CHAPTER 9
“การเดินทาง” วันนี้เป็นวันที่พวกเราออกเดินทางกันครับ
คุณปฐพีนัดพวกเราตั้งแต่เช้า เช้าจนพระพายตื่นมาแค่อาบน้ำแต่งตัวแล้วนอนต่อ ผมจึงต้องอุ้มหลานมาขึ้นรถแทน พระพายตื่นเช้าเก่งเวลาเจอพ่อ แต่บางทีการตื่นตีห้าอาจจะลำบากไปสำหรับหลาน
“กินอะไรมารึยังครับ” พ่อหลานซึ่งนั่งที่นั่งคนขับหันมาถามผมเล็กน้อย
“นิดหน่อย” ผมตอบกลับไปตามจริง “พระพายก็ยังไม่ได้กิน”
“เอาไว้ไปทานที่นู่นละกันนะครับ”
ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แทน
“งั้นเดี๋ยวไปรับฟ้าครามกันนะ” “อึก!” …สะดุ้งเลยครับ สะดุ้งจริงๆ
อย่าเพิ่งถามกูตอนนี้ได้ม้ายยยย ไม่พร้อม!
ให้ตายสิ พูดแล้วรู้สึกขนลุกเกรียว เผลอไปนึกถึงตอนวันก่อนที่โดนเจ้าพี่เลี้ยงเด็กถามว่ารู้ตัวรึยังว่าเขาจะ ‘จีบ’ ผมตอนนั้น มันน่าสยองเป็นบ้า
...เอ๊ะ หลังจากนั้นมีอะไรน่ะเหรอ?
อย่ามองผมแบบนั้นสิ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ผมแกล้งทำเนียนเหมือนไม่รู้ ส่วนเขาพอเห็นท่าทีผมเป็นแบบนั้นเขาก็หัวเราะกลบเกลือนบอกว่าล้อเล่นจนผมต้องตำหนิว่าเลิกล้อเล่นแบบนี้เสียที ฟ้าครามเองก็พยักหน้ารับแต่ก็ยังทำตัวเหมือนเดิมจนผมนึกผวา
ตกลงมันแกล้งเล่นหรือมันเอาจริง?
ถ้าพูดแบบหลงตัวเองผมมองว่ามันเอาจริง แต่ถ้าพูดแบบไม่หลงตัวเอง... มันไม่ได้เอาจริง แต่มันก็เป็นเกย์อยู่ดีในสายตาผม ผมไม่รู้หรอกว่าผู้ชายปกติเขาล้อเล่นแต่เรื่องแบบนี้กันหรือยังไง หรือเด็กสมัยใหม่เขาเป็นแบบนี้? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงโลกคงเปลี่ยนเยอะไปหน่อย
คุณปฐพีก็ขับรถไปตามทางที่นัดกับพี่เลี้ยงเด็กไว้ เขามารับผมที่บ้าน ส่วนพี่เลี้ยงเด็กนี่นัดเจอกันที่ปั๊มน้ำมันใกล้ๆ
...สรุปมึงจะไปด้วยจริงดิ? ว่ายังไงดีล่ะ ทริปนี้ไม่มีใครสนิทกันเลย ผมกับคุณปฐพีไม่ได้สนิทกันหรอกนะ ส่วนฟ้าครามนี่ยิ่งแล้วใหญ่ มาจากไหนไม่รู้ คุณปฐพีก็คงชวนพอเป็นมารยาทนั่นแหละ หรืออาจจะอยากให้ลูกสนุกด้วยมากกว่า ผมไม่คิดว่าเขาจะสนิทกับเจ้าพี่เลี้ยงเด็กเท่าไหร่หรอก
เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงที่ซึ่งนัดไว้กับเจ้าของรอยยิ้มเทวดาเรียบร้อย ซ้ำยังมาถึงก่อนราวๆ สิบนาที แต่ปรากฎว่าร่างสูงของพี่เลี้ยงเด็กยืนรออยู่แล้ว
“มาเร็วนะ” คุณปฐพีเอ่ยทักทันทีเมื่อเจ้าของรอยยิ้มเทวดาเดินเข้ามาในรถ
“สวัสดีครับ” เจ้าเด็กนี่ก็มารยาทดี ยกมือไหว้ทันที แล้วหันมาคลี่ยิ้มให้ผม “สวัสดีครับคุณเพชร”
“อึก!” …เชี่ย สะอึกอีกแล้ว “อึก!”
ไม่หายสะอึกด้วยนะ ทำไงดีวะเนี่ยยยยย
ฟ้าครามหย่อนกายนั่งเบาะหลังข้างๆ ผมจนผมถอยห่างแทบไม่ทัน พยายามไม่ให้ทุเรศมากจนเกินไป เว้นช่องว่างตรงกลางเบาะหลังให้เล็กน้อย ผมนั่งที่นั่งหลังคนขับ ส่วนพี่เลี้ยงเด็กก็นั่งหลังที่นั่งข้างคนขับซึ่งพระพายนอนหลับอยู่
อีกฝ่ายหันมามองผม “น้ำมั้ยครับ”
“ไม่เป็น... อึก! ไร” ผมแทบจะทึ้งหัวตัวเองตายอยู่แล้ว ขอให้กูแอ๊บเนียนบอกไม่เป็นไรดีๆ ไม่ได้เรอะ
“เอาไปดื่มเถอะครับ” เขาดึงมือผมมารับขวดน้ำซึ่งยังไม่มีร่องรอยของการแกะ ก่อนที่จะคลี่ยิ้มนิดๆ “ผมยังไม่ได้ดื่ม คุณเพชรดื่มก่อนเลย”
“ขอบใจ” ผมพูดเบาๆ
“แต่ช่วยปล่อยมือผมได้มั้ย” พี่เลี้ยงเด็กยกยิ้มกว้างกว่าเก่าและทำตามที่ผมสั่งอย่างอิดออดเล็กน้อย
ก็ไม่ค่อยเนียนน่ะนะ ดึงมือผมไปรับน้ำ แต่ไม่ยอมปล่อยมือไง จะดื่มน้ำได้ยังไงคิดบ้างดิวะ!
“กินข้าวเช้ามารึยังครับ” คุณปฐพีเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง
“ยังเลยครับ” เจ้าของรอยยิ้มเทวดา (ที่ตอนนี้ดูจะเป็นเทวดาตัวปลอม) ตอบกลับไปก่อนที่จะชะโงกหน้าไปดูที่นั่งคนขับ “มันคงเช้าไปสำหรับพระพายเนอะ”
ผมไม่ได้ตอบอะไร กำลังจะหลับตาลงหากแต่เจ้าพี่เลี้ยงเด็กหันมาถามผมเสียก่อน
“ว่ามั้ยครับคุณเพชร” ...คุณเพชร... คุณเพชร... คุณเพชร... เรียกอะไรนักหนา กูรู้แล้วว่ากูชื่อเพชร!
ผมไม่ได้ตั้งแง่หรืออะไรหรอกนะ แต่บางครั้งก็รู้สึกรำคาญปนหวาดผวา นี่คือว่าโง่มากเหรอถึงจะไม่รู้ แสดงตัวขนาดนั้นว่าเข้ามาแบบ... แบบไม่ปกติ! มันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกตัวได้ง่ายๆ เลยว่าเขาพยายามมากแค่ไหนในการชวนผมคุย
“อือ” ผมพยักหน้าอย่างเซ็งๆ
หลังจากนั้น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะนอนเสียหน่อยแต่ฟ้าครามก็สรรหาเรื่องราวมาให้ผมพูดนู่นพูดนี่ตอบไปอยู่เรื่อยเป็นชั่วโมง ตอนเราออกจากเขตกรุงเทพฯ นั่นแหละเขาถึงหยุดพูด หัวข้อที่ใช้ก็มีแค่หัวข้อทั่วไป หยิบมาบ่อยๆ หน่อยก็เรื่องเกี่ยวกับพระพายจนต้องมีคุณปฐพีมาร่วมพูดคุยด้วย
จริงสินะ ไม่รู้เขาคืนดีกับเมียเขารึยัง
...แต่ช่างเถอะ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของผมอยู่แล้ว
พวกเราแวะทานอาหารตอนเวลาประมาณแปดโมงครึ่ง เดินทางมาเกือบครึ่งทางแล้วด้วยซ้ำ ถ้าพวกเราไม่ได้แวะอะไรบ่อยๆ ก็คงจะไปถึงก่อนเที่ยง
จุดหมายปลายทางคือทะเล แต่ขอไม่บอกสถานที่เนื่องจากเป็นการมาพักฟรีๆ ก็กิจการของบ้านคุณปฐพีเขานั่นแหละ บอกแล้วว่าคุณปฐพีเป็นคนรวย... รวยมากด้วย ถ้าไม่มีเรื่องแม่เลี้ยงผมก็คงไว้วางใจ ให้พระพายอยู่กับพ่อได้อย่างปกติสุขนั่นแหละ อาจจะสบายกว่าให้หลานมาอยู่กับผมด้วยซ้ำไป
“เรียนหนักบ้างมั้ย”
คุณปฐพีถามพี่เลี้ยงเด็กบนโต๊ะอาหาร พระพายเองก็กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่
“ก็โอเคครับ” ฟ้าครามตอบไปเรื่อย “คุณพีก็จบจากที่นี่ใช่มั้ย”
อัพเกรดครับ ตอนนี้พี่เลี้ยงเด็กเรียกพ่อพระพายว่า ‘คุณพี’ เรียบร้อยแล้ว บางทีผมก็แอบคิดว่าเจ้าหมอนี่มีทักษะในการเข้าสังคมที่ดีเกินกว่าหมอฟันทั่วไปเขามี
“อือ เป็นรุ่นพี่นะเนี่ย” อีกฝ่ายพูดติดขำ “จริงๆ ก็อายุห่างกันไม่เยอะเท่าไหร่หรอก สักสิบปีได้มั้ง?”
“คุณพีไม่ได้ดูแก่ครับ ไม่ต้องเครียด”
ฟ้าครามปากหวานก็จริง แต่มันก็ถูก คุณปฐพีเป็นผู้ชายที่ดูค่อนข้างเด็กถ้าเทียบกับอายุ มองผ่านๆ น่าจะอายุไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก แท้จริงแล้วเราห่างกันราวๆ ห้าหกปีได้ คงจะเป็นเพราะเล่นกีฬาบ่อยๆ ด้วย หุ่นเขาดูดีครับ อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าผมน่ะ
“แล้วนี่มีแฟนบ้างรึเปล่า” พ่อพระพายยิงคำถามต่อ
อีกฝ่ายหันมามองผมเพียงแวบเดียว เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เราสบตากันก่อนที่เขาจะหันกลับไปตอบ
“ไม่มีครับ” “จะจริงเหรอ” เป็นผมที่เอ่ยปากขึ้นมาหลังจากเงียบอยู่นาน
ฟ้าครามหันมามองผมและส่ายหน้า “ไม่มีจริงๆ ผมไม่ได้คิดเรื่องแบบนี้นานแล้ว”
“ไม่ต้องรีบคิดหรอก เรียนไปก่อนดีกว่า” พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นใครๆ ก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ผมเองก็คิดแบบนั้น ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวมันก็มา ระดับมหา’ ลัยนี่ยังดีหน่อย ระดับมัธยมนี่บางคนก็รีบมีจังเลย
ผมไปอยู่ต่างประเทศมานานก็จริง เห็นเด็กที่ต่างชาติเขามีก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอเห็นเด็กไทยมีแล้วมันดูไม่ดี อาจจะเป็นเพราะค่านิยมด้วยส่วนหนึ่ง แต่หนักกว่านั้นคือวิจารณญาณของเด็กไทย เขาถูกสอนมาว่าความรักในวัยเรียนเป็นสิ่งที่ผิด พอเป็นวัยรุ่นมันก็เหมือนยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ คนไทยเวลาจะห้ามมักจะเป็นการ ‘ปลูกฝัง’ มากกว่าการ ‘สั่งสอน’ เหมือนเป็นการยัดเหยียดความคิดว่าแบบนี้ผิด แบบนี้ไม่ดี ทีนี้ก็สั่งห้าม แต่กลับไม่เข้าใจว่าการสนใจในเพศตรงข้ามเป็นธรรมชาติของวัยรุ่น พอห้ามก็ยิ่งเลยเถิด อีกเรื่องที่ผมไม่เข้าใจในทัศนคติของคนไทยเลยคือเรื่องเซ็กส์ ฝรั่งมีอัตราการมีเซ็กส์มากกว่าบ้านเราแต่กลับไม่มีปัญหาท้องในวัยเรียนเหมือนเรานะครับ เขาสอนวิธีป้องกัน แต่คนไทยไม่สอนวิธีป้องกัน แค่บอกว่าห้ามทำๆ เท่านั้นแหละ
“แล้วเพชรไม่มีบ้างเหรอ แฟนน่ะ”
ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อจู่ๆ พ่อของพระพายก็เบนเข็มมาตั้งคำถามกับผมเสียอย่างงั้น
“ไม่มีหรอก” ตอบไปตามจริง “แค่รถยังไม่มีเลย ใครมันจะมาสนใจ” ผมก็แกล้งทำเป็นน้อยใจไปอย่างงั้นแหละ ไอ้คนที่มาสนใจน่ะมีบ้าง แต่เราไม่สนใจเขาเท่านั้นเอง
“คุณเพชรก็หาคนมีรถมาเป็นแฟนสิครับ” ผมหันขวับไปมองหน้าคนพูดแทบจะไม่ทัน
...บางทีก็หาเรื่องเข้าตัวเองมากเกินไปนะฟ้าคราม ได้แต่ก่นด่าในใจและตอบกลับไปอย่างเป็นกลางๆ “ไม่เอาล่ะ ไม่อยากให้คนมองว่าเป็นแมงดา”
เรื่องคุยถูกหยิบยกมาเรื่อยเปื่อย ผมปล่อยให้ทั้งสองคุยกันมากกว่าที่ตัวเองจะพูดด้วย เพราะต้องดูแลพระพาย หลานกินเผ็ดไม่ค่อยได้เท่าไหร่
“ซี๊ดดดด...”
ผมกับคุณปฐพีเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงพร้อมกันก่อนที่ผมจะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะฟ้าครามกำลังดื่มน้ำจนหมดแก้ว ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมานิดหน่อย ที่สำคัญคือปากบวมเจ่อ น้ำตาคลอเบ้าเรียบร้อยแล้ว
ผมเลื่อนสายตาไปมองที่จานอาหารทันที ดูเหมือนเนื้อเป็ดผัดเผ็ดจะเผ็ดเกินไปสำหรับเขา
“ลิ้นบางจริงๆ” ผมบ่นพึมพำเบาๆ
อีกฝ่ายมองหน้าผม “คุณเพชรครับ รินน้ำให้หน่อย” ว่าอย่างสุภาพพลางส่งแก้วน้ำมาให้
ผมรินน้ำให้เขาอย่างไม่อิดออดแม้จะอยากเห็นพี่เลี้ยงเด็กในสภาพนี้นานกว่านี้อีกนิดหน่อย ฟ้าครามรับมันไปและดื่มจนหมดภายในอึกเดียว
“พี่ฟ้าเผ็ดเหรอคะ” หลานเอ่ยปากถาม “พระพายตักอันนี้ให้น้า อย่าร้องไห้นะคะ”
ทีนี้ผมกับคุณปฐพีมองหน้าพี่เลี้ยงเด็กตาขวางเลยครับ มีอย่างที่ไหนพระพายตักอาหารรสจืดๆ (ที่สั่งมาเพื่อแกโดยเฉพาะ) ให้พี่เลี้ยงเด็กอย่างเจ้าหมอนี่แต่ไม่ยอมตักให้ผมกับพ่อแกสักนิด!
“อะ เอ่อ” เจ้าของรอยยิ้มเทวดาเอ่ยเสียงแผ่ว “ทำไมต้องมองผมขนาดนั้นด้วยครับ”
...ลูกชอบคนหล่อไง หมั่นไส้เว้ย! ผมกับคุณปฐพีไม่ตอบแต่ผมก็เชื่อว่าเราทั้งสองต่างคิดเหมือนกัน มันเป็นอารมณ์เหมือนพ่อหวงลูกสาวน่ะครับ แม้ว่าลูกสาวจะอายุเพียงห้าขวบก็ตามที
ไม่นานพวกเราก็ทานอาหารเสร็จ คุณปฐพีบอกขอเวลาเดินย่อยสักพักก่อนที่จะไปขับรถต่อจนฟ้าครามต้องเอ่ยปากว่าเดี๋ยวจะขับให้แทนแต่เขาก็ยังปฏิเสธ โชคดีที่ใกล้ๆ ร้านอาหารมีสนามเด็กเล่นให้พระพายเล่น พวกเราเองก็แอ๊บเนียนเป็นเด็กนั่งอยู่ใกล้ๆ นั้นด้วย ส่วนฟ้าครามเองก็ได้ทำตามหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กเมื่อพระพายบอกอยากเล่นชิงช้า ให้อีกฝ่ายไปโยกให้เสียหน่อย
“ไม่ได้มาเที่ยวนานแล้ว มาช่วงนอกเทศกาลก็ดีเหมือนกันนะ” คุณปฐพีที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกับผมเอ่ยปากขึ้น
“อือ” ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปเหมือนกัน
“แล้วนี่ช่วงเปิดเทอมก็เลิกจ้างฟ้าใช่มั้ยครับ” เขาเอ่ยปากถามต่อ “หรือว่าจะจ้างต่อ”
“ไม่แล้วล่ะ ช่วงเปิดเทอมยังไงพระพายก็ไปโรงเรียนด้วย”
ผมว่าพลางเหลือบสายตามองภาพตรงหน้า พระพายเองก็เข้ากับฟ้าครามได้ดีอยู่หรอก อา... จะว่าไปผมก็ต้องคิดเรื่องพี่เลี้ยงเด็กช่วงปิดเทอมหน้าสินะ มันใกล้กับช่วงที่พี่เลี้ยงเด็กควรจะมีการฝึกงานแล้วเสียด้วย เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยคิดตอนนั้นเห็นทีจะดีกว่า
“ผมอยากมาหาลูกบ่อยๆ” อีกฝ่ายว่าไปเรื่อย “บางทีผมก็คิดว่าผมทำหน้าที่พ่อให้พระพายไม่ดีพอ”
“...” ผมไม่รู้จะตอบอะไรไป
บอกแล้วว่าพี่เพลงพร่ำพูดกับผมบ่อยแค่ไหนว่าสามีเก่าเขาไม่ใช่สามีที่ดีแต่เป็นพ่อที่ดี มองจากการแสดงออกของพระพายผมก็ไม่คิดว่าพี่สาวผมพูดผิด แต่อย่างไรก็ตาม เขาทำพลาดที่ปล่อยให้เมียใหม่ของเขาทำร้ายพระพาย
“คุณพ่อขา~” จู่ๆ เสียงหลานก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างเล็กๆ ที่วิ่งถลาเข้ามาหาคุณปฐพี “พระพายกลัวกบอ่ะ ฮือออออ” ตามด้วยเสียงงอแงชุดใหญ่ แม้ไม่ร้องไห้แต่ก็รู้ว่ากำลังอ้อน
ผมมองภาพนั้นแล้วอดอมยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้ หลานใครก็ไม่รู้น่ารักจริงเชียว
“พระพายเจอกบน่ะ” ฟ้าครามเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วเอ่ยปากอธิบาย
ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “ในที่สุดก็ทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงสักที”
หลายครั้งที่ผมคิดว่าพี่เพลงเลี้ยงลูกมาแบบไหนเพราะพระพายเป็นเด็กที่ไม่กลัวแมลงสาบ ไม่กลัวจิ้งจก ดูการ์ตูนผู้ชาย ปีนต้นไม้เก่ง จนผมต้องปรามแกนิดหน่อยว่าไม่ให้ปีนเพราะกลัวจะเสียโฉม แต่พอมาคิดๆ ถึงเรื่องราววัยเด็กของผมแล้ว... พี่สาวผมก็เป็นประเภทเดียวกับพระพาย แก่นแก้ว ไม่แปลกที่จะเลี้ยงลูกออกมาเป็นแบบนั้น เราห่างกันประมาณสามสี่ปี ตอนแกอายุเท่าพระพายผมก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร แต่มองลักษณะแล้วคงจะไม่แตกต่างเท่าไหร่นัก
“ไปนั่งบ้างมั้ยครับ”
“หือ?” ผมขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆ ฟ้าครามก็เอ่ยออกมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “อะไรนะ”
“ผมถามว่าไปนั่งชิงช้าบ้างมั้ยครับ ผมจะผลักให้”
...ชัดเจน
ผมนิ่วหน้า “ผมอายุมากกว่าคุณจะสิบปี กลับมาทำเหมือนผมเป็นเด็กซะงั้น” เอ่ยว่าอย่างไม่ใส่ใจจริงจังเท่าไหร่นัก
ฟ้าครามหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “เพราะมองว่าคุณเพชรยังหนุ่มนะครับเลยมาชวน” ตอบเสียงระรื่นจนผมนึกหมั่นไส้ อดไม่ได้ที่จะเหยียบเท้าอีกฝ่ายเบาๆ บางทีเจ้าหมอนี่ก็เหมือนกับออกลายกวนตีนชอบกล
หันมามองอีกข้างก็เห็นว่าพระพายงอแงบอกจะขึ้นรถเพราะกลัวเจ้ากบ คงเป็นเพราะสมัยนี้กรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีให้เจอเลยทำให้พระพายกลัว คุณปฐพีก็ตามใจ อุ้มลูกขึ้นหลังแล้วเดินไปที่รถโดยไม่บอกไม่กล่าว ถ้าหากผมไม่หันมาเห็นอาจจะตกรถได้
“คุณเพชรครับ”
“อะไรอีก” ผมหันขวับกลับไปเมื่อฟ้าครามเอ่ยเรียกชื่อผมอีกครั้ง
“ถ้าคุณเพชรยังหนุ่มก็น่าจะรู้นะครับ... ว่าตอนนี้เทรนด์กินเด็กกำลังมาแรง" ...
ผมเลิกคิ้วนิดหน่อย “ผมก็ชอบเด็กนะ สาวๆ สวยๆ ใส่กระโปรงทรงเออะไรอย่างนี้” แกล้งทำเนียนไม่รู้เรื่อง มองไม่เห็นแววตาที่ฉายแวววิบวับจากคนตรงหน้า “แต่น่าเสียดาย ที่ผมไม่นิยมผู้ชาย”
ไม่รู้ว่าที่พูดตรงไปหรืออะไร ฟ้าครามทำหน้าเจื่อนไปนิดหน่อยก่อนที่จะคลี่ยิ้มกว้างกว่าเก่า
“แปลว่ารู้แล้วเหรอครับว่าผมคิดอะไร”
“...คิดว่า” ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องปฏิเสธ “หรือว่านี่ก็แค่ล้อเล่นอีก?”
เขาเงียบ ผมเองก็เงียบเพราะรอคำตอบ
ฟ้าครามไม่ตอบอะไร สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ และเดินนำหน้าผมไปเลย ผมมองตามเขาเล็กน้อยก่อนที่จะส่ายหน้าออกมาอย่างระอา ทีอย่างนี้ล่ะไม่กล้าพูด แล้วผมจะรู้มั้ยว่าควรปฏิบัติแบบไหน ถ้าหากล้อเล่นจริงๆ ก็บอกมาและเลิกทำแบบนี้ทุกอย่างก็จะจบ แต่เขาทำมันมั้ยล่ะ!
ก็เพราะทำแบบนี้ไงผมถึงต้องเว้นระยะห่างกว้างๆ ไว้ก่อนน่ะ!-------------------
สุขสันต์วันมาฆบูชาและวาเลนไทน์ค่ะ

และขอบคุณคนที่มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์นิวเมื่อวานด้วยนะคะ
ตอนนี้สิบหกแล้วค่ะ...
เขาว่ากันว่าคนเกิดแถวๆ วันวาเลนไทน์จะไร้รัก
ไม่รู้ฟ้าครามของเราจะไร้รักกับเขาด้วยไหมหนอ?
รู้แค่นิวไร้รักมากค่ะ แถมแพ้เกสรดอกไม้ขั้นรุนแรง
ถึงขนาดว่าถ้าไม่มีสอบจะไม่โผล่หัวไปวันวาเลนไทน์เด็ดขาด
แพ้จนครูห้องพยาบาลถึงขั้นถามว่า 'มาเอาที่ปิดปากใช่มั้ย' ในวันดอกไม้เยอะๆ
อาภัพจริงๆ ชะนีคนนี้ ฮือออ T___T
[/color]