CHAPTER 11
“ใจอ่อน” ผมนั่งอยู่ที่ชายหาดมองภาพตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์
คนน้อยเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาล ถึงจะเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เลือกมาเล่นทะเลแต่มันก็เหมือนกับหาดส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้น พระพายเล่นน้ำโดยมีคุณปฐพีจับอยู่ไม่ห่าง ส่วนผมก็นั่งหล่อๆ อยู่แทน ไม่ได้ลงเล่นน้ำแต่อย่างใด ขี้เกียจน่ะครับ ปล่อยให้พ่อลูกและพี่เลี้ยงเด็กเล่นกันต่อไป
“คุณเพชร”
ผมเลิกคิ้วมองหน้าคนเรียกชื่อ ไม่รู้ว่าเดินขึ้นมาจากทะเลตอนไหน “มีอะไรเหรอ”
“ไม่เล่นจริงๆ เหรอครับ” ฟ้าครามถามเสียงเรียบ
“ขี้เกียจน่ะ” ผมเอ่ยไปตามจริง
...แล้วก็ไม่มีบทสนทนาอะไรต่อ
ฟ้าครามดูเกร็งเมื่ออยู่กับผมมากกว่าเดิม จนผมนึกสงสัยว่าสรุปเจ้าเด็กนี่เป็นแบบไหน บางทีก็ดูกล้าจนเกินไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกขี้ประหม่า กล้าๆ กลัวๆ... ทำไมโลกนี้ไม่มีความพอดีวะ
“จะไปไหนน่ะ” ผมเอ่ยปากถามขึ้นเมื่อเขาเดินไปอีกทางที่ไม่ใช่ทะเล
“ล้างตัวครับ ผมเหนื่อยแล้ว พระพายแรงเยอะเป็นบ้า” เขาว่าอย่างติดขำนิดหน่อย “ทำไมเด็กตัวแค่นี้ถึงแรงเยอะแบบนี้ก็ไม่รู้”
“หมอฟันอ่อนแอมากกว่า” ผมแย้งอย่างไม่จริงจังอะไรนัก “ก็วันๆ เอาแต่ดูฟันชาวบ้านนั่นแหละ”
“คุณเพชรก็เอาแต่นั่งทำงานออฟฟิศเหมือนกันนั่นแหละ”
ผมตวัดสายตาเมื่อเห็นเขาบ่นงึมงำ พอเจอสายตาแบบนั้นเข้าไปเขาก็ทำหน้าเลิกลั่กเป็นเชิงว่าไม่ได้บ่นอะไรนะ เห็นแล้วผมก็อดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“งะ งั้นผมไปล้างตัวนะ”
“อือ” ผมพยักหน้า
ว่าแล้วฟ้าครามก็เดินออกไปเลย
ผมหันกลับไปดูหลานที่ยังเล่นไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อยกับคุณปฐพีที่ดูท่าจะอึดพอกันเพราะขับรถมาทั้งวันแล้วยังสามารถเล่นกับลูกตัวเองได้
คงเป็นเพราะลมเอื่อยๆ กับท้องฟ้าสีส้มเพราะว่าอยู่ในเวลาเย็นทำให้ผมรู้สึกสะลึมสะลือเล็กน้อย สุดท้ายผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ผมเป็นคนมีโซเชี่ยลแต่ไม่ได้ติด พวกอินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊คหรือพวกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กดังๆ ผมก็มีหมด แต่ไม่ค่อยได้อัพอะไรหรอก มักจะเป็นการเปิดไปเรื่อยๆ คอยสำรวจชีวิตของคนอื่นมากกว่าแต่วันนี้เกิดนึกอย่างไรไม่รู้ ผมถ่ายรูปคุณปฐพีกับพระพายโดยมีทะเลและท้องฟ้าสีสวยเป็นฉากหลังก่อนจะอัพอินสตราแกรมไปก่อนจะเปิดดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยตามประสา
‘ไปเที่ยวเหรอเนี่ย หลานน่ารักจัง ชื่ออะไรนะ’
ผ่านไปไม่นานไลน์ก็เด้งขึ้นมา เป็นปรายรุ้งที่ทักผมมาก่อน ปกติเราก็คุยกันบ้างแต่ไม่ได้คุยกันมากมาย แค่ไม่กี่ข้อความต่อวัน ยกเว้นวันไหนที่ทั้งผมและเธอเกิดทำตัวว่างขึ้นมาจริงๆ นั่นแหละ... ซึ่งมันก็ไม่ค่อยมีหรอก
‘ชื่อพระพาย เอาไว้จะซื้อของไปให้นะ’
‘ไม่ต้องหรอกๆ แล้วนั่นพ่อน้องเขาเหรอ’
‘อือ’ ผมกำลังจะพิมพ์อะไรบางอย่างต่อไปแต่ก็ลังเลว่าจะส่งดีหรือไม่
‘มีพี่เลี้ยงเด็กด้วย’ สุดท้ายผมก็ลบข้อความนั้นโดยไม่รู้ว่าทำไม จริงๆ บอกไปก็ได้ แต่ผมก็บอกตัวเองว่าเธอไม่ได้ถามนี่นาว่าผมมากับใครบ้าง... จะบอกไปทำไมล่ะ
“คุณเพชรครับ” เสียงทุ้มของพี่เลี้ยงเด็กดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับเงาที่ชะโงกหัวลงมา
“อย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่สิ...” ผมตำหนินิดหน่อยอย่างไม่จริงจังอะไรมาก “ล้างตัวเสร็จแล้วเหรอ”
“ครับ นี่กี่โมงแล้ว”
ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือตัวเอง “ห้าโมงสิบแล้ว” ก่อนจะตอบไปตามจริง “ให้ตายสิ พระพายเล่นทะเลมานานแล้วเหรอเนี่ย”
“ให้เขาเล่นอีกแป๊บนึงก็ได้ น้องไม่เคยมานี่ครับ”
ผมยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่เรียกคุณปฐพีและเคาะนาฬิกาให้ดูเป็นเชิงเตือนเรื่องเวลา เขาเองก็พยักหน้าแต่ก็หันไปเล่นกับลูกของตนเองต่อ
“ผมไม่ได้มาทะเลนานมากแล้ว” อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบพลางหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ผม “ขอบคุณนะครับที่อนุญาตให้ผมมา”
“ไปขอบคุณคุณปฐพีเถอะ” ผมเอ่ยปัด “อีกอย่างหลานก็อยากให้คุณมาด้วยนี่”
“...แต่คุณเพชรไม่อยากให้มานี่นา” น้ำเสียงอีกฝ่ายดูกึ่งๆ น้อยใจ
ผมหันไปมองหน้าและเลิกคิ้วนิดหน่อย “ทำไมถึงคิดอย่างงั้นล่ะ”
“ก็คุณเพชร... เอ่อ” เขาทำหน้าอ้ำอึ้ง “คุณเพชรรู้แล้วว่าผมพยายามทำอะไร ก็เลยไม่อยากให้ผมมาใช่มั้ยล่ะครับ”
“ก็นิดหน่อย” ผมตอบไปตามจริง ไม่คิดจะปิดบังแม้แต่อย่างใด “แต่หลานอยากให้คุณมา คุณมาน่ะดีแล้ว ถ้าหลานสุข ผมก็สุขนะ” ว่าแล้วอมยิ้มน้อยๆ มองภาพพระพายที่กำลังยิ้มกว้างอยู่กับพ่อของเขาเพราะได้มาเล่นน้ำทะเลที่แกอยากเล่น
...ถึงพระพายไม่ใช่ลูกแต่ผมก็มองแกเหมือนลูก
หลานเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ ผมหมายถึงครอบครัวว่าด้วยสายเลือด... นั่นไม่แปลกว่าทำไมผมถึงรักแกมากขนาดนี้
“ผมชอบคุณเพชรตอนนี้นะ” คำพูดของฟ้าครามทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเขาอย่างหวาดๆ จนเขาทำท่าเลิกลัก “ผมหมายถึง เอ่อ แบบ... ตอนคุณเพชรพูดถึงน้อง มันดูรักน้องดี ดูรักครอบครัว” ไม่รู้ว่าเขาพยายามแก้ตัวหรือเปล่า แต่ผมก็พยักหน้า
“ขอบคุณ”
“คุณเพชรอย่ามองผมอย่างงั้นสิครับ” ฟ้าครามเอ่ยเสียงอ่อย
ผมหันขวับ “แบบไหน”
“แบบนี้แหละ” เขาว่าด้วยใบหน้าเบ้เล็กน้อย “คุณเพชรดักทางผมจนผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
...กูก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันปะ!
ผมนิ่วหน้าด้วยความหงุดหงิดกับสิ่งที่เจ้าฟ้าครามพูดออกมา แล้วไอ้คำว่าดักทางนี่คืออะไร... เออ กูก็ดักทางไม่ให้มึงจีบปะวะ สรุปจะเอาไงกันแน่วะเนี่ย!
“ฟ้าคราม” ผมพูดออกมาเสียงเรียบก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับผมนะแต่เราเจอกันแป๊บเดียว มันจะชอบอะไรได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”
“...”
ดูเหมือนคำพูดของผมจะแรงไปหน่อยเขาถึงได้เงียบแบบนั้นผมเลยพยายามใช้คำพูดที่นุ่มนวลกว่าเดิม
“ผมมองคุณเหมือนเป็นน้องเป็นนุ่ง คุณช่วยผมตั้งเยอะ แต่ผมคงไม่มองคุณแบบนั้นหรอกนะ... ผมชอบผู้หญิง อย่าพยายามเลย” เขายังคงเงียบผมเลยพูดต่อ “เจอกันแป๊บๆ มันก็ชอบ แป๊บๆ เดี๋ยวก็เลิกชอบ นะ?”
คำสุดท้ายผมพยายามจะทำให้มันนิ่มที่สุดเท่าที่จะนิ่มได้…
แววตาของคนตรงหน้าดูวูบไหวขึ้นมาเล็กน้อย มันทำให้ผมเกือบจะใจอ่อน ขอบคุณที่ผมรู้ตัวก่อนเลยเบือนหน้าหนี เป็นจังหวะเดียวกันกับพ่อลูกขึ้นมาจากทะเลทำให้ไม่มีคนพูดอะไรต่อ
“น้าเพชรขา” หลานสาวเดินเข้ามาเสียงอ่อน “เล่นต่อไม่ได้เหรอคะ”
ผมย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับแก “ไม่ได้นะคะ เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง”
“แต่...” หลานหน้างอ “พระพายยังไม่ได้เล่นกับน้าเพชรเลย...” แกทำเสียงอ่อน หน้าหงอยลงทันตาจนผมรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปเล่นกับแก “งั้นพรุ่งนี้มาเล่นกับพระพายนะคะ”
...เจอแบบนี้ใครจะใจแข็งไหว
“โอเคค่ะ”
“พี่ฟ้าด้วยนะคะ!”
ผมผงะเมื่อพระพายหันไปชักชวนพี่เลี้ยงของแก ฟ้าครามสบตากับผมเล็กน้อย สีหน้าที่ดูเศร้าๆ ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีจนเบือนหน้าหนี
“นะคะพี่ฟ้า...” หลานที่ไม่รู้อะไรก็เอ่ยออดอ้อนต่อ
“พี่... ไม่เล่นดีกว่านะ” คำตอบของเขาทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย
พระพายทำท่าจะร้องไห้ “ทำไมล่ะคะ ไม่อยากเล่นกับพระพายเหรอคะ” พูดเสียงหงอยจนผมต้องจับแกอุ้มขึ้นมาและเหลือบตามองสาเหตุ
พี่เลี้ยงเด็กเองก็มองหน้าผมอยู่เหมือนกัน “อยู่ที่คุณเพชรนั่นแหละว่าจะให้พี่ฟ้าเล่นด้วยมั้ย”
...น้อยใจรึยังไง?
ผมเกือบพลั้งปากถามพี่เลี้ยงเด็กที่ทำหน้าหงอยแบบนั้นแต่ก็ต้องกลืนคำถามลงไปเพราะเห็นหน้าหลาน แล้วไหนจะพ่อของหลานที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย
“น้าเพชรค้า...”
เจอน้ำเสียงแบบนี้จากพระพายสุดที่รักผมจะไปไหนรอด
“เอาไว้พรุ่งนี้มาเล่นกันนะคะ” ผมก้มลงเอ่ยปากกับพระพายก่อนที่จะหันไปมองอีกคนที่ทำหน้าลุ้นอยู่ว่าผมจะพูดอะไรต่อ “คุณด้วยนะ ฟ้าคราม”
ขืนยังทำใจแข็งก็โดนหลานบอกว่าใจร้ายพอดีสิ... แค่หลานดูมีความสุขกับการทานอาหารทะเลคุณปฐพีก็ยิ้มแป้น คุยกับลูกอย่างสนุกสนาน หลังจากกลับมานั่งพักที่ห้องได้สักพักเพื่อให้อาหารอิ่มท้องคุณปฐพีก็เสนอความคิดขึ้นมา
“ที่นี่มีตลาดกลางคืน ไปด้วยกันมั้ยครับ”
ผมลังเลนิดหน่อยก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม ถ้าหากจะไปตลาดกลางคืนจริงๆ มันน่าจะเป็นเวลาที่ดึกกว่านี้ผมเลยส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“พระพายอยากไป!” แต่หลานกลับเอ่ยปากออกมาแบบนั้น “ตลาดกลางคืนเป็นยังไงเหรอคะ”
“ก็เป็นเหมือนตลาดทั่วไปน่ะค่ะ” ผมตอบไปแบบนั้น “แต่มีอะไรให้เที่ยวเยอะเลย มีของกินด้วยนะ”
อันที่จริงผมก็พูดไปเรื่อย ตลาดกลางคืนน่าจะสนุกสำหรับวัยรุ่น เด็กๆ อย่างพระพายก็น่าจะเจอแค่พวกของกิน หรืออย่างมากก็พวกของเล่นเท่านั้น
“พระพายอยากไปค่ะ!” ยิ่งได้ยินแบบนั้นหลานยิ่งยืนยันเสียงแข็ง “คุณพ่อพาพระพายไปได้มั้ยคะ” แกถามอย่างตื่นเต้น
คุณปฐพีหันไปยิ้มให้ลูก “ได้จ้ะ”
“เย้!”
“แล้วคุณเพชรกับฟ้าคราม จะไปด้วยกันมั้ยครับ” คุณพ่อลูกสองหันมาถามพวกผม
ผมลังเลนิดหน่อยและเหลือบมองอีกคน เห็นได้ชัดว่าเขาก็มองผมอยู่ทำให้ผมเป็นฝ่ายหลบตามาก่อน
...ให้ตายสิ บอกแล้วว่าไม่ชอบให้มองแบบนั้น
มองเหมือน... น้อยใจอะไรอยู่อย่างงั้นแหละ!
“ผม... ไม่ไปดีกว่าครับ” ฟ้าครามเป็นคนที่ให้คำตอบคุณปฐพีก่อน “คุณปฐพีเที่ยวกับพระพายให้สนุกเถอะครับ” เขายิ้มก่อนจะหันมามองผม ทันทีที่มองผมรอยยิ้มมันก็เจื่อนลงทันที “คุณเพชรด้วยนะครับ”
ผมรู้สึกใจกระตุกวูบกับรอยยิ้มนั้น
ยอมรับเลยว่าตัวเองเป็นคนที่ใจอ่อนง่ายมาก โดยเฉพาะกับคนอายุน้อยกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมรู้ตัวดีมาตลอด ถึงทำใจแข็งแค่ไหนผมก็มีความคิดว่าคนอายุมากกว่าไม่ควรทำให้คนอายุน้อยกว่าเจี๋ยมเจียม มันเหมือนพี่แกล้งน้อง... หรือว่าที่ผมคิดอย่างนี้อาจจะเป็นเพราะสมัยเด็กๆ ผมโดนแม่ของหลานแกล้งบ่อยๆ กันแน่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
สุดท้ายผมก็สูดลมหายใจลึกและเอ่ยปากให้คำตอบ
“ผมไม่ไปล่ะกันนะ” ...อะไรดลใจให้ผมพูดแบบนี้เนี่ย ให้ตาย! พอได้ยินแบบนั้นคุณปฐพีก็ยกยิ้มเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร เขาบอกว่าจะพาหลานกลับมาก่อนสี่ทุ่มเนื่องจากตลาดกลางคืนอยู่ไม่ไกล อีกอย่างพระพายคงจะทนมากกว่านั้นไม่ไหวเพราะหลานเป็นเด็กที่นอนเร็ว (ผมกำชับเรื่องนี้มากเพราะผมกลัวแกไม่สูง)
เชื่อมั้ย ตั้งแต่ผมบอกไปว่าผมจะอยู่ที่นี่... ผมยังไม่ได้เหลือบมองหน้าพี่เลี้ยงเด็กเลย
แล้วเด็กมันจะคิดยังไงวะเนี่ย
คุณปฐพีแทบไม่ได้ใช้เวลาอะไรเลย พระพายเองก็ยังอยู่ในชุดที่ออกไปข้างนอกได้ เมื่อตกลงกันเขาเลยออกจากห้องทันที
“เดี๋ยวผมจะรีบกลับนะครับ”
คุณปฐพีเอ่ยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะอุ้มลูกตัวเองเดินออกจากห้องไป
ปัง...
เสียงประตูปิดดังขึ้นในความเงียบ ตอนนี้ไม่มีเสียงอะไรเลย มันเงียบจนน่าอึดอัด ท้ายที่สุดก็เป็นผมที่ลุกขึ้นเดินไปเปิดทีวี เจอรายการกีฬาฉายย้อนหลัง ผมก็ดูเรื่อยๆ ไปตามเรื่องเพราะไม่มีอะไรทำ
“คุณเพชรครับ...”
นานทีเดียวกว่าจะมีเสียงพูดดังขึ้นมา
ผมทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียวว่าควรทำหน้าอย่างไร “หือ?” เลยส่งเสียงขานรับโดยไม่หันมามองหน้า
“คุณเพชร... ไม่อยากไปเที่ยวกับพระพายเหรอครับ”
“ผมไม่ชอบเที่ยว”
“แล้วคุณเลยเลือกที่จะอยู่กับผมอย่างงั้นเหรอ” คำพูดของเขาทำให้ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ฟ้าครามมองตรงมาที่ผม มองด้วยสายตาเหมือนจะคาดหวังอะไรเล็กน้อย ซึ่งผมไม่อยากคิดว่าเขาจะคาดหวังอะไร
แต่ให้ตายเถอะ... สายตานั่นทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออกยังไงไม่รู้
ทั้งๆ ที่ผมนั่งอยู่ริมโซฟาและเขาอยู่ที่โซฟาอีกฝั่งหนึ่ง ทั้งที่ระยะห่างระหว่างเราก็มีมากแท้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเขาขยับเข้ามาใกล้โดยที่เขาไม่ได้ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว หรือบางทีเขาอาจจะมีพลังอะไรบางอย่างรึเปล่า...
อา ผมเริ่มเพ้อเจ้อแล้ว
ผมสูดลมหายใจลึกและมองหน้าเขาตรงๆ “ทำไม”
“เปล่าครับ ผมแค่อยากถาม” พี่เลี้ยงเด็กตอบกลับมาตรงๆ “แล้วคำตอบคือ...”
ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“ผมไม่ได้เลือกที่จะอยู่กับคุณ”
...
“แต่การอยู่กับคุณ... ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก” คำพูดของผมอาจจะดูแย่ไปเสียหน่อย ทั้งๆ ที่ตัวเองตั้งท่าไว้อยู่แล้วแต่พอเห็นอีกฝ่ายหน้าซึมหน้าหงอยแล้วมันพาลรู้สึกสงสาร ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะเปิดโอกาสให้เขา แต่มันหมายความว่าผมจะปล่อยให้เขาทำตามที่อยากทำ
ในเมื่อไม้แข็งไม่ได้ ผมจะลองเอาไม้อ่อนสู้
...ยังไงหมอนี่ก็ไม่ได้จริงจังกับผมหรอก สักพักเขาก็หยุดเองแหละ
คิดแบบนี้แล้วผมก็ได้แค่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ได้มองหน้าฟ้าครามสักนิดแต่คิดว่ารอยยิ้มคงไม่ใช่รอยยิ้มเจื่อนๆ เหมือนเดิม เอาล่ะ ในเมื่อลองใช้วิธีนี้ผมก็ต้องทำใจตัวเองให้ดีๆ
จะพยายามไม่ใจอ่อน
แต่มันจะทำได้มั้ยล่ะเนี่ย!-----------------------
อ้อย! คุณเพชรอ้อย!
จริงๆ หลายคนก็คงจะจับทางคุณเพชรถูกแล้วแหละ
เพียงแต่ฟ้าครามจะจับทางถูกรึยังหนอ?
ปล. ขอโทษที่มาช้านะคะ T_T
[/color]