Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา Extra [3/02/14]  (อ่าน 165607 ครั้ง)

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
«ตอบ #300 เมื่อ22-01-2014 11:45:04 »

อ๊ายยย ซูไปเลยค่ะ ถ้าอังเดร มันรักจริง (ซึ่งมันก็รัก) เด๋วมันก็ตามเองแหละ

สงสารหนูน้อย เอเดรียน คุณแม่พี่เลี้ยงจะมาหายไป เด็กน้อยน่าสงสารอ่ะ

ตอนที่อ่าน เกี่ยวกับ ชาร์มมิ่งเทียร์ เราร้องไห้เลยค่ะ แบบว่า น้ำตาไหลออกมาเองไม่รู้ตัว

หวังว่าคนเป็นพ่อ จะคิดถึงจิตใจลูกมั่งนะคะ สงสารซูเล่ย

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
«ตอบ #301 เมื่อ22-01-2014 12:14:38 »

ซูจะไปจริงๆ เหรอ จะหนีใจตัวเองไผถึงไหน

ออฟไลน์ monaligo

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 427
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
«ตอบ #302 เมื่อ25-01-2014 12:47:01 »

อ่านจนถึงตอนปัจจุบันในที่สุด
โอ๊ยยยย...เรื่องนี้พออ่านแล้วเจอTBC.เหมือนจะขาดใจ
อ่านแล้วแบบอยากอ่านต่อ :katai4:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
«ตอบ #303 เมื่อ25-01-2014 14:46:39 »

ปูเสื่อรอออ

ออฟไลน์ PoPuAr

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 20 [20/01/14]
«ตอบ #304 เมื่อ25-01-2014 15:16:08 »

ซูจะไปจริงๆหรอ ถ้าซูไปบางทีอังเดรอาจจะโกรธมากจนไม่ตามง้อนะ
เพราะงั้น อย่าไปเลยซู  :ling1:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [20/01/14]
«ตอบ #305 เมื่อ25-01-2014 16:13:56 »

-21-


   บ้านหรูหราสไตล์กรีกกึ่งโมเดิร์นตั้งอยู่เบื้องหน้า นานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจคะเนได้เมื่อพยายามนึกถึงครั้งสุดท้ายที่อังเดรเคยเหยียบย่างมายังสถานที่แห่งนี้ ที่จริง อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ซึ่งก็คือตอนที่ตัดสินใจจะแต่งงานกับมารีนจึงมาสู่ขออย่างเป็นทางการ ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ไม่มีอะไรสวยงามน่าจดจำ เพราะเหตุนั้นกระมังจึงได้เลือกลืมมันไปเสีย

   แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้มาเยี่ยมเยือนอีกเลย แม้ว่ามารีนมักจะพาเอเดรียนมาเยี่ยมตาของเธอในบางครั้งก็ตาม

   อังเดรกดแตรเรียกหน้าประตู เพียงไม่นานประตูก็เปิดออกด้วยระบบไฟฟ้า กระนั้นก็ยังมีคนรับใช้ท่าทางมีน้ำใจเดินออกมาช่วยโบกบอกทางรถให้เข้าไปจอดอย่างนิ่มนวล

   “คุณเวสลอยด์รออยู่ในห้องรับแขกแล้วครับ” คนรับใช้กล่าวและผายมือเชิญให้เข้าไป ชายหนุ่มผู้มาเยือนสูดหายใจจนเต็มปอดและผ่อนออกเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัดก่อนเดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งตกแต่งหรูหราสมฐานะผู้เป็นเจ้าของ

   ห้องรับแขกอยู่ด้านขวามือของโถงหน้าบ้าน เมื่อมองผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไปก็จะเห็นชายสูงวัยท่าทางสุขุมไร้รอยยิ้มนั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยวตัวเขื่อง บนโต๊ะรับแขกมีจานขนมขบเคี้ยววางเอาไว้โดยไม่ถูกแตะต้อง รวมถึงถาดวางถ้วยชาซึ่งมีเพียงกาเท่านั้นที่มีน้ำชาบรรจุอยู่

   คนรับใช้ผายมือให้อังเดรเข้าไปด้านในและรุดไปรินน้ำชาเสิร์ฟเจ้าบ้านกับแขกก่อนปลีกตัวจากไปอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว

   ในที่สุด ก็เหลือเพียงแขกและเจ้าบ้านตามลำพัง เป็นบรรยากาศที่อังเดรไม่พึงปรารถนาแต่ก็รู้แก่ใจว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จึงคิดหาหนทางที่ทำให้ธุระจบลงโดยไวและจะได้แยกย้ายจากกันเสียที

   “ไม่ได้พบกันนานนะครับ คุณเวสลอยด์”

   เมื่อได้ยินคำทักทาย ชายสูงวัยก็ทำเสียงขึ้นจมูก

   “มารีนตายไปยังไม่นานเท่าไหร่ก็เปลี่ยนวิธีเรียกฉันเสียแล้วหรือ?”

   พอถูกทัก อังเดรจึงเพิ่งรู้ตัวว่าระยะหลังมานี้ไม่ได้เอ่ยเรียกผู้ชายคนนี้ในฐานะพ่อตาเลยสักครั้ง คงเพราะไม่มีความจำเป็นแล้วกระมังจึงได้เลือกที่จะเรียกด้วยนามสกุลเช่นเดิม

   “ขอโทษครับ คุณพ่อ” เขากลับมาเรียกเช่นเดิมเพื่อให้บรรยากาศการสนทนาดำเนินไปด้วยดี ซึ่งผู้ฟังก็ดูจะพึงพอใจ

   “แล้วจะว่าธุระของใครก่อน แกหรือฉัน?”

   “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมขอพูดก่อนก็แล้วกัน” อังเดรเสนอ เพราะไม่อยากจะเสียเวลาจนโดนเบี่ยงประเด็นทำให้ไม่ได้พูด เขารู้นิสัยของอีกฝ่ายดี ผู้ชายที่ชอบควบคุมบงการทุกอย่างรอบตัว หากลามอนต์รู้จุดประสงค์ของเขาจากการสนทนาเบื้องต้นคงจะไม่มีทางยอมให้พูดต่อจนจบ ดังนั้น หากเป็นฝ่ายฉวยโอกาสพูดก่อนคงจะสามรถสื่อสารให้อีกฝ่ายรับฟังได้

   ลามอนต์พยักหน้ารับแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ ฝ่ายที่ได้รับอนุญาตจึงหลับตาลงครู่หนึ่งและเริ่มกล่าว

   “ผมจะไม่แต่งงานใหม่”

   เพียงแค่สั้น ๆ แต่กลับเรียกให้ลามอนต์เลิกคิ้วและจ้องมองใบหน้าคมด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ

   “หึ พูดเหมือนรู้อนาคตไปได้”

   “ผมเข้าใจว่าคุณหวังดีต่อเอเดรียน ที่จริงคุณคงไม่ได้คิดว่าผมจะหักหลังมารีนอะไรหรอก แต่กลัวว่าเอเดรียนจะไม่มีที่ยืนหากเป็นแค่ลูกติดพ่อใช่ไหมครับ?” อังเดรได้ข้อสรุปนี้หลังจากลองคิดในมุมของคนเป็นพ่อ ที่ลูกสาวต้องแต่งงานออกเรือนไปและมีหลานสาวให้เชยชมแต่ก็ต้องจากไปทั้งที่อายุยังน้อย หากเป็นเขา ก็คงห่วงและหวงหลานสาวไม่ต่างกับที่ห่วงและหวงลูกสาวเป็นแน่ ลามอนต์เองก็เป็นพ่อคน และรักมารีนมากยิ่งกว่าใคร ๆ ที่อ้างมาทั้งหมดก็แค่พยายามจะยึดโยงให้ตนเองยังคงมีส่วนในชีวิตของเอเดรียนเท่านั้น

   “แล้วยังไง แกจะบอกว่าแค่ไม่แต่งงานใหม่ก็จบงั้นสิ คิดหรือว่าสมบัติที่มารีนทิ้งไว้จะไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหอมหวานดึงพวกแมลงเข้ามารุมตอม” มุมปากที่มีรอยย่นจาง ๆ กระตุกขึ้นมาคล้ายเหยียดยิ้ม “จะไม่ดีกว่าหรือยังไงถ้ามีไม้กันหมาเอาไว้ก่อน”

   “อย่างคุณเฟอร์เรสต์น่ะหรือครับ?”

   “เธอมีอะไรไม่ถูกใจแกหรือไง?”

   “ไม่ครับ คุณเฟอร์เรสต์เพียบพร้อมไปเกือบทุกอย่าง เรียกได้ว่าสมบูรณ์ในระดับเดียวกับมารีนก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผมรู้ว่าตัวเองคงรักเธอไม่ได้” อังเดรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางประสานมือเข้าด้วยกันคล้ายเป็นสัญญาณบอกว่าไม่คิดจะเปลี่ยนใจ กระนั้นท่าทีตอบกลับของลามอนต์กลับผิดคาด เพราะเจ้าตัวไม่ได้คิดจะบังคับขู่เข็ญเลย กลับเพียงเอนหลังพิงพนักและโคลงศีรษะเล็กน้อย

   “เพราะลอร์เรนเป็นลูกคนหนึ่งของฉันหรือเปล่า?”

   “ทราบด้วยหรือครับว่าผมรู้”

   ชายสูงวัยกลอกตา

   “ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่คนโง่ ลอร์เรนกับชูเลย์มีโครงหน้าคล้ายกันหลายส่วน ถ้ามองพิศดี ๆ มีหรือจะมองไม่ออก แล้วตกลงว่ามันเป็นปัญหาหรือยังไง?”

   “ไม่ใช่ครับ” ชายหนุ่มตอบกลับทันที “ถึงแม้จะเป็นลูกของคุณแต่ถ้าหากว่าผมพึงใจผมก็ไม่เกี่ยงงอน แต่เหตุที่ผมต้องมาบอกเรื่องนี้กับคุณไม่ใช่เพราะคุณเฟอร์เรสต์เป็นลุกของคุณผมจึงไม่อยากแต่ง แต่เป็นเพราะผมควรจะบอกเรื่องนี้กับผู้หลักผู้ใหญ่ของเธอให้เข้าใจตรงกัน”

   “ถ้าอย่างนั้น?”

   “ผมมีคนที่ผมอยากจะอยู่ด้วยแล้ว แต่ผมไม่สามารถแต่งงานกับเขาได้”

   ลามอนต์โบกมือด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายทันที

   “ทำเป็นพูดอ้อมไปอ้อมมาน่ารำคาญจริง ๆ สรุปว่าแกแค่มีคนที่พอใจอยู่แล้วก็เลยปฏิเสธลอร์เรน และคิดว่าควรจะมาบอกกับฉันอย่างสุภาพบุรุษเท่านั้นเองน่ะหรือ?” ว่าแล้ว ชายสูงวัยท่าทางแข็งแรงก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหมุนตัวไปทางหน้าต่างก่อนไกวมือไพล่หลัง

   “ถ้าคุณพ่อพอจะเข้าใจแล้ว ผมจะขออะไรอีกสักเรื่องได้หรือเปล่าครับ?”

   “จะว่าอะไรก็รีบว่ามาให้จบ” น้ำเสียงคู่สนทนายังคงแข็งกร้าวพาให้รู้สึกอึดอัด แต่อังเดรก็ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะต้องจบเรื่องให้ได้

   “เรื่องของซู ผมจะให้เขาอยู่ต่อ”

   ลามอนต์หันกลับมามองลูกเขยพลางเลิกคิ้ว

   “ชูเลย์น่ะหรือ?”

   “ครับ ถึงมันจะระคายหูคุณอยู่สักหน่อยแต่เขาคือคนที่ผมพึงใจจะอยู่ด้วย ดังนั้น...”

   “เสียใจด้วยแต่มันคงเป็นไปไม่ได้”

   ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินคำปฏิเสธเต็มหู ท่าทางของลามอนต์ไม่ได้มีวี่แววของการล้อเล่นแม้แต่น้อย

   “คุณคงไม่เข้าใจ...”

   “แกนั่นแหละที่ไม่เข้าใจ คิดว่าตัวเองรู้จักชูเลย์ดีแค่ไหน” ว่าแล้ว ลามอนต์ก็ชักเสียงขุ่น “ถ้าแกรู้เรื่องทั้งหมดแน่ใจหรือว่าจะยังพูดเหมือนเดิม เจ้าเด็กนั่นดีแต่ทำตามคำสั่งคนอื่น เรื่องของตัวเองกลับไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาดซ้ำยังหาข้ออ้างเพื่อให้ดูเหมือนเป็นการจำยอม เพราะแบบนั้นเมื่อห้าปีก่อนถึงได้ยอมโดนมารีนบีบบังคับให้ไปช่วยเป็นพ่อสื่อคอยสอดส่องชักจูงแกให้เข้าทาง”

   “เรื่องนั้นผมทราบอยู่แล้วครับ”

   คำตอบรับแสนเรียบง่ายของอังเดรพาให้ผู้ฟังต้องชะงัก

   “คุณเป็นคนพูดเองว่าผมไม่ใช่คนโง่ และไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยสังเกต ถึงแม้จะลืมไปเพราะเวลาที่ห่างกันแต่หากคิดทบทวนดูก็สามารถจดจำได้ไม่ยาก ที่คุณอาจจะไม่รู้ก็คือ ในตอนนั้นผมกับเขาเคยมีความสัมพันธ์กันแล้วโดยที่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่ความเผลอไผลไปตามอารมณ์ น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมปล่อยให้เขาหลุดมือไปและปลอบใจตัวเองด้วยการรักคนอื่น”

   “ครั้งนี้แกเลยจะผูกมัดไว้ให้ได้งั้นสิ?”

   “เรื่องนี้ต้องขอบคุณคุณนะครับ เพราะทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการควบคุมคนอื่นจะต้องทำยังไง” อังเดรพูดกึ่งประชดประชัน

   แต่แล้วลามอนต์กลับไพล่ไปพูดเรื่องอื่นในทันที

   “แกรู้หรือเปล่าว่าหลังจากนั้นชูเลย์ทำอะไร”

   “เรื่องนั้นผมไม่...”

   “เขาขอให้ฉันปล่อยเขาไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน ชูเลย์อยากจะกลับประเทศไปอยู่กับครอบครัวที่อยู่ทางนั้น แต่กลับไปตัวเปล่ามันก็คงดูไม่ดีฉันจึงมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ประสานงานอยู่กับบริษัทสาขาที่ตั้งอยู่ที่ประเทศจีน และก่อนที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้แก เขาก็ยังคงทำงานนั้นอยู่” ชายสูงวัยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านบานหน้าต่างด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายใจ “เมื่อไม่นานมานี้เขาขอให้ฉันพาเขากลับไปที่จุดเดิมที่เคยอยู่ แกเป็นคนฉลาด หวังว่าจะเข้าใจความหมายของมันดีนะ?”

   อังเดรฟังคำแล้วนิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่ง บางที...ลามอนต์คงกำลังพยายามบอกเขาว่าการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ผิดพลาด และซูเล่ยต้องการจะเดินจากไปด้วยความตั้งใจของตัวเองอีกครั้ง

   ลามอนต์อาจจะคิดไม่ผิด...

   เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะบังคับผูกมัดซูเล่ยไว้โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ทว่า...เขาไม่อาจรู้ได้เลย ว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถยึดเหนี่ยวอีกฝ่ายไว้ได้ เพราะตราบใดที่ผู้ปกครองอย่างลามอนต์ยังมีจุดมุ่งหมายแอบแฝง เจ้าตัวก็คงจะไม่มีวันยอมรับความต้องการของตนเอง

   “ถ้าหากคุณยอมปล่อยมือจริง ๆ...”

   “ส่วนนั้นแหละที่แกเข้าใจผิด” ลามอนต์สวนกลับ “เหตุผลที่ชูเลย์ต้องพึ่งพิงฉันแม้จะไม่อยากทำเพราะฉันมีความมั่นใจมากพอที่จะพูดและทำในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้ว แล้วแกล่ะ เคยให้ความมั่นใจอะไรกับเขาได้บ้าง? หลักที่ไม่มั่นคงใครจะอยากยึดถือเอาไว้?”

   อังเดรเถียงไม่ออก เพราะสิ่งที่พ่อตาของตนพูดก็ไม่ห่างไกลจากความจริงเกินไปนัก เขาไม่เคยให้ความมั่นใจกับซูเล่ยเลยไม่ว่าจะเรื่องการแต่งงานใหม่ หรือรักชอบใคร สิ่งที่เขาทำก็แค่การทำให้ซูเล่ยไม่กล้าที่จะจากไปอย่างเงียบ ๆ อีกก็เท่านั้น แต่นั่นก็เพราะรู้แก่ใจว่าถึงจะพูดออกไปซูเล่ยก็คงปฏิเสธ มีบางอย่างที่ปรากฏจากการกระทำที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีกำแพงที่กลัวเกินจะก้าวข้ามซึ่งมันจำต้องใช้เวลา

   เขาก็คงทำได้เพียงเฝ้ารอเวลานั้น...

   ความเงียบโรยตัวระหว่างพวกเขาทั้งสองซึ่งรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พูดคุยกันยาวนานถึงขนาดนี้ และมันจะต้องมีความหมายบางอย่าง

   “หรือว่าคุณ...”

   “กลับมาแล้วค่ะ” เสียงหวานใสของลอร์เรนแทรกเข้ามาเมื่ออังเดรอ้าปากคิดจะพูดบางอย่าง ทำให้สิ่งที่คิดเอาไว้ระเหิดหายไปในชั่ววินาที

   “กลับมาแล้วหรือ?” ลามอนต์เอ่ยทักทายลูกสาวต่างนามสกุล “แล้วเอเดรียน?”

   “เอเดรียน?” อังเดรมุ่นคิ้ว นึกสงสัยว่าทำไมจึงถามถึงเอเดรียนขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเอง เจ้าของชื่อก็ปรากฏตัวขึ้นและวิ่งด้วยท่าทางเริงร่ามาหาพ่อ

   “แดดดี้ ลอร์เรนบอกว่าแดดดี้อยู่กับคุณตา” เด็กหญิงหัวเราะร่าและหันไปทางตาของตนเอง ซึ่งเมื่อเห็นหลานสาว ท่าทางของลามอนต์ก็อ่อนลงในทันที

   “นี่มันหมายความว่ายังไง คุณพาเอเดรียนมาที่นี่ทำไม?” ถึงแม้ตาหลานได้พบกันจะเป็นเรื่องดี แต่กลับทำให้อังเดรรู้สึกได้ถึงความนัยที่แอบแฝงอยู่ ลอร์เรนมาที่นี่กับเอเดรียน นั่นหมายความว่า... “ซูขอให้คุณทำแบบนี้อย่างนั้นหรือครับ?”

   ชายสูงวัยหรี่ตาลงมองลูกเขยด้วยสายตาขัดอกขัดใจ

   “อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดของฉันฝ่ายเดียว”

   “เขาอยู่ที่ไหนครับ?” อังเดรยืนขึ้นและจ้องสบตาอย่างแข็งกร้าว เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าลามอนต์โดยไม่สนใจฐานะของตนเอง

   “แกรู้แล้วจะทำอะไรได้” ลามอนต์โบกมือให้ลอร์เรนพาเอเดรียนออกไปข้างนอกก่อนแล้วจึงว่าต่อ “จะไปหาแล้วบังคับพาตัวกลับไปหรือไง แล้วแกจะสามารถกักขังชูเลย์ไว้ได้อีกนานแค่ไหน แกเองก็น่าจะรู้ดี ผลของการควบคุมคนอื่นทำให้ตกอยู่ภายใต้การบงการ...” ประโยคหลัง คล้ายว่าลามอนต์จะพูดกับตนเอง ผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้อื่นและบงการชักใยราวกับทุกสรรพสิ่งเต้นอยู่บนฝ่ามือ แต่คงไม่มีใครรู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงชีวิตที่คนที่รักเขาซึ่งมีอยู่น้อยนิดล้วนแต่จากไปหมดสิ้น

   “ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้ผมทำยังไง ปล่อยไปแบบนี้แล้วยอมแต่งงานกับคนที่คุณต้องการหรือ? ต้องขอโทษด้วยที่ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้” อังเดรยืนยันชัดเจน

   “หึ ทำอย่างกับว่าตัวคนเดียวจะทำอะไรได้” ลามอนต์หัวเราะในคอโดยไร้รอยยิ้ม “แต่ก็ดี เห็นแก่ที่แกทำตัวน่าชื่นชม ฉันจะช่วยสักครั้งก็แล้วกัน”

   เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ฟังก็ลังเลอยู่เล็กน้อยแต่เพราะรู้ว่าตนเองไม่มีทางเลือก สุดท้ายจึงยอมนั่งลงเช่นเดิมและฟังข้อเสนอของพ่อตาซึ่งไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่าจะได้ผลอย่างที่คาด อย่างไรก็ตาม...อังเดรทำได้เพียงรับฟังเพราะไม่อาจทำสิ่งอื่นใดที่มีประโยชน์กว่านี้ได้และเมื่อเข้าใจดีแล้วก็ขอลากลับโดยไม่คิดจะอยู่พูดคุยจิปาถะเช่นที่คนอื่น ๆ ปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่ และพาเอเดรียนกลับไปพร้อมกันด้วย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [20/01/14]
«ตอบ #306 เมื่อ25-01-2014 16:15:46 »

   หลังจากอังเดรจากไปแล้ว ลอร์เรนก็เดินเข้ามาในห้องและนั่งลงรินน้ำชาให้ตนเองพลางปยิบขนมขึ้นมากินเล่นด้วยท่าทางสบาย ๆ

   “กำลังเหงาอยู่หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามชายสูงวัยที่ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สิ่งที่เธอได้รับกลับมาคือเสียงถอนหายใจจึงหัวเราะคิก “น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อชูเลย์ ทั้งที่จงใจให้ยอมไปเป็นพี่เลี้ยงและชักนำให้คิดว่าจะต้องถูกบีบบังคับให้แต่งงานในเร็ววัน แต่ว่า...ในจำนวนพวกเราทั้งหมด คนที่คุณพ่อแสดงออกชัดเจนว่ารักปานแก้วตาดวงใจมีแค่มารีนเพียงคนเดียว ดังนั้นคงไม่แปลกหรอกมั้งคะ ที่ชูเลย์จะคิดว่าตัวเองไม่ได้มีค่าอะไรเลยและไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง”

   ลามอนต์ส่ายศีรษะระอาใจแล้วหันกลับไปมองด้านนอก ชีวิตของเขาคงจะแปลกประหลาดสำหรับคนอื่นจึงไม่มีใครจินตนาการออกกระมังว่าเหตุใดจึงต้องทำเรื่องวุ่นวายให้คนรอบข้างปวดเศียรเวียนเกล้า การเติบโตภายใต้แรงกดดันและจำต้องทำในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองแม้กระทั่งการเลือกคู่ชีวิต นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาไม่เคยราบรื่นและไม่เคยมีเศษเสี้ยวของความรักเกิดขึ้นมาเลย

   การหาเศษหาเลยไปตามอารมณ์อยากประชดทำให้เลขาของตนเองและหญิงสาวซึ่งทำให้เขาหลงรักเกิดตราบาปในชีวิตขึ้นมา ลูกสองคนที่เกิดขึ้นโดยที่กฎหมายไม่รองรับทำให้ภรรยาตัดสินใจหย่าขาด แต่ทั้งเลขาสาวและผู้หญิงชาวจีนที่เขามอบหัวใจให้กลับไม่ยอมร่วมชีวิตด้วย แม้จะพยายามแก้ไขความผิดด้วยการรับลูกนอกสมรสมาเลี้ยงดูและมอบความรักให้แก่มารีนอย่างเต็มที่ทดแทนที่ไม่เคยทำกับผู้เป็นแม่กลับทำให้เกิดช่องว่างที่บิดเบี้ยวในครอบครัว สุดท้ายแล้ว...สิ่งที่เคยคิดว่าถูกก็กลายเป็นความผิดพลาด

   และบั้นปลายของชีวิตเขาก็ไม่หลงเหลือใครที่จะรักได้เลยแม้สักคน...

   ไม่รู้ว่าสิ่งสุดท้ายที่มอบให้แก่ซูเล่ยจะเพียงพอหรือไม่ แต่เขาก็คงไม่อาจมอบอะไรให้เด็กคนนั้นได้มากกว่านี้อีกแล้ว

   “แล้วเธอล่ะลอร์เรน? คิดว่าฉันเป็นแค่ชายแก่ไร้หัวใจด้วยหรือเปล่า?”

   เจ้าของชื่อยิ้มให้กับคำถาม

   “คุณอาจจะเป็นพ่อที่ไม่ดีนัก แต่ในฐานะเจ้านายฉันยินดีจะรับใช้คุณไปชั่วชีวิต” หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเติบโตเป็นเลขาคนสนิทแทนที่แม่ตอบรับหน้าที่ของตนโดยไม่อิดออด “แต่ฉันยังกังวลเรื่องของเอเดรียน เธอจะต้องเติบโตมาในฐานะทายาทของคุณพ่อ คิดว่าเธอจะเป็นยังไงต่อไปคะ?”

   “เรื่องนั้นก็คงขึ้นกับคนเลี้ยงดู...ซึ่งต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเธอด้วย”

--------------------------->

   รถสองคันที่แยกจากกัน คันหนึ่งวิ่งไปทางบ้านใหญ่ของเวสลอยด์ แต่อีกคันวิ่งสู่ถนนอีกสายซึ่งมีเพนท์เฮาส์หรูหราตั้งอยู่ ลามอนต์ได้มอบห้องหนึ่งที่ตนเองเป็นเจ้าของให้แก่ลูกชายคนเดียวเป็นของขวัญวันเกิดสมัยเด็กเพื่อที่ในอนาคตจะได้มีที่อยู่เป็นสัดเป็นส่วนไม่ต้องกังวลสายตาใคร แต่สำหรับซูเล่ยในตอนนั้นกลับรู้สึกว่ามันคือของขวัญที่จับต้องไม่ได้จึงไม่เคยนึกสนใจ จนกระทั่งโตขึ้นมันจึงได้ใช้งานตามหน้าที่และกลายเป็นที่อยู่ถาวรไปจนกระทั่งย้ายไปอยู่ที่ประเทศจีน

   นับจากตอนนั้นก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้กลับมาเลย ทั้งที่มันคือสถานที่หลบภัยเพียงหนึ่งเดียวซึ่งผู้เป็นพ่อเคยหยิบยื่นให้

   ตอนที่ซูเล่ยเดินเข้าไปในห้องเขาก็คิดว่ามันคงจะรกไปด้วยฝุ่น แต่ผิดคาด เพราะมันสะอาดสะอ้านกว่าที่คิดไว้ คงเพราะลามอนต์จ้างคนดูแลทำความสะอาดให้สม่ำเสมอกระมัง

   ชายหนุ่มร่างเล็กนั่งลงบนเตียงที่ยังไม่ปูผ้าคลุมและไม่มีเครื่องนอน มองไปรอบห้องด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน มันช่างกว้างขวางและเงียบเหงาจนน่าแปลก สีสันจืดจางผิดกับของเล่นของเด็ก ๆ ทำให้รู้สึกหม่นหมองพิกล แต่อย่างนั้นเขาก็คงจะได้อยู่ห้องนี้เพียงคืนหรือสองคืนเพราะยังไม่แน่ใจว่าลามอนต์ได้จิงเที่ยวบินเที่ยวไหนเอาไว้ให้ และจะต้องไปในทันทีหรือไม่ นอกจากนี้เขายังต้องไปเก็บข้าวของที่ฝากไว้ที่บ้านใหญ่ด้วย

   ความเงียบที่อวบอวลอยู่รอบตัวชักนำให้เจ้าของห้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโดยที่ยังไม่แน่ใจว่อยากโทรหาใครกันแน่ เพียงแต่...เขาไม่คุ้นกับความโดดเดี่ยวแบบนี้เอาเสียเลย

   หลังจากนั่งมองโทรศัพท์เครื่องใหม่ด้วยสายตาว่างเปล่าเพราะแม้แต่ซิมการ์ดก็ไม่ใช่ของเดิมของตนจึงไม่มีรายชื่อใครบันทึกอยู่เลย ซูเล่ยก็นึกได้ว่าตนเองไม่ได้โทรหาแม่นานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือตอนที่เดินทางกลับมาอเมริกาใหม่ ๆ เพื่อรายงานว่าถึงโดยปลอดภัย จึงตัดสินใจต่อโทรศัพท์ทางไกลไปถึงประเทศจีนแม้ว่าราคาของมันจะแพงจนชวนผวาก็ตาม

   เสียงต่อสายดังอยู่นานจนคนฟังเริ่มเคลิ้มคล้ายจะหลับ พลันนั้นก็ได้ยินเสียงแกร๊กเบา ๆ

   “สวัสดีค่ะ” ภาษาจีนแสนคุ้นหูแทรกเข้าสู่โสตประสาท กระตุ้นความทรงจำทั้งกลิ่นอายและสัมผัสให้หวนกลับคืนมา

   “สวัสดีครับ แม่”

   “ซูเล่ย?” ปลายสายเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความคิดถึงเหลือคณา “โถ่เอ๊ย ลูกคนนี้ ขาดการติดต่อไปเสียตั้งนานให้แม่ใจหายใจคว่ำ ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนถึงได้ไม่ติดต่อมาบ้างเลย แม่ก็เป็นกังวลอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่กล้าโทรหา รู้หรือเปล่าว่าคุณน้ากับน้าสะใภ้เขาก็เป็นห่วงกันแทบแย่ คุณเวสลอยด์ทำอะไรลูกหรือเปล่า? หรือว่าถูกใครรังแกเอาอีก?”

   “แม่ครับ...ผมไม่เป็นอะไร ไม่มีใครมารังแกผมหรอก” ซูเล่ยหัวเราะ ดูเหมือนทางบ้านจะเป็นห่วงเขาเอามากจริง ๆ น้ากับน้าสะใภ้ก็ชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กไม่รู้จักโตอยู่ตลอด “แต่ว่าผมต้องสะสางงานที่นี่นิดหน่อยก็เลยไม่มีเวลาโทรหา ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”

   นับแต่เขาไปอยู่ที่บ้านของอังเดร น้อยครั้งที่จะได้มีเวลาส่วนตัวเพราะต้องคอยสอดส่องสายตาดูแลเอเดรียนไปพร้อม ๆ กับความเรียบร้อยของบ้าน สำหรับเขาที่ไม่เคยดูแลเด็กเล็กมาก่อน งานที่ได้รับค่อนข้างจะหนักหนาในช่วงแรกทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวและลืมเรื่องส่วนตัวไปเสียสนิทใจ

   “แล้วตอนนี้เสร็จธุระแล้วหรือ?” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม “อยู่ที่นั่นกินดีอยู่ดีหรือเปล่า อย่าโหมงานจนลืมกินลืมนอนอีกนะ”

   “ผม...ใกล้จะได้กลับแล้วล่ะครับ”

   “จริงหรือ?” เสียงปลายสายฟังดูตื่นเต้นไม่น้อย

   หญิงสาวมีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกแค่ในช่วงวัยเด็กก่อนที่จะถูกขอตัวไปเลี้ยงโดยผู้เป็นพ่อซึ่งยอมกระทั่งบากหน้ามาคุกเข่าขอขมาต่อพ่อแม่ของเธอในเรื่องที่ทำลงไปและขอให้ได้นำซูเล่ยไปเลี้ยงดูในฐานะของบิดา หลังจากนั้นแม่ลูกก็จะได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งในวาระโอกาสสำคัญโดยลามอนต์จะพามาอยู่ที่บ้านเดือนหนึ่งช่วงปิดเทอมก่อนพาตัวกลับไป สำหรับเธอแล้ว ทุกวินาทีที่ลูกอยู่ด้วยจึงกลายเป็นช่วงเวลาแสนสำคัญและมักจะเฝ้ารอที่จะได้พบหน้าลูกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนเมื่อไม่กี่ปีที่แล้วนี้เองที่ซูเล่ยได้กลับมาอยู่ที่บ้านอย่างถาวร

   “แล้วจะกลับเมื่อไหร่จ๊ะ? เดี๋ยวนี้เลยหรือเปล่า? คงไม่ใช่ว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้านแล้วโทรมาให้แม่ตกใจเล่นหรอกนะ” หญิงสาวหัวเราะคิก

   “แม่พูดแบบนี้ผมก็อดแกล้งเลยสิครับ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมยังอยู่อเมริกา คิดว่าคงจะได้กลับไม่อาทิตย์นี้ก็อาทิตย์หน้านี่แหละครับ” เมื่อได้พูดคุยกับแม่ ความหงอยเหงาในใจก็มลายหายไปสิ้น ซูเล่ยรู้สึกได้ว่าช่องว่างในใจได้ถูกถมลงไปจนเกือบเต็ม แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ยังเป็นหลุมบ่อ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ที่มีแต่จะถูกคว้านลึกลงไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ที่สิ้นสุด

   หลังจากวางสาย ซูเล่ยก็ลุกขึ้นขยับตัวเพื่อให้รู้สึกกระฉับกระเฉง จากนั้นจึงเริ่มจัดห้องโดยเริ่มจากเปิดตู้หาเครื่องนอนมาจัดเตียงเพื่อให้คืนนี้ได้นอนอย่างสบาย ตามด้วยการนำข้าวของที่จำเป็นต้องใช้เช่นเสื้อผ้าออกมาใส่ตู้บางส่วนเผื่อว่าจะอยู่ไม่นาน

   ใช้เวลาแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง ทั้งหมดที่คิดไว้ก็เสร็จเรียบร้อย จู่ ๆ ด้วยความเคยชินเขาก็เดินเข้าครัวไปเพื่อทำอาหารกลางวันให้อังเดรและเอเดรียน แต่...เขาก็พบเพียงเตาไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าง่าย ๆ โดยที่ไม่มีของสดใด ๆ อยู่เลยสักชนิดเดียว ทำให้ซูเล่ยเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำเรื่องแปลกประหลาดอยู่เพราะที่นี่ไม่มีทั้งอังเดรหรือเอเดรียน ไม่มีงานบ้านให้ดูแล และไม่มีเด็กคอยมาตามเกาะแข้งขาให้เล่นด้วย

   ความเย็นเยียบไต่ขึ้นมาจากปลายมือและปลายเท้า เช่นเดียวกับความหดหู่ที่พลันเข้าเกาะกุมหัวใจจนหนาวเยือกออกมาจากข้างใน

   ไม่รู้ว่าป่านนี้เอเดรียนจะเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นจะคิดยังไงถ้ารู้ว่าเขาหนีมาแบบนี้ทั้งที่ก่อนจากกันก็พูดว่าเดี๋ยวก็ได้เจอกัน

   ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องในฐานะพี่เลี้ยงแล้ว แต่อย่างไรเอเดรียนก็นับได้ว่าเป็นหลานของเขา ในอนาคตจะมีโอกาสได้พบเจอกันอีกหรือไม่ แล้วเมื่อพบกันจะทำสีหน้ายังไง จะเหมือนกับอังเดรหรือเปล่าที่หลงลืมเขาไปและกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน

   แต่แล้ว ก็เป็นอีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์มือถือได้ช่วยปัดเป่าความมืดมนออกไป เสียงริงโทนเสียดหูเรียกให้เจ้าของใหม่ไปรับ

   “สวัสดีครับ”

   “มารับช้าแบบนี้แสดงว่าไม่ค่อยคุ้นกับโทรศัพท์ใหม่หรือ?” ลอร์เรนส่งเสียงทักทายก่อนหัวเราะร่า “รู้หรือเปล่าว่าหลังจากคุณแอชฟอร์ดกลับไป เขาโทรเข้าเครื่องเธอตั้งหลายครั้งจนฉันต้องรับเองแล้วบอกเขาว่าเธอเปลี่ยนเครื่องและเบอร์แล้ว”

   ซูเล่ยเกือบจะอ้าปากถามไปแล้วว่าอังเดรทำอย่างไรต่อ แต่ก็หักใจไม่ถามจะดีกว่า

   “เครื่องนี้มันไม่มีเพลงที่ปกติใช้ แถมปุ่มก็ไม่เหมือนกันเลยต้องใช้เวลานิดหน่อย”

   “ก็ตอนถามว่าจะเปลี่ยนแค่ซิมไหม เธอเป็นคนบอกเองนี่ว่าเปลี่ยนเครื่องเลยดีกว่า”

   “ก็เครื่องของฉันมันเก่า ตั้งใจจะเปลี่ยนตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสไปดูเสียที ยังไงดูของที่นี่ไปก็ดีกว่ารอไปซื้อที่จีนล่ะน่า” ชายหนุ่มถอนหายใจ “เอาเถอะ เรื่องเพลงเดี๋ยวฉันหาเอาใหม่ก็ได้ แต่เบอร์เก่าของฉันคงไม่มีคนอื่นโทรหาใช่ไหม อย่างดาริลหรือเพื่อน ๆ”

   “ถ้ามีโทรมาเดี๋ยวฉันจะบอกพวกเขาเองก็แล้วกัน” ลอร์เรนกล่าวก่อนจะหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “อีกเดี๋ยวจะมีคนของคุณพ่อไปหา เห็นว่าจะไปแจ้งเรื่องเที่ยวบินกับเรื่องจิปาถะ ถ้ามีอะไรที่อยากได้ก่อนกลับก็บอกกับเขาได้เลยนะ อย่างพวกของฝาก”

   “เข้าใจแล้ว ก่อนกลับฉันจะเข้าไปหาอีกครั้งแล้วกัน”

   ซูเล่ยวางสาย แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงอินเตอร์โฟน ดูท่าคนของลามอนต์จะมาถึงเร็วกว่าที่คิด เขาจึงรีบเดินไปเปิดประตูและเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางขึงขังยืนอยู่ เจ้าตัวโค้งให้เขาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาด้านในด้วยท่าทางสุภาพสำรวมและนั่งลงที่โซฟากลางห้อง

   “ได้เที่ยวบินแล้วหรือครับ?”

   “ครับ คุณเวสลอยด์ไม่อยากให้คุณต้องรีบร้อนเกินไปจึงดูเที่ยวบินที่ไม่กระชั้นไปนัก” เจ้าตัวว่าก่อนหยิบสมุดเล่มเล็กสำหรับจดบันทึกขึ้นมาเปิดดู “วันจันทร์หน้า เวลาเก้าโมงเช้า หวังว่าคุณจะไม่ติดขัดอะไร”

   “ไม่ครับ ไม่มี”

   ซูเล่ยตอบอย่างมั่นใจ แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับมีความเคลือบแคลงปรากฏขึ้นมา

   “แต่คุณเวสลอยด์บอกว่าคุณอาจจะอยากเลื่อน” ผู้ฟังมุ่นคิ้วสงสัย ผู้แจ้งข่าวจึงพูดต่อ “ก็...เพิ่งจะมีกำหนดการณ์ใหม่เข้ามา เดือนหน้าจะเป็นงานหมั้นของคุณเฟอร์เรสต์ เขาจึงบอกผมว่าคุณอาจจะอยากอยู่ร่วมงานหมั้นของพี่สาวก่อนแล้วค่อยกลับ ซึ่งเขาจะยกเลิกเที่ยวบินให้ถ้าคุณต้องการ”

   งานหมั้นของลอร์เรน?

   เดือนหน้า?

   นี่มันผิดปกติเกินไป ซูเล่ยรู้สึกได้ เพราะลอร์เรนไม่เคยมีท่าทีว่าจะคบหาผู้ชายคนไหนเลย นอกเสียจากว่าจะเป็น...อังเดร

   อา...ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็ยินยอมตามแผนการของพ่อจริง ๆ

   แม้ใจจะรู้ว่ามันต้องเป็นแบบนี้แน่นอน และทำใจเอาไว้นานแล้ว แต่มันช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะรู้สึกถึงความหนักอึ้งที่กดทับลงมาจนเผลอบีบมือตนเองเต็มแรง

   “คุณชูเลย์?”

   “ครับ เอ่อ...ไม่ครับ ผมคงอยู่ไม่ได้” เมื่อได้ยินเสียงเรียก ซูเล่ยก็พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อตอบกับคนตรงหน้าอย่างปกติที่สุด “ดูเหมือนว่างานทางนั้นจะรอผมอยู่เพราะหายหน้ามานาน คงต้องขอโทษลอร์เรนเรื่องนี้ด้วยแต่ผมจะหาทางแก้ตัวในภายหลัง”

   “อ้อ...ครับ” ชายหนุ่มจดบันทึกลงไป “แล้วมีอะไรอยากจะฝากผมจัดการก่อนกลับหรือเปล่า?”

   “เดี๋ยวผมจะลิสต์รายการให้ ช่วยรอสักครู่ก็แล้วกัน” ว่าแล้ว เจ้าของห้องก็ลุกไปหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาจดรายการที่อยากจะซื้อไปฝากทางบ้าน แต่...มือของเขากลับขยับแทบไม่ได้เมื่อนึกถึงข่าวที่ได้รับเมื่อครู่ที่ผ่านมา

TBC

ตอนหน้าจบค่า XD เรื่องนี้ยาวกว่าที่คิดไว้พอสมควรเลย ยาวกว่าเรื่องคิวปิดอีก... แทบสูสีกับกรงเกล็ดมังกร

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #307 เมื่อ25-01-2014 16:28:49 »

อังเดรกำลังพยายามตามหาอยู่นะ  :mew2:

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #308 เมื่อ25-01-2014 16:54:56 »

ทำไมยิ่งอ่านยิ่งเกลียดตาแก่เวสลอยด์  ถึงตอนนี้จะรู้เหตุผลแล้วว่าที่ตาแก่ทำแบบนี้เพราะรักลูกแต่แสดงออกไม่เป็น  แต่เราว่า  ถ้าตาแก่รู้นิสัยซุดีขนาดนั้น แค่บอกว่ารักซูคำเดียวก็น่าจะจบ  ทำไมต้องมาวางแผนซ้ำซ้อนให้ซูต้องเสียใจอยู่ตลอดเวลาด้วยก็ไม่รู้ 

แล้วไหนจะลอเลนก็อีกคน. ก็รู้นะว่าชีวิตคนสังคนตะวันตกกับคนตะวันออกมันไม่เหมือนกัน  แต่แค่การพูดความจริงกับซูเล่ยเนี่ยมันยากมากใช่ไหมหา  แล้วยิ่งมาร่วมมือกันวางแผนกับตาแก่จนเหมือนซูเป็นหมากตัวหนึ่งแบบนี้เรายิ่งไม่เปลื้อมใหญ่เลย

ส่วนอังเดร  ตอนนี้เริ่มแสดงความฉลาดมาแล้วนิดนึงก็จะให้อภัยไปก่อนแล้วกัน (ทำไมกับพระเอกมันอภัยให้ง่ายกันจัง//ฮา)

สรุปคืออ่านตอนนี้แล้วอยากกระทืบตาแก่มากๆ  และสงสารซูเล่ยมากๆเลยค่ะ  หวังตอนหย้าซูเล่ยจะเริ่มมีความสุขมากขึ้นนะคะ :hao5:

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #309 เมื่อ25-01-2014 17:05:00 »

สู้ๆนะอังเดร เราว่านายต้องรู้อะไรบ้าง

ไม่งี่เง่า แถมยังเป็นพระเอกที่รู้ใจตัวเอง

ดั้งนั้น ปัญหาอยู่ที่"ซู" แล้วหละ จะเอาไงดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
« ตอบ #309 เมื่อ: 25-01-2014 17:05:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #310 เมื่อ25-01-2014 17:48:30 »

เบื่อตาแก่ร้ายยันตอนสุดท้ายจริงๆ
แต่งงงแต่งงานบ้าบอไรฟะ ทำให้ลูกเจ็บอยู่ได้โอ้ย
คือตอนนี้อังเดรรีบๆหาซูแล้วปรับความเข้าใจดีกว่า
เพราะถ้าให้อังเดรบินไปหาซูที่จีนนี่ไม่ใช่สไตล์ฮีแน่ๆ
จะขาดใจละลุ้นเกิน ถ้าเรื่องนี้ไม่มีตาแก่ลามอนคือทุกอย่างจะราบรื่นเลยนะ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #311 เมื่อ25-01-2014 17:57:57 »

น่าสงสารที่สุดคือซูสินะ
คุณพ่อตาก็นะ
ทำอะไรผิดไว้แต่ก่อนก็น่าจะเข้าใจอะไรบ้างสิ
ตอนหน้าจบแล้วเหรอ
ใจหายอะ ไม่อยากให้จบเล๊ยยย 555

ออฟไลน์ raluf

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 499
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #312 เมื่อ25-01-2014 18:05:45 »

เป็นแผนของพ่อจริงๆสินะ ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยากด้วยก็ไม่รู้ สงสารซูลากไปลากมา

ิbabobean

  • บุคคลทั่วไป
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #313 เมื่อ25-01-2014 18:34:47 »

อ่านมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเดิมว่าตัวเองคงไม่สามารถคาดเดาอะไรกับตอนจบได้เลย
ทำไมอะไรๆก็ดูจะซับซ้อนเหลือเกิน
แต่อังเดรดูหล่อมากค่ะ ตอนที่เข้าไปสารภาพกับพ่อซู
เยี่ยมจริง!! ฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย
แต่คุณควรจะไปสารภาพกับซูด้วยนะ ต้องตามมาเคลียร์กันก่อนจะถึงวันจันทร์นะรู้มั้ย
คนอ่านคิดถึงฉากระหว่างซูกับเอเดรียนจะแย่แล้วค่ะ  :m15:

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #314 เมื่อ25-01-2014 18:55:52 »

หวังว่าคุณพ่อจะทำสิ่งที่ถูกที่ ถูกเวลาซะที

ถ้าซูเล่ยเติบโตมากับแม่ ต้องเป็นเด็กที่น่ารักมากแน่ๆ

หวังว่าอังเดรจะทำสำเร็จนะ ใช้ใจแลกใจเถอะ

การบังคับมีแต่จะอึดอัด และไม่มีความสุขกันทั้งคู่

 :pig4: นักเขียน ลุ้นและสนุกกับเรื่องนี้มากๆ

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #315 เมื่อ25-01-2014 19:22:25 »

ใกล้จบแล้วววว ว
สงสารซุเล่ยยย
TTTT

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #316 เมื่อ25-01-2014 19:39:01 »

มาจิ้มก่อนอ่านน้องซู

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #317 เมื่อ25-01-2014 20:02:09 »

ใกล้จบแล้ว ก็ยังไม่ชอบอิคุณพ่อตาอยู่ดี ถ้าจะช่วย ทำไมไม่ช่วยดีๆละ เล่นแง่อยู่ได้ น่าตบกะโหลก ยิงทิ้ง
เอาซูมาเลี้ยง แต่ตามความรู้สึกที่ซูพูดถึงพ่อ ก็ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกเขานัก แล้วจะเอาเขามาเลี้ยงทำไม
เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลงหรอ เป็นผู้ชายที่เลือดเย็นที่สุด ซูเป็นคนไม่กล้าคิด ตัดสินใจแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะพ่อเขานั่นแหละ
โอ้ยอินจัด มันขัดใจอะ คนแต่งอย่าใส่ใจเลย

จะรออ่านตอนที่น้องซูเล่ย มีความสุขจริงๆเสียทีนะจ๊ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2014 20:05:11 โดย 2pmui »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #318 เมื่อ25-01-2014 20:06:43 »

คิดเอาเองว่าสิ่งตนทำดีแล้ว แหกตาดูคนอื่น ๆ บ้างสิ เขามีความสุขไหม
สงสารซูจริง ๆ หวังว่าอังเดรจะทำเรื่องให้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะ

ออฟไลน์ Ta_ii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #319 เมื่อ25-01-2014 21:20:26 »

จะจบแร้วหร้อออ~ ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ
อยากได้ตอนหวานๆของอังเดรกับซูบ้าง
เพราะรู้สึกมันจะหน่วงมาตลอดเลยอ่าช่วงหลัง :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
« ตอบ #319 เมื่อ: 25-01-2014 21:20:26 »





ออฟไลน์ PoPuAr

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #320 เมื่อ25-01-2014 21:52:07 »

ตอนหน้าจบ งั้นความสุขของซูก็รออยู่ตอนหน้าสินะ

พ่อของซูก็รักลูกนะ แต่วิธีการแปลกๆไปหน่อย

อังเดรก็ไม่ต้องเสียใจนะ ไม่มีใครแย่งหัวใจซูจากนายได้แน่นอน

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #321 เมื่อ25-01-2014 22:34:17 »

นี่ตอนหน้าจะจบแล้ว แกยังไม่เลิกเล่นแง่อีกเร๊อะตาแก่!!
รู้ว่าเป็นคนฉลาดล้ำกว่าชาวบ้านเขา แต่เรื่องรักลูกเนี่ยช่วยแสดงออกแบบธรรมดาๆได้มั้ยคะ

อังเดร คุณยังมีโอกาสจนถึงตอนหน้านะคะ สู้นะ


 :กอด1:



ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #322 เมื่อ25-01-2014 23:42:31 »

ห๊ะ ตอนหน้าจบ
ซูเอ้ยยยย จะมีความสุขกับเค้าสักทีมั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ Khunsathi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #323 เมื่อ25-01-2014 23:52:46 »

พลิกสุดๆ 5555
ตอนแรกสงสารยูล่ามาก แล้วมองคุณพ่อตาร้ายยยยยยยที่สุด
กลายเป็นว่าวางแผนให้ลูกชายคนเดียวสมหวังซะอย่างนั้น..
ปลื้มมมมมมมม มากค่ะ
แถมอังเดรยังจำซูเล่ยมาได้ตลอด... ^^
ถึงเวลาต้องให้ความมั่นใจอีกฝ่ายเสียทีนะอังเดรร

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #324 เมื่อ26-01-2014 16:06:15 »

หนีเลยๆ  :katai2-1: :katai2-1:

ชูป้ายเชียร์  :hao6:

อังเดรนิสัยแมวมากอ้ะ ไม่เคยทำอะไรให้ซูเลย  :fire:

ออฟไลน์ MinKKniM

  • 난 널 사랑해 동해
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #325 เมื่อ27-01-2014 16:59:39 »

อ้าวววว...คดีพลิก สรุปคุณพ่อเป็นพวกรักนะ แต่ไม่แสดงออกสินะ...สินะ

ไม่อยากให้จบเลย อยากอ่านฉากมุ้งมิ้งของอังเดรกับซูเยอะๆอ่ะค่ะ  :mew6:

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: Rhythm of Lust กลเกมเสน่หา ตอนที่ 21 [25/01/14]
«ตอบ #326 เมื่อ30-01-2014 00:04:08 »

มีแผนอะไรกันอีกเนี่ย สงสารซู

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
-22-


   กลิ่นอายของวัฒนธรรมในแต่ละสถานที่ล้วนแต่ให้ความรู้สึกที่ผิดแผกแตกต่างแม้แต่ในยุคสมัยที่โลกเปิดกว้างจนไร้พรมแดน ซูเล่ยหวนกลับสู่กลิ่นอายที่ตนปรารถนาและคุ้นเคย สลัดอดีตทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ใช้ชีวิตเสมือนว่าโลกอีกฝั่งหนึ่งไม่มีตัวตนอยู่

   “อ้าว กลับมาแล้วหรือ? วันนี้กลับเร็วนะ” เยว่ซินเอ่ยทักลูกชายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านขณะที่เธอกำลังทำความสะอาดหิ้งวางรูปของพ่อและแม่ที่เสียไปได้หลายปีแล้ว “แม่ทำของว่างเอาไว้ให้ ลองไปดูในครัวดูนะว่าอยากกินอะไร”

   “ครับ แล้วอาไปรับน้องอยู่หรือครับ?” ซูเล่ยถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามากอดแม่จากด้านหลัง

   หลังจากตัดสินใจกลับบ้านที่จีน และทำงานตามหน้าที่เดิมซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากคอยนั่งโต๊ะตรวจดูผลการทำงาน คุยกับหัวหน้าแต่ละแผนก ส่งผลการดำเนินงานให้บริษัทแม่เป็นระยะ แต่แม้จะเป็นชีวิตที่แสนเรียบง่ายก็กลับทำให้สงบสุขเสียยิ่งกว่าตอนที่อยู่อย่างหรูหราสุขสบายในบ้านของลามอนต์ เวสลอยด์ ฐานะทางบ้านของฝั่งแม่ก็ไม่ได้ย่ำแย่อัตคัดขัดสนจึงถือว่าอยู่ได้โดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

   ผ่านมาได้สองสัปดาห์ การปรับตัวกลับสู่วิถีชีวิตปกติก็เป็นไปอย่างราบรื่น เขาแทบจะลืมไปแล้วว่าอีกประมาณสองสัปดาห์ข้างหน้าจะมีงานมงคลเกิดขึ้นที่โลกอีกฝั่ง

   งานหมั้นของลอร์เรนและอังเดรคงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ ไม่สิ...ถึงจะทำได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำ เพราะอังเดรคงไม่แคร์อยู่แล้ว ด้วยเหตุนั้น ตัวซูเล่ยจึงพยายามที่จะไม่ใส่ใจและคิดเสียว่ามันคืออดีตที่ผ่านไปแล้ว ทว่า...ในสายตาของผู้เป็นแม่ มีหรือจะมองไม่ออกว่าลูกชายมีเรื่องทุกข์ใจ ถึงแม้เจ้าตัวจะทำเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างปกติสุขดี แต่ในบางครั้งก็มีสีหน้าหงอยเหงาและผิดหวัง ซึ่งเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายของตนเองเพราะซูเล่ยไม่ยอมเล่าให้ฟังแม้แต่น้อย

   เสียงโทรศัพท์ที่เปลี่ยนริงโทนเป็นเพลง ‘เหลี่ยวเจี๋ย’ ดังลอยมาจากกระเป๋าเป้ ซูเล่ยชะงักมือจากขนมจีบฝีมือแม่และเดินออกไปมองดูเบอร์ที่ปรากฏซึ่งคุ้นตาอย่างน่าแปลก กระนั้นกลับไม่มีบันทึกชื่อเอาไว้ บางทีคงจะเป็นคนที่ทำงานด้วยกันสักคนหนึ่ง

   “สวัสดีครับ”

   “ชูเลย์” เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของลอร์เรน “ใจร้ายจริง ๆ ไม่ยอมบอกฉันว่าเบอร์ที่ใช้ที่จีนเป็นเบอร์อะไร ทำให้ฉันต้องไปตื้อเอาจากพ่อถึงจะติดต่อได้”

   ซูเล่ยมุ่นคิ้ว เขาจงใจที่จะไม่เปิดเผยเบอร์โทรที่ใช้หลังกลับจีนของตนเอง โดยจะบอกไว้กับแค่บางคนเช่นพ่อหรือดาริลเพื่อความสะดวกใจ แต่ไม่นึกว่าลอร์เรนจะขุ่นเคืองใจกับเรื่องแบบนี้ด้วยเพราะปกติพวกเขาสองคนก็ไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักในระยะหลัง ๆ

   หรือว่าจะเป็นเรื่องงานหมั้น...

   “ฉันรีบไปหน่อยก็เลยไม่ได้บอกเธอเอาไว้ ว่าแต่ มีธุระอะไรหรือเปล่า?” เขาเลือกที่จะไม่คาดเดาไปก่อนเพื่อเปิดโอกาสให้บทสนทนาอื่นที่อาจเป็นไปได้

   “อาทิตย์หน้าเธอว่างไหม?”

   อาทิตย์หน้า?

   ซูเล่ยนึกไม่ออกเลยว่าอาทิตย์หน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งที่เกิดกับเขามีอะไรเกี่ยวข้องกับลอร์เรนหรืออย่างไรจึงต้องถามถึง

   “ไม่แน่ใจ ถ้าเป็นบ่ายวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ก็ว่างอยู่”

   “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย” เสียงดีดนิ้วเป๊าะดังขึ้นพร้อมกับเสียงตอบรับอย่างดีใจ “ฉันคิดว่าจะไปเที่ยวที่จีนกับว่าที่คู่หมั้นอาทิตย์หน้า และอยากให้เธอช่วยนำทางหน่อยเพราะทางนี้ไม่มีคนรู้ทิศรู้ทางกันเลยแถมพูดภาษาจีนกันก็ไม่เป็น มีเธออยู่ด้วยคงสบายไปหลายอย่าง” ลอร์เรนว่าแล้วจึงเริ่มบรรยายถึงสถานที่ที่อยากจะเที่ยวชมซึ่งอยู่ในเขตใกล้ ๆ กับที่อยู่ของเขา ที่ไกลสุดก็ขับรถไปไม่เกินชั่วโมงครึ่งถ้าสภาพการจราจรเอื้ออำนวย นอกจากนี้ยังมีข้าวของเครื่องใช้ที่อยากซื้อเอาไว้ตระเตรียมหลังจากแต่งงาน

   ลอร์เรนพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ราวกับว่าไม่มีส่วนใด ๆ เกี่ยวข้องกับคู่สนทนาเลย กระทั่งการพูดถึงอังเดรก็ยังแทนที่ด้วยคำว่า ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ซึ่งทั้งหมดนั่นคงเพื่อความสบายใจของเขา...

   หลังจากวางสาย เยว่ซินก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมน้องชาย น้องสะใภ้ และหลานชายที่อยู่ในวัยประถมปลาย ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยเรื่องจิปาถะกันอยู่โดยไม่ทันสังเกตว่าซูเล่ยโทรศัพท์อยู่ เมื่อผู้เป็นแม่เงยหน้าขึ้นมาเห็นลูกชายกำลังเก็บโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าแปลกตาจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

   “เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ? หรือว่างานมีปัญหา?” เธอเดินเข้าไปลูบหลังปลอบ ซูเล่ยจึงยิ้มและตอบว่าไม่มีอะไรก่อนขอตัวไปพักจนกว่าจะถึงเวลาอาหาร

   ซูเล่ยกลิ้งตัวบนเตียงอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง เยว่ซินก็ตามขึ้นมาบนห้องและนั่งลงที่ขอบเตียงก่อนลูบมือบนไหล่ของลูกชายเบา ๆ

   “ซูเล่ย ลูกรู้ใช่ไหมว่าสามารถเล่าให้แม่ฟังได้ทุกเรื่อง แต่ถ้ายังไม่อยากพูดอะไรแม่ก็ไม่คาดคั้นหรอกนะ” เมื่อเห็นลูกชายยังไม่ตอบสนอง หญิงสาวก็ถอนหายใจแล้วประสานมือพลางมองทอดสายตาไปทางประตู “จำได้หรือเปล่า ว่าสมัยก่อนลูกมักจะร้องไห้เมื่อจะต้องกลับไปอยู่กับพ่อ ลูกจะกอดขาแม่แน่นและถามทั้งน้ำตาว่าทำไมถึงไม่ไปอยู่ด้วยกัน ทำไมถึงปล่อยให้ลูกไปคนเดียว”

   “เพราะแม่ไม่อยากแต่งงานกับพ่อสินะครับ เพราะตอนพ่อทำให้แม่ท้องพ่อก็มีภรรยาอยู่แล้ว แถมเลขาของพ่อที่มาเตือนแม่ก็กำลังท้องลูกของเขาอยู่เหมือนกัน แม่คงจะกังขาว่าแต่งไปจะเป็นยังไง เขาจะแคร์แม่จริง ๆ หรือเปล่า หรือว่าแค่อยากแก้ตัวให้เรื่องจบ ๆ ไป” สมัยก่อน ซูเล่ยไม่เคยเข้าใจเรื่องเหล่านี้เลย เมื่อยังเด็กก็มีแต่ความสงสัยว่าเหตุใดพ่อจึงต้องทิ้งแม่ และเหตุใดแม่จึงไม่ยอมมาอยู่กับพ่อ ทำไมครอบครัวของตนจึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ และเมื่ออยู่ในบ้าน ฐานะของเขากับลอร์เรนก็เป็นรองมารีนอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้ เชาคิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว เยว่ซินกลับฟังแล้วยิ้มบางก่อนส่ายศีรษะช้า ๆ

   “ตอนที่พ่อมาที่นี่เพื่อขอโทษและยอมรับผิดชอบในทุก ๆ สิ่งที่ทำกับแม่ เขาคุกเข่าก้มหน้าก้มตาให้คุณตาด่าทอโดยไม่ตอบโต้ คิดดูสิว่าผู้ชายที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครกลับยอมถึงขนาดนี้ มีหรือที่แม่จะไม่ใจอ่อน” ได้ยินดังนั้น ซูเล่ยก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย เขานึกภาพของลามอนต์ในช่วงเวลานั้นไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
   “ถ้าอย่างนั้น ทำไมล่ะครับ?”

   “แหม...จะว่ายังไงดีนะ ตอนนั้นแม่ยังเด็กและไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ พอถูกเอาอกเอาใจก็หลงคารมจนยอมเขาไปเสียทุกอย่าง พอนึกถึงตัวเองในตอนนั้นมันก็ช่างน่าอายจนมองหน้าใครไม่ติด” เธอว่าไปใบหน้าก็มีริ้วแดงนิด ๆ “แล้วสังคมที่นี่ก็ไม่เปิดกว้างเหมือนอย่างทางนั้น พอมีเรื่องงามหน้าขึ้นมาพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ร้อนหูจนอยู่กันแทบไม่ได้ กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็แสนยากลำบาก ถ้าหากแม่ตอบรับไปกับพ่อ ตากันยายก็คงต้องร้อนหูกันอีกว่าลูกสาวใจง่ายเห็นแก่ความสุขสบาย เขาเอาเงินมาหว่านก็วิ่งตามเขาไป ซ้ำคุณอาของลูกก็ยังเด็ก ยังไม่เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ พอถูกเพื่อนถามเรื่องพี่สาวกับหลานที่ไม่มีพ่อก็ร้องไห้กลับมาต่อว่าแม่ แม่จึงไม่อยากสร้างปัญหาให้กับครอบครัว แต่อนาคตของลูกก็สำคัญจึงยื่นข้อเสนอให้พ่อรับตัวลูกไปเลี้ยงแทน”

   ซูเล่ยพลิกตัวนอนหงาย มองแผ่นหลังบอบบางของแม่ที่ต้องผ่านความลำบากและเจ็บช้ำมามากมายเพียงเพราะรักผิดคน พลางนึกสงสัยว่าเขารับสืบทอดดวงเรื่องความรักมาจากแม่หรือยังไงกันนะ อาจจะดีกว่าก็แค่ถึงจะทำยังไงก็ไม่มีทางจะท้องขึ้นมาได้จึงไม่ต้องกลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน

   “หลังจากที่ลูกไปอยู่กับพ่อเขา ที่บ้านก็เงียบไปสนิทใจ คุณอาก็เริ่มโวยวายต่อว่าพ่อว่าเอาลูกคนอื่นเขาไปเป็นกรรมสิทธิ์แล้วไม่เห็นหัวบ้านฝั่งนี้บ้าง แต่แค่เดือนเดียวพ่อเขาก็โทรกลับมาเพื่อเล่าเรื่องลูกให้แม่ฟัง และก็เป็นแบบนั้นทุก ๆ เดือน เขาจะบอกแม่อยู่เสมอว่าลูกไปโรงเรียนเป็นยังไง มีเพื่อนชื่ออะไร เป็นคนแบบไหน อยู่ที่บ้านลูกมีความสุขดีหรือเปล่า เป็นไข้ไม่สบายอย่างไรบ้าง เรียกว่าตามติดลูกแทบทุกฝีก้าว”

   เป็นเรื่องน่าแปลก...ที่ซูเล่ยไม่เคยรู้เลยว่าตนเองถูกจับตาดูถึงขนาดนั้น แต่เมื่อคิดย้อนไปตอนเด็ก ๆ พอกลับมาบ้านนี้แม่มักจะรู้ว่าเขาเจอกับอะไรบ้างและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทางอเมริกาเสมือนว่าแม่มีส่วนร่วมด้วยกับทุกสถานการณ์ในชีวิตของเขา

   มือบอบบางลูบบนเรือนผมสีเข้มพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน

   “แต่ว่าตอนนี้ลูกโตแล้ว พ่อคงเดินตามต้อยๆเพื่อเอามารายงานไม่ไหว ดังนั้นถ้าลูกอยากเล่าเมื่อไหร่...แม่พร้อมฟังเสมอนะจ๊ะ”

   “...ครับ” เขาตอบรับเพื่อให้แม่สบายใจ แต่เอาเข้าจริง...ก็ไม่รู้ว่าจะเล่าจากตรงไหนอยู่ดี “แม่จำลอร์เรนได้หรือเปล่า?”

   “อ้อ จำได้สิจ๊ะ” บางครั้งลอร์เรนก็ตามมาด้วยเมื่อลามอนต์พาซูเล่ยกลับบ้าน ครอบครัวนี้จึงรู้จักลอร์เรนในฐานะลูกนอกสมรสคนหนึ่งของลามอนต์ และรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษเพราะอยู่ในฐานะเดียวกับซูเล่ย

   “เธอจะมาเที่ยวที่จีนสักสองหรือสามวัน ผมคงไม่ค่อยได้อยู่บ้านนะครับ”

   เยว่ซินรับคำและตอบแค่ว่าให้พามาเยี่ยมเยียนกันบ้างเนื่องจากไม่ได้เห็นหน้านานแล้ว ก่อนจะบอกให้ซูเล่ยลงไปกินข้าวเย็นและเดินออกไปจากห้อง

--------------------------------->

   วันศุกร์ในอาทิตย์ต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังปลุกในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนไม่นาน

   “ชูเลย์ ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงแรมแล้วนะ” ลอร์เรนว่าก่อนบอกชื่อโรงแรมที่พักอยู่ “ถ้าหากว่าเธอเลิกงานแล้วจะมาที่นี่เลยหรือเปล่า? หรือว่าจะเก็บของแล้วค่อยมา?”

   “เธอรีบขนาดนั้นเลยหรือ? ที่จริงเอาไว้เจอกันพรุ่งนี้ก็ได้นี่” ซูเล่ยหนีบโทรศัพท์มือถือด้วยหัวไหล่พลางจัดกระเป๋าเตรียมออกไปทำงาน

   “ชูเลย์ พวกเราเพิ่งได้คุยกันแค่ไม่เท่าไหร่หลังจากหายหน้าหายตาไปเป็นปี ๆ ซ้ำเรื่องที่พูดคุยส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของพวกเราเลย ฉันก็แค่อยากจะพบปะเธอในฐานะพี่น้องธรรมดาบ้าง ซึ่งถ้าเป็นวันพรุ่งนี้เราก็ต้องไปกันเป็นหมู่คณะคงไม่ได้คุยอะไรกันเหมือนเดิม”

   คำขอของลอร์เรนทำให้ซูเล่ยอดใจอ่อนไม่ได้ พวกเขาทั้งสองค่อนข้างสนิทกันมากกว่ามารีนซึ่งวางตัวอยู่เหนือกว่าเสมอจึงเข้าใจกันดีและเข้าอกเข้าใจกันและกัน สำหรับซูเล่ยลอร์เรนก็เหมือนกับน้องชายดูแลพี่สาวตัวเองและมักจะปฏิเสธคำร้องขอไม่ได้

   บ่ายวันนั้น ซูเล่ยจึงกลับบ้านเร็วและรีบร้อนออกไป

   “เดี๋ยวสิ เพิ่งกลับมาจะรีบไปไหนหรือ?” เยว่ซินเห็นซูเล่ยแวะเข้ามาเก็บกระเป๋าก็รีบเรียกตัวไว้ “เข้ามานั่งพักในบ้านก่อนสิ”

   “ลอร์เรนรออยู่น่ะครับ เดี๋ยวผมไปเจอแล้วจะพามาเยี่ยมแม่ด้วย ถ้าค่ำกว่านี้เดี๋ยวจะไม่สะดวก” ซูเล่ยว่า เพราะเมื่อลอร์เรนโตขึ้นก็ขาดการติดต่อกับบ้านนี้ไปอย่างสิ้นเชิง อากับอาสะใภ้ของเขาคงไม่คุ้นชินนักถ้าเห็นมีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวมาก่อน ด้วยเหตุนั้นซูเล่ยจึงรีบร้อนออกจากบ้านไปโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าเวลานี้แม่ของเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง

   หลังซูเล่ยลับตาไปแล้ว ชายสูงวัยก็ก้าวออกมา

   “ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่ที่นี่จะลำบากใจเสียเปล่า ๆ” ลามอนต์ว่าพลางผ่อนลมหายใจ “คงมีแต่เธอนี่แหละที่ยังต้อนรับฉันอยู่”

   “ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เราก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะคะ คุณดูแก่ตัวลงไปมากทีเดียว” เยว่ซินกล่าวพลางหัวเราะ เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็หลงลืมไปหมดแล้วว่าเคยโกรธเคืองผู้ชายคนนี้มากแค่ไหนที่ถูกหักหลังและทำให้ความรักครั้งแรกที่สวยงามต้องพังทลายลง บางที เธอคงจะอภัยให้หมดแล้วเมื่อเห็นภาพของลามอนต์ที่คุกเข่าบนพื้นและก้มหน้านิ่ง ในภาพลักษณ์ทั้งหมดที่เคยเห็น นั่นคือภาพที่ทำให้ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้อีกครั้งแม้จะข้ามผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมาณมามากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกันได้...

   “เธอเองก็ดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกันแล้วฉันในตอนนี้คงจะเหมือนพ่อของเธอเลยล่ะมั้ง” ลามอนต์นับอายุตนเองในใจ คร่าว ๆ ก็มากกว่าเยว่ซินเสียสิบปี เมื่อรวมกับชาติพันธุ์ซึ่งคนตะวันตกมักจะโรยราไวกว่าคนตะวันออกทำให้รูปลักษณ์ของเขากับเยว่ซินห่างกันไกลโข

   “เวลาผ่านไปไวก็อย่างนี้แหละค่ะ แม้แต่เด็ก ๆ ก็เติบโตไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพิงพวกเราอีกแล้ว คิด ๆ  ไปก็เหงาอยู่ไม่ใช่น้อย”

   ผู้ฟังมองเจ้าของประโยคคำพูดด้วยสายตาเฉียบคมทว่าอ่อนโยน

   จริงอยู่ว่าเวลาผ่านเลยไป แต่ความรักที่เขาเคยมีกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ชายสูงวัยเดินเข้าไปจับมือหญิงสาวและนิ่งไปครู่หนึ่ง

   “บางที เมื่อเด็ก ๆ มีชีวิตของตัวเองแล้ว คงจะมีเวลาของเราเกิดขึ้นบ้าง”

   เยว่ซินเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนเผยรอยยิ้มพลางรอฟังอีกฝ่ายพูดต่อ

   “เยว่ซิน ถึงตอนนี้แล้ว เธอจะยินดีรับคำขอแต่งงานของฉันหรือเปล่า”

----------------------------->

   ซูเล่ยเดินทางถึงโรงแรมโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง และเห็นลอร์เรนรออยู่ในล็อบบี้พร้อมกับเอเดรียน เด็กหญิงเป็นคนแรกที่กันมาเห็นและชูไม้ชูมือดีใจก่อนวิ่งเข้ามากอดด้วยความคิดถึง แน่นอนว่าซูเล่ยก็คิดถึงเอเดรียนอยู่ไม่ใช่น้อย จึงนั่งลงไปกอดตอบพลางมองรอบข้างหาคนเป็นพ่อแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงเอเดรียนและลอร์เรนที่ออกมารอรับ บางที...อังเดรคงจะไม่อยากพบเขากระมัง...

   “เอเดรียนคิดถึงเธอมากทีเดียว บ่นถึงแทบทุกวันไม่ได้ขาดเลย แล้วที่คิดถึงมากที่สุดคงจะเป็นกับข้าวฝีมือพี่เลี้ยงคนเก่งล่ะมั้ง” หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อเอเดรียนทำแก้มพอง

   “ลอร์เรนทำกับข้าวไม่เก่งเลยนี่นา ทำผักก็ขม”

   “แหม...พี่คงต้องฝึกอีกนานกว่าจะเทียบชูเลย์ได้” ลอร์เรนไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อยที่ถูกตำหนิในสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่ช่วงที่เขาหายตัวไป เจ้าตัวก็คงลำบากไม่น้อยกับการทำหน้าที่แทนทั้งงานบ้านและงานครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อนเลย

   “ซูมาเที่ยวแล้วเดี๋ยวจะกลับบ้านด้วยกันใช่ไหม?” เอเดรียนหันกลับมาหาพี่เลี้ยงแล้วจับมือแน่น “เอเดรียนดุแดดดี้ที่รังแกซูแล้วนะ”

   ซูเล่ยได้ยินแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ การให้เด็กตัวเล็ก ๆ มาเป็นห่วงมันไม่ใช่เรื่องเอาเสียเลย แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ ว่าตอนนี้ไม่ใช่พี่เลี้ยงของเธออีกแล้ว

   “เอาไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังนะ” เขาลูบผมของเด็กหญิงและสังเกตเห็นว่ามันสั้นลงกว่าครั้งล่าสุดที่พบกัน บางทีเอเดรียนคงจะอ้อนอังเดรสำเร็จแล้วจึงให้ลอร์เรนตัดให้กระมัง “จริงสิ เธอคงไม่ได้เรียกฉันมาเพียงเพื่อพบกับเอเดรียนใช่ไหม?”

   “รู้ทันฉันอีกแล้วนะ ที่จริง...เวลานี้เขาควรจะมาถึงได้แล้ว แต่...” ลอร์เรนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แต่แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นและเผยรอยยิ้มกว้างพร้อม ๆ กับที่หูของเขาได้ยินเสียงรองเท้าหนังก้าวเข้ามาใกล้เป็นจังหวะเดินที่ค่อนข้างเร็ว สามารถอนุมานได้ทันทีว่าเป็นผู้ชาย อังเดร...กำลังเดินมาทางนี้ เพียงแค่คิด ทั้งร่างซูเล่ยก็พลันเย็นเฉียบเสมือนถูกเยือกแข็ง

   แต่ว่าทำไมเขาจะต้องรู้สึกอะไรด้วย ตอนนี้อังเดรเป็นว่าที่คู่หมั้นของลอร์เรนแล้ว เรื่องระหว่างเขากับเจ้าตัวก็กลายเป็นอดีตที่ควรถูกหลงลืม อังเดรเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะนำเรื่องเหล่านี้มาคิดเล็กคิดน้อย คงจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าในเวลานี้เขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน...

   “ชูเลย์ ฉันขอแนะนำให้รู้จักว่าที่คู่หมั้นของฉัน” หญิงสาวผายมือพร้อมพูดประโยคที่ทำให้ซูเล่ยกลายเป็นคนนอกไปในทันที นี่อาจจะเป็นวิธีการของลอร์เรนเพื่อทดสอบว่าเขายังคงมีใจให้คู่หมั้นของเธอหรือเปล่าสินะ? ถึงแม้ตามจริงแล้วลอร์เรนจะดูไม่ใช่คนที่ทำเรื่องแบบนี้ก็ตาม กระนั้นเขาก็หลวมตัวมาถึงที่นี่แล้ว จะฝืนต่อไปก็ใช่ที่ คงต้องเดินตามเกมของอีกฝ่ายเพื่อให้เธอมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นสามีที่ดีของเธอเพียงคนเดียว ไม่ได้มีใจสิเน่หากับใครอื่นหรือมีใครที่คิดสิเน่หาด้วย

   ซูเล่ยขบริมฝีปากก่อนหันไปเผชิญหน้า ใจนึกอยากรู้เหมือนกันว่าอังเดรจะมีสีหน้าอย่างไรเมื่อพบเขา จะแย้มยิ้มจับมือเหมือนคนไม่รู้จัก หรือประหลาดใจและเกิดมีพิรุธให้จับได้

   ทว่า...

   “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มที่แย้มยิ้มอ่อนโยนและยื่นมือมาให้เขากลับกลายเป็นชายที่ไม่คุ้นหน้า ส่วนสูงใกล้เคียงกับอังเดรแต่แววตาดูฉลาดเฉลียวเฉียบคมเกินธรรมดา เรือนผมสีอ่อน ตาสีฟ้าใส เครื่องหน้าคมคายตามเชื้อสายซึ่งดูไม่คล้ายอังเดรแม้สักส่วนเดียว

   “...ครับ” ซูเล่ยตอบรับทั้งที่ยังงงงวยเหมือนสมองถูกเขย่าจนกลายเป็นฟองลอยฟุ้ง

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
   “คุณแคมป์เบล นี่น้องชายของฉันเองค่ะ ชูเลย์” ลอร์เรนกล่าวแล้วเดินไปยืนข้างชายหนุ่มแปลกหน้าเจ้าของนามสกุลแคมป์เบล “ชูเลย์ นี่ไงว่าที่คู่หมั้นของฉัน ที่จริงแล้วฉันคิดจะแนะนำให้เธอรู้จักก่อนกลับจีน แต่น่าเสียดายที่เธอหนีกลับมาเสียก่อนฉันถึงต้องพาเขาดั้นด้นมาหาถึงนี่”

   “อย่าพูดเหมือนผมลำบากใจที่จะมากับคุณสิ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงระรื่นหูก่อนหันกลับมาทางซูเล่ย “ผมยินดีที่ได้พบคุณนะครับ ลอร์เรนเล่าให้ผมฟังหลายอย่างเกี่ยวกับคุณ โดยเฉพาะเรื่องที่คุณเป็นน้องชายที่สนิทสนมกับเธออย่างกับเป็นคู่แฝด”

   ซูเล่ยหน้าเจื่อนเล็กน้อยขณะฟังเรื่องราวที่ลอร์เรนนำไปเล่าให้ว่าที่คู่หมั้นฟัง

   “แล้วพาคุณพ่อไปส่งถึงที่หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม

   “อ๋อ ครับ พอไปถึงเขาก็ขอให้ผมกลับมาก่อนแต่หลงทางนิดหน่อยก็เลยมาถึงช้า”

   “....พ่อ...มาด้วยหรือ?”

   ลอร์เรนเลิกคิ้วสูง

   “อะไรกัน ไม่ได้เจอกันหรอกหรือ? เขาโทรมาบอกฉันว่าถึงบ้านของเธอก่อนเธอกลับเสียอีก”

   เมื่อนึกย้อนก็จำได้ว่าแม่พยายามจะบอกอะไรบางอย่างก่อนออกจากบ้าน บางที...ลามอนต์คงจะนั่งอยู่ข้างในด้วย...

   “เอาเถอะ ที่จริงแล้วก็มีคนอื่นที่อยากจะเจอเธออยู่อีกคนนะ” เมื่อลอร์เรนกล่าวจบ เสียงร้องเรียก ‘แดดดี้’ ก็ดังขึ้น ครั้งนี้ซูเล่ยหันกลับไปหาในทันทีด้วยใจหวาดหวั่นว่าตนจะถูกหลอกลวงให้เข้าใจผิดไปเองอีกครั้ง แต่ผู้ชายที่เดินตรงเข้ามานั้น...คืออังเดรไม่ผิดแน่...

   ชายหนุ่มหยุดยืนไม่ไกลจากเขานัก สายตาทั้งสองสบประสานกันชั่วครู่ก่อนที่เสียงของลอร์เรนจะดึงสติของพวกเขาให้กลับมา ณ เวลาปัจจุบัน

   “พวกเขาคงมีอะไรคุยกันหลายอย่าง เราขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวชวนคู่หมั้นแล้วจูงมือเอเดรียน “เราไปเล่นของเล่นกันต่อก่อนดีไหมจ๊ะ? แล้วก็รีบพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวกับซูไง” การโน้มน้าวของลอร์เรนได้ผล เพราะเมื่อได้ฟัง เอเดรียนที่คิดจะดื้อแพ่งในตอนแรกก็ยอมคล้อยตามและหันมาทำสีหน้าแง่งอนเล็กน้อยกับพี่เลี้ยงของตนก่อนเดินตามครูพิเศษไปทางลิฟต์

   เวลานี้ แม้ล็อบบี้จะมีคนอยู่มากมาย แต่ซูเล่ยกลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ที่นี่มีเพียงตนกับอังเดรและความเงียบที่ต่างคนต่างทิ้งเอาไว้

   “ออกไปเดินเล่นกันหน่อยได้ไหม?” เสียงเอ่ยชวนพาให้ซูเล่ยนึกฉงน แต่ก็พยักหน้าตอบรับและเดินนำออกไปข้างนอกโดยไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งพ้นประตูแล้ว ซูเล่ยจึงถอนหายใจแล้วเริ่มเปิดหัวข้อ เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการเงียบใส่กันอยู่แบบนี้ให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ

   “ผมคิดว่าคุณจะเป็นคู่หมั้นของลอร์เรนเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”

   “ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ วันนั้นฉันแค่ไปบอกกับพ่อของเธอตรง ๆ ว่าฉันไม่คิดจะแต่งงานใหม่กับใครทั้งนั้น ลอร์เรนจึงเปิดเผยกับฉันว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วก็เท่านั้น” อังเดรว่าก่อนยิ้มมุมปาก “ฉันก็บอกว่าฉันเองก็มีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงขนาดเรียกว่าคนรักได้”

   ลมหายใจซูเล่ยติดขัดเล็กน้อยเมื่อคิดว่าอังเดรมีคนอื่นที่เขาไม่รู้จักอยู่อีก

   “ถ้าอย่างนั้น...เขาคงโอเคสินะครับ คุณเวสลอยด์น่ะ” ดวงตาสีดำหลุบหลบใต้แพขนตาและถามต่อไปเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดตอน

   “เขาไม่ใช่เจ้าของชีวิตฉัน ถึงเขาจะพอใจหรือไม่มันก็ไม่ได้มีผลอะไรนักหรอก แต่...คงจะมีผลกับคนที่ฉันพึงใจอยู่มากทีเดียว” เมื่อได้ยินคำอธิบาย ซูเล่ยก็มุ่นคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าคนที่อังเดรชอบมีอะไรเกี่ยวข้องกับลามอนต์ และขณะที่ซูเล่ยยังคงเงียบ อังเดรจึงพูดต่อ “ฉันพบกับเขาเมื่อเกือบหกปีก่อน ที่จริงแล้วฉันเองยังนึกสงสัยอยู่บ่อย ๆ ว่าทำไมถึงได้ติดใจคนคนนี้นักทั้งที่พวกเราดูไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย แต่คงเพราะลึก ๆ แล้วเขาดูจะใส่ใจเรื่องราวของฉันและอยากจะรู้จักตัวตนของฉันล่ะมั้ง”

   ฟัง ๆ ไปแล้ว... ‘เขา’ ที่อังเดรพูดถึงช่างคลับคล้ายคลับคลา...

   “แต่ว่าหลังจากมีสัมพันธ์กันแค่คืนเดียวเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย บางทีฉันคงจะเร่งรัดมากเกินไป...”
   ถึงตรงนี้ ซูเล่ยก็เสมองไปทางอื่น เพราะที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของอังเดรเลย แต่เป็นความผิดของเขาเองที่ปล่อยตัวทำตามใจจนเกือบเป็นเรื่อง และก็ไม่ทันคิดเลยว่า...อังเดรเองก็หลงชอบ ‘ลี’ เช่นกัน แม้จนถึงตอนนี้อังเดรก็ยังคงตามหาตัวตนของลีอยู่หรือ...

   บางทีเขาควรจะบอกความจริงได้แล้วกระมัง...เพื่อปลดปล่อยทั้งอังเดรและตัวเขาเองจากอดีตที่พันธนาการความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง จะเป็นความชิงชัง รังเกียจ หรือเดียดฉันท์ อย่างไรหัวใจของอังเดรก็คงไม่มีวันเป็นของ ‘ซูเล่ย’ ได้อยู่ดี

   ที่ผ่านมาได้แต่หวาดกลัว กลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา กลัวสายตาที่จะเปลี่ยนไป แต่เมื่อได้มีโอกาสแยกห่างจากกันเขาจึงตระหนักได้ถึงความเป็นจริง...ว่าช่วงชีวิตของเขาและอังเดรจากนี้ไปคงไม่มีวันได้บรรจบกันอีก หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะต้องหวาดกลัวไปอีกทำไม

   “คุณคงไม่ชอบฟังข่าวร้าย” ซูเล่ยเกริ่นนำพลางปลอบใจตัวเองให้กล้าพูดออกไปจนจบ “แต่คุณคงไม่มีทางหา ‘ลี’ พบหรอก...”

   “ทำไมฉันถึงต้องหาลีให้พบด้วย?” พูดไม่ทันจบประโยคดี เสียงของอังเดรก็แทรกขึ้นมาทำให้ผู้พูดต้องหยุดชะงักและหันกลับไปมองด้วยสายตาฉงน จึงได้เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่ประดับตรงมุมปากภายใต้แสงอาทิตย์สีแดงส้มในยามเย็นเสริมใบหน้าคมให้ดูเจ้าเล่ห์ขึ้นกว่าที่เคยเห็นจนชินตา

   ซูเล่ยเผลอกลั้นหายใจวูบหนึ่งตามความเคยชินเพราะหัวใจเผลอเต้นผิดจังหวะและผิดสถานการณ์ ในช่วงนาทีนั้นเองที่อังเดรสาวเท้าเข้าหาจนเกือบประชิดก่อนโน้มใบหน้าลงเล็กน้อย

   “ในเมื่อคนคนนั้นอยู่ตรงหน้าฉันมาตลอด ซ้ำจะทำอย่างไรก็ไม่รู้ตัวเสียทีดีแต่ขับไล่ไสส่งฉันไปหาคนอื่นอยู่เนือง ๆ”

   ...

   ดวงตาสีดำกลอกไปมาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อค้นหาคำตอบที่ง่ายแสนง่ายแต่กลับยากจะค้นเจอ

   “...คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

   “ประมาณช่วงคริสต์มาส”

   หลังได้รับคำตอบ ซูเล่ยก็เผลอยกมือขึ้นปิดปากแล้วหันหลังให้ทันที

   จากตอนนั้นมันก็นานมากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันและปฏิกิริยาของอังเดรเริ่มแปรเปลี่ยนแทบจะหน้าเป็นหลังมือ เขาไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าอาจจะเป็นเพราะอังเดรจำได้แล้ว เพราะติดใจมาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายชิงชังตนเองเพราะเรื่องของลามอนต์ อังเดรมักจะแสดงออกด้วยอารมณ์ด้านลบแม้ทุกสิ่งจะทำเพื่อรั้งเขาเอาไว้ก็ตาม แต่ใครจะนึกเข้าข้างตัวเองในสถานการณ์แบบนั้นได้กัน

   ทว่า...ก็ไม่อาจปฏิเสธ ว่าบางครั้งเขาเองก็เผลอไผลปล่อยใจให้คิดไปไกล แต่กลับไม่เคยเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริงและคิดว่าเป็นเพียงความหวังเลื่อนลอย

   เพราะไม่รู้ว่าควรตอบรับกับสถานการณ์ที่เชิญอยู่อย่างไร ซูเล่ยจึงเลือกเดินหนีไปเฉย ๆ

   “ฉันขอโทษ”

   แต่ถ้อยคำที่อังเดรเอ่ยต่อไปกลับทำให้ชะงัก เท้าทั้งสองหยุดเดินเสมือนกำลังรอฟังว่าเจ้าของคำขอโทษตั้งใจจะพูดอะไรต่อไป

   “ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง เพราะฉันเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าความรู้สึกของฉันจะได้รับการตอบรับ” การพูดด้วยน้ำเสียงของคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองดูไม่ใช่อังเดรเลยแม้แต่น้อย กระนั้น แม้ผู้ฟังจะหันหลังแต่ก็รู้ได้ว่ามันออกมาจากปากของผู้ชายคนนี้อยู่จริง ๆ “เพราะเหตุนั้น ฉันจึงพยายามจะทำเหมือนกับพ่อของเธอ...สร้างเงื่อนไขให้ต้องยินยอมทำตามโดยไม่รู้เลยว่าเธอต้องเป็นทุกข์เพราะวิธีการของเขามากแค่ไหน ฉันจึงมาที่นี่เพื่อถือโอกาสขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ทำลงไป”

   “...พ่อกับลอร์เรนมีส่วนด้วยสินะครับ” ซูเล่ยเดาได้ไม่ยาก เพราะอังเดรไม่มีทางรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ซ้ำยังเดินทางมาพร้อมกับลอร์เรนโดยทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นคู่หมั้นแบบนี้ คงเป็นแผนการใครอื่นไปไม่ได้นอกจากลามอนต์หรือตัวลอร์เรนเอง

   “ใช่ เรื่องนี้ฉันต้องยกความดีความชอบให้พวกเขา”

   หลังจากอังเดรยอมรับอย่างง่าย ๆ ทั้งสองต่างก็เงียบไป มีเพียงเสียงลมพัดผ่านต้นไม้สูงและผู้คนที่เดินผ่านไปมา จากตรงนี้ อังเดรมองเห็นเพียงแผ่นหลังเหยียดตรงของซูเล่ยโดยไม่เห็นการเคลื่อนไหวอื่นหรือสิ่งใดที่เป็นสัญญาณการยอมให้อภัยหรือปฏิเสธการคืนดี ชายหนุ่มร่างสูงสาวเท้าเข้าไปหาเมื่อไม่อาจเฝ้ารอให้เวลาเดินผ่านไปเฉย ๆ ได้และเมื่อเขาหยุดยืนข้างหลัง ก็เห็นว่าไหล่ของอีกฝ่ายสั่นไหวเล็กน้อย

   “ซู เราต่างรู้ว่าไม่มีทางยื้อเวลาเอาไว้ได้ตลอดไป ดังนั้นตอนนี้ถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือกบ้างแล้ว ว่าจะเดินจากไปและอีกไม่นานหลังจากนี้ฉันคงจะทำใจได้ที่จะลบเบอร์ของเธอออกไปจากโทรศัพท์ หรือหันกลับมาพูดอะไรสักอย่างให้ฉันรู้ว่าตัวเองยังพอมีหวังอยู่บ้าง”

   “เพิ่งมาให้ทางเลือกผมเอาตอนนี้ ไม่คิดว่าขี้โกงไปหน่อยหรือครับ?” ซูเล่ยเอ่ยก่อนขบริมฝีปากพยายามตัดสินใจทั้งที่รู้แต่แรกแล้วว่าควรจะเลือกข้อไหน แต่เขาก็เพียรที่จะหาข้ออ้างสักข้อหรือสองข้อให้ตนเองไปเลือกอีกทางหนึ่งถึงอย่างนั้นในที่สุดเท้าก็ค่อย ๆ พาเจ้าของหมุนตัวกลับมาหาผู้ให้ทางเลือกในวินาทีสุดท้าย แต่เขากลับไม่อาจทำใจเงยหน้าขึ้นมองสบตาเจ้าตัวตรง ๆ ได้ เพราะความรู้สึกร้อนวูบวาบบ่งบอกว่าใบหน้าของเขาตอนนี้กำลังระบายไปด้วยสีสันอย่างไร ซึ่งมันคงไม่น่ามองเอาเสียเลย

   แต่ทั้งที่หันมาแล้ว อังเดรก็ยังไม่ยอมพูดอะไรต่อและเฝ้ารอว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรต่อไป

   “แน่ใจหรือครับว่าอยากจะทำแบบนี้ เอเดรียนยังเล็กและต้องการแม่เป็นแบบอย่างซึ่งหน้าที่นั้นผมไม่มีทางทำได้ คุณก็รู้ดี”

   “ที่จริง...ถ้าเอเดรียนจะโตมาเป็นเหมือนกับลอร์เรน ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” อังเดรไหวไหล่ “เธอบอกว่าจะมาช่วยดูแลและสอนเรื่องต่าง ๆ ให้จนกว่าจะเข้าโรงเรียน และหลังจากนั้นก็จะคอยมาดูแลให้เป็นระยะ”

   ลอร์เรนน่ะหรือ?

   ซูเล่ยมุ่นคิ้วเล็ก ๆ แต่คิดอีกที หากเพื่อหลานสาวสุดที่รักแล้วลามอนต์คงไม่เดือดร้อนนักที่จะสละคนรู้ใจคนหนึ่งให้ไปคอยดูแลใกล้ชิด

   “งั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ” เมื่อหมดเรื่องพูดคุยต่อไป ซูเล่ยจึงขอปลีกตัวเพราะการยืนอยู่ต่อหน้าอังเดรเริ่มจะน่าอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่เป็นความอึดอัดคนละแบบกับที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้ แต่เพียงแค่หันหลัง ทั้งร่างก็พลันถูกรั้งเข้าไปในอ้อมแขนอุ่น แผ่นหลังของเขารู้สึกได้ถึงอกกว้าง และลมหายใจที่รินรดข้างแก้ม แค่นาทีเดียวที่เผลอตกตะลึงเพราะนาทีต่อมาสายตาของคนรอบข้างก็ปลุกให้ตื่นขึ้นในโลกของความเป็นจริง “อังเดร! คนอื่นเขามองอยู่นะ!”

   “ไม่เห็นเป็นไร เดี๋ยวคนพวกนี้ก็ลืมหน้าเราแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ...ฉันเพิ่งจะสารภาพรักเธอไปนะ ไม่คิดจะตอบอะไรหน่อยหรือ?”

   ซูเล่ยแทบสำลักลมหายใจตัวเองเมื่อได้ยิน

   “คุณบอกให้ผมเลือก ผมก็เลือกแล้ว นั่นไม่นับเป็นคำตอบหรือครับ?” อังเดรไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าเขาต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนเพื่อที่จะหันกลับมา ซึ่งสำหรับเขา สิ่งที่ทำก็เพียงพอจะเป็นคำตอบได้แล้ว กระนั้นสำหรับอังเดรกลับเห็นต่างออกไป

   “ถ้าอย่างนั้นฉันจะถามตรง ๆ ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มว่า “ซู...ชอบฉันหรือเปล่า?”

   อา...ให้ตายสิ...

   หากว่าสามารถระเบิดได้ ตัวซูเล่ยคงกระจายเป็นชิ้น ๆ เพราะความร้อนที่แล่นมากระจุกบนใบหน้าและหัวใจที่เต้นระรัวสูบฉีดเลือดอย่างแข็งขัน แต่ว่าหากไม่ยอมตอบ อังเดรก็คงคิดจะกอดอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุด...ซูเล่ยจึงกลั้นใจพยักหน้าและตอบรับเสียงแผ่วพลางคิดว่าแค่นี้อังเดรคงจะพึงพอใจและยอมปล่อยเขาไปได้แล้ว ทว่า...มันเป็นความคิดที่ผิดไปไกลโข

   ชายหนุ่มร่างสูงเผยรอยยิ้มขณะกระซิบเสียงนุ่มข้างใบหู

   “ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปคุยกันต่อข้างบนเถอะ” ว่าแล้วอ้อมแขนก็คลายออก เจ้าของคำเชิญชวนแสนหวานเหน็บรอยยิ้มแฝงเลศนัยก่อนผินหลังเดินนำกลับเข้าไปในโรงแรม

   ซูเล่ยมองตามพลางคิดในใจว่าบางทีอังเดรคงเริ่มติดใจนิสัยจอมบงการแบบลามอนต์จริง ๆ เสียแล้วกระมัง ทว่า...ทั้งที่เขาไม่ชอบนิสัยส่วนนี้เอาเสียเลย สองเท้าก็ยังนำพาเจ้าของให้ก้าวตามไป ไม่ใช่เพราะถูกบงการหรือสร้างเงื่อนไข แต่ซูเล่ยรู้ว่านี่คือสิ่งที่เขาอยากจะเลือกให้ตนเองโดยไม่จำเป็นต้องมีใครชี้นำ หรือมีข้ออ้างใดมาชักจูงใจ


END

เพลงเหลี่ยวเจี๋ยค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=EKyw9amIqWM#t=966 จริงๆตอนแรกจะเอาเพลงอ้าวหว่อ(เพลงที่2) หรือ เจว๋วู้(เพลงที่3) แต่รู้สึกว่ามันตรงไปหน่อย 555


ถึงเวลาทักทายช่วงท้ายเรื่อง

ในที่สุดเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงจุดจบที่ยาวกว่าที่คิดเอาไว้แล้วค่า ตอนแรกคิดว่าจะไม่ถึง20ตอนด้วยซ้ำไป XD เรื่องนี้คิดว่าน่าจะมีหลายๆคนหงุดหงิดกับการกระทำของอังเดรกับซูเล่ยอยู่บ้าง แหม่ ช่างเก็บช่างงำงุบงิบกันไม่เข้าเรื่อง แถมพ่อตาก็วุ่นวายตั้งแต่ต้นยันจบ มีแต่หนูเอเดรียนที่น่ารักน่าชัง แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่าอุปนิสัยของซูเล่ยไม่น่าจะแตกต่างจากนี้มากนักเมื่อคิดถึงสภาพแวดล้อมในสมัยเด็กที่ต้องมาอยู่ในบ้านของพ่อที่ไม่สนิทใจ ใครๆก็มองว่าเป็นส่วนเกิน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครต้องการอะไร ส่วนอังเดรก็คล้ายว่าผ่านประสบการณ์มาทำให้ต้องปรับตัวและซึมซับอุปนิสัยบางอย่างมาจากมารีนโดยไม่รู้ตัว

ซึ่งสุดท้ายทั้งสองก็จบลงได้ด้วยดี (จริงๆแล้วเอเดรียนก็เป็นกาวใจอยู่เบาๆ 555) ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามมาจนถึงจุดนี้ แม้ว่าเซียร์จะเขียนนิยายรักได้ไม่ดีนัก (คราวหน้ากลับไปเขียนเคะควีนเหมือนเดิมดีกว่า /เอ๊ะ) ถ้าหากว่ามีข้อติชมอะไรสามารถบอกได้เสมอนะคะ แล้วเซียร์จะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ส่วนถ้าส่วนไหนที่เซียร์จงใจให้เป็นแบบนั้นก็จะเขียนอธิบายเอาไว้ให้ หรือถ้าอยากจะแนะนำตัวต่อตัวก็สามารถไปพูดคุยกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/ZiarNovel เซียร์เช็คเพจแทบทุกวันอยู่แล้วค่ะ XD

ส่วนเรื่องการเปิดจอง อาจจะช้าสักหน่อยนะคะเพราะยังไม่ได้ทำปกเลย ;w; สามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจ https://www.facebook.com/ZiarNovel เช่นกัน สุดท้ายนี้อยากถามทุกท่านว่า อยากให้มีภาพประกอบในเล่มด้วยหรือเปล่าคะ สัก4-6ภาพ (คงมีปัญญาวาดได้แค่นั้น 555) ส่วนตอนพิเศษไม่ต้องห่วงนะคะเพราะคิดเอาไว้ในใจแล้วค่ะ - -+

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ชอบมากกกกกกกก รอรวมเล่ม ขอให้ reprint เรื่องเก่าด้วยนะคะ พลาดไปเรื่องหนึ่ง
ขอบคุณคนแต่งมาก ๆ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจมากค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด