CHAPTER 16
“ยอมรับ” “คุณเพชร... ผมขอโทษจริงๆ”
“อือ” ผมพยักหน้ากับคำขอโทษครั้งที่ล้านของพี่เลี้ยงเด็ก
กว่าพระพายจะกลับมาถึงบ้านก็ล่อไปเกือบสามทุ่มจนหลานนอนหลับในรถ อย่างที่รู้ๆ ว่าบ้านเรารถติดระดับไม่ธรรมดา แถมฟ้าครามบอกว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันเล็กน้อยระหว่างทาง ยิ่งทำให้รถติดเข้าไปใหญ่
“คุณเพชร...”
“กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวกลายเป็นกลับบ้านดึกหรอก” ผมเอ่ยตัดบท เห็นเจ้าพี่เลี้ยงเด็กทำตาละห้อยอย่างน่าสงสาร “ทำไมเหรอ?”
“คุณเพชรไม่โกรธ... ใช่มั้ย?”
คำถามที่ดูไม่มั่นใจของอีกฝ่ายทำให้ผมเค้นหัวเราะออกมาเบาๆ
“เปล่า” ผมเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ได้โกรธ ถ้าจะโกรธก็โกรธเรื่องพาหลานไปเหนื่อยแค่นั้น”
อีกฝ่ายยิ่งทำหน้าหงอยมากกว่าเดิม “ผมขอโทษ”
“โอเค กลับบ้านซะฟ้าคราม ผม – ไม่ – โกรธ” ผมเอ่ยคำหลังชัดๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายยังมีความลังเลใจอยู่เล็กน้อยจนผมต้องเอ่ยปากออกมาอีก “ฟ้าคราม...”
“กะ กลับแล้วครับ” เขายิ้มเจื่อน “ฝันดีนะครับคุณเพชร”
“อืม”
ผมยืนอุ้มหลานตัวน้อยไว้ในอ้อมกอด มองเขาเดินกลับไปที่รถของตัวเองหลังจากยกมือไหว้ผมตามประสาเด็กมีสัมมาคารวะเสร็จ รอจนรถออกไปผมถึงอุ้มหลานขึ้นไปนอน
‘คุณเพชรไม่โกรธ... ใช่มั้ย?’
พอคิดถึงคำถามของเจ้าเด็กนั่นผมก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก จิตใจไม่ค่อยสงบเท่าไหร่
ไม่โกรธ... แต่ขุ่น...
ประมาณนั้นล่ะมั้ง
หลังจากปลุกหลานให้มาอาบน้ำก่อนที่จะปล่อยให้แกเข้านอนใหม่สำเร็จผมก็มานั่งจัดการทำงานบางส่วนที่เอากลับมาเคลียร์ที่บ้าน ทำจนลืมเวลา กว่าจะได้สติก็ตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
ผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นมามองสายที่โทรเข้าแล้วได้แต่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
...ไอ้ธาม? อะไรของมันวะเนี่ย วันก่อนเพิ่งเจอกันไม่ใช่รึยังไง
ผมกดบันทึกงานไว้เพื่อกันเหนียวก่อนที่จะกดรับสาย “มีไรวะ”
[มึง โกรธเหรอ]
“ห๊ะ” เสียงหงอยๆ ของมันทำให้ผมร้องออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะยกโทรศัพท์ออกห่าง มาดูอีกทีว่าคนที่โทรมาเป็นใคร แต่มันก็ยังเป็นไอ้ธาม
[ไอ้เพชรรรรร! อย่าเงียบดิเว้ย] เสียงโวยวายดังมาจากปลายสาย
“เปล่าเงียบ กำลังงงอยู่ว่ามึงพูดถึงอะไร” ผมตอบไปตามจริง
[ง่ะ] มันโอดครวญ [ก็... น้องฟ้าโทรมาบอกกูว่ามึงโกรธน้องเขาที่น้องเขาเอานาฬิกามาให้กูแล้วไปรับมึงไม่ได้อ่ะ]
ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะสูดลมหายใจ
โกรธ? เปล่าสักหน่อย แค่หงุดหงิดใจเท่านั้น แต่ที่สำคัญ...
“น้องฟ้าของมึงโทรไปบอกมึงงั้นเหรอ?” ปลายสายร้องออกมาเหมือนโดนจับได้ [เฮ้ย ไม่ใช่อย่างงั้น..]
“แล้วมึงรู้ได้ไง มีญาณทิพย์เหรอ เป็นเพื่อนคุณเจนรึยังไง” ผมรัวออกมาด้วยความหงุดหงิดเมื่อเจอไอ้ธามพูดแบบนี้ มันเหมือนกับจุกที่อุดไว้กำลังจะแตก “ตอบกูมา รู้ได้ยังไง”
[กะ ก็... น้องฟ้าบอกจ้ะ]
“มึงสะเหร่อไปถามเรื่องของมันเอง หรือมันโทรหามึง”
[เปล่าโทรจ้ะ] มันพูดเสียงแผ่ว [กะ ก็ไลน์คุยกันเฉยๆ]
“ไลน์?” ผมทวนคำ “สนิทกันจริงนะ นี่มึงเพื่อนกูหรือเพื่อนเด็กนั่นวะ” ให้ตาย ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำตัวไม่เหมือนผู้ชาย อยู่ๆ มานั่งพูดประชดประชันเพื่อนแบบนี้
และ... ให้ตาย ผมไม่ควรจะมาหงุดหงิดใจใส่ไอ้ธาม คนที่ผมควรหงุดหงิดใจมันคือฟ้าต่างหาก!
[เพชร ใจเย็นๆ นะเว้ย กูโทรไปบอกน้องเรื่องนาฬิกาเฉยๆ แล้วกูก็ไลน์ถามว่าน้องกลับบ้านยัง แค่นั้นเอง] ไอ้ธามเอ่ยปากอย่างใจเย็น ผมเองก็พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และรับฟังมันเท่านั้น [เรื่องนาฬิกา... กูไลน์ไปบอกมึงแต่เช้าแล้วด้วย แต่มึงไม่ตอบ]
“กูขอโทษ” พอได้ยินแบบนี้ผมก็อ่อนลงนิดหน่อย “แล้วทำไมเพิ่งรู้ตัวว่าลืมเอานาฬิกาไป”
[วันเสาร์กูกลับจากบ้านมึงกูก็อยู่บ้านปะ จนวันจันทร์จะไปทำงานแล้วหาไม่เจอเลยนึกออก] ...ก็ถูกของมันนั่นแหละ [จริงๆ กูบอกว่าจะไปเอาเอง แต่ว่าน้องมันบอกว่ายังไงๆ ก็ต้องไปรับมึงอยู่แล้ว กูเลยวานให้น้องเอามาให้ ลืมคิดไปเลยว่ารถติด]
“เออ”
[แล้วทำไมมึงต้องโกรธน้องเขาวะ]
“…” ผมเงียบ ไม่ได้เอ่ยปากอะไรไปจนปลายสายเร่งเร้า
[เฮ้ย ตอบดิ]
“กูไม่ได้โกรธ” ผมตอบไปตามจริง “แค่หงุดหงิด แม่ง บอกว่าจะมารับแล้วโทรไปไม่ติด กูก็กลัวดิ ขืนเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ แล้วหลานก็อยู่ด้วยนะเว้ย” เหตุผลดูเข้าท่าสุดๆ และมันก็เป็นเรื่องจริง “บอกให้กูรอนานๆ แต่ติดต่อไม่ได้มันก็ต้องหงุดหงิดอยู่แล้วปะ”
[อืม... จริงของมึง] เสียงไอ้ธามดูเห็นด้วยสุดๆ
...รอดละกู
[ไม่มีเหตุผลอื่นเหรอ]
ไม่รอดสินะ โอ๊ยยย
ผมได้แต่กุมขมับเมื่อเจอไอ้ธามเอ่ยปากคำถามราวกับรู้ทันออกมา ใช่ รู้ทัน ผมเองก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองหงุดหงิดอะไร ถึงได้ไม่อยากให้ถาม!
“ไม่” ทั้งที่ตอบไม่ แต่ผมรู้ดีว่าไอ้เพื่อนซี้สี่ขามันก็รู้ว่าคำตอบแท้จริงแล้วคือ ‘ใช่’
ผมเป็นคนขี้หวง แล้วยังขี้กั๊กด้วย
นิสัยนี้เป็นนิสัยเสียตามประสาลูกคนเล็ก ผมไม่ถึงขั้นเอาแต่ใจ แต่อะไรที่เป็นของผม ผมจะหวงมาก หรืออะไรดีๆ ที่เข้ามา ถึงผมจะไม่เอา ผมก็จะกั๊กไว้ ประมาณว่าเป็นของตาย... ไม่เอาก็อย่าให้ใครได้ รอดูเวลาอีกสักพัก แม่ง นิสัยเสียสุดๆ
ได้ยินไอ้ธามหัวเราะเบาๆ อย่างน่าหมั่นไส้มาจากปลายสาย หน้าผมเบ้ขึ้นมากะทันหัน “อะไร?”
[เปล่าๆ กูแค่... ฮึๆๆ] …เปล่าแต่หัวเราะคือเชี่ยไรฟะ! [ไอ้เพชร เอาจริงนะเว้ย มึงยืนยันเหรอว่ามึงเป็นผู้ชายแท้ๆ] ก่อนที่น้ำเสียงมันจะแปรเปลี่ยนมาจริงจังใหม่
ผมสูดลมหายใจลึก “เออ”
[ปากแข็งนะ] ดูมัน
[ผู้ชายแท้ๆ เขาไม่กั๊กผู้ชายที่มาจีบตัวเองหรอก เคปะ?] ผม – เกลียด – มัน! คำพูดของไอ้ธามเหมือนหอกที่ปักเข้ามากลางใจดังฉึก เล่นเอาผมเซไปเลยทั้งๆ ที่มันเป็นแค่คำพูด
เออ ก็รู้แล้วไง ไม่อยากยอมรับ ไม่ใช่ไม่รู้ตัวหรอก ผมเริ่มตงิดใจกับอาการตัวเองมาสักพักแล้ว มาชัวร์ๆ เลยก็ตอนที่ไอ้ธามเอ่ยปากพูดเหมือนจะเต๊าะน้องฟ้าของมันแล้วผมรู้สึกหงุดหงิดใจ ยิ่งชัวร์เข้าไปใหญ่กับเหตุการณ์วันนี้
ผมยืนยันว่าตัวเองยังไม่ชอบฟ้าคราม... แต่เพราะคำว่า ‘ยัง’ นี่แหละ มันเลยน่ากลัว
ก็เพราะว่า ‘ยัง’ มันแปลได้หลายความหมาย มันแปลว่าในอนาคตผมอาจจะชอบเจ้าเด็กนั่นก็ได้ ใครจะไปรู้... โธ่เว้ย ยิ่งพูดแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
[เงียบทำไมจ๊ะอีหนู เสี่ยพูดแทงใจรึไง]
“ใครเสี่ย ใครอีหนู อย่าเยอะ” ผมเอ่ยปากด้วยความหมั่นไส้
[อะไรวะ] ไอ้ธามบ่นเบาๆ [สรุปที่กูพูดไปนี่ถูกใช่มะ จงใจกั๊กน้องเขาอ่ะดิ]
ผมสูดลมหายใจลึก
“ไม่ได้จงใจ... แต่เออ กูกำลังกั๊กเขามั้ง” ไอ้ธามเงียบไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่มันจะหัวเราะดังก๊าก ผมรู้สึกเหมือนเลือดมันสูบฉีดขึ้นหน้าชอบกล นึกดีใจที่ตอนนี้คุยโทรศัพท์ ขืนเห็นหน้ามันก็คงไม่วายแซวอีก
[จริงสินะ ที่หงุดหงิดนี่เป็นเพราะกูไปบอกว่าน้องเขาน่ารักใช่มั้ย]
ฉึก!
[กูน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่ามึงมันเป็นพวกขี้หวง] ปลายสายดูพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที [เฮ้ย แต่ที่กูพูดว่าน่ารักนี่กูพูดไปตามเนื้อผ้านะ น้องเขาน่ารักจริงๆ เคปะ เข้าใจกูใช่ปะ ไม่ได้อยากได้น้องเขา แต่อยากได้คนแบบน้องเขา เข้าใจกูม๊ายยย] ดูเหมือนมันจะเข้าใจว่าผมหงุดหงิด
“เออ” ผมตอบรับสั้นๆ
...ใช่ไง ไอ้ธามพูดอะไรไม่ค่อยคิด ผมแม่งคิดเยอะเอง เป็นแบบนี้ตลอดแหละ
[คราวหน้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้แล้วจ้ะ]
“กูไม่ได้ห้ามพูด” ผมแย้ง “จะพูดก็พูดไปดิ ไม่ใช่เรื่องสักหน่อย” ...แล้วตอนนั้นกูจะหงุดหงิดทำไม ไม่ใช่เรื่องสักหน่อย
เว้ย พอมานั่งคิดแล้วรู้สึกว่าตัวเองปัญญาอ่อน งี่เง่าเป็นบ้า
[จ้ะ สรุปอีหนูเอาไงบอกเสี่ยด้วยนะจ๊ะ]
“เลิกเรียกแบบนี้ได้ปะ ขนลุก”
[โอเคๆ] มันหัวเราะเบาๆ [เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน สรุปเคลียร์แล้วนะ อย่าขี้หึงมากเด้ นี่เพื่อนนะเว้ย]
“ไอ้ธาม!” …หึงเชี่ยไร บอกแล้วว่าไม่ได้หึง มึงเข้าใจคำว่าหงุดหงิดปะ
ไอ้ธามหัวเราะผ่านมาตามสายก่อนที่จะวางโทรศัพท์ ผมเขวี้ยงมันไปไกลๆ พยายามจะโฟกัสงานที่อยู่ตรงหน้าแต่พอจะพิมพ์กลับพิมพ์ไม่ออก
“บ้าเอ๊ย...” ผมได้แต่สบถเบาๆ และขยี้หัวตัวเอง
ให้ตาย นี่กูยอมรับแล้วเหรอวะว่ากูกั๊กมัน
นี่มันจุดเปลี่ยนชีวิตเลยนะ ให้ตายเถอะ!
วันต่อๆ มาผมก็ยังทำตัวเหมือนเดิม... คิดว่าอย่างนั้น
ยอมรับเลยว่าเห็นหน้ามันแล้วบางครั้งก็รู้สึกแปลกๆ แบบบอกไม่ถูก แปลกยิ่งกว่าตอนที่หมอนั่นยอมรับว่าจะจีบผม แปลกยิ่งกว่าตอนที่หมอนั่นบอกว่าชอบผม คือรอบนี้คนยอมรับมันคือผมไง ถึงไม่ได้ยอมรับกับมัน แต่ก็ยอมรับกับไอ้ธาม... นั่นน้องรักมันนี่ มันจะไปบอกอะไรน้องรักมันปะวะ
กังวลไปก็เท่านั้น ดูจริงๆ หน้าเจ้าเด็กนั่นก็ยังหงอยๆ อยู่ ถ้าไอ้ธามบอกแล้วก็คงหน้าระรื่นกว่านี้แล้ว
...ผมคิดแบบนั้นจนวันนี้นี่แหละ
“คุณเพชรครับ”
“หือ?” ระหว่างที่ผมนั่งรถเจ้าเด็กนี่กลับมาจนถึงบ้าน ผมกำลังจะอุ้มพระพายลงมาจากรถ เขาก็เอ่ยปากเรียกผมก่อนเสียอย่างงั้น
“คุณธาม...”
WTF!
อักษรสามตัวลอยขึ้นมาในหัวผมทันที อะไรวะ ไอ้ธามอะไร ทำไมต้องเอามันมาขึ้นต้นประโยค!
“อะ อะไร” ผมเอ่ยออกมา ติดอ่างซะด้วย พิรุธสุดๆ
ฟ้าครามหน้าหงอย “เขาบอกว่าคุณเพชรยังโกรธผมเรื่องวันนั้นอยู่”
...
อ๋อเหรอ เรื่องนี้น่ะเหรอ
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่เจ้าเด็กตรงหน้าคงจะตีความเป็นอื่น ยิ่งทำหน้าเครียดมากกว่าเก่าเสียอีก “ยังโกรธจริงๆ เหรอครับ ผม...”
“เปล่า ไม่ได้โกรธ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าไปเชื่อมันนักเลย”
“แต่ว่า..”
ผมหันไปมองเขา เลิกคิ้วนิดหน่อย “ระหว่างมันกับผม เชื่อใครมากกว่ากัน”
“ชะ เชื่อ... คุณเพชรก็ได้ครับ” หน้าเขาเจื่อน เอ่ยออกมาเสียงเบา ทำอย่างกับผมกำลังแกล้งเด็กอย่างไรอย่างงั้น ไอ้คำว่า ‘ก็ได้’ นี่คืออะไร? “แต่คุณเพชรไม่ค่อยพูดกับผมเลย”
“แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ” คราวนี้เป็นผมถามกลับบ้าง
อันนี้คิดจริงๆ นะ แล้วจะให้ผมพูดอะไร ปกติเขาก็เป็นคนเปิดประเด็นให้ผมคุยตลอด ดูเหมือนเขาผวาเรื่องที่ผมโกรธล่ะมั้งเลยไม่ได้เอ่ยปากพูดก่อน ทีนี้ผมก็ไม่ได้พูดเหมือนกัน
“อื้ออ~”
ไม่ทันที่พี่เลี้ยงเด็กจะได้ตอบอะไรเสียงหลานสาวก็ดังขึ้นมาก่อน มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ ผมเลยเปิดประตูรถ ลงมาเปิดประตูที่นั่งข้างๆ คนขับก่อนที่จะอุ้มแกเข้าบ้าน
“คะ คุณเพชร” เขายังเอ่ยเรียกผม
ผมหันไปยิ้มนิดหน่อย “เดี๋ยววันนี้ผมทำกับข้าวให้ละกัน”
ผมเห็นเจ้าเด็กนั่นกลืนน้ำลายอึก “ครับ...”
ทำไมวะ... กูยิ้มให้ บอกจะทำกับข้าวให้นี่มันน่ากลัวมากเหรอฮะ! ผมจัดการอุ้มหลานและบอกให้ฟ้าครามดูแลหลานไว้ ก่อนที่ตัวเองจะปลดเนกไท ถกแขนเสื้อ ลงมาเตรียมอาหารง่ายๆ
ขณะที่ผมกำลังทอดไข่อยู่พี่เลี้ยงเด็กก็เดินมาที่ครัวแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
“คุณเพชรครับ”
“อะไร?”
“ผมช่วยนะ” เขาเอ่ยออกมายิ้มๆ ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร แค่พยักหน้า เขาเลยเอ่ยปากพูดต่อ “สรุปคุณเพชรโกรธผมจริงๆ เหรอครับ”
“ไม่” ผมตอบไปตามจริง “แต่ถ้าคุณถามอีกครั้ง ผมจะโกรธ ผมขี้เกียจตอบซ้ำๆ”
“แหง่ะ...” เขาครางเสียงอ่อย “ไม่ถามแล้วครับ แต่ผมขอโทษจริงๆ นะครับ”
“อืม”
“คุณเพชรรร” ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “คุณธามบอกคุณเพชรไม่พอใจ คุณเพชรไม่พอใจอะไรเหรอครับ ผมขอโทษจริงๆ”
ผมหันไปมองหน้าเขาตรงๆ... ดูเหมือนเขาจะผงะจนเกือบจะลืมหายใจด้วยซ้ำ
“คุณควรรู้อย่างนึงว่าผมเป็นคนขี้หวง” ผมเอ่ยปากนิ่งๆ ก่อนที่จะหันมาจัดการไข่ที่ทอดอยู่ ปล่อยให้ฟ้าครามยืนนิ่งอยู่แบบนั้นทั้งที่เขาเอ่ยปากมาเองว่าอยากจะช่วย แต่ผมก็ไม่สนใจ
“ทะ... ทำไมผมต้องรู้เหรอครับ” ฟาย! ยังกล้ามาถาม! ผมไม่ได้หันหน้าไปตอบด้วยซ้ำ แค่เอ่ยสั้นๆ “คิดเองดิ”
...ผมเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นคิดได้รึเปล่าเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าเด็กนั่นนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่ใบหน้าจะเริ่มขึ้นสีระเรื่อ
เห็นทีท่าแบบนั้นแล้วผมรู้สึกเอ็นดูเสียจนต้องระบายยิ้มออกมานิดหน่อย
บางทีไอ้เด็กนี่ก็น่ารักเกินไปจนเกลียดไม่ลง
----------------------------------
มีคนด่าคุณเพชรแล้ว ดีใจจังเลยค่ะ! 5555555
คือชอบให้มีคนด่าตัวเอกบ้าง บางทีแอบรู้สึกว่า "ตัวเอกนี่มันไม่ใช่คนเหรอ?"
เพราะตัวเอกทำอะไรคนก็มักจะไม่ค่อยด่า ผิดกับคนปกติมากกกกกก
คุณเพชรก็เป็นคนปกติเนอะ (ไม่เหมือนคุณปฐพี รายนั้นทำอะไรก็โดนด่า 5555)
ปล. คืบหน้าจริงๆ 