CHAPTER 19
“เข้าใจถูก” ผมนอนไม่หลับหลังจากกลับมาจากการไปชมโชว์ดิสนี่ย์ออนไอซ์
คุณปฐพีไม่ได้ติดต่อกับผมตรงๆ คิดว่าเขายังคงยุ่งอยู่ ขนาดวันนี้พระพายยังได้คุยแค่แป๊บเดียว ผมเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามหลาน กลัวคำตอบด้วยส่วนหนึ่ง และในใจก็รู้ด้วยว่าคำตอบมันน่าจะเป็นไปในแนวทางไหน
...นั่นเป็นพ่อ ส่วนนี่เป็นแค่น้า
ครอบครัวที่แท้จริงของแกอยู่ตรงนั้น จริงๆ ผมไม่ควรต้องเป็นกังวลขนาดนี้ใช่มั้ยล่ะ ไม่ได้หมายความว่าพอหลานไปอยู่กับคุณปฐพีแล้วผมจะไม่ได้ไปหาแกเลยสักหน่อย ผมยังแวะไปหาแกได้ตามปกติไม่ใช่รึยังไงกัน? วันเสาร์อาทิตย์ผมไปหมกตัวอยู่กับแกทั้งวันก็ได้
แต่พอมานั่งคิดว่าบ้านที่เคยอยู่กับพระพายจะเงียบเหงาเนี่ย... มันก็...
สุดท้ายผมก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินออกจากห้องและเข้าไปในห้องนอนของพระพายให้เบาเสียงที่สุด ห้องมืดสนิท มีเสียงหายใจเบาๆ อย่างสม่ำเสมอดังขึ้น ตอนนี้หลานคงจะหลับสนิท ผมยิ่งระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเก่า กลัวแกจะตื่นก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ เตียงและก้มลงจุ๊บหน้าผากแกเบาๆ
“ฝันดีนะคะ”
“งืม...” หลานขมวดคิ้วนิดหน่อยแต่ก็นอนหลับต่อไป
พอมั่นใจว่าแกหลับสนิทผมก็เดินกลับมา ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน พยายามจะนอนมานานแล้วแต่ทำไม่ได้สักที
ผมหยิบหนังสือมาอ่าน สักพักก็ปิด ผมเปิดโทรศัพท์ดูรูป ส่วนมากจะเป็นรูปวิวทัศน์ รูปถ่ายสวยๆ ที่ผมเห็นตามโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กแล้วเซฟมาเก็บไว้ มีรูปเพื่อนบ้างแต่ไม่ค่อยมีรูปผม ผมมันคนไม่ชอบถ่ายรูปเท่าไหร่นัก ตลอดจนภาพถ่ายวันนี้ มีแต่ภาพหลานเป็นส่วนใหญ่
...มีภาพหนึ่งที่ทำให้ผมชะงัก...
มันเป็นภาพหลานสวมที่คาดผมสติช ผมสวมที่คาดผมมิกกี้ และเจ้าฟ้าครามสวมที่คาดผมมินนี่ เป็นภาพที่ผมขอให้พนักงานถ่ายรูปส่งให้เอง
‘ครอบครัวน่ารักจังเลยนะคะ อยากมีแบบนี้บ้างจัง’
คำพูดของพนักงานสาวเมื่อตอนนั้นทำให้ผมชะงักนิดหน่อย
ครืด~
โทรศัพท์ในมือสั่นพร้อมกับสัญญาลักษณ์ว่ามีไลน์เข้า ผมกดเปิดทันที
เป็นฟ้าครามที่ไลน์เข้ามา เขาส่งภาพวันนี้ให้ชุดใหญ่ ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่เขาคงเห็นแล้วว่าผมอ่านเลยมีข้อความขึ้นมา
'ยังไม่นอนเหรอครับ ตีหนึ่งแล้วนะ' ผมพิมพ์ตอบไปทันที
'อืม' ไม่ได้บอกว่าทำไมถึงยังไม่นอน จริงๆ ผมไม่ต้องพิมพ์อะไรต่อก็ได้ แต่ผมก็พิมพ์
'ยังไม่นอนเหรอ' ผมมีไลน์ฟ้าครามอยู่แล้วครับแต่ผมไม่ค่อยคุยไลน์เท่าไหร่ ชอบโทรคุยมากกว่า จะมองว่าหัวเก่าก็ได้นะ...แต่ผมชอบที่จะได้ยินเสียง คนที่ไลน์คุยมักจะเป็นเพื่อนที่ต่างประเทศ เคยคุยกับเขาแค่ครั้งเดียวตอนที่เราไปทะเล เขาส่งภาพถ่ายให้เหมือนกับวันนี้ แต่เราก็ไม่ได้พูดอะไร ผมบอกแค่ขอบคุณ เขาบอกฝันดี ผมบอกว่าเหมือนกันจากนั้นก็กดสติ๊กเกอร์อีกตัว เราไม่คุยกันเลย
'ผมว่างๆ' คำตอบของเขาทำให้ผมขมวดคิ้ว
'แล้วทำไมไม่ไปนอนล่ะ' 'รอคนบอกฝันดี' เขาว่างั้นและส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวน์เขินบิดตัวมาอีก
ผมไม่ได้ตอบ นิ่งไปราวๆ สองสามนาทีก่อนจะสูดลมหายใจลึก กดอะไรบางอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำกับเขามาก่อน
ผมกดฟรีคอลครับ
เขาคงตกใจแต่เขากดรับเร็วมาก เร็วจนผมนึกประหลาดใจ แถมพอรับแล้วปลายสายไม่พูด ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน แค่ได้ยินลมหายใจแผ่วๆ ของอีกฝ่ายเท่านั้น
ปัญญาอ่อน... ใครก็ได้บอกทีว่าเสียงผมอยู่ไหน ผมคลำหาเสียงตัวเองไม่เจอแล้วเนี่ย
[มะ ไม่นอนเหรอครับ] ผมแอบขำ เสียงของเขาสั่นนิดๆ ดูตกใจไม่ใช่น้อย
“ยังไม่อยากนอน” ผมตอบไปตามจริง “คุณจะนอนรึยังล่ะ”
[ยังไม่มีคน.. บอกฝันดีเลย] อา เจ้าเด็กนี่! “งั้นผมยังไม่บอกล่ะกัน ยังไม่อยากให้นอน”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างตกใจ [คะ คุณเพชร! คุณเพชรเป็นอะไรรึเปล่าครับ หัวกระแทกรึเปล่า]
...ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย
“เปล่า” ผมเอ่ยเสียงหงุดหงิดนิดหน่อย “แล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากได้ยินเหรอ ไม่ดีใจรึยังไง”
[ดีใจ! ดีใจมากๆ]
คำพูดที่ซื่อตรงทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ แต่ผมแค่อยากจะคุยกับเขา อยากจะได้ยินเสียง... แค่นั้นเอง ผมอาการหนักแล้วจริงๆ นะ ให้ตายสิ
[แล้วคุณเพชรยังไม่นอนเหรอครับ เป็นอะไรรึเปล่า]
ผมลังเลนิดหน่อย “เปล่า” ก่อนที่จะโกหก
พวกเราเงียบอีกครั้ง ผมหลับตาลง ได้ยินเสียงหายใจจากปลายสายและเสียงอะไรไม่รู้ดังตุบๆ เจ้าเด็กนั่นคงไม่ได้ทำอะไรน่ารักๆ อย่างการจิกหมอนอะไรแบบนั้นหรอกนะ... ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะฮาไปหน่อย
[คุณเพชรรู้อะไรมั้ยครับ]
"ไม่"
[ง่ะ] เขาครางเสียงหงอยเล่นเอาผมอมยิ้ม [แต่ผมอยากให้รู้ ตอนนี้ผมดีใจมากๆ มากแบบมากๆๆๆๆๆๆๆ] เขารัวคำว่ามากจนผมรู้สึกเหนื่อยแทนเลยทีเดียวเชียว
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
[ครับ... ขนาดนั้นเลย]
“อืม ดีแล้ว” ผมไม่รู้จะตอบอะไร รู้สึกเขินๆ แอบคันๆ ที่แก้มชอบกล “นี่... ฟ้าคราม”
[ครับ?]
“ทำไมคุณถึงได้ชอบผมนัก” ผมไม่รู้อะไรดลใจให้ตัวเองถามไปแบบนั้น ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ คงจะเป็นนาทีเลยทีเดียว ผมเอื้อมมือไปดึงหมอนมาก่อนที่จะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนขณะรอคำตอบ
[ทะ ทำไมถึงได้ถามงั้นล่ะครับ]
“ไม่รู้สิ” คำว่าไม่รู้ของผมหมายถึงไม่รู้จริงๆ “แล้ว... ทำไมล่ะ” ผมรู้ดีว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับการคาดคั้นคำตอบ แต่ผมอยากรู้จริงๆ
[เอ่อ ก็ไม่รู้สิครับ... ผมแค่ชอบเท่านั้นเอง]
“...”
[ชอบตั้งแต่เห็นคุณเพชรยิ้มให้พระพายแล้วครับ แล้วก็ชอบมากขึ้น... มากขึ้น... จนอยากให้คุณเพชรยิ้มให้ผมบ้าง]
ผมแทบจะหายใจไม่ออกกับคำตอบนั้น มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในอก มันไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บแปล่บอะไร แต่มันเหมือนกับ... มีอะไรพองๆ อยู่ในอกตัวเอง
“มันเร็วขนาดนั้นจริงๆ เหรอ...” ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว “นี่มันแป๊บเดียวเองนะ”
[มันก็เร็วจริงๆ แหละครับ ยังไม่สองเดือนเลยด้วยซ้ำ] เขาเอ่ยปากออกมาแบบนั้น [ผมไม่ได้มีความรักกับคุณเพชรแบบ... เอ่อ ยังไงล่ะ ผมไม่ได้เคยเจอคุณเพชรแล้วหลงรักเหมือนในละครหรอกนะครับ] ผมหลับตาลง ปล่อยให้เขาเอ่ยปากพูดต่อไปเรื่อยๆ [แต่ผมมองว่ารักมันไม่ต้องการเวลาหรอกนะครับ]
ผมนิ่งไปพักใหญ่ก่อนที่จะเอ่ยปากพึมพำเบาๆ “น้ำเน่า...”
[คุณเพชรครับ] เสียงเขาอ่อนลงนิดหน่อย
[ผมอยากให้คุณเพชรยิ้มให้ผมบ้าง... ได้มั้ยครับ ผมมีโอกาสมั้ย...] อย่าเพิ่ง
ผมบอกตัวเองว่าอย่าแต่ผมกำลังห้ามปากไม่ได้
“มี” [...]
“...”
[ฮะ...?]
“เอ่อ จะนอนแล้ว ฝันดีแล้วกัน” ผมเอ่ยปากออกมาแบบนั้นก่อนที่จะกดตัดสายทันทีก่อนที่เจ้าเด็กนั่นจะพูดอะไรออกมา
ผมซุกหน้าลงบนหมอน ไม่ได้อยากจะจิกหมอนหรืออะไรนะ แต่ให้ตายเถอะ... ผมอยากจะเอาหมอนกดหน้าร้อนๆ ของตัวเองในตอนนี้ เอาให้ตายๆ ไปซะเสียอย่างงั้น!
ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์ตัวเองสั่นครืดๆ อย่างกับเจ้าเข้า ตอนแรกผมลังเลว่าจะเปิดดีมั้ย สุดท้ายผมก็เปิดมันมาอ่าน
'คุณเพชร นี่ผมฟังผิดรึเปล่า'
'คุณเพชร ผมจริงจังนะ'
'คุณเพชร' ...
เจ้าหมอนั่นสแปมคำว่าคุณเพชรมาราวๆ สิบข้อความก่อนที่จะส่งมาเป็นสติ๊กเกอร์หมีบราวนและโคนี่ในสภาพรื่นเริงอีกราวๆ ยี่สิบตัว เห็นแล้วผมได้แต่กุมขมับ อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจและเสียงหัวเราะออกมานิดหน่อย
'คุณเพชร ผมโมเมแล้วนะ... ว่าคุณเพชรบอกว่าผมมีโอกาส' ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะพิมพ์กลับไป ไม่รอให้มันขึ้นอักษรว่า Read ด้วยซ้ำ ผมรีบปิดโทรศัพท์มือถือทันที รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเธอทำตัวแบบนั้นเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ให้ตาย ผมเขิน เขินมากๆ ตอนตัวเองพิมพ์มันออกไป
'ไม่ต้องโมเมหรอก เข้าใจถูกแล้ว' เจ้าเด็กนั่นคงฝันดีเป็นแน่แท้
...แต่ประเด็นคือ ทำไมผมต้องฝันดีเหมือนกับมันด้วยวะเนี่ย!
ตอนเช้าวันจันทร์ผมแทบเป็นบ้าเพียงเพราะเจอหน้าเจ้าพี่เลี้ยงเด็กเพียงแป๊บเดียว
ฟ้าครามไม่ทำอะไรเลยนอกจากยิ้ม มองผม และยิ้ม เขาเป็นคนที่ยิ้มแล้วโลกนี้ดูสว่างสดใสจนถึงขนาดพระพายเอ่ยปากถาม
‘พี่ฟ้าเป็นอะไรคะ มีความสุขจังเลย’
ตอนนั้นผมสะดุ้งโหยง เหลือบตามองหน้าเขาและถลึงตาใส่เป็นเชิงว่าตอบดีๆ นะ ฟ้าครามเลยตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเรืองแสงระดับสิบ
‘พี่ฟ้าฝันดีมากเลยค่ะ’
…แม่มเอ๊ย! คิดว่าทำแบบนั้นแล้วดูดีมากมั้ย!
ผมไม่อยากยอมรับเลยว่าก็มากอยู่... ให้ตายเถอะ เจ้าเด็กนี้เดิมทีมันก็เป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว แถมยังมีลักษณะของความสว่างสดใส ยิ้มทีไรเหมือนกับมีห่วงเทวดากับปีกเป็นภาพพื้นหลัง มันจะไม่ดูดียังไงไหว นี่ผมพูดตามจริงเลยนะ ไม่ใช่มายอมรับว่าผมกำลัง เอ่อ ใช้คำว่าอะไรดี หวั่นไหว... ใช่แล้ว ไม่ใช่พอผมหวั่นไหวกับเจ้าหมอนั่นถึงได้มาเห็นความหล่อในตัวเขาหรอกนะ
ตกเย็นฟ้าครามก็มารับผมเหมือนเดิม พระพายจุ๊บแก้มผม ชวนคุย... พวกเราคุยกันสามคนประหนึ่งครอบครัวสุขสันต์
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ผมรวมเจ้าพี่เลี้ยงเด็กนี่เป็น ‘ครอบครัว’ ไปแล้ว
จนมาถึงบ้านผมก็ต้องไล่พระพายไปอาบน้ำก่อน ส่วนผมก็เปิดทีวีพลางๆ ขณะที่เจ้าฟ้าครามไปทำอาหาร บอกแล้วว่าครอบครัวสุขสันต์มาก
...เหมือนผมได้เมียจริงๆ เลยว่ะ เฮอะๆ
“คุณเพชรคร้าบบบ” เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากในครัว
ผมรีบกดปิดทีวีที่มีแต่ข่าวก่อนที่จะเดินไปบริเวณครัว ชะโงกหน้าถามเขา “มีอะไร”
พี่เลี้ยงเด็กไม่ตอบอะไร ผมมองไปที่เตาอาหาร ตอนนี้ก็มีข้าวต้ม ผักบุ้งผัดและหมูทอด เป็นอาหารพื้นๆ ครับ คนทำคือเขา คนจ่ายเงินคือผม เอาตรงๆ นะ... ปัจจุบันนี้ผมว่าเขาทำเกินหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กไปมากโข ค่าจ้างสงสัยจะไม่พอด้วยซ้ำไป ผมเคยพูดเรื่องจะขึ้นค่าจ้างให้เขาก็บอกว่าไม่เอา
“เรียกมามีอะไรเล่า” ผมถามซ้ำอีกที
“เปล่าครับ” เขาหันมายิ้ม “แค่อยากเห็นหน้าเฉยๆ”
ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างดังตูมอยู่ในหัวสมอง ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจลึกเพื่อตั้งสติ ให้ตายเถอะ ผมขาดหายความรู้สึกแบบนี้ไปนานมากแล้ว ครั้งล่าสุดน่าจะเป็นตอนที่ผมตกหลุมรักดาวโรงเรียนตอนมัธยม มันเป็นสิบปีมาแล้ว... เดี๋ยว ทำไมผมต้องบอกความแก่ของตัวเองให้พวกคุณฟังด้วยวะ
ผมเก๊กหน้านิ่ง “อย่าเยอะ”
“โธ่” ฟ้าครามมุ่ยหน้า “คุณเพชรไม่รู้หรอกว่าผมดีใจแค่ไหน”
“เออ ไม่รู้... สรุปเรียกมาทำไม” รีบเบี่ยงเบนประเด็นทันทีเลยครับ
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ อ๊ะ งั้นคุณเพชรช่วยยกของพวกนี้หน่อยสิ” พี่เลี้ยงเด็กทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ก่อนที่จะส่งจานผัดผักบุ้งกับหมูทอดมาให้ผม
แต่...
“ช่วยปล่อยมือได้มั้ย” เหตุการณ์นี้มันเดจาวูชัดๆ! ผมแทบจะเป็นบ้า อยากจะกระโดดกัดคอมัน คราวก่อนหน้านั้นมันก็ทำแบบนี้ ไอ้การเนียนจับมือโดยการส่งขอให้ ที่สำคัญคือใบหน้านั้นยิ้มกว้างประหนึ่งไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำอะไรผิด และหนักกว่านั้นคือการไม่ยอมปล่อยมืออีกต่างหาก
“นี่” ผมเริ่มเสียงเข้ม “อย่าเยอะ... ชักเยอะเกินไปแล้ว”
“ถ้าผมเยอะจริงๆ ผมคงจะดึงคุณเพชรมากอดแล้วแหละครับ”
“ฟ้าคราม!”
หน้าเขาหงอยลงนิดหน่อย “ก็รู้แล้วว่าคุณเพชรต้องดุเลยไม่ทำ” เห็นแล้วก็เกือบจะใจอ่อนอยู่หรอก แต่ดดันคิดบางเรื่องขึ้นมาได้ก่อน
เจ้าหมอนี่มันเก่งจริงๆ นะ... เรื่องเบี่ยงเบนประเด็นเนี่ย
“ปล่อยได้แล้ว"
“ปล่อยแล้วครับ~” ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อย
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนที่จะเอาจานกับข้าวสองอย่างไปที่โต๊ะ พอวางของเสร็จเท่านั้นแหละ ขาแม่งทรุดฮวบเลย
มือของผมกุมขมับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
บ้าเอ๊ย... ไอ้ความรู้สึกมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งเหมือนกับข้าวใหม่ปลามันนี่คืออะไรวะ!
-----------------------------------------
คืบหน้าเนอะ 
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่า ตอนนี้น่าจะหายแล้วแหละ <3
คนด่าคุณพีเยอะดีจังค่ะ 555555555555
คุณพีนี่แอบลูกรักเบาๆ เพราะว่าคนด่าเยอะ
เราสนุกที่แต่งตัวละครให้มีแต่คนด่า 