Special : Wedding
ในช่วงชีวิตคนเราสักชีวิตหนึ่งจะมีสักกี่วันที่สามารถพูดได้ว่าเป็นวันอันแสนสุขราวกับเทพนิยาย ซึ่งหลายคนคงจะคิดถึงวันต่าง ๆ ในชีวิตและมากกว่าครึ่งในจำนวนนั้นอาจจะตอบว่าเป็นวันที่เขาและคนรักได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าได้ตอบรับเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน ได้อยู่เคียงข้างกันนับจากนี้จนถึงวันสิ้นลม แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคู่ที่สามารถรักษาสัตย์สาบานได้ ทว่า...มันกลับเป็นวันที่พวกเขาไม่มีวันลืมลงแม้จะต้องเลิกราหรือตายจากกันไป ทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ บทเพลงแสนหวาน และถ้อยคำสาบานรักจะยังคงตราตรึงในหัวใจ
ด้วยภาพฝันอันสวยงามนั้น ทำให้ผู้หญิงทุกคนต่างวาดฝันว่าอยากจะสวมชุดเจ้าสาวสีขาว จูงมือคนรักเดินเข้าพิธีวิวาห์ เช่นเดียวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เลิกคิดฝันถึงหวามหวังอันเลิศหรูมานานแสนนานเพราะความพลาดพลั้งในวัยเยาว์ กระนั้น ในวันนี้เธอกลับได้รับโอกาสอีกครั้งโดยไม่ทันคาดคิด
“แต่งงานตอนแก่แบบนี้น่าอายจริง ๆ” เยว่ซินรำพึงในชุดเจ้าสาวสีขาวที่ดูเรียบร้อยแตกต่างจากชุดแต่งงานสมัยนิยมที่พบเห็นได้ทั่วไป
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงตอบรับพ่อล่ะครับ” ซูเล่ยเอ่ยถามขณะมองลอร์เรนช่วยแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าให้แก่แม่ของตน ตอนนี้อายุอานามเยว่ซินก็ปาเข้าไปสี่สิบกว่าใกล้ห้าสิบแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังคงความอ่อนเยาว์จนไม่น่าเชื่อถึงจำนวนเลขบอกอายุ เมื่อถูกแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางจึงยิ่งดูสดสวยประหนึ่งหญิงสาวในวัยเพียงสามสิบต้น ๆ พอไปยืนคู่กับลามอนต์คงดูคล้ายพ่อลูกมากกว่าคู่แต่งงาน
“ก็แม่ไม่คิดว่าเขาจะจัดงานจริง ๆ ถึงจะเป็นงานเล็ก ๆ ก็เถอะ” หญิงสาวมองเงาตัวเองในกระจกอย่างเขินอาย นานเท่าไหร่แล้วนะที่เธอไม่ได้สัมผัสกับเครื่องประทินโฉมจนคุ้นชินกับใบหน้าที่แสนจืดชืดของตน พอถูกตบแต่งแบบนี้แล้วช่างดูแปลกตาดีจริง “แต่แม่ก็รู้สึกดีใจนะที่ลูกกับอามาร่วมงานด้วย ตอนแรกแม่คิดว่าทั้งสองคนจะไม่เห็นด้วยและคัดค้านหัวชนฝาเสียอีก”
ผู้ฟังหลุบตาเล็กน้อย หากเป็นก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เหมือนจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ถึงความเสียดายวันเวลาที่ผ่านเลยไปและไม่อาจดึงรั้งให้ย้อนคืนมาได้ แม้จะไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังแต่หากได้รับโอกาสก็อยากจะไขว่คว้าเอาไว้เพื่อที่จะปลูกสร้างความทรงจำที่ดีต่อไปในอนาคตหลังจากนี้และชดเชยเวลาที่ต้องจากไกลกัน
งานแต่งงานแบบตะวันตกเป็นที่นิยมเสียจนไม่มีใครนึกผิดแปลกแม้คู่แต่งานจะไม่ได้นับถือคริสตศาสนา พวกเขาจะถูกตระเตรียมให้พร้อมสำหรับขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อวันจริงจะได้ผ่านไปอย่างราบรื่น
และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง งานแต่งเล็ก ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นของชายเจ้าของธุรกิจใหญ่โตแต่ก็เป็นความต้องการของคนทั้งคู่ที่ต้องการเพียงการจัดงานโดยไม่ได้สนใจจะประกาศให้โลกได้รับรู้จึงมีเพียงแขกเหรื่อไม่กี่คนซึ่งนับหัวได้เกินจำนวนนิ้วมือเพียงเล็กน้อย
เสียงดนตรีคลอเบาจากแป้นเปียโนในโบสถ์หลังน้อยที่ประดับประดาด้วยช่อดอกไม้สีขาวและริบบิ้น เจ้าบ่าวในชุดสูทดูเคร่งขรึมยืนอยู่หน้าแท่นพิธีพร้อมกับบาทหลวงสูงวัยท่าทางอารี แต่สายตาของแขกเหรื่อรวมถึงเจ้าบ่าวกลับไม่ได้จดจ่อที่แท่นบูชาแต่เป็นประตูทางเข้าโบสถ์ซึ่งเปิดกว้าง การปรากฏตัวของเจ้าสาวพร้อมกับบุตรชายซึ่งทำหน้าที่แทนบิดาผู้ล่วงลับ
ซูเล่ยประคองมือแม่ก้าวเข้าโบสถ์โดยมีเอเดรียนแต่งตัวเป็นนางฟ้าตัวน้อยคอยถือชายกระโปรงเดินตาม หญิงสาวข้างตัวเขางดงามอย่างหาใดเปรียบได้ในวันอันแสนพิเศษเช่นวันนี้ ทำให้เขารู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อยที่ถูกขอให้ทำหน้าที่สำคัญ
ลามอนต์รับเจ้าสาวของตนจากการมอบหมายของบุตรชาย ออกจะเป็นพิธีที่แปลกอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่มีใครนึกคัดค้านเมื่อเยว่ซินเสนอ
ชายหนุ่มร่างเล็กทอดสายตามองแผ่นหลังบอบบางของผู้เป็นแม่ที่ยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวหน้าแท่นพิธีที่บาทหลวงยืนรออยู่ และเมื่อเขาหาที่นั่งเรียบร้อย พิธีก็ดำเนินไปท่ามกลางคำสาบานรักตามตำรา เมื่อถึงช่วงนั้นน้ำตาก็พานจะรื้นไหลแต่เมื่อคิดจะยกมือขึ้นปาดก็กลับมีมือข้างหนึ่งกุมลงมาอย่างแผ่วเบาจนรู้สึกถึงไออุ่นที่แผ่ซ่าน ซูเล่ยเหลือบมองข้างตัวและเห็นรอยยิ้มของอังเดร
“รับครับ” เสียงตอบรับคำสาบานของเจ้าบ่าวกลับเปล่งจากริมฝีปากของชายหนุ่มข้างกาย จากนั้นเมื่อบาทหลวงหันมาถามเจ้าสาว อังเดรก็ทำสายตาให้เขาพูดรับเช่นกัน แต่ซูเล่ยกลับเม้มปากนิ่งเพราะกระดากอายเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนั้น และคล้ายว่าอีกฝ่ายจะเดาใจได้จึงกระซิบข้างหูว่า “แค่พยักหน้าก็ได้” เมื่อได้ยินดังนั้นซูเล่ยจึงฝืนพยักหน้าน้อย ๆ โดยพยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็น
จากนั้นอังเดรก็ทำในสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิด แสงที่สะท้อนจากวัตถุเล็ก ๆ ในกล่องใบจิ๋วทำให้นึกสงสัยในวูบแรก แต่แล้วนาทีต่อมา มันก็ถูกสวมประดับบนนิ้วของเขา แหวงสีทองวงเล็บเรียบไร้รอยต่อคือแหวนแต่งงานที่มีความหมายถึงความรักที่ไร้จุดสิ้นสุด ซูเล่ยถึงกับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกได้แต่จับจ้องแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายราวกับว่ามันเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
“...ขอโทษนะครับ ผมไม่มี...” พูดยังไม่ทันขาดคำ ซูเล่ยก็รู้สึกถึงปลายนิ้วที่สะกิดจากด้านหลัง และเมื่อเขาหันไปก็เห็นลอร์เรนส่งยิ้มพร้อมกล่องใส่เครื่องประดับใบน้อยมาให้จึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นการวางแผนมาก่อนแล้วระหว่างคนทั้งสอง กระนั้นสายตาคะยั้นคะยอก็ทำให้เขาต้องรีบรับเพราะไม่อยากให้ใครบังเอิญหันมาเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ในระหว่างพิธีของคนอื่น
หลังจากสวมแหวนให้เรียบร้อยแล้วก็มาถึงช่วงท้าย
“จูบเจ้าสาวได้”
ทันใดนั้นซูเล่ยก็รีบหันมองอังเดรด้วยความหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่บ้าจี้ทำตาม ซึ่งก็โล่งใจขึ้นหลายเปราะเมื่อเห็นคนข้างตัวเพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าโดยจับมือเขาอย่างเงียบงัน
เมื่อเสร็จสิ้นพิธี เจ้าบ่าว เจ้าสาว และแขกเหรื่อก็พากันออกมาข้างนอกเพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ถึงแม้เจ้าบ่าวจะบอกว่าไม่จำเป็นก็ตาม
และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญอีกช่วงหนึ่งนั่นคือการโยนช่อดอกไม้ และเพราะมีคนเป็นแขกจำนวนน้อยจึงไม่จำเป็นต้องโยนให้ตื่นเต้น เยว่ซินเดินไปยื่นช่อดอกไม้ให้แก่ลอร์เรนซึ่งเพิ่งจะผ่านงานหมั้นไปไม่นานและกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“ขอบคุณค่ะคุณหลี่ อ๊ะ! ไม่สิ จากนี้จะเป็นคุณนายเวสลอยด์แล้วสินะคะ” ลอร์เรนกล่าวขอบคุณแล้วหัวเราะคิกคัก
“ไม่เป็นไรจ้ะ ที่จริงแล้วงานนี้ต้องขอบคุณหนูอยู่หลายอย่างที่ช่วยจัดแจงจนเข้าที่เข้าทางในเวลากระชั้นชิดขนาดนี้ ซ้ำยังยอมฟังความเอาแต่ใจของคุณลามอนต์เขาด้วย” เมื่อถูกโยนความผิด ลามอนต์ก็ปั้นสีหน้าขรึมเคร่งเครียดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและในนาทีต่อมาก็คลายลงเป็นสีหน้าผ่อนคลายเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของภรรยา ลูกหลาน และคนใกล้ชิดรอบตัว
“แต่ว่านอกจากแล้วฉันก็มีคนที่มีข่าวดีอยู่อีกนะคะ” หญิงสาวมองไปทางซูเล่ย และโดยไม่ได้นัดหมายไว้ก่อนเธอก็ส่งช่อดอกไม้ให้เอเดรียนท่ามกลางความสงสัยของคนรอบข้างและกระซิบว่า “เอาไปให้ชูเลย์แล้วขอให้กลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกันสิจ๊ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยในชุดนางฟ้าฟูฟ่องพยักหน้าแข็งขันก่อนนำช่อดอกไปให้พี่เลี้ยงของตนที่ยืนอยู่ห่างไกลจากกลุ่มคน
“ซู!” เธอร้องและยืนตรงหน้าอดีตพี่เลี้ยงซึ่งตอนนี้ย้ายกลับไปอยู่ในเพนเฮาส์เป็นการชั่วคราว เด็กหญิงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่กลับมาอยู่ด้วยกันดังเดิมเสียที “เอเดรียนให้ซูนะ แล้วกลับมาอยู่บ้านด้วยกัน กับแดดดี้กับเอเดรียน” เธอว่าพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้แต่งงานสวยหวานให้แก่อดีตพี่เลี้ยง รอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาที่ส่งมาพร้อมกับช่อบูเก้พาให้ผู้รับปฏิเสธไม่ลงแต่ก็ไม่ได้ตอบรับเช่นกัน
ซูเล่ยลูบผมสีน้ำตาลนุ่มสลวยเมื่อรับช่อบูเก้สีขาวมาไว้ในมือก่อนจะทอดสายตามองไปยังอังเดรซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลและกำลังพูดคุยกับบ่าวสาวอยู่ ดูเหมือนเจ้าตัวจะลดอคติที่มีต่อพ่อตาไปได้มากพอสมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันยอมอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมถึงขนาดนี้ แต่ตัวเขาเอง...กลับคล้ายยังมีความไม่แน่ใจอยู่ทำให้ยังไม่สามารถกลับไปอยู่ในสถานะเดิมได้อย่างสนิทใจ
แต่ทว่า...
แหวนสีทองแวววาววงเล็กดูไม่มีราคาค่างวดมากมายประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย ทุกครั้งที่เหลือบมองความอุ่นซ่านก็แผ่นเข้ามาจนล้นอกเสียจนเกรงว่าตนเองจะสำลักความสุขที่โถมถั่งหลั่งรดลงมา
---------------------------->
งานเลี้ยงตอนค่ำถูกจัดให้เป็นการร่วมโต๊ะอาหารมื้อพิเศษในบ้านหลักของเวสลอยด์ เยว่ซินและลอร์เรนปรากฏตัวขึ้นในชุดราตรีสีหวาน เจ้าสาวของคืนนี้ยังคงเป็นตัวเด่นที่ทุกคนจับจ้องและกล่าวแสดงความยินดีไม่ขาดปากแม้จะเป็นคำที่พูดมาแล้วตลอดทั้งวันแต่เมื่อได้ยินก็ยังพาให้สุขใจ
เสียงดนตรีคลอเบาหวานแว่วถูกคัดเลือกมาโดยอังเดรและอาร์เลนผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีคลาสสิกและลีลาศ และดาริลก็มาช่วยทำหน้าที่เกี่ยวกับเครื่องดื่ม ทำให้บรรยากาศในห้องอาหารเล็ก ๆ ดูคล้ายเป็นงานเลี้ยงแต่งงานในโรงแรมหรูหรา ลามอนต์เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ยอนดีต่อบรรยากาศเช่นนี้มากนักเพราะคุ้นชินแต่ภาพลักษณ์ทางการที่มีองค์ประกอบเท่าที่จำเป็น แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอหนักเข้า เจ้าตัวก็ยอมเต้นรำกับเจ้าสาวเพลงหนึ่งก่อนจะพาตัวกลับไปนั่งโต๊ะเช่นเดิมและปล่อยให้คนอื่น ๆ สนุกสนานไปตามสะดวก
“แม่ตกใจพอควรเลยนะตอนได้ยินเรื่องลูกกับคุณแอชฟอร์ด” เยว่ซินกล่าวขึ้นพลางโยกตัวไปตามการนำของลูกชายซึ่งไม่ประสีประสาเรื่องการเต้นรำนัก
“จากลอร์เรนหรือครับ?” ซูเล่ยเลิกคิ้วเพราะเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่ด้วยตนเอง แปลว่าจะต้องได้ยินจากปากคนอื่นแน่นอน ซึ่งคนอื่นที่ว่าก็ไม่มีให้คาดเดามากนัก
“ที่จริงแล้วแม่เป็นคนถามลอร์เรนเอง เขาสินะที่ทำให้ลูกเป็นทุกข์ใจตอนที่กลับบ้าน แล้วตอนนี้ตกลงปลงใจกันแล้วหรือ?” หญิงสาวแย้มยิ้มอ่อนโยนขณะสัมผัสแหวนสีทองเกลี้ยงเกลาบนนิ้วเรียวยาว
“จะว่าแบบนั้นก็ใช่ครับ” เมื่อไม่รู้จะปิดบังต่อไปทำไมจึงได้แต่ยอมรับอย่างเรียบง่าย
“แต่ก็แปลกนะที่แม่รู้สึกว่าลูกยังไม่เปิดใจยอมรับเต็มที่”
มันชัดเจนถึงขนาดนั้นเชียวหรือ…
ความลังเลที่ยังสุมอยู่ในอกคล้ายว่าพยายามกระตุ้นเตือนให้รู้สึกตัวถึงเงื่อนไขเล็ก ๆ คล้ายเสี้ยนที่ตำนิ้วและฝังอยู่ใต้ผิวหนังไม่อาจบ่งออกได้ เมื่อใดที่สัมผัสถูกก็จะรู้สึกเจ็บแต่ก็จำต้องปล่อยมันไว้เช่นนั้น แม้จะเป็นเพียงชิ้นส่วนชิ้นเล็กจิ๋ว แต่หากถูกย้ำอยู่บ่อยเข้าก็พาให้ใจคอยกระหวัดกลับไปหาเสียทุกที เหมือนเช่นทุกครั้งที่มองดูอังเดรและเอเดรียน เสี้ยนเล็ก ๆ ในใจก็เสียดแทงเนื้อบางจนต้องเผลอหลบตา
หลังจากเต้นรำกับเยว่ซินและลอร์เรน ซูเล่ยก็ดื่มดอกเทลไปสองแก้วก่อนเดินออกมารับลมที่ระเบียงด้านนอกเพราะเริ่มรู้สึกกรึม ๆ
ระเบียงด้านนอกเย็นเฉียบเพราะลมยามค่ำบ่งบอกถึงฤดูกาลที่เวียนผ่านไปใกล้ครบหนึ่งปีที่เขาและอังเดรได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากกันยาวนาน แต่ในช่วงเวลาครึ่งปีนี้กลับมาหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเสียจนเวลาห้าปีนั้นแทบจะกลายเป็นฟองว่างเปล่าที่ลอยฟุ้งไร้แก่นสาร
แสงจันทร์ลอยกระจ่างส่องแสงกระทบบนแหวนกลมเกลี้ยงอย่างเงียบงัน ที่จริงแล้วมันค่อนข้างจะหลวมไปนิดหน่อยคงจะเทียบจากนิ้วลอร์เรนแล้วกะให้อวบกว่าเล็กน้อยกระมัง เขาคิดเช่นนั้นและคิดจะถอดออกมากลิ้งดูเล่น แต่แล้วกลับมีสิ่งอื่นแทรกเข้ามาในมุมมอง เป็นมือใหญ่ที่ทาบลงบนหลังมือ แหวนแบบเดียวกันแต่ขนาดใหญ่กว่าปรากฏอยู่เคียงข้างแหวนวงเล็กเมื่อเรียวนิ้วสอดประสานและกุมมือของเขาเอาไว้จนความเยียบเย็นในบรรยากาศถูกไล่หายไปสิ้นเหลือแต่เพียงความอุ่นของฝ่ามือ
“จะรีบถอดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามก่อนจูบข้างขมับด้วยความเอ็นดูรักใคร่ ซูเล่ยเผลอเกร็งไหล่เล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวแต่ในเวลาต่อมาก็ผ่อนคลายดังเดิม
“ผมแค่รู้สึกว่ามันหลวมไปหน่อย” เขาว่าตามตรงซึ่งความจริงก็ไม่ถึงกับหลวมหลุดจากนิ้วแต่ก็ไม่พอดี
“เพราะว่าเธอผอมลงต่างหาก” อังเดรยิ้มพลางพลิกฝ่ามืออีกฝ่ายพิจารณา “ได้ยินว่าตอนกลับไปอยู่ที่บ้านกินอะไรไม่ค่อยลง”
ทำไมคนรอบข้างเขาถึงชอบเล่าสู่กันฟังนักนะ
ซูเล่ยอดจะรู้สึกคับข้องใจขึ้นมาไม่ได้
“แล้วเมื่อไหร่ถึงจะตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้านฉันเหมือนเดิม” หัวข้อเข้าสู่ประเด็นหลักอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้อีกคนหนึ่งตั้งตัวเตรียมใจก่อนจะหมุนแหวนบนนิ้วที่เจ้าของบอกว่าค่อนข้างหลวม “ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้อยากจะบังคับคะยั้นคะยอ แต่การที่เธอยอมรับความเอาแต่ใจของฉันระหว่างพิธีแต่งงานแปลว่าไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรกับการคบหากับฉันอย่างเปิดเผยไม่ใช่หรือ?”
ดวงตาสีดำหลุบลงต่ำไม่คิดปฏิเสธในสิ่งที่อังเดรสรุป
“ที่จริงแล้วผมยังรู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลา” เสี้ยนที่ฝังอยู่ในใจเริ่มปรากฏโฉมทีละน้อย “เอเดรียนยังเด็กถึงจะไม่คิดอะไรที่มีผมอยู่ในตอนนี้ แต่อนาคตเมื่อมีคนถามขึ้นมาเธอคงจะลำบากใจที่จะตอบเมื่อรู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้ผิดไปจากวิถีสังคมปกติ”
“แต่ถึงจะแยกกันอยู่ก็ไม่ได้ทำให้ปัญหานี้หมดไปเพราะเอเดรียนก็ต้องรู้ในที่สุดว่าพวกเราเป็นอะไรกัน” อังเดรแจงพลางถอนหายใจ “แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะเลิกกับฉันเพื่อแก้ปัญหาหรือเปล่า? หรือว่าควรจะจัดการให้ทุกอย่างลงตัวและทำให้เอเดรียนเข้าใจเสียตั้งแต่แรก”
เรื่องเลิกรา...หากเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะทำ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ยอมรับของแหวนมาและไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่แห่งนี้อีก ถึงอย่างนั้น หลายต่อหลายครั้งที่อยากจะตอบรับคำเชิญชวนของอังเดร ทว่าเสี้ยนเล็ก ๆ ที่ทิ่มแทงก็ทำให้ต้องขอยืดเวลาออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้
“ซู ฉันรักเธอและฉันก็ไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง ส่วนเอเดรียนก็ต้องการคนดูแลใกล้ชิด สักวันหนึ่งเมื่อลอร์เรนมีลูกของตัวเองคงไม่สามารถมาทำหน้าที่นี้ได้เหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา ฉันเองก็มีงานต้องทำจึงไม่มีเวลามากนัก แล้วเธอจะปล่อยให้เอเดรียนเคว้งคว้างโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่งพิงทางใจหรือ?” อ้อมแขนอุ่นโอบกอดแนบชิด ใบหน้าคมแนบบนผิวแก้ม คงจะเป็นเรื่องโกหกหากซูเล่ยพูดว่าตัวเองไม่รู้สึกเขินอายเลยในสถานการณ์แบบนี้ แต่เหนือจากความเขินอายและหัวใจที่เต้นแรง เขารู้สึกอุ่นใจเสียจนอยากหลับตาลงและหลอมละลายไปทั้งอย่างนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่ต้องมานั่งคิดกังวลถึงอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“คุณก็รู้ว่าผมใจอ่อนกับเรื่องเอเดรียนเสมอ” เขาแก้ตัว “วันนี้เอเดรียนเอาช่อดอกไม้มาให้ผมแล้วขอให้กลับไปอยู่ด้วยกัน เหมือนกับพยายามขอผมแต่งงานยังไงอย่างงั้น คุณเสี้ยมสอนมาหรือครับ?”
“ลอร์เรนต่างหาก อย่าโยนความผิดมาให้ฉันหมดสิ” เจ้าของร่างสูงหัวเราะในคอ “อา..ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ รอตรงนี้เดี๋ยวนะ” ว่าแล้ว อังเดรก็ปล่อยซูเล่ยแล้วผลุบหายเข้าไปด้านใน ไม่นานหลังจากนั้นก็ย้อนกลับมาพร้อมช่อบูเก้ช่อเดียวกับเมื่อตอนเช้า
ในระหว่างที่ซูเล่ยยังไม่ค่อยเข้าใจ อังเดรก็คุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับยื่นช่อบูเก้มาให้
“ถึงจะข้ามขั้นตอนไปสักหน่อยก็เถอะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “ซูเล่ย จะแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?”
คำขอที่กะทันหันและดูไม่เข้าสถานการณ์ทำให้ผู้ถูกถามชะงักไป
“แต่ว่ามีเงื่อนไข” ซูเล่ยไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร อังเดรก็ขัดจังหวะเสียก่อน “ถ้าเธอตอบรับจะต้องมาอยู่กับฉัน แต่ถ้าเธอปฏิเสธฉันก็จะทำให้เธอตอบรับอยู่ดี”
ถึงแม้จะดูกึ่งบังคับ แต่ก็คล้ายว่าอีกฝ่ายรับรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ทำได้แค่เลื่อนเวลาให้คำตอบออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งครั้งนี้อังเดรคงไม่ยินยอม เพราะถึงกับให้แหวนมาอย่างนี้แล้วก็บ่งบอกอยู่กลาย ๆ ว่าตั้งใจจะผูกมัดอย่างเปิดเผย
ซูเล่ยรับฟังเงื่อนไขก่อนหลบตาเพราะใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย
“ผมก็ตอบรับไปแล้วไม่ใช่หรือครับ” เขาพูดถึงคำสาบานในพิธีแต่งงาน การตอบรับในเวลานั้นก็คือการตอบรับการเป็นคู่ชีวิต แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับอังเดร
“ตอนนั้นเธอแค่พยักหน้า ไม่ได้พูดตอบรับเสียด้วยซ้ำ”
ผู้ฟังอึกอักแต่เมื่อไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงต่อไปทำไมจึงต้องยินยอมตามที่อีกฝ่ายต้องการด้วยเกรงว่าจะมีคนผ่านมาเห็นเข้าเสียก่อน
“ครับ...ผมตกลง”
เป็นแค่คำตกลงสั้น ๆ แต่เมื่อพูดออกไปซูเล่ยก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักหนักอึ้งของมัน เพราะคำสัญญาได้พ่วงมาด้วยเงื่อนไขของการร่วมชีวิตที่เกิดจากการพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่คบหาอย่างผิวเผินไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าวันใดจะอยู่หรือจะไปจากกัน
ในที่สุดอังเดรก็ลุกขึ้นและส่งบูเก้ให้ซูเล่ยถือ
“ยังมีอีกขั้นตอนที่เรายังไม่ได้ทำ” เขาว่าพลางไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากแห้งผากซีดเซียวเพราะอากาศเย็นในยามค่ำ ซูเล่ยสามารถรับรู้จากภาษากายได้ทันทีว่าขั้นตอนนั้นคืออะไรจึงไม่ได้ขัดขืนเมื่อเห็นใบหน้าคมโน้มลงมาหา ริมฝีปากร้อนแนบสนิทขับไล่ความเย็นออกไปเสียจนรู้สึกได้ถึงเลือดฝาดไหลขึ้นมารวมตรงจุดที่ถูกสัมผัสแนบแน่น นานหลายนาทีที่ทั้งความคิดและจิตสำนึกถูกดึงเข้าสู่ห้วงสเน่หาอันล้ำลึก เสี้ยนเล็ก ๆ ที่ฝังค้างอยู่ภายในได้ละลายหายไปทีละน้อยจนหมดสิ้น
...ขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณ...
...ทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ ในเวลาป่วยไข้และเวลาสบาย...
...จะรัก ยกย่อง และให้เกียรติคุณตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่...
END
แถมตอนพิเศษให้นักอ่านผู้น่ารักทุกท่านค่า~ หวังว่าจะทำให้ทุกคนอิ่มอกอิ่มใจกับคู่นี้ได้มากขึ้นนะคะ ^ ^