CHAPTER 3
“วันแรก” “เป็นเด็กดีนะพระพาย”
“ค่า”
“พี่เขาบอกอะไรก็เชื่อฟัง อย่าดื้ออย่าซนนะคะ”
“ได้ค่า”
“ถ้ามีปัญหาอะไรโทรหาน้านะ แล้วก็...”
“คุณเพชรไม่ไปทำงานเหรอครับ” ผมแทบจะหันไปแยกเขี้ยวใส่เสียงทุ้มๆ ที่เอ่ยออกมาขัดขณะที่ผมกำลังย้ำสิ่งที่เจ้าตัวเล็กของบ้านควรทำ “พระพายไม่ดื้อไม่ซนกับผมหรอก เนอะ?”
“ใช่ค่า~” ผมกัดฟันกรอดเมื่อหลานรักหันไปพยักหน้ากับพี่เลี้ยงเด็กมาใหม่
ฮึก... กูช้ำใจ ทำไมหลานรักทำกับผมแบบนี้ครับพี่เพลง ดูสิ เจอพี่เลี้ยงเด็กหน้าตาดีกว่าน้า ตัวสูงกว่าน้า ผิวขาวกว่าน้าและเด็กกว่าน้าเขาหน่อยลืมผมเลยซะงั้น!
ผมแอบจิ๊ปากอย่างหมั่นไส้เจ้าฟ้าคราม พอมั่นใจว่าหลานจะเป็นเด็กดีแล้วผมถึงหันมากำชับพี่เลี้ยงเด็กแทนด้วยเสียงเข้มนิดหน่อย (อันนี้ปนด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อย แย่งความรักจากพระพายได้ไง!)
“พระพายทานข้าวกลางวันตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง ไม่ใช่เด็กกินจุกจิกเพราะผมฝึกนิสัยไว้ แต่พอประมาณบ่ายสามหาอะไรให้เขาทานหน่อยก็ดีนะ”
“ครับ” พี่เลี้ยงเด็กคลี่ยิ้ม
“ถ้ามีปัญหาอะไรโทรมาหาผมนะ”
“ครับ”
“โอเค...” ผมพยักหน้าเมื่อดูท่าทีแล้วร่างโปร่งคนนี้น่าจะไว้ใจได้พอควร “งั้นผมไปล่ะ”
ผมว่าก่อนที่จะก้มลงหอมพระพายเบาๆ ที่แก้มซ้ายแก้มขวา หลานก็ทำเหมือนกันเพราะผมบอกแกว่ามันคือกฎของบ้านซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อเราจะแยกกัน
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งหน้าบ้านนะ”
“พระพายไปด้วย~” ได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ้มร่า จับมือพระพายพร้อมกับเอื้อมมือลงไปหยิบกระเป๋าใส่เอกสาร แต่มือของใครบางคนฉวยมันไปเสียก่อน
“ผมช่วยถือครับ”
“ขอบคุณมาก” ผมไม่ปฏิเสธการหวังดีของพี่เลี้ยงเด็กหรอกนะ
วันนี้เป็นวันแรกที่พระพายปิดเทอม ที่ทำงานของผมเข้าตอนเก้าโมงตรง เพราะฉะนั้นผมไม่สามรถออกจากบ้านเกินแปดโมงได้อย่างเด็ดขาด ผมนัดพี่เลี้ยงเด็กไว้ตอนเจ็ดโมงสี่สิบห้านาที แต่หมอนี่กลับมาเร็วกว่าเวลานัด (อีกแล้ว) เลยให้มานั่งดูแลพระพายขณะที่ผมจัดการตัวเองเสียเลย
...อืม อันที่จริงข้าวเช้าวันนี้ผมก็ได้อานิสงค์จากฟ้าครามด้วยน่ะนะ ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจจะตื่นเช้ามาทำอาหารให้หลานแท้ๆ เลย
“ตั้งใจทำงานนะครับ”
“อือ” ผมพยักหน้าและรับกระเป๋ามาถือเองเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบหน้าผากพระพายอีกที
“บ๊ายบายคุณน้าสิจ๊ะ”
“บ๊ายบายค่า~” พระพายทำตามที่พี่เลี้ยงบอกอย่างว่าง่าย
ผมยิ้มกับภาพนั้นก่อนที่จะเดินออกจากบ้านไปที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆ เพื่อที่ทำงานอย่างมีความสุข อา อย่างกับครอบครัวสุขสันต์
...
ชิบหายละ เผลอรวมพี่เลี้ยงเด็กมาเป็นแม่ตอนไหนวะ?
“เพชรคะ ไปทานข้าวด้วยกันมั้ย?”
ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงหวานๆ ที่เรียกชื่อตัวเองก่อนที่จะยิ้มรับ “ได้ครับ”
หญิงสาวยิ้มหวานตอบกลับมาก่อนที่จะเรียกเพื่อนสองสามคนไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน เธอคงกลัวว่าจะออกตัวแรงไปจนผมรู้ตัว ซึ่งอันที่จริงผมรู้แล้วน่ะนะ...
ปลายรุ้งเป็นผู้หญิงที่ผมรู้จักตอนที่เข้ามาทำงานที่นี่เมื่อเดือนก่อน ว่าตามจริงก็เป็นคนน่ารักอยู่หรอก มนุษย์สัมพันธ์ดี วางตัวดี หน้าตาก็ไม่ใช่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร เธอบังเอิญอายุเท่าผมและทำงานในแผนกเดียวกันเลยทำให้คุยกันง่ายขึ้น หล่อนไม่ค่อยปิดบังเท่าไหร่ว่าชอบพอผมอยู่ แต่ไม่เข้าหาอย่างน่าเกลียด
...ถ้าเป็นสมัยมหา’ ลัยผมคงจะรุกคืบเธอตอบอยู่หรอก แต่ตอนนี้ผมมันเสื้อสิ้นลายแล้วนี่นา มีลูกต้องเลี้ยงหนึ่งคน ไม่อยากหาภาระมาให้ตัวเองเพิ่มเท่าไหร่
ว่าก็ว่าเถอะ สมัยตอนเรียนป. ตรีผมนี่เจ้าชู้ตัวพ่อเลย คบใครได้ไม่เคยเกินสี่เดือนเป็นอันว่าผมต้องปันใจไปหาคนใหม่ซะทุกราย ตอนนั้นนี่มีปัญหารถไฟชนกันบ่อยๆ ผมก็ไม่ได้เข้าหาใครตอนคบกับคนหนึ่งอยู่นะ แต่ถ้ามีคนเข้ามาก็สนองเท่านั้นเอง พอไปต่อโทผมก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปเลย แต่ก็มีบ้างแหละ... แค่ไม่ได้วุ่นวายเท่าก่อนหน้าเท่านั้นเอง
“เพชรอยากทานอะไรคะ” สาวเจ้าเอ่ยปากถาม
“อะไรก็ได้ครับ แล้วแต่รุ้ง” ผมตอบยิ้มๆ ปลายรุ้งหันไปถามเพื่อนชายหญิงอีกสามคนก่อนที่จะได้ข้อสรุปเป็นข้าวแกงแถวๆ บริษัทนั่นแหละ ยังไงที่นี่ก็มีร้านอาหารไม่เยอะเท่าไหร่เสียด้วย
“จริงสิเพชร แล้วนี่หาพี่เลี้ยงเด็กให้หลานได้แล้วเหรอ” พี่ที่ทำงานร่างท้วมตามประสาผู้ชายมีครอบครัวแล้วเอ่ยปากถามออกมาขณะที่เรารออาหารมาเสิร์ฟ
“อ๋อ... ครับ” ผมตอบไปตามเรื่อง
“ไม่คิดจะหาพี่เลี้ยงถาวรบ้างรึไง”
ผมขมวดคิ้ว “หมายถึง?”
“ก็เมียไง!”
คำเฉลยทำให้ผมหัวเราะออกมาก่อนที่จะส่ายหน้า “ยังไม่มีแพลนหรอกครับ”
“จะสามสิบแล้วนา” รุ่นพี่อีกคนผสมโรง “ไม่คิดจะหาบ้างเหรอ... สบายนะเว้ย”
ผมอยากจะตอบกลับไปว่ามันสบายจริงๆ เหรอ มีเมียนี่เหมือนมีโซ่ล่ามเลยนะ ต้องจ่ายเงิน ให้เมียดูบัญชี ต้องดูแลเมีย เคารพเมีย บูชาเมีย... บลาๆ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงยังไงส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นอย่างงี้อยู่แล้ว
“แล้วได้พี่เลี้ยงมาจากไหนละ” ปลายรุ้งที่นั่งข้างๆ ผมเอ่ยปากเปลี่ยนประเด็นให้
“เป็นน้องชายของครูอนุบาลน่ะครับ”
“ผู้ชาย?” หล่อนทวนอย่างแปลกใจ “จะดีเหรอให้มาอยู่กับหลานสาวน่ะ”
“ก็ดูเป็นคนที่ไว้ใจได้อยู่นะครับ... แต่จริงๆ ก็ตั้งใจจะเอามาอยู่ชั่วคราว ยังเรียนอยู่ด้วย ตอนเปิดเทอมก็คงให้มาช่วยดูแลไม่ได้หรอก”
“อือ ดีแล้วแหละ”
บทสนทนาของโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปตามเรื่อง ผมไม่ได้ร่วมพูดคุยด้วยเท่าไหร่ ยิ่งเมื่ออาหารมาเสิร์ฟผมยิ่งเลิกสนใจในทันที ตอบเออๆ ออๆ ไปบ้างตามมารยาทเท่านั้นแหละ
ครืด...
ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองที่สั่นขึ้นมาดู ก่อนที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
‘ฟ้าคราม’ …เจ้าเด็กเทวดานั่นโทรมาอะไรตอนนี้เนี่ย?
“ว่าไง” ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปทันที “มีอะไรเหรอ”
[ เปล่าหรอกครับ ผมจะถามว่าคุณเพชรเลิกงานกี่โมง ]
“ห้าโมง ทำไมเหรอ? มีธุระหรือไง”
[ ไม่ใช่ครับ ] เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างไม่รีบร้อน [ ผมจะได้เตรียมอาหารไว้ให้ถูก ]
“เฮ้ย ไม่ต้องเตรียมให้ก็ได้ เตรียมส่วนของพระพายพอ” ผมท้วง
สำหรับอาหารเย็นส่วนของพระพายผมก็ต้องให้พี่เลี้ยงเด็กเตรียมอยู่แล้ว เนื่องจากกลัวว่าถ้าหากเกิดเหตุขัดข้อง ผมกลับบ้านดึกแล้วแกจะไม่มีอะไรทานเอาน่ะสิ
[ ไม่เป็นไรครับ ไหนๆ ก็ต้องเตรียมให้หลานแล้ว เตรียมให้คุณเพชรเลยคงไม่ลำบาก ]
ได้ยินเสียงยืนยันมาแบบนั้นผมก็ถอนหายใจ “แล้วแต่ละกัน แล้วพระพายเป็นยังไงบ้าง”
[ ดูการ์ตูนอยู่ครับ ]
“อ๋อ งั้น...” ได้ยินคำตอบแบบนั้นผมก็เอื้อมมือไป ตั้งใจจะกดตัดสายและทานอาหารต่อสักทีแต่ว่าปลายสายกลับร้องออกมาก่อน
[ คุณเพชรครับ ]
“อะไร” ผมเริ่มจะหงุดหงิดนิดหน่อยแล้ว กูจะกินข้าว กูหิวอยู่!
[ ไม่มีอะไรครับ ]
“ว่าไง...” พอได้ยินคำว่าไม่มีอะไรผมตั้งใจจะเอ่ยปากด่า แต่คนปลายทางกลับเอ่ยออกมาก่อน
[ ผมจะบอกว่าตั้งใจทำงานนะครับ ] ตู๊ดๆๆๆ ไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรไป ฟ้าครามก็ตัดสายไปซะแล้ว
ผมมองโทรศัพท์อย่างงุนงงก่อนที่จะหย่อนมันเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อดังเดิม แล้วหันมาสนใจกับอาหารที่เหลืออยู่ครึ่งจานแทน
...นี่กูชักสงสัยจริงๆ แล้วนะว่ากูได้พี่เลี้ยงหรือได้เมีย ปกติแล้วผมเลิกงานห้าโมงตามที่บอกกับพี่เลี้ยงเด็กไว้ แต่เหมือนกับเกิดปัญหานิดหน่อย... อันที่จริงไม่นิดเท่าไหร่เมื่อมีงานประชุมด่วนเข้ามา และตอนนี้ล่วงเลยมาเป็นเวลาทุ่มหนึ่ง... ผมเพิ่งจะได้ออกจากห้องประชุมเมื่อกี้นี้เอง
ทันทีที่เดินออกมาผมรีบกดเปิดโทรศัพท์มือถือ ก่อนหน้านี้ผมปิดมันตามมารยาทของห้องประชุม ก่อนหน้านั้นผมไลน์ไปบอกเจ้าพี่เลี้ยงรอยยิ้มเทวดาแล้วว่าจะกลับช้า
...เหยดเข้ แปดสายไม่ได้รับ!?
ผมเดินออกมารอรถเมล์อยู่ที่หน้าปากซอยบริษัทขณะที่กดโทรศัพท์หาคนที่โทรมาตั้งแปดสายด้วย
ไม่นานปลายทางก็รับ [ เลิกงานแล้วเหรอครับ ] อีกฝ่ายถามเสียงร้อนรนเล็กน้อย
“เออ” ผมตอบกลับเสียงห้วน “มีอะไรรึเปล่า พระพายไม่สบายเหรอ หรือว่า...”
[ เปล่าครับ เห็นเลิกช้ามาก นึกว่าเป็นอะไรไป ]
รถเมล์สายที่ผมรอมาพอดี โชคดีที่ครั้งนี้รอไม่นาน ผมเดินขึ้นรถทั้งๆ ที่ยังถือโทรศัพท์ไว้ในมือก่อนจะบอกปัดเจ้าฟ้าครามอย่างหงุดหงิด
“ผมไม่เป็นไร แค่นี้นะ” ว่าแล้วก็กดตัดสายทันที
...มึงบ้าหรือมึงบ้า เรื่องแค่นี้โทรมาแปดสาย แหม กูชักสับสนแล้วนะว่านี่กูมีมดลูก เสี่ยงจะโดนดักตีหัวลากไปข่มขืนกระทำชำเราหรือไร!
ตอนนี้ผมรู้สึกหิวไส้แทบขาด ถึงการประชุมจะได้อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ (และได้แอบสัปหงกนิดๆ หน่อย) แต่ไม่มีอะไรให้ทานเลย ข้าวกลางวันก็ได้ทานตอนเที่ยง น้ำย่อยแทบจะย่อยเยื่อกระเพาะเป็นอาหารไปซะแล้ว แสบท้องไปหมด
เกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมอยู่บนรถเมล์ คงเพราะเริ่มเย็นแล้วเลยไม่ติดเท่าทุกวัน
“คุณเพชร” “SH*T!” ผมเผลอสบถคำหยาบภาษาประกิดเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อทันทีเมื่อลงมาจากรถเมล์ทั้งๆ ที่ป้ายรถเมล์แม่งมืดชิบหาย “ไอ้เด็กบ้า!” พอหันไปเจอหน้าอีกคนเท่านั้นแหละ แม่งด่าแทบไม่ทัน
“หยาบคายจัง” อีกฝ่ายทักผมหน้ายู่
...ฟรักกกก มึงโผล่มาตอนที่ป้ายรถเมล์ไม่มีใครแถมไฟแถวนี้ติดๆ ดับๆ มึงคิดว่ากูกลัวม้ายย!
“มาทำไม”
“น้าเพชร!”
“พระพายอยากมาเจอน้าเพชรเร็วๆ ครับ”
พี่เลี้ยงเด็กว่าด้วยรอยยิ้มหลังจากที่มีแรงโถมมาแถวๆ เอวผมก่อนหน้านั้นไม่กี่วินาที พอเห็นแบบนี้รู้สึกว่าด่าเจ้าของรอยยิ้มเทวดานี่ไม่ลง ผมอยากจะหอมแก้มพระพายอยู่หรอกแต่ว่าตอนนี้เหงื่อโชกไปหมด เดี๋ยวหลานรู้สึกไม่ดี
“เดี๋ยวน้าค่อยหอมนะ ตอนนี้เหงื่อเต็มเลย” ผมว่าพลางตบหัวแกปุ้ๆ
พระพายหน้าเบ้เสี้ยววินาทีก่อนจะคลี่ยิ้ม “น้าเพชรๆ วันนี้พี่ฟ้าใจดีมากเลย อยู่กับพระพายทั้งวันเลย” ก่อนที่แกจะเอื้อมมือมาจับมือผมไว้
“เหรอ ดีแล้วนะ แล้วพระพายชอบพี่ฟ้ามั้ย”
ผมจับมือแกแล้วเดินไปในซอย ส่วนพี่เลี้ยงเด็กเดินประกบหลานอยู่อีกข้าง
“พระพายชอบพี่ฟ้า!”
ผมแอบลอบเบ้หน้าอย่างขัดใจ อะไรวะ เลี้ยงพระพายมาเป็นเดือนๆ ไม่เห็นบอกว่าชอบผมสักคำ
พอเดินกลับเข้ามาที่บ้านหลานก็จัดการวิ่งไปที่ห้องครัวควบด้วยห้องอาหารของบ้าน พระพายไปนั่งบนเก้าอี้ก่อนที่จะชี้
“น้าเพชรๆ อันนี้พี่ฟ้าทำอร่อยมากเลย น้าเพชรมากินเร็วๆ สิ”
ผมเลิกคิ้วอยากแปลกใจเมื่อหลานบอกแบบนั้น “จ้าๆ อย่าแย่งน้ากินหมดนะ” พูดติดขำแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร พบว่ามีข้าวสวยและกับอีกสองอย่างวางอยู่ ถูกครอบด้วยฝาชีที่ผมนึกแปลกใจว่าบ้านนี้มีมันอยู่ส่วนไหนกันแน่
“คุณเพชรทานอะไรมารึยังครับ” พี่เลี้ยงเด็กที่เดินตามหลังเอ่ยปากถามออกมา
“ยัง” ผมตอบไปตามจริง “หิวอยู่เนี่ย”
“รีบทานเถอะครับ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ”
“ขอบคุณมากนะ” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอบคุณ “วันนี้อยู่เกินเวลา ผมจะให้เงินเพิ่ม อา... แป๊บนะ” ผมวางกระเป๋าใส่เอกสารไว้บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งก่อนที่จะควานหากระเป๋าตังค์ตัวเอง
“ไม่ต้องก็ได้ครับ” แต่เด็กมหา’ ลัยเอ่ยขัดออกมาแบบนั้น
“จะไม่เอาเหรอ?” ถามอย่างอดแปลกใจไม่ได้
ผมบอกว่าให้ฟ้าครามอยู่กับพระพายจนถึงประมาณหกโมง แต่ตอนนี้มันเกินเวลาที่บอกมาเกือบจะสองชั่วโมงอยู่แล้ว แถมยังมืดแล้วเสียอีก
“ครับ” พี่เลี้ยงเด็กยืนยัน “จริงๆ ผมกำลังคิดว่า...”
“ว่า?”
“ผมไปรับคุณเพชรที่บริษัทดีมั้ย” ผมเงยหน้ามองอีกคนตาค้าง คิ้วขมวดเข้าหากันทันทีที่สมองประมวลผลเสร็จ “จะบ้าเหรอ ผมจ้างคุณมาเป็นพี่เลี้ยงพระพายนะ” ...มึงทำหลายหน้าที่ไปหน่อยรึเปล่า!
อีกฝ่ายทำหน้าแปลกใจ “ไม่ได้เหรอ?”
...เอ กูคิดไปเองรึเปล่าว่าไอ้เด็กยิ้มเทวดาหูลู่หางตก? “ไม่ใช่ไม่ได้” ผมพยายามจะสรรหาถ้อยคำมารักษาน้ำใจ “แต่ผมให้คุณมาเป็นพี่เลี้ยงพระพาย ไม่ต้องลำบากมารับผมหรอก ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับ” ฟ้าครามเอ่ยเสียงอ่อย “แค่เห็นว่าคุณจะลำบาก เพราะคุณไม่มีรถ”
ผมชักจะสงสัยเสียแล้วสิว่าทำไมเจ้าฟ้าครามนี่ถึงเป็นเด็กดีถึงเพียงนี้ นี่คือสมัยเด็กๆ พ่อแม่เลี้ยงด้วยอะไรวะ พาเข้าวัดตั้งแต่เดินได้เลยรึเปล่า ถึงไม่ธรรมะธรรมโมแต่ความเป็นคนดีของมึงนี่เกินมนุษย์ทั่วไปมากนะ
“ไม่เป็นไร ผมไม่อยากรบกวน” ผมปฏิเสธอย่างมีมารยาทอีกที
“ไม่รบกวนสักหน่อย” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผมจ้างคุณมาเป็นพี่เลี้ยง ไม่ได้ให้มาทำตัวเหมือนจะจีบผม โอเค๊?”
คำพูดเหมือนว่าผมจะอารมณ์เสียมากแต่ผมแค่หงุดหงิดนิดหน่อยเฉยๆ น้ำเสียงเลยดูเหมือนจะพูดเล่นเสียมากกว่า คนตรงหน้าอึ้งไปนิดหน่อยก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมา
“ถ้าผมตอบว่าไม่ละ”
...รอบนี้คนฟังอย่างผมเป็นฝ่ายอึ้งแทน
ดะ เดี๋ยวๆ ‘ไม่’ ของมึงนี่คือไร หมายถึงมึงกำลังทำตัวแบบจีบกูอยู่เนี่ยนะ!?
“น้าเพชรค้า! ไม่ทานข้าวเหรอคะ!”
“ทะ ทานค่ะ!” ผมตอบหลานกลับไปแทบไม่ทันก่อนที่จะเดินไปหยิบข้าวมาอุ่นในไมโครเวฟแทบจะทันที รู้สึกดีใจมากที่พระพายร้องเตือนออกมาได้ถูกจังหวะแบบนี้
“คุณเพชรครับ”
“อะไร” หันไปถามพี่เลี้ยงเด็กเสียงขุ่น
“อันที่จริงผมล้อเล่นนะครับ” คำพูดนั้นเอ่ยมาด้วยน้ำเสียงติดขำและรอยยิ้มเทวดาตามสไตล์ของเด็กที่ชื่อฟ้าคราม “งั้นผมกลับบ้านล่ะครับ สวัสดี”
ผมรับไหว้พี่เลี้ยงเด็กอย่างงงๆ ก่อนที่จะรู้ตัวเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปจากบ้านแล้วเรียบร้อย เล่นเอาผมรู้สึกขนอ่อนกูซู่ซ่าเลยทีเดียว
ไอ้เด็กนี่มันไม่ใช่เกย์ใช่มั้ยเนี่ย!-----------------------------------------------------------
คิดถึงกันม้ายยย! <3
มาอัพคุณเพชรแล้วนะคะ ครุคริ
ดูเหมือนฟ้าครามจะไม่เบาเหมือนกันนะ ฮา
อย่าเยอะลูกเดี๋ยวไก่ตื่น... 
หรือไก่จะตื่นแล้วนะ ถถถถถถ