจไม่ได้ ที่ไม่อาจช่วยเหลือเสน่ห์จันทร์ให้รอดพ้นด้วย

รู้ตัวดีอยู่ว่าลำพังตัวเองคงไม่สามารถ แต่หากเขาไม่หมดสติไปเสียก่อน เพียงแค่เขาจะกัดฟันอดทนอีกสักนิด

ไม่แน่ว่า...บางทีเสน่ห์จันทร์อาจไม่ตาย

ความปวดใจแล่นวาบจนในอกอึงอื้อ น้ำตาไม่อาจกลั่นออกมาภายนอก เพราะมันหลั่งรดอยู่ภายในใจจนท่วมเจิ่ง 

ความปวดใจแล่นวาบจนในอกอึงอื้อ น้ำตาไม่อาจกลั่นออกมาภายนอก เพราะมันหลั่งรดอยู่ภายในใจจนท่วมเจิ่ง ภาพความหลังหลั่งไหลเข้ามาในหัว วนซ้ำราวกับกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า

ชีวิตที่มีคนคนนี้โอบอุ้ม มันอบอุ่นแค่ไหนเขายังจำได้แม่นยำ

บิดาเสียชีวิตตอนที่เขายังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ มารดาที่เป็นแม่บ้านมาตลอดต้องผันตัวไปเป็นผู้บริหาร ถึงกิจการโรงงานเบเกอรี่จะไม่ได้ใหญ่โต แต่ไม่ใช่จะดูแลแบบส่งๆได้ เสียเสาหลักกิจการก็สั่นคลอน การเงินก็ขาดแคลน กู้หนี้ยืมสิน กฤตเมธที่ยังเรียนอยู่จึงตั้งใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้ช่วยกิจการของที่บ้านได้อย่างเต็มที่ แต่ผู้เป็นมารดาไม่ยินยอม

บ้านที่ขาดผู้นำ ทั้งยังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ ทำให้บ้านกฤตเมธเกือบเอาตัวไม่รอด กระเสือกกระสนดิ้นรนสองแม่ลูก เงินหมุนในโรงงานแทบไม่พอยาไส้ เงินส่งหนี้ไปก็ส่งได้แค่ดอกเบี้ยเงินกู้ เงินต้นไม่ลดลงสักแดง จนในที่สุดก็หมดเงินจะส่ง แม้แต่เงินจ้างคนงานก็แทบไม่มีจ่าย แม้จะเจียดจากค่าอาหารส่วนตัวจนแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม สองแม่ลูกคิดว่าคงไม่รอดแล้ว แม้จะอยากรักษาโรงงานนี้ไว้อย่างไรก็ตาม...

ในความสิ้นหวังอันโหดร้าย เสน่ห์จันทร์ก็เข้ามา

เสน่ห์จันทร์ดึงกฤตเมธเข้าวงการ ทั้งยังยอมให้หยิบยืม ให้กู้เงินเพื่อฟื้นวิกฤตโรงงานใหม่อีกครั้ง โดยการทำสัญญาหักจากค่าตัวของกฤตเมธ ให้โดยไม่มีกลัวเลยว่ากฤตเมธอาจขายไม่ออก ช่วยทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน

และตั้งแต่เข้ามาอยู่ในสังกัด เสน่ห์จันทร์ก็เอ็นดูกฤตเมธราวลูกในไส้เสมอมา ไม่เคยลิดรอนสิทธิ ไม่เคยคิดบังคับฝืนใจ ดูแลปกครองประหนึ่งลูกคนหนึ่ง 

กฤตเมธจึงพยายามทดแทนในความเอื้ออารีย์นั้นอย่างเต็มที่ เท่าที่เขาจะทำได้ พูดแต็มปากเลยว่าเขานับถือเสน่ห์จันทร์ ไม่ต่างจากมารดาคนที่สอง

แม้ช่วงหลังๆมาเขากับเสน่ห์จันทร์จะมีเรื่องไม่เข้าใจกันบ้าง แต่กฤตเมธรู้ดีว่าหล่อนก็ไม่ได้คิดจะหมางเมินเขา ความรู้สึกที่เสน่ห์จันทร์มีให้เขารู้ซึ้งแก่ใจดี

ในสายตานั้น คอยเมตตาเขาอยู่เสมอ

แต่วันนี้...

เสน่ห์จันทร์จากไปแล้ว

จากไป ทั้งที่กฤตเมธยังรู้สึกว่าเขายังตอบแทนความเอื้ออาทรของอีกฝ่ายได้ไม่เต็มที่เลย

...ผมขอโทษ

ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนความเจ็บปวดออกมา เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงช้าๆ ก่อนร่างผึ่งผายจะค่อยๆ โน้มกายลงกราบแทบตั่งหน้ากระถางธูปด้วยมือเพียงข้างเดียว

"อโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ...คุณเสน่ห์จันทร์"

เสียงแหบเครือเอ่ยคำขอขมา กระบอกตาเหมือนจะผ่าวร้อนขึ้น สติที่ยังคงยึดอยู่กับร่างเหมือนจะล่องลอยด้วยความเจ็บร้าว

กฤตเมธสูดหายใจลึก ก่อนจะยันตัวขึ้นมองภาพถ่ายของเสน่ห์จันทร์อีกครั้ง น่าแปลกที่คราวนี้เขากลับรู้สึกแตกต่าง จู่ๆรอยยิ้มของคนในรูปถ่ายก็ทำให้หัวใจของเขาอุ่นวาบขึ้นมาดื้อๆ เหมือนจะได้ยินคำว่า 'ไม่เป็นไร' ดังก้องอยู่ในใจ

เพียงแค่นั้น น้ำตาหยดหนึ้งก็ร่วงลงสู่ข้างแก้ม "ขอให้ดวงวิญญาณของคุณไปสู่สุขตินะครับ"

เสร็จจากตรงนั้น กฤตเมธก็ได้สดายุช่วยประคองมานั่งตรงตั่งเจ้าโซฟาด้านหน้าในฐานะเจ้าภาพคืนสุดท้าย ร่วมฟังสวดอภิธรรมด้วยหัวใจที่อาลัยรักในเจ้าของร่างที่นอนสงบนิ่งในโลงเย็น

กระทั่งพิธีการทุกอย่างจบลง

สุริยาวดีก็ไม่รอช้าที่จะพาทั้งสองหนุ่มกลับ โดยมีบลูม่าคอยช่วยกันพวกนักข่าวให้อยู่ใกล้ๆ แน่นอนล่ะ ขืนหล่อนให้กฤตเมธนั่งทอดอาลัยนานกว่านี้ ก็คงหนีไม่พ้นโดนนักข่าวไร้สำนึกบางคนจู่โจมเข้าให้แน่ 'ขอโทษนะคะ คุณกฤตเมธ'

"คุณไข่...ผมไม่ยักเห็นชิดจันทร์ในงาน" 

หลังถูกลำเลียงขึ้นรถตู้ได้สักพัก สดายุก็หันมากระซิบถามสุริยาวดีที่นั่งอยู่ข้างกัน ถึงความสงสัยตั้งแต่เหยียบเข้าไปในงานของตน ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขาไม่เห็นชิดจันทร์ลูกสาวคนเดียวของเสน่ห์จันทร์ที่ควรอยู่ในงานที่สุดคนนั้นเลย

ได้ยินคำถามของสดายุเข้า สุริยาวดีก็ได้แต่ถอนหายใจ “นี่คุณยุคงไม่ได้ดูข่าวเลยสินะคะ” ก่อนตอบออกไปด้วยสีหน้าค่อนข้างเหนื่อยหน่าย

“ไม่เลยครับ ทั้งทีวีทั้งโซเชียลผมตัดขาดหมด....ก็ผมกลัวข่าวตัวเองนี่ ไม่รู้เขาเอาไปเขียนยังไงบ้างแล้ว”  แค่เรื่องที่เผชิญอยู่ก็เต็มกลืน สดายุเลยไม่อยากรับรู้สิ่งใด ไม่อยากให้อะไรเข้ามารบกวนใจอีก จึงได้แต่เก็บตัวเงียบไม่เสพกระแสใดๆ ถึงได้ตกข่าวอยู่แบบนี้

สิ้นคำอธิบายของสดายุ สุริยาวดีก็พยักหน้าเข้าใจในทันที เพราะเป็นใครก็คงทำแบบสดายุ ดังนั้นหญิงสาวจึงขยับเบี่ยงกายเล็กน้อย เพื่อเผชิญหน้ากับสดายุตรงๆ พร้อมเอ่ยปากอธิบายเรื่องทั้งหมดให้สดายุได้ฟังเพื่อคลายสงสัย “ตั้งแต่เกิดเรื่อง คุณชิดจันทร์เธอช็อคมาก เธอเองก็เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานเหมือนกันค่ะ” 

“ชิดจันทร์บาดเจ็บมากเหรอครับ หรือโดนลูกหลง?...แล้วตอนนี้ เธอเป็นยังไงบ้าง?”  ความสงสัยทบเท่าทวีคูณ ความเห็นใจเริ่มผลิดอกออกผล นั่นสินะ เขาเองก็ลืมคิดไป ต่อให้ชิดจันทร์เกลียดเสน่ห์จันทร์มากแค่ไหน แต่การที่ต้องเห็นแม่ของตัวเองถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อหน้าต่อตา ย่อมสะเทือนใจจนลุกไม่ขึ้น ลองคิดว่าเป็นตัวเอง สดายุยังยอกในใจเสียจนรู้สึกผิดที่เผลอๆไปคาดโทษชิดจันทร์ไว้ก่อนหน้า

“คุณชิดจันทร์ถูกช่วยไว้ทันทีที่ท่านประธานถูกฆ่า ได้ยินจากทางตำรวจว่าคุณหนูเธอนิ่งมากค่ะ ไม่ฟูมฟาย ไม่สะอึกสะอื้น ดูเหมือนจะช็อคมาก แต่ก็ยังให้ปากคำได้ พวกตำรวจ หมอพยาบาลที่ได้เห็นยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณหนูชิดจันทร์เธอช่างเป็นคนใจแข็ง แม่ตายทั้งคนกลับไม่มีอาการจิตตก แต่แม้ว่าเธอจะไม่แสดงอาการให้ต้องเป็นห่วงกังวล ทางโรงพยาบาลก็ยังไม่ค่อยวางใจ เลยให้คุณหนูนอนโรงพยาบาลคืนหนึ่งเพื่อดูอาการ กระทั่งเช้าวันถัดมานั่นแหละค่ะ ทุกคนถึงได้รู้ว่า อาการของคุณหนูยิ่งกว่าน่าเป็นห่วง...”  พูดถึงตรงนี้ สุริยาวดีหยุดเว้นวรรคเล็กน้อย ใบหน้าที่เรียบเฉยเป็นปกติ ครานี้ฉายแววกังวลชัดเจน “อาการช็อคอย่างรุนแรง ทำให้คุณหนูไม่ยอมนอนค่ะ”

“ไม่ยอมนอน?” คำเฉลยทำสดายุตกใจไม่น้อย และยังสามารถเรียกกฤตเมธที่นั่งฟังเฉยอยู่ถึงเมื่อครู่ ให้หันมามีปฏิกิริยาร่วมไปด้วย

“ค่ะ คุณหนูชิดจันทร์ไม่ยอมนอน เธอนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นทั้งคืน ไม่พูดไม่จา ไม่ยอมหลับ ทั้งยัง ไม่ยอมทานอะไรแม้แต่น้ำ จนหมอต้องให้น้ำเกลือ และฉีดยากล่อมประสาทให้ ไม่งั้นเธอไม่ยอมหลับตาเลยค่ะ นิ่งอยู่อย่างนั้นจนน่ากลัว ช่วงแรกต้อวมีหมอจิตเวชคอยประกบเลยนะคะ เพราะเกรงว่าเธอจะฆ่าตัวตาย แต่หลังจากวิเคราะห์ออกมาแล้วว่าเธอไม่ได้มีความคิดจะทำ จากที่เฝ้าระวังจึงเปลี่ยนเป็นการเยียวยาแทนน่ะค่ะ จนในที่สุดก็ยอมกินยอมนอนเสียที  และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อวานนี้แหละค่ะ แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดนะคะ ตอนนี้ก็มีพญาบาลพิเศษตามมาเฝ้าให้ที่บ้านด้วย เพราะอย่างนี้แหละค่ะ เธอเลยไม่สามารถร่วมงานของท่านประธานได้ ช่วงนั้นคุณหนูเธอไร้สติจริงๆ”

"แม้แต่พรุ่งนี้ที่เป็นวันเผา ไม่แน่ว่าบางทีก็อาจไม่ได้เข้าร่วม"

สุริยาวดีอธิบายยืดยาวด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเครียด กฤตเมธและสดายุหันมองหน้ากันนิ่ง สงสาร เห็นใจ ความรู้สึกนั้นย่อมเกิดขึ้น อย่างน้อยๆ ชิดจันทร์ก็เป็นคนที่พวกตนรู้จัก แม้ว่าวีรกรรมที่เจ้าหล่อนเคยสร้างไว้ให้จะลดทอนความรู้สึกเหล่านั้นลงไปไม่น้อยเลยก็ตาม แต่ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน ก็คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนา

ถึงจะยังเป็นตะกอนเล็กๆอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็พร้อมแล้วที่จะให้อภัย สิ่งใดเราทำย่อมเป็นกรรมติดตัว ปล่อยกรรมนั้นสนองแก่เจ้าของเองเถอะ หากเพียงอโหสิกรรม เราก็หมดกรรมต่อกันแล้ว

"ก็น่าสงสารอยู่หรอกนะคะ แต่พอนึกถึงสิ่งที่คุณหนูเคยทำมันก็อดเจ็บใจไม่ได้ แบบนี้เรียกว่ากรรมสินะ เฮ้อ...เบื้องหน้าออกจะสวยงามขนาดนั้นแท้ๆ แต่เบื้องหลังนี่...สมกับเป็นโลกมายาจริงๆ"  บลูม่าทั่งอยู่ด้านหลังเสนอความคิดเห็นขึ้นมาด้วย

ทุกคนเห็นด้วย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก

เสน่ห์จันทร์และชิดจันทร์ สองแม่ลูกที่เพิ่งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ไม่นาน เบื้องหน้าคือความรัก ความอบอุ่นจนน่าอิจฉา ดังนั้นพอชิดจันทร์ป่วยเนื่องจากอาการช็อคที่แม่จากไปอย่างกะทันหันจนไม่สามารถเข้าร่วมงานบำเพ็ญกุศลได้ จึงไม่มีใครถือสาหาความหรือถามหาเหตุผล เพราะทุกคนเข้าใจว่าชิดจันทร์รักแม่มาก ไม่แปลกที่จะช็อคจนป่วย

แต่ไม่มีใครรู้ ว่าแท้จริงแล้วเบื้องหลังฉาก สองแม่ลูกนี้บาดหมางกันแค่ไหน ปมแม่ปมลูกผูกพันเป็นปมใหญ่จนแก้ยาก ทั้งดึงทั้งทึ้งกันจนสุดท้ายก็ขาดสะบั้น ถึงตรงนี้ก็อดคิดแทนชิดจันทร์ไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะเดินไปทางไหนต่อ ทั้งชีวิตที่ไม่เหลือใครตามปกป้องตามสปอย ทั้งเรื่องความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น เพราะไม่ว่ายังไง ทั้งบริษัทและหุ้นในส่วนของเสน่ห์จันทร์ทั้งหมด ย่อมตกสู่มือของชิดจันทร์ที่เป็นทายาทคนเดียวโดยไม่ต้องสงสัย น่าเป็นห่วงว่าหล่อนจะทำมันไปต่อได้อย่างไร ต่อให้ตอนนี้ยังมีสุริยาวดีคอยประคับประคองให้

แล้วในอนาคตล่ะ?
.
.
.
.
.
"คุณกฤตเมธกับคุณสดายุตั้งใจเข้าร่วมงานเต็มวันใช่ไหมคะ? พรุ่งนี้ไข่จะได้มารับตอนแปดโมง" 

พากันมาส่งได้ถึงห้อง สุริยาวดีก็ออกปากขอทำนัดของวันรุ่งขึ้น ที่เป็นวันฌาปณกิจของเสน่ห์จันทร์ งานเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้า และจะเผาจริงตอนสี่โมงเย็น

"ครับ ผมอยากใช้เวลาในการอำลาท่านเสียหน่อย" กฤตเมธตอบพร้อมรอยยิ้มขื่น เขาอยากมีเวลาในการอำลาผู้มีพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อทุกคนกลับไปแล้ว ในห้องที่เหลือเพียงสองคนตกสู่ความเงียบอีกครั้ง กลิ่นอายความโศกเศร้าที่วนเวียนอยู่รอบกายของกฤตเมธ สร้างความเห็นใจให้สดายุไม่น้อย ขนาดเขาเป็นคนนอก ยังรู้สึกใจหาย คนสนิทอย่างกฤตเมธ ย่อมไม่มีทางหลีกหนีความเจ็บปวดจากการจากไปของเสน่ห์จันทร์ได้อยู่แล้ว สดายุลอบถอนหายใจบางๆ เขาคงทำได้แค่อยู่ข้างๆในยามนี้ก็เท่านั้น...

...ทำได้แค่อยู่ข้างๆอย่างนั้นเหรอ?

ไม่สิ เขาทำได้ดีกว่านั้นได้นิดหน่อย

ดวงตาของสดายุเป็นประกายอยู่เบื้องหลังของกฤตเมธ ขณะช่วยอีกฝ่ายถอดเสื้อสูทออกจากร่าง

ก่อนจะอ้อมมายืนส่งยิ้มอยู่ตรงหน้ากฤตเมธ แล้วสวมกอดออดอ้อน "โอ๋ๆ ไม่ร้องนะลุงนะ เดี๋ยวผมอาบน้ำให้"

กฤตเมธไม่ได้ตอบอะไรในทันที มีแต่สวมกอดกลับมาพร้อมกับซุกปลายจมูกโด่งลงตรงกลุ่มผมนิ่มของคนในอ้อมแขน "ขอบใจนะเจ้าเด็กดื้อ"

'ดีเหลือเกินที่เขามียุ'  คำขอบคุณที่มาจากใจ กฤตเมธมอบให้สดายุนั้น นอกจากจะมาจากความรู้สึกขอบคุณที่สดายุพยายามช่วยปลอบโยนและอยู่เคียงข้างกันแล้ว มันยังแทนความว่า รัก รัก รัก ที่มีล้นอยู่เต็มอกอีกด้วย หนุ่มใหญ่วัยสามสิบสี่ปี มั่นใจกับตัวเองอย่างยิ่งว่า คนตรงหน้าคือรักแท้ คือคนที่เขาอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต

ทั้งหมดที่ตัวเขามี...ยกให้สดายุเพียงคนเดียว

จ๋อม...

วี้ วี้ วี้...


เสียงที่โกนหนวดไฟฟ้า กับสัมผัสอ่อนโยนของมือที่ค่อยๆประคองใบหน้าเบาๆ ของตักอุ่นๆ ทำสมองตึงเครียดของกฤตเมธคลายลงอย่างน่าทึ่ง
พอบอกว่าจะช่วยอาบน้ำให้ สดายุก็จัดการปอกเปลือกกฤตเมธจนล่อนจ้อน ใช้พลาสติกแรปปิดแผลเอาไว้เพื่อระวังไม่ให้โดนน้ำ ก่อนจะจับแช่น้ำสบู่ฟองฟ่อด ช่วยขัดช่วยถู สระผม แปรงฟัน ล้างตัวให้เสร็จก็รองน้ำอุ่นให้แช่ต่อ เพื่อจะได้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น ถึงจะถูกกฤตเมธงอแงว่าอยากให้สดายุแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้พยายบาลพิเศษสมยอม สุดท้ายหนุ่มใหญ่ก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

แล้วพอถูกจับมาให้นั่งแหงนหน้าหนุนตักของสดายุที่นั่งอยู่ตรงขอบอ่าง เพื่อให้อีกฝ่ายช่วยโกนหนวดให้ กฤตเมธก็เริ่มรู้สึกว่าแบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

เมื่อจัดการขัดสีฉวีรรณจนผิวพรรณของคนแก่ผ่องนวลได้สำเร็จแล้ว สดายุก็ทิ้งให้กฤตเมธแช่น้ำอุ่นที่ผสมน้ำมันอโรม่าไว้อย่างนั้น โดยตัวเองอ้างว่าจะออกไปเตรียมเสื้อผาชุดนอน ก่อนจะหายออกจากห้องน้ำไป

เนิ่นนานกว่าจะกลับเข้ามารับ แต่เพราะน้ำยังอุ่นจางๆ รวมทั้งกลิ่นอโรม่ายังคงหอมระเหย กฤตเมธจึงยังนอนแช่น้ำรออย่างไม่มีอิดออด หรืองอแงอย่างตอนแรก กระทั่งสดายุกลับมา แล้วจัดการช่วยแต่งตัวให้

ทุกอย่างเหมือนเดิมๆ กระทั่งถูกพาตัวมาถึงห้องนอน

พรึ่บ...

จู่ๆ ไฟทุกดวงให้น้องก็ถูกปิดลง ให้ต้องพรึงเพริ่ดเล็กๆ

แผนเจ้าเด็กแสบแน่ๆ...

ว่าแต่จะทำอะไรนะ...



 :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2015 01:54:46 โดย อนาคี99 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ อนาคี99

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่ม SKIP
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +460/-3
    • อนาคี99เพจ
 :katai2-1:


แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู~~ ยู

เพลงวันเกิดที่ถูกขับร้องด้วยเสียงทุ้มแหบ พร้อมแสงเทียนจากเทียนเล่มน้อยที่ปักอยู่ตรงกลางคัพเค้กช็อคโกแลตชิ้นจ้อย ที่กฤตเมธจำได้ดีว่ามันเป็นของเหลือที่สดายุเอากลับมาจากโรงพยาบาลด้วยเมื่อตอนบ่าย

จริงด้วย...เดือนนี้เป็นเดือนเกิดของเขา

และวันเกิดเขานั้นก็เพิ่งผ่านมาไม่นาน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากโดนยิง...คือวันเกิดเขา

กฤตเมธอึ้งกับเค้กตรงหน้าไม่น้อย จำได้ว่าไม่เคยบอกสดายุเรื่องวันเกิด เพราะตัวเขาเองก็ยังลืม เลิกจัดวันเกิดมานานเหลือเกินแล้ว คงนับตั้งแต่ที่พ่อเริ่มป่วย...

แล้วนี่...สดายุรู้ได้ยังไงกันนะ?

"ไม่ต้องสงสัย ผมสืบรู้วันเกิดลุงมาตั้งแต่อยู่มัลดีฟส์แล้ว กะจะตอบแทนที่อุตส่าห์ช่วยจัดวันเกิดให้ผมตอนนั้นน่ะ"  เห็นกฤตเมธทำหน้าสงสัย สดายุก็เฉลยให้ฟัง ก่อนจะเร่งเร้าให้อธิฐานแล้วเป่าเทียน

กฤตเมธยิ้มพร้อมก้มลงเป่าเทียนอย่างว่าง่าย หากแต่ชายหนุ่มไม่ได้อธิฐานอะไรจริงจัง ไฟห้องถูกเปิดขึ้นหลังจากนั้น สดายุพากฤตเมธไปนั่งที่เตียงกว้าง พลางคะยั้นคะยอให้ทานเค้กก้อนน้อยให้หมดก้อน

การป้อนแกมบังคับทำให้ไม่นานนัก เค้กก้อนน้อยก็ถูกกลืนลงท้องกฤตเมธได้อย่างง่ายดาย

"ตอนแรกผมก็กะจะเซอร์ไพรซ์วันอื่นที่พร้อมมากกว่านี้อยู่หรอกนะ แต่มันคงไม่จำเป็นเท่ากับวันนี้"   สดายุเปรยขึ้น พลางเอื้อมมือไปกุมมือของกฤตเมธเอาไว้มั่น "ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องเพียงแค่นี้จะทำให้ความเศร้าในใจของพี่เมธหายไปได้หรอกนะ แต่อย่างน้อยๆ ผมก็หวังว่ามันอาจทำให้พอจะคลายลงได้..."

"...ยุ"

"ผมก็แค่...ไม่อยากให้พี่มีแต่ความทรงจำแย่ๆ ในวันเกิดของตัวเองเท่านั้นเอง" สดายุเปรยขึ้นเบาๆ พลางช้อนสายตาเชื่อมปรอยส่งไปทางกฤตเมธ ไม่รัก ไม่ทำให้ขนาดนี้หรอกนะ

เห็นว่ากฤตเมธเอาแต่นั่งยิ้ม นั่งทึ่ง และนั่งทื่อ สดายุก็พลันนึกอะไรสนุกๆออก ชายหนุ่มดีดตัวตั้งตรง พร้อมทำหน้าเป็นเด็กทะเล้นใส่คนหน้าเอ๋อทันที

"เอาล่ะ ท่านเทพมีพรวิเศษให้เด็กโข่งข้อหนึ่ง ไหนลองขอมาสิ อยากได้อะไร?" สดายุเย้ากฤตเมธเล็กๆ กอดอกทำท่าน่าเลื่อมใส ก่อนโน้มกายเข้าไปฟังคำตอบของคนที่เอาแต่นั่งยิ้มใกล้ๆ ไหนๆเขาก็ตั้งใจดึงบรรยากาศให้รื่นเริงบันเทิงใจแล้ว จะพยายามบิ้วให้คนรักหัวเราะให้ได้ คืนนี้จะไม่ดึงเข้าเรื่องเศร้าเด็ดขาด
 
กฤตเมธยิ้ม คราวนี้ไม่ใช่ยิ้มทะเล้นเล่นล้อกับสดายุเหมือนในตอนแรก แต่เป็นยิ้มที่อ่อนโยนจนคนมองยังแทบละลาย  ระหว่างที่สดายุยังนิ่งเคว้งเพราะถูกสะกดด้วยความอ่อนหวานลึกล้ำ กฤตเมธก็โน้มกายเข้าหาสดายุใกล้ขึ้น มือขวาที่ไม่ได้บาดเจ็บเอื้อมขึ้นแนบแก้มซ้ายของสดายุเบาๆ พลางเอ่ยคำขอต่อเทวดาประจำวันเกิดตรงหน้า

“หึหึ...ท่านเทพครับผมอยากขอ...ให้คนรักของผมเป็นมั่นใจในตัวเอง” แค่ขึ้นต้นประโยค สดายุก็ถึงกับขมวดคิ้วน้อยๆ ทำไมถึงได้กลายเป็นพรวิเศษที่ขอให้เขาไปได้ล่ะ? แต่ก็ยั่งนิ่งฟังกฤตเมธต่อ โดยไม่คิดขัดคอ “ผมอยากให้คนรักของผมรู้ตัวเสียที ว่าเขามีค่าแค่ไหน โดยเฉพาะกับผม อยากให้เขาเอาแต่ใจ และคิดถึงตัวเองเยอะๆ อยากให้เขาเปิดใจและระบายความกดดันที่เขาซุกซ่อนไว้ให้ผมได้ฟัง อยากช่วยปลอบประโลมให้เขาได้ก้าวข้ามอดีตที่ยังคงหมุนอยู่รอบตัวเขาไม่เลิก อยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา อยากเป็นครอบครัวให้เขา อยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่ จนลมหายใจสุดท้ายมาพรากเราไป อยากเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของเขา เพราะเขาคือคนสุดท้ายในชีวิตของผม...อยากให้เขาพร้อม...ที่จะรับผมเข้าไปอยู่ในชีวิตด้วยเสียที ไม่กีดกัน ไม่ผลักไสผมอีก ผมมีเขาคนเดียว และจะมีแค่เขาตลอดไป อยากให้เขายึดติดอยู่แต่กับผม ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมอยากให้เขามองแต่ผม...โปรดให้เขารู้ว่าผมไม่เคยคิดว่ามันคือความผิดแปลกที่ได้รักเขา ผมพร้อมเปิดเผย และหยัดยืนเคียงข้างเขาไม่ว่ามันจะเกิดอะไร อยากให้เขาเลิกเสียสละตัวเอง อย่ายอมเจ็บเพื่อผม แต่โปรดเจ็บไปพร้อมผม ให้เราได้เยียวยาซึ่งกันและกัน...พรวิเศษโปรดบอกเขาว่าผมรักเขาแค่ไหน บอกเขาว่ากฤตเมธคนนี้รักสดายุมากเพียงใด แม้จะให้สัญญาไม่ได้ว่ามันจะไม่เปลี่ยน แต่ผมย่อมรู้ตัวเองดีว่าใจดวงนี้มั่นคงพอ..."

คำขอยืดยาวที่กฤตเมธร่ายมาเป็นฉากๆ ทำน้ำตาของคนให้พรคลอหน่วย ทั้งที่ตั้งใจจะทำให้คืนนี้เป็นคืนที่ผ่อนคลายและน่าจดจำแท้ๆ โทษตาลุงคนเดียวเลย ที่ลากเข้าเรื่องเศร้าจนน้ำตาคลอเบ้าจนได้ แถมเขาต่างหากที่ตั้งใจจะเป็นคนปลอบใจ ทำไมลงท้ายถึงได้เป็นฝ่ายถูกเอาใจเสียเองไปได้ ตาลุงช่างร้ายกาจจริงๆ

สดายุได้แต่แอบคิดในใจ แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมาเป็นคำ นอกจากเคลื่อนกายเข้าซบตรงไหล่กว้างของเจ้าของวันเกิดราวกับหมดเรี่ยวแรง สองมือสั่นระริกค่อยๆเอื้อมโอบรอบเอวสอบเบาๆ ก่อนเสียงแหบเครือจะค่อยๆตัดพ้อขึ้นมา "โลภจังลุง...ผมบอกแล้วไงว่าให้ได้แค่ข้อเดียว เล่นขอมาซะยาวขนาดนี้ ผมจะไปเอาที่ไหนไห้...ผมมันไม่มีอะไรเลย เป็นแค่พระเอกตกกระป๋องขายไม่ออก มีแค่คอนโดห้องเดียว รถก็ขายไปแล้ว งานก็ไม่มีทำ...ผมไม่ใช่เทวดานะ ผมคือสดายุ...แค่สดายุ..."

“แค่นั้นก็เกินพอแล้วไม่ใช่เหรอ”  กฤตเมธปลอบพร้อมโอบกอดสดายุไว้ด้วยแขนขวาแข็งแกร่ง "แค่มียุพี่ก็ไม่ต้องการอะไรแล้วล่ะ" พูดพลางกดจูบเรือนผมนุ่มเบาๆ แล้วกระซิบว่า "ยุคือพรวิเศษของพี่นะ"

ได้ยินคำนั้น สดายุก็หลับตาลง ปล่อยหยาดน้ำตารื้นเอ่อกลิ้งลงข้างแก้มช้าๆ หยดเผาะ หยดแผะลงบนไหล่กว้าง เขายิ้มให้ตัวเองบางๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าช่วงหลังๆมานี่ เขาช่างเป็นผู้ชายเจ้าน้ำตาเหลือเกิน

...ยุคือพรวิเศษ

แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ๊ะยุ ลูกคือพรวิเศษของพ่อกับแม่เลยนะจ๊ะ

ใช่ครับ ยุลูกพ่อ ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่างขอพ่อนะครับ

อธิฐานกับเค้กวันเกิดสิลูก แล้วลูกจะสมหวังทุกอย่างเลย


.
.
.

พ่อกับแม่โกหก ไหนว่าอธิฐานแล้วจะสมหวังไง...

แล้วทำไมถึงทิ้งผมไป...




“ยุไม่ใช่พรวิเศษหรอกพี่เมธ…”  เสียงผะแผ่วดังขึ้นบนไหล่กว้าง กฤตเมธกระชับอ้อมกอด พร้อมนิ่งฟัง

“เพราะถ้าผมคือพรวิเศษจริงๆ...พ่อ..คงไม่ทิ้งผมไป แม่...ก็คงไม่เห็นครอบครัวใหม่ของเขาดีกว่าผม…” เสียงผะแผ่วนั้นสั่นพร่าขึ้นทุกครั้งที่เอ่อยแต่ละถ้อยแต่ละคำ ร่างกายผอมบางที่ซบลู่อยู่กับกายอุ่นหนาเจือแววสะอื้นน้อยๆ ความสั่นไหวเป็นระรอกพาหัวใจของกฤตเมธเจ็บร้าวไปกับปูมหลังของคนรักอย่างสุดหัวใจ วงแขนขวาที่โอบกระชับสดายุไว้ ค่อยๆลูบปลอบประโลมใจบนแผ่นหลังไหวระริกเบาๆ อยากเอ่ยคำทัดทาน แต่ดูเหมือนสดายุจะยังต้องการพื้นที่ว่างให้ได้ระบายความอัดอั้นต่อเนื่อง กฤตเมธจึงถอยกลับออกมาเป็นผู้ฟังที่ดีอีกครั้ง

"ถ้าผมคือพรวิเศษจริง คงไม่มีคนเกลียดผมเยอะแยะขนาดนี้หรอก...ถ้าผมคือพรวิเศษจริงๆ...ผมคงไม่เหงาขนาดนี้แน่ๆ…” เสียงที่แผ่วลงเพราะถูกกลบด้วยเสียงสะอื้นนั้นกรีดหัวใจของคนฟังอย่างกฤตเมธจนเป็นแผล เขาไม่รอช้าที่จะคว้าคนรักที่เจ็บปวดกับอดีตเข้ามามอบจุมพิตปลอบขวัญ แม้มันจะรุนแรงไปสักหน่อยก็ตาม

“อืม…”  เสียงครางหวิวเล็ดรอดจากริมฝีปากที่บดเบียดกันแน่น หยาดน้ำตาที่เปียกฉ่ำอยู่ข้างแก้ม ถูกเช็ดถูกด้วยข้างแก้มของอีกคน

จูบเนิ่นนาน จนสามารถทำเสียงสะอื้นจางหายไปจนได้นั่นแหละ กฤตเมธถึงยอมถอนริมฝีปากออกมา สองสายตาประสานด้วยความรักเหลือล้น กฤตเมธแนบหน้าผากของตนกับหน้าผากของสดายุไว้อย่างอ่อนโยน มือขวาช่วยเช็ดซับน้ำตาที่ยังคงฉ่ำชื้นอยู่ตรงแก้มแดงระเรื่อ พร้อมเอ่ยคำมั่นสัญญาระหว่างสองหัวใจ

“ต่อให้ใครจะมองไม่เห็น หรือมองข้าม แต่พี่เห็น...พี่เห็นมาตลอดว่ายุมีค่าขนาดไหน และเป็นคนสำคัญที่พี่รักมากเพียงใด ต่อให้ใครจะเคยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับยุก็ตาม ขอให้ยุเชื่อพี่...ว่าพี่เมธคนนี้จะไม่ลืมเด็ดขาด”


“พี่เมธ…”

“พี่รักยุนะ ไม่ว่าในอดีตยุจะเจออะไรมา แต่ได้โปรดทิ้งมันไว้ในอดีตเถอะ พี่ขอให้สัญญา ตราบที่พี่ยังมีลมหายใจ พี่ไม่มีวันปล่อยให้ยุต้องโดดเดี่ยว และต่อให้ในภายภาคหน้าเราจะต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายแค่ไหน พี่สัญญาจะพายุก้าวข้ามมันไปให้ได้”

คำสัญญาของกฤตเมธหนักแน่น เช่นเดียวกับแววตา หน้าผากที่แนบสนิทกัน และมือที่โอบท้ายทอยเอาไว้ สดายุรู้สึกได้ ว่าหากสิ่งที่กฤตเมธเอ่ยมาทั้งหมด ไม่จริงใจ หรือเป็นแค่ลมปาก…เขาก็คงไม่รู้สึกมั่นคงได้ขนาดนี้

หัวใจที่เคยสั่นไหว เคว้งคว้าง และเหน็บหนาว คงไม่อุ่นซ่านจนแผ่กำจายไปทั้งร่างกายได้ขนาดนี้…

สดายุยิ้ม โถมกายเข้าซุกกับอ้อมอกอุ่น ซบใบหน้าเปื้อนฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสุขล้นแนบไปบนบ่ากว้าง เสียงแหบเครือเอ่ยถ้อยสัญญาบางเบา ทว่าอัดแน่นไปด้วยความรู้สึก ‘รัก’

“ครับ...เราจะผ่านมันไปด้วยกัน…อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”

.
.
.
.
.

กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง อะโหสิกัมมัง โหตุ

การใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินต่อ เสน่ห์จันทร์ รัตทรัพย์เรืองรอง ทั้งทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี ขอท่านได้โปรดอโหสิกรรมด้วยเถิด…

เสียงสวดขอขมาของเหล่าบริวารดังขึ้นพร้อมเพรียง ก่อนจะเคลื่อนศพออกจากศาลาเพื่อไปตั้งที่เมรุ กฤตเมธยืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้ารูปภาพของเสน่ห์จันทร์ ก่อนจะเอื้อมหยิบรูปนั้นมาถือไว้แนบอกด้วยมือเพียงข้างเดียว เพื่อจะเดินนำขบวนวนรอบเมรุโดยมีสดายุคอยเดินเคียงอยู่ใกล้เพื่อดูแล พร้อมกันนั้นสุริยาวดีที่เป็นเลขาคนสนิทก็เป็นคนที่ถือกระถางธูปด้วย 

เสน่ห์จันทร์นั้นตัดขาดจากบ้านเกิด ไร้ญาติขาดมิตรอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เสน่ห์จันทร์ยังคงมีคนอื่นที่หล่อนชุบเลี้ยง เอ็นดู คนที่รักและเทิดทูนหล่อนประหนึ่งญาติสนิท อย่างกฤตเมธและสุริยาวดี 

ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงอันสมควรแก่เวลาแล้วที่จะทำการเคลื่อนย้าย หลังจากทำพิธีสวดอันยาวนาน ในวันสุดท้ายนี้ มีคนในวงการ ทั้งดารานักแสดงในและนอกสังกัด นักข่าวสำนักต่างๆ รวมทั้งคณะผู้บริหาร และนักธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ต่างเข้าร่วมไว้อาลัยเสน่ห์จันทร์เป็นครั้งสุดท้ายอย่างล้นหลาม ทว่า…

ยังคงไร้วี่แววของชิดจันทร์ เช่นเดิม

ยังคงป่วยสินะ…ทุกคนคิดเช่นนั้น

ทุกอย่างดำเนินการไปตามพิธีการ กฤตเมธและสุริยาวดี เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขบวน โดยมีพระสงฆ์เตรียมพร้อมรออยู่ด้านหน้า ครั้นพอได้เวลา ก็เริ่มเคลื่อนขบวน

“เอ๊ะ…คุณหนู?”

เสียงของสุริยาวดีที่ดังขึ้น ทำให้ขบวนต้องชะงักลง ทุกสายตาจับจ้องไปที่ใครคนหนึ่งเป็นตาเดียว 

ใครคนนั้นนุ่งขาวห่มขาว ใบหน้าเรียบเฉย ศีรษะไร้ซึ่งเส้นผม คนตรงหน้าคือ ‘แม่ชี’
 
และแม่ชีคนนั้นคือ…ชิดจันทร์

ร่างแบบบาง เดินทอดเข้ามาใกล้เนิบช้าในกิริยาสำรวม ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ที่จับจ้องมา ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้ากฤตเมธ ใบหน้านวลหวานสบตากฤตเมธนิ่ง ก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าด้วยความอ่อนน้อม

“ขอรูปแม่ ให้ดิฉันได้ไหมคะ?”  น้ำเสียงหวานละมุนเอ่ยขออย่างอ่อนโยน กฤตเมธเองก็ยื่นให้ไม่มีอิดออด แม่ชีกอดรูปไว้มั่น แล้วขบวนแห่ก็ได้เคลื่อนต่อไป

ถึงแม้จะเป็นคนถือรูปเดินแห่ศพ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนกล่าวคำไว้อาลัย หน้าที่นั้นเป็นของสุริยาวดี ผู้เป็นเลขาคนสนิท ส่วนชิดจันทร์นั้นนั่งอยู่ตรงแถวหน้าสุด เพื่อรับฟัง และร่วมพิธีไปเงียบๆ ไม่มีคำกล่าวใด ไม่มีปฏิกิริยาใด แม้แต่ความเศร้า น้ำตา หรือความอาลัย แม่ชีนามว่าชิดจันทร์นั่งนิ่งงัน จนไม่มีใครสามารถคาดเดาอารมณ์ของเจ้าตัวได้เลย

พิธีฌาปณกิจเสร็จสิ้นไปตอนเกือบห้าโมงเย็น หลังส่งแขกเหรื่อกลับจนครบแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงผู้เกี่ยวข้องไม่กี่คน นั่นก็คือ กฤตเมธ สดายุ สุริยาวดี บลูม่า ซอลย่า และชิดจันทร์เท่านั้น ทั้งหมดได้แต่ยืนมองเปลวควันที่พวยพุ่งอยู่เหนือปล่องเมรุมาศ เฝ้าภาวนาในหัวใจ ขอให้พระพายช่วยบันดาลให้สายลมหอบพัดดวงวิญญาณของเสน่ห์จันทร์สู่สรวงสวรรค์ สู่ความสุขอันเป็นนิรันดร์

เถ้ากระดูกสามารถมาเก็บได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น สุริยาวดีนัดแนะกับทุกคนที่หมายจะไปร่วมลอยอังคารด้วยกันว่าจะต้องมาพร้อมกันที่วัดนี้ตอนเช้าตรู่ ก่อนที่จะตกลงแยกย้ายกันไป จะมีก็เพียงชิดจันทร์เท่านั้น ที่ต้องการพักอยู่กับแม่ชีด้วยกันที่วัดแห่งนี้
 

“ขอคุยด้วยสักหน่อยได้หรือเปล่าคะ?”  แต่ก่อนจะได้แยกย้ายกันไป ชิดจันทร์เอ่ยปากขอคุยกับกฤตเมธและสดายุเป็นการส่วนตัว ซึ่งก็ตรงกับใจของกฤตเมธพอดี เพราะเขาเองก็อยากคุยกับชิดจันทร์อยู่เหมือนกัน



“เสียใจด้วยนะครับ เรื่องท่านประธาน” กฤตเมธกล่าวคำแสดงความเสียใจแก่ชิดจันทร์อย่างสุภาพ เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้หญิงสาวก็อยู่ในสถานะของผู้ถือศีลนักบวชแห่งศาสนา
 
“ขอบคุณค่ะ…เสียใจกับคุณด้วยเช่นกัน เพราะคงไม่ใช่แค่ดิฉันที่เสียใจ” แม่ชีตอบกลับอย่างสุภาพไม่ต่าง

กิริยาสำรวมเหมาะสมกับผ้าขาวเป็นสิ่งที่ทำให้กฤตเมธและสดายุค่อนข้างทึ่ง เห็นชิดจันทร์ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้แล้ว นึกภาพไม่ออกเลยว่าคือคนคนเดียวกันกับชิดจันทร์คนก่อน คนที่ก้าวร้าว คนที่มีแต่ความคั่งแค้นฝังแน่นในหัวใจคนนั้น ตอนนี้กลับดูสงบผ่อนคลาย เสมือนปล่อยวางสิ่งที่เคยแบกเอาไว้มาตลอดทิ้งไปได้เสียที

“ได้ยินว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ร่างกาย ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ?” กฤตเมธถามต่อด้วยความห่วงใย ถึงแม้จะเคยร้ายกาจ แต่ชิดจันทร์เองก็เผชิญอะไรร้ายกาจมามาก ทั้งยังเป็นผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ช่างเลวร้าย จนกฤตเมธอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

“ร่างกายไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ดิฉันไม่ได้ถูกทำอะไรให้บาดเจ็บมากมาย ตอนนี้ก็ถือว่าหายดีแล้ว ถึงจะยังนอนหลับเองไม่ได้ แต่ก็มียาหมอช่วยได้เยอะค่ะ” ชิดจันทร์ตอบถ้อย “ส่วนเรื่องความรู้สึก ดิฉันไม่อาจตอบได้ค่ะ ว่าแท้จริงแล้วมันรู้สึกอย่างไรกันแน่ บางครั้งดิฉันก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนต่อไปไม่ไหว แต่บางทีแค่เพียงหลับตาลงสักตื่น มันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย…”

“ผมขอโทษ”  จู่ๆ กฤตเมธก็กล่าวขอโทษออกมา ทั้งที่ชิดจันทร์ยังไม่ทันจะพูดจบ ถึงจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่แน่นอนว่าเขาย่อมมีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ทำให้ชิดจันทร์ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หากแม้ก่อนหน้านี้เขาจะใส่ใจหล่อนสักนิด ไม่แน่ว่า…

“ในหลายๆเรื่อง ผมเองก็ผิดกับคุณไว้เยอะ ได้โปรด…ผมขออโหสิกรรม”  หนุ่มใหญ่โค้งศีรษะให้แม่ชีอย่างไม่มีขัดข้อง ไม่มีติดค้างในหัวใจเลยว่าคนตรงหน้าคือชิดจันทร์ สิ่งเดียวที่รู้คือสถานภาพนักบวชที่น่าเคารพเท่านั้น แน่นอนว่าชิดจันทร์ไหว้ตอบทันที ตามศักดิ์ที่ว่าตนเด็กกว่ามาก ยังเยาว์และอ่อนด้อย แม้จะอยู่ในสภาพนุ่งขาวห่มขาว แต่ก็รู้ดีว่าตนยังไม่สมควรได้รับสิ่งนี้จากคนตรงหน้า

“ขออโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยเช่นกันค่ะ กรรมที่ดิฉันเคยสร้างไว้กับพวกคุณช่างหนักหนาเหลือเกิน ทั้งกับคุณกฤตเมธและคุณสดายุ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ”  ชิดจันทร์ยกมือไหว้ขอขมาทั้งสดายุและกฤตเมธด้วยความอ่อนน้อม ร่างกายซูบผอมดูเหนื่อยล้า จนสังเกตได้ คงจริงอย่างที่สุริยาวดีเคยเล่าไว้ ว่าชิดจันทร์ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน

แต่เห็นวันนี้ ที่หญิงสาวยังคงครองสติอยู่ได้ ทั้งยังปลงใจนุ่งขาวห่มขาว เข้าพึ่งพระพุทธศาสนา ทั้งกฤตเมธและสดายุต่างก็หวังใจว่า ชิดจันทร์จะสามารถยืนหยัดได้ในสักวัน

“ผมเองก็เคยล่วงเกินคุณไปเยอะเหมือนกัน ต้องขอโทษ และขออโหสิกรรมด้วยเช่นกันนะครับ” สดายุเองก็เป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยบ้าง ก่อนหน้านี้เขาอาจติดใจโกรธเคืองชิดจันทร์อยู่ไม่น้อยก็จริง แต่พอมาได้เห็นหญิงสาวอยู่ในสภาพนี้แล้ว ในหัวใจเขาก็ไม่คิดติดใจอะไรอีก

“เช่นกันค่ะคุณสดายุ” ชิดจันทร์โค้งศีรษะให้สดายุครั้ง พร้อมส่งรอยยิ้มบางๆขึ้นมาประดับใบหน้าซีดเซียว

“อย่าลืมอโหสิกรรมให้ท่านประธาน รวมทั้งตัวคุณเองด้วยนะครับ พวกผมพร้อมจะไม่ติดใจกับอดีตที่คุณเคยทำ ดังนั้นผมก็อยากให้คุณปล่อยวางด้วย” สดายุเอ่ยเตือนสติ เมื่อเห็นว่าชิดจันทร์ยังคงเศร้าสร้อย หญิงสาวเงียบไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับคำ

“ค่ะ”

อาจเพราะยังไม่เคยได้คุยกันดีๆ การเริ่มต้นครั้งนี้จึงค่อนข้างเคอะเขิน แต่เมื่อสามารถกล่าวอโหสิกรรมจากใจให้แกกันได้แล้ว สิ่งที่เคยแบกรับเอาไว้ในใจก็ดูคล้ายจะเบาบางขึ้น ทั้งสามยิ้มให้กัน ก่อนเอ่ยลา

แต่ในวินาทีก่อนที่กฤตเมธและสดายุจะเดินจากไป ชิดจันทร์ก็ฝากสารสุดท้ายอีกคำ

“หากเจอคุณบดินทร์ ฝากขออโหสิกรรมเขาด้วยนะคะ ดิฉันทำกับเขาไว้เยอะเหลือเกิน…”

นั่นคือคำขอสุดท้ายจากชิดจันทร์ โดยที่กฤตเมธและสดายุเองก็ไม่รู้ตัว เช้าวันรุ่งขึ้นที่พวกตนมารับเถ้ากระดูกของเสน่ห์จันทร์เพื่อไปลอยอังคาร ก็ได้ทราบข่าวว่า ชิดจันทร์ได้เดินทางจากไปแล้วพร้อมเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งของเสน่ห์จันทร์ แม่ชีดำเนินไป ณ ที่แห่งไหนไม่มีใครทราบ ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับเดียวที่ฝากไว้กับแม่ชีอีกท่านมาให้เท่านั้น

ในเนื้อหาจดหมายเองก็ไม่ได้ระบุว่าแม่ชีจะเดินทางไปที่ไหน บอกเพียงแค่ขอโทษที่หายไป และขอฝากบริษัทของเสน่ห์จันทร์เอาไว้ให้สุริยาวดีช่วยดูแลแทนไปก่อน โดยหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนทั้งหมดนั้น แม่ชีชิดจันทร์ก็ได้เก็บเอาไว้ให้สุริยาวดีที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เหตุผลในการเดินทางเพียงข้อเดียวที่ทิ้งไว้ คือ ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ก็ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ ว่าจะสามารถยกโทษให้เสน่ห์จันทร์ ได้หรือไม่ และถ้ายังยกโทษให้ไม่ได้ ก็ย่อมยกโทษให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงขอเวลาอยู่กับตัวเองสักหน่อย โดยทิ้งท้ายว่าในสักวันหนึ่ง หากสามารถข่มตาหลับลงได้โดยไม่ต้องอาศัยยากล่อมประสาท หากสามารถปลงใจอโหสิกรรมให้ผู้เป็นแม่ และตัวเองได้แล้ว จะกลับมาชดใช้ในสิ่งผิดพลาดที่เคยกระทำไว้แก่ทุกคนอย่างแน่นอน ขอให้ไม่ต้องเป็นห่วง…

ได้เห็นสิ่งที่ชิดจันทร์ทิ้งไว้ก็ได้แต่ปลง ชีวิตของคนเรานั้นช่างซับซ้อน ขนาดนิยามความสัมพันธ์ที่ง่ายที่สุด อย่างแม่ลูก พอมีปัจจัยต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ดูจะบิดเบี้ยวไปจนไม่อาจเรียกว่าความผูกพัน ทั้งที่รักกันถึงขนาดนั้นแท้ๆ

ทั้งรัก…ทั้งชัง ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสงสารเหลือเกิน

ในเมื่อทำอะไรมากไปกว่าการภาวนาไม่ได้ ทุกคนก็ได้แต่ขอพรต่อพระพุทธศาสนา

…ได้โปรดช่วยชี้ทางสว่างแก่ชิดจันทร์ด้วยเถิด


***********************************************************

ชิดจันทร์ออกธุดงค์แล้วจ๊า…
การเขียนฉากงานศพเป็นอะไรที่ค่อนข้างยากค่ะ ถึงจะเคยผ่านการเป็นเจ้าภาพเองมา (5ปีแล้ว) ก็ยังแอบกังวลเล็กๆว่าเขียนแล้วจะอินไหมน๊า…อีกอย่างคือ…เก๊าใช้ภาษากับแม่ชีไม่เป็นอ่ะ โดยเฉพาะแม่ชีอายุน้อย ใครมีข้อชี้แนะบ้างไหมคะ? ฮือๆ

เหลืออีกแค่ 2 ตอนยาวๆ ก็อวสานแล้วล๊า อร๊ายยยย
2 ตอนหลัก + 2 ตอนพิเศษจร๊า


-ฉายรอบปฐมทัศน์ และแถลงข่าว
-บทสรุปของทุกคน
-พิเศษ Roommate พี่อ๊อด+กมล
-พิเศษ หาดทราย สายลม สองเรา…


ปล. บทสุดท้ายของชิดจันทร์อาจจบง่ายไปหน่อย เพราะไม่มีตังค์จ่ายค่าตัวนางแล้ว (อะเชิ๊บ…หมุนตัวหลบรองเท้าสวยงาม)  ปล่อยนางบวชชีหนีช้ำไปนะคะ ให้นางได้พบทางสงบ
(ตามระบบมาตรฐานตัวร้ายเมืองไทย *ตาย *บ้า *บวช)

ปลล. หากเป็นไปได้ จะเขียนถึงแม่น้องยุแน่นอนจ๊า… อย่างน้อยต้องมีฉากไปสู่ขอน้องยุสิ!...(อุ๊ปส์ มือลั่น!)
ปลลล. อยากอ่านตอนพิเศษคู่ไหนมากที่สุดจ๊ะ (ยกเว้นคู่นู๋ดินนะ)
ปลลลล. ใครคิดถึงพอร์ชxรุจน์ สองตอนหน้าโผล่มาแน่นอนจ๊า

ขอโทษที่ช้านะคะ ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองและความไม่ค่อยกระเตื้องของตัวเอง เลยเป็นเหตุให้เกือบต้องดองข้ามเดือนอีกแล้ว…การเป็นผู้ใหญ่วัยชรามันยากจัง # อยากกลับไปเป็นเด็กที่สุดเลย TT^TT

สุดท้ายนี้ขอแสดงความเสียใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกท่านจากเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์ และหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้อ่านทุกคนของอนาคี เพื่อนร่วมเล้าฯรวมไปถึงญาติพี่น้องมิตรสหายของท่านผู้อ่านทุกท่านจะปลอดภัยและไม่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้ค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
รักนะจุ๊บๆๆ
อนาคี #Thearboo

**********************************************


 :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2015 10:34:05 โดย อนาคี99 »

ออฟไลน์ sugarcandy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อยากอ่านคู่นู๋พอร์ชนู๋รุจอ่า   :hao5:

ออฟไลน์ narumo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เขินแทนสดายุเลยอ่า พี่เมธทำเอาเคลิ้มไปเลย ส่วนชิดจันทร์แบบนี้ก็ดี คือถ้าเธอไม่เอาธรรมะเข้าข่มคงฟื้นตัวยากน่าดู
รอตอนต่ออยู่นะคะ ที่มือลั่นขอให้จริงนะอยากรู้จังว่าจะเป็นยังไง
คนเขียนอย่าหายไปนานนะ คิดถึงยุม้ากมาก
 :-[ :-[

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
ดีใจที่แต่งให้ลงแบบนี้ค่ะ
ถึงจะไม่ชอบชิดจันทร์มากแค่ไหน ก็ไม่อยากให้นางตายโดยไม่สำนึก เพราะงั้นแล้ว การเข้าสู่เส้นทางธรรมอาจจะดีที่สุดแล้ว
 สงสารดิน หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะทำให้ดินมีชีวิตที่ดีขึ้น และทำให้ทิฐิในใจลดลง
รอติดตามตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเลยนะคะ

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
แล้วทุกเรื่องก็คลี่คลายจ้า

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
คู่ใหนก็ได้ อ่านได้หมด

ออฟไลน์ sirikanda28

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1758
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +117/-3
เราชอบที่ชิดจันทร์มีตอน
จบแบบนี้ 

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


นานๆจะมาที

แต่ก็ฟินไปเลย......

จิกหมอน

แม้ว่าจะผ่านเรื่องไม่ดีมา

แต่เมื่อรักแล้วก็จะผ่านไปได้

พี่เมธน่ารักอ่ะ

น้องยุก็น่ายิก

รอตอนแถลงข่าวขอรับ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด