Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]  (อ่าน 164543 ครั้ง)

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4

รอฉากนี้มานาน

ในที่สุด...

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
โอ้ยยยยยยย ไอ้บ้าา เมื่อเอ็งจะจำเค้าได้

เค้าหนีก็เอ็งไปแล้วเฟ้ยยย  :serius2:

ออฟไลน์ Damon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
It's to late apologize...

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
อ่า เพิ่งอ่านไปได้ตอนเดียวแต่ก็ชอบซะแล้วสิ

wongwikkarn

  • บุคคลทั่วไป
มาปูเสื่อรอ อิอิ  :mew2:

ออฟไลน์ eye-lifestyle

  • พรุ่งนี้ไม่เคยมีจริง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
 :hao6: :hao6: o13 o13 o13
เพิ่งได้มาอ่าน
ขอบอกว่าเข้มข้นมากกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
มาจากกระทู้แนะนำนิยาย
สนุกดีค่ะ o13

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
แอบสงสารชูนิสสนึงอ่า
นี้ถ้าชูบอกไปว่าผมมีชื่อเล่นว่าลี อยากรู้ว่าคุณสามีที่เลิฟจะ
ทำท่าคุกคามชูแบบนี้ไหมอะ
ปล แต่ไม่สงสารยูล่าหรอก ฮ่าๆ ปล่อยนางออกนอกวงโคจรไปได้ก็ดี

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
จิ้มรอ ครึครึ

ออฟไลน์ Ta_ii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ชอบบบบบบ! และ ค้างง!!!  :ling1:

เราเพิ่งตามมาจากกระทู้แนะนำนิยาย
ชอบสำนวนการเขียนและภาษาที่ใช้มากเลย  o13

การดำเนินเรื่องไหลลื่นมาก
ส่วนปมในเรื่องก็ซับซ้อนซะเหลือเกิน หรือเราอ่านแล้วงงเองก็ไม่รู้ฮ่าาๆ  :really2:

แต่อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็เหมือนจะคลายๆแล้วนะ
แต่ก็รู้สึกมีบางอย่างที่มันลึกลับซับซ้อนผูกเป็นปมอยู่ดี
ง่ายๆคือยัง งง ความสัมพันธ์ของซู กับพ่อตา กับมารีน และกับอังเดร  :เฮ้อ:

ยิ่งตอนล่าสุดนี่อะไรๆมันชักจะไปกันใหญ่แล้วววว และจบตอนได้ค้างมว๊ากกก  :hao7:
มาต่อเถอะน้าคนแต่ง อยากอ่านต่อแล้วจ้าา :L2:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
« ตอบ #99 เมื่อ: 03-12-2013 17:51:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 11 [28/11/13]
«ตอบ #100 เมื่อ04-12-2013 19:16:59 »

สงสารซู
อังเดร ผู้ชายใจร้ายและโลเล เมื่อไหร่จะจำซูได้สักทีหละคะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #101 เมื่อ05-12-2013 14:01:16 »

-12-


   อาการปวดหัวเพราะนอนผิดเวลาอาจจะเป็นสิ่งแรกที่ปลุกให้เขารู้สึกตัวในตอนเช้า...หรือว่าอาจจะเป็นตอนสาย...

   ซูเล่ยมองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือที่คว้ามาได้จากโต๊ะข้างเตียงและพบว่าเป็นเวลาสายโด่งกว่าที่ตื่นปกติมาก หากจะว่าจริง ๆ คือตอนนี้ก็ 10 โมงเข้าไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้สมองตื่นตัวปลุกทุกกระแสประสาทให้แล่นพล่านกลับไม่ใช่เวลาแต่เป็นภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแทนภาพพื้นเดิมที่เคยตั้งไว้

   ใบหน้ายามหลับใหลของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมองเห็นผ่านม่านสลัว มีเพียงแสงยามเช้าที่ทำให้เห็นเค้าโครงของแต่ละส่วน รวมถึงรอยประทับสีแดงที่เห็นได้ในบางจุด เพียงเท่านั้นเลือดก็สูบฉีดขึ้นมาจนแดงซ่าน เขาไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นคนถ่ายภาพนี้ไว้และถ่ายไว้เมื่อไหร่ เพราะร่องรอยต่าง ๆ ที่ปรากฏในรูปก็ปรากฏบนร่างกายของเขาเช่นกัน ซูเล่ยยกมือขึ้นลูบคอตนเองในบริเวณที่ถูกย้ำจูบโดยไม่รู้ตัว

   ภาพของค่ำคืนที่หนาวจับใจแต่ก็ระอุไปด้วยไอร้อนของสองร่างที่กอดก่ายยังแล่นพล่านอยู่ในหัว เขาจำได้ทุกเหตุการณ์ ทั้งเสียง ภาพ และกลิ่นอายที่พาให้ดวงตาและสติพร่ามัว

   สองแขนที่โอบกอดอย่างแนบแน่นราวกับปรารถนาจะกลืนกินเข้าไปทั้งร่างยังคงฝากสัมผัสไว้บนผิวเนื้อขาวซีด แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็สามารถรู้สึกได้

   และเป็นคืนแรก...นับจากหลายปีที่จากกัน ที่เขาฝันถึงคืนวันที่ได้พบกับอังเดร

   ผู้ชายคนนั้นเคยโอบกอดเขาอย่างนี้ด้วยสติที่พร่าเลือน ลูบไล้ไปบนร่างกายราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทิ้งรอยจูบที่พาให้หวนคำนึงแม้มันจะจางหายไปภายในเวลาไม่นาน ถูกร่ำเรียกด้วยน้ำเสียงอันไพเราะอ่อนหวานและเพ้อครวญหลงใหล

   ในเวลานั้นเขาแทบจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร เพียงแค่ปล่อยทุกสิ่งไปตามครรลองโดยไม่ต่อต้าน หรือไม่...ก็คงไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเพราะใจได้จำยอมไปเสียแล้ว แม้สุดท้ายจะต้องมานั่งเสียใจทีหลัง แต่เขาก็ยังไม่ลืมเลือนสิ่งที่ผ่านเลยไป

   ทว่า...เมื่อคืนนี้ มันกลับไม่สวยงามเหมือนเช่นเศษเสี้ยวในความทรงจำ

   อังเดรเต็มไปด้วยโทสะและความฉุนเฉียวอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนไม่ว่าครั้งไหน ๆ ใช้กำลังรุนแรงแม้จะไม่ถึงขั้นหยาบคายแต่ก็ทิ้งร่องรอยที่มองเห็นได้จนถึงตอนนี้ บางส่วนของร่างกายไม่ได้มีเพียงรอยจูบสีแดงที่น่าอับอาย ทว่ามีรอยช้ำเขียวที่เกิดจากการบีบรัดอย่างไม่ปรานีปราศรัย

   ซูเล่ยอดจะหัวเราะกับตัวเองไม่ได้

   ที่จริงเขาก็คิดอยู่แล้วว่ามีโอกาสที่อังเดรจะรู้ความจริง แต่เขากลับไม่นึกเสียใจเลยที่เป็นเช่นนั้น เพราะส่วนหนึ่งในใจก็ยังคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยังคงปรารถนาในตัวเขา แม้จะรู้ว่าควรถอยหนีและเว้นระยะห่างเพื่อจะได้ไม่จบลงอย่างในอดีต

   นี่มัน...ไม่ดีเอาเสียเลย...

----------------------------->

   เอเดรียนอาจจะรู้สึกแปลกอยู่เล็ก ๆ กับยามเช้าที่ไม่มีซูเล่ย เพราะวันนี้อังเดรกลับทำหน้าที่เหล่านั้นแทนทั้งทำอาหารง่าย ๆ และฆ่าเวลากับลูกสาวจนกว่าจะถึงเวลาทำงาน คิด ๆ ดูแล้ว ก็ทำให้นึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาอันยากลำบากที่มารีนเพิ่งเสียไปใหม่ ๆ เรื่องราวเหล่านั้นผ่านมาหลายเดือนแล้วและน่าแปลกที่เขาเริ่มจะจดจำความรู้สึกในช่วงเวลานั้นไม่ได้ เหมือนกับว่าความทรงจำถูกหั่นออก พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็มีสมาชิกคนใหม่เข้ามาอยู่ในบ้านซึ่งทำให้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งในทางที่ดีขึ้นและแย่ลง

   แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เรียกว่าดีขึ้นหรือแย่ลงกันล่ะ?

   ยังไม่ทันที่จะหาคำตอบให้ตัวเองได้ เขาก็แว่วเสียงเดินจากทางบันไดและเห็นว่าซูเล่ยในเสื้อตัวหนาแบบปิดคอกำลังย่องลงมาเหมือนเด็กที่แอบเที่ยวกลางดึกและกลัวว่าจะถูกจับได้

   “ซู ซูตื่นสาย” เอเดรียนเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายพร้อมทั้งพองแก้มอย่างแง่งอนและลุกขึ้นเท้าเอวทำให้ตอนนี้เธอดูแก่แดดแก่ลมและน่าขันไปพร้อม ๆ กัน

   “ฉัน...”

   “ไม่ค่อยสบาย” ก่อนที่ซูเล่ยจะคิดหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลได้ อังเดรก็แทรกขึ้นก่อนทำให้บรรยากาศตกกอยู่ในความเงียบชั่วขณะเพราะฝ่ายหนึ่งอึดอัดใจที่จะสู้หน้า ส่วนอีกฝ่ายกลับใช้สายตาจับจองอย่างอุกอาจ มีเพียงเอเดรียนเท่านั้นที่ไม่เข้าใจสถานการณ์และพูดจาไปเรื่อยตามประสา

   “ซูป่วยต้องพาหาหมอหรือเปล่า คุณหมอน่ากลัวจะเอาเข็มจิ้มซูไหม?” เธอเขย่าแขนพ่อเพื่อเอาคำตอบ

   “ไม่หรอก” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มให้ลูกสาวแล้วลูบผมเบา ๆ “ซูแค่นอนพักนิดหน่อยก็หายดีแล้ว ใช่ไหม?” คำถามกลับถูกส่งไปหาอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวข้อสนทนา ซูเล่ยปั้นสีหน้าไม่ถูกจึงกลอกตาไปมาอยู่สักพักก่อนตัดสินใจพยักหน้าเพื่อให้จบเรื่องจบราวไป แม้ในความเป็นจริงแล้วร่างกายเขาก็ไม่ได้สบายดีอย่างที่ทุกคนคิด เขารู้สึก...แปลกอยู่นิดหน่อยเวลาที่เคลื่อนไหวหรือแม้กระทั่งยืนเฉย ๆ

   น่าแปลกที่อังเดรไม่ได้แสดงท่าทางผิดแปลกอะไรเลย หรือจะมีเพียงแต่เขาที่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นเรื่องผิดปกติ สำหรับอังเดร มันคงจะเหมือนการเชิญชวนผู้หญิงสักคนมาที่บ้าน ผ่านค่ำคืนแสนหวาน และต่างคนต่างก็จากกันไปด้วยดี

   เขาเรียกกันว่า...วันไนท์สแตนด์ใช่ไหม?

   คำนั้นทำให้ในอกรู้สึกชาวูบ เหมือนทิ้งก้อนหินลงไปในบ่อลึกไร้ก้น

   “แต่...ไปหาหมอก็น่าจะดี” เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะอากาศหนาวมักทำให้เขาเป็นหวัด จึงเผลอเปรยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร กระนั้นกลับเรียกสายตากังขาจากสองพ่อลูก โดยเฉพาะอังเดรที่นอกจากสายตากังขายังมีความรู้สึกอื่นเจือปนอยู่ด้วย แต่ผู้พูดกลับไม่ได้สนใจ เขาไม่กล้ามองตาอีกฝ่ายตรง ๆ เสียด้วยซ้ำ จึงเพียงแค่เดินผ่านไปและเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาว่ามีอะไรที่ตนเองควรทำในเวลาอย่างนี้

   คล้ายว่าสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก ซูเล่ยจึงรู้สึกล่องลอยไม่มีจุดหมาย เขายืนมุ่นคิ้วอยู่หน้าตู้เย็นหลายนาทีพลางคิดว่าจะทำอะไรต่อไป อาหารเช้า? ไม่สิ นี่มันเลยเวลาเช้าแล้ว ก็ต้องเป็นอาหารเที่ยง อีกชั่วโมงกว่า ๆ จะถึงเวลาเที่ยง

   หลังจากทบทวนอยู่สักพัก ซูเล่ยจึงถอยหลังเพื่อเปิดประตูตู้เย็น แต่กลับชนเข้ากับใครอีกคนที่มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้

   ซูเล่ยไม่ได้หันไปเพราะรู้ว่าเป็นใคร แต่เพราะรู้จึงได้ทำอะไรไม่ถูก...

   กระนั้น...เขาก็ยังถูกดึงให้หันโดยไม่เต็มใจ อังเดรยืนอยู่ข้างหน้าและมองลงมา

   “มีอะไรหรือครับ?” เพื่อคลายความอึดอัดให้ตัวเอง ซูเล่ยจึงตัดสินใจถามออกไปก่อน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ และแทนคำตอบที่ควรจะได้ ฝ่ามือใหญ่ก็ทาบลงกับหน้าผาก

   “ก็ไม่เห็นจะมีไข้?”

   เป็นห่วง?

   นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจก่อนที่ซูเล่ยจะเฉไฉไปคิดเรื่องอื่น

   “ผมแค่เป็นหวัดง่าย ไม่ถึงกับเป็นไข้หรอก” เขาไม่ได้ปัดมืออีกฝ่ายออก ไม่รู้ว่าเพราะความอุ่นหรืออะไรแต่เจ้าตัวก็ยอมให้อังเดรแนบฝ่ามืออยู่อย่างนั้น แต่ความอุ่นก็ค่อย ๆ ไล่ลงมาจากหน้าผากเป็นแก้มและลำคอ ทันใดนั้นสายตาของอังเดรก็แปรเปลี่ยนไปเมื่อเห็นสิ่งที่ตนเองฝากเอาไว้ มันคือคำตอบว่าทำไมวันนี้ซูเล่ยจึงจงใจสวมเสื้อคอเต่า ฝ่ายซูเล่ยก็ใช่จะไม่รู้ตัว เขาหายใจลึกและปัดมืออังเดรออกในที่สุด

   “เมื่อคืนออกจะอุ่นถึงขนาดนั้น ไม่น่าจะเป็นหวัดได้” ในช่วงที่กำลังพูด เขาสังเกตได้ว่าในดวงตาสีอ่อนของอังเดรแฝงด้วยแววของความขบขันไม่ใช่ความรู้สึกผิดพลาด

   “คุณไปกินยาผิดขนานมาหรือยังไง” ซูเล่ยเบือนหน้าหลบแล้วถอยหลังให้ทางตนเอง แต่กลับถูกกักไว้หน้าตู้เย็นโดยแขนทั้งสองข้าง

   “ลองคิดทบทวนดูดี ๆ ซู ใครกันแน่ที่กินยาผิดขนาน”

   พูดแบบนี้แปลว่ากำลังโทษเขาหรือ?

   ซูเล่ยมุ่นคิ้ว แต่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นเลิกขึ้นพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   “ชอบภาพที่ฉันถ่ายให้ไหม ฝีมือของฉันคงไม่ได้ด้อยกว่าเธอสักเท่าไหร่หรอกนะ” ว่าแล้ว อังเดรก็ผละออกไปพร้อมกับรอยยิ้มสมใจประหนึ่งว่าแก้แค้นสำเร็จแล้ว

---------------------------------->

   อังเดรเดินทางถึงโรงเรียนในตอนเย็นด้วยสีหน้าชื่นบาน แม้จะไม่ได้ผิดสังเกตนักที่อังเดรจะอารมณ์ดีแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ยิ้มอย่างเปิดเผยอย่างนี้มานานแล้วนับแต่มารีนเสียชีวิต ซ้ำเมื่อวานนี้ยังดูขึ้งเครียด ด้วยเหตุนั้น อาร์เลนที่เห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงกลับขั้วของพี่ชายจึงเดินเข้าไปถาม

   “มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นหรือครับ?”

   “เปล่า ทำไมหรือ?” ชายหนุ่มกลับแปลกใจไม่น้อยที่ถูกทักอย่างนี้

   “ไม่รู้สิ...พี่ดูเหมือน...กำลังมีความสุขนิดหน่อย” คำบอกเล่าทำให้อังเดรเลิกคิ้ว “แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบหรอก พี่มีความสุขดีก็ดีแล้ว มารีนที่อยู่บนสวรรค์เองก็คงมีความสุขไปด้วย” ผู้เป็นน้องไม่อยากให้พี่ของตนคิดมากเกินไป เพราะเมื่อพี่ชายมีความสุข ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ย่อมดีทั้งนั้น ทว่าอังเดรกลับไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ความสุขของเขาเกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ หรือบางที...อาจจะรู้แต่ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญ...

   เรือนร่างผอมบางและขาวซีดที่ถูกครอบครองยังคงติดอยู่ในความทรงจำไม่ยอมจางหาย และมันไม่ใช่การกระทำด้วยความรู้สึกเพียงชั่ววูบ เพราะแม้ในเวลานี้เขาก็ไม่ได้คิดเลยว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาด กระนั้นก็ต้องยอมรับว่ามันผสมกับความกรุ่นโกรธเหมือนถูกฉีกหน้าในที่สาธารณะ และอีกส่วน...คล้ายจะเป็นความสาสมใจที่ได้เป็นฝ่ายตอบโต้บ้าง เขากลายเป็นคนนิสัยเสียแบบนี้ไปได้ยังไงกันนะ?

   “สวัสดีค่ะคุณแอชฟอร์ด”

   หากตัวเขาในตอนนี้ถูกนิยามว่ามีความสุข ยูล่าก็อาจถูกนิยามได้ว่าอมทุกข์ สีหน้าของหญิงสาวไม่สู้ดีนักหรือจะเป็นเพราะไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางค์จัดอย่างเคย วันนี้สีที่เธอใช้ค่อนข้างจะอ่อนและให้อารมณ์ของวัยสดใส กระนั้นกลับไม่สามารถช่วยขจัดความหม่นหมองออกไปได้ ราวกับว่าความทุกข์เศร้าของเธอกลายเป็นสีหม่นเทาที่ห่อหุ้มร่างพาให้บรรยากาศโดยรอบกลายสีเทาไปด้วย

   อังเดรรู้ได้ทันทีว่าสาเหตุของอารมณ์ที่ขุ่นมัวนั้นมาจากเขา แม้ว่าโดยแท้จริงแล้วมันจะไม่ใช่ความผิดของเขาก็ตาม แต่อย่างไรมันก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตนโดนหลอกลวง

   และเขาก็ไม่ปฏิเสธ...

   อาจเพราะหลายครั้งแล้วที่เขาพยายามจะหาข้ออ้างสักข้อหนึ่งเพื่อที่จะเว้นระยะห่างจากเธอ ในขณะที่ยูล่าเริ่มรุกไล่เข้ามามากขึ้น กอปรกับเสียงสนับสนุนจากรอบข้าง ทำให้ตัวเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยเลยตามเลยและไม่เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเสียเอง ถึงอย่างนั้นระยะหลัง ๆ เขาก็หาทางออกได้ยากขึ้นทุกที การปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองกลายเป็นว่าทางหนีทีไล่ถูกปิดลงทีละทาง

   ที่จริงแล้ว...หลาย ๆ ครั้งอังเดรก็นึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดจึงไม่เคยรู้สึกกับยูล่ามากไปกว่าผู้ช่วยและเพื่อนคนหนึ่งเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่ใกล้ชิดกัน เขาก็เพียงใจอ่อนเพราะความจริงจังของเธอ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าความรู้สึกเอ็นดู ทั้งที่เธอเป็นผู้หญิงที่หากหมายปองชายใดคงได้มาครอบครองไม่ยาก ทั้งรูปลักษณ์ หน้าตา อุปนิสัย และทักษะประจำตัว ล้วนแต่เรียกได้ว่าเกือบอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบ กระนั้น....สำหรับเขา ทั้งหมดนี้คงจะสมบูรณ์แบบมากเกินไป

   ให้ความรู้สึกคล้ายกำลังมองดูผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ซึ่งรู้สึกดีเมื่อได้มองดู แต่ไม่ได้คิดอยากเป็นเจ้าของ
   แน่นอนว่าเขารู้สึกผิดกับเธออยู่หลายส่วน เพราะหากสามารถปฏิเสธออกไปตรง ๆ ได้คงจะสบายใจกว่านี้เมื่อมองหน้าหญิงสาว

   และในเวลานี้...การมองหน้ายูล่ากลับยากลำบากยิ่งกว่าเดิม เพราะมักจะมีส่วนหนึ่งในห้วงคำนึงกระหวัดไปถึงบุคคลที่สาม...

   ซูเล่ย...

   อังเดรถอนหายใจให้กับตนเองก่อนยิ้มตอบหญิงสาวที่หลังเอ่ยทักทายก็ยืนนิ่งและเลี่ยงสายตาไปทางอื่น โดยปกติแล้วเธอจะมั่นใจในตัวเองมากและไม่เคยหลบเลี่ยงสายตาใครแท้ ๆ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #102 เมื่อ05-12-2013 14:01:40 »

   “เข้าไปแต่งตัวเถอะยูล่า” ชายหนุ่มว่าแล้วแตะบ่าหญิงสาวเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจและปลอบใจไปในตัว แต่ไม่เคยรู้เลยว่าการกระทำนี้ได้มอบความหวังให้กับผู้ถูกกระทำมากกว่าสิ่งอื่นใดที่เคยผ่านมา และด้วยการสัมผัสอย่างเป็นพิเศษโดยไม่ได้คิดอะไรนี้เองที่ทำให้ยูล่ากล้ารุกมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และกล้าที่จะมั่นใจว่าอังเดรเริ่มมีให้โน้มเอียงมาทางตนเองมากขึ้นแล้ว

   ทั้งที่มั่นใจอย่างนั้น แต่กลับ...

   คืนที่ผ่านมาหญิงสาวคิดมากจนนอนไม่หลับ คิดว่าวันนี้จะลาหยุดเพราะไม่กล้าที่จะไปสู้หน้าอังเดร ทว่า...ความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในสมอง ราวกับมีแสงสว่างเล็ก ๆ ลอดผ่านรอยปริแยกทำให้เธอมองเห็นทางออกซึ่งถูกบดบังจนมืดบอด

   เมื่อคิดย้อนดูแล้ว เธอก็แค่หลงไปตามคารมของซูเล่ยเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ? ทุก ๆ อย่าง ผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายพูดเอาคนเดียวทั้งหมด ซ้ำยังย้ำว่าถามอังเดรไปก็ไม่ได้อะไร ทั้งนี้เมื่อมองอีกด้านก็เป็นไปได้ว่าเป็นการป้องกันไม่ให้มาถามเอาความจริงจากบุคคลที่สาม ซ้ำในรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือก็มีคนที่ได้สติอยู่คนเดียว จะรู้ได้อย่างไรว่าเวลานั้นอังเดรได้เต็มใจจะเป็นตัวประกอบฉากหรือไม่

   นับว่าเธอประมาทไปมากจริง ๆ ที่คิดว่าซูเล่ยไม่มีอะไรสักเท่าไหร่นอกจากอิทธิพลที่มีต่อเอเดรียน และการที่เอเดรียนไม่ต่อต้านเธอออกนอกหน้าก็ทำให้ไว้ใจอีกฝ่ายว่าจะช่วยสนับสนุนเธอเหมือนกับคนอื่น ๆ
   แต่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรจึงได้ทำอย่างนี้...

   และเพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยรวมถึงให้ความหวังตัวเอง ยูล่าจึงทำใจกล้าเข้าไปพูดกับอังเดรอีกครั้ง

   “ฉัน...ยังไปบ้านคุณได้ไหมคะ?”

   ตอนที่ได้ยิน อังเดรดูจะแปลกใจไม่น้อยจึงได้เลิกคิ้วขึ้นสูงและครุ่นคิดอยู่นาน

   “ฉันรู้ว่าคุณยังรู้สึกไม่ค่อยดีกับฉัน เพราะฉันวู่วามใส่คุณเมื่อคืนนี้ ก็เลย...อยากจะขอโอกาสแก้ตัว นอกจากนี้ หนูเอเดรียนก็ยังไม่ค่อยชอบฉันเหมือนเดิม ถ้าเป็นไปได้ขอแค่สามารถใกล้ชิดกับพวกคุณเหมือนก่อนหน้านี้ได้ ฉันก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ”

   เมื่อถูกอ้างด้วยชื่อของเอเดรียน อังเดรก็ลังเลขึ้นมา ตอนแรกเขาคิดว่าจะปฏิเสธไปอย่างสุภาพแต่ในที่สุดก็จำยอมและคิดว่าคงต้องหาวิธีอื่น วิธีที่จะไม่ทำให้ยูล่าคิดว่าตนเองเป็นที่รังเกียจ จะมีทางใดบ้างที่สามารถทำให้หญิงสาวยอมจำนนและถอยออกไปด้วยตัวเองโดยไม่เจ็บช้ำมากนัก ทางที่จะทำให้เขาไม่ต้องตอบคำถามว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกที่จะปฏิเสธเธอ...

---------------------------->

   “โดยสรุปแล้วก็มาจบเอาที่นี่สินะครับ?” ซูเล่ยกล่าวอย่างเอือมระอากับความเป็นสุภาพบุรุษของอังเดร ถึงแม้ในช่วงนี้เขาจะเริ่มรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้วว่าเจ้าตัวเองก็มีด้านมืดที่เขาไม่รู้จักอยู่เช่นกัน ถึงอย่างนั้นกลับไม่แสดงด้านที่ปกปิดให้ใครเห็นนอกจากเขา มันช่างน่าโมโหอย่างบอกไม่ถูก

   ทั้งที่เมื่อห้าปีก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้เสียหน่อย...

   แต่ก็เพราะความสุภาพบุรุษนี้เอง ยูล่าถึงได้ตามมาที่บ้านอีกครั้งทั้งยังอาสาเป็นคนช่วยดูแลเอเดรียนระหว่างที่ซูเล่ยกำลังทำครัวสำหรับทั้งสองคน ไม่ได้ขอเป็นคนทำอาหารอย่างเคย ทั้งนี้ทั้งนั้น คงจงใจให้คำกล่าวอ้างถึงความต้องการจะสนิทสนมกับเอเดรียนมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะที่ผ่าน ๆ ถึงยูล่าจะอ้างอย่างนั้นมาตลอด แต่กลับทำตัวใกล้ชิดอังเดรมากกว่าเอเดรียนจนเห็นได้แม้ไม่ต้องสังเกต

   “แค่ปฏิเสธไปตรง ๆ ก็หมดเรื่อง เพราะคุณให้ความหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นแหละมันถึงได้เป็นแบบนี้” ระหว่างที่ว่าเช่นนั้น ซูเล่ยก็ตักอาหารแบบง่าย ๆ ที่ใช้เวลาทำไม่มากลงจาน

   “ทำไมถึงมั่นใจว่าฉันอยากปฏิเสธ”

   พอถูกถามสวน มือที่กำลังทำงานก็ชะงักทันที

   “เพราะถ้าอยากตอบรับคุณคงทำไปนานแล้ว” ซูเล่ยพูดช้า ๆ แบบคนที่คิดคำตอบอย่างกะทันหัน “อีกอย่างคุณคงไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง”

   ดวงตาของอังเดรหรี่ลงเล็กน้อยขณะมองคู่สนทนาอย่างพินิจ

   “ถ้าเป็นเรื่องของพ่อมารีนล่ะก็ เอาเข้าจริงฉันอาจจะไม่แคร์เขาสักเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าฉันจะแต่งงานใหม่จริง ๆ เขาจะทำอะไรได้ จะฟ้องเอาตัวเอเดรียนไปหรือ? คนที่เป็นภรรยาใหม่ของฉันต้องมีคุณสมบัติมาพอจะดูแลเอเดรียนได้อยู่แล้ว เขาก็ไม่มีข้ออ้างจะมาทำอะไรฉันได้อีก” ขณะตอบ เขาก็ฉวยจานไปจากมือซูเล่ยและช่วยจัดโต๊ะอีกแรง แม้ว่ามันจะเป็นมื้ออาหารง่าย ๆ ที่มีอาหารจานเดียวสำหรับสองที่และของว่างก่อนนอนของเด็กอีกที่หนึ่งก็ตาม

   ซูเล่ยรู้สึกคั่นเนื้อครั่นตัวอย่างน่าประหลาดหลังได้ยินคำตอบ ราวกับว่ามีบางสิ่งดิ้นรนอยู่ภายในอกเมื่อพบว่าตนเองเพลี้ยงพล้ำไม่อาจใช้ข้ออ้างใดมาอยู่เหนืออีกฝ่ายได้สำหรับหัวข้อนี้ แต่นอกจากนั้นยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวที่พยายามกักไว้ภายในซึ่งนับวันมันก็ยิ่งรุนแรง

   “ถ้าอย่างนั้นก็ตอบตกลงไปเสียก็จบเรื่องแล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะต้องเอามาพูดให้ผมฟังลับ ๆ ล่อ ๆ” ชายหนุ่มร่างเล็กเคาะตะหลิวกับกระทะก้นแบนก่อนยกไปใส่ซิงค์ เขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนมากเกินไปเสียจนใคร ๆ ก็มองออกว่ากำลังขุ่นเคือง กระนั้นกลับไม่สามารถห้ามตนเองได้ทัน เมื่อรู้ตัวก็เผลอแสดงกริยาเหล่านั้นออกไปเสียแล้วจึงได้แต่กลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าล้างกระทะ “ไปชวนคุณยูล่าเข้ามากินก่อนมันจะเย็นชืดเถอะครับ เอเดรียนจะได้กินของว่างแล้วเข้านอนเสียที”

   “โมโหอะไรอยู่กันแน่?”

   “ก็เปล่านี่ครับ”

   “โกหก” อังเดรเท้าแขนกับขอบเคาท์เตอร์ สายตาจับจ้องเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีร่องรอยของความอวดดีเหมือนยามปกติ เรียวคิ้วสีดำมุ่นเข้าหากันจนแทบจรดอยู่ตรงกลาง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนบางเฉียบคล้ายกำลังอดกลั้น ดูเป็นการแสดงออกทางใบหน้าที่แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสำหรับใบหน้าของผู้ชายคนนี้ที่ไม่ค่อยจะพบรูปแบบอารมณ์ที่ปรากฏชัดเจนนัก

   “จะมายืนอ่านใจผมอยู่ตรงนี้หรือจะไปปรับความเข้าใจกับผู้หญิงของคุณให้เรียบร้อยก็เอาสักอย่าง ถ้ามันทำให้พวกคุณอึดอัด ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักพักก็ได้” ซูเล่ยถอนหายใจเฮือก เก็บอุปกรณ์เรียบร้อยก็เดินหลบออกมาเพื่อจะเช็ดมือที่ผ้าแห้งบนเคาท์เตอร์อีกฝั่ง แต่เพราะหลบไม่พ้นหรือกะจังหวะมานานแล้วก็ไม่อาจรู้ได้ ยังไม่ทันจะเดินไปถึงผ้าผืนที่ต้องการ เอวสอบก็ถูกรวบดึงโดยบุคคลที่ยืนเงียบอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่
   “น่าแปลกนะ ตั้งแต่อยู่ที่นี่ไม่ว่าฉันจะทำอะไรเธอก็ไม่เคยโมโหเลยสักครั้ง กลับกัน เธอกลับเป็นคนยั่วให้ฉันโมโหเองเสียมากกว่า” รูปแบบคำพูดเหมือนจะเป็นความสงสัย แต่น้ำเสียงและสีหน้าของอังเดรไม่ได้กำลังถามแต่เป็นการสรุปความอย่างรวบรัด จากนั้นจึงก้มลงมองผ่านคอเสื้อที่ปีนขึ้นมาเกือบถึงต้นคอเพื่อปกปิดร่องรอยหลักฐาน “หรือเธอจะรู้จักหวั่นไหวกับเรื่องแบบนี้หมือนกัน?”

   เป็นครั้งแรกที่ซูเล่ยนึกอยากจะลงไม้ลงมือ เขาวาดศอกไปด้านหลังโดยไม่ออมแรงซึ่งก็กระแทกถูกชายโครงเข้าเต็ม ๆ แต่อังเดรก็ไม่ได้ถอยออกไป เพียงแค่สะดุ้งและร้องออกมาเบา ๆ

   “เลิกทำเรื่องบ้า ๆ เสียที ถ้าคิดจะเอาคืนผมด้วยวิธีแบบนี้ก็คิดสั้นเกินไปแล้ว”

   “คิดสั้น? แต่เธอเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงโน้มใบหน้ากระซิบข้างหูพาให้เจ้าของสะดุ้งเฮือกจนขนลุกไปทั้งแขน

   “นั่นมันเพราะคุณไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจน เอาแต่ใช้ฉากหน้าของความเป็นสุภาพบุรุษเป็นข้ออ้างอยู่ร่ำไป คุณก็แค่ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดตอบรับหรือปฏิเสธด้วยตัวเองไม่ใช่หรือยังไงกัน?” ซูเล่ยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูแคลนระคนขุ่นใจ สิ่งที่ติดค้างอยู่ในอกและอยากพูดมาตลอดก็คือเรื่องนี้ เขาอยากจะให้อังเดรรู้เสียทีว่าอุปนิสัยด้านนั้นนั่นแหละที่ร้ายกาจมากที่สุด ทั้งสุภาพ อ่อนหวาน และช่างเอาใจ มันถึงได้ทำให้ทุกคนชื่นชมและหลงใหลได้ง่าย แม้กระทั่งตัวเขาเอง...ก็เคยติดกับมาแล้วครั้งหนึ่ง

   กับดักร้ายที่ทิ้งรอยบาดแผลที่ไม่ยอมจางหายจนถึงตอนนี้...

   “เพราะรู้อย่างนั้นถึงช่วยปฏิเสธให้? มีน้ำใจเสียจริง” ถ้อยคำคล้ายประชดเมื่อผนวกกับรอยยิ้มบนริมฝีปากในแบบที่ซูเล่ยไม่เคยเห็นยิ่งพาให้อยากออกไปจากสถานการณ์นี้โดยไว

   “แล้วสรุปว่าคุณจะกินไหม อาหารบนโต๊ะนั่น ถ้าไม่หิวผมจะได้จัดการเก็บเสียที”

   “จะเบี่ยงประเด็นอีกหรือ? คิดว่าวิธีนั้นจะใช้ปกป้องตัวเองได้ตลอดไปหรือยังไง?” น้ำเสียงเย็นชาที่ลอยผ่านหูพาให้ต้องนิ่งอึ้งไปหลายวินาที เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซูเล่ย อังเดรจึงแค่นเสียงในคอคล้ายเสียงหัวเราะสั้น ๆ “ไม่ใช่มีแต่เธอหรอกนะที่รู้ไปเสียทุกอย่าง ฉันไม่ยอมทำอะไรให้ชัดเจนหรือ? เธอเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าอยากจะกันฉันออกจากพวกผู้หญิงก็ตั้งใจกว่านี้อีกหน่อยสิ ถ้าหากเธอจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อผู้ชายคนนั้นจริง ๆ ล่ะก็ สละกระทั่งร่างกายนี้ก็คงไม่เสียดายจริงไหม?”

   หลังคำถาม ดูเหมือนผู้ถามจะไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะเจ้าตัวไม่รีรอเลยที่จะดึงอีกฝ่ายให้หันมาหาและดันให้หลังติดกับซิงค์ ซูเล่ยไม่สามารถขยับตัวหนีได้ เพราะนอกจากข้อมือจะถูกตรึงไว้แล้ว ทั้งร่างกายก็ยังแนบชิดจนยากจะหาช่องว่าง

   “ในเมื่ออุตส่าห์นำมาขนาดนี้แล้ว ก็ร่วมมือจนถึงที่สุดด้วยสิ ซู”

   สายตาและท่าทางของอังเดรเอาจริงเอาจังเสียจนไม่น่าจะคิดเป็นอื่นไปได้ อาวุธเดียวของซูเล่ยในเวลานี้คือคำพูดที่ใช้เพื่อโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ แต่มันก็ถูกปิดผนึกอย่างง่ายดายก่อนที่เจ้าของจะทันคิดออกว่าตนควรจะพูดอะไรในเวลานี้เสียอีก

   ซูเล่ยสูดหายใจลึกและพยายามถอยหนี มือใหญ่ก็ปล่อยข้อมือข้างหนึ่งก่อนรวบดันแผ่นหลังให้แนบเข้าหา แม้ตอนนี้แขนของซูเล่ยจะเป็นอิสระแล้วหนึ่งข้าง ทว่ากลับไม่สามารถใช้เพื่อช่วยเหลือตนเองได้เลย เพราะเรี่ยวแรงของอังเดรมากมายกว่าหลายเท่า จึงทำได้เพียงผลักไสอย่างหมดหนทาง ซ้ำแรงที่มีก็กำลังถูกลดทอนไปเรื่อย ๆ ด้วยรสจูบลึกล้ำและฝ่ามือที่โลมเล้าไปทั่วแผ่นหลัง

   “...พอแล...” ช่วงจังหวะที่ริมฝีปากออกห่างกันซูเล่ยก็ได้พักหายใจครู่หนึ่ง แต่พูดไม่ทันจบคำ ริมฝีปากร้อนก็ประกบซ้ำลงมาเรียกได้ว่ารุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ ราวกับจงใจให้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รับรู้อย่างชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้

   พวกเขาคงไม่รู้เลยว่าภาพที่ปรากฏฉายชัดในดวงตาของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งสงสัยว่าเหตุใดทั้สองจึงหายไปนานและปล่อยให้เธอเล่นกับเอเดรียนจนเด็กหญิงหลับไปแล้ว เมื่อตั้งใจจะเดินเข้ามาถามถึงอาหารค่ำ ก็กลับพบว่าชายหนุ่มทั้งสองกำลังพรอดรักกันอย่างไม่อายฟ้าดิน

   ยูล่าผละจากประตูและเข้าไปนั่งรอเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายนาที อังเดรจึงออกมาเรียกให้กินอาหารพร้อมทั้งขอโทษอย่างสุภาพที่ให้รอนาน กระนั้นเมื่อเธอเข้าไปก็ไม่พบซูเล่ยเสียแล้ว ชายหนุ่มผู้ซึ่งควรจะอยู่ที่นี่กลับเลือกที่จะไปพาเอเดรียนขึ้นนอนและไม่เฉียดกรายเข้าไปในห้องครัวเลยตลอดเวลาที่เธอและอังเดรร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน

   แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น...กลับไม่มีคำพูดใดหลุดลอดจากปากของทั้งคู่

   หลังมื้ออาหารนอกเวลา อังเดรก็อาสาจะไปส่งยูล่าถึงที่พักตามเคย ทว่าหญิงสาวปฏิเสธและขอเรียกแท็กซี่กลับด้วยตัวเอง ครั้งนี้ชายหนุ่มผู้ถูกปฏิเสธไม่ได้แสดงอาการแปลกใจราวกับรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอน...พวกเขาโจ่งแจ้งเสียขนาดนั้นหากไม่รู้ไม่เห็นเลยถึงจะน่าแปลก

   มันคงจะทำร้ายจิตใจของหญิงสาวเป็นอย่างมาก แต่เขารู้ว่าตนไม่มีทางเลือก เพราะนอกจากวิธีนี้แล้วคงไม่มีทางอื่นใดที่จะขอให้เธอถอยห่างออกไปโดยไม่ทำให้บอบช้ำ

   แค่ปล่อยให้คำลวงของซูเล่ยกลายเป็นความจริงด้วยฝีมือของเขา...

   ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันแล้ว

   อังเดรมองส่งยูล่าจนลับสายตาก็กลับเข้าบ้าน เขาเดินเข้าไปในห้องของเอเดรียนก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อสำรวจว่าลูกสาวนอนกลับดีหรือไม่ก่อนจะเดินออกไป แต่แทนที่จะกลับห้องตัวเอง ชายหนุ่มกลับเดินไปที่ห้องของซูเล่ยและบิดลูกบิดอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่า...มันกลับล็อค

   ซูเล่ยไม่เคยล็อคประตู

   เรียวคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันก่อนจะยกมือเคาะ

   “จะรบกวนเวลานอนของผมหรือยังไง” เสียงที่ลอดผ่านออกมาเจือปมด้วยความฉุนเฉียวอย่างไม่ปิดบัง เจ้าตัวคงรู้แล้วกระมังว่าทำไมเขาจึงได้ทำเช่นนั้น

   “ลืมหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงถามกลับอย่างนุ่มนวลแต่แฝงด้วยแววของการบังคับอย่างผู้เหนือกว่า

   “คุณแค่ต้องการให้ผมเป็นข้ออ้างที่คุณจะไม่ต้องปฏิเสธเอง ตอนนี้คุณก็ทำสำเร็จแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก?”
   หลังสิ้นคำถามของซูเล่ย ก็เหลือแต่เพียงความเงียบลอยผ่านบานประตู จากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าก้าวเป็นจังหวะช้า ๆ ของอังเดรก็ถอยห่างออกไป แม้จะแปลกใจที่อีกฝ่ายล่าถอยไปง่าย ๆ แต่ซูเล่ยก็คิดว่าบางทีเจ้าตัวคงคร้านจะต่อปากต่อคำกับเขา กระนั้นเมื่อหันหลังตั้งใจจะกลับขึ้นเตียงและพักผ่อน เสียงก้าวเดินของอังเดรก็ย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมเสียงโลหะกระทบกัน

   ลูกบิดถูกไขเปิดอย่างง่ายดาย

   ใช่ เขาลืมไปเสียสนิทว่าอภิสิทธิเจ้าของบ้านคืออะไร!

   “ทีนี้คงไม่มีอะไรป้องกันได้แล้วใช่ไหม?” อังเดรวางพวงกุญแจห้องลงบนตู้เล็กข้างประตูและก้าวเข้ามาหาเจ้าของห้องซึ่งทำได้เพียงถอยไปประชิดเตียง

   ปลายนิ้วเย็นเฉียบไต่เข้าใต้เสื้อพาให้สะดุ้งไหว ในขณะที่ในสมองเริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา อังเดรกลับทำเพียงแค่แนบหน้าผากจรดกันและมุ่นคิ้ว

   “มีไข้จริง ๆ ไม่ใช่หรือ?”

   เอ๋?

   ซูเล่ยเบิกตาขึ้นเล็กน้อยโดยฉายแววสงสัยออกมาเป็นอย่างแรกหลังได้ยินคำถาม แต่จะว่าไป...วันนี้เขาก็รู้สึกมึนหัวอยู่บ้างเหมือนกันเพียงแต่ไม่ได้ออกอาการในทันทีหลังตื่นนอน คงเพราะเหตุนั้นเมื่อตอนกลางวันอังเดรจึงบอกว่าเขาเหมือนจะไม่มีไข้

   เสียงพ่นลมหายใจจากเหนือศีรษะทำให้ต้องเงยขึ้นมองและเห็นอังเดรกำลังมองกลับลงมาด้วยสายตาห่วงใยที่เจ้าตัวคิดว่าอาจจะตาฝาดไปก็เป็นได้

   “นอนพักซะ ฉันจะไปเอายามาให้” ฝ่ามือใหญ่กดบ่าคนป่วยให้นั่งลงบนเตียงก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกประตูไป ซูเล่ยยังคงไม่มั่นใจนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าอังเดรจะเริ่มสังเกตว่าเขามีไข้ตั้งแต่ที่กอดกันในห้องครัว เพราะอย่างนั้นจึงมาที่ห้องอีกครั้งเพื่อดูอาการ...อย่างนั้นหรือ?

   เมื่อคิดเช่นนั้นหัวใจเจ้ากรรมกับเร่งจังหวะขึ้นมาวูบหนึ่งพร้อมกับความรู้สึกอุ่นซ่านที่แผ่ขยายในอก

TBC



---------------------------------

เห็นมีคนบอกว่าตามมาจากห้องแนะนำนิยาย รู้สึกดีใจแบบเขินๆ :-[ แบบว่าไม่คาดคิดเลยว่านิยายตัวเองจะมีคนชอบถึงขนาดแนะนำต่อ ขอขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนให้กำลังใจมาจนถึงตอนนี้ รวมถึงนักอ่านคนใหม่ๆที่ถูกล่อลวง(?)เข้ามาก็ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจติดตามนิยายของเราด้วย ^ ^

แต่เนื่องจากเซียร์อัพนิยายหลายที่ ดังนั้นอาจจะไม่ค่อยได้พูดคุยกับทุกๆคนนัก (แต่ก็สตอร์คเกอร์ไล่อ่านคอมเมนท์ทุกที่นะคะไม่ต้องห่วง =w=b) ถ้ามีอะไรที่อยากติชม แนะนำ สอบถาม หรือพูดคุยกับเซียร์โดยตรง ก็ไปหาที่เพจ https://www.facebook.com/ZiarNovel ได้เลยค่ะ เซียร์เฝ้าเพจแทบตลอดเวลา XD
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2013 14:11:54 โดย ZIar »

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #103 เมื่อ05-12-2013 14:24:24 »

ใช้วิธีปฏิเสธแบบนี้เลยเหรออังเดร
จริงๆเริ่มชอบซถแล้วก็บอกมาเถอะน่า
ห่วงเขาเสียขนาดนี้แล้ว

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #104 เมื่อ05-12-2013 17:33:01 »

แหม สนใจซูเล่ยก็บอกเถอะอังเดร อย่ามาอ้างว่าเพราะยูล่าเลย
สงสัยล่ะสิว่าคนเดียวกับลีหรือเปล่า

ยูล่าก็จากกันแต่โดยดีเนอะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #105 เมื่อ05-12-2013 17:43:28 »

ยูล่าก็ไม่มีปัญหากับคู่นี้แล้ว
แต่อ่านแล้วตื่นเต้นมากค่ะ ลุ้นตลอดว่าอังเดรจะโกรธ ซูจะพูดไร
แต่แบบโอ๊ยทำไมตอนนี้อังเดรทำดีอะ ไม่เดินหนีแถมต่อปากต่อคำ
ชอบกันสักที~~~ เอ้ะหรือชอบกันแล้ว:P

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #106 เมื่อ05-12-2013 18:01:20 »

ไหนว่าแค่ผู้สมรู้ร่วมคิด

บนเตียงตอนกลางคืน ยูล่าก็อยู่ด้วยเหรอ  :a14: :a14: :a14: :a14:

เกลียดมันนนนนน  :serius2:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #107 เมื่อ05-12-2013 18:36:56 »

อังเดรนี่ไม่รู้ใจตัวเองเลยน๊า

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #108 เมื่อ05-12-2013 19:25:35 »

หวังว่าจะสลัดยูล่าออกไปได้สักทีนะ
ต่อไปก็เป็นเรื่องของคนสองคนแล้ววว อังเดรอ่อนโยนบ่อยๆ แล้วรีบรู้ใจตัวเองด้วยนะ
ทำร้ายซูมากๆ เดี๋ยวซูหนีไปไม่รู้ด้วยนะ ชิชิ

ออฟไลน์ Ta_ii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #109 เมื่อ05-12-2013 20:37:24 »

ชะนียูล่าไปได้ซักที :katai2-1:

อังเดรนี่เมื่อไหร่จะจำซูได้นะ
แต่แค่ตอนนี้แสดงความห่วงใยซูให้เห็นก็โอเคแระ
ซูป่วยเพราะอังเดรจัดหนักเมื่อคืนชิมิ

ปล.นึกว่าจะมีฉากอัศจรรย์ให้อ่านซะอีก คึคึ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
« ตอบ #109 เมื่อ: 05-12-2013 20:37:24 »





ออฟไลน์ mildmint0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #110 เมื่อ05-12-2013 20:57:24 »

ชอบนิยายเรื่องนี้ของคุณคนแต่งมาก เนื้อเรื่องน่าสนใจ น่าติดตาม
จะติดตามและมาให้กำลังใจบ่อยๆนะครับ
ถึงแม้จะมาลงนิยายไม่ถี่ แต่มาลงทีนึงก็เยอะเอาการ
ก็โอเคครับ เหมือนได้ลุ้นอะไรดี ^^
แล้วก็ยังแอบหวังให้ฉาก nc ทะลุทะลวงมากกว่านี้
สรุปปลื้มมากๆ ครับ

wongwikkarn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #111 เมื่อ05-12-2013 21:48:05 »

รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ ratrirattikan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #112 เมื่อ05-12-2013 21:54:50 »

สงสารซูเล่ยนะคะ...
เหมือนรักไปทำใจไปชอบกลนะ
เราเฉยๆกับนิสัยอังเดร แต่ชอบซูนะ ดู...แกร่งดี(ลางสังหรณ์บอกว่าจะเป็นคนเข้มแข็งกว่าที่คิดสินะ)

ออฟไลน์ akera

  • I love him anymore. but he love him.
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #113 เมื่อ05-12-2013 23:13:53 »

มารอตอนต่อไป
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้สู้

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #114 เมื่อ06-12-2013 15:43:27 »


เดี๋ยวถ้าพ่อตารู้จะเป็นยังไงนะ
อุตส่าห์ส่งให้มากันคนอื่นแต่ดันมาได้กันเอง

เดาว่ารถคันนั้นคงจะถูกส่งมาจับตาดูซูอีกทีรึเปล่านะ

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #115 เมื่อ06-12-2013 20:41:02 »

ใช้ซูเป็นข้ออ้างกันยูล่าหรือว่าแอบติดใจซูกันแน่

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #116 เมื่อ08-12-2013 02:36:27 »

อ่านถึงตอนล่าสุดแล้ว เฮ้!

เหมือนแผนซูจะไปได้ดีนะ แต่ไหงกลับโดนอังเดรเล่นกลับซะได้
อยากรู้ว่าซูจะทำยังไงต่อไป แบบเดายากจริงๆกับซูเนี่ย

ออฟไลน์ jamlovenami

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 639
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 12 [5/12/13]
«ตอบ #117 เมื่อ08-12-2013 12:49:54 »

อร๊ายยย จะน่ารักเกินไปแล้วนะพ่ออังเดร

สงสารซูเล่ยบ้าง มาเป็นชุดขนาดนี้ไม่ให้ได้พักยกกันบ้างเล้ยยย :hao3:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
«ตอบ #118 เมื่อ10-12-2013 15:26:39 »

-13-

   ผมที่เริ่มยาวปรกหน้าทำให้ซูเล่ยอดจ้องมองตนเองในกระจกอย่างแปลกตาไม่ได้ จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านอังเดรเขายังไม่เคยตัดผมเลยสักครั้ง และหลายปีมานี้เขาก็ไว้ผมสั้นมาโดยตลอด หากจะนับจริง ๆ ก็คงหลังแยกจากอังเดรเขาก็ตัดผมสั้นทันทีและไม่เคยปล่อยยาวอีกเลย

   ชายหนุ่มจับปอยผมแล้วถอนหายใจ

   คงจะต้องไปร้านตัดผมสักครั้งแล้วกระมัง เพราะหากปล่อยให้ยาวไปมากกว่านี้มันจะไปกระตุ้นให้ใครคนหนึ่งคิดถึง ‘ลี’ เสียเปล่า ๆ

   หลังจากส่งอังเดรไปทำงานแล้ว ซูเล่ยก็จับเอเดรียนแต่งตัวเตรียมออกข้างนอก

   “ไปเที่ยวกับซู~” เด็กหญิงตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ออกไปท่องในโลกกว้างหลังจากอุดอู้ในบ้านมานานและไม่นับวันเสาร์ที่พวกเขาออกไปซื้อของด้วยกัน ระหว่างโดนจับแต่งตัวจึงไม่อยู่นิ่งเลย ถึงอย่างนั้นซูเล่ยก็สามารถจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้ด้วยความชำนาญ เอเดรียนในเสื้อกันหนาวและกระโปรงน่ารักกระโดดกระเด้งไปรอบ ๆ ห้อง ในมือก็ยังอุ้มตุ๊กตากระต่ายตัวเดิมไม่ยอมปล่อย

   “เอาน้องกระต่ายไว้ที่บ้านเถอะ ถ้าออกไปข้างนอกเดี๋ยวจะสกปรกเอา” ทุกครั้งที่จะออกนอกบ้าน ก็ต้องตะล่อมเอเดรียนให้ยอมวางตุ๊กตาตัวโปรดเสียก่อน แต่ในระยะหลังดูเหมือนเด็กหญิงก็เรียนรู้ได้ดี เมื่อได้ยินก็จะวางตุ๊กตาลงบนโซฟาโดยไม่อิดออดเหมือนครั้งแรก ๆ

   “อากาศเย็นน้องต่ายจะเป็นหวัด” เธอพูดไปก็เอาผ้าขนหนูห่มให้ตุ๊กตา สำหรับเด็กมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สิ่งไม่มีชีวิตจะมีความรู้สึก

   ซูเล่ยเดินเช็คสิ่งต่าง ๆ ในบ้านให้อยู่ในสภาพที่มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันระหว่างที่เอเดรียนกำลังร่ำรากระต่ายแสนรัก แต่แล้ว เสียงออดหน้าบ้านก็พาให้พวกเขามองไปยังประตูด้วยสายตาแสดงความสงสัยที่ถูกขัดจังหวะแต่ซูเล่ยก็บอกให้เอเดรียนรออยู่ในบ้านดี ๆ แล้วเดินออกไปที่ประตู

   เมื่อมองลอดตาแมว เขาก็เห็นว่าคนข้างนอกสวมเครื่องแบบของไปรษณีย์และในมือถือกล่องพัสดุอยู่ใบหนึ่งแต่ดูจะไม่ได้หนักมาก

   “พัสดุมาส่งให้คุณอังเดร แอชฟอร์ดครับ” พนักงานไปรษณีย์กล่าว “ใช่คุณแอชฟอร์คหรือปล่าครับ?”
   “คุณแอชฟอร์ดไม่อยู่ ผมเป็น...คนดูแลบ้าน เซ็นรับแทนได้ไหมครับ?”

   “เอ...ได้ครับได้” พนักงานหนุ่มว่าแล้วสละมือข้างหนึ่งควานหาเอกสารสำหรับเซ็นรับของ ในช่วงนั้น ซูเล่ยก็สังเกตเห็นความผิดปกติ รถสีเทาที่ดูคุ้นตาจอดอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องไปจากหน้าบ้านแค่เพียงเล็กน้อยเหมือนไม่ได้เจาะจงว่าจะมาบ้านไหน แต่เพียงแค่เห็น ซูเล่ยก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ตอนที่เขาคิดจะหันไปเร่งพนักงานที่มัวแต่โอ้เอ้นั้นเอง สิ่งที่ปรากฏในมือของพนักงานไปรษณีย์กลับทำให้ต้องชะงัก

   โลหะสีดำมันปลาบมีส่วนประกอบที่มองมุมไหนก็รู้ได้ว่าเป็นปืนถูกจ่ออยู่ที่ลำตัว ด้วยมุมนี้ถึงจะมีคนเดินไปเดินมาบนทางเท้าก็ไม่อาจมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

   “เดินเข้าไป” พนักงานที่แสนสุภาพเมื่อครู่แสยะยิ้มพร้อมออกคำสั่ง และเมื่อซูเล่ยถอยหลัง เขาก็เห็นว่ามีใครอีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างบานประตูกำลังเดินเข้ามาด้วยเช่นกัน

   สถานการณ์แบบนี้...มันอะไรกันแน่!?

   แต่ก่อนที่จะสรุปความให้ตัวเองได้ เขาก็ถูกผลักให้ล้มลงบนพื้น เมื่อคิดจะลุกขึ้น ปืนกระบอกเดิมก็มาจ่ออยู่ด้านหน้า

   “อย่าเล่นตุกติก ไม่งั้นตัวได้มีรูแน่” ผู้ชายร่างใหญ่ที่เดินเข้ามาทีหลังปิดประตูหน้าบ้าน ทำให้ตอนนี้ซูเล่ยถูกขังไว้ในบ้านที่ตัวเองเป็นคนดูแล “ฉันได้ยินมาว่านายชอบนอนกับผู้ชายสินะ แถมเป็นใครก็ได้ด้วย พวกฉันก็เลยอยากจะใช้บริการบ้าง”

   อะไรนะ?

   ซูเล่ยขึงตาใส่ผู้มาเยือนแสนหยาบคายทั้งสอง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไร กลายเป็นเพียงเสียงหัวเราะกึกก้องตอบแทนความขุ่นใจที่ถูกดูหมิ่น

   เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง ทว่าผู้บุกรุกก็ไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรมากนัก คนหนึ่งรวบมือของเขาเอาไว้ด้วยกันและถือปืนจ่อกันเขาหลบหนี ส่วนอีกคนหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่าก็เริ่มทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากถูกกระทำนัก

   “อยู่เฉย ๆ สิ” เสียงทุ้มต่ำแฝงแววคุกคามออกคำสั่งเมื่อเขาถีบยันอย่างสุดแรง แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายคว้าจับอย่างง่ายดายราวกับเป็นแค่การต่อต้านของสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่ไร้เรี่ยวแรง กางเกงถูกปลดออกในขณะที่เจ้าของพยายามดิ้นรนเท่าที่ทำได้

   “พวกแก...ต้องการอะไร...” เขาเต้นเสียงลอดไรฟันพร้อมหอบหายใจหนัก ภายในอกกำลังถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัว ทั้งกลัวและถูกทำร้ายและกลัวถูกฆ่า มันเป็นความรู้สึกสามัญของมนุษย์ซึ่งหากไม่ตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างยิ่งยวดคงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองจะสามารถหวาดกลัวอะไรได้ถึงขนาดนี้ แต่ภายใต้ความกลัวยังแฝงด้วยความขึ้งโกรธเพราะไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ เพราะเหตุนั้นในดวงตาของซูเล่ยจึงเต็มไปด้วยประกายของการขัดขืนมากกว่าขลาดกลัว

   “ก็บอกไปแล้วไงว่าอยากใช้บริการน่ะ เอ้ แค่นี้ฟังไม่ออกหรือยังไงก...”

   “ซู!”

   จู่ ๆ เสียงแหลมเล็กของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น ดึงความสนใจของทั้งสามคนจากสิ่งที่ทำอยู่ไปยังเจ้าของเสียงซึ่งยืนทำท่าโกรธเกรี้ยวอยู่ไม่ไกล

   “เอเดรียน!”

   “อย่าทำร้ายซูนะ!” เด็กหญิงเห็นพี่เลี้ยงกำลังตกอยู่ในอันรายก็เริ่มอาละวาดหยิบข้าวของระดมปาใส่ผู้บุกรุกถึงแม้บริเวณนั้นจะมีเพียงแค่รองเท้าไม่กี่คู่บนชั้นวางและเสื้อโค้ทที่แขวนบนขาตั้งสูงซึ่งเธอไม่สามารถดึงลงมาได้ ผู้บุกรุกร่างเล็กที่มีปืนในมือรำคาญการรบกวนของเด็กหญิงจึงปัดรองเท้าบูทที่ลอยมาให้กระเด็นไปอีกทางก่อนลุกขึ้นย่างสามขุนไปทางเอเดรียนด้วยท่าทางมาดร้ายไม่ปิดบัง

   “เอเดรียนไปหลบในห้อง!” ซูเล่ยตะโกนได้แค่นั้นก็จับพลิกคว่ำ ชายร่างสูงใหญ่ดึงแขนล้อคไปด้านหลังอย่างแรงจนเขาเผลอร้องออกมา “...ไอ้...บ้าเอ๊ย...”

   เอเดรียนถูกจับตัวได้ไม่ยากเย็นด้วยรูปร่างที่ยังเล็กทำให้ไม่สามารถขัดขืนแรงของผู้ใหญ่ได้ แม้ผู้ชายที่จับตัวเอเดรียนจะรูปร่างพอ ๆ กับซูเล่ยก็ตาม เด็กหญิงถูกจับหิ้วขึ้นจากพื้นโดยไม่มีการออมแรง เมื่อเอเดรียนรู้สึกเจ็บก็ร้องออกมาและพยายามที่จะดิ้นหนี

   “ปล่อยนะ! ปล่อยเอเดรียนนะ! คนไม่ดี!”

   “เฮ้ย จะไม่ช่วยฉันจัดการเจ้านี่แล้วหรือไง?” ชายร่างสูงใหญ่ถามเพื่อนที่จับเด็กเป็นตัวประกัน

   “ไม่ล่ะ พอดีสเปคฉันมันต้องตากับผู้หญิงมากกว่า ถึงจะเด็กก็ไม่เกี่ยงหรอก” ผู้บุกรุกร่างเล็กเลียริมฝีปากแต่กลับโดนเอเดรียนข่วนหน้า ถึงแม้จะมีแค่รอยแดงถาก ๆ แต่คนโดนก็เจ็บไม่ใช่น้อย เขาโยนเด็กหญิงลงพื้นอย่างเดือดดาล “ไอ้เด็กบ้า! อยู่ดีไม่ว่าดีนักใช่ไหม!”

   ร่างเล็กของเด็กหญิงกระแทกพื้นดังอั่ก

   เอเดรียนแน่นิ่งไปหลายวินาทีก่อนจะค่อย ๆ สั่นสะท้านตามด้วยเสียงสะอื้น เพียงไม่นานก็กลายเป็นเสียงร้องไห้จ้า

   “ไอ้บ้า เดี๋ยวคนแถวนี้ก็รู้กันหมด อุดปากมันซะที!” เจ้าของร่างใหญ่สั่งอีกคนให้รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไป คนถูกสั่งส่งเสียงจิ๊จ๊ะในคอด้วยความรำคาญก่อนก้าวเดินไปหาเอเดรียนที่ขดตัวร้องไห้เพราะเจ็บจุกที่กระแทกพื้น ตอนนี้ความกลัวได้คืบคลานเข้าสู่จิตใจของเด็กน้อยแล้ว แต่เด็กย่อมไม่รู้วิธีเอาตัวรอด เมื่อเผชิญอันตรายก็จะพยายามพาตัวเข้าหาคนที่สามารถปกป้องตนเองได้ ซึ่งในที่นี้มีเพียงซูเล่ย กระนั้นระหว่างเธอกับซูเล่ยก็มีชายอีกคนหนึ่งขวางกั้น เมื่อเด็กหญิงพยายามคลานไปหาพี่เลี้ยงก็ถูกล็อคตัวไว้อีกครั้ง

   “ปล่อยเอเดรียนเดี๋ยวนี้นะ! พวกแกมาที่นี่เพราะฉันไม่ใช่หรือไง!”

   “ไหน ๆ ก็มีเหยื่อเพิ่มแล้ว ปล่อยไปก็เสียดายแย่น่ะสิ”

   ซูเล่ยฟังแล้วสูดหายใจหนักหน่วงจนเจ็บหน้าอก ฟันกรามขบเข้าหากันจนแน่น ในใจพยายามนึกหาวิธีที่จะพาตนเองและเอเดรียนออกจากสถานการณ์นี้ แต่น่าเสียดายที่วิธีเดียวที่มีคือต้องมีใครสักคนกลับมาเจอ ทว่า...อีกหลายชั่วโมงกว่าที่อังเดรจะกลับมาบ้าน

   “เอ้า เฮ้ย! แกจัดการตรงนี้ไปนะ ฉันขอพายัยหนูนี่ไปจัดการอีกทางแล้วกัน”

   ถ้ามัวแต่คิดวิธีก็จะไม่ทันการ

   ซูเล่ยตัดสินใจในชั่ววินาทีคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดซึ่งบังเอิญว่าเป็นรองเท้าบูทสำหรับเดินในหิมะ มันทั้งหนาและหนักมากพอที่จะทำร้ายใครสักคนให้ชะงักได้ ซูเล่ยฝืนกลับตัวกระแทกส้นรองเท้าใส่ขมับชายร่างสูงทำให้เจ้าตัวเผลอปล่อยมือ เขาไม่ทิ้งโอกาสในเสี้ยววินาทีที่จะดึงตัวออกให้พ้นจากพันธนาการ แม้วิธีนั้นจะทำให้แขนที่ถูกล็อคได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อจนขยับแทบไม่ได้ โชคดีที่กระดูกหัวไหล่ไม่ได้หลุดออกแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาในขณะนี้ เพราะเมื่ออีกคนหนึ่งร้อง อีกคนก็รู้สึกตัว

   เจ้าของร่างเล็กที่กำลังอุ้มเอเดรียนหันกลับมาพร้อมปืนในมือ แต่เพราะอารามตกใจจึงไม่ได้สั่นไกในทันที เปิดโอกาสให้ซูเล่ยคว้าตัวเอเดรียนและกระแทกอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี

   เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้กอดพี่เลี้ยงแน่นด้วยร่างกายสั่นเทาและบอบช้ำ

   บ้านหลังนี้ไม่มีประตูหลัง มันกลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะประตูหน้ามีคนยืนจังก้าตั้งสติอยู่ ส้นรองเท้าบูทคงได้ผลเกินคาดหมายแต่ก็ถ่วงเวลาได้ไม่นาน ส่วนอีกคนหนึ่งก็แค่ล้มกระแทกพื้น ในไม่กี่วินาทีก็ลุกขึ้นได้เหมือนเดิม ทางออกที่เหลือจึงเป็นห้องใดสักห้องที่แข็งแรงพอจะป้องกันคนเหล่านี้ได้จนกว่าตำรวจจะมาถึง

   ถ้าหาก...เขามีโอกาสที่จะโทรเบอร์ฉุกเฉินล่ะก็นะ...

   เมื่อไม่เหลือทางเลือก ซูเล่ยก็อุ้มเอเดรียนขึ้นด้วยแขนข้างที่ยังมีแรงและพาขึ้นบันไดเพื่อมุ่งไปยังชั้นสอง ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าควรจะเข้าไปที่ห้องไหน

   และผู้บุกรุกก็ไม่ปล่อยให้มีเวลาคิด

   หลังจากทั้งสองตั้งสติและตั้งหลักได้ก็พากันวิ่งตามมาทางบันไดไม่ให้เหยื่อหนีสำเร็จ แม้ว่าซูเล่ยจะทิ้งระยะได้ แต่กลับไม่มากพอ เพราะเมื่อไปถึงแค่กลางทาง ความเจ็บก็บังเกิดบนหนังศีรษะเพราะกระจุกผมถูกจับและดึงอย่างแรงจนเสียหลัก เขาเอนล้มลงจากบันไดในท่วงท่าที่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้และคนดึงก็ไม่ทันคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะล้มลงมาจึงไม่ได้คิดที่จะรับทำให้ศีรษะของซูเล่ยพุ่งลงโดยไร้การป้องกันเพราะเขากอดเอเดรียนเอาไว้แน่นแทนที่จะป้องกันส่วนหัวของตนเอง

   เสียงโครมดังขึ้นตามด้วยข้าวของบางส่วนที่ตกลงมาจากตู้และกระจายอยู่บนพื้น

   มันคงจะเป็นแค่การตกบันไดธรรมดา หากว่าไม่มีของเหลวสีแดงที่ไหลนองและกระจายวงอย่างช้า ๆ ...
   ความเงียบทิ้งตัวลงจนน่าใจหาย ไม่มีใครกล้าขยับเคลื่อนไหวในช่วงวินาทีที่ยาวนานนั้น

   “ซวยแล้ว!” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น โทษบุกรุก โทษทำร้ายร่างกาย ก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าโทษฆาตกรรม ทั้งสองไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น และด้วยความตกใจจึงร้องเช่นนั้นและรีบพากันวิ่งออกไปจากบ้านโดยทิ้งซูเล่ยและเอเดรียนไว้

   เด็กหญิงลืมตาขึ้นเมื่อหายตกใจ เธอถึงพื้นอย่างปลอดภัยเพราะมีตัวของซูเล่ยรองรับ ทว่า...พี่เลี้ยงซึ่งปกป้องเธอกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง

   “...ซู...” เอเดรียนสะอื้นแล้วเขย่าตัว “ซู! ตื่นสิ ซู!”

   หลายต่อหลายครั้งที่เพียรพยายามจะปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นขึ้น แต่คนที่หลับใหลก็ไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวทำให้เด็กหญิงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจและระบายออกมาเป็นเสียงสะอื้นไห้ที่ไม่มีใครได้ยิน ในบ้านอันว่างเปล่า มีเพียงเด็กน้อยที่ไร้เกราะป้องกันกับร่างไร้สติของผู้ชายคนหนึ่ง

   เลือดยังคงขยายวงออกไปเรื่อย ๆ เปรอะเปื้อนชายกระโปรงตัวสวยกลายเป็นคราบสีสนิมดูน่ากลัว

---------------------------->

   วันนี้อังเดรรู้สึกใจไม่ดีมาตั้งแต่เช้า ตอนที่ซูเล่ยบอกว่าจะออกไปตัดผมและขอให้แนะนำร้านใกล้ ๆ ให้ เขาก็รู้สึกคันยุกยิกในอกจนอยากจะทักท้วง ทว่า...มันไม่มีเหตุผลมากเพียงพอจึงได้แต่ปล่อยไปและคิดว่ามันคงจะเป็นแค่อาการคิดมากเพราะซูเล่ยจะออกไปข้างนอกกับเอเดรียนตามลำพัง

   เขากับยูล่าพบกันที่โรงเรียนในชั่วโมงเต้นรำ หลังจากวันนั้นหญิงสาวยังคงปฏิบัติต่อเขาเช่นเดิมโดยไม่ได้รุกเข้าใกล้มากขึ้นซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่ดี ดูเหมือนยูล่าจะทำใจได้แล้วกับเรื่องของเขา และเลือกที่จะเว้นระยะกลับไปเป็นผู้ช่วยและเพื่อนที่ดี

   เขาและยูล่าจับคู่เต้นสาธิตตามปกติ หลังจากนั้นก็สนุกสนานกับการเรียนของพวกเด็ก ๆ ทำให้ลืมความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าไปเสียสนิท

   ทว่า...เมื่อตกบ่ายในระหว่างที่กำลังสอนอยู่นั้น กลับมีคนโทรเข้ามา

   “ขอโทษนะยูล่า ฉันขอตัวไปโทรศัพท์สักหน่อย” เขาว่าก่อนปลีกตัวออกไปรับสาย แต่ปลายสายกลับบอกเล่าสิ่งที่น่าตกตะลึง

   “คุณแอชฟอร์ด ได้ยินหรือเปล่าครับ?” ปลายสายที่แนะนำตัวว่าเป็นนายตำรวจถามย้ำเมื่อคู่สนทนาเงียบหายไปนาน

   “ครับ...ผมได้ยิน แล้วตอนนี้พวกเขา...”

   “ทั้งสองคนอยู่กับเราที่โรงพยาบาล” นายตำรวจพูดถึงชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในละแวกนั้น อังเดรร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รีรอเลยที่จะไปบอกให้ยูล่าจัดการทุกอย่างเองโดยไม่บอกเหตุผลใด ๆ และรีบขับรถมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่เอเดรียนและซูเล่ยอยู่ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเหยียบที่ความเร็วเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่าสมองของเขาว่างเปล่าจนกลายเป็นสีขาว ภาพทิวทัศน์ผ่านตาไปแต่ไม่ได้ผ่านสมอง และด้วยเวลาเพียงสองในสามของปกติ อังเดรก็มาถึงโรงพยาบาลโดยที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามาทางถนนเส้นไหน
   “คุณแอชฟอร์ดใช่ไหมครับ?” เมื่อเขามาถึง นายตำรวจก็เอ่ยทักทันที

   “ครับ...ลูกสาวผม?”

   “ทางนี้ครับ” ตำรวจหนุ่มเดินนำไปที่จุดนั่งรอสำหรับญาติผู้ป่วย ที่เก้าอี้ยาวมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เอเดรียน และล้อมกรอบด้วยตำรวจสองนายซึ่งพยายามตะล่อมถามสิ่งที่เกิดขึ้นจากเด็กหญิง ทว่าเธอตกใจมากจนไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้เลยสักข้อเดียว ทำให้ทั้งสองลำบากใจอยู่ไม่น้อย

   “เอเดรียน”

   เด็กหญิงสะดุ้ง หยุดร้องไห้และหันมองต้นเสียง

   “แดดดี้!” โดยไม่สนใจอาการช้ำของตนเองที่ทำให้เจ็บจนถึงตอนนี้ เอเดรียนก็กระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งเข้าไปกอดพ่อทั้งน้ำตา “แดดดี้ ซูเลือดออกเต็มไปหมดเลย แล้วซูก็โดนเอาตัวไป” เสียงละล่ำละลักปนสะอื้นไม่ได้ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจอะไรมากขึ้นนัก แต่อังเดรก็อุ้มลูกสาวขึ้นมากอดปลอบเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความอุ่นใจและปลอดภัย เสียงร้องไห้จึงพอจะเงียบลงบ้าง กระนั้นเมื่อเขาเห็นรอยเลือดบนชายกระโปรงลูกสาว หัวใจก็เต้นระรัวจนผิดปกติด้วยคิดถึงใครอีกคนซึ่งควรจะอยู่ที่นี่

   “ดีแล้วที่คุณมา คุณแอชฟอร์ด” ชายสูงวัยลุกขึ้นและเดินมาหา คนคนนี้คือเพื่อนบ้านผู้แสนดีนั่นเอง คงจะเป็นผู้เห็นเหตุการณ์จึงได้ติดตามมาช่วยดูแลเอเดรียนที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จักในขณะที่พี่เลี้ยงถูกหามเข้าห้องฉุกเฉินไปต่อหน้าต่อตา

   “คุณบรองซ์ ขอบคุณมากนะครับ” อังเดรเอ่ยขอบคุณด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งที่ช่วยดูแลเอเดรียน ช่วยเป็นหูเป็นตามองดูสิ่งผิดสังเกต และช่วยโทรแจ้งตำรวจ แต่...

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 13 [10/12/13]
«ตอบ #119 เมื่อ10-12-2013 15:27:13 »

   “ไม่หรอก ที่จริงแล้วผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย” ชายที่ถูกเรียกว่าคุณบรองซ์ถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิด เพราะเขาไม่ได้รู้เลยว่าคนข้างบ้านกำลังลำบาก ไม่รู้กระทั่งว่าเอเดรียนร้องไห้อยู่นานแค่ไหนเพื่อขอให้ใครสักคนมาช่วยเหลือ และเมื่อเห็นสีหน้าแสดงความสงสัยจากคู่สนทนาเขาจึงพูดต่อ “ตอนนั้นผมกำลังจัดของอยู่ในบ้าน แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงออดเลยเปิดออกไปดู มีผู้ชายคนหนึ่งสวมโค้ทกับแว่นกันแดดมาหาที่หน้าบ้าน เขาบอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้มาจากบ้านของคุณ ตอนแรกผมก็คิดระแวงแต่พอเห็นประตูหน้าบ้านคุณเปิดอ้าอยู่ก็สังหรณ์ใจไม่ดี ผมเข้าไปดูเห็นเจอพี่เลี้ยงของคุณนอนอยู่บนพื้นแล้วหนูเอเดรียนก็ร้องไห้อยู่ข้าง ๆ”

   ผู้ชายสวมโค้ทกับแว่นกันแดด?

   “แล้ว...ซูล่ะครับ?” อังเดรเลือกที่จะละความสนใจจากบุคคลปริศนาไปก่อนเพราะได้ยินจากตำรวจว่าซูเล่ยตกจากบันไดหัวแตก ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง

   “พอหมอบอกว่าได้สติแล้ว พวกตำรวจก็เลยเข้าไปสอบปากคำอยู่น่ะ สิบนาทีแล้วยังไม่ออกมากันเลย” ว่าแล้วบรองซ์ก็ถอนหายใจ

   “อย่างนั้นหรือครับ?” อาการร้อนอกร้อนใจทำให้รู้สึกกระสับกระส่าย แต่อังเดรก็พยายามทำตัวให้ปกติเพื่อไม่ให้ความกังวลของตนส่งไปถึงเอเดรียนที่ตอนนี้ขวัญผวามากพออยู่แล้ว

   “แล้วผู้ชายคนนั้นไม่ได้มาด้วยหรือครับ?”

   “ไม่หรอก พอผมเข้าไปดูเอเดรียนเขาก็หายตัวไปแล้ว” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะอ่อนอกอ่อนใจเพราะเรื่องนี้พวกตำรวจก็ถามเขาอยู่เหมือนกัน “แต่...ผมนึกถึงอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาได้ ตอนที่เขาหายไป รถสีเทาที่จอดตรงข้ามก็หายไปเหมือนกัน รถคันนั้นดูคุ้นตามากทีเดียวเหมือนว่าจะเห็นมาจอดอยู่ตรงนั้นบ่อย ๆ อาจจะเป็นคนละแวกนั้นแต่ไม่อยากเปิดเผยตัวล่ะมั้ง”

   รถสีเทา?

   อังเดรรู้สึกว่าเรื่องนี้คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก แต่เพราะใจไม่สงบจึงนึกไม่ออกว่าเคยเห็นหรือได้ยินมาจากที่ไหนและมีความเกี่ยวข้องกับใคร

   บังเอิญว่าหมอคนหนึ่งเดินผ่านมาและเห็นพูดคุยกับตำรวจสองนายที่อยู่ด้านนอก อังเดรจึงรีบเข้าไปหาโดยเก็บข้อสงสัยอื่น ๆ ไว้ในใจไปก่อน

   “ขอโทษครับ ผมเป็นนายจ้างของ...” เขากลอกตานึกหาชื่อเต็มของซู แต่ความทรงจำในส่วนนี้กลับว่างเปล่า จริงสิ...เขาไม่เคยรู้ชื่อเต็มจริง ๆ ของอีกฝ่ายเลย...

   “คุณแอชฟอร์ดสินะครับ ตอนนี้พี่เลี้ยงของคุณไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว มีแค่บาดแผลบนศีรษะส่วนสมองก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากนี้คงต้องมาตรวจเช็คอีกสักสองหรือสามครั้งเพื่อความมั่นใจ ส่วนลูกสาวคุณก็มีแค่รอยช้ำ กระดูกกับอวัยวะภายในไม่เสียหายแต่ก็ควรพามาตรวจเสียด้วยกัน เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเขียนใบนัดให้ ช่วยรอรับด้วยนะครับ” ว่าจบ หมอหนุ่มก็รีบเร่งเดินจากไป คงจะถูกเรียกตัวฉุกเฉินกระมังจึงได้รีบอธิบายอย่างรวบรัดแล้วจากไปในทันที แต่อย่างน้อยก็วางใจได้เปลาะหนึ่งว่าทั้งซูเล่ยและเอเดรียนไม่ได้รับอันตรายจนถึงชีวิต

   “แดดดี้ ซูล่ะ?” เอเดรียนยังเป็นห่วงพี่เลี้ยงของตน

   “ขอโทษครับ ผมขอเข้าไปดูเขาได้ไหม?” ชายหนุ่มเดินเข้าไปถามตำรวจที่ยืนคุยกันด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายจากคดีที่ดูไม่ได้ช่วยให้มีผลงานมากนัก

   “อ...ครับ ๆ” ตำรวจสองนายมองหน้ากันก่อนปล่อยให้อังเดรผ่านเข้าไป

   “เอ่อ...คนตัวสูงราว ๆ 8 ฟุตได้ล่ะมั้งครับ” พอเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในหูคือเสียงที่แสดงความไม่มั่นใจของซูเล่ยที่กำลังถูกขอให้บรรยายลักษณะของคนร้าย กระนั้น ด้วยความที่ไม่มีเวลาได้สังเกตนานนักกอปรกับเพิ่งได้สติข้อมูลจึงแสนจะเลือนราง

   ดูเหมือนอังเดรจะเข้าไปถูกจังหวะ เพราะพวกตำรวจทำท่าเหมือนจะกลับกันแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้น นึกอะไรออกอีกก็โทรไปแจ้งด้วยนะครับ”

   พวกตำรวจเดินสวนออกไป อังเดรจึงเบี่ยงหลบแล้วเดินเข้าไปทางเตียง เห็นซูเล่ยกำลังคลำศีรษะตนเองในจุดที่เพิ่งถูกเย็บแผลไปสด ๆ และมุ่นคิ้วก็นึกเป็นห่วง ทว่า เมื่อเจ้าตัวหันมาทางเขาและเลิกคิ้วจึงค่อยสบายใจได้ว่าอีกฝ่ายยังสบายดี

   “ซู!” เอเดรียนโถมตัวจากแขนพ่อลงไปหาพี่เลี้ยงโดยไม่นึกสังวรร่างกายของตนแม้แต่น้อย อังเดรจึงต้องยอมวางอีกฝ่ายลงบนตักของซูเล่ย และมองเด็กหญิงคลานเข้าไปกอดอีกฝ่ายจนแน่นเสมือนว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่ยอมปล่อยให้พี่เลี้ยงอยู่ห่างกายอีกแล้ว

   “รู้สึกยังไงบ้าง?”

   “...ปวดหัวนิดหน่อยครับ” ซูเล่ยกลอกตาอยู่สักพักก่อนตอบ เขารู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ตอบสนองต่อคำถามได้ช้าลงแม้มันจะไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยก็ตาม เหมือนกับว่าสมองของเขาเฉื่อยชาที่จะวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ไปชั่วขณะ โชคยังดีที่หมอบอกว่าอาการนี้จะหายไปเองในไม่ช้าหากพักผ่อนอย่างเพียงพอและไม่ทำอะไรให้สมองกระทบกระเทือนซ้ำอีก

   ในขณะที่เขากำลังมุ่นคิ้วเพราะไม่พอใจประสิทธิภาพของตนเองตอนนี้ อังเดรก็นั่งลงข้าง ๆ และถอนหายใจหนักหน่วง

   “จะว่าไป...คุณมีสอนไม่ใช่หรือ?” ได้ยินเสียงถอนหายใจและไม่พูดอะไร ซูเล่ยจึงถามต่อเพื่อไม่ให้ห้องเงียบจนน่าอึดอัด

   “เกิดเรื่องแบบนี้ใครจะมีกะใจทำอย่างอื่น”

   “...นั่นสินะครับ...” หลังจากตอบรับไปแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อคิดสิ่งที่จะพูดต่อไป “ดูเหมือนเอเดรียนจะไม่เป็นอะไรมาก แค่เหนื่อยนิดหน่อย ส่วนรอยช้ำพวกนี้คงจะหายไปเองในไม่ช้า” เขาว่าพลางลูบผมเด็กหญิงที่กอดตนเองร้องไห้จนหลับไป สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างความตึงเครียดให้เป็นอย่างมาก ถ้าหากสามารถหลับตาลงได้ก็แปลว่าได้หลุดพ้นจากความเครียดและความหวาดกลัวแล้ว เขายกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้มเอเดรียนแล้วจับขยับให้เอนซบในท่าที่สบายขึ้น

   อังเดรหันมองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนยกมือลูบผ้าพันแผลบนหน้าผาก จากมุมนี้มองไม่เห็นแผลก็จริง แต่เมื่อคะเนจากเลือดที่เปื้อนชายกระโปรงเอเดรียน มันคงจะร้ายแรงน่าดู

   “ผมกลับได้เลยหรือเปล่า?” เมื่อมองสายตาห่วงใยของอังเดร มันทำให้เขารู้สึกได้ว่าใจของตนกำลังสั่นไหวจึงถามเพื่อกลบเกลื่อน

   “คิดว่าคงกลับได้เลย แล้วหมอจะเขียนใบนัดให้มาตรวจอีกที วันไหนที่ต้องมาโรงพยาบาลฉันจะหยุดงานพามาเองก็แล้วกัน” ว่าแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปคุยกับพยาบาลเสียหน่อย พอเรียบร้อยแล้วจะได้กลับไปพักที่บ้าน”

   หลังอังเดรเดินออกไป ซูเล่ยก็เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง

   ในตอนที่รู้ว่าอังเดรสละละทิ้งทุกอย่างและรีบเดินทางมาที่นี่ แม้ส่วนหนึ่งจะเพราะเอเดรียนแต่เขาก็อดเผลอรู้สึกดีใจไม่ได้

------------------------------->

   เมื่อกลับถึงบ้าน เอเดรียนก็ตื่นแล้วแต่ยังงัวเงียอยู่ ซ้ำยังพยายามใช้อภิสิทธิ์เด็กเพื่ออ้อนมห้อุ้มเข้าบ้าน อังเดรจึงให้ซูเล่ยถือถุงยาและกระเป๋าใส่แผ่นซีดีและอุ้มเอเดรียนเข้าบ้านเอง

   รอยเลือดยังคงเกรอะกรังอยู่ที่ตีนบันได ของที่ตกแตกก็ยังคงตกแตกอยู่อย่างนั้น และมีร่องรอยของการตรวจสอบจากตำรวจทิ้งไว้เพิ่มด้วย หากเป็นแม่บ้านที่หลงรักความสะอาดเข้าเส้นมาเห็นภาพแบบนี้คงมีลมจับกันบ้าง แต่ซูเล่ยกลับรู้สึกว่าโชคดีแล้วที่รอดชีวิตมาได้

   ตอนที่ถูกกระชาก วูบหนึ่งในใจคิดแล้วว่าอาจจะไม่รอดก็เป็นได้ ยิ่งเมื่อศีรษะกระแทกเข้ากับมุมราวบันได ความเจ็บแล่นปราดเดียวก็ชาดิกไปทั้งร่าง จากนั้นโลกทั้งใบก็มืดสนิท เขาไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล ความรู้สึกแรกคือความรู้สึกเหมือนว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งอยากอาเจียนและมึนงงราวกับสมองถูกเขย่าและปั่นในมูลิเน็กซ์จนละเอียด พอลองขยับตัวมันก็ปวดเมื่อยไปหมดโดยเฉพาะช่วงหลังและสะโพกที่กระแทกกับขั้นบันได แต่หมอก็บอกว่ากระดูกสันหลังไม่ได้รับอันตรายจึงพอเบาใจได้บ้าง

   “เป็นอะไรไป? หรือว่านึกอะไรออก?” อังเดรเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นซูเล่ยเอาแต่ยืนมองจุดเกิดเหตุราวกับกำลังด่ำดิ่งลงไปในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้น

   “เปล่า...ผมแค่...ยังมึนอยู่นิดหน่อย” ซูเล่ยคลำผ้าพันแผลแล้วมุ่นคิ้วเล็กน้อย แม้จะไม่สามารถสัมผัสบาดแผลได้แต่ความเจ็บก็ยังอยู่ “ผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พอสวมเสื้อที่เปื้อนเลือดตัวเองแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย” ว่าแล้วเขาก็เดินเลี่ยงหลบรอยเลือดเพื่อก้าวขึ้นบันได

   ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง อังเดรก็พาเอเดรียนไปอาบน้ำอาบท่าในห้องข้าง ๆ

   จะว่าไป เอเดรียนถูกโยนลงพื้นแรงไม่ใช่น้อย ไม่รู้ว่าร่างกายเป็นยังไงบ้าง เพราะรู้สึกห่วงจึงรีบเปลี่ยนเสิ้อผ้าและไปดูสองพ่อลูกในห้องอาบน้ำ

   รอยช้ำเขียวปรากฏเป็นจ้ำบนแขนและสีข้างของเด็กหญิง มันดูน่ากลัวเพราะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำทำให้ผู้มองเผลอกลั้นหายใจ แต่สีหน้าของอังเดรตอนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่ารอยช้ำบนตัวเอเดรียนเสียอีก เพียงแต่พยายามสะกดกลั้นไว้เพื่อให้ไม่ลูกสาวตกใจกลัว

   “คุณต้องไปโรงเรียนลีลาศต่อ ไปเตรียมตัวดีกว่านะครับ” ซูเล่ยเดินเข้ามาหมายจะจัดการเอเดรียนต่อเอง แต่กลับถูกอังเดรรั้งมือไว้

   “วันอย่างนี้ฉันไม่มีใจจะทำงานหรอก เมื่อกี้โทรไปบอกอาร์เลนให้ดูแลแทนแล้ว เธอเองก็ไปกินยาแล้วนอนพักเสียจะดีกว่า”

   “ผมนอนมามากพอแล้ว” เขาว่าก่อนลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งข้างอ่างอาบน้ำ มองดูสองพ่อลูกเล่นน้ำด้วยกันจนเสื้อเชิ๊ตของอังเดรเปียกโชก ดูเหมือนเอเดรียนจะหายกลัวแล้วและอีกไม่นานเธอคงจะลืมเรื่องเหล่านี้ไปจนสิ้น ซึ่งนั่นจะดีสำหรับตัวเอเดรียนมากกว่า

   เด็กหญิงไม่แสดงอาการใด ๆ ที่บ่งบอกว่าถูกกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ในตอนกลางวันเลย เธอยังคงซุกซนตามปกติ แต่เพราะยังเจ็บอยู่จึงซนไม่ได้มากและเลือกที่จะนั่งอ้อนอังเดรกับซูเล่ยให้ทำนั่นทำนี่ให้ กระนั้น เพราะซูเล่ยบาดเจ็บอังเดรจึงเป็นคนที่ทำตามคำขอเสียเป็นส่วนมาก

   และจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน อังเดรก็เป็นคนอุ้มเอเดรียนเข้านอน ทว่า...

   “เอเดรียนอยากนอนกับแดดดี้”

   เมื่อผ่านช่วงเวลาวิกฤติ คนเราย่อมอยากจะอยู่ใกล้คนที่ทำให้อุ่นใจทุกวินาที อังเดรจึงเปลี่ยนใจเดินหมุนตัวไปที่ห้องของตัวเอง แต่...

   “ซูนอนด้วยนะ”

   ทั้งซูเล่ยและอังเดรต่างมองหน้ากัน ซูเล่ยไม่ได้คิดอะไรมากนักกับคำขอนี้ เขาเพียงสงสัยว่าอังเดรจะตอบรับหรือไม่เพราะห้องนอนนับเป็นเขตส่วนตัวของอีกฝ่ายกับคนที่เลือกสรรแล้วเช่นมารีน ที่อังเดรโกรธเขาก่อนหน้านี้ก็เพราะการรุกล้ำสถานที่ส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง

   “ไม่เป็นไร พี่นอนคนเดียวได้” เขาลูบผมเอเดรียนเพราะไม่อยากจะยืนเล่นแง่นานนัก เพราะร่างกายเขาไม่พร้อมที่จะรับฟังความเอาแต่ใจของใครในตอนนี้ แต่เอเดรียนกลับมุ่ยหน้าแม้จะง่วงจนตาแทบปิดและจับมือซูเล่ยแน่นเป็นการยืนยันความตั้งใจของตัวเอง

   “เอเดรียนอยากนอนกับซู อยากนอนกับแดดดี้” ความมุ่งมั่นของเอเดรียนพาให้ผู้ใหญ่ทั้งสองพากันอ่อนอกอ่อนใจ และแม้อังเดรจะไม่เต็มใจนักแต่ก็ต้องยินยอมเพื่อให้ลูกสาวยอมนอนโดยไม่งอแงหรือผวาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้าย

   ซูเล่ยรู้สึกแปลกที่ได้เป็นผู้ได้รับเชิญในห้องนอนของสามีภรรยาที่ยังคงให้กลิ่นอายของคู่แต่งงานแม้ว่าคนหนึ่งจะเสียชีวิตไปหลายเดือนแล้วก็ตาม

   ความอิจฉาอบอวลในอกเมื่อมองไปยังภาพถ่ายที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ

   “ซู นอนกัน” เอเดรียนตะโกนเรียกจากบนเตียงกว้างขนาดนอนได้สองคนสบาย ๆ เด็กหญิงตบเตียงข้างตัวแล้วไถลนอนลง อังเดรก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่พูดอะไร ซูเล่ยจึงโคลงศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินไปนอนอีกฝั่ง เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าฝั่งที่ตนเองได้นอนเป็นฝั่งที่อังเดรนอนเป็นปกติหรือฝั่งของมารีนกันแน่

   พอถูกขนาบข้างด้วยคนใกล้ชิด เอเดรียนก็ไม่อิดออดอีกและปล่อยให้ตนเองจมลงสู่ห้วงนิทรา แค่ไม่กี่นาทีลมหายใจก็สม่ำเสมอด้วยความสบายใจด้วยความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีสิ่งใดเข้ามาทำร้ายตัวเองได้เมื่อได้รับการปกป้องโดยผู้คุ้มครองสองคนนี้

   ซูเล่ยเองก็หลับไปในเวลาหลังจากนั้นไม่นานเพราะฤทธิ์ยาที่กลบความไม่คุ้นชินต่อสถานที่ได้อย่างชะงัด เหลือแต่เพียงอังเดรที่ตาเบิกโพลงในความมืดเพราะไม่คุ้นที่มีคนร่วมห้อง และยังติดใจหลาย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวันที่ตนไม่ได้มีส่วนรู้เห็น แต่เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบและเหลือเพียงเสียงลมหายใจทอดยาวของผู้ร่วมห้องสองคน ชายหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นมามองฝ่าความมืดไปยังคนที่อยู่อีกฝั่ง

   เขาค่อย ๆ โน้มตัวข้ามเอเดรียนด้วยความระมัดระวังเผื่อเพ่งมองใบหน้าอีกฝ่ายยามหลับใหล ก่อนแนบจูบบางเบาและถอยกลับมายังที่ของตัวเอง


TBC


ตอนต่อไปจะอัพช้าหน่อยนะคะ เพราะคีย์บอร์ดที่ใช้อยู่เจ๊งกลางอากาศ ตัวสำรองก็ปุ่มแข็งมากต้องกระแทกตลอดเวลา เลยพิมพ์นิยายไม่ได้ ;w; พบกันเมื่อได้คีย์บอร์ดใหม่ค่ะ แง....

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด