- IN THE DARKNESS -
STORY BY กาแฟ
HOPELESS ROMANTIC
๓. เปลือยเปล่าเศร้าสร้อยLove is like a poison weapon.
You can be destroyed as easy if you choose to listen by heart.
Sex is like a sin if once you dose it, you gonna go back for more.
I have to remind you before; we are in a sweet pain.
เขาลืมตาขึ้นมาพบดวงตาอีกคู่อยู่ใกล้แค่คืบ
“มองอะไร”
“คชา...”
ไม่ได้เขิน และหน้าไม่ได้ร้อนวูบวาบเหมือนสาวน้อยแรกรัก เพราะเขาเป็นผู้ชาย... ใช่... เขา... เขา...
“มองทำไมนัก ไม่ได้น่ามอง ฉันเป็นผู้ชาย”
เต๋ากอดเขาแน่นขึ้น ถูกแล้ว เขาตื่นขึ้นมา เพื่อพบกับดวงตาอีกคู่ และกอดที่ไม่ยอมปล่อย
“ฉันก็เป็นผู้ชาย...”
มันบอก กดตัวเขาเข้าไปใกล้อีก
เต๋าตาสวย สวยมาก ผิวขาวจัด สูง ขาว หุ่นดี ทุกอย่างดูดี การกระทำ การวางตัว นิสัย หน้าตาท่าทาง ทุกอย่างแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เหมาะสมกับผู้หญิงน่ารักแสนดีซักคนจนน่าอิจฉา
เขาเจ็บอีกแล้ว แปลบขึ้นมาในอก จุกถึงคอ จนต้องเค้นเสียงแหบแห้ง
“เต๋าเหมาะกับเขามากนะ...”
เขาเจ็บ ทั้งที่เมื่อคืนฝันดี ตอนนี้สิ ยิ่งกว่าฝันร้าย
“อย่ากอดเลย ถ้ามองเห็นตัวเราสองคนตอนนี้ได้ คชาว่ามันไม่น่าดูเลย...”
ดวงตาคู่นั้นวูบไหวชัดเจนจนเขารู้สึก เต๋ากำลังรู้สึกอะไรกัน
“อยากกอด”
กอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
“กอดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เต๋า... เราสองคนเป็นผู้ชาย”
เขาพูดตามที่คิด มันตอบกลับด้วยการขยับหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากกำลังจะแตะลง แต่เขาทนความรู้สึกบิดเบี้ยวพวกนี้ไม่ได้ จึงขืนตัวออกด้วยแรงที่มี และลุกขึ้นนั่งหันหลังให้
มันเป็นผู้ชาย และเป็นผู้ชายที่มีแฟนแล้ว
“พอเหอะ”
“...”
“จะทำอะไรหัดคิดซะบ้าง”
“…”
“นึกถึงหน้าพ่อมึงเอาไว้ให้มากๆ แฟนมึงด้วย แฟนคลับมึง บริษัท คนนอก นักข่าว... มึงพอเถอะ...”
“...”
เราสองคนมากันไกล แต่อย่าให้ไกลจนหาทางกลับไม่เจอเลย
“ห้องนี้มีแค่เรา...”
“แต่นอกห้องนี้มีแม่กูอยู่! มึงอย่าเอาแต่ได้จะได้ไหม!”
เขาหันหน้าไปตวาด ไม่ได้ดังลั่นห้อง แต่ชัดพอที่มันจะได้ยิน และตกใจ...
มึงตกใจ แต่กูเสียใจ... เสียใจมานาน และยังเสียใจต่อเรื่อยๆ
ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาทั้งรักทั้งเกลียดเวลามันกอด เกลียดที่มันกอด และเกลียดตัวเองที่รักช่วงเวลาที่มันกอด
หลับตาซึมซับความฝัน ลืมไปหลายครั้งหลายหน ว่ามันเป็นผู้ชาย เขาเป็นผู้ชาย มันมีแฟน เราสองคนยืนอยู่กลางคนอีกมากมายที่มองเราอยู่ ผู้ชายสองคนนอนกอดกันบนเตียงแบบไม่บริสุทธิ์ใจมันทุเรศ ผู้ชายสองคนจูบกันมันเรียกว่าวิปริต เรารักกันไม่ได้ เรื่องมันบ้าบอตั้งแต่เขารักมันแล้ว เขารักมันได้ยังไง แล้วมันจะรักเขาขึ้นมาได้ยังไง
“อย่าแตะ!”
เขาตวาดอีกหน แต่หนนี้ปัดมือขาวจัดนั้นทิ้งไป
“กูไม่ได้รักมึงหรอก มึงแค่เป็นเพื่อนที่กูรักมาก แล้วเราก็อยู่ด้วยกันในบ้านนานเกินไป เจอกันทุกวัน นอนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน มันก็แค่ผูกพัน กูเลยเข้าใจว่ากูรัก แต่ถ้ากูเจอผู้หญิงซักคนที่กูชอบ กูก็คงชอบเขา...และรู้ว่ากูก็แค่บ้าบอไปชั่วคราว...”
ฟังไว้นะ บอกทั้งมัน บอกทั้งตัวเอง
“มึงก็เหมือนกัน มึงไม่รู้สึกทุเรศตัวเองรึไง จูบกับผู้ชาย นอนกอดกับผู้ชาย... คิดสิเต๋า เวลาจูบกูกับจูบแฟนมึง มันไม่เหมือนกันหรอก... แล้วถ้ามึงคิดได้ มึงจะรู้ว่าเราสองคนแค่บ้ากันไปเอง”
เขาไม่ได้มองหน้ามัน และมันก็ไม่พูดอะไร เขาไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกอะไรอยู่ แต่มันไม่เจ็บเท่าเขาหรอก เต๋ามีแฟนแล้ว มันมีคนที่พร้อมรอให้มันกลับไปหาได้ทุกเมื่อ เจ็บนิดแสบหน่อย มีคนปลอบเดี๋ยวก็หาย... แล้วก็จะลืมว่าเคยจะเป็นจะตายแค่เพื่อนอย่างเขาไม่ยอมเจอหน้า ความรู้สึกที่อยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบนี้ ไม่ใช่ความรักที่ดี ความรักผิดรูปผิดร่างแบบนี้ มันไม่ใช่ความรัก
“ฮึก...”
แต่เขาก็ยังบ้าเหมือนเคย ที่กลืนก้อนสะอื้นลงไปไม่หมดจนแทบจะร้องไห้ออกมา เสียงเบาลอดริมฝีปาก เขากัดฟันแน่น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เราสองคนทำอะไรอยู่ เขาร้องไห้ซ้ำซากทำไม...
“ป...”
“...”
“ปล่อย...”
กว่าจะเค้นแต่ละคำออกมาได้ดูยากเย็น มันโถมตัวมากอดเขาเอาไว้แน่น
ปล่อยเถอะ อย่ากอดกันเลย
น้ำตาไม่ได้ไหล เขาแค่สะอื้น แต่ไม่ได้มีน้ำตา เต๋ายังกอดเขาแน่น และริมฝีปากนั้นก็ฝังลงบนผม เลื่อนลงที่กกหู ไล่ลงมาที่คอ มือข้างหนึ่งเกี่ยวรัดที่เอว มืออีกข้างลูบเน้นหนักลอดชายเสื้อเข้ามา เขาจึงรู้ ว่ามันกำลังจะทำอะไร
“ปล่อยกู ถ้ามึงอยากมากนักมึงก็ไปเอากับเมียมึงนู่น! อย่ามายุ่งกับกู!”
เขาคว้ามือมันไว้ หันกลับมาเผชิญหน้าแล้วผลักเต็มแรงจนแผ่นหลังกว้างนั้นกระแทกกับหัวเตียง
“มึงออกไปเดี๋ยวนี้...”
เขาพูดพร้อมสูดหายใจลึก กดทุกความรู้สึกที่พรั่งพรูให้จมลง
“จะโกหกแม่กูว่าอะไรก็ได้ แต่รีบออกไปเดี๋ยวนี้...”
ก่อนที่เขาจะร้องไห้...
“ไป...ไปตอนนี้เลย...”
เพราะพบว่าเขาไม่ได้มีคุณค่าเพียงพออะไรสำหรับมันแม้ซักนิด
“...”
ไม่มีคำพูดใด ประตูเปิดออกหลังจากนั้นไม่นาน ก่อนจะงับปิด และเขาก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเช่นกัน
เพราะกลัวเสียงสะอื้นจะหลุดลอดคอออกมา และเป็นตัวเชี่ยอะไรซักตัวในสายตามันเท่านั้นเอง
โลกมีกลางวัน มีกลางคืน แสงสว่างเสียดแทงเข้ามาทำลายโลกแห่งความฝัน เราต่างตื่นขึ้น หลังจากหลับหูหลับตาหลอกตัวเองกันมาเนิ่นนาน หรือคงมีเพียงมันเท่านั้นที่ตื่น เขายังฝันอยู่ จมอยู่ในความมืดที่น่ารังเกียจต่อไป ใช่ไหม?
เต๋าไปขอนแก่น
ตารางงานแน่นแทบกระดิกตัวไม่ได้ แต่แค่ช่องว่างเล็กน้อย ไฟลท์บินก็ถูกจอง และมันก็บินไปทันที
คชายกโกโก้ร้อนในมือขึ้นจิบ หัวเราะแกนๆให้คนที่เอาเรื่องมาบอก
“ช่างมันสิต้น มันก็ไปหาเมีย... เอ้อ... ไปหาแฟนมันนั่นแหละ ไม่เห็นจะแปลกอะไร”
เขายังพูดกลั้วหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกอะไร ก็เพราะ...จะให้เขารู้สึกอะไรล่ะ... คนมีแฟน ก็ต้องไปหาแฟน ก็ถูกแล้ว
“แล้วนี่อะไร”
เสียงนั้นเข้มขึ้น ต้นเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาขยับผ้าพันคอเขาที่เริ่มคลายออกให้เข้าที่ เขานั่งตัวตรงด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวเราต้องไปให้สัมภาษณ์กัน แกระวังหน่อยสิคชา”
“...”
“อย่างนี้ยังจะบอกอีกมั้ย ว่าช่างมัน”
เท่านั้น เขาก็หัวเราะหึออกมาเบาๆ ละเลียดความอุ่นร้อนในถ้วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต่อคำ และไม่สบตาคนตรงข้าม นาน... จนต้นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาด้วยความลังเล
“แกกับมัน...เคย...”
เขาลากสายตาขึ้นไปสบ แล้ว...ยิ้ม...
“คชา...”
เขาเดาสีหน้าต้นไม่ออก แต่ในนั้นมีความสงสารเจืออยู่ เขาดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยหรือไง
คชาวางแก้วในมือลง ท้าวศอกลงกับโต๊ะ ประสานมือไว้ใต้คาง ขยับหน้าเข้าไปให้ใกล้เพื่อเอ่ยถ้อยความให้เบาเท่าเสียงกระซิบ
“รู้ไหมต้น...”
รอยยิ้มของเขายังปรากฏอยู่บนใบหน้า เขาพยายามอย่างมากที่จะยิ้ม ...อย่างเคย อย่างที่เป็นมาเสมอ...
“...ฉันทนมันไม่ไหว แต่ฉันก็อยากให้มันรั้งฉันให้มากกว่านี้ อยากบอก...ว่าอย่าไป... แต่... แต่ฉันเอง ก็อยากไปแล้ว”
เขาแสดงสีหน้าแบบไหนไปก็ไม่อาจรู้ ทั้งที่พยายามยิ้ม แต่ต้นคงไม่ได้มองเห็นเป็นอย่างนั้น หน้าของมันถึงฝืดเฝือเต็มกลืน
“ฉันสับสน... และ ทุกอย่างก็จบ... เกมส์โอเวอร์...”
“...”
“เมื่อวานนี้ ฉันไล่มันออกจากบ้าน...”
เขาเผลอขยับมือข้างหนึ่งแตะลงบนผ้าพันคอ ใต้ผ้าบางๆที่กั้นอยู่ มีรอยแดงที่เริ่มจาง และใต้เสื้อที่เขาสวม รอยนั้นก็ปรากฏอยู่ไม่ต่าง...
“ความจริง ฉันไม่ต้องไล่มันก็ได้ เต๋าไม่ไปไหนหรอก มันวิ่งตามฉันมานานแล้วแกก็รู้นี่ต้น... แต่แกรู้ไหม ฉันกลัวฉันเองนี่แหละที่จะทนไม่ได้...”
“…”
“ฉันกลัวตัวเองต้องเสียใจซ้ำซาก แล้วก็มากขึ้นเรื่อยๆ... เพราะเราไม่มีวันรักกันได้...”
“...”
“เราจะรักกันได้ยังไง...”
“...”
ยิ่งพูด ก็ยิ่งเว้นช่วงนานขึ้น หายใจลึกขึ้น แล้วถอนหายใจยาวขึ้น
“แต่ฉันก็ออกมาแล้ว...”
“...”
“ถึงสุดท้ายจะเหมือนว่าเราถูกมันทิ้ง แต่ฉันเป็นคนออกปากไล่ และฉันก็จะได้ไม่ต้องอดทน...”
น่าแปลก ที่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ก็แค่เหนื่อย อึดอัด เหมือนอกร้าวยอก แต่ก็แค่นั้น
“แน่ใจเหรอว่าตอนนี้แกไม่ได้อดทน...”
จนเมื่อต้นถามคำถามนั้นออกมา
เขาลุกพรวด บอกต้นว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เดินดุ่มออกจากร้านกาแฟใต้อาคารที่จะมาสัมภาษณ์
เขาเป็นอะไรไปนะ...
เขาน่ะ...
ในห้องน้ำมีคนอยู่คนเดียว เขายืนนิ่งอยู่หน้ากระจก รอจนชายคนนั้นเดินออกไป คชาจับแก้มตัวเอง ลูบเหมือนละเมอ หน้าเขาสะท้อนอยู่ในกระจก... คชา... นายกำลังทำหน้าแบบไหนกัน...
เขากำลังส่องกระจกเพื่อมองตัวเอง มองใบหน้าตัวเอง มองดูตัวเอง
แต่ทำไม... เขาถึงมองอะไรไม่ชัดเลย
เมื่อคืนเขาฝันร้าย
ฝันว่าว่ายน้ำไม่เป็น แล้วตกลงไปในทะลสาบ สำลักน้ำเจียนตาย มือปะป่ายคว้าคว้าง จะหาอะไรเพื่อเป็นหลักยึด ...ก็ไม่มี ตื่นมาด้วยอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน เขากลัว
แต่มันก็แค่ฝัน ฝันที่ว่าร้าย ยังไม่เท่าความจริงของเช้านี้ที่ต้องเจอ คชาต้องไปขอนแก่น ไปแทนแพรวที่ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน และ... มันเป็นงานคู่... คู่กับเต๋า...
ไม่มีสิทธิอิดออด งานต้องเป็นงาน
คงเป็นแผนเรียกกระแสอย่างหนึ่ง เต๋าคชาขายได้เสมอ และขายดีเสียด้วย ไม่แปลก ที่เมื่อตารางเขาว่างตอนนั้นพอดี จึงถูกจับลงแทนแพรวแบบไม่มีสิทธิต่อรอง ลมหายใจพรูออกหนักหน่วง… ถ้าทำให้อะไรดีขึ้นไม่ได้ เขาอาจจะขาดใจตายเข้าจริงๆซักวัน
...
บ้าเอ๊ย!
คชาฟึดฟัดอยู่บนเตียงนอนในโรงแรมที่พัก ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งไปหมด
รูปคู่ในงานวันนี้ปลิวว่อนทวิตเตอร์ จะไม่เป็นไรเลย ถ้าเป็นมุมกล้อง ถ้าเป็นรูปคู่บนเวทีทั่วไป จะไม่เป็นไรเลย ถ้าทุกรูปในนั้น...มันจะไม่ได้มองแต่เขา มองเหมือนจะอ้อนวอน มองเหมือนตั้งคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไม ในหัวตลอดเวลา
บ้าจริง...
คชาไล่สายตาอ่านเมนชั่นจากแฟนคลับอยู่นานจนปวดตา
มากกว่าครึ่งกระเซ้าถึงภาพในงานวันนี้ เดาไปต่างๆนานา บ้างก็ว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ทะเลาะกันรึเปล่า งอนกันหรือ หรืออะไร แม่นอย่างกับตาเห็น เพียงแต่รายละเอียดมันซับซ้อนแล้วก็แย่จนเกินจะเดาไหว ไม่อย่างนั้นสงสัยถ้าปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดคงเล่าออกมาได้เป็นฉากๆ
ช่างเถอะ... ก็แค่ภาพ... มากกว่านี้ หลุดออกมาเป็นคลิป ก็มีมาแล้ว
หลังทวีตราตรีสวัสดิ์ตามสเต็ป คชาก็หาวหวอด
เดินทางแต่เช้า เมื่อมาถึง ยังไม่ทันได้พักเหนื่อยจากการเดินทาง เขากับเต๋าก็มีคิวออกไปให้สัมภาษณ์ เสร็จจากงานนึง ก็มีอีกงานนึงรอต่อ แล้วตอนเย็นก็ยังมีคิวไปร้องเพลง กว่าจะเลิก กว่าจะถึงที่พัก... ตาแทบจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่
คชาดูเวลาในจอโทรศัพท์ อีกสิบนาทีเที่ยงคืน แต่ห้องยังว่างเปล่า ในนี้มีเขาเพียงคนเดียว และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาหาวเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน แต่ตาไม่ยอมปิด ร่างกายไม่ยอมหลับ
ด้วยเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน ทีมงานจึงจัดห้องให้นอนด้วยกัน เป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจมาก แต่เพราะตอนนี้ไม่ใช่ตอนนั้น เพราะมันเป็นที่นี่ เพราะมันเป็นเวลานี้
รูปคู่ที่แฟนคลับถ่ายพรูเข้ามาในหัว
มองเขาอย่างมีความหมายไปเพื่ออะไร สุดท้ายก็เหมือนเดิม มันคงไปค้างที่อื่น ที่อื่นที่เขารู้ดีว่าที่ไหน
อยากร้องไห้ ถ้าร้องไห้ออกมาอีกซักครั้งอาจจะดีก็ได้ อืม... อาจจะดีกว่านี้
คิดแบบนั้น แล้วก็ขำตัวเอง
คชา มึงอ่อนแอขนาดนี้เลยหรือ หืม...
ความเหนื่อยอ่อนทำให้เขาหลับไป
เป็นอีกครั้งที่ฝันร้าย
กลางเวิ้งน้ำที่ไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็นได้ในคลองสายตา เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นวางเขาลงไปกลางที่แห่งนั้น ที่ที่เงียบงันและว่างเปล่าจนดูอ้างว้าง แสนจะเดียวดาย วูบหนึ่ง ความเดียวดายขยับเคลื่อนไหว กลายเป็นเงาร่างที่สัมผัสได้ มันเข้ามาสวมรอย ยืนอุดช่องว่าง และตัวเขาเอง ก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งนั้นอย่างไร้เยื่อใย
ความเดียวดายสอนให้เขาว่ายน้ำเป็น ด้วยตัวเอง
แต่ความเดียวดายก็เหมือนเป็นดาบสองคม มีพิษสงเหลือร้าย คมหนึ่งกรีดเนื้อเถือหัวใจเขาจนเป็นแผลแหว่งวิ่น เขากำลังเคว้ง กำลังอ้างว้าง เพราะหลายสิ่งหลายอย่างพังทลาย อย่างที่ความห่วงใยของมันก็กอบเก็บเศษเล็กเศษน้อยของเขากลับขึ้นมาประกอบใหม่ไม่ได้
ขณะหนึ่งในความฝันนั้น เขารับรู้ถึงการถูกรบกวน นาทีหนึ่งที่เขากำลังว่ายน้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ว่ายเท่าไรก็ยังไม่เห็นขอบฝั่ง ก็มีสัมผัสอุ่นร้อนจับประคองเอาไว้ ความอุ่นท่ามกลางสายน้ำเหน็บหนาวที่ทำให้เขาแทบจะร้องไห้ มือที่กำลังกระเสือกกระสนเขยื้อนขยับไปต่อไม่ได้ ทุกอย่างหยุดลง เขากำลังจมลง... ร่วงหล่น...
“ชา.. ชา... เป็นอะไร คุณเป็นอะไร...”
เขาสะดุ้งสุดตัว หายใจหอบ เสียงเรียกชื่อเขาดังอยู่ริมหู
“เต๋า...เต๋า...”
“ครับ คชา... ผมอยู่นี่... ไม่เป็นไร คุณแค่ฝันร้าย ไม่เป็นไร...”
เขาจึงรู้สึก ว่าถูกกอดเอาไว้แนบแน่นทั้งตัว... ชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง... มือขาวจัดที่อบอุ่นพอดีมาเสมอลูบลงที่กลุ่มผมและแผ่นหลัง เสียงทุ้มนุ่มปลอบประโลมไม่ห่าง คงจะดีถ้านี่เป็นความจริง
เขาซุกหน้าลงกับอก กลิ่นน้ำหอมที่แปลกไปทำให้เขาต้องกัดฟันแน่น
มือเขากอดตอบ กอดจนแน่น แน่นจนเหมือนจะกดลงไป จะจิกลงไป ให้ลึกถึงข้างในร่างกายนั้น ว่าภายในเนื้อหนังนั้นมีอวัยวะที่เรียกว่าหัวใจวางอยู่จริงรึเปล่า ตัวเขาขยับอยู่ตลอดเวลา เพราะอยากจะกอดให้แน่นอีก... แน่นขึ้นอีก... ร่างกายเราสองคนที่แนบชิดสนิทเสียดสีกัน... และเขารู้ว่าเต๋ารู้สึก...
เสื้อของเขาถูกถอดออกและโยนออกไปตรงไหนซักแห่งในห้อง ความเจ็บจี๊ดระคนวาบหวามทำให้รู้ว่าร่างกายนี้กำลังถูกตีตราแสดงความเป็นเจ้าของ พรุ่งนี้คงจะขึ้นรอยแดงจนทั่วตัว แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคำห้ามปราม ผิวเนื้อถูกสัมผัส คลึงเคล้าฟอนเฟ้น ลูบไล้เหมือนจะตรวจตราให้ครบทุกตารางพื้นที่ จูบถูกป้อนเข้ามา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ซ้ำแล้ว...ซ้ำอีก...
“เต๋า... อืม... อะ... เต๋า...”
เขาครางเรียกชื่อมันเสียงแผ่ว และนั่น ทำให้กางเกงนอนของเขาถูกร่นลง และดึงจนหลุดพ้นปลายขา ใบหน้าขาวกลับมาอยู่ในคลองสายตาของเขาอีกครั้ง เขาสบตากัน แล้วพลัน จูบร้อนก็ไล่ลงจากกกหู ต่ำลง... ลงไป... ลงไป... กดผ่านอก... ลากผ่านหน้าท้อง... แล้วเขาก็ผละมือออกจากรอบคอของเต๋า เพื่อจับปกเสื้อเชิ้ตนั้นเอาไว้แน่น
เต๋าชะงัก เงยหน้ามองตรงมา ไม่มีใครเอ่ยถ้อยคำใด เขาเพียงดึงตัวเขาขึ้นมา เกาะเกี่ยวปลายนิ้วลงที่สาบเสื้อ ไล่ปลดกระดุมออก... ทีละเม็ด... ทีละเม็ด... ลากปลายนิ้วผ่านแผ่นอกขาว ลงมาถึงขอบกางเกง ขยับปลดเปลื้องเข็มขัดหนังเส้นหนา รูดออกช้าๆแล้วโยนไปนอกเตียง เลื่อนมือลงอีก ลูบสัมผัสผ่านเนื้อผ้าราวยั่วเย้า เขาสองคนยังสบตากัน แววตาเต๋าฉายชัดถึงความปรารถนา
ความปรารถนาที่อาจยังไม่มอดดับ ใช่... เพราะความจริงเป็นแบบนั้น...
“ไปเอากับเมียมึงมายังไม่หายอยากใช่ไหม”
คงเหมือนถูกน้ำเย็นจัดสาดหน้าในฤดูหนาว เต๋าเบิกตากว้างค้างอยู่อย่างนั้น
“เอาสิ กูอ้าขารอมึงอยู่นานแล้ว... ยังอยากเอาต่อใช่ไหม มึงเริ่มสิ เข้ามาสิ... เอาเลย...”
“ชา...”
เสียงแผ่ว เบาหวิว เรียกเพื่ออะไร เพื่ออะไรกัน
“อย่าทำอย่างนี้...”
เสียงมันสั่นพร่า เขากดจูบลงที่ต้นคอ ลากลงยังแผ่นอก และยังคงขยับมือสัมผัสผ่านเนื้อผ้าหนาไม่หยุดหย่อน
“มึงอยากมึงก็เอากูสิ มึงจะกลัวอะไร หรือกลัวเมียมึงรู้... กูไม่บอกเมียมึงหรอก...”
“...หย...หยุด...หยุดนะคชา...หยุด...”
“มึงบอกให้กูหยุด แล้วไอ้ที่แทบจะทะลักกางเกงออกมาเนี่ยคืออะไร... ไม่เป็นไร กูจะช่วยมึงเอง... นึกซะว่ากูเป็นแค่คู่นอนมึงก็ได้...”
มือเขาสั่นพร่า เพิ่งรู้ตัวว่ามันสั่นแค่ไหนตอนที่พยายามจะปลดกระดุมกางเกงและรูดซิปลง เขาออกแรงจนแทบจะเรียกได้ว่ากระชาก ด้วยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สมองสั่งเพียงให้ทำ... ทำต่อ... อย่าหยุด... ทำให้มันจบ...
“หยุดเดี๋ยวนี้นะชา!”
เขาสะดุ้งสุดตัว เต๋าตวาดดังลั่นห้อง
“ทำบ้าอะไร!”
มือของเขาถูกจับเอาไว้แน่นทั้งสองข้าง บีบที่ข้อมืออย่างแรงจนเจ็บ เต๋ากดเขาเอาไว้กับเตียงให้เลิกพยายามปีนคร่อม แล้วตวัดผ้าห่มผืนหนามาคลุมตัวเขาเอาไว้จนกลายเป็นก้อนกลม ปิดบังเนื้อตัวเปลือยเปล่า เขาหมดแรงดิ้น นอนนิ่ง... รู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมา...
“พอนะ... อย่าทำแบบนี้นะ...”
“...”
“...อย่า...อย่าทำเหมือนกำลังจะไปเลยได้ไหม...”
คือคำขอร้องรึเปล่า มึงกำลังบอกอะไรกูอยู่เหรอเต๋า
“ถ้ามึงไม่รักกู ก็ไม่ควรทำให้กูรักมึงเลย...”
เขาเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น ลำคอตีบตันแห้งผาก และหัวก็ปวดจนแทบลืมตาไม่ไหว
“มึงกลัวตัวเองเจ็บ แต่มึงไม่ได้กลัวกูเจ็บหรอก”
“...”
“มึงขอกูว่า อย่าไป... แต่สำหรับกู มึงอาจจะไปในนาทีไหนนาทีนึงก็ได้”
“...”
“มึงบอกสิว่ามึงเลือกกู...”
“...”
“อย่า... ไม่ต้องพยายามหรอก กูรู้ว่ามึงพูดออกมาไม่ได้ เพราะมึงต้องมีเขา... มึงเองก็รู้”
“...”
“มึงคาดหวังอะไรจากกูกันเหรอ”
เขาเป็นอะไรกันนะ เพิ่งนึกได้ว่าควรจะต้องถาม ถามทั้งมัน ถามทั้งตัวเอง ว่าแล้วสุดท้ายเราเป็นตัวเชี่ยอะไรสำหรับมันกันแน่
“กูพยายามถามตัวเองว่ามึงต้องการอะไรจากกู คาดหวังอะไร”
“ชา... ผม...”
“กูเกลียดมึง”