Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]  (อ่าน 165650 ครั้ง)

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 8 [14/11/13]
«ตอบ #60 เมื่อ14-11-2013 22:14:38 »

ยิ่งอ่านนิ่งอยากรู้ว่าซูเกี่ยวข้องกับพ่อตายังไง

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #61 เมื่อ18-11-2013 13:08:59 »

-9-

   วันคริสต์มาสอีฟใกล้เข้ามาอย่างไม่ทันได้รู้ตัว และซูเล่ยก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้นึกสนใจเลยจนกระทั่งเอเดรียนพูดขึ้นมาในวันหนึ่ง

   “ซู แต่งต้นคริสต์มาสกัน”

   “ต้นคริสต์มาส?” นั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ซูเล่ยหันมองปฏิทินที่วางอยู่บนชั้นวางหนังสือก่อนจะนึกได้ว่าตนเคยเห็นต้นคริสต์มาสปลอมตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งของบ้านหลังนี้ เอเดรียนเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับวันคริสต์มาสในปีที่ผ่านมา ได้ความว่าทั้งมารีนและอังเดรจะช่วยกันตกแต่งต้นคริสต์มาสก่อนวันคริสต์มาสอีฟ จากนั้นในคืนวันที่ 24 ซานตาครอสก็จะเอาของขวัญมาวางไว้ให้ แน่นอนว่าของขวัญเหล่านั้นต้องเป็นฝีมือของอังเดรและมารีนที่พยายามจะพิทักษ์ความสุขอันแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของลูกสาว

   และเพราะถูกคะยั้นคะยอ ซูเล่ยจึงต้องลองเดินไปดูที่โรงรถซึ่งใช้เป็นห้องเก็บของไปในตัว มันไม่ค่อยจะมีข้าวของอยู่มากนัก มองหาอยู่สักพักจึงพบต้นคริสต์มาสฝุ่นจับถูกตั้งไว้ในมุมหนึ่ง

   ถึงอย่างนั้นการลากต้นคริสต์มาสออกมาก็ทำให้เขารู้สึกประสาทเสีย ไม่ใช่เพราะความหนักและเกะกะของมัน แต่การที่เขาต้องกระทำบางสิ่งบางอย่างต่อหน้าคนอื่นที่เขาไม่รู้จักต่างหาก...

   ใช่แล้ว...รถคันนั้นยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนทุกเย็นอย่างสม่ำเสมอจนคล้ายเป็นกิจวัตร

   มันอะไรกันนักกันหนา?

   หลังจากจัดการตั้งต้นคริสต์มาสไว้มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นแล้ว ซูเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปที่ประตูบ้านและมองออกไปข้างนอกผ่านกระจกรูปร่างยาวที่ติดอยู่ข้างบานประตู รถสีเทาและเป็นยี่ห้อที่พบเห็นได้ทั่วไป ดูไม่ได้มีจุดเด่นอะไรเลย คงเพราะอย่างนั้นกระมังจึงไม่น่าแปลกหากมันจะจอดนิ่งอยู่ที่ใดนาน ๆ ทว่าสำหรับเขา มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกขนลุกเสียจนผะอืดผะอม

   เขาต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว...

   เพราะซูเล่ยไม่อาจทนกับสถานการณ์คลุมเครือได้อีกต่อไป กอปรกับไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งได้ดูหนังแนวฆาตกรรมไปสด ๆ ร้อน ๆ จึงยิ่งร้อนอกร้อนใจจนต้องตัดสินใจสำรวจดูให้รู้แน่ก่อนจะเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเหมือนอย่างในหนังที่ยังติดค้างอยู่ในใจ

   “เอเดรียน เอาของพวกนี้ไปประดับต้นคริสต์มาสก่อนนะ” ชายหนุ่มส่งถุงใส่ของประดับให้เด็กหญิงและเดินเข้าไปหยิบมีดหั่นเนื้อที่เพิ่งลับเมื่อเช้ามาจากในครัว

   เขาซ่อนมันไว้ข้างหลังและเปิดประตูบ้านออกมา เงาคนในรถไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว เหมือนกับว่ากำลังชั่งใจมองปฏิกิริยาของเป้าหมาย

   ซูเล่ยก้าวออกมาจนถึงทางเท้าหน้าบ้าน แค่ข้ามถนนไปเท่านั้นก็จะได้พบกับเจ้าของปัญหา แต่เขากลับหยุดยืนชั่วครู่หนึ่งด้วยความไม่แน่ใจ กระนั้นมันก็เป็นเพียงชั่วครู่เดียวก่อนจะถอนหายใจและก้าวลงไปยังถนนสองเลน และทันใดนั้นเองที่รถสีเทาคันนั้นสตาร์ทเครื่องก่อนรีบร้อนขับออกไปโดยที่ซูเล่ยยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้มากกว่านั้น ทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะได้เห็นโครงร่างของคนข้างในชัดขึ้นแล้วแท้ ๆ

   คำถามที่อยู่ในใจยังไม่ได้รับการแถลงไข คนในรถเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร และต้องการอะไรจากบ้านหลังนี้? คำตอบของคำถามทั้งหมดได้ปลิวหายไปพร้อมการลาจากของรถปริศนาซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นไปอีกระยะหนึ่ง ทว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ซูเล่ยคาดการณ์ไม่ได้ เขาจึงมักจะมองออกไปข้างนอกด้วยความระแวงทุกครั้งที่เข้าใกล้หน้าต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะล้างจาน

--------------------->

   อังเดรกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมในห้องนั่งเล่นอย่างทันที นั่นคือต้นคริสต์มาสที่ถูกประดับตกแต่งไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนอื่น ๆ ยังคงกองอยู่บนพื้นโดยเอเดรียนกำลังวิ่งไล่เก็บลูกบอลสำหรับตกแต่งลูกหนึ่งที่กลิ้งหนีไปอีกทาง

   “ปีนี้กลัวซานตาครอสมาช้าหรือเอเดรียน?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงขำขันเด็กหญิงที่ตั้งอกตั้งใจกับการไล่จับลูกบอลจนไม่ได้รู้เลยว่าพ่อของตนกลับมาแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียง เอเดรียนก็เงยหน้าขึ้นอย่างทันควันและวิ่งโดดเข้าใส่พ่อเหมือนเช่นทุกวัน

   “ซูเอาต้นคริสต์มาสมาให้” มือเล็ก ๆ วาดไปมาบนอากาศแสดงถึงความพออกพอใจ

   “แต่อาทิตย์หน้าถึงจะคริสต์มาสอีฟนะเอเดรียน”

   “ใกล้แล้ว” คำว่าอาทิตย์หน้าไม่มีผลต่อเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องเวลา สำหรับเด็กวัยเท่านี้ มีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่สำคัญ ด้วยเหตุนั้นเมื่อเอเดรียนมองปฏิทินเห็นว่าใกล้วันที่ 24 เข้าไปทุกทีก็สำคัญว่าอีกไม่นานดังนั้นจึงควรทำในตอนที่คิดได้ อุปนิสัยข้อนี้ของเด็ก ๆ ทำให้ผู้ใหญ่อย่างอังเดรรู้สึกอิจฉาอยู่นิด ๆ พอถึงวัยอย่างเขา วันเหล่านี้มักจะไร้ความหมายเพราะมักจะมองออกไปไกลเกินกว่าจะเห็นสิ่งสำคัญที่อยู่ใกล้ตัว บางทียังลืมกระทั่งวันเกิดของตัวเอง พอเลยไปแล้วจึงเพิ่งนึกได้ก็มี

   แต่อย่างไรคำว่า ใกล้แล้ว ก็ยังไม่ใช่ ถึงวันแล้ว อังเดรจึงดึงความสนใจเอเดรียนจากต้นคริสต์มาสไปยังอาหารเย็นของวันนั้นซึ่งในเวลานี้เป็นสิ่งสำคัญกว่าวันคริสต์มาสในอาทิตย์หน้าหลายเท่า

   หลังจากนั่งคุยกันหลังมื้ออาหาร ซูเล่ยที่จัดเก็บของในครัวเรียบร้อยก็พาเอเดรียนขึ้นนอน แต่แทนที่เจ้าตัวจะหลบหน้าขึ้นนอนเหมือนวันที่ผ่าน ๆ มา กลับลงมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้งเพื่อแต่งต้นคริสต์มาสต่อ

   ซูเล่ยทำเป็นไม่สนใจอังเดรที่นั่งมองจากโซฟา และจับเครื่องตกแต่งขึ้นแขวนบนกิ่งพลาสติกที่รกไปด้วยใบปลอมสีเขียวซึ่งทิ่มแทงผ่านเสื้อให้คันยิบ ๆ เป็นระยะ

   ด้วยความสูงของต้นคริสต์มาสปลอมไม่ได้เป็นอุปสรรคกับตัวซูเล่ยนัก แค่เขย่งนิดหน่อยก็สามารถติดได้ถึงยอดแล้ว แต่พวกใบไม้และกิ่งก้านที่แสนเกะกะก็ยังเป็นตัวขัดขวางชั้นเยี่ยมทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กมุ่นคิ้วเมื่อพยายามจะนำดาวแห่งเดวิดขึ้นไปติดบนยอด แต่เมื่อมือของเขาเอื้อมใกล้จะถึงแล้วนั่นเอง ฝ่ามือใหญ่กลับเอื้อมมาจับและดึงออกไปอย่างง่ายดาย

   “นี่ไว้ให้เอเดรียนติดเองดีกว่า ส่วนที่เหลือก็ทิ้งไว้ก่อนก็ได้” เสียงของอังเดรกระซิบอยู่ข้างหูทำให้ซูเล่ยเผลอเกร็งตัวเพราะอนุมานได้ว่าร่างกายอีกฝ่ายกำลังแนบอยู่บนแผ่นหลัง

   “ก็แต่งให้เสร็จไปเลยไม่ดีกว่าหรือครับ?” เจ้าตัวถามโดยไม่ได้หันไปมองและคิดในใจว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจึงจะถอยออกไป แต่ก็ราวกับอังเดรอ่านใจได้ ชายหนุ่มร่างสูงยังคงยืนนิ่งเสมือนจงใจกลั่นแกล้งและเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเสียหลักล้มใส่ต้นคริสต์มาสก็ช่วยพยุงไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวก่อนจะอธิบาย

   “ปกติแล้วการแต่งต้นคริสต์มาสเป็นกิจกรรมของครอบครัว พูดง่าย ๆ คือพ่อแม่ลูกจะช่วยกันตกแต่งจนเสร็จสมบูรณ์ พวกเด็ก ๆ จะมองต้นไม้ที่ประดับตกแต่งเสร็จแล้วด้วยความภาคภูมิใจถึงแม้ว่าในวันต่อมาพวกเขาจะหลงลืมความรู้สึกในช่วงเวลานั้นไปก็ตาม แต่ในปีต่อมาพวกเขาก็จะนึกถึงมันได้”

   ผู้ฟังมุ่นคิ้ว ตัวซูเล่ยไม่เข้าใจความรู้สึกและเหตุผลเหล่านั้นแม้แต่น้อยเพราะในวัยเด็กเขาไม่เคยมีส่วนร่วมกับเทศกาลแบบนี้เลยสักครั้ง และเมื่อโตขึ้น เขาก็ยังคงรู้สึกว่าเทศกาลนี้เป็นเพียงข้ออ้างเวลาที่ผู้คนจะให้หรือรับสิ่งดี ๆ จากกันและกันเหมือนอย่างปีใหม่ หรือวาเลนไทน์

   แต่ในเมื่อเจ้าบ้านว่าอย่างนั้น เขาจะขัดอะไรได้

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะเตรียมของไว้ให้พวกคุณก็แล้วกัน” ซูเล่ยโคลงศีรษะและขยับตัวออกจากต้นไม้จำลอง อังเดรจึงก้าวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายมีพื้นที่ทรงตัวบ้างแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เดินหนีไปเฉย ๆ เพราะเมื่อได้ยินคำพูดเหมือนว่าไม่ใช่ธุระของตนเอง อังเดรก็เริ่มเสริมขึ้นมาทันที

   “เธอก็ต้องช่วยด้วย”

   ...หา?

   “แต่คุณว่าเป็นกิจกรรมครอบครัว...”

   “ตอนนี้เธอเองก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้วไม่ใช่หรือ?”

   แม้จะเป็นประโยคพื้น ๆ ที่ดูไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร แต่มันกลับทำให้เกิดแรงสั่นระรัวขึ้นในอก สูบฉีดเม็ดเลือดจนอุ่นวาบถึงปลายนิ้วมือ ตอนนั้นเองที่ซูเล่ยคิดว่าตนเองโชคดีที่หันหลังอยู่ อังเดรจึงไม่เห็นสีหน้าของเขาที่ไม่สามารถควบคุมได้ และเพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะตอบโต้กันอย่างไรอีก จึงเกิดช่องว่างของเสียงขึ้นเป็นระยะเวลาหลายนาที

   และมันคงจะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อย ๆ หากว่าอังเดรไม่โน้มใบหน้าลงทำให้ลมหายใจเป่ารดบนหลังคอขาวจนซูเล่ยเผลอสะดุ้งตะปบหลังคอตนเองและเอี้ยวหน้ามองคนที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าตกใจเล็ก ๆ

   “...อะไรหรือครับ?” เพราะเห็นสายตาที่จ้องมองอย่างพิจารณา ซูเล่ยจึงอดไม่ได้ที่จะถามกลับไปเพื่อทำลายบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วน

   “เปล่า...แค่กำลังคิดว่ามันพอดีอย่างไม่น่าเชื่อ” คำพูดคลุมเครือกำกวมดูไม่ใช่คำตอบที่ช่วยให้กระจ่างมากนัก แต่ยังไม่ทันจะถามอะไรต่อ อังเดรก็ถือโอกาสจับบ่าคนตัวเล็กกว่าให้หันมาเผชิญหน้าตรง ๆ โดยไม่ขออนุญาตแม้สักคำเดียวก่อนจะเลื่อนมือลงสำรวจบริเวณเอวและชายโครง การกระทำที่ไม่มีคำอธิบายและไม่มีสาเหตุทำให้ซูเล่ยรู้สึกประหนึ่งถูกลวนลามหรือไม่ก็เป็นการประเมินสินค้าซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก ทว่าพอคิดจะดึงตัวออกจากการสำรวจอันอุกอาจ ก็กลับถูกดึงกลับเข้าไปจนประชิดแผงอกก่อนที่ลำแขนแข็งแรงจะโอบรัดเอวส่วนอีกข้างก็เลื่อนขึ้นมาบนแผ่นหลัง ด้วยการกระทำทั้งหมดภายในไม่กี่นาทีที่ไร้คำพูดก็พาให้คิดลึกไปไกลเสียจนความกระดากอายและความคิดถูกแสดงออกมาหมดสิ้นบนใบหน้า

   “ค...คุณคิดจะทำอะไรกันน่ะ!” เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ซูเล่ยแสดงอาการตกใจอย่างควบคุมไม่ได้ออกมาทางน้ำเสียงและสีหน้า เขาผลักอีกฝ่ายออกอย่างแรงแต่เพราะหลักไม่ดีนักจึงเป็นฝ่ายถลาถอยหลังเสียเอง กระนั้นก็ต้องขอบคุณที่อังเดรไม่ได้ปล่อยมือ พวกเขาจึงยังคงอยู่ในท่วงท่าที่ล่อแหลมถึงขนาดที่ว่าหากใครเดินผ่านเข้ามาคงไม่อาจคิดเป็นอื่นได้

   ชายหนุ่มร่างเล็กที่ตกอยู่ในอ้อมกอดทั้งตัวเหลือบตาขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามและพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อรวบรวมสติพลางเตือนตนเองว่าอย่าตื่นตกใจไป

   ใช่...แค่ทำตัวเหมือนปกติ แค่ถามคำถามสองแง่สามง่ามที่ทำให้ผู้ดีอย่างอังเดรทนฟังไม่ได้เหมือนช่วงแรกที่พบกัน...

   “คุณกำลังคิดลึกอะไรกับผมอยู่หรือเปล่า?” ซูเล่ยฝืนบิดรอยยิ้มที่ดูแปลกตาขณะถามก่อนที่รอยยิ้มจะจางหายไปจากใบหน้าในวินาทีต่อมา

   “ก็อาจจะใช่”

   คำตอบสั้น ๆ แต่ก็เป็นเหมือนการดักทางไปในตัวทำให้ซูเล่ยรู้สึกผิดแผนอย่างแรงจนสมองตื้อตันไปชั่วขณะ ซึ่งระหว่างนั้นเองที่อังเดรฉวยโอกาสพูดต่อ

   “เธอเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าฉันเองไม่ได้รังเกียจผู้ชาย จะว่าคาดเดาเก่งหรืออะไรก็ตามแต่มันก็อาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้าง” สีหน้าท่าทางของอังเดรตอนที่พูดอย่างนั้นดูกึ่งจริงจังกึ่งไม่ใส่ใจทำให้ซูเล่ยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อสารอะไรจากประโยคนี้ “ยังไงเธอเองก็จ้องจะยั่วฉันมาตั้งแต่แรก ถ้าฉันจะขอทดลองอะไรให้แน่ใจสักหน่อยคงไม่มีปัญหาจริงไหม?”

   ทดลอง?

   ทดลองอะไรกัน? ทดลองว่าชอบผู้ชายหรือเปล่าน่ะหรือ?

   ถ้าจะให้เดาด้วยประโยคคำพูดและการกระทำทั้งหมด อย่างไรก็เดาได้เพียงเท่านี้ แต่ซูเล่ยก็ยังไม่เข้าใจว่าทดลองไปแล้วจะได้อะไร เพราะตัวเขารู้อยู่แก่ใจว่าอังเดรมีรสนิยมอย่างไร เจ้าตัวเองก็น่าจะรู้เหมือนกัน หรือเพราะผ่านมาถึงห้าปีแล้วจึงอยากจะทำให้แน่ใจ?

   หากเขาปฏิเสธ...คงมีแต่จะโดนรุกเร้ามากกว่าเดิมเพราะความสงสัยแน่

   “แล้วจะทดลองยังไงล่ะครับ?”

   “อยู่เฉย ๆ ก็พอ โอเคไหม?”

   ซูเล่ยถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนจะยืนนิ่งตามคำขอ ฝ่ามือใหญ่จับที่ต้นแขนทั้งสองข้างอย่างมั่นคง สำหรับเขาแล้ว มันออกจะแน่นเกินไปเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าจงใจล็อกเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีอย่างไรอย่างนั้น

   ทั้งร่างถูกดึงเล็กน้อยด้วยแรงจากมือทั้งสองที่จับอยู่บนแขน เมื่อซูเล่ยเลื่อนสายตาขึ้นมองก็เห็นดวงตาสีอ่อนคู่สวยจ้องกลับมาจนเขาเผลอหลบตาเสียเอง

   ลมหายใจอุ่นรดแผ่วบนปลายจมูกก่อนที่ริมฝีปากจะประกบเข้าหาอย่างช้า ๆ ทว่าไม่มีความโลเลผสมอยู่เลยแม้แต่น้อย ในตอนแรกซูเล่ยก็นึกขัดขืนและอยากจะให้มันจบลงโดยไว แต่เมื่อถูกกระชับอ้อนแขนเข้าจนแนบชิดทั้งร่างรวมถึงลมหายใจที่ถูกดูดกลืนจนเริ่มผสานเป็นหนึ่ง ความคิดเมื่อครู่ก็เตลิดล่องลอยไปในทันที ดวงตาเรียวเล็กปรือปิดลงเพราะไม่อาจทานทนต่อแรงยั่วยวนอันหอมหวาน เรียวลิ้นอุ่นกวาดซอนลิ้มรสชาติอันลึกล้ำพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่เคลื่อนไปบนแผ่นหลัง

   ในหัวของเขาพลันคิดถึงภาพฟลอร์เต้นรำกลางห้องที่ผนังบุด้วยกระจกเงา เสียงเพลงพลิ้วคลอขับกล่อมให้สติล่องลอย ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตนเองและอีกฝ่ายที่ชัดเจน นอกจากนั้นเป็นเพียงภาพอันลางเลือนไม่แจ่มชัดราวกับอยู่แสนไกล

   ในขณะที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางบทเพลงแสนหวาน แสงสว่างก็พลันวาบเข้ามาเรียกสติให้กลับคืนเมื่อรสจูบถูกถอนออก และเขารู้สึกถึงปลายนิ้วที่ไล้ไปบนแก้มแต่กลับไม่สามารถขืนตัวหนีได้ด้วยถูกตรึงเอาไว้โดยสายตาที่จับจ้องบนใบหน้าของตนเอง

   ซูเล่ยเริ่มหายใจด้วยตัวเองอีกครั้งและหลุบตาลงเพราะไม่รู้ว่าควรจะมองไปยังจุดไหนถึงจะสามารถปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจตนเองจนถึงเมื่อครู่นี้ได้

   “ราตรีสวัสดิ์ ซู” แต่แล้วคนตัดบทกลับเป็นอังเดร ชายหนุ่มร่างสูงผละออกอย่างเรียบง่ายและไม่มีคำอำลาอื่นใดนอกจากคำทักทายสั้น ๆ ตามมารยาท ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษไปจากชีวิตประจำวันอันแสนปกติเลยแม้สักนิด ท่าทีเช่นนั้นทำให้ซูเล่ยเจ็บแปลบขึ้นมาในอกเมื่อสำนึกว่าตนเองเป็นเพียงของทดลองของอีกฝ่ายจริง ๆ และไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น ทั้งที่ควรจะดีใจที่อังเดรยังคงวางระยะห่างอย่างเหมาะสมเช่นเดิม ซึ่งจะทำให้งานที่ได้รับมอบหมายสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ทว่าในส่วนลึกของเขากลับปรารถนาที่จะได้รับการเหลียวแลเยี่ยงคนสำคัญอีกครั้ง

------------------------>

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #62 เมื่อ18-11-2013 13:10:25 »

   เมื่อถึงวันที่ 24 โรงเรียนต่าง ๆ ก็เข้าสู่ช่วงคริสต์มาสเบรกจนกว่าจะถึงหลังเทศกาลปีใหม่ ทำให้อังเดรมีเวลาอยู่บ้านในช่วงกลางวันเพื่อช่วยเอเดรียนตกแต่งต้นคริสต์มาส

   เอเดรียนได้รับเกียรติเป็นผู้ประดับดาวแห่งเดวิดซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่ต้นคริสต์มาสจะสมบูรณ์แบบ วันนี้อังเดรงดสอนในช่วงเย็นเพราะทุก ๆ คนต่างก็อยากจะใช้เวลากับครอบครัวในคืนคริสต์มาสอีฟ และเมื่อทุกอย่างครบครันสมบูรณ์แล้ว อังเดรก็เสียบปลั๊กไฟทำให้ต้นคริสต์มาสสว่างไสวเต็มไปด้วยสีสันจากหลอดไฟเล็ก ๆ จำนวนมาก

   เด็กหญิงปรบมืออย่างดีอกดีใจที่ผลงานตนเองออกมาดูดีตามที่คิดไว้

   “จริงสิ วันนี้จะมีแขกมากินมื้อค่ำกับเรานะเอเดรียน” นี่เป็นสิ่งที่อังเดรบอกซูเล่ยไว้ตั้งแต่เช้าเพื่อให้เตรียมอาหาร แต่เอเดรียนยังไม่รู้เพราะชายหนุ่มตั้งใจจะเซอร์ไพรซ์ลูกสาว เนื่องจากการที่มีคนมาเยือนในวันคริสต์มาสอีฟ ย่อมหมายถึงจำนวนกล่องของขวัญที่มากขึ้น และเป็นดังคาด เอเดรียนยินดีจนออกนอกหน้าพร้อมทั้งมองไปยังโคนต้นไม้ด้วยดวงตาเป็นประกายด้วยความหวังว่าคืนนี้ซานตาครอสก็จะมาเช่นกัน

   เสียงออดดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ซูเล่ยเดินไปเปิดประตูรับและพบว่าแขกที่มาร่วมเลี้ยงฉลองมีอาร์เลนและยูล่าสองคน เห็นจะจริงที่ว่าอังเดรไม่มีญาติสนิทอยู่ในเมืองนี้...

   “ต้นคริสต์มาสสวยจังเลยนะคะ” ยูล่าออกปากชื่นชมเพื่อเอาใจเอเดรียนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเธอมาพักใหญ่แล้ว กล่องของขวัญกล่องใหญ่ในมือก็นำมาเพื่อเป็นบรรณาการเด็กหญิงคนนี้เช่นกัน

   “เอเดรียนทำ” ผู้ถูกชมยืดอกอย่างภูมิใจและเดินไปจับมือซูเล่ยกับอังเดร “แดดดี้กับซูช่วยทำด้วย”

   “ไหน เอเดรียนทำตรงไหนบ้าง?” อาร์เลนเข้าไปคุยเล่นกับหลานและอุ้มให้ชี้ตรงนั้นตรงนี้ตามประสาเด็กเพื่อเปิดโอกาสให้อังเดรได้คุยกับยูล่า ส่วนซูเล่ยก็คล้ายจะรู้จุดยืนของตนเองจึงเดินเข้าครัวไปเพื่อจัดโต๊ะอาหารสำหรับคืนพิเศษคืนนี้พลางเงี่ยหูฟังเสียงจากอีกฝั่งของผนัง

   “ดูเหมือนเอเดรียนจะไม่ชอบฉันเสียแล้วนะคะ” เสียงของยูล่านำมาก่อนเป็นการเปิดบทสนทนา ซึ่งมันเต็มไปด้วยการตัดพ้อและผิดหวัง “คราวก่อนกระทั่งอาหารที่ฉันทำก็ไม่ยอมกิน กลับเรียกร้องของคุณซู ทำเอาฉันเสียความมั่นใจไปเลย” ซูเล่ยไม่นึกว่าตนเองจะถูกรวมเข้าไปในหัวข้อด้วยจึงยิ่งพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจมากขึ้น แต่มือก็ยังจัดจานไปอย่างช้า ๆ

   “อาจจะเป็นช่วงต่อต้านก็ได้ ผมลองคุยกับคนที่เลี้ยงเด็กมาก่อน เขาก็บอกว่าเด็กจะมีช่วงที่ติดผู้ใหญ่เพศตรงข้ามกับตัวเองทำให้ไม่ชอบคนเพศเดียวกันที่เข้ามาใกล้”

   หมายถึงโอดิปุสคอมเพล็กซ์ หรืออิเล็กตราคอมเพล็กซ์สินะ...

   ซูเล่ยคิดถึงคำศัพท์เฉพาะที่ไม่น่าจะคุ้นหูคนส่วนใหญ่ขึ้นมาได้ ตัวเขาเองก็ได้ยินจากตอนเรียนมหาวิทยาลัยแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแต่เพราะเป็นชื่อที่เกี่ยวกันกับตำนานกรีกจึงสามารถจดจำได้ง่ายกว่าคำศัพท์หลาย ๆ คำที่มีความหมายจดจำได้ยากกว่า

   จะว่าไป...เอเดรียนก็คงถึงวัยที่จะมีเรื่องแบบนี้แล้วกระมัง

   “แบบนี้ฉันคงต้องง้อแกอีกนานเลยสินะคะ” ดูเหมือนยูล่าจะท้อใจขึ้นมาแล้ว น้ำเสียงของเธอจึงไม่มั่นคงอย่างเคย

   “บางที...อีกไม่นานก็คงจะเป็นเหมือนเดิมล่ะมั้งครับ” อังเดรเองก็ไม่ได้มั่นใจมากนักกับสิ่งที่ตนพูดออกไป เพราะที่จริงแล้วปมเหล่านี้อาจจะมีผลในระยะยาวจนถึงช่วงวัยรุ่นหรือหายไปเองในสามหรือสี่ปีแรกก็เป็นไปได้ทั้งนั้น และในจำนวนพวกเขาทั้งหมด ไม่มีใครที่เคยศึกษาจิตวิทยาเด็กเลย จึงไม่มีใครที่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ปมอิเล็กตราหมดไปโดยไว

   แต่ซูเล่ยกลับคิดอีกแบบหนึ่ง...

   เขาคิดว่ากรณีของเอเดรียนเกิดมีปมอิเล็กตราขึ้นมาเพราะการแทรกแซงจากผู้หญิงนอกครอบครัวในช่วงเวลาที่เธอกำลังปรับตัวจากการสูญเสียผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญต่อชีวิต ซ้ำผู้หญิงคนใหม่คนนี้ยังแย่งยื้อเวลาและความรักไปจากพ่อซึ่งเป็นครอบครัวใกล้ชิดคนเดียวที่เอเดรียนเหลืออยู่ ดังนั้นจะเรียกว่าปมอิเล็กตราก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว หลัก ๆ แล้วน่าจะเป็นอาการหวงอย่างออกหน้าออกตาตามนิสัยกอปรกับวัยที่เริ่มเข้าถึงช่วงที่กำลังพัฒนาบุคลิกภาพที่เกี่ยวข้องกับเพศจึงผูกกันขึ้นมาเป็นปมนั่นเอง

   กระนั้นมันก็อาจไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้องอยู่ดีเพราะไม่มีความรู้มากพอจะวิเคราะห์หรือสรุปได้ สิ่งเดียวที่เขารู้เช่นเดียวกับที่ทุก ๆ คนรู้คือ ในสายตาเอเดรียน ยูล่าเป็นผู้หญิงที่เข้ามาเพื่อขวางกั้นระหว่างตนเองและพ่อ และความเกลียดชังนี้จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยูล่ายังดึงดันจะทำเช่นเดิมเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

   มันไม่ดีต่อยูล่าเอาเสียเลย กลับกัน มันดีต่อเขาเสียมากกว่า เพราะเป้าหมายของพ่อตาอังเดรก็คือการกันผู้หญิงทุกคนที่หมายจะมายุ่มย่ามกับลูกเขยของตนด้วยสาเหตุมากมายสุดแต่จะนึกได้ หลัก ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องทรัพย์สมบัติกับความเผด็จการต้องการควบคุมชีวิตคนอื่นให้อยู่ในกำมือนั่นกระมัง

   เอาเข้าจริงแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจผู้ชายคนนั้นนัก และก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย

   ซูเล่ยถอนหายใจให้กับตนเองที่ระยะหลังนี้มักจะคิดมากเกินควรอยู่บ่อย ๆ จะว่าไปแล้ว ขอแค่อังเดรไม่หวั่นไหวไปกับยูล่าหรือผู้หญิงคนใด ๆ นั่นก็เพียงพอแล้วแท้ ๆ กระนั้น...ลึก ๆ เขากลับรู้สึกหึงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่หึงไปจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อในอนาคตอังเดรก็อาจจะต้องแต่งงานอีกครั้งอยู่ดี เมื่อฝั่งพ่อตาสามารถหาหญิงสาวที่คู่ควรและถูกใจได้ เมื่อนั้นเขากับอังเดรก็จะไม่ต้องมีอะไรข้องเกี่ยวกันอีก

   “ซู โต๊ะเรียบร้อยไหม?” เพราะรอนานแล้วหรืออย่างไรไม่อาจทราบ อังเดรจึงเดินเข้ามาเรียกด้วยความสงสัย ซูเล่ยเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารซึ่งเหลือแต่รินไวน์แดงให้ครบทุกแก้วและรินน้ำผลไม้ให้เอเดรียนก็จะพร้อมสรรพสำหรับการรับรองแขกในวันพิเศษ อังเดรคงรู้สึกว่ามันช้าเกินไปจึงหยิบน้ำผลไม้มารินใส่แก้วของเอเดรียนด้วยตัวเองและออกไปเรียกคนอื่น ๆ เข้ามาซึ่งช่วงเวลานั้นไวน์แดงก็พร้อมพอดี

   อาหารฝีมือซูเล่ยยังคงได้รับคำชื่นชมอย่างไม่ขาดปาก แม้แต่เอเดรียนก็ไม่ยอมน้อยหน้าถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าการชมคนอื่นนั้นทำอย่างไรจึงทวนคำพูดของพ่อและอาไปเรื่อยเปื่อย

   “ไหน ๆ ก็เป็นวันพิเศษทั้งที เต้นรำกันหน่อยไหมคะ?” เพราะเป็นช่วงวันหยุดของโรงเรียน ทั้งยูล่าและอาร์เลนจึงสามารถอยู่ได้นาน กระทั่งเอเดรียนก็ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องขึ้นนอนตามเวลาที่กำหนด หญิงสาวหนึ่งเดียวในบ้านหลังนี้จึงออกความเห็นให้ทุกคนทำกิจกรรมร่วมกันซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐานของทุกคนเว้นแต่เพียงซูเล่ยซึ่งเคยแต่เต้นกับเอเดรียนอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ และเต้นกับอังเดรเมื่อครั้งก่อนที่ไปโรงเรียนสอนลีลาศ ซูเล่ยจึงไม่ลังเลเลยที่จะกันตัวเองไว้นอกวงในขณะที่คนอื่น ๆ ไปเลือกเพลงด้วยกันอย่างสนุกสนาน

   จังหวะวอลซ์ ซึ่งเป็นจังหวะพื้นฐานสำหรับเต้นกันอย่างสบาย ๆ ส่งเสียงคลอออกมาจากเครื่องเล่นแผ่นซีดี เอเดรียนวิ่งเข้าจับคู่กับพ่อทันทีแต่อาร์เลนกลับขัดขวางด้วยการอุ้มมาเต้นด้วยกันเสียก่อน มองดูก็รู้ว่าชายหนุ่มค่อนข้างจะสนับสนุนให้พี่ชายของตนหาผู้หญิงคนใหม่เพื่อเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์อีกครั้ง ซึ่งอังเดรก็เข้าใจความปรารถนาดีของน้องชายจึงไม่ออกอาการต่อต้านใด ๆ ให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ เขาผายมือให้ยูล่าและหญิงสาวก็ตอบรับด้วยความยินดี ใบหน้าของเธอฉายแววของความสุขจนล้นปรี่ถึงขนาดซูเล่ยที่นั่งมองอยู่ห่าง ๆ ยังสัมผัสได้ถึงประกายแสงแห่งความสุขสมหวังของเธอ

   แต่เอเดรียนก็ไม่ปล่อยให้ศัตรูหัวใจมีความสุขนานนัก เมื่อจบเพลงแรก เด็กหญิงก็ออกปากทันทีว่าอยากสลับคู่จึงไม่มีใครขัดใจและยอมเปลี่ยนคู่ให้โดยดี แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขของอาร์เลนว่าจบเพลงหนึ่งเปลี่ยนคู่ครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเอาใจเอเดรียนและเปิดทางให้ยูล่าไปในตัว ซึ่งผู้หญิงทั้งสองวัยต่างก็ยอมตอบรับข้อเสนอนี้แม้ว่าฝั่งเอเดรียนจะขุ่นใจกับมันอยู่ไม่น้อย

   สุดท้ายแล้วก็วนเวียนเต้นกันไปร่วมชั่วโมงก่อนจะพากันนั่งพักและจิบไวน์ไปพูดคุยกันไป เรียกว่าเป็นช่วงเวลาของการรีแล็กซ์ของจริงเสียที

   แต่ทุกการสนทนาก็ทำให้ซูเล่ยรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนเกิน เขาจึงเดินออกมาจากห้องเงียบ ๆ และเข้าไปเก็บล้างของในครัว

   “เดี๋ยวฉันไปช่วยดีกว่าค่ะ” ยูล่าอาสาเมื่อเขาบอกว่าตั้งใจจะปลีกตัวไปทำอะไร ตอนนี้พวกเขาทั้งสองจึงยืนอยู่หน้าซิงค์สำหรับล้างจานและทำหน้าที่คนละอย่าง คนหนึ่งทำหน้าที่ล้างและอีกคนช่วยเช็ดให้แห้งก่อนนำไปวางเก็บ มีคนช่วยทุ่นแรงอย่างนี้ คงจะเสร็จทุกอย่างก่อนเวลาที่คิดไว้

   ซูเล่ยขัดจานทีละใบอย่างตั้งอกตั้งใจเพราะซอสที่ติดบนจานเริ่มจะล้างยากเนื่องจากทิ้งไว้นาน เมื่อสะอาดดีแล้วเขาก็ส่งให้ยูล่าเช็ดและเก็บ แต่ละขั้นตอนเวียนวนในความเงียบอันแสนสงบ และซูเล่ยก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างพวกเขาทั้งสอง

   แต่แล้ว ยูล่ากลับพูดขึ้นมา

   “เอ่อ...” หญิงสาวใช้เสียงเพื่อบอกผู้ฟังว่าตนเองมีสิ่งที่อยากจะพูด ซูเล่ยจึงหันไปมองและเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเห็นสีหน้าลังเลใจของคนข้างตัว

   “ครับ?” เสียงตอบรับของเขาเพื่อบ่งบอกอีกฝ่ายว่ากำลังฟังอยู่ ซึ่งช่วยให้ความลังเลค่อย ๆ จางหายไป

   “ฉัน...เห็นว่าเอเดรียนชอบคุณมากทีเดียว” การเกริ่นนำของยูล่าดูห่างไกลจากสิ่งที่คาดไว้มากโข “แต่ดูเหมือนฉันจะทำให้แกเกลียดเอาเสียแล้ว ฉันก็เลยรู้สึกกังวล”

   “เดี๋ยวก็คงจะหายเองมั้งครับ ถ้าคุณกังวลขนาดนั้น ลองห่าง ๆ สักพักอาจจะดีก็ได้”

   “ไม่ค่ะ!” จู่ ๆ เสียงของยูล่าก็ดังขึ้นก่อนที่เธอจะหลับตาครู่หนึ่งและควบคุมระดับเสียงตนเองให้เท่าเดิม “ที่จริงแล้วไม่เชิงว่าเรื่องของเอเดรียนโดยตรง...แต่ว่าฉันก็ไม่อยากให้แกเกลียดฉัน จริง ๆ แล้วคุณซูอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ เรื่องที่ฉัน...แอบชอบคุณแอชฟอร์ดข้างเดียวมานาน...”

   “...ก็พอทราบครับ” ในที่สุดก็วนเข้าเรื่องที่คาดเดาไว้จนได้ แต่เมื่อพูดจบ ยูล่ากลับทิ้งความเงียบไว้อีกหลายวินาทีคล้ายพยายามชั่งใจดูอีกครั้ง

   “คุณซูอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าฉันฉวยโอกาสตอนที่คุณแอชฟอร์ดกำลังทำใจเรื่องภรรยาเลยนะคะ แต่ว่า...ฉันอยากจะให้เขาเหลียวแลฉันบ้าง ฉันคงไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีถึงขนาดที่ขอรักอยู่ห่าง ๆ ตลอดไปก็ไม่เป็นไร เพราะตอนคุณแอชฟอร์ดแต่งงานฉันก็เคยคิดอย่างนั้น แต่ฉันก็เสียใจตลอดมาว่าทำไมฉันถึงไม่แสดงให้เขารู้ ทำไมถึงไม่เปิดเผยออกไปตรง ๆ ว่าฉันชอบเขา บางที...ฉันอาจจะมีโอกาสที่จะยืนอยู่ที่นั่นบ้าง” ว่าแล้วเธอก็หัวเราะขมขื่น “ฉันดูไม่ดีเอาเสียเลยใช่ไหมคะ ที่คิดกับคนที่แต่งงานแล้วแบบนี้”

   ซูเล่ยกลอกตา นึกสงสัยว่าทำไมคนรอบตัวถึงนึกคาดหวังคำปลอบใจจากเขากันนะ หน้าเขาเหมือนคนใจดีช่างปลอบโยนถึงขนาดนั้นเลยหรือยังไงกัน?

   “ถ้าถามความเห็นของผม จะคิดยังไงก็ไม่มีถูกผิดหรอกเพราะยังไงมันก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ขึ้นกับว่าคุณจะทำยังไงกับความคิดมากกว่า” เขาพยายามวิจารณ์อย่างเบามือมากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ใจจะอยากพูดตรง ๆ ว่าถึงเธอจะคิดอย่างไรมันก็ไม่มีผลอะไรขึ้นมาหรอก หากว่าคนที่เธอคิดด้วยเป็นคนที่ผู้ชายคนนั้นซึ่งเป็นพ่อของมารีนจับตาจองตัวเอาไว้แล้ว

   และเพราะอย่างนั้น...เขาถึงได้เลือกตัดใจไปเสีย...

   บางทียูล่าก็น่าจะทำเช่นกัน

   แต่...

   “ครั้งนี้ฉันคิดว่า...อยากจะทำให้ตัวเองไม่เสียใจทีหลังค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้าง “ฉันอยากจะทำทุกอย่างที่ทำได้ และหากถึงขั้นนั้นแล้วคุณแอชฟอร์ดยังคงเลือกผู้หญิงคนอื่น หรือไม่ตอบรับความรักของฉัน ฉัน...ก็จะยอมรับแต่โดยดี อย่างน้อยฉันก็จะไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจเหมือนที่ผ่าน ๆ มา”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วเพราะนึกถึงความยุ่งยากที่จะตามมาได้รำไร

   “แต่ฉันยังกังวลเรื่องเอเดรียน ถึงแม้คุณแอชฟอร์ดอาจจะยอมรับฉัน แต่ถ้าเอเดรียนยังเกลียดฉันอยู่มันก็ไม่มีความหมาย...”

   จู่ ๆ ผู้ฟังก็สังหรณ์ขึ้นมาได้ว่าบางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับตนเองมากกว่าที่คิด เพราะในนาทีต่อมา ยูล่าก็หันมาทางเขาด้วยสายตามั่นคง

   “ฉันอยากขอให้คุณซูช่วยฉันสักอย่าง แค่ช่วยพูดให้เอเดรียนเกลียดฉันน้อยลงก็พอ เพราะตอนนี้เอเดรียนคงไม่ฟังใครนอกจากคุณ”

   เป็นคำขอที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวทีเดียว แต่ผู้หญิงที่ได้รับความรักความชื่นชมมาตลอดกลับถูกเด็กคนหนึ่งเกลียดขี้หน้าคงเป็นเรื่องเกินจะรับได้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อเด็กคนนั้นเป็นลูกของผู้ชายที่หลงรัก นับเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดอนาคตส่วนหนึ่งของตัวเธอก็ว่าได้ แต่ซูเล่ยก็จำไม่ได้ชัดเจนว่าตนเองตอบรับหรือปฏิเสธไป เพราะเขาจำได้ว่าตนเองแค่ยืนนิ่ง ๆ และรับฟังคำขอนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ยูล่าเองก็ละมือกลับไปทำงานต่อโดยไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก คงอนุมานว่าเขาตอบรับแล้วกระมัง?

   เมื่อพวกเขาจัดการของในครัวเรียบร้อยก็พบว่าเอเดรียนหลับคาตักพ่อไปเสียแล้ว ซูเล่ยจึงอุ้มเด็กหญิงขึ้นนอน ส่วนยูล่าและอาร์เลนก็ขอตัวกลับเช่นกัน

   งานเลี้ยงคืนนี้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายกว่าที่คิดไว้ คงเพราะจำนวนคนร่วมกระมัง แต่ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเช่นกัน นั่นคือความมุ่งมั่นของยูล่าที่มองข้ามไปไม่ได้เลย ซูเล่ยเริ่มจะหนักใจขึ้นมาเพราะบางทีความมุ่งมั่นนั้นอาจจะสั่นคลอนใจของอังเดรได้ เหมือนกับที่มารีนเคยทำสำเร็จมาแล้ว

   ระหว่างที่คิด ซูเล่ยก็เดินลงมาชั้นล่างเพื่อเก็บแก้วไวน์และน้ำผลไม้รวมถึงจานของกินเล่นบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น จึงได้เห็นอังเดรยังคงนั่งอยู่ที่โซฟา ในมือหมุนก้านแก้วไวน์เปล่าด้วยสีหน้าครุ่นคิด และเมื่อหันมาเห็นเขา เจ้าตัวก็ลุกขึ้นและเดินไปเปิดเพลงที่ใช้เต้นรำกันไปเมื่อชั่วโมงก่อน

   “เต้นด้วยกันหน่อยสิ”

   คำขอที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในคืนเดียวถึงสองครั้ง...

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วและชั่งใจอยู่นานจนอังเดรเดินเข้ามาหาด้วยตนเองก่อนดึงมือของเขาไปกุมโดยไม่รอความยินยอมจากเจ้าของ

   เอาเถอะ...คริสต์มาสอีฟ แถมไม่มีใครอยู่แล้ว ยอมสักหน่อยก็ได้...

   การเต้นรำครั้งนี้ไม่ได้จงใจจับจังหวะเคร่งครัดเหมือนครั้งก่อน เจ้าของร่างสูงเพียงโอบกอดคนตัวเล็กกว่าในท่าพื้นฐานและพาเดินพลางโยกตัวน้อย ๆ ไปรอบห้องทั้งยังหลับตาพริ้มคล้ายกำลังปลดปล่อยตัวตนให้ผ่อนคลายไปกับเสียงเพลงและการเคลื่อนกายอันเนิบช้า

   “ส่งท้ายคืนอีฟหรือครับ?”

   “คงประมาณนั้น...ที่จริงแล้วมันทำให้ฉันคิดถึงใครคนหนึ่ง”

   ซูเล่ยไม่ได้ถามว่าคนคนนั้นคือใคร เพราะอนุมานได้ว่าอาจจะเป็นมารีน การที่สามีภรรยาจะส่งท้ายคืนอีฟด้วยความโรแมนติกแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในใจของอังเดรกลับคิดถึงคนอื่น...ที่มีรูปร่าง ท่าทาง และส่วนสูงเหมือนกับซูเล่ยทุกกระเบียด เพียงแต่เขาไม่รู้จักใบหน้าแท้จริงของอีกฝ่าย และไม่เคยเต้นรำด้วยกันอย่างนี้ พวกเขาพบกันโดยมีบาร์กั้นกลางเสมอ ครั้งเดียวที่ได้แนบชิดกายกันคือครั้งสุดท้ายที่ได้พานพบ แม้จะเลิกคิดถึงอีกฝ่ายไปเพราะไม่อยากจะผิดต่อคำสาบานที่ให้ไว้กับมารีนในวันแต่งงาน แต่เมื่อซูเล่ยปรากฏตัว ความทรงจำเกี่ยวกับลีผู้ลึกลับก็ค่อย ๆ ไหลย้อนกลับมา...

   ดวงตาของอังเดรฉายแววของการรำลึกถึงสิ่งที่ติดค้างในความทรงจำ ซูเล่ยจึงไม่ได้ขัดขวางความคำนึงของเจ้าตัวอีก และปล่อยให้เสียงเพลงไหลผ่านไประหว่างพวกเขาทั้งสอง

   เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้...ที่ศีรษะของเขาแนบไปบนบ่ากว้างเพราะเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง บรรยากาศ และห้วงอารมณ์ ทว่าอังเดรก็ไม่ได้ผลักไส...

TBC

ออฟไลน์ anuruk97

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #63 เมื่อ18-11-2013 13:39:47 »

เมื่อไหร่จะNC  เค้าอยากอ่าน :ling1: 

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #64 เมื่อ18-11-2013 14:14:49 »

เริ่มแล้วสินะ
เค้าเริ่มหวานกันเรื่อยๆแล้ว
แต่ก็ยังมีเรื่องของยูล่าเข้ามาเอี่ยวเรื่อยๆ
รอลุ้นต่อไป
ซุน่าจะบอกความจริงกับอังเดรไป
ตอนนี้ใจน่าจะตรงกันแล้วนะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #65 เมื่อ18-11-2013 16:02:12 »

อย่างงี้เรียกบรรยากาศเป็นใจของจริงเลย
ว่าแต่ยูล่าไม่ไหวนะ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #66 เมื่อ18-11-2013 18:35:59 »

ซูเป็นนายเอกที่ผ่านอุปสรรคเยอะ
นี่ถ้าย้อนไปได้ตอนนั้นมารีนก็คงไม่ใช่ภรรยาอังเดรหรอใช่แม้ะ
ขอให้เอเดรียนแบนยูล่าตลอดไป คือหนูเป็นไม้กันหมาที่ดีที่สุดแล้วลูก

wongwikkarn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #67 เมื่อ19-11-2013 16:43:54 »

รออ่านอยู่นะจ๊ะ

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #68 เมื่อ19-11-2013 19:34:07 »

ชอบเรื่องนี้ :hao5: มากกกกกกกก

เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดยวจบ  น่าสงสารซู  เกลียดอีตาพ่อตา  แต่ไม่เกลียดยูล่านะ  ออกจะสงสารนิดๆมากกว่าที่รักข้างเดียว(แบบไม่มีวันได้ปะป๊าอังเดรเด็ดขาด)  ส่วนหนูเอเดรียนยอดมากเลยลูก  เป็นราชินีตัวน้อยแต่เด็ก  โตขึ้นมาเอาแต่ใจชัวร์  แต่คงเป็นวัยต่อต้านมั้ง 

ขอให้เอเดรียนไม่เกลียดซูก็พอค่ะ  ส่วนพระเอก...  ดูจะงงกับอดีตนะ  ตกลงเมื่อหน้าปีก่อนนี่เขารักกันจริงหรือเปล่าหว่า  ซูน่ะรักแน่ๆ  แต่พระเอกนี่...  งงกับพระเอกค่ะ  ท่าทางพระเอกงงๆมึนๆชอบกล 

แต่อยากอ่านตอนต่อไปมากกกก   เรียบมาลงนะคะ :bye2: 

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #69 เมื่อ19-11-2013 20:43:32 »

อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
« ตอบ #69 เมื่อ: 19-11-2013 20:43:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mildmint0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #70 เมื่อ19-11-2013 23:09:36 »

กรี๊ด อังเดรมาก ตอนนี้ อัลไลอ้ะ  ชอบท่อนนี้มาก
“เธอเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าฉันเองไม่ได้รังเกียจผู้ชาย จะว่าคาดเดาเก่งหรืออะไรก็ตามแต่มันก็อาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้าง”
ส่วนอี สโตคเกอร์ติดตามนั่นคือใคร ?? มาตามทำไม
แอบทำให้นึกถึงหนังฆาตกรรม หนัง ต่างประเทศ สยองแทน ฮ๋าๆๆๆ

ออฟไลน์ AGALIGO

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #71 เมื่อ20-11-2013 16:25:16 »


ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับความมุ่งมั่นของยูล่า
ที่จะทำตามที่ใจของนางต้องการ
เพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง
เพียงแต่ดันซวยที่มาเจอกระดูกชิ้นโตคือเอเดรียน
แล้วที่สำคัญผู้ชายเค้าไม่ได้คิดอะไรด้วยนี่สิ

+ 1 + เป็ดจ้า

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 9 [18/11/13]
«ตอบ #72 เมื่อ20-11-2013 21:38:19 »

เรื่องนี้ปมลึกลับเยอะมากค่ะ ทั้งพระทั้งนายเลย  :ling1: แต่ชอบนะคะ รอวันค่อยๆเผย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
-10-

   เสียงรถที่แล่นเข้ามาในบริเวณบ้านเรียกให้ซูเล่ยซึ่งกำลังทำความสะอาดบ้านหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่ารถของอังเดรกำลังถอยเข้าไปในโรงรถอย่างช้า ๆ ทว่าหลังจากนั้นกลับพบเงาคนเดินออกมาพร้อมกันสองคน คนหนึ่งเป็นชายคนหนึ่งเป็นหญิง แม้จะเห็นเป็นเพียงภาพไกล ๆ ที่ถูกกรอบหน้าต่างบดบังทัศนวิสัยไปหลายส่วน แต่ก็ยังสามารถอนุมานได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

   ที่จริงแล้วนับแต่คืนอีฟ ยูล่าก็ขยันมาที่บ้านบ่อยขึ้นด้วยข้ออ้างว่าอยากจะสนิทสนมกับเอเดรียนให้มากกว่านี้ และทางกลับที่พักของยูล่าจากบ้านของอังเดรจะใกล้ว่าเดินทางจากโรงเรียน หญิงสาวจึงมีเหตุผลมากมายที่จะโน้มน้าวชายหนุ่มให้พาเธอติดรถมาด้วย

   ภายในระยะเวลาสองสัปดาห์ เธอก็มาที่นี่ถึงห้าครั้งแล้ว บางวันยังมาหาอังเดรถึงบ้านในช่วงกลางวันเพื่อเดินทางไปโรงเรียนลีลาศด้วยกันในตอนเย็นเสียด้วยซ้ำ นั่นยังไม่รวมคืนปีใหม่ซึ่งเดินทางมาอยู่ฉลองจนถึงช่วงเคาท์ดาวน์ สุดท้ายจึงไม่ได้นอนกันทั้งคืนเพราะอยู่เป็นเพื่อนยูล่าจนรุ่งเช้า ทั้งนี้ เพราะอังเดรไม่อยากให้หญิงสาวนอนโซฟา แต่ก็ตะขิดตะขวงใจที่จะให้ไปนอนบนห้องเช่นกัน

   “ยูล่าจะมาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?” เด็กหญิงตัวน้อยเดินมาถามพี่เลี้ยงของตนด้วยสีหน้าขุ่นใจ แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่เธอก็สัมผัสได้ว่ายูล่าต้องการความสัมพันธ์ที่เพิ่มระดับมากขึ้นกว่าปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเริ่มปฏิบัติตัวประหนึ่งจะเป็นแม่ของเอเดรียนอยู่กลาย ๆ อย่างเช่นมาถึงบ้านก็กอดอุ้มอย่างสนิทสนม อาสาเป็นคนทำอาหารเย็น คอยดึงความสนใจของเอเดรียนและอังเดรไปจากซูเล่ยอยู่บ่อยครั้งระหว่างการสนทนา ยังคงมีหน้าที่อยู่สองประการในช่วงเย็นและค่ำที่ยูล่าก้าวก่ายไม่สำเร็จนั่นคือการพาเอเดรียนไปอาบน้ำและเข้านอน เพราะซูเล่ยจะให้เอเดรียนอาบน้ำก่อนอังเดรกลับมาเสมอ และห้องนอนก็อยู่ชั้นสองซึ่งปกติแล้วไม่ให้คนนอกขึ้นไปยุ่มย่าม

   “ไม่หรอก ยูล่าก็มีบ้านของตัวเองนี่” ซูเล่ยตอบแล้วลูบหัวเอเดรียนเพื่อให้เธอเลิกหงุดหงิดใจกับเรื่องนี้ แต่ตัวเขาเองกลับเริ่มกระสับกระส่ายเสียเองในระยะหลัง เพราะนอกจากยูล่าจะรุกหนักแบบถวายชีวิตแล้ว ตัวอังเดรก็คงจะอ่อนโอนให้ไม่น้อยเพราะความพยายามนั้นรวมถึงการสนับสนุนจากอาร์เลน เพราะหากไม่คิดจะตอบรับ ก็คงปฏิเสธความใกล้ชิดที่มากเกินพอดีอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
   ประตูหน้าบ้านเปิดออกพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักจากบทสนทนาที่เข้าใจกันเพียงสองคน

   เอเดรียนเข้าไปทักทายอังเดรและได้รับการทักทายจากยูล่าเช่นเดิม และดูเหมือนตัวเด็กหญิงจะขี้เกียจต่อต้านแล้วจึงยอมให้อุ้มเฉย ๆ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์แทน

   หลังจากเอาอกเอาใจเอเดรียนพอเป็นพิธีแล้ว ยูล่าก็ผละเข้าครัวไป

   “แบบนี้จะดีหรือครับ?” ซูเล่ยเปรยเมื่อแน่ใจว่ายูล่าจะไม่ได้ยินบทสนทนา

   “อะไรหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วและมองพี่เลี้ยงของลูกสาวด้วยสายตากังขาเพราะไม่เข้าใจประเด็นที่อีกฝ่ายต้องการพูด

   “ที่จริงผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ถูกแย่งงาน แต่พวกคุณกว่าจะเลิกงานกลับมาก็ค่ำแล้ว กว่าจะทำอาหารเสร็จอีก กินผิดเวลาบ่อย ๆ เดี๋ยวจะมีปัญหาเสียเปล่า ๆ” ดวงตาสีดำกลอกรอบหนึ่งและหยุดที่ประตูห้องครัว แน่นอนว่าปัญหาเรื่องสุขภาพปากท้องเป็นสิ่งที่ซูเล่ยกังวลแต่แรกแล้วจึงอาสาเป็นคนทำอาหารให้ตนเองและเอเดรียนกินไปก่อนแล้วยูล่าค่อยจัดการเรื่องอาหารของอังเดรกับของตัวยูล่าเองโดยมีเอเดรียนร่วมโต๊ะพร้อมกับน้ำนมอุ่น ๆ เป็นของว่างก่อนนอน ด้วยเหตุนั้นเอเดรียนจึงไม่ทำตัวมีปัญหากับอาหารเลยนับแต่กิจวัตรเริ่มเปลี่ยนไป แต่ตัวอังเดรเองต่างหากที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปเต็ม ๆ

   “ก็กินรองท้องกันมาก่อนน่ะ ดูเหมือนยูล่าเองก็รู้ว่าจะมีปัญหาเหมือนกัน ก็เลยทำของเบา ๆ ไปให้กินที่นั่นแล้วค่อยกลับมาฟูลคอร์สที่นี่” อังเดรว่าพลางลูบผมเอเดรียนเพื่อให้เด็กหญิงอารมณ์ดีขึ้น

   เสียงกอกแกกในครัวเรียกให้คนทั้งสามในห้องนั่งเล่นมองไปยังประตูด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป แต่เมื่อยูล่าโผล่หน้าออกมา คนที่ดีใจที่สุดเห็นจะเป็นอังเดรที่ของว่างละลายหายไปจากกระเพาะแล้ว ด้วยเหตุนั้นการสนทนาจึงโยกย้ายไปที่โต๊ะอาหาร ซูเล่ยรินนมอุ่นใส่แก้วใบโปรดของเอเดรียนและยกส่งเจ้าของที่นั่งตีขารออยู่ที่เก้าอี้สูงสำหรับเด็ก ส่วนอังเดรก็กำลังจัดการอาหารด้วยความหิวโหยโดยมียูล่าเฝ้ามองด้วยสายตาปลื้มปิติจนออกนอกหน้า และเมื่อซูเล่ยพาตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ หญิงสาวจึงเริ่มหันไปมาสนใจเจ้าตัวบ้าง

   “จะว่าไป คุณซูมีแฟนหรือยังคะ?”

   เพราะไม่ทันฟังว่าเมื่อครู่ยูล่าและอังเดรกำลังคุยประเด็นไหนอยู่ พอโดนถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซูเล่ยก็ได้แต่นั่งอึ้งและเลิกคิ้วเหมือนต้องการให้ทวนคำถามอีกครั้ง

   “อย่างคุณซูคงจะมีสาว ๆ มาชอบเยอะแน่”

   คนถูกถามกลอกตาไปมาเพื่อเรียบเรียบความคิด เมื่อนำประโยคที่สองกับคำถามแรกที่ได้ยินเพียงแวบ ๆ มาประกอบกันจึงพอจะเข้าใจประเด็นได้บ้าง

   “ผมไม่เคยคบกับใครเป็นเรื่องเป็นราวหรอก” เขาว่า “เอาเข้าจริงแล้วพวกผู้หญิงก็แค่ชื่นชมผม แต่พอถึงเวลาต้องเลือก พวกเธอก็หันไปเลือกผู้ชายแบบอังเดรเสียทุกที”

   เจ้าของชื่อที่ถูกกระทบเงยหน้าขึ้นมาทันควันก่อนมุ่นคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

   “แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเลยหรือคะ?” ยูล่าย้ำถามทำให้ผู้ฟังเริ่มนึกสงสัยขึ้นมา เพราะร้อยวันพันปีอีกฝ่ายไม่เคยนึกสนใจชีวิตส่วนตัวของเขาเลยสักครั้ง แต่ซูเล่ยก็แค่ไหวไหล่แทนคำตอบ “ฉันไม่ได้คิดจะละลาบละล้วงหรอกนะคะ ถ้าฉันทำให้ไม่สบายใจก็ต้องขอโทษด้วย”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ...” แต่แล้วจู่ ๆ ความคิดบางอย่างก็วาบเข้ามาในสมองเขาจึงลองถามกลับไปบ้าง “แล้วคุณยูล่าล่ะ?”

   ใบหน้าหญิงสาวแดงขึ้นนิดหน่อยพร้อมกับแววตาเสมือนได้รับสิ่งที่รอคอย ซูเล่ยเดาได้ถูกต้อง ยูล่าพูดประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะอยากจะพูดเรื่องของตนเองแต่ไม่สามารถพูดขึ้นมาโดยไม่มีมูลเหตุได้เพราะจะดูจงใจเกินไป จึงต้องใช้คู่สนทนาให้เป็นประโยชน์

   “ที่จริง...ฉันก็พอมีคนมาสนใจอยู่บ้างตามประสาผู้หญิงล่ะมั้งคะ” หญิงสาวหัวเราะพลางเกลี่ยปอยผมทัดหูตนเอง

   ใครก็ตามที่ฟังข้อความนี้ย่อมรู้ว่าเป็นการถล่มตัว ยิ่งมาเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอแล้วต้องเรียกว่าเป็นการถล่มตัวเกินจริงไปมากทีเดียว เพราะยูล่าเป็นผู้หญิงที่มีทุกอย่างซึ่งคนเพศเดียวกันต่างอิจฉาตาร้อน ผู้ชายทั่วโลกต่างระบุว่ารูปลักษณ์เช่นนี้คือผู้หญิงในฝัน มีหรือที่จะเพียงแค่ ‘มีคนมาสนใจอยู่บ้าง’ อย่างที่กล่าวอ้าง

   “ฉันคงดูไม่มีเสน่ห์เท่าไหร่” เธอยิ้มเขินอายอย่างมีจริตจะก้าน

   “...คุณก็ดูดีในแบบของคุณอยู่แล้ว” อังเดรเป็นฝ่ายพูดขึ้นหลังจากที่ซูเล่ยเอาแต่นั่งเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดีที่จะไม่ทำให้บรรยากาศย่ำแย่ และคำตอบของชายหนุ่มก็ทำให้ผู้ฟังยิ้มจนแก้มแทบปริ เธอเบือนสายตาไปทางอื่นขณะกัดริมฝีปากน้อย ๆ

   “แล้ว...คุณล่ะคะ ก่อนพบกับคุณมารีน คุณสนใจใครอยู่หรือเปล่า?” หลังจากใช้ประโยชน์จากซูเล่ยจนได้สิ่งที่ตนเองต้องการ หญิงสาวก็ละความสนใจไปจากคู่สนทนาคนแรกทันที

   อังเดรเงียบไปเล็กน้อยสำหรับคำถามนี้ ส่วนซูเล่ยก็ไม่ได้ใส่ใจกับการที่ตนเองถูกทอดทิ้ง เพราะเจ้าตัวมีเอเดรียนให้ดูแลอยู่แล้ว กระนั้นคำตอบของอังเดรก็ทำให้บางส่วนในร่างกายกระตุกวูบเบา ๆ

   “ครับ ผมมีอยู่คนหนึ่ง ก่อนที่จะพบมารีนแค่ไม่นาน”

   สีหน้ายูล่าฉายความผิดหวังออกมาเล็กน้อย เพราะนั่นหมายความว่าในเวลานั้น ถึงไม่มีมารีนเธอก็ไม่ได้อยู่ในสายตาอังเดรอยู่ดี

   “คงจะมีเหตุผลบางอย่างสินะคะ เอาเถอะ ฉันไม่ถามลึกถึงขนาดนั้นหรอก” หญิงสาวหัวเราะกลบเกลื่อนแม้ใจจริงจะอยากรู้

   ทว่า...อังเดรคล้ายจะอยากพูดในประเด็นนี้

   “ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดหรอก คนคนนั้นหายตัวไปเฉย ๆ ในวันหนึ่งและพวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย มันก็เท่านั้นเอง”

   ซูเล่ยฟังจบก็หันไปมองเจ้าตัว แต่ก็ลมหายใจก็สะดุดไปวูบหนึ่งเพราะสายตาของอังเดรก็กำลังจ้องมองมาทางเขาเช่นกัน ราวกับว่ากำลังสังเกตปฏิกิริยา...เจ้าตัวจึงรีบกลบเกลื่อนด้วยการเก็บแก้วเปล่าของเอเดรียนและลุกออกไปจากโต๊ะ ทำเป็นว่าไม่ได้สนใจสิ่งที่ทั้งสองกำลังพูดคุยเลยแม้แต่น้อย

   “แล้วก็ไม่เคยเจอกันอีกเลยจนถึงตอนนี้น่ะหรือคะ?” ยูล่ายังคงไถ่ถามเพื่อความมั่นใจ แม้อดีตเธอจะไม่สามารถเอาชนะทั้งมารีนและหญิงสาวปริศนาคนนั้นได้ แต่ในเวลานี้หากไม่มีใครอื่น เธอคงสามารถวางใจได้ว่าตนเองอาจจะมีโอกาสขึ้นมาบ้าง

   “ครับ แต่เอาเถอะ ผมก็ไม่ค่อยจะติดใจกับเรื่องนั้นแล้ว” พอได้ยินอย่างนั้น ซูเล่ยก็รู้สึกคล้ายในอกของตนมีตะกอนขุ่นกระจายตัวเพราะถูกตีกวน แต่เจ้าตัวก็ตีสีหน้าปกติ เดินมาเก็บจานบางส่วนที่ว่างเปล่าแล้วไปเก็บในซิงค์ก่อนอุ้มเอเดรียนขึ้นจากเก้าอี้

   “ผมขอพาเอเดรียนขึ้นนอนก่อนนะครับ” ว่าจบ ชายหนุ่มร่างเล็กพร้อมกับเด็กหญิงในอ้อมกอดที่กำลังขยี้ตาปรือปรอยก็เดินออกไปจากห้องครัว

   พวกเขาเดินขึ้นชั้นสองและเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนสำหรับเด็ก ซูเล่ยวางเอเดรียนลงบนเตียง เด็กหญิงที่ง่วงได้ที่ก็ควานหาผ้าห่มด้วยตัวเองโดยไม่อิดออด

   “ทำไมยูล่าถึงมาบ้านบ่อยจัง” เสียงเล็ก ๆ งัวเงียเอ่ยถาม

   “ไม่รู้สิ บางทีเธออาจจะเหงาก็ได้” ฝั่งพี่เลี้ยงว่าไปก็ห่มผ้าให้เรียบร้อย “ทำไมล่ะ เอเดรียนไม่ชอบยูล่าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”

   “ยูล่าชอบแย่งแดดดี้”

   ในสายตาเด็ก ๆ มันก็คงเป็นอย่างนั้น ทั้งที่เวลาก่อนนอนอันน้อยนิดคือเวลาที่พ่อลูกจะได้อยู่ด้วยกัน แต่แล้วกลับมีบุคคลที่สามยื่นมือเข้ามารบกวนช่วงเวลาปกติสุขและแทรกตัวเป็นส่วนหนึ่งทำให้ความปกติที่เคยดำเนินมาบิดเบี้ยวไปจากเดิมจนสังเกตได้ ซูเล่ยคิดแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมา...

   “แล้วเอเดรียนไม่ชอบพี่ด้วยหรือเปล่า?” เพราะตัวเขาเองก็เป็นสิ่งแปลกปลอมในช่วงแรก ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องแปลกทีเดียวที่เอเดรียนยอมรับเขาได้ง่ายกว่าที่คิด

   “ซูใจดี อยู่เป็นเพื่อนเอเดรียนแทนแดดดี้ด้วย” ดวงตากลมโตส่องประกายขณะชื่นชมพี่เลี้ยงที่ตนแสนภาคภูมิใจ “เอเดรียนชอบซู ซูจะอยู่กับเอเดรียนตลอดไปไหม?”

   ...

   จู่ ๆ หัวข้อก็ถูกเบี่ยงไปสู่ประเด็นที่ตัวซูเล่ยไม่สามารถตอบได้ เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะกำหนดในเรื่องนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีคนที่เหมาะสมกว่า คนที่จะมาเป็นแม่คนใหม่ของเอเดรียนซึ่งได้รับการยอมรับจากตาของเธอ เขาก็จะต้องจากไปอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

   กระนั้นส่วนหนึ่งในสมองของเขาก็คิดถึงแผนการที่ดีขึ้นได้

   หากว่าการมีอยู่ของเขาเป็นข้อแม้ที่ทำให้เอเดรียนไม่มีวันยอมรับยูล่าล่ะ? นั่นจะทำให้งานของเขาง่ายขึ้นมากและเขาก็จะไม่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่มย่ามด้วยตัวเอง แค่เพียงเอเดรียนยืนยันเสียงแข็งว่าจะยอมรับผู้หญิงคนนี้เป็นแม่คนใหม่ อังเดรก็คงยินยอมตามใจลูกสาวคนโปรดเป็นแน่

   “...ก็ไม่แน่นะ” ซูเล่ยกล่าวกับเอเดรียน “ถ้าหากว่าแดดดี้มีมามี้คนใหม่ ฉันก็คงจะต้องไปจากที่นี่ เพราะมามี้คนใหม่จะมาดูแลเอเดรียนแทน”

   “เอเดรียนไม่อยากมีมามี้คนใหม่” ใบหน้าเล็ก ๆ มู่ทู่ทันตาเห็น

   “แดดดี้อาจจะอยากมีก็ได้”

   “แต่เอเดรียนไม่เอา ถ้าแดดดี้มีมามี้ใหม่ เอเดรียนจะไปอยู่กับซู” นั่นเป็นข้อแม้ที่เกินคาดไปสักหน่อย ซูเล่ยไม่คิดเลยว่าเอเดรียนจะติดตนถึงขนาดนี้ หากคิดเข้าข้างตัวเองอีกสักนิด สถานการณ์คงคล้าย ๆ เวลาที่ฝ่ายแม่ถามลูกว่าหากพ่อกับแม่ต้องแยกทางกันลูกจะไปอยู่กับใคร เพียงแต่มันเป็นการสมมติสถานการณ์ที่ค่อนข้างเลยเถิด ซูเล่ยจึงปล่อยให้มันรบกวนสมองตนเพียงเสี้ยววินาทีก่อนปัดมันทิ้งไป

   “เรื่องนั้นเอาไว้แดดดี้มีมามี้คนใหม่แล้วค่อยคิดดีไหม? คืนนี้นอนก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นแดดดี้จะว่าพี่เอาได้” เขาปล่อยให้เอเดรียนนอนหลับโดยไม่ชวนคุยอีก และเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงหลับสนิทแล้วจึงค่อย ๆ ย่องออกมา ชั่วขณะที่กำลังจะปิดประตู ร่างเล็ก ๆ ที่นอนขดบนเตียงด้วยท่าทางไร้เดียงสาทำให้ความรู้สึกผิดวูบขึ้นมาในใจ เขาคงจะเป็นคนที่เลวมากถึงได้หลอกใช้ความใสซื่อของเด็กที่เชื่อใจตนเอง ซึ่ง...ก็คงเพราะเขาเป็นคนอย่างนี้ คนที่ใช้ประโยชน์จากคนรอบตัวเพียงเพื่อทำให้เป้าหมายของตนเองลุล่วง จึงสมควรแล้วที่จะตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องคัดง้างกับความรู้สึกของตนเองทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้

   และสุดท้ายก็เลือกทางออกที่ง่ายกับตนเองมากที่สุด นั่นคือไม่ทำอะไรเลย...

   แค่ทิ้งมันไปและทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

------------------------------->

   ซูเล่ยเดินลงมาเพื่อเก็บของข้างล่างเมื่อเอเดรียนหลับไปแล้ว เขาพบว่ายูล่านั่งอยู่ในครัวคนเดียวและไม่เห็นเงาของอังเดรเลย

   “คุณแอชฟอร์ดไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ” ยูล่าตอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าสงสัย

   “อ้อ...” ซูเล่ยรับคำสั้น ๆ แล้วมองไปที่อ่าง พบว่าจานชามถูกล้างคว่ำหมดแล้ว “กำลังรออังเดรไปส่งหรือครับ?” เพราะการเดินทางกลับที่พักในตอนดึกไม่ค่อยดีนักสำหรับหญิงสาวตัวคนเดียว อังเดรจึงมักอาสาไปส่งทุกครั้งที่ยูล่าสละเวลามาถึงบ้าน มันกลายเป็นภาระที่เพิ่มมากขึ้นแต่น่าแปลกที่อังเดรไม่ยักบ่นเรื่องนี้สักครั้ง เป็นไปได้ว่าเลือดสุภาพบุรุษสั่งให้ทำจึงไม่สามารถขัดขืนได้

   “ค่ะ ที่จริงฉันก็รู้สึกเกรงใจ แต่ส่วนหนึ่งก็ดีใจนะคะที่เขาเอาใจใส่ฉันขึ้นมาบ้าง”

   ถึงยูล่าจะพูดว่าเกรงใจแต่ซูเล่ยกลับให้น้ำหนักกับคำหลังมากกว่าเพราะประโยคแรกคล้ายจะเป็นแค่การพูดตามมารยาท เพราะหากเกรงใจจริงคงจะหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระให้อีกฝ่ายมากกว่าตื้อขอตามมาทำตามใจตัวเองและให้อีกคนหนึ่งจัดการส่วนที่เหลือให้อย่างนี้

   กระนั้นทุกสิ่งที่คิด ซูเล่ยก็ไม่ได้พูดหรือแสดงออกทางสีหน้า

   “ผมคิดว่าปกติอังเดรก็ไม่ค่อยจะขัดใจคุณอยู่แล้วนะครับ” เขาพูดเพื่อไม่ให้หญิงสาวหวังเกินควร แต่เธอกลับแสดงความไม่พอใจในคำพูดของเขาทันที

   “ก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมฉันถึงขนาดนี้หรอกค่ะคุณซู” เธอพูดคล้ายพยายามย้ำว่าตอนนี้อังเดรเปลี่ยนไป “ถ้าเป็นสมัยก่อนพอฉันจะมาที่บ้านเขามักจะบอกว่าไม่สะดวกเพราะเหตุผลต่าง ๆ นานา ซ้ำยังไม่ค่อยยินยอมสัมผัสตัวฉันนอกจากเวลาที่เต้นคู่กัน แต่วันนี้เขา...”

   สัมผัสตัว?

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
   ซูเล่ยฟังแล้วมุ่นคิ้ว แม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องสามัญแต่สำหรับคนที่ถูกหล่อหลอมด้วยวิถีของลีลาศจนเข้าเส้นแบบอังเดรย่อมให้เกียรติสุภาพสตรีและจะไม่สัมผัสตัวหากไม่จำเป็น นอกจากว่าเป็นการสัมผัสเพื่อแสดงความเอ็นดูแบบผู้ใหญ่กับเด็ก สัมผัสเพื่อปลอบโยน หรือสัมผัสเพื่อให้กำลังใจ ซึ่งกรณีของยูล่าดูจะไม่อยู่ในกรณีเหล่านี้เลยสักกรณีเดียว ดังนั้นการสัมผัสของอังเดรจะต้องมีความหมายพิเศษบางอย่าง

   ตะกอนที่ถูกตีกวนเริ่มขุ่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนอนก้นจนถึงเมื่อครู่

   มันไม่ใช่ความไม่พอใจเพราะเรื่องนอกใจมารีนหรือขัดใจพ่อตา แต่เป็นความไม่พอใจส่วนตัวของซูเล่ยเองซึ่งเจ้าตัวพยายามหาเหตุผลอื่นกลบเกลื่อน

   “...อย่างนั้นหรือครับ” ซูเล่ยรู้สึกคล้ายลำคอแห้งผากกะทันหันจึงเค้นเสียงออกมาได้ไม่เต็มที่ จากที่เคยมั่นใจว่าอังเดรคงไม่โอนอ่อนไปกับอีกฝ่ายเพราะยังมั่นคงต่อมารีน เห็นแก่เอเดรียน หรืออะไรก็ตาม ดูท่าทางจะไม่เป็นความจริงเสียแล้ว ความเหงาเป็นเหตุหรือ? เพราะเหตุนั้นด้วยหรือเปล่าอังเดรจึงเพิ่งคิดถึงลีขึ้นมาอีกครั้งหลังจากลืมเลือนไปนาน และความเหงานั้นด้วยใช่ไหมคือเหตุผลที่อังเดรโอบกอดตนอย่างอ่อนโยน...

   “คุณซูคงจะช็อคอยู่นิดหน่อย ก็ไม่แปลกหรอกค่ะเพราะมันค่อนข้างกะทันหัน แม้แต่ฉันก็ยังตกใจ” สีหน้าของหญิงสาวระบายด้วยความสุขสมใจโดยไม่ต้องอธิบายความ

   “ก...”

   “ขอโทษด้วยแต่เราคงต้องรีบไปกันแล้วก่อนที่จะดึกไปกว่านี้” อังเดรโผล่พรวดเข้ามาในห้องครัวทำให้คำพูดที่ซูเล่ยกำลังจะพูดกลืนกลับหายไปในลำคอ ชายหนุ่มมองนาฬิกาด้วยสีหน้ากังวลเล็ก ๆ ดูจะไม่ได้สนใจบทสนทนาก่อนหน้าแม้แต่น้อย

   ยูล่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยิ้มให้ซูเล่ยอย่างมีความหมายและเดินตามอังเดรออกไป

   หญิงสาวถูกขอให้รออยู่ตรงทางเท้าขณะที่เจ้าของบ้านเข้าไปถอยรถ ซูเล่ยจึงมองเห็นเธอท่ามกลางแสงไฟจากริมถนน และเมื่อขึ้นรถ เขาได้เห็นหญิงสาวโน้มตัวไปทางคนขับมากจนผิดปกติทำให้หัวใจเผลอกระตุกวูบแม้มันจะเป็นเพียงแค่เงาที่เห็นผ่านกระจก ไม่แน่ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าเสียด้วยซ้ำ

   ซูเล่ยไม่ได้ขึ้นนอนทันที เขารอจนกระทั่งอังเดรกลับมาอย่างเงียบงันแต่ก็ได้พูดคุยอะไรกันเพราะอังเดรเหนื่อยเกินกว่าจะพูดคุยกับใครได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญมากเพียงใดก็ตาม

   ทั้งสองแค่บอกราตรีสวัสดิ์ จากนั้นอังเดรก็ขึ้นนอน

   มีแต่เพียงซูเล่ยที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ใคร่ครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาว่าเขาพลาดอะไรไป ทำไมจึงเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ หรือบางทีมันอาจจะเป็นความชะล่าใจของเขาเองที่ไม่รู้จักอังเดรมากพอ เพราะหากว่าตามจริง เขากับอังเดรได้พบกันก็เพียงช่วงค่ำหลังกลับจากทำงาน กับวันหยุดสองวันที่อีกฝ่ายมีเวลาอยู่บ้านช่วงกลางวัน สิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำงานเจ้าตัวไม่เคยเล่าให้ที่บ้านฟัง ซึ่งช่วงเวลามากมายที่ยูล่ามีโอกาสสนิทสนมกับอังเดรนั้นคือสิ่งที่เขาพลาดไปหรือเปล่า? ช่วงเวลาที่ไปสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน รวมถึงช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันในโรงเรียนลีลาศ หากนับแล้วมันก็มีมากจนเกินพอสำหรับคนสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีพันธะผูกพันซึ่งได้รับการยืนยันจากปากของทั้งคู่เองเมื่อช่วงอาหารเย็น

   เป็นความผิดของเขาหรือที่พยายามกันตัวเองให้อยู่เพียงระยะผู้สังเกตการณ์

   ซูเล่ยกำลังรู้สึกหงุดหงิดใจโดยหาสาเหตุไม่ได้ นึกอยากจะไล่หญิงสาวให้ออกไปจากชีวิตของอังเดรเสียเดี๋ยวนี้แต่หากทำเช่นนั้นตัวเขาเองนั่นแหละที่อาจจะถูกไล่ออกไป ชายหนุ่มสูดหายใจและคิดถึงสิ่งที่ตนเองเคยมั่นใจ ใช่ เขาเคยมั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการกับเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างนี้ได้ แค่ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาปะปนและจัดการไปตามที่เห็นควรก็พอ

--------------------------------------->

   วันรุ่งขึ้น ขณะที่อังเดรออกไปทำงานแล้วซูเล่ยก็ได้ยินเสียงริงโทนคุ้นหูแต่เป็นเสียงที่ไม่น่ามีอยู่ในเวลานี้ได้เพราะมาจากโทรศัพท์มือถือของอังเดรเอง เขาเดินหาอยู่สักระยะพร้อมกับเอเดรียนจึงพบว่ามันตกอยู่บนโต๊ะที่ใช้วางชั้นเก็บแผ่นซีดี คงจะทำตกเอาไว้ตอนที่มาหยิบของกระมัง แต่ตอนที่ซูเล่ยหาเจอเสียงก็เงียบไปเสียแล้ว และเขาก็ไม่คิดจะโทรกลับเพราะไม่น่าจะใช้ธุระของตนอีกทั้งไม่ไดคิดจะนำไปให้เจ้าตัวถึงโรงเรียนเหมือนอย่างเมื่อครั้งก่อนด้วย จึงเพียงแค่หยิบมาวางให้เป็นที่ แต่แล้วมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง

   ซูเล่ยคว้าขึ้นมากดรับเพราะเห็นเอเดรียนทำท่าจะรับเสียเอง

   “สวัสดีครับ”

   “อุ้ย นี่เบอร์คุณแอชฟอร์ดใช่ไหมคะ?” เสียงของฝ่ายนั้นเป็นผู้หญิงที่ดูจะอายุมากกว่าเขาอยู่โข คงเพราะเสียงไม่คุ้นจึงได้อุทานออกมา

   “ครับ วันนี้เขาลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่บ้าน”

   “อ้อ...แหมคุณแอชฟอร์ดนี่ไม่ไหวเลย ทั้งที่วันนี้เป็นวันสำคัญแท้ ๆ เชียว” ต้นสายรำพึงรำพันแบบจงใจให้ปลายสายได้ยินก่อนจะหัวเราะคิกคักกับตนเอง “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณรามอสน่ะค่ะ” เธอพูดเองตอบเองโดยที่ซูเล่ยไม่ได้ถามเลยสักคำเดียว แต่ชื่อที่ได้ยินก็ทำให้ชายหนุ่มต้องกลอกตาอยู่หลายตลบว่าคุ้นหูมาจากที่ไหนก่อนจะนึกได้ว่าเป็นนามสกุลของยูล่านั่นเอง

   “เอ่อ...แล้วจะจัดงานฉลองกันที่ไหนหรือครับ ผมจะลองติดต่อคุณแอชฟอร์ดดูหากทำได้” แม้ใจจริงจะไม่ได้คิดแจ้งข่าวดังปากว่าแต่อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นไกลหูไกลตา

   “ก็ที่โรงเรียนนั่นแหละค่ะ แล้วก็ไม่ต้องบอกคุณแอชฟอร์ดหรอก พอคิด ๆ ดูแล้วทำให้เป็นเซอร์ไพรซ์ของทั้งคู่เลยก็ดีเหมือนกัน” น้ำเสียงของเธอดูจะสนุกสนานอยู่ไม่น้อย และบางจังหวะก็คล้ายจะหันไปกระซิบกับคนข้างตัวบ้างก่อนหันกลับมาพูดใส่โทรศัพท์อีกครั้ง “แหม แต่น่าอิจฉาทั้งคู่เลยนะคะ เหมาะสมอย่างกับกิ่งทองใบหยก คุณรามอสก็สวยขนาดนั้น คุณแอชฟอร์ดก็หล่อเหลาไม่ใช่น้อย ทางฉันเองก็คิดมานานแล้วว่าสองคนนี้น่าจะได้ลงเอยกันในสักวัน น่าเสียดายที่คุณแอชฟอร์ดแต่งงานไปเสียก่อนแต่ตอนนี้เห็นจะมีลุ้นนะคะ”

   คำชื่นชมผสมยกยอพรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนพัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝั่งของสายคงจะเป็นแม่บ้านมีฐานะที่ช่างพูดช่างคุย บางทีลูกสักคนของเธออาจจะเป็นลูกศิษย์ในโรงเรียนสอนลีลาศของอังเดร หรือไม่ก็เป็นตัวเธอเองที่ไปเรียนที่นั่นและได้เห็นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวที่ใกล้ชิดประหนึ่งเชื่อมใจไว้ด้วยกัน จึงรู้สึกลุ้นไปกับความรักอันสวยงามตามแบบเทพนิยาย

   หากมีคนแบบนี้อยู่หลาย ๆ คนคอยชี้นำและสนับสนุน คงไม่น่าแปลกใจหากอังเดรจะเริ่มไขว้เขว...

----------------------------------->

   คืนนั้นอังเดรกลับมาค่ำกว่าปกติมาก ซึ่งซูเล่ยก็รู้เหตุผลอยู่แก่ใจจึงพาเอเดรียนขึ้นนอนไปก่อนและนั่งรอเจ้าของบ้านเพียงลำพังจนถึงเกือบเที่ยงคืน

   อังเดรกลับมาถึงด้วยท่าทางเมามึนอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มถอดโค้ทแขวนบนราวแล้วโซเซมานั่งที่โซฟาก่อนถอนหายใจและปลดเนคไทเพราะเริ่มอึดอัด

   “ขอน้ำเปล่าหน่อยสิซู” เขาว่าแล้วเอนพิงพนัก

   ไม่นานซูเล่ยก็ยกน้ำเปล่ามาให้จึงได้เห็นหน้าอังเดรที่แดงเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ อังเดรไม่ใช่คนคออ่อนอะไร ถ้าแสดงอาการมึนประมาณนี้คงจะโดนบังคับดื่มไปหลายแก้วอยู่ ครั้งเดียวที่เขาเห็นอังเดรมึนเมาก็คือครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเมื่อห้าปีที่แล้ว...

   แล้วนอกจากอาการเมา ยังมีอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า?

   “วันเกิดคุณยูล่าหรือครับ?”

   “อา...” เสียงครางจากในคอแทนคำตอบ

   “แล้วเป็นยังไงบ้าง?”

   “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก พวกที่โรงเรียนจู่ ๆ ก็รวมหัวกันเซอร์ไพรซ์ทั้งฉันทั้งยูล่า ทำเอาตกใจแทบแย่แต่ก็....ถ้าถือเป็นวันพักผ่อนก็สนุกดี พอตกค่ำพวกเด็ก ๆ กลับไปแล้ว พวกผู้ใหญ่ก็เริ่มเปิดเหล้าฉลอง คุยกันไปคุยกันมาก็ดึกเสียขนาดนี้”

   ฟังดูไม่มีอะไรมาก แต่สิ่งที่ซูเล่ยอยากรู้ไม่ใช่เรื่องสามัญเหล่านี้ เพราะท่าทางของอังเดรบ่งบอกว่ามีมากกว่าสิ่งที่พูด ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วอยู่ตลอดเหมือนมีสิ่งที่คิดไม่ตกอยู่ในใจ

   “คุณรู้หรือเปล่าว่าคนรอบข้างอยากให้คุณกับคุณยูล่าลองคบหากัน”

   “อืม...”

   “แล้ว...คุณคิดยังไง?”

   คำถามของซูเล่ยทำให้อังเดรต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงกลอกตามองคนข้างตัวอย่างพิจารณาและจิบน้ำอีกอึก

   “โดยส่วนตัวแล้วฉันก็คิดว่ายูล่าเป็นผู้หญิงที่ดี คงจะน่าเสียดายถ้าต้องมาติดแหงกกับผู้ชายที่มีพันธะแบบฉัน แต่เธอก็จริงจังเสียจนบางครั้งอดใจอ่อนไม่ได้เหมือนกัน” ถ้อยคำของอังเดรฟังดูมั่นคงและผ่านการไตร่ตรองอย่างดี ไม่มีวี่แววของเขามึนเมาอย่างที่ปรากฏบนหน้าแม้แต่น้อย “ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่เธอกลุ้มใจเรื่องเอเดรียน ทำให้ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ไม่ได้รักเอาฉาบฉวย อาร์เลนก็คอยพูดเรื่องนี้กับฉันอยู่บ่อย ๆ แต่ฉันก็ยังลังเลเพราะเอเดรียนยังเด็ก อาจจะไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้และฉันก็ไม่อยากจะฝืนใจเอเดรียนด้วย”

   ดูเหมือนว่า...ตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้อังเดรตัดสินใจไม่ได้เป็นเพราะเอเดรียนจริง ๆ นั่นหมายความว่าหากเอเดรียนไฟเขียว เจ้าตัวก็อาจจะ...

   ซูเล่ยกลืนน้ำลาย

   “สุดท้ายก็ลืมเรื่องมารีนเสียแล้วสินะครับ ทั้งที่เธอเพิ่งจะเสียไปไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ” เพราะไม่อยากจะเปิดเผยความอึดอัดใจของตนเองออกมาตรง ๆ ซูเล่ยจึงไพล่ไปพูดถึงมารีนแทน ซึ่งทำให้ดวงตาของอังเดรลุกวาบด้วยความไม่พอใจ

   “คิดจะเอาเรื่องนั้นมาข่มขู่ฉันหรือ? หรือว่าเป็นคำสั่งของพ่อมารีนอีกล่ะ?”

   “ก็สุดแต่คุณจะคิด ยังไงซะ หากไม่มีเอเดรียนคุณก็คงจะแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอย่างยูล่าไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมสงเคราะห์ให้ก็ได้นะครับ แค่คุณยกสิทธิการเลี้ยงดูให้พ่อของมารีนไปเสีย คุณก็จะได้ใช้ชีวิตอิสระกับใครก็ได้อย่างที่ต้องการ”

   “ไม่จำเป็น เอเดรียนเป็นลูกของฉัน ถ้าฉันจะแต่งงานกับใครก็ต้องผ่านการเห็นชอบของเธอด้วย” อังเดรลุกพรวดขึ้นก่อนจะเซเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยอมให้เสียหลักจนต้องพยุง เขาหยัดตัวอย่างมั่นคงหลังจากตั้งสติอยู่สักพักหนึ่ง “และฉันเชื่อว่าหากยูล่ารักฉันจริง ๆ เธอก็ต้องสามารถเอาชนะใจเอเดรียนได้ในสักวัน และถึงตอนนั้นมันก็จะเป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับเธอหรือพ่อของมารีน”

   ว่าจบ อังเดรก็กระแทกเท้าขึ้นชั้นสองไปโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าโทรศัพท์ของตนกำลังส่งเสียงร้อง ซูเล่ยจึงเดินไปรับเสียเองและพบว่าเป็นข้อความฝากจากยูล่าหลายข้อความต่อ ๆ กันแสดงถึงความยาวของข้อความเมื่อนำมาเรียงร้อย

   ‘คุณแอชฟอร์ดกลับถึงบ้านหรือยังคะ? วันนี้ฉันต้องขอบคุณคุณมากในหลาย ๆ อย่าง นับแต่ได้พบกันนี่เป็นวันเกิดปีแรกที่ฉันมีความสุขถึงขนาดนี้’

   ‘แต่ว่าคุณอย่าใส่ใจมากเลยนะคะ...เรื่อง...เกมจูบอะไรนั่น พวกเขาก็นึกสนุกไปอย่างนั้นเอง และถึงแม้มันจะมีความหมายกับฉันมากเพราะฉันรู้สึกพิเศษกับคุณจริง ๆ และเป็นแบบนั้นมาตลอด...’

   ‘แต่ถ้าหากมันทำให้คุณรู้สึกไม่ดีฉันก็จะลืมมันไปเสีย สำหรับฉันขอเพียงคุณปฏิบัติกับฉันเหมือนเดิม เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา นั่นก็มากพอแล้ว’

   ‘เอ่อ...ตายจริง...ฉันคงมึนมากไปหน่อยถึงได้พิมพ์ข้อความอะไรอย่างนี้ ช่างมันเถอะค่ะ แล้วพบกันพรุ่งนี้นะคะ – ยูล่า’

   สี่ข้อความผ่านตาไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งและทำให้สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บางส่วน นั่นอาจเป็นสาเหตุที่อังเดรมีท่าทีเหมือนกำลังคิดมากก็เป็นได้ ชายหนุ่มคงกำลังคิดเรื่องของยูล่าอย่างจริงจังมากกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา และเมื่อถูกถามจี้ทั้งยังยกเอเดรียนและมารีนมาเป็นข้ออ้างจึงได้อารมณ์เสีย ดูเหมือนคนทั้งสองจะเริ่มใจตรงกันขึ้นมาบ้างแล้ว...

   ซูเล่ยมองแก้วน้ำในมือตนที่หากส่องกับแสงไฟจะเห็นผงสีขาวขุ่นลอยอยู่เล็กน้อย เขาคิดไม่ผิดเลยที่จะลงมือเสียตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งหากมันได้ผล เขาจะสามารถกันยูล่าออกไปจากอังเดรได้อย่างง่าย ๆ โดยไม่ต้องเปลืองแรง แค่เพียงปกปิดไว้ไม่ให้อังเดรรู้เรื่องก็พอแล้ว

   ชายหนุ่มร่างเล็กวางโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวลงที่เดิม และก้าวเท้าตามอีกฝ่ายขึ้นไปบนชั้นสอง เขายืนอยู่หน้าบ้านประตูซึ่งนับแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ เขาเพิ่งจะเคยเห็นมันเปิดออกเพียงครั้งเดียวคือตอนที่รับชุดเครื่องนอน นอกจากนั้นอังเดรก็ยืนยันว่าจะเป็นคนทำความสะอาดห้องของตัวเองเขาจึงไม่เคยได้เข้าไปอีกเพราะไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น

   แต่วันนี้...เขามีเหตุผลแล้ว

   ลูกบิดประตูเคลื่อนหมุนทีละน้อยเพื่อให้เกิดเสียงเบาที่สุด ก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก ซูเล่ยก้าวเข้าไปในห้องที่มืดสนิท ทำให้นึกถึงบรรยากาศเดิม ๆ ขึ้นมา...คืนนั้นก็หนาวเย็นเหมือกันคืนนี้...

   หลังจากปิดประตูลงแล้ว ซูเล่ยก็ถอดเสื้อตนเองออก อากาศเย็นกระทบผิวกายพาให้สั้นสะท้านจึงรีบก้าวเท้าไว ๆ ไปที่เตียงและก้มลงมองเจ้าของห้องด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึกอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อนว่าตนจะมีมันอยู่มากมายถึงขนาดนี้

   เขาปลดกระดุมอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าพลางสูดหายใจ

   นี่เป็นความผิดของคุณเองนะอังเดร...มันเป็นเพราะความโลเลของคุณ...

TBC

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เห้ยยยยยยยยยยย ค้างอ้ะ แบบนี้
ซูจะทำอาร๊ายยยย อั๊ยยะ!!!!!!

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
กรี๊ดดด
ซูจะทำอะไร
แอบหมั่นไส้ยูล่าเอามากเลยนะ
ทำแบบนี้ไม่ปลื้มเลยจริงๆ ......

wongwikkarn

  • บุคคลทั่วไป
เป้นนิยายอีกเรื่องที่อ่านในเล้า สนุกดี มาต่อไวๆๆนะ

wongwikkarn

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วมันดูง่ายๆๆไงไม่รู้ ไม่ใช่อันเดร วางแผนเพื่อจะหาความจริงจากซูนะ มันดูเหมาะเจาะเกินไป อิอิอิ

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
ซูจะทำอะไรรรรร คือซูหึงแล้วแระ
ขัดใจอังเดร ตอนที่แล้วยังกอดยังจูบซูละดูตอนนี้ดิ แต่ละคำพูดแบบโคตรบั่นทอนจิตใจ
ยูล่าก็นะ ก็แบบว่าบาย มั่นใจเกินไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 10 [23/11/13]
« ตอบ #79 เมื่อ: 24-11-2013 00:14:59 »





ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
กรี๊ดดดดด
ซูจะทำอะไร อย่านะซูอย่าช้า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
-11-

   คอฟฟี่ชอปเป็นสถานที่ซึ่งไม่ได้เหยียบย่างบ่อยนัก เพราะปกติจะเป็นสถานที่นัดพบสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะพวกวัยรุ่น เพียงแต่ในตอนนี้เด็กเหล่านั้นกำลังเล่าเรียนกันอยู่ร้านจึงค่อนข้างเงียบและร้างผู้คน จะมีก็เพียงพวกฟรีแลนซ์มาหาที่สงบเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน ส่วนตัวเขา...ใช้มันเพื่อพบกับใครคนหนึ่ง

   และเพื่อการนั้น เขาถึงกับต้องฝากเอเดรียนไว้กับดาริลที่โดนบังคับให้มาเฝ้าบ้านแทนชั่วระยะหนึ่งโดยหวังว่าตอนบ่ายจะกลับไปทันก่อนเอเดรียนจะเริ่มงอแง

   หลังจากเฝ้ารออยู่ราวครึ่งชั่วโมง หญิงสาวเชื้อสายละตินก็เยื้องย่างเข้ามาในร้าน รูปลักษณ์ของเธอยังคงเป็นเป้าสายตาเหมือนเดิม พาให้คนในร้านมองตามกันจนแทบเหลียวหลัง ทั้งนี้ คงเพราะการแต่งกายของเธอที่ค่อนข้างเน้นสัดส่วนด้วยกระมัง

   “สวัสดีค่ะคุณซู”

   “สวัสดีครับ” ซูเล่ยทักทายแล้วผายมือให้อีกฝ่ายนั่งฝั่งตรงข้าม หญิงสาวจึงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และสั่งน้ำชากับบริกรก่อนประสานมือบนโต๊ะ

   “เห็นว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยฉันเลยขอลางานช่วยสอนมาโดยเฉพาะ แต่ว่าตอนบ่ายฉันก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานช่วงเย็น ดังนั้นคงต้องทำเวลากันหน่อยนะคะ” ยูล่ากล่าวเพื่อเร่งรัดให้อีกฝ่ายเข้าเรื่องโดยไวแม้เธอจะไม่ได้ใส่ใจกับงานสอนที่โรงเรียนมากนัก แต่มันก็เป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่เธอจะได้ใกล้ชิดกับชายที่หลงรักและตอนนี้ดูเหมือนเขาจะเริ่มมีใจให้เธอบ้างแล้วเช่นกัน

   “ผมเองก็ต้องกลับไปดูเอเดรียนเหมือนกัน ดังนั้นขอไม่อ้อมค้อมนะครับ” ซูเล่ยพักหายใจครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ “ผมต้องขอโทษคุณจริง ๆ คุณยูล่า ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่ได้บอกความจริงเพราะเกรงว่าอังเดรจะเสียหน้าและถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ จากคุณซึ่ง...จำเป็นต่อเขา”

   ได้ยินท้ายประโยค หญิงสาวก็ยิ้มกว้างด้วยความชุ่มชื่นใจ กระนั้นส่วนที่เหลือก็พาให้สงสัยว่าเหตุใดซูเล่ยจึงต้องขอโทษ และมีอะไรที่จะทำให้เธอมองอังเดรต่างไปจากเดิม

   ปลายนิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนโต๊ะ ซูเล่ยจงใจแสดงความลังเลและลำบากใจออกมาให้สมจริงสมจังอย่างที่สุด เพื่อที่คำพูดที่จะกล่าวต่อไปจะได้ดูมีน้ำหนักมากขึ้น

   “ที่จริงแล้ว...คุณคงจะรู้สึกแปลกมาแต่แรกว่าทำไมถึงจ้างผู้ชายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมคงดูไม่เหมือนพี่เลี้ยงเอาเสียเลย ดังนั้น...ผมพูดมาถึงขนาดนี้ คิดว่าคุณคงจะพอเข้าใจบ้างแล้ว” เสียงถอนหายใจบางเบาของฝ่ายชายกลับสร้างความอึดอัดใจที่มากยิ่งกว่าให้ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นผู้ฟัง เพราะเมื่อเธอคิดดูดี ๆ แล้ว มันก็จริงอย่างที่ว่า เป็นเรื่องที่แปลกมากที่จ้างผู้ชายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงซึ่งสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายในทุก ๆ ด้านเมื่ออยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ซ้ำอุปนิสัยของซูเล่ยก็มีส่วนที่แข็งกระด้าง ไม่ใช่อุปนิสัยของคนที่จะเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กตัวเล็ก ๆ ได้เลยแม้แต่น้อย

   เหตุผลที่อังเดรรับซูเล่ยไว้ เธอไม่เคยสงสัยมาก่อนเลย แต่หากคิดดี ๆ แล้ว อังเดรเป็นผู้ชายรอบคอบ มีหรือจะรับคนที่ไม่รู้จักมาดูแลลูกสาวของตัวเองง่าย ๆ อย่างนี้ นอกจากว่า...ทั้งสองจะมีบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็น และอังเดรอยากจะให้เอเดรียนอยู่กับสิ่งนั้นได้ด้วย

   หรือว่าทั้งสองคนจะ...

   “อ...แหม...ฟังคุณพูดอยู่ฝ่ายเดียวมันออกจะ...” ยูล่าสับสนเล็กน้อยกับความคิดที่ถูกชี้นำจึงเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอเกลี่ยผมทัดหูและเสสายตามองไปทางอื่นพลางหาข้ออ้างอยู่ในใจว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะหากใช่ อังเดรควรจะบอกเธอเมื่อรู้ว่าเธอพยายามอย่างมากที่จะแสดงให้รู้ว่ามีใจ กระนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา อังเดรกลับไม่เคยพูดถึงเลยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

   แต่บางครั้ง...ใช่...บางครั้งผู้ชายคนนั้นก็ใกล้ชิดกับพี่เลี้ยงของลูกจนน่าสงสัย...

   “ผมรู้ว่าคุณอาจจะสับสนและกังขา จริงอยู่ว่าผมพูดฝ่ายเดียวคงไม่น่าเชื่อ แต่จะให้คุณไปเค้นถามกับอังเดรคงไม่ได้ เราตัดสินใจจะปิดเงียบไว้เพราะเขาเองก็มีภาระทางสังคม เรื่องแบบนี้มันจะทำให้เขาดูไม่ดีเสียเปล่า ๆ แต่เพราะคุณจริงจังกับเขามากผมจึงไม่อยากจะทำร้ายจิตใจหากรู้ความจริงเอาทีหลัง” ว่าแล้ว ซูเล่ยก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเปิดภาพและยื่นให้ยูล่า “เมื่อคุณดูจะเข้าใจเอง”

   เรียวคิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันและรับมือถือแม้จะลังเลอยู่ไม่น้อย

   เธอก้มลงมองภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแบบทัชสกรีนก่อนเบิกตาและเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ซูเล่ยสังเกตเห็นว่ามือของเธอสั่นเทาน้อย ๆ

   บนหน้าจอคือภาพของชายหนุ่มสองคนเปลือยเปล่าบนเตียง ทั้งสองผมเผ้ายุ่งเหยิง คนหนึ่งหลับใหลและกอดอีกคนด้วยอ้อมแขน ส่วนชายหนุ่มที่ถูกกอดยังตื่นอยู่และเป็นคนที่ถ่ายภาพนี้ ยูล่าสามารถจดจำชายทั้งสองได้แม้จะถูกถ่ายในที่มืดและมีเพียงแสงจากโคมไฟหัวเตียงที่ทำให้ภาพสว่างขึ้นเพียงเล็กน้อยเพราะคุณภาพอันย่ำแย่ของกล้องโทรศัพท์มือถือ

   “ถ้าคุณเข้าใจแล้ว ผมก็อยากขอให้คุณถอยออกไปจากเขาอย่างแนบเนียนด้วย เพราะผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมมาบอกคุณ” ซูเล่ยหยิบโทรศัพท์มือถือคืนจากมือยูล่าและเก็บใส่กระเป๋า หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยราวกับกำลังตกในภวังค์และถูกปลุกขึ้นมา เธอพยายามฝืนยิ้มแต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ดูบิดเบี้ยวประหลาดตาคล้ายเป็นส่วนผสมของความริษยาและความรังเกียจเดียดฉันท์ จากนั้นจึงลุกขึ้นโดยไม่พูดอะไร ไม่สนกระทั่งแก้วชาที่เกือบล้มตอนเอื้อมหยิบกระเป๋าและเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว

   บริกรมองมาที่โต๊ะคล้ายกำลังสงสัยว่าเป็นคู่รักทะเลาะกันหรือเปล่า เช่นเดียวกับสายตาคนอื่น ๆ ในร้าน ณ เวลานั้น แต่ซูเล่ยก็ไม่ได้นึกสนใจ

   เขายกแก้วชาขึ้นจิบและถอนหายใจที่อย่างน้อยมันก็ไปได้สวย ยูล่าคงไม่นำเรื่องนี้ไปถามกับอังเดรซ้ำอีกเพราะเขาแน่ใจว่าพูดสคริปต์ที่เตรียมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งน่าจะสื่อให้เธอเข้าใจได้ว่าถึงจะถามกับตัวอังเดรอย่างไรเจ้าตัวก็ไม่มีวันพูดเรื่องนี้ตามจริง

   ดังนั้น...มันจะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงที่รู้กันเพียงเขากับยูล่า

   เพราะที่จริงแล้วเมื่อคืนเขาเพียงผสมยานอนหลับลงไปในแก้วน้ำของอังเดร คนเมาที่กำลังกระหายน้ำย่อมไม่ทันสังเกตเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ จากนั้นก็เข้าไปจัดท่าทางเหมือนกับจัดท่าให้หุ่น เพียงแต่อังเดรตัวค่อนข้างหนักจึงจัดท่าได้ลำบากอยู่สักหน่อย แต่สุดท้ายมันก็ออกมาได้ดีเกินคาด ซึ่งต้องขอบคุณการร่วมมือในช่วงสุดท้าย ตอนแรกเขาคิดว่ามันจะเป็นการนอนเคียงกันธรรมดา แต่แล้วอังเดรกลับละเมอพลิกมารวบเขาเข้าไปกอดอย่างพอดิบพอดี ด้วยเหตุนั้นภาพที่เห็นจึงไม่สามารถเข้าใจเป็นอื่นไปได้

   ซูเล่ยนึกทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้แต่ถอนใจ แน่นอนว่าเขาไม่ได้นึกเสียใจเลยที่หลอกลวงคนอื่นด้วยเรื่องที่ไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่...ความอึดอัดที่ยังอวลอยู่ในอกกลับเป็นเรื่องของอังเดร เขากำลังจินตนาการว่าหากเวลานั้นเจ้าตัวกอดเขาและเรียกชื่อออกมาเขาจะรู้สึกอย่างไร จะเป็นชื่อลี หรือ ซู มันก็คงจะทำให้หัวใจเต้นแรงจนน่าหวาดหวั่น แต่เมื่อคิดดี ๆ มันก็ดีแล้วที่อังเดรเพียงแค่กอดและนอนอย่างเงียบ ๆ เพราะหากชื่อที่ออกมาจากปากเป็น มารีน มันคงจะน่าสมเพชตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

-------------------------->

   ตอนที่ซูเล่ยกลับมาถึงบ้าน ดาริลก็ดูจะดีใจอย่างบอกไม่ถูก

   “สาวน้อยของนายแทบจะฆ่าฉันอยู่แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าอิดโรยเพราะต้องตื่นมาดูแลเด็กแทนเพื่อนทั้งที่ทำงานจนเกือบเช้าทุกวัน

   “คงไม่ได้โดนบังคับให้เต้นลีลาสหรอกนะ” ซูเล่ยถอดผ้าพันคอแขวนแล้วเดินไปหาเอเดรียนในห้องนั่งเล่นซึ่งเจ้าตัวกำลังนอนกลิ้งเพราะหมดพลังงานจากการละเล่นแสนโปรดปราน แต่ทันทีที่ได้เห็นหน้าของพี่เลี้ยง ก็คล้ายว่ามีพลังงานจากส่วนลึกพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน เด็กหญิงลุกพรวดขึ้นจากพื้นและถลาตัวเข้าหาซูเล่ยเต็มแรงราวกับจากกันไปนานปี

   “ซูทิ้งเอเดรียน” เธอว่าพร้อมกับพองแก้ม

   “เต้นกับดาริลไม่สนุกหรือ?”

   “สนุก แต่เอเดรียนชอบซูมากกว่า” ได้ยินอย่างนั้น ดาริลก็แกล้งทำเป็นแซวด้วยการถองศอกใส่เพื่อนเบา ๆ

   “ยังไงก็เถอะ พวกเธอสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้งฉันเองก็ตื้นตันใจไม่น้อย” ชายหนุ่มอ้าแขนและแสร้งทำสีหน้าเหมือนเป็นตัวประกอบในหนังรัก “ดังนั้นส่วนเกินอย่างฉันคงต้องขอลากลับก่อน เพราะถ้าไม่กลับไปงีบสักหน่อยฉันคงได้สลบคาบาร์แน่ ๆ”

   “ฉันจะไปส่งหน้าบ้าน” ซูเล่ยว่าแล้วโยนกระเป๋าของดาริลให้แก่เจ้าของ ทั้งสามออกไปที่ป้ายรถประจำทางใกล้ ๆ บ้านด้วยกัน และระหว่างที่กำลังรอก็อดถามไถ่ขึ้นไม่ได้

   “ธุระของนายเสร็จเรียบร้อยดีแล้วหรือ?”

   “ก็อาจจะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด”

   ดาริลฟังแล้วกลอกตา เพราะซูเล่ยมักจะประเมินความผิดพลาดไว้ต่ำเกินไป เมื่อถึงเวลาต้องแก้ปัญหาจึงมักจะต้องคิดแก้เอาแบบกะทันหัน เหมือนอย่างเมื่อห้าปีก่อนที่เกิดผิดพลาดขึ้นเพราะอารมณ์ของเจ้าตัว ซึ่งทำให้ต้องหายหน้าหายตาไปชั่วระยะหนึ่ง ครั้งนี้เขาเองก็มีลางสังหรณ์อยู่ว่าผลที่ออกมาอาจจะไม่ต่างกัน หวังแต่ว่าซูเล่ยจะตระหนักถึงมันได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง

------------------------>

   อังเดรเก็บของและขับไปที่โรงเรียนลีลาศเพียงลำพังเป็นครั้งแรกในช่วงหลายสัปดาห์ เพราะปกติแล้วจะมียูล่ามานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถจนเริ่มคุ้นเคย พอต้องมาขับรถคนเดียวจึงเกิดไม่ชินขึ้นมาเพราะความรู้สึกโล่งจนน่าแปลก มีแต่เขากับข้าวของหลังรถและเสื้อนอกที่พาดไว้บนพนักของที่นั่งข้างคนขับ

   วันนี้หญิงสาวทำตัวแปลกประหลาด หลังพบกันที่โรงเรียนในตอนเช้าและทุกอย่างก็เหมือนจะดำเนินไปตามปกติ แต่พอถึงช่วงเที่ยงก็มีโทรศัพท์เข้ามาหา จากนั้นก็ขอปลีกตัวไปโดยไม่บอกเหตุผลใด ๆ และเธอก็ไม่กลับมาที่โรงเรียนอีกเลยจนเริ่มสงสัยว่าเย็นนี้จะได้พบกับเธอที่โรงเรียนลีลาศหรือไม่ อีกใจหนึ่งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าธุระอะไรที่ทำให้ยูล่าหายไปนานถึงขนาดนี้ หวังแต่ว่าจะไม่ใช่เรื่องไม่ดี

   ตอนที่ไปถึงก็มีคนทยอยกันเข้ามาแล้ว หลายคนเปลี่ยนชุดและลงไปซ้อมบนฟลอร์ บางส่วนก็กำลังจับกลุ่มคุยอยู่มุมหนึ่ง

   อาร์เลนมาถึงก่อนและกำลังยืนมองอยู่ไกล ๆ เขาจึงเดินเข้าไปหา

   “เห็นยูล่าหรือเปล่า?”

   “ไม่นี่ครับ เธอไม่ได้มากับพี่หรือ?”

   “ช่างเถอะ วันนี้เธออาจจะลาหยุดล่ะมั้ง” อังเดรคิดเช่นนั้นเพราะหญิงสาวก็คงมีเรื่องราวของตัวเองให้จัดการเช่นกัน แต่ในขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้คงไม่มีคู่เต้น ยูล่าก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินผ่ากลางฟลอร์เข้ามาทักทายพวกเขาทั้งสอง เพียงแต่สีหน้าของเธอดูแปลกตาไปมาก

   ขอบตาหญิงสาวมีรอยช้ำเล็กน้อยและหมองจนไม่เหมือนยูล่าที่แสนสดใสคนเดิม เหมือนว่าเธอเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ แต่ไม่ทันจะได้ถาม เจ้าตัวก็ขอตัวไปดูแลบางคู่ที่มีปัญหากับการเต้น

   อังเดรและอาร์เลนมองหน้ากันโดยที่ต่างฝ่ายต่างมีคำถาม กระนั้นก็ไม่มีใครให้คำตอบได้

   ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะรอจนกระทั่งเลิกงาน ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะที่จะไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบในแต่ละวัน
   “ยูล่า วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

   ทันทีที่ได้ยินคำถาม สีหน้าหญิงสาวก็หมองลงทันตา

   “นิดหน่อยค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าบางครั้งมันก็ยังดีไม่พอ” เธอพูดจากำกวมและฝืนยิ้มบาง “คุณแอชฟอร์ดไม่ต้องใส่ใจหรอกค่ะ ฉันจะยังคงทำงานที่นี่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ฉันหวังว่าคุณคงจะไม่ขัดข้องที่ฉันยังอยู่ใกล้ ๆ เท่านั้นฉันก็คงพอทำใจได้”

   การอธิบายของยูล่าเพิ่มความสับสนงุนงงให้กับผู้ฟังเสียจนคำถามมากมายประเดประดังใส่และไม่รู้ว่าควรจะถามคำถามไหนก่อน

   “เดี๋ยวสิยูล่า ผม...ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณพยายามจะบอกอะไร”

   “ฉันก็แค่...สงสัยว่าตัวเองไม่ดีตรงไหนเท่านั้นเองค่ะ” เสียงของยูล่าแฝงแววสะอื้นอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนคำถามที่แสนเอาใจใส่ของอังเดรจะไปสะกิดให้เธอโศกเศร้ามากขึ้น

   ชายหนุ่มร่างสูงแตะบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ ให้รู้สึกถึงการปลอบโยน

   “ฟังนะ สำหรับผมคุณเป็นผู้หญิงที่ดีและเพียบพร้อม ไม่ว่าใครจะพูดยังไงผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ดีในสายตาของผมและของทุก ๆ คนที่นี่” แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่อังเดรก็อนุมานได้ว่าหญิงสาวคงถูกอะไรบางอย่างหรือใครสักคนทำลายความมาดมั่นที่เคยมีจนหมดสิ้น ซึ่งเขาอยากจะให้เธอกลับมาเป็นผู้หญิงที่สดใสและมั่นใจในตัวเองดังเดิม

   ทว่ายูล่ากลับช้อนตามองเขาคล้ายกำลังตัดพ้อต่อว่า

   “แล้วทำไมคุณถึงไม่เลือกฉันเสียที ฉันได้แต่เฝ้ารอ รอแล้วรอเล่ามาหลายต่อหลายปี หวังว่าสักวันคุณจะหันมามองฉันบ้าง แต่...สุดท้ายคุณก็ยังเลือกคนอื่น”

   “เดี๋ยวสิ...ผมหรือ?” เรียวคิ้วสีเข้มมุ่นเข้าหากันทันที เขาไม่เข้าใจว่าประเด็นนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวเองได้ยังไง “ผมยังไม่ได้...”

   “เลิกโกหกเถอะค่ะ” เสียงสูดลมหายใจลึกตามด้วยคำพูดหนักแน่นพาให้ผู้ฟังต้องหยุดที่จะแก้ตัวต่อเพื่อจะฟังว่าตนพูดอะไรผิดไป “ฉันเห็นมาแล้ว ภาพนั้น...คุณซูนำมาให้ฉันดูและบอกความจริงกับฉันทุกอย่าง ฉันรู้ว่าคุณมีหน้ามีตาในสังคมคงจะต้องปิดบังเรื่องแบบนี้ แต่ว่าได้โปรด...อย่าให้ความหวังกับฉันอย่างลม ๆ แล้ง ๆ อีกเลยค่ะ” ว่าแล้วยูล่าก็ดึงมืออังเดรออกก่อนเดินจากไปโดยกล้ำกลืนน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลหยดต่อหน้าผู้ชายที่หลงรักแต่กลับไม่เคยได้รับความรักตอบซ้ำยังถูกหลอกลวงอย่างโหดร้าย

   ทว่า...ยูล่าไม่ได้รู้เลยว่าอังเดรเป็นเพียงเหยื่อของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   ชายหนุ่มยืนเคว้งในห้องแต่งตัวแคบ ๆ มองภาพสะท้อนในกระจกเงา และถามตนเองอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

   เขาปะติดปะต่อทุกถ้อยคำของยูล่าเหมือนต่อจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก ๆ ที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นภาพที่เสร็จสมบูรณ์ของมัน

   จากนั้น...ชื่อของใครบางคนก็ผุดขึ้นมา

   ซู...

   ซูบอกอะไรบางอย่างกับยูล่า และสิ่งที่บอกเล่านั้นได้นำมาซึ่งความเข้าใจผิดใหญ่หลวง...

   อังเดรคว้ากระเป๋าและเสื้อนอกก่อนจ้ำเท้าออกไปนอกอาคาร เขาพาตนเองเข้าไปในรถและรีบขับกลับบ้านด้วยใจร้อนรนเพราะต้องการคำตอบ แต่ด้วยนิสัยของซูเล่ยคงจะบ่ายเบี่ยงและพาออกนอกเรื่องจนต้องทะเลาะกันอีก ดังนั้นเขาคงจะต้องหาวิธีอื่นที่จะได้รับคำตอบโดยไม่ต้องถามจากเจ้าตัว

---------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
   อังเดรกลับถึงบ้านเร็วกว่าทุกวันเพราะไม่ได้อยู่ดูแลความเรียบร้อยก่อนกลับอย่างเคย แต่อาร์เลนคงจัดการทุกอย่างได้ด้วยเหตุนั้นชายหนุ่มจึงไม่นึกกังวลเกี่ยวกับโรงเรียนที่ตนเองทิ้งไว้เบื้องหลังมากนัก

   ในเวลานั้นซูเล่ยกำลังเตรียมอาหารในครัวและเอเดรียนนั่งเล่นอยู่ ดูเหมือนว่าเด็กหญิงเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จใหม่ๆตัวจึงยังหอมกลิ่นสบู่จนฟุ้ง

   “แดดดี้กลับไวจัง” เอเดรียนกระโดดกระเด้งให้พ่ออุ้มด้วยความดีใจ ชายหนุ่มจึงโน้มตัวลงไปอุ้มลูกสาวขึ้นมากอดและหอมแก้มฟอด สัมผัสขอเอเดรียนช่วยให้อังเดรลืมความร้อนใจไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าในนาทีต่อมาเมื่อเห็นหน้าซูเล่ย ความรู้สึกนั้นก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง

   แต่อังเดรก็เลือกที่จะรอ...เขาไม่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ผิดปกติ และรอจนกระทั่งถึงเวลาอันเหมาะสม เมื่อซูเล่ยพาเอเดรียนเข้านอนเจ้าตัวจะต้องใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่งเพื่อกล่อมให้เอเดรียนหลับ ซึ่งในเวลานั้นเอง อังเดรแอบย่องผ่านประตูไปทางห้องของซูเล่ยโดยที่เจ้าตัวไม่ทันเอะใจ ชายหนุ่มบิดลูกบิดโดยไม่มีความลังเลเหมือนกับครั้งก่อนที่มายืนอยู่หน้าประตูบ้านนี้และปิดลงอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้

   เอาล่ะ เขาควรจะมองหาอะไร?

   อังเดรคิดทบทวนบทสนทนาในหัว จำได้เลือนรางว่ายูล่าพูดถึงบางสิ่งที่ซูเล่ยนำมาให้ดู เธอบอกว่าเป็นภาพ ถ้าอย่างนั้นมันก็คงจะเป็นรูปถ่ายหรืออะไรบางอย่างแนว ๆ นั้น

   ชายหนุ่มเริ่มต้นจากเปิดลิ้นชักใกล้ตัว เขาพบกล่องที่ข้างในใส่ผ้าปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรจีนที่มองไม่เข้าใจความหมายแต่ไม่พบสิ่งที่น่าจะใกล้เคียงคำว่าภาพเลย ด้วยเหตุนั้นเขาจึงปิดลิ้นชักและค้นหาจุดอื่นต่อ และพบว่าซูเล่ยไม่ได้รอบคอบและช่างระแวงอย่างที่เคยคิด เพราะลิ้นชักและประตูตู้ทั้งหมดในห้องไม่มีอันใดเลยที่ถูกลงกลอนไว้ ซ้ำของก็ยังมีอยู่น้อยนิดจนนับชิ้นได้ราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่อาศัยนานนัก และพร้อมที่จะจากไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ มันทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ

   แต่เวลานี้ อังเดรโยนสังหรณ์ของตนทิ้งไปและมองหาสิ่งที่ควรจะมีอยู่ในห้องนี้ หรือไม่...ซูเล่ยก็คงเก็บไว้กับตัวแม้แต่ในเวลานี้...

--------------------->

   หลังจากกล่อมเอเดรียนจนหลับได้ ซูเล่ยก็พาตัวเองออกมาจากห้องและเดินลงไปเก็บของ แต่น่าแปลก...อังเดรไม่ได้อยู่ข้างล่าง ไม่ว่าจะในครัวหรือในห้องนั่งเล่น

   ชายหนุ่มตามไปดูถึงห้องน้ำแต่ก็ไม่อยู่เช่นกัน

   อังเดรไปไหน?

   ซูเล่ยมองไปที่ประตูและพบว่าเสื้อโค้ท ผ้าพันคอ หรืออะไรก็ตามที่ใช้ป้องกันตัวจากความหนาวเย็นที่แม้จะลดลงแล้วในช่วงนี้แต่ก็ยังบาดผิวอย่างโหดร้าย แต่มันอยู่ครบ เขาเดินออกไปดูกระทั่งรองเท้าซึ่งก็ยังอยู่ทุกคู่ไม่ได้หายไปไหนเลย แล้วตัวอังเดรจะไปที่ไหนได้?

   ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็พลันเต้นเร่าอย่างกระวนกระวายและเสสายตามองขึ้นไปตามขั้นบันไดราวกับจะมีบางสิ่งปรากฏขึ้นพร้อมเสียงดนตรีที่ดังก้อง แต่แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเหมือนในภาพยนตร์ที่ดูผ่านไป บ้านหลังนี้สงบเงียบเหมือนที่เคยเป็น สิ่งเดียวที่ผิดสังเกตคือเจ้าของบ้านที่ควรจะอยู่ที่นี่กลับหายตัวไปเฉย ๆ แต่หากคิดดี ๆ แล้วเจ้าตัวอาจจะแค่ขึ้นนอนไวกว่าปกติ

   ไม่สิ...อังเดรต้องอาบน้ำก่อนเข้านอน ดังนั้นอาจจะอยู่ที่ห้องน้ำชั้นสอง

   ไม่รู้ว่าเหตุใดใจจึงไม่เป็นสุขถึงขนาดนี้ ราวกับมีบางสิ่งกำลังเตือนเขาถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นแล้วแต่เขากลับไม่เข้าใจสัญญาณ

   ซูเล่นตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นสองและถือวิสาสะเปิดประตูห้องของอังเดรเข้าไป และพบว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในนั้นตามคาด ที่สุดท้ายจึงน่าจะเป็นห้องน้ำ

   แม้ใจจะถามตัวเองเป็นระยะว่าทำไมต้องเดินหาอังเดรจนทั่วบ้าน แต่เขาก็ยังทำต่อไปแม้จะหาคำตอบที่ดีให้ตัวเองไม่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่...ความระแวงต่อความผิดของตัวเอง

   ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกและมันก็ว่างเปล่า

   ห้องสุดท้าย...

   ซูเล่ยเดินออกมาและมองประตูห้องตัวเอง ห้องของเขาคือห้องสุดท้ายในบ้านหลังนี้แล้ว แต่เป็นห้องที่มีโอกาสน้อยที่สุด ชายหนุ่มร่างเล็กสูดหายใจเข้าปอดและเปิดประตูห้องอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังพาตัวเองเข้าไปในประตูพิศวงซึ่งไม่รู้ที่มา แต่ไม่ทันที่จะผ่านเข้าไปก็กลับมีมือข้างหนึ่งพุ่งออกมาคว้าตัวเขาเสียแทน

   ชั่ววินาทีนั้นซูเล่ยรู้สึกประหนึ่งหลุดเข้าไปในหนังสยองขวัญ เขาไม่ทันมีเวลาขืนตัวเสียด้วยซ้ำเพราะเมื่อรู้ตัวอีกครั้งเสียงประตูก็ปิดปังข้างหู และตัวเขาก็ถูกผลักกระแทกบานประตูเต็มแรง

   “อังเดร?” ดวงตาเรียวรีจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกมึนงงสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วกลับปรากฏสิ่งของชิ้นหนึ่งในกรอบสายตา มือของอังเดรถือโทรศัพท์อยู่เครื่องหนึ่งซึ่งมองแล้วเป็นของเขาอย่างแน่นอน และมันถูกฉวยไปจากกระเป๋ากางเกงยีนส์เมื่อครู่นี้

   ด้วยความตกใจ ซูเล่ยตะปบกระเป๋าหลังและพบว่ามันหายไปจริง ๆ

   ฝาพับถูกเปิดออกต่อหน้า เจ้าของไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายล้วงค้นความลับของตนได้จึงเอื้อมมือคว้าคืน ทว่ากลับถูกมืออีกข้างจับตรึงไว้กับบานประตูไม้ อังเดรเอี้ยวตัวเพียงเล็กน้อยระยะแขนข้างที่เหลือของซูเล่ยก็ไม่อาจแย่งยื้อสมบัติส่วนตัวคืนได้เสียแล้ว เขาทำได้เพียงมองดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กำลังถูกเปิดเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าผู้ค้นรู้จุดมุ่งหมายดีและกำลังหาทางเข้าไปยังจุดนั้นให้ได้

   และในที่สุด หน้าจอก็ปรากฏภาพที่ทำให้ผู้มองต้องกลั้นหายใจ ตอนแรก...ก็เพียงเพราะตกใจและประหลาดใจ ทว่าในนาทีต่อมา สีหน้าของอังเดรกลับระบายไปด้วยโทสะพลุ่งพล่านอย่างที่ซูเล่ยไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาคมกริบตวัดกลับมาหาเจ้าของเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจดจำสิ่งที่เคยผ่านเข้ามาอย่างแม่นยำ ใบหน้าของซูเล่ยก็ซีดลงทันควันเพราไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นไวถึงขนาดนี้

   เจ้าตัวเพียงคิดว่าจะลบมันทิ้งแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะคิดว่าวันอื่นค่อยลบก็ได้

   ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นปัญหาเพราะความชะล่าใจ

   “มีอะไรจะธิบายไหม?” เสียงของอังเดรที่เคยนุ่มทุ้มอ่อนโยนกลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงที่แสดงถึงความอดทนอดกลั้น พร้อมกับคำถาม ชายหนุ่มร่างสูงก็ยื่นโทรศัพท์มือถือเข้าใกล้ใบหน้าของผู้ที่ปรากฏอยู่บนภาพเคียงคู่กับตนในสภาพที่ล่อแหลมอย่างที่ไม่มีใครเคยคิดถึง

   “คุณยูล่าบอกหรือครับ?” ซูเล่ยปรับน้ำเสียงให้ปกติและถามกลับ ทว่ามือของอังเดรกลับบีบแน่นจนข้อมือเขาแทบหัก นั่นคงเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าซูเล่ยประเมินมารยาหญิงต่ำเกินไป ยูล่าไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความคับแค้นใจแล้วจะเก็บเงียบ เธอพร้อมจะระบายมันออกมาเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้เช่นเดียวกับที่เคยระบายความปรารถนาที่จะเป็นที่รักของอังเดรต่อหน้าเขาอย่างตรงไปตรงมา

   ดวงตาของอังเดรยังคงเค้นถามอย่างเงียบงันแต่ซูเล่ยกลับเบี่ยงสายตาหลบ

   “คุณจะสนใจมันทำไม แค่ไปบอกเธอว่าทุกอย่างเป็นความเข้าใจผิดและผมใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงพวกคุณ เท่านี้เธอกับคุณก็จะได้สมรักกันง่ายขึ้นกว่าเดิมเสียอีก”

   “เลิกเบี่ยงประเด็นเสียที!” เสียงตะคอกดุดันพาให้ผู้ฟังสะดุ้งเฮือกเพราะไม่คิดว่าตนเองจะถูกคุกคามด้วยน้ำเสียงเช่นนี้จากผู้ชายตรงหน้า แต่แล้วท่าทางของอังเดรก็กลับสงบลง ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจบางเบาและหลับตาคล้ายขอเวลาคิดสักครู่หนึ่งและเมื่อลืมตาขึ้น มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเฝื่อนฝืดคล้ายเป็นส่วนผสมของการเหยียดหยามและความฉุนเฉียว “อ้อ...ฉันลืมไปเสียสนิท ดูเหมือนเขาจะส่งเธอมาเพื่อปกป้องดูแลไม่ให้ฉันเอาสมบัติของมารีนไปใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ สมบัตินั่นคงหมายถึงตัวฉันที่เป็นสามีด้วยสินะ?”

   ซูเล่ยไม่ได้ตอบ เพราะเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรในสถานการณ์อย่างนี้ เพียงแค่ปล่อยให้อังเดรสันนิษฐานไปตามใจคิดโดยคิดว่าอีกไม่นานเจ้าตัวคงเลิกใส่อารมณ์กับเขาและโทรไปโวยวายกับพ่อตาแทนเหมือนกับครั้งแรกที่เขามาที่นี่

   แต่เป็นอีกครั้งที่ซูเล่ยคิดผิด

   “แล้วยูล่าดูเหมือนจะเข้าแผนเธอด้วยสินะ? คงจะเดินหนีไปทั้งน้ำตาเพราะคิดว่าฉันหลอกลวงเอาเธอเป็นเครื่องบังหน้าเพื่อหาความสุขกับพี่เลี้ยงของลูกสาวอย่างเต็มที่ล่ะสิ”

   “ก็ไม่ต่างจากความเป็นจริงไม่ใช่หรือ?” ถึงตรงนี้ ซูเล่ยกลับไม่สามารถผิดปากเงียบต่อไปได้ ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะทนฟังคนอื่นเฉย ๆ ได้อยู่แล้ว “หรือคุณจะทำเป็นจำไม่ได้ที่จูบผม กอดผม เหมือนกับว่าผมเป็นตัวแทนผู้หญิงของคุณที่ตอนนี้ไม่สามารถลุกจากหลุมมาปรนนิบัติรับใช้ได้อีกแล้ว!”

   “พอได้แล้ว!”

   “ไม่! ปากคุณก็พูดแต่ว่าเพื่อเอเดรียนบ้าง มารีนเพิ่งจะเสียไปบ้าง แต่เอาเข้าจริงก็ดีแต่ปาก คุณก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นรู้สึกยังไงแต่ก็ยังให้ความหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากบอกว่าไม่สนใจแต่พอถูกยั่วยวนนานวันก็เริ่มโลเล” สุดท้ายเขาก็ไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้เอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้ ซูเล่ยได้แต่หลอกตนเองว่ามันเป็นเพียงความไม่พอใจเพราะผิดแผน กระนั้นกลับไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าภายในคำพูดทั้งหมดไม่ได้มีความหึงหวงอยู่เลยแม้กระผีกริ้น “คุณจะให้ผมรอจนเธอท้องป่องเดินมาบอกว่าใครเป็นพ่อเด็กแล้วค่อยให้ผมร้อนใจหรือยังไงกัน!”

   “ถ้าเธอไม่เลิกดูถูกคนอื่นเราจะได้เห็นดีกันแน่ซู!”

   เสียงตะคอกของอังเดรเป็นเหมือนสัญญาณพักหายใจของพวกเขาทั้งสอง ซูเล่ยรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนกำลังร้อนผ่าวเพราะความโกรธที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อาจจะเป็นความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจนานแล้วและไม่ได้พูดมันออกมา เพราะรู้สึกได้ว่าอังเดรกำลังโอนอ่อนไปทางยูล่าแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนให้ความหวังเขาไปด้วยโดยไม่รู้ตัว ความจริงแล้วตัวเขาเองต่างหากที่กำลังรู้สึกว่าถูกหลอกใช้เพื่อบังหน้า

   “ถ้าหากจะถามว่าใครน่ารังเกียจที่สุด ก็คงจะเป็นเธอนั่นแหละ” คำพูดและสายตาของอังเดรไม่มีความขัดแย้งกันแม้แต่น้อย มันแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจนน่าเจ็บปวด

   ซูเล่ยแค่นยิ้ม

   “ถ้าคิดแบบนั้นก็เชิญเอาตัวออกไปห่าง ๆ คนน่ารังเกียจแบบผมเสียที” อาจเพราะรู้อยู่แล้วว่าสักวันความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องจบลงในรูปแบบนี้ เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ตนเองสามารถพูดประโยคเมื่อครู่ได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้งที่สมองว่างโหวง แต่เมื่อพยายามจะรั้งตัวเองออกก็กลับรู้สึกได้ว่ามือของอังเดรบีบรัดแน่นขึ้น ซ้ำลำตัวกว้างยังเบียดชิดเข้ามาจนไม่อาจขยับหนีไปทางไหนได้นอกจากจะเปิดประตูและถลาไปด้านหลัง ทว่ามือของเขากลับไม่อาจเอื้อมไปถึงลูกบิดของมันได้

   สายตาของซูเล่ยตวัดมองอีกฝ่ายคล้ายกำลังจะถามว่าคิดจะทำอะไร แต่ก็ต้องชะงักพร้อมกับเสียงร้องที่หลุดจากลำคอเพียงสั้น ๆ เพราะท่อนขาของอังเดรแทรกเข้ามาระหว่างขาทั้งสองข้างและกำลังกระทำการอันน่าอับอายอย่างที่เขานึกไม่ถึง

   “คุณ...จะทำอะไร...” ซูเล่ยเค้นเสียงถามได้ในที่สุดแต่ถึงตอนนั้นช่องท้องของเขาก็กำลังไหววูบเพราะสัมผัสหนักแน่นและจงใจ

   อังเดรจ้องมองกลับมาด้วยดวงตาคมปลาบก่อนเลื่อนใบหน้าเข้ามาจนชิดและกระซิบคำตอบ

   “ทำให้สิ่งที่เธอหลอกลวงคนอื่นไว้กลายเป็นความจริงน่ะสิ”

   ชายหนุ่มร่างเล็กสะดุดลมหายใจตนเองเมื่อมือข้างหนึ่งสอดเข้ามาใต้เสื้อ ปลายนิ้วเย็นเฉียบลูบไล้ไปบนผิวกายสีซีด เขาพยายามรั้งมือข้างนั้นออกทว่าท่อนขาแกร่งก็ยังจงใจปลุกเร้าไม่ออมแรงและไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่าแม้สักวินาที เพียงไม่นานนัก ลมหายใจของเขาก็เริ่มแตกพร่าพร้อมกับเรี่ยวแรงที่หดหาย

   แววของความปรารถนาที่ปรากฏในแววตาสีอ่อนพาให้ใจวูบไหว เหมือนกับดวงตาที่เคยจ้องมองเขาเมื่อในอดีต ดวงตาคู่นี้ที่เคยทำให้ใจอ่อนจนไม่อาจรั้งตนเองให้อยู่กับเหตุและผลได้อีกต่อไป ครั้งนี้มันได้หวนกลับมาอีกครั้งและทำให้หวั่นไหวไปกับความอ่อนโยนที่แสนเย็นชา

TBC

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อ่า ชอบจังความอ่อนโยนที่แสนเย็นชา

ออฟไลน์ Little_Devil

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ยูล่ามารยาใส่อังเดรจริงหรือเปล่าเนี่ย

แล้วอังเดรกับซูเล่ยจะเป็นยังไงต่อไป จะได้กินมาม่ากี่ชาม
มาปูเสื่อรอตอนต่อไป รีบมาต่อเร็วๆ นะคะ
ค้างงงงงงงงงงงงงงง  :katai1:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
กีสสสสสส
เย็นชาและใจร้ายกันมากเลยอะ
สงสารซู คงจะเจ็บมากเลยที่เป็นแบบนี้

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
หวังว่าจับตัวซูแล้วจะจำได้นะว่าคนเดียวกับในบาร์อะ!
งี่เง่าโวยยยยยยยยยยยยยยยยย จะไม่หงิดเล๊ยถ้าไม่เคยกอดไม่เคยจูบเค้า
ยูล่านี่ก็--_______---เบื่อ เซงนาง

รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ Damon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-2
มาเม้นท์ก่อนอ่าน ชอบเรื่องนี้มากๆ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เย้ยยยยยย อังเดร
ถนอมซูหน่อยเถอะ

ออฟไลน์ mildmint0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย ชอบเรื่องนี้เหลือเกิน
อยากอ่านต่อล่ะอ้ะะะะ
ซูจะโดนจิ้มแล้วววว
อังเคร อย่าติดใจละกัน ฮ่าๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด