"Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19  (อ่าน 249367 ครั้ง)

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
«ตอบ #270 เมื่อ09-05-2014 04:02:05 »

อื้อหือออ มกร อดทนเข้าไว้นะ สู้ๆ

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
«ตอบ #271 เมื่อ14-05-2014 11:31:57 »

ตอนที่ 23




พอไปถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกง ตาที่บวมของมกรก็ยุบลงบ้างแล้ว แต่ณัฐวีร์ก็ยังไม่วางใจ เขาหยิบแว่นจากกระเป๋าแล้วส่งให้อีกฝ่ายใส่อย่างน้อยก็เพื่อกันลม
รถตู้จากโรงแรมมารับถึงสนามบิน เมื่อเช็กกระเป๋าทุกใบเรียบร้อยดีแล้ว ทั้งหมดจึงขึ้นรถเดินทางเข้าไปยังโรงแรมที่เกาะฮ่องกง
วิวสองข้างทางที่เป็นอ่าวมีน้ำทะเลล้อมรอบ ปั้นจั่นของเครนยักษ์กำลังทำงานยกตู้เครนใหญ่ลงจากเรือเพื่อเข้าสู่ท่าเรือและโกดังเก็บต่อไปตามลำดับ ณัฐวีร์มาฮ่องกงเป็นครั้งแรกจึงออกจะตื่นตาตื่นใจกับการเดินทาง ทั้งวิวทิวทัศน์และผู้คนอยู่มาก จนกระทั่งได้ยินเสียงถามดังมาจากผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นแหละ เขาถึงได้หันกลับไปมอง

“หิวไหม?” คำถามที่แสดงความห่วงใยแบบนั้นทำให้ณัฐวีร์ยิ้มรับพลางส่ายหน้า
“ไม่หิวเลยครับ บนเครื่องก็กินเสียเยอะเลย” เขาบอกแล้วลูบท้อง “สงสัยจะอิ่มไปยันเย็น”
“ก็เราเล่นกินทุกอย่างเลย”
คนตัวเล็กกว่าหัวเราะ “ก็ไม่เคยนั่งชั้นธุรกิจ และคิดว่าไม่น่าจะได้นั่งอีกแล้ว มาทั้งทีก็เลยจัดเยอะจัดใหญ่”
มกรหัวเราะตามไปด้วย “ถ้าอยู่กับพี่..เอ่อ..หมายถึงทำงานกับพี่น่ะ ได้นั่งแบบนี้บ่อยแน่ๆ”
“ผมเพิ่งขึ้นปี 2 เองนะพี่” ณัฐวีร์หัวเราะแล้วมองออกไปด้านนอกอีก รถเริ่มเข้าสู่ช่วงที่เป็นบ้านคน ตึกทรงเหลี่ยมสูงระฟ้า บ้างเป็นกระจกสะท้อน บ้างวางมุมทแยง แล้วยังมีศาลเจ้าแทรกอยู่เป็นระยะ ทำให้บอกได้ว่าคนที่นี่มีความเชื่อในศาสตร์ลึกลับ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์พอสมควร

“นัท..”
คนข้างๆ สะกิดอีกแล้ว ณัฐวีร์จึงหันมาหาอีกหน
“โกรธพี่หรือเปล่าที่ให้พวกนั้นกินแซนวิชไปเสียหมด”
“ผมบอกแล้วนี่ว่าไม่เป็นไร..” ณัฐวีร์ยิ้มให้ เขามารู้ก็เมื่อตอนที่ลงเครื่องแล้วถามหามัน ตัวเขาเองก็ลืมไปเสียสนิทเลย
มกรมองแอมที่ปรายตามองมายังเขา แล้วจึงพูดว่าตนเองนั้นอนุญาตให้ทีมงานจัดการแซนวิชไปก่อนแล้วเพราะเห็นว่าทีมงานหิว และนี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถามณัฐวีร์ เพราะกลัวฝ่ายนั้นจะโกรธจริงๆ..ที่เขาสั่งให้ทิ้ง เอ้ย สั่งให้ทีมงานกินแซนวิชไป
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ.. เมื่อกี้ผมพูดจริงๆนะ ไม่เป็นไรจริงๆ” ณัฐวีร์ยิ้มกว้าง.. เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ยิ้มตาหยีอีกแล้ว กลายเป็นยิ้มที่ดวงตามีเสน่ห์ขึ้นจนคนมองแทบอยากจะคว้ามากอดเลยทีเดียว “เอาเป็นว่าอธิบายเพิ่มอีกหน่อยก็ได้ ..ผมแค่เสียดายที่คุณแม่กับพี่แมนไม่ได้ลองชิมเท่านั้นเอง แต่แฟนผมเขาน่ารักครับ...ใจดีที่หนึ่งเลย เดี๋ยวเขาก็ทำมาให้อีก..คราวนี้ต้องลองให้ได้นะครับ”

เหมือนมีเข็มสักสิบสักร้อยพันเล่มทิ่มเข้ามาที่หัวใจ มกรคลายใบหน้ายิ้มแย้มลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นจบลง.. “แฟนผมเขาน่ารัก” ช่างพูดได้เต็มปากเต็มคำนัก ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก “นั่นสินะ.. ผู้หญิงคนนั้นทั้งสวยและดูดี”
“ใช่ครับ..อ่า นี่ก็ลืมไปเลย เดี๋ยวเปิดโทรศัพท์แล้วติดต่อไปหน่อยดีกว่า” ณัฐวีร์ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าเป้ที่อยู่บนตักเพื่อหาโทรศัพท์ แต่คุ้ยหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ “ไปไหนเนี่ย?”
“ของในกระเป๋าเยอะหรือเปล่า มันคงไปอยู่ซอกมุมไหนหรอกมั้ง”
“ไม่นะครับ ผมเอาไว้ตรงซิบหน้านี้” เขาชี้บอก “ที่เดียวกับที่ใส่กล่องแว่นพี่นั่นแหละ”
“อืม.. หรือจะหล่น..” มกรคาดเดาทำให้คนฟังถึงกับหน้าเสีย
“หล่นนี่เสียดายแย่เลยนะครับ” สุดท้ายณัฐวีร์ก็ยอมยกเลิกการหามือถือไปโดยปริยาย แล้วก็ได้แต่นั่งปลง
“เอาน่า มาหายตอนทำงานแบบนี้พี่รับผิดชอบให้ เดี๋ยวกลับไปพี่จะพาไปซื้อเครื่องใหม่เอง”
“ไม่เป็นไรครับ..” ณัฐวีร์ส่ายหน้าแล้วรูดซิปปิดกระเป๋า “เป็นความสะเพร่าของผมเอง รู้แบบนี้พกใส่กระเป๋ากางเกงดีกว่า..แล้วตอนนี้ผมจะติดต่อที่บ้านยังไงล่ะเนี่ย”
“นี่ไง..” ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาชูแล้วปลดล็อกหน้าจอ หาเบอร์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดโทรออก “สวัสดีครับ แมนนะครับ เผอิญน้องทำโทรศัพท์หายครับ เดี๋ยวผมให้คุยกับน้องนะครับ”
ณัฐวีร์รับโทรศัพท์มาแล้วก็กรอกเสียงลงไป “ครับ...อ้ะ ป๊าเหรอ นัทไม่รู้ไปทำโทรศัพท์ร่วงที่ไหน...อะไรในเครื่องไม่มีคลิปหรอกนะป๊า..”
มกรฟังฝ่ายนั้นพูดโทรศัพท์กับบิดาแล้วก็ยิ้มตาม มือซ้ายก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายของตัวเองจับดูโทรศัพท์ที่ขโมยว่าเครื่องนั้น..ว่ามันยังอยู่ดี
ที่นี่...จะต้องมีแค่เขาเท่านั้นที่ได้ครอบครองณัฐวีร์เอาไว้

.
.
.
.
.

เมื่อมาถึงโรงแรมการเช็คอินห้องพักก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เพราะต่างก็ระบุคู่นอนมากันแล้วเรียบร้อย จะมีติดอยู่นิดหน่อยก็ตรงที่..
“เตียงทวิน?”
“ใช่ค่ะ โรงแรมเขาเห็นว่าเป็นผู้ชายสองคน เขาเลยจัดห้องที่เป็นเตียงคู่มาให้” แอมตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆเพื่อไม่ให้ณัฐวีร์ที่อยู่ไกลออกไปได้ยิน “แล้วอาทิตย์นี้มีงานแฟร์ค่ะคนจองเยอะมาก ห้องที่คุณต้องการเต็มแล้ว อีกอย่างเราจองห้องยาวหลายวัน ถ้าจะเอาห้องประเภทนั้นจริงๆ ก็ต้องขนย้ายของเปลี่ยนไปทุกวัน คุณจะไม่สะดวกค่ะ”
มกรแสดงสีหน้าหงุดหงิดชัดเจน “แต่ผมสั่งแล้วว่าเอาเตียงเดี่ยวจะคิงไซส์หรือควีนไซส์ก็ได้”
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ แอมต่อว่าโรงแรมไปแล้ว ตอนนี้เขาพยายามจะสลับห้องให้อยู่ แต่อย่างที่บอกค่ะ คนเยอะมาก เราจองยาวหลายคืน ดูจะลำบาก”
“ผมไม่สน!” ชายหนุ่มตวัดเสียง “ไม่ได้ตามสั่งก็เปลี่ยนโรงแรม”
“เกรงจะลำบากค่ะ อย่างที่เรียนแล้วว่าช่วงนี้มีงาน โรงแรมที่วิวดีได้รับการจองเต็มเกือบหมดแล้ว” แอมอธิบายด้วยความใจเย็น แต่ดูเหมือนมกรจะไม่เย็นด้วย เขาอ้าปากพร้อมจะอาละวาด
“มีอะไรกันหรือแมน?” คุณมนธิชาเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเดินนำณัฐวีร์เข้ามาใกล้
“คือ..” แอมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เพราะเรื่องห้องนี้คุณมกรสั่งโดยตรงกับเธอเองไม่ผ่านเจ้านาย ถ้าว่าด้วยเนื้องานอย่างเดียว เธอก็ไม่ได้ทำงานบกพร่องเพราะสั่งการมาที่โรงแรมตรงตามต้องการของผู้สั่ง แต่โรงแรมเข้าใจผิดเอง จัดห้องแบบผิดมาให้ นี่มันนอกเหนือที่เธอจะควบคุมได้ ทำได้เพียงแก้ปัญหา รอให้โรงแรมจัดสรรห้องให้ตามต้องการ
“ไม่มีอะไรครับ” มกรขมวดคิ้วแล้วตอบ “แม่นอนคนเดียวใช่ไหม”
“ใช่สิ หรือแมนอยากมานอนกับแม่?” มนธิชาถามยิ้มๆ
“เปล่า แค่จะถามว่าแม่ได้ห้องแบบไหน”
มนธิชาหันมามองเลขาตัวเองเพราะเธอก็ไม่รู้เช่นกัน
“ห้องดีลักซ์ เตียงคิงไซส์ค่ะ”
“แล้วทำไมผมไม่ได้ห้องแบบนั้นบ้าง ทำไมห้องผมได้เตียงคู่” ชายหนุ่มเริ่มจะเสียงดังขึ้นมาเป็นลำดับ ความเอาแต่ใจของคนเรามันก็ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว บางครั้งสันดานมันก็ขุดได้ยากเย็นยิ่งนัก
ณัฐวีร์ได้แต่มองไปมองมาแล้วก็เอ่ยขึ้น “ห้องพี่แมนคือห้องผมใช่ไหมครับ”
แอมตอบรับว่าใช่ค่ะ แต่ก็ยังไม่รู้จะดำเนินการอย่างไรต่อไปดีเมื่อเห็นเจ้านายหน้าเครียดกันทั้งคู่
“งั้นก็ไม่เป็นไรนี่ครับพี่.. เตียงคู่อาจจะเล็กหน่อยถ้าพี่แมนดิ้นก็แค่ตกเตียงเอง อย่าคิดมากครับ ผมไม่เอามาล้อหรอก.. เมื่อกี้ผมได้ยินว่าห้องเต็มแล้ว คงจะหาเปลี่ยนได้ยากอยู่นะครับ..” ณัฐวีร์พูดไปยิ้มไป “หรือถ้าไม่พอ เดี๋ยวผมให้พี่แมนนอนสองเตียงเลย กระโดดข้ามไปข้ามมาได้ไม่ว่ากัน ผมนอนพื้นเอง”
คุณมนธิชาฟังแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่คลายลงทันที “เอ้อ เรานี่ก็ช่างปลอบพี่เขานะ... ว่าไงแมนน้องเขาบอกเตียงเล็กไม่เป็นไรเขาให้ไปนอนเตียงเขาได้ เราจะโอเคไหม”
คนถูกถามได้แต่เมินไปทางอื่นแล้วพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก
สรุปว่าไม่มีการเปลี่ยนห้อง เมื่อขึ้นไปถึงห้องพักแล้วณัฐวีร์ก็รู้สึกดีที่ไม่ได้เปลี่ยนประเภทเตียงด้วย เพราะเตียงทวินที่เห็นนั้นก็ไม่ได้เล็กมากขนาดที่จะดิ้นตกได้ง่ายๆ หรือถ้าฝ่ายนั้นอยากนอนทั้งสองเตียงจริงๆ ก็ยังมีโซฟาอยู่มุมหนึ่งที่เขาจะไปนอนตรงนั้นได้
ที่สำคัญคือ ตรงโซฟานั่น..วิวดีมาก เพราะมันถูกจัดวางไว้ใกล้หน้าต่างและห้องนี้มองไปจะเห็นอ่าววิคตอเรียได้อย่างสวยงาม ตอนกลางวันแบบนี้เขาเห็นท้องฟ้าและทะเล ตอนกลางคืนเขาจะเห็นไฟที่ประดับประดาตามตึกเหมือนนอนมองดาว...เอ หรือขนหมอนมาจองโซฟาไว้ก่อนดีนะ
ณัฐวีร์เดินไปตรงกระจกแล้วมองวิวภายนอกอย่างชื่นชม เรือแล่นอยู่ในทะเลหลายลำ มีทั้งเรือขนส่งสินค้า เรือขนคนข้ามฟาก และเรือสำเภา ถ้าจำไม่ผิด เป็ดเหลืองเคยมีข่าวว่าศิลปินต่างชาติคนหนึ่งเคยเอาเป็ดยักษ์ลอยน้ำมาจัดโชว์ที่นี่ เสียดายเขาไม่มีโอกาสมาดูมัน ตอนนี้ไปลอยอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
“สวยดีนะ”

มาอีกแล้วเสียงกระซิบข้างหู คราวนี้ไม่ธรรมดาตรงที่มือข้างหนึ่งเท้ากระจกกั้นเขาไว้ไม่ให้หลบ ส่วนใบหน้าที่กระซิบนั้นก็มาอยู่เสียชิดจากอีกข้าง ...นี่ถ้าเอามือข้างว่างมากอดเอวไว้ด้วยนี่มันท่าคู่รักชัดๆ ณัฐวีร์นึกฉิวอยู่ในใจ โกรธก็โกรธ แต่ก็ข่มใจให้นิ่งไว้..แล้วบอกตัวเองว่า “ถ้าไม่เล่นด้วย เดี๋ยวก็เลิกตอแยไปเอง”
“สวยครับ..พี่ไม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือ เดี๋ยวลงไปไม่ทันนะครับ”
มกรเหมือนจะก้มหน้าลงมาเล็กน้อย นิ่งไม่พูดอะไรแล้วก็ถอยตัวออกไปในที่สุด ชายหนุ่มตรงไปเปิดกระเป๋าตัวเองและขณะที่กำลังจะเปิดก็รู้สึกถึงมือที่แตะลงมาบนข้อศอกให้ต้องหันไปหาอีกคนที่เดินตามมายืนข้างกัน
ใจที่ห่อเหี่ยวของมกรพองฟูด้วยความคาดหวัง เมื่อคนตัวเล็กกว่ามีท่าทางลังเลเหมือนไม่กล้าพูด เหมือนตัดสินใจยากว่าควรพูดออกมาดีหรือไม่..ทำไม?.. หรืออยากอาบน้ำด้วยกัน..
มกรคาดเดาไปไกลพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆคลี่ออก แต่แล้วณัฐวีร์ก็เหมือนตัดสินใจได้ เขาเอ่ยขึ้น
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ” มือขาวแบออกมา “ผมอยากเข้าเฟส จะได้หลังไมค์ไปบอกแฟน โทรศัพท์หายแบบนี้แฟนผมคงห่วงแย่”
เหมือนพื้นที่ยืนอยู่กลายเป็นขั้วโลกเหนือ.. มกรรู้สึกเย็นจากปลายเท้าไล่ขึ้นมาถึงไขสันหลังทำให้ร่างกายเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จนเมื่ออีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมองแล้วพูดว่า “ได้ไหมครับ” นั่นแหละ ชายหนุ่มจึงเพิ่งรู้สึกตัว
เขาล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาวางในมืออีกฝ่ายแล้วหันไปหยิบเสื้อผ้าตรงเข้าห้องอาบน้ำ ก่อนจะก้าวเข้าไป..สายตายังพาลหันไปมองร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้ายิ้มเปี่ยมสุข
แล้วหัวใจ...ก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นขยี้ซ้ำเข้าไปอีก

.
.
.
.
.
.


การประชุมกับคู่ค้าผ่านไปด้วยดี พวกเขาทั้งคู่เป็นแค่คนเข้าไปสังเกตการณ์จึงแทบไม่ได้เอ่ยพูดอะไรเลย
เรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจะเริ่มโครงการในฮ่องกงนั้นเป็นเรื่องที่ SWP Group ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดประธานบริษัทบินมารับฟังรายละเอียดพร้อมดูงานเลยทีเดียว ดังนั้นการดูงานทั้งสามวันจึงมีตารางงานแน่นเอี้ยด เริ่มจากประชุมในรายละเอียดสำหรับวันแรก วันที่สองไปดูสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุน ทั้งตลาดหุ้นและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบางแห่งที่พร้อมสำหรับการพัฒนาเพื่อใช้เป็นทำเลทอง วันที่สามนัดดูงานแฟร์เพื่อพบปะพูดคุยกันกับคู่ค้า ที่อาจเป็นซัพพลายเออร์ด้านวัตถุดิบก่อสร้างและการตกแต่งได้

แน่นอนว่าการมาครั้งนี้ของคุณมนธิชานั้น พาทีมงานของฝั่งไทยมาด้วยเพื่อดูงานสำหรับไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยด้วย และเพราะ SWP Group มีประเภทธุรกิจหลากหลาย เช่นการจำหน่ายเครื่องตกแต่งภายในและสุขภัณฑ์  การให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมทั้งในรูปแบบโครงการหรือแบบเฉพาะเจาะจง เป็นต้น ดังนั้น การมาดูงานในครั้งนี้จึงกินเวลากว่าห้าวัน โดยในวันที่หกจึงจะเป็นวันฟรีเดย์ก่อนที่ตอนหัวค่ำจะบินกลับประเทศไทย
แต่ดูเหมือนฟรีเดย์ของมกรและณัฐวีร์จะมาเร็วกว่านั้น
“เดี๋ยววันพฤหัสแมนก็พาน้องไปเที่ยวแล้วกันนะ แม่จะไปดูของกับแอม”
ณัฐวีร์เงยหน้าจากอาหารเย็นขึ้นมาทันที “ไม่เป็นไรครับ.. ไว้ผมค่อยไปเที่ยววันเสาร์ทีเดียวพร้อมพวกพี่ๆเขาเลยก็ได้”
“พวกเธอสองคนน่ะ แค่พาร์ทไทม์กับเด็กฝึกหัดนะจ๊ะอย่าลืมสิ ฉันไม่ใช้งานหนักขนาดนั้นหรอกนะ เดี๋ยวโดนฟ้องเรียกค่าเสียหายกันพอดี”
“โธ่ ไม่หรอกครับ..” ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ “ผมยังไงก็ได้ ไปกับคุณแม่ก็เหมือนได้ไปเที่ยวนั่นแหละครับ จะได้ช่วยถือของด้วย”
“อย่าเลย ฉันไปตามประสาผู้หญิง เธอสองคนก็ไปกันตามประสาเด็กผู้ชายแล้วกัน ดิสนีย์แลนด์เป็นไง จะให้รถไปส่งหรือจะลองผจญภัยกันเองก็ตามใจ”
ณัฐวีร์ตาลุกวาวเลยทีเดียว
“เราไปกันเองได้” เสียงตอบนั้นมาจากคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่บ่าย ทำเอาณัฐวีร์ตาโต
“แล้วไม่รบกวนพี่แมนหรือครับ”
ฝ่ายนั้นแค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ มือก็ใช้ส้อมพันเอาบะหมี่ฮ่องกงเข้าปากไม่พูดไม่จา
“ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ.. ขอบคุณครับคุณแม่” เขาหันไปไหว้แล้วหยิบตะเกียบคีบผักในจานเป๋าฮื้อแผ่นเจี๋ยนยอดคะน้าเข้าปาก
คิดๆ ไปแล้วก็คงจะดูแปลกอยู่ไม่น้อยที่ผู้ชายสองคนตัวโตๆด้วยกันทั้งคู่ ไปเดินอยู่ในบ้านหนูแบบนั้น แต่เขายังไม่เคยมาสวนสนุกต่างประเทศเลย ดรีมเวิล์ดนี่เคยไปแล้ว สนุกดี เลยอยากลองไปดิสนีย์แลนด์ดูบ้าง
พอเสร็จมื้ออาหารเย็นที่จัดไว้ในห้องอาหารจีนของโรงแรมแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องพักของตนเอง มีบ้างที่เสนอความคิดเห็นเรื่องออกไปเดินช้อปปิ้ง เพราะโรงแรมก็อยู่ไม่ไกลย่านร้านค้า หรือห้างดังนัก แต่ความคิดนี้ก็ตกไป เพราะเมื่อเช้าตื่นเช้ากันมาก เลยมีอาการเพลียเล็กน้อย และด้วยว่ายังอยู่อีกหลายวัน โครงการนี้จึงล้มไปโดยปริยาย
“พวกพี่เขาคุยสนุกดีนะครับ” ณัฐวีร์เอ่ยขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมห้องเปิดประตูให้เขาเข้ามาด้านในก่อน ไฟในห้องสว่างขึ้นทำให้เห็นว่าห้องอยู่ในสภาพเรียบร้อยดีเหมือนตอนที่ออกไป เขาถอดสูทออกจากตัวพาดไว้กับเตียง แล้วหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับคลายเนคไทด์ที่คอ

มกรเดินผ่านเขาไปเงียบๆ ไม่ตอบรับการชวนคุยนั้น ชายหนุ่มหยิบชุดนอนแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทันทีทำเอาณัฐวีร์มองอย่างงงๆ
“เป็นอะไรเนี่ย เลือดจะไปลมจะมาอีกแล้วหรือไงน..”
เพล้ง!
เสียงนั้นทำให้ณัฐวีร์ที่พูดยังไม่ทันจบประโยคดีสะดุ้งโหยง เขาลุกพรวดก้าวไปหน้าห้องน้ำ “พี่แมน..พี่แมน!!” เขายืนเคาะประตูอยู่ชั่วครู่คนด้านในก็เปิดออกมา “เป็นอะไรไหมพี่? อะไรแตก?”
ไม่เพียงพูดเปล่า เขายังคว้ามืออีกฝ่ายให้ออกมาจากห้องน้ำแล้วสำรวจดูจนทั่ว จับมือพลิกคว่ำพลิกหงาย จับตัวหันหน้าหันหลัง..แล้วถึงได้โล่งใจที่ไม่เห็นรอยเลือดหรือบาดแผลบนตัวอีกฝ่ายเลย
“ห่วงพี่หรือ..” เสียงถามนั้นดังอยู่เหนือหัว
“ก็ห่วงสิ..” พอตวัดเสียงบอกออกไปเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นประสานตากับร่างที่เหมือนจะโน้มค้ำอยู่บนหัว แล้วเจ้าตัวก็เพิ่งจะสำนึกได้ว่า อีกฝ่ายเปลือยท่อนบนอยู่..ใบหน้านั้นจึงรู้สึกร้อนวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“พี่ถอดเสื้อแล้วมือพลาดไปกวาดเอาแก้วน้ำที่โรงแรมวางไว้หล่นลงมาน่ะ ดีว่ามันยังอยู่ในถุงเลยไม่ค่อยกระจาย พี่ก็เลยไม่เจ็บตัว.. นัทไม่ต้องห่วงนะ” มกรยิ้มกว้างแล้วจับมือณัฐวีร์มาบีบเบาๆ
“มะ..” เล่นเอาทางนี้หาลิ้นตัวเองไม่เจอเลยทีเดียว “ไม่เจ็บตัวก็ดีแล้ว” เขาดึงมือตัวเองออกจากมืออีกฝ่าย “ผมจะช่วยเก็บแก้วให้แล้วกัน”
พูดจบณัฐวีร์ก็หันเข้าไปในห้องน้ำ จะว่าเขากลัวจนต้องหนีจากสถานการณ์น่าหวั่นไหวก็ได้ แต่ถ้าไม่หนีก็ห่วงว่าหัวใจที่เต้นถี่แรงอยู่นี่มันจะทะลุออกมานอกอก ยิ่งตอนที่ฝ่ายนั้นยิ้มทั้งปากทั้งตามาให้เขายิ่งไม่กล้ามอง..
“นัทไม่ต้องหรอก พี่ทำเอง เดี๋ยวแก้วบาดเอา” มกรพูดแล้วก็คว้ามือณัฐวีร์เอาไว้อีก
ที่เหมือนจะหนีเข้ามาสงบสติอารมณ์ได้ ก็ดูจะไม่ได้เสียแล้ว ณัฐวีร์เลยพยักหน้า “ก็ได้ครับ งั้นผมออกไปก่อนนะ” แล้วดึงมือตัวเองออกผลุบหายไปจากห้องน้ำทันที
หลุดมานั่งใจเต้นรัวอยู่นอกห้องน้ำได้ ณัฐวีร์ก็อยากจะตีอกชกหัวตัวเองนัก นั่นผู้ชาย นี่ก็ผู้ชาย.. จะไปใจเต้นให้กับความใกล้ชิดและรูปร่างของผู้ชายทำไม
นั่งสงบอารมณ์ตัวเองได้สักพักเขาก็ต้องหาอะไรทำเพื่อให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ณัฐวีร์จึงหยิบเอาชุดนอนออกมาเตรียมเพื่อเข้าไปอาบน้ำต่อ พอมกรออกมาจากห้องน้ำ ทุกอย่างก็พร้อมอยู่ในมือแล้ว ไม่ต้องมาเสียงเวลาอยู่ในห้องกันลำพังสองคนให้ใจเต้นแปลกๆ อีก

ณัฐวีร์ใช้ห้องน้ำนานกว่าปกติ ทั้งอาบน้ำแปรงฟัน..และเตรียมใจ เสียงโทรทัศน์จากข้างนอกมีดังเข้ามาบ้าง เหมือนฝ่ายนั้นจะเปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ให้มันเงียบเกินไป เพราะภาษาจีนล้งเล้งอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง จะว่าเพลงก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นข่าวก็คงไม่เชิง
เขายืนเป่าผมตัวเองอยู่ในห้องน้ำ เป่าจนมันแห้งสนิทแล้วก็ยังไม่ค่อยอยากจะออกไป จนไม่รู้จะยื้อด้วยวิธีไหนแล้วนั่นแหละ ถึงได้เปิดประตูเดินออกมา
“อ้าว...”
ภาพที่เห็นก็คือ มกรนั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา ส่วนที่เตียงนอนของเขานั้นยับเยินยู่ยี่เกินจะบรรยาย
“อะไรล่ะนั่น” ที่ห่วงๆ เรื่องจะทำตัวยังไง กลายเป็นเลิกห่วงไปเลยณัฐวีร์
“ก็...ดื่มโค้กอยู่ดีๆ ร่วง หลุดมือ เละเต็มเตียงเลย..” มกรตอบเบาๆ แล้วก็เดินไปเปิดผ้าห่มขึ้นมา
“แล้วแบบนี้ทำไงล่ะ” คนถามเดินมาเมียงมองแล้วเห็นวงโค้กเป็นวงโตเลยทีเดียว
“คือจะโทรไปเรียกแม่บ้านก็เกรงใจเขา เกือบสี่ทุ่มแล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวพี่มานอนโซฟานี่ก็ได้” มกรชี้แล้วเดินมานั่งแปะลงบนนั้น ดูจากขนาดตัวกับขนาดโซฟาที่ไม่เข้ากันแล้วทำให้ณัฐวีร์ส่ายหน้าทันที
“ไม่ไหวหรอกเดี๋ยวผมไปนอนเองดีกว่า” เขาพูดแล้วก็หันไปคว้าหมอนมาถือไว้ “แล้วพี่ก็มานอนเตียงผม”
“ไม่เป็นไร พี่นอนได้จริงๆ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ตบหมอนแล้วเอาวางไว้ที่ตรงพักแขนของโซฟา เขาทอดตัวลงนอนยาว ขายื่นจากที่พักแขนอีกด้านไปอีกเป็นคืบเห็นแบบนั้นณัฐวีร์ก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่ไหวหรอกพี่ เรียกรูมเซอร์วิสมาตั้งเตียงใหม่ก็ได้”
“ไม่เป็นไร นิดหน่อยเอง ตรงนี้พี่ก็นอนได้ นัทนอนเถอะ..”
“งั้นพี่ไปนอนกับคุณป้าไหมล่ะ ผมอยู่คนเดียวได้ครับ”
“ไม่!..” ชายหนุ่มเสียงแข็งขึ้นมาทันที แต่พอเห็นอีกฝ่ายหน้าเสียเขาก็รีบพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จะให้ทิ้งไว้คนเดียวได้ยังไง ไม่เป็นไร พี่นอนได้นัทนอนไปเถอะ”
ณัฐวีร์ลังเลแต่ก็ยอมตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

.
.
.
.
.
.

พอตื่นเช้ามาวันนี้พวกเขาต้องออกไปหลายพื้นที่ ทั้งไปดูที่ตั้งบริษัทที่จะร่วมทุน ตลาดหุ้น และพื้นที่ที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ต้องลงมาเจอทีมงานในเวลาเช้าที่ห้องทานข้าว
ขณะลงลิฟต์มาก็มีคนในลิฟต์ทำตัวเหมือนตาแก่บีบๆนวดๆตัวเองแล้วก็หาวหวอดๆจนณัฐวีร์ต้องเอ่ยถาม “เมื่อคืนนอนไม่หลับใช่ไหมครับ”
มกรทำตาละห้อย “ใช่ไม่ค่อยหลับหรอก โซฟามันแคบนอนไม่ถนัด”
“ก็บอกแล้วว่าให้ผมไปนอนเองก็ไม่เชื่อ”
“ไม่ได้สิ ใครจะให้นัทไปนอนที่แบบนั้น” มกรพูดแล้วก็จูงมือน้องออกจากลิฟต์มาที่ห้องอาหารอย่างเนียนๆ









……

จบการทำงานของวันด้วยอาหารค่ำที่ภัตตาคารหรูซึ่งอยู่บนถนนนาธาน  อาหารเซ็ทนี้เป็นแบบจีนเหมือนช่วงกลางวัน แต่จะต่างออกไปตรงที่มันเป็นอาหารทะเลปรุงในแบบฮ่องกง ซึ่งถ้าจะถามว่าอร่อยไหม ณัฐวีร์ก็คงตอบได้ว่าอาหารสด หวาน...แต่สู้ฝีมือแม่ไม่ได้
มันเป็นความโชคร้ายของเด็กที่บ้านเปิดร้านอาหารเพราะถ้าติดรสมือของที่บ้านแล้ว ไปทานข้าวร้านไหนหรือบ้านใครก็จะไม่อร่อยไปเสียหมด.. แต่ความโชคดีก็คือ เขาจะได้รู้จักวัตถุดิบหลากหลาย รู้วิธีดูแลวัตถุดิบนั้น หรือบางครั้งอาจจะเคยทำอาหารให้ใครบางคนทานจนอีกฝ่ายติดใจมาแล้วก็เป็นได้
พอมื้ออาหารนั้นจบลง ทั้งหมดก็เดินออกมายืนรถรออยู่หน้าร้าน
“ตกลงว่ามีแค่ฉันเท่านั้นที่กลับโรงแรมใช่ไหม?” คุณมนธิชาเอ่ยถามแล้วก็ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มจากทุกคน ยกเว้นก็แต่ลูกชายตัวเอง “แมนก็ดูน้องดีๆ นะ”
มกรพยักหน้ารับแล้วก็จับแขนณัฐวีร์เดินพาออกมาเลย ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยล่ำลาใคร กลายเป็นเขาสองคนปลีกตัวออกมาเดินด้วยกันเพียงลำพังเท่านั้น
“ทำไมพี่แมนไม่ลาคุณแม่กับพวกพี่ๆเขาดีๆ ล่ะ” ณัฐวีร์ท้วงขึ้น
“ทำไมต้องลาดีๆ” ฝ่ายนั้นเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“ตรรกะง่ายๆ เพราะถ้าเราทำดีกับใคร คนนั้นเขาก็จะทำดีกับเรา” ทางนี้เองก็ไม่ยอมเหมือนกัน เขาหยุดเดินทำให้คนที่ยังดึงแขนเขาอยู่ต้องหยุดเดินตาม
“แล้วถ้าตั้งแต่เกิดเขาไม่เคยทำดีกับเราเลยล่ะ” มกรเอ่ยถาม ใบหน้านั้นมองออกไปยังท้องถนนที่มียวดยานแล่นกันขวักไขว่ ผู้คนมากมายเดินกันเต็มท้องถนนยามราตรีนี้
ณัฐวีร์ขมวดคิ้วและครุ่นคิด.. แสดงว่าที่ทำแบบนี้เพราะคุณมนธิชางั้นหรือ คิดแล้วก็ได้แต่ลองทบทวนดู.. ตั้งแต่เขามาทำงานที่นี่ ก็จะพบว่าผู้ชายตรงหน้านี้ไม่ค่อยให้ความนอบน้อมมารดาตนเองนัก ไม่เคยเห็นไหว้ ไม่เคยเริ่มบทสนทนาก่อน  แถมบางทีก็ไม่ตอบบทสนทนาด้วยซ้ำ
“กับเรื่องบางเรื่องสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไปนะครับ” ณัฐวีร์ว่าแล้วยกมืออีกข้างขึ้นกุมแขนอีกฝ่ายไว้ “ถ้าอดีตมันทำให้เราเจ็บปวด เราก็ลืมมันไปบ้างก็ได้ อย่าไปคิดถึงมันเยอะ มองแค่ปัจจุบันนี้กับอนาคตก็พอ”
มกรหันมามองคนข้างตัว เขายิ้ม แม้จะเป็นยิ้มที่ดูเจ็บปวดก็ยังถือได้ว่ายิ้ม
“เอาเถอะ พี่จะพยายาม” ชายหนุ่มปล่อยมือจากแขนอีกฝ่ายแล้วแบมือออก “ไปเที่ยวกับพี่ดีกว่า”
ณัฐวีร์ลังเลมองมือที่ยื่นมาให้เขาตรงหน้าแล้วถอนหายใจ.. เอาเหอะ.. ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเรา ถ้าสิ่งที่เราทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ทำไปเถอะ.. อย่างน้อยก็เพื่อปลอบโยนคนที่อยู่ตรงหน้านี่นั่นแหละ
“ไปครับ..” แล้วเขาก็วางมือลงบนมือของมกรอย่างกล้าๆ กลัวๆ

.
.
.
.
.
.
.
.

ทั้งคู่กลับเข้ามาที่ในโรงแรมเมื่อเวลาล่วงเลยไปเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ในมือของมกรมีของหอบมาพะรุงพะรัง ทั้งถุงกระดาษใส่เสื้อผ้า ทั้งกล่องรองเท้า แล้วยังจะของอะไรอีกจิปาถะ แต่ในมือของณัฐวีร์นั้นกลับมีแค่คีย์การ์ดเปิดประตูห้องเพียงใบเดียวเท่านั้น
พอผ่านประตูเข้าห้องมาได้ มกรก็รีบวางของทุกอย่างลงบนโซฟา แล้วประคองเอากล่องใบเล็กในถุงสกรีนชารีบราวน์คาเฟ่ต์ไปวางไว้บนโต๊ะวางของทันที
“ก็บอกว่าผมช่วยถือก็ไม่เอา” ณัฐวีร์มองคนที่ขยับไหล่ขยับแขนยุกยิกอย่างรู้สึกสงสาร
“ไม่ได้สิ.. นัทถือของหนักมากไม่ได้ พี่รู้”
“ผมก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดจะถือกล่องเค้กไม่ได้นะพี่” ณัฐวีร์หัวเราะเลยทีเดียว
“ก็ไม่ได้เหมือนกัน เดี๋ยวนิ้วล็อค”
“โหย...” คนตัวเล็กกว่าหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงทันที “งั้นผมไม่ทำอะไรแล้วกันสงสัยกระดูกจะพรุน.. น้องทั้งแบบนี้เลยเสื้อผ้าไม่ต้องเปลี่ยน น้ำไม่ต้องอาบ รองเท้าไม่ต้องถอด”
“ก็ถ้า..” มกรเดินเข้ามาใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งจนณัฐวีร์ชักขาหลบไม่ทันโดนมือใหญ่คว้าขาไว้ก่อนแล้ว “ถ้านัทไม่ว่า หมดนั่นพี่ทำให้เอง เริ่มจากถอดรองเท้านี่ก่อนเลย”
“เฮ้ยพี่อย่า!”
ดูเหมือนการร้องห้ามจะไม่เป็นผล เพราะมกรเลื่อนมือไปแตะรองเท้าหนังที่ณัฐวีร์สวมอยู่แล้วถอดออกให้อย่างเบามือเสียแล้ว ไม่ว่าจะห้ามอย่างไร พยายามเอาขาหลบแค่ไหน แต่เพราะมือใหญ่คู่นั้นเหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแก ณัฐวีร์จึงได้แค่ปลง ปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการไปตามที่ต้องการ
“เรียบร้อย..” มกรพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มเผล่แล้วก็ถึงได้เห็นว่าณัฐวีร์นั้นเอามือปิดหน้าของตัวเองอยู่ “อ้าว.. นัทเป็นอะไร”
“......ผมไม่คุยกับพี่แล้ว” คนพูดลุกหนีแล้วคว้าเอาทุกสิ่งเข้าห้องอาบน้ำไป ขนาดกระเป๋าเงินยังติดเข้าห้องอาบน้ำมาด้วยเลย
เสียงหัวเราะลั่นของมกรดังแทรกเข้ามาทำให้คนในห้องน้ำเงยหน้ามองตัวเองในกระจก..แล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ.. “หน้าจะแดงไปไหนวะห่าเอ้ย!”















TBC.


ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
«ตอบ #272 เมื่อ14-05-2014 12:34:42 »

หลอกกินเด็กมันเข้า ตาแก่เอ๊ย  :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
«ตอบ #273 เมื่อ14-05-2014 12:46:53 »

ค่อยๆเป็นค่อยๆไป

ออฟไลน์ Niinuii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
«ตอบ #274 เมื่อ14-05-2014 21:48:51 »

เด๋วนี้นัทหล่อนะจ๊ะ แม้นต้องทำตัวดีๆนะ55

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
«ตอบ #275 เมื่อ15-05-2014 11:15:04 »

ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
มีข่าวฝากจากคุณมอส คนแต่งพี่แม้นค่ะ
มีเกมส์มาให้ร่วมสนุกกัน #ระหว่างรอตอนต่อของพี่แม้น 555

ควิสกันดีกว่า....

ใครตอบถูก... เอารวมเล่ม

Can I. .?

ไปอ่านฟรีๆที่บ้าน 1 เล่ม

คำถามคือ.. ณัฐวีร์ แปลว่าอะไร

ปล. เนื่องจากมีรางวัลเดียว ถ้าถูกหลายคน จับสลากนะคะ
ปล. 2 รับคำตอบถึงสิ้นเดือนนี้คร่า ตอบใต้สเตตัสนี้ หรือตอบในเล้าก็ได้ค่ะ
ปล. 3 ตอบความหมายพร้อมทิ้งอีเมลไว้ด้วยนะคะ


มาเล่นกันเถอะๆๆ  :hao7:

piing fuen

  • บุคคลทั่วไป
นักปราชญ์ผู้กล้าหาญ
p_eros_zaikiอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com

nanahashi

  • บุคคลทั่วไป
ผู้มีความฉลาด
sar_whitelillyแอดฮ๊อตเมลล์ดอทคอม

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ณัฐวี อ่านว่า นัด-ถะ-วี แปลว่าผู้มีความฉลาด  แต่ถ้าเติม ร์ เข้าไปมันจะแปลได้อีกความหมายนึงว่า นักปราชญ์ผู้กล้าหาญ

-0- (kanjaoil@hot.com)

ปล.รอพี่แม้นตอนต่อไป  :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2014 15:13:45 โดย oilzaza001 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
ณัฐวีร์ แปลว่า ปราชญ์ผู้กล้า

Tan-ta-lum(at)hotmail.com

ไอ้ประโยคที่ณัฐพูดว่า อดีตที่แย่ๆก็ลืมมันไป นี่ แอบเจ็บลึกๆ

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
ตอนที่ 24






ออกจากห้องน้ำมาได้ณัฐวีร์ก็รีบไล่ให้มกรเข้าไปอาบน้ำต่อทันที การที่ต้องทนรู้สึกว่าตัวเองได้รับการดูแลจากผู้ชายด้วยกันดีขนาดนี้ มันทำให้เขาวางสีหน้าไม่ถูก..

หลายวันที่ผ่านมานี้.. ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามกรตั้งป้อมจีบเขาแค่ไหน แต่เพราะมีปราการคือแพรว ฝ่ายนั้นถึงยังไม่พูดอะไรออกมาให้เขาหนักใจไปมากกว่านี้..

เขาคงไม่ได้เข้าข้างตัวเองเกินไปใช่ไหม?

ตอบได้เลยว่าไม่ได้เข้าข้างตัวเอง ช่วงเข้าไปเป็นเฟรชชี่ปี 1 คือช่วงที่เขาผ่านการทำศัลยกรรมมาเรียบร้อยแล้ว.. ต้องยอมรับว่าเขาเองยังตะลึงกับหน้าตาปั้นใหม่ที่หมอทำให้เลย.. เหมือนหลุดออกมาจากซีรี่ส์เกาหลี ตาดูดี จมูกดูดี ปากดูดี คางดูดี เอาว่าดูดีมันทั้งหน้า.. ใครจะบอกว่าเขาหล่อด้วยมีดหมอ ก็ต้องยอมรับให้ด่าไป  เขาไม่ได้ตั้งใจหล่อเสียหน่อย หน้าเป็นแผลขนาดนั้นก็ต้องซ่อมก็ต้องเสริมเป็นเรื่องธรรมดา

พอหน้าตาดี ก็มีคนเข้ามาหามาก.. และเพราะคนเข้ามาหามากเนี่ยแหละทำให้เขารู้ว่าหลายคน ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน มีวิธีจีบที่แตกต่างกันไป บางคนมาเนียนๆ มาหาทุกวัน มาคุยทุกวัน.. บางคนมาตรงๆ บอกโต้งๆ เลยว่ามาจีบ ซึ่งตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ เขาออกจะอยากเรียนมากกว่าอยากมีแฟน ดังนั้นจึงไม่ได้สานสัมพันธ์กับคนเหล่านี้นัก ..สักพักคนพวกนี้ก็จากไป

แม้บางคนจะยังเทียวไปเทียวมาบ้าง แต่ความรู้สึกของพวกคนเหล่านี้ก็เปลี่ยนจากปักธงว่าต้องเอาให้ได้ เป็น สนใจก็มามีอะไรกัน.. ซึ่งถ้าเขาไม่สนเสียอย่าง คนพวกนี้ก็จะไม่มีทางได้แน่ๆ

อาการจีบของมกรก็เป็นเช่นนั้น คือปักธงว่าจะจีบให้ได้.. แต่ยังไม่รู้จะเปลี่ยนสเตตัสไปเมื่อไหร่ อาจจะเร็วๆ นี้ถ้าเขาไม่เล่นด้วยมากๆ น่ะนะ

แล้วก็ถ้าไม่พูด ไม่บอกออกมาตรงๆ ว่าจะจีบ..มันก็จะดีมากสำหรับเขา ..เขาอยากให้ดูคลุมเครือแบบนี้ล่ะ..เพราะถ้าชัดเจนเดี๋ยวจะทำงานกันลำบากหนักขึ้นไปอีก

แกร๊ก..

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกทำให้ณัฐวีร์หันขวับไปมองคนที่เดินออกมา ชายหนุ่มพาดผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไว้ที่ต้นคอ ในมือถือเสื้อผ้าใช้แล้วเดินส่งยิ้มเข้ามาใกล้

“สบายตัวแล้ว..” เขาพูดแล้วเดินผ่านณัฐวีร์ไปเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นคนทำให้เหตุการณ์หน้าร้อนผ่าวของณัฐวีร์เกิดขึ้นเลย

ทำตัวปกติเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น เหมือนไม่ได้หัวเราะลั่นห้อง....แต่แล้ว... สายตาที่มองตามร่างสูงไปก็ต้องเบิกโพลง “เดี๋ยวก่อนพี่แมน!”

“หือ??” เจ้าของชื่อหันกลับมาทั้งที่มือข้างหนึ่งเช็ดหัวด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก แล้วมืออีกข้างปล่อยเสื้อผ้าใช้แล้วลงบนเตียง

“ระวัง!!” ณัฐวีร์ร้องเสียงหลง เขาลุกขึ้นมาจากเตียงตัวเองถลาจะข้ามมาที่เตียงของมกร
แต่จังหวะไม่ดีเลย มกรเช็ดผมอยู่ทำให้มองไม่เห็นองศาที่อีกคนถลาเข้าใส่และก้าวขวางวิถีที่ณัฐวีร์กำลังจะพุ่งมา ทั้งคู่จึงล้มแผละลงไปบนเตียงของมกรนั่นเอง
 
“อูย....”

หน้าผากณัฐวีร์กระแทกปลายคางมกรเข้าไปเต็มๆ ร่างเล็กของเขานอนร้องโอดโอยอยู่บนร่างสูงใหญ่ของมกร หัวมึนเห็นดาวเลยทีเดียว..

ไอ้ฉากแบบนี้ปากมันต้องชนปาก ทำท่าหวานๆ ใส่กันไม่ใช่หรือไง.. ณัฐวีร์บ่นถึงฉากในละครหลายเรื่องที่เจ้าตัวคิดว่าผู้จัดคงให้เป็นฉากเกียรติยศถึงได้มีไปทุกเรื่อง แต่ความเป็นจริงน่ะ.. มันคงไม่บังเอิญปากชนกันหรอก หรือถ้าชนจริงๆ มีเลือดติดปากแน่ๆ

กำลังคิดพลางมึนอยู่ ณัฐวีร์ก็รู้สึกถึงมืออุ่นร้อนของอีกฝ่ายข้างหนึ่งกอดอยู่บนเอว ส่วนอีกข้างก็คลำปลายคางตัวเองร้องโอยไปเหมือนกัน

“เกิดจะเล่นมวยปล้ำกันหรือนัท” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะทำให้คนอยู่ด้านบนรู้สึกตัวแล้วผงกหน้าขึ้นจากอกหนาที่ตัวเองแนบแก้มนอนเห็นดาววิ้งๆ อยู่

“เฮ้ย! ลุกเร็วพี่แมน ลุกๆๆๆ”

“อะไรครับ”
มือข้างหนึ่งของมกรถูกณัฐวีร์ฉุดให้ลุกทำให้เขาใช้มืออีกข้างเท้าไปด้านหลังเพื่อพยุงตัว แล้วก็พบว่า..

“อี๋... เละเลย” ณัฐวีร์โผล่หน้ามาดู ครีมเค้กในอุ้งมือมกร..

ว่าแล้ว.. ใครกันน้าที่ใช้ให้เอาเค้กมาวางไว้กลางเตียงแบบนี้น่ะ ตอนแรกเขาเห็นวางอยู่ก็กลัวว่าเตียงจะเละอยู่แล้ว ว่าจะขยับไปเอาออก ก็มัวนั่งคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยจนอีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำ แล้วนี่อะไร กลายเป็นเขาช่วยกันทับเค้กชิ้นนั้นให้บี้แบนติดเตียงลงไปอีก

“โธ่ อดกินเลย” มกรเอ่ยขึ้นทำให้ณัฐวีร์แยกเขี้ยว
“ใครเขาให้เอาไปวางที่เตียงเล่า พอออกมาก็ไม่ดูอะไรเลย ตัวเองวางไว้แท้ๆ ลืมหรือไงครับถึงได้วางเสื้อผ้าลงไปบนเตียงน่ะ”

“พี่เช็ดหัวอยู่เลยไม่ทันเห็น” มกรบ่นแล้วเอาผ้าขนหนูเช็ดมือตัวเองไปพลาง
“เตียงเละแบบนี้พี่จะนอนยังไง”

มกรหยิบเสื้อของเขาที่ทับอยู่บนเค้กขึ้นมาดู เละจริงๆ ด้วย เละ...สมใจเลย
เขาวางเค้กไว้เองล่ะ.. ตั้งใจเอาเสื้อตัวเองวางทับเค้กด้วย กะว่าจะทำเนียนๆ นั่งทับให้เตียงเละเรียกคะแนนสงสารเสียหน่อย นอนโซฟาอีกคืนก็ไม่เป็นไร หรือถ้ามีใครให้ไปนอนด้วยก็จะดีมาก
..แล้วก็ไม่นึกว่าณัฐวีร์จะมาช่วยทำให้เละหนักกว่าเดิม

“เละแบบนี้พี่ก็คงนอนที่เตียงไม่ได้.. นอนโซฟาอีกคืนล่ะมั้ง”

“ผมจะเรียกรูมเซอร์วิสให้” ณัฐวีร์เตรียมผละไปที่โทรศัพท์
“อ๊ะ อย่าเลย..” ชายหนุ่มรีบดึงแขนอีกฝ่ายไว้ “นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้ว.. รบกวนพนักงานเขาเปล่าๆ”
“งั้นพี่ไปนอนกับแม่”

“ไม่ไป” มกรรีบส่ายหน้าทันที

“เอ้า แล้วพี่จะนอนยังไง”
มกรไม่พูดอะไร เขาเดินไปหยิบหมอนแล้วไปวางไว้ที่โซฟาเหมือนคืนแรกที่เจ้าตัวก็นอนที่นั่น
“เดี๋ยวล้างมือเรียบร้อยก็จะมานอนตรงนี้ ไม่ต้องห่วงนะ” เขายิ้มให้ณัฐวีร์แล้วเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ทำให้ณัฐวีร์ต้องถอยตัวไปนั่งบนเตียงมองซากเค้กอย่างสงสัย..

ทำไมต้องเอาไปวางบนเตียง?..

แต่สงสัยได้ไม่นานฝ่ายนั้นก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเหวี่ยงแขนไปมาทำท่าทำทางเหมือนจะยืดเส้นที่ยึดอยู่ตรงบริเวณหัวไหล่อย่างเมื่อยขบ

แน่ล่ะ เมื่อคืนนอนโซฟาสำหรับสองคนนั่งตัวงอ แถมยังไปเดินซื้อของ ถือของให้เขาอีก แล้วคืนนี้จะมานอนโซฟาต่อ แค่คิดก็เมื่อยแทนแล้ว ณัฐวีร์มองอย่างสงสาร
โดยไม่รู้เลยว่านี่มันแผนของปีศาจร้ายชัดๆ ไอ้ที่สงสัยน่ะถูกต้องแล้ว..ไม่มีใครเขาวางเค้กทิ้งไว้บนเตียงเพื่อจะเอาเสื้อตัวเองมาวางทับหรอก
มกรเดินผ่านณัฐวีร์ไปนั่งที่โซฟา บริหารแขนและไหล่ไม่พอ ยังหมุนคอยืดเส้นมือจนณัฐวีร์อดไม่ได้
“เมื่อยตัวหรือครับ..”

“นิดหน่อย..แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องบอกให้พี่ไปไหนอีกนะ.. พี่จะนอนตรงนี้แหละ” ชายหนุ่มพลิกตัวตบหมอนใหญ่แล้วทำท่าจะล้มลงนอน

“ดึกแล้วพรุ่งนี้เรามีประชุมเช้า.. นัทนอนเถอะ..ฝันดี” มกรทอดกายยาวเอาขาห้อยพาดอยู่ตรงพนักวางแขน เห็นแล้วก็ยิ่งน่าสงสาร การขยับตัวของชายหนุ่มก็เป็นไปด้วยความลำบากจนณัฐวีร์เอ่ยอย่างตัดสินใจ

“พอแล้วครับ..ถ้าเมื่อยตัวให้ผมนวดให้ไหม คือที่บ้านป๊าชอบให้ผมนวดให้ แต่ตรงนั้นผมนวดไม่สะดวกนะครับ มานอนตรงนี้เถอะ”

โดยไม่ต้องให้เรียกซ้ำ..มกรรีบลุกมาหาเขาทันที
“นวดให้หน่อยนะครับรูปหล่อ” มาถึงก็ล้มตัวลงนอน ปลายมือยังคว้าเอามือของณัฐวีร์ไปจับเล่นด้วย “ขอบคุณที่เห็นใจพี่นะครับ เมื่อยมากเลย”

ณัฐวีร์ดึงมือตัวเองออกแล้วตั้งท่านวดให้ เขาพลิกร่างสูงใหญ่นั้นให้นอนคว่ำและเริ่มไล่ตั้งแต่ลาดไหล่ลงมา แนวกระดูกสันหลัง เอว ขา ไปจนถึงปลีน่อง..

นวดไปก็คิดไป ท่านวดแบบนี้น่ะ มันเสี่ยงกับนิ้วล็อคมากกว่าหิ้วถุงช้อปปิ้งอีกนะ.. ทีอย่างนี้ไม่มาห้ามกันล่ะ
นวดไปได้สักสิบนาที ต่างฝ่ายต่างอยู่ในความเงียบ และเพราะคงจะเหนื่อยจริงๆ เมื่อคืนคงนอนไม่หลับเพราะหลับไม่สบายบนโซฟาแบบนั้น เจ้าตัวถึงได้ผล็อยหลับไปง่ายๆ

ณัฐวีร์หยุดมือแล้วชะโงกหน้ามาดู เห็นอีกฝ่ายหลับตานิ่งก็ละมือออก ไม่เป็นไร เขาตัวเล็กกว่า ไปนอนที่โซฟาแทนก็ได้ ผลัดกัน

แต่พอละมือออกผุดลุกขึ้นยืนอีกฝ่ายก็ผวาลุกมาคว้าข้อมือไว้
“จะไปไหน..”

“ผมจะไปนอนตรงนั้นแทนไงครับ”
มกรมองอย่างตัดสินใจ เขาเห็นณัฐวีร์เรียกไว้ ก็นึกว่าจะยอมให้มานอนด้วยกัน อุตส่าห์ดีใจ.. ที่ไหนได้ ฝ่ายนั้นแค่จะสลับให้เขามานอนตรงนี้..

มกรคิดอย่างหงุดหงิด บางทีการทำตัวเป็นคนดีก็ยากใช่เล่น ทำชั่วนิดเดียวก็ได้นัทมานอนกอดแล้ว..
แต่.. มันจะเป็นเหมือนเดิม.. ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

ทำชั่วทำเลวน่ะทำง่าย ทำดีน่ะต้องชนะใจตัวเองก่อน

ชายหนุ่มคิดอย่างตัดสินใจก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เป็นไร พี่ไปนอนตรงนั้นเอง”
แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปจริงๆ ทำให้ณัฐวีร์รั้งแขนอีกฝ่ายไว้อย่างเสียไม่ได้

“พี่เมื่อยตัวผมรู้.. พี่นอนเถอะ ผมไปนอนตรงโน้นได้.. โซฟามันตัวเล็ก ผมก็ตัวเล็กกว่าพี่”
“ไม่เอา!..” มกรใช้เสียงหนักๆ ตอบ ชายหนุ่มดึงแขนออกจากมืออีกฝ่าย บางทีก็อยากจะกลับมาร้ายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
ความห้วนในน้ำเสียงของมกรทำให้ณัฐวีร์รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อครู่ ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย มาทำแบบนี้เขาจะวางตัวยังไง.. การปล่อยให้อีกฝ่ายไปนอนเสียอาจเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว.. แต่ถ้าอยากทำงานด้วยกันอย่างสบายๆ ไม่ต้องมีแรงกดดันอะไร เขาน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นไม่ใช่หรือ แค่ต้องแบ่งปันสิ่งที่เขามีให้อีกฝ่าย..บ้าง

“เอาแบบนี้ ถ้าขืนยังเกี่ยงกันอย่างนี้ผมว่าเราคงจะไม่ได้นอนกันทั้งคืน ถ้าพี่ทนนอนกับคนนอนดิ้นแบบผมได้ นอนเตียงเดียวกันก็ได้ครับ”
มกรชะงักขาที่กำลังก้าวไปแล้วพึมพำกับตัวเอง “ไม่เคยเห็นว่านอนดิ้นเลย”

“อะไรนะครับ”
“เปล่า.. พี่นอนได้” พูดแล้วเจ้าตัวก็รี่กลับขึ้นเตียงทันที เขาถอยจนชิดกำแพงเพื่อให้มีที่กว้างพอสำหรับอีกคนที่ยังยืนอยู่อย่างชั่งใจ

ตอนแรกณัฐวีร์คิดว่าจะขอนอนด้านในชิดกำแพงเพื่อว่าจะได้หันหน้าเข้าหากำแพงเสีย แต่ดันไม่ทันคนตัวโตกว่า เขาก็เลยทรุดนั่งลงตรงขอบเตียงอย่างเสียไม่ได้ พอเหลียวไปมองก็เห็นอีกฝ่ายรีบปิดตาลง มือไม้ก็กอดอกไว้เรียบร้อยเหมือนกลัวใครจะผวาเข้าไปซบอก แผ่นหลังแนบกำแพงและหัวหมิ่นจะตกหมอนอยู่แล้ว

ณัฐวีร์ถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากเตียงทำให้อีกฝ่ายผวาขึ้นอีกครั้ง
“จะ..”

“ไปเอาหมอนครับ หมอนใบเดียวนอนกันยังไงสองคน เดี๋ยวผมไปเอาหมอนมาให้พี่เอง”
ความตั้งใจของณัฐวีร์คือเขาจะเอาหมอนที่อีกฝ่ายหนุนมาให้ แล้วเอาหมอนตัวเองคืนมา แต่พอเดินไปหยิบมาถือหันกลับมา ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาหมอนหนุนของเขามากอดไว้แล้วนั่งรออยู่ที่เดิม แสดงว่าไม่อยากเปลี่ยนหมอน..หรือเปล่า?

ด้วยความที่ดึกมากแล้ว และวันนี้ก็เดินทางไปประชุมมาทั้งวัน อีกทั้งพรุ่งนี้ก็คงจะต้องออกตะลอนอีกทั้งวัน ณัฐวีร์จึงไม่อยากจะต้องมานั่งโต้เถียงกันเรื่องหมอนหนุน เขาจึงเดินกลับมาที่เตียงวางหมอนในมือแล้วล้มตัวลงนอนทันที ซึ่งแน่นอนว่าเขาหันหลังให้กับคนที่ยังนั่งกอดหมอนมองนิ่งและทำท่าเหมือนจะไม่ง่วงแล้วด้วย
ณัฐวีร์ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงอก หลับตาและผ่อนลมหายใจตัวเองลง เขาเหนื่อยและเพลียเพราะเดินทางทั้งวัน โปรแกรมพรุ่งนี้ก็คงอีกเยอะเพราะมีงานแฟร์ที่ต้องไปเดินดู ดังนั้นการพักเอาแรงก่อนจึงเป็นเรื่องที่สมควร
คนที่อยู่เบื้องหลังขยับตัว คงจะล้มลงนอนแล้ว อาจจะหันหน้าเข้ากำแพงเพราะดูเหมือนจะขยับยุกยิกไม่หยุดเสียทีทำให้เตียงมีอาการสั่นตลอดเวลา

ณัฐวีร์ทนนอนนิ่งๆ ไปชั่วครู่รอให้ฝ่ายนั้นหยุดพลิกตัว แต่ก็ยังไม่จบเสียที เวลาผ่านไปพอสมควรก็ยังยุกยิกอยู่นั่น ณัฐวีร์ก็เลยบ่นพึม “รู้แบบนี้เอาห้องเตียงเดี่ยวไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานอนเบียดกัน”
เล่นเอาคนข้างหลังสะดุดกึก “นัทอึดอัดหรือเปล่า พี่ไปนอนที่เก้าอี้..”

“พี่แมน...” เสียงดุๆ ที่ตวัดขึ้นพร้อมกับการหันมาถลึงตาใส่ทำให้อีกฝ่ายชะงักกึก
ณัฐวีร์นั้นเป็นคนง่ายๆ ยังไงก็ได้ แต่ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่น ก็จะมีบ้างที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยาก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำเรื่องให้น่าปวดหัว เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง อะไรจะทำเตียงเลอะจนนอนไม่ได้มาติดๆ กันแบบนี้ ต้องการอะไรกันแน่

“พี่ขอโทษ..นัทอย่าโกรธเลยนะ..”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ช่วยนอนหลับกันได้แล้วครับ” คนพูดหันกลับแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาซ้อนหลังพร้อมทั้งโอบดึงเอาร่างของเขาเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว
“เฮ้ย! ทำอะไรเนี่ย”
ลมหายใจพรูของคนด้านหลังรินรดอยู่ตรงซอกคอทำให้ณัฐวีร์ทำท่าจะอาละวาด
“ไหนว่าไม่โกรธไง จะนอนก็นอนได้เลยครับ”
“เมื่อกี้ไม่โกรธ แต่ที่มากอดผมนี่ผมกำลังจะโกรธแล้ว..ปล่อย!” ณัฐวีร์ตวาดดุเสียงดัง ความที่ถูกรวบไว้ทั้งตัวทำให้เขาดิ้นไม่ถนัดนัก อายก็อาย คงไม่มีผู้ชายที่ไหนยอมนอนนิ่งๆ ให้ผู้ชายด้วยกันกอดหรอก
แต่แล้ว..ณัฐวีร์ก็ตัวแข็งทื่อ
ทำให้มกรตีความได้ว่าอีกฝ่ายยอมแต่โดยดีแล้ว “อย่าโกรธเลย ถ้าให้พี่นอนกอดอกทั้งคืนคงเมื่อยกว่าไปนอนที่โซฟาอีก มือไม้มันเก้กังไปหมดแล้ว พี่กลัวว่าจะไปฟาดโดนนัท ถ้าไง นอนกอดนัทเสียจะได้หลับไปพร้อมกันไม่ต้องมาพะวง”
ณัฐวีร์ฟังเหตุผลแล้วก็ยิ่งโมโห “จะนอนแล้วอะไรมาดุนอยู่ที่สะโพกผม!”
“ก็นัทอย่าดิ้นสิ มันโดนสีมันก็ตื่นเป็นของธรรมดา ผู้ชายด้วยกันก็รู้นี่นา.. นอนเฉยๆ นอนๆ พี่จะนอนแล้วอย่าปลุกนะ ง่วงมากเลยเนี่ย เหนื่อยด้วย ปวดขาเดินทั้งวัน”
“พี่แมน!” ณัฐวีร์ร้องเรียกแต่ไม่ยอมดิ้นหนีอีก เพราะก็ห่วงที่ค้ำหลังอยู่เหมือนกัน ผู้ชายด้วยกันรู้ว่าถ้ามันตื่นขึ้นมามันจะสงบยาก
“พี่แมน!”
เรียกไปเถอะ เจ้าตัวเขาไม่รับรู้หรอกหลับนิ่งไปสนใจที่ไหนล่ะ แล้วคนที่เหนื่อย ไม่ไหวจะเคลียร์ก็กลายเป็นณัฐวีร์เอง ทั้งคู่จึงหลับไปแบบนั้นเลย

*….*

คืนถัดมา หลังจากการเดินงานแฟร์เพื่อหาข้อมูลเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าสำหรับโรงแรมใหม่ในเครือ รวมไปถึงบริษัทที่จะซื้อขายสินค้า พอกลับมาโรงแรมกันแล้วณัฐวีร์ก็ยื่นคำขาดทันที
“ห้ามกินน้ำกินขนมบนเตียง ห้ามวางขนมบนเตียง ห้ามเข้าใกล้เตียงเข้าใจไหมครับ?”
“อ้าว แล้วพี่จะนอนยังไง?” มกรถามแล้วมองน้ำผลไม้กระป๋องในมือตัวเอง นี่ตั้งท่าจะเปิดดื่มแล้วนะ
“นั่นๆ วางเลย อยากกินเดี๋ยวผมเทให้ อยากนอนเดี๋ยวนอนพร้อมกัน พี่นอนเตียงพี่ ผมจะรักษาเตียงพี่อย่างดีเลย” ณัฐวีร์เดินไปแย่งเอาน้ำผลไม้มาถือไว้เอง เขาหยิบมันมาเทลงแก้วแล้วนั่งเฝ้าให้อีกฝ่ายดื่มจนหมด พอหมดเขาก็ให้มกรเข้าไปอาบน้ำก่อน แล้วเก็บทุกอย่างที่จะเลอะได้ออกให้พ้นเตียง แม้แต่ครีมทาผิวเขาก็ไม่ให้วางไว้บนเตียง เรียกว่าจับตาดูแทบไม่ให้เคลื่อนไหวอะไรผิดไปจากที่ควรเป็น เพราะการถูกผู้ชายนอนกอดไม่ใช่เรื่องที่จะยอมให้เกิดซ้ำสองคืนแน่ๆ
แต่มันก็มีบางจังหวะที่ณัฐวีร์ก็ต้องละสายตาไปบ้าง เช่นตอนที่เขาต้องเข้าไปอาบน้ำ เป็นต้น
“นั่งเก้าอี้นิ่งๆ ไปก่อน เดี๋ยวผมออกมาแล้วค่อยนอน!! ห้ามเข้าใกล้เตียงจนกว่าจะนอนนะครับ” ณัฐวีร์ลงเสียงหนักๆ ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำไป
มกรก็เลยมีโอกาสทำตามแผนเดิม เขาย่องไปหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็นแล้วทำท่าจะเอาน้ำมาเทเตียงอีกรอบ แต่แล้วประตูห้องน้ำก็เปิดผลั้วะออกทำให้ชายหนุ่มถอยร่นไปอยู่มุมหนึ่งด้วยใจเต้นระทึก
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว พี่ออกไปอยู่นอกห้องก่อนเลย ผมอาบน้ำเสร็จแล้วจะโทรเรียกให้กลับเข้ามา”
“อ้าว..”
“ไม่มีอ้าว.. ออกไป เอาโทรศัพท์ไปด้วย” ณัฐวีร์รุนหลังอีกฝ่ายให้ออกจากห้อง
“แต่ว่าพี่ใส่ชุดนอนแล้ว..”
“ไม่มีแต่ครับ..ชุดนอนพี่สามารถออกไปเดินช็อปปิ้งจตุจักรได้สบายๆ เพราะฉะนั้น..จะออกไปแล้วค่อยเข้ามา หรือจะออกไปนอนกับคนอื่นเลยผมให้เลือกแค่นั้น..” ณัฐวีร์ทำตาดุใส่...แน่นอนว่าคราวนี้เขาเอาจริงสุดๆ
และคืนนั้น ณัฐวีร์ก็นอนหลับอย่างไม่ต้องพะวงได้ตลอดทั้งคืน

******

(ต่อด้านล่าง)




ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
(ต่อ)

ในรุ่งเช้าของวันฟรี รถของโรงแรมพาพวกเขามาส่งแถวสถานีเหยามาไต๋ แมนเลือกโจ๊กฮ่องกง ปาท่องโก๋ ซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ให้เป็นอาหารเช้าของพวกเขาทั้งคู่ พออิ่มท้องก็พากันขึ้นรถไฟไปยังสถานีดิสนีย์แลนด์กันเลย ในรถมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่มากมาย ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะยืนไปตลอดทาง แต่ก็ดีที่ยืนเพราะพอออกนอกเมืองมารถไฟก็วิ่งเรียบชายฝั่งทะเลมองเห็นน้ำสีสวยๆ อยู่ห่างออกไป

“สวยเนอะ..” มกรลดระดับหน้าลงมาเสมอใบหน้าของคนตัวเล็กกว่า
แต่ดูเหมือนตอนนี้ณัฐวีร์จะไม่สนใจ เขายิ้ม พยักหน้ารับ แล้วมองออกไปนอกขบวนรถ รู้สึกว่าเสียงเด็กเล็กๆที่คุยกันเจื้อยแจ้วรอบตัวเหมือนเสียงลูกนก ส่วนคนที่เอามือมาวางอยู่บนไหล่เขานี่เหมือนพ่อนก เดี๋ยวก็คงปล่อยมือออกไปเอง
พอถึงสถานีไหล่กิงพวกเขาต้องเปลี่ยนขบวนรถ แล้วก็ไปเปลี่ยนอีกทีเพื่อขึ้นสายซันนี่เบย์ต่อไปยังดิสนีย์แลนด์
การที่ผู้ชายสองคนเดินมาด้วยกันออกจะเป็นเป้าสายตาอยู่บ้างแต่เพราะชินกันอยู่แล้วกับสายตาคน พวกเขาเลยเดินมายืนคุยกันอย่างเนียนๆ พอมาถึงดิสนีย์แลนด์ มกรก็เริ่มยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ถ่ายตั้งแต่ยังไม่ถึงทางเข้าด้วยซ้ำ ลงจากขบวนรถก็ถ่ายเลย
“เห่อเหรอครับพี่” ณัฐวีร์ถาม
“มาก” มกรหันมายักคิ้วให้ “นี่เป็นครั้งแรกที่มาเลยนะ”
“ก็แน่ล่ะ เขาเพิ่งเปิดได้ไม่กี่ปีเองนี่ครับ”
“ใช่ๆ” มกรตอบรับแล้วก็กดถ่ายแช็กๆ ไม่ลืมที่จะหันกล้องมาทางณัฐวีร์แล้วถ่ายรูปอีกฝ่ายไว้ด้วย “พี่ไม่เคยมาสวนสนุกเลย ตอนเด็กๆ ไม่มีใครพามา โตขึ้นก็เลยพาลไม่ค่อยอยากไป เพื่อนชวนก็ไม่ไป ขี้เกียจตอบคำถามว่าทำไมตอนเล็กๆ พ่อแม่ไม่พาไป”
คนฟังถึงกับอึ้ง.. ต่อให้งานที่ร้านยุ่งแค่ไหน ป๊ากับแม่ไก่ยังปิดร้านพาเขาไปเที่ยวดรีมเวิร์ลได้เลย พอโตขึ้นหน่อยเขาก็ได้ไปกับเพื่อนด้วย
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่ไม่เป็นไรหรอก..วันนี้ได้มากับนัทเป็นหนแรกคนแรก พี่ออกจะดีใจ” มกรยิ้มแล้วถ่ายรูปณัฐวีร์อีกแชะ “เราเดินเข้าไปกันเถอะ”
ดิสนีย์แลนด์เปิดให้บริการตอน 10.30 น.ตรงเวลาพอดีเป้ะ  แต่ด้วยความชิลของคนทั้งคู่ พวกเขาจึงยืนถ่ายรูปด้วยกันอยู่ด้านนอกเสียหลายใบ ก่อนจะเดินไปที่ Main Street ซึ่งสองข้างทางเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายยาวเกือบครึ่งกิโล
ภายในสวนสนุกนั้นแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆด้วยกัน โซนแรกคือ Adventure land ซึ่งจะมีบ้านเกิดทาร์ซานและมีเครื่องเล่นแนวผจญภัยและล่องเรือด้วย โซนที่สองคือ Fantasy land ดินแดนในฝันปราสาทแห่งเทพนิยายและเครื่องเล่นสำหรับเด็กแบบน่ารักๆ เช่น Toy Story zone ส่วนโซนที่สามถึงจะเป็นโซนสำหรับวัยรุ่นอย่างพวกเขา โซน Tomorrow land โซนนี้มีเครื่องเล่นหวาดเสียวตื่นเต้นและไม่เหมาะกับคนเป็นโรคหัวใจที่สุด
พอกางแผนที่จากแผ่นพับเพื่อวางแผนเล่นเครื่องเล่นด้วยกัน มกรก็ส่ายหน้าให้โซน Tomorrow land ก่อนเลย
“พี่ไม่เล่นโซนนี้แล้วกัน”
“อ๊า ทำไมล่ะ?” ณัฐวีร์ร้องอย่างเสียดาย
“นัทไม่รู้เหรอว่าพี่เป็นโรคหัวใจ” มกรบอกด้วยใบหน้าน่าสงสาร
แต่คนฟังกลับทำปากยื่น ส่ายหัวดิกอย่างไม่เชื่อคำพูดนั้นสุดๆ “ใจง่ายสิพี่น่ะ อย่ามามุกเสื่อมแถวนี้ ไปเร็วคนกำลังโล่ง”
Space Mountain รถไฟเหาะท่องอวกาศที่สร้างความตื่นเต้นเป็นเป้าหมายแรกที่ณัฐวีร์เลือก บรรยากาศมืดๆกับการเหวี่ยงของเครื่องเล่นทำให้ณัฐวีร์หัวเราะอย่างสนุกสนาน จังหวะที่รถไฟเหาะนั้นจะออกจากห้วงอวกาศ จะมีการแอบถ่ายภาพคนเล่นไว้ด้วยเพื่อให้เห็น “สภาพ” ของผู้เล่นด้านในเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งพอทั้งคู่ลุกออกจากที่นั่งมาได้ เขาก็รีบเดินมาดูว่าตัวเองทำหน้ายังไงตอนถูกแอบถ่ายในเครื่องเล่นนั้นทันที

“ฮ่าๆๆ” ปลายนิ้วชี้สั่นระริกตอนที่จิ้มลงไปบนหน้าของมกรที่แหกปากกว้างแล้วโดนแอบถ่ายภาพมาได้ คนถูกหัวเราะใส่อายหน้าแดงเดินหนีลิ่วๆ มาเลย
“พี่แมนไม่ซื้อเหรอ เก็บไว้ดูเล่นไง”
“ไม่เอาไม่ซื้อ” มกรส่ายหน้าเขาน่ะทำหน้าตาตลก ส่วนณัฐวีร์แค่หัวเราะธรรมดาเอง หน้ายังหล่อเหมือนเดิม
“งั้นผมซื้อไว้แล้วกัน อยากเก็บไว้ดูเล่น” ณัฐวีร์ยอมควักเงินจ่ายซื้อภาพไว้เป็นที่ระลึก
“เอาสองเลยก็ได้” แล้วมกรก็อดไม่ได้ ซื้อตามไปด้วย ไม่เป็นไรเดี๋ยวเอารูปเขาหล่อๆมาแปะทับไอ้หน้าตาน่าเกลียดนี่แล้วกัน
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปต่อที่ไฮไลท์ของโซนนี้..บัสไลท์เยียส์ มันเป็นเครื่องเล่นที่ทำให้พวกเขาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องโลกร่วมกับตัวการ์ตูนชื่อดัง พอออกมาณัฐวีร์ก็ลากมกรไปแข่งประลองความเร็วสุดคลาสสิคที่ยูโทเปีย
แค่สามเครื่องเล่นนี้ก็กินเวลาเลยเที่ยงมาแล้ว แต่ดูเหมือนทั้งมกรและณัฐวีร์จะไม่ได้สนใจอาหารเที่ยงนัก
ด้วยความที่ยังไม่หิวและรู้สึกสนุกสนานกันทั้งคู่ พวกเขาจึงแค่แวะซื้อฮอทด็อกถือไปทานตอนต่อแถวเล่นเกม
“ปากเลอะแล้ว..” มกรบอกแล้วเอาทิชชู่ในมือปาดเช็ดให้ณัฐวีร์ คนถูกดูแลย่นจมูกใส่แล้วก็ยืนจัดการอาหารไปจนหมด
พวกเขากำลังเข้าคิวกันอยู่ในแถวของคนต่างชาติเพื่อรอเข้าไปล่องเรือจังเกิลริเวอร์ครูซ แถวของเครื่องเล่นนี้ถูกแบ่งออกเป็นแถวคนจีน และแถวคนต่างชาติจึงสะดวกกว่าเครื่องเล่นอื่นค่อนข้างมาก.. เพราะไม่ต้องมาห่วงว่าจะโดนคนจีนแซงคิว
มาที่นี่มีหลายครั้งที่โดนคนจีนแทรกเข้ามาโดยใช้เด็กเป็นคนนำร่อง แล้วสักพักก็จะมีแม่เด็กเดินตาม พ่อเด็กเดินตาม บางทีก็ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ให้เด็กขับถ่ายตามสะดวกด้วย พอเจอบ่อยๆ เข้าณัฐวีร์ก็รู้สึกตลกคนเหล่านั้นมากกว่าจะโมโหที่โดนแทรกคิวไปเลย
ส่วนอีกคนตอนแรกก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดมากอยู่ แต่พอเห็นณัฐวีร์ไม่ว่าอะไร ทางนั้นก็เหมือนจะไม่ว่าตามไปด้วย การโดนแทรกคิว..ทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันนานขึ้น ก็ได้คุยอะไรกัน ได้ถ่ายรูปด้วยกัน สนุกรอเวลาจนบางทีก็อยากให้ยืนอยู่ตรงนี้นานๆ ด้วย
หลังขึ้นจากเรือ ทั้งคู่ไปชมแท่งไม้แกะสลักที่พ่นน้ำตามจังหวะดนตรีแล้วพากันมาเดินลงแพเพื่อไปดูบ้านทาร์ซานกันต่อ มาถึงตรงนี้ก็ท้องร้องกันแล้ว
“เดี๋ยวจะมีขบวนพาเหรดล่ะ” มกรบอกตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากโซนแอ๊ดเวนเจอร์ “แต่ตอนนี้พี่หิวแล้ว นัทหิวหรือยัง?”
ณัฐวีร์มองแสงแดดแล้วทำตาหยี “หิวนิดนึง แต่ถ้าไปกินข้าวออกมาคงไม่ทันขบวนพาเหรดใช่ไหมครับ?”
คนถามเงยหน้าขึ้นมองมกร ดวงตาคู่นั้นทำเอาคนบ่นว่าหิวรูดซิบปากไปเลย
“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวนัทยืนรออยู่นี่นะ ตรงนี้แดดไม่ร้อนมาก พี่จะเดินไปซื้อขนมกับน้ำมาให้รองท้อง”
ณัฐวีร์ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าหงึกๆ ทันที “ขอบคุณครับ”
ป๊อบคอร์นที่มกรไปซื้อมาให้หมดไปด้วยความรวดเร็ว ตามด้วยไส้กรอกและน้ำหวานอีกขวด พออาหารหมดแล้วนั่นล่ะ ขบวนพาเหรดถึงมา ตามกำหนดการ ขบวนพาเหรดจะมาตอนบ่ายสามครึ่ง แต่บางทีก็เลื่อนไปบ้าง เพราะคนเยอะ ของมาก ต้องใช้เวลาเตรียมกัน
ในขบวนนั้นมีตัวละครจากการ์ตูนดิสนีย์มากมาย และใช้เวลาโชว์อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง การที่พวกเขายืนอยู่ใต้ร่มไม้จึงดีกว่าไปยืนสู้แดดอยู่กลางลานมาก แม้ว่าในช่วงเดือนที่ไปจะเป็นช่วงที่อากาศยังเย็น แต่ถ้าต้องไปยืนท่ามกลางแดดนานๆ  ณัฐวีร์คงไม่ไหวเอาได้ง่ายๆ
ณัฐวีร์มองเจ้าชายในขบวนพาเหรดที่ยืนอยู่คู่กับเจ้าหญิงสโนไวท์ ชายคนนั้นโบกไม้โบกมือให้เด็กๆ ไปทั่ว แต่พอใกล้มาถึงพวกเขากลับมองมาตรงใต้ร่มไม้ที่ยืนกันอยู่แล้วโบกมือให้ และความที่เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี ณัฐวีร์ก็เลยโบกมือตอบ เล่นเอาคนข้างตัวถึงขั้นชักสีหน้าทันที
ไม่นานขบวนพาเหรดก็หมดไปแต่อารมณ์ของมกรที่หงุดหงิดอยู่กลับยังไม่เข้าที่ดี.. ถ้าเป็นเมื่อก่อน แค่คนของเขามองใคร เขาก็กระชากตัวให้ออกมาจากสถานการณ์นั้นแล้ว
แต่..ความรุนแรงอย่างทีเขาเคยทำ..มันคือสาเหตุของทุกๆ เรื่องที่เชียงใหม่นั่น ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงเลือกที่จะเงียบ นิ่ง และพยายามบริหารอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองให้ได้มากที่สุด
“ไปนี่กัน..”
คนพูดกางแผนที่แล้วจิ้มจึ้กลงไปที่ The Many Adventures of Winnie the Pooh มกรปรายตามองแล้วพยักหน้าไม่พูดอะไร พอณัฐวีร์เดินนำ อีกฝ่ายก็เดินตาม แต่จากที่เคยเดินเสมอกันไป กลายเป็นมกรหงุดหงิดจนเดินรั้งมาข้างหลังแทน
แม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์คนไม่เยอะมากนัก แต่จะไปดูถูกพวกคณะนักท่องเที่ยวไม่ได้เลย ดังนั้น เมื่อมกรเงยหน้าไปมองหาคนตัวเล็กที่เดินลิ่วๆไม่รอกัน.. ก็กลายเป็นว่าเขาเจอแต่หัวใครก็ไม่รู้เต็มไปหมด ..และณัฐวีร์หายไปเสียแล้ว
“นัท..”
มกรร้องเรียกแล้วมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเลย เขาน่าจะคลาดกันกับณัฐวีร์ตรงทางแยกนั่นหรือเปล่านะ มกรคิดแล้วหันเลี้ยวไปทางขวา พอเดินไปได้สักสี่ห้าก้าวเขาก็ชะงัก หรือว่าณัฐวีร์จะไปทางซ้าย ..ชายหนุ่มร้อนใจรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งไปดูอีกทาง.. แต่ก็ไม่มี
มกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คิดไว้ว่าจะโทรหา..แต่แล้วเจ้าตัวก็นึกได้.. เขาขโมยมือถือน้องไปทิ้งเอง แล้วน้องจะมีโทรศัพท์ให้คอยติดตามตัวยังไงล่ะ? มกรแทบอยากจะตีหัวตัวเอง
“นัท!”  ชายหนุ่มตะโกนอย่างหมดหนทาง
“โอ้ย! เสียงดัง อายคนเขานะครับ”
เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ชายหนุ่มหันขวับ ณัฐวีร์ยืนหน้าง้ำห่างออกไปเล็กน้อย ในมือเขามีแผนที่ที่ยังกางไว้อยู่เลย
“พี่ใจหายหมด” มกรเดินเข้าไปหาแล้วก็บ่น “โทรศัพท์ก็ไม่มีอย่าเดินห่างพี่ไปสิ”
“คือผมน่ะเดินนำหน้า พี่นั่นแหละเดินหายไป หันมาอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว ปล่อยให้ผมคุยอยู่คนเดียวเนี่ย” ณัฐวีร์บ่นกลับบ้าง “ถ้าพี่หายไปแล้วผมจะกลับยังไง โทรศัพท์ก็ไม่มี ไม่อยากโดนตำรวจพาไปส่งโรงแรมนะครับ”
“โธ่ พี่ก็ต้องหาเราจนเจอสิ ใครจะปล่อยให้หาย” มกรยิ้มเอาใจแล้วจับมืออีกฝ่ายบีบเบาๆ “น่าๆ ใจเย็นๆ นะ โมโหเดี๋ยวไม่หล่อ”
“ผมก็ไม่ได้หล่อมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว แค่มีดหมอเฉือนๆตัดๆไปนิดหน่อยเท่านั้นก็เลยพอดูได้”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังจี๊ดเจ็บเข้าไปที่หัวใจ.. เขาเอง ต้นเหตุมาจากเขานี่เอง.. แล้วพอน้องหน้าตาดีขึ้นเขาจะมาโกรธที่ใครๆสนใจน้องได้ยังไง เขาจะมาหงุดหงิดไม่ได้สิ..เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้
“พี่ขอโทษ..” มกรเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้
“เฮ้ย!” ณัฐวีร์ร้องลั่นขืนตัวหลุดออกมายืนหน้าแดงทันที “จะบ้าเหรอพี่ คนเยอะแยะ”
“แสดงว่าถ้าคนไม่เยอะพี่ก็กอดได้?” มกรยังแถ
เล่นเอาคนถูกตั้งคำถามแบบนั้นยิ่งหน้าแดงหนัก “..โว้ย! ไม่คุยด้วยแล้ว” ณัฐวีร์เดินหนี
“นัท รอพี่ด้วยสิ เดี๋ยวก็หลงกันอีกหรอก” มกรวิ่งตาม ชายหนุ่มทำท่าจะยกมือโอบไหล่อีกฝ่ายแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อคนตัวเล็กกว่าตวัดตามาจ้องพร้อมทำหน้าดุเข้ม เล่นเอามือนั้นต้องหดลงมาจับสายกระเป๋าเป้แทน “ไม่จับไว้เดี๋ยวหลง..”
แล้วคนพูดก็ยิ้มกว้างอย่างเอาใจ เดินตามณัฐวีร์ไปเข้าแถวรอดูหมีพูห์ชนิดที่ว่า ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้แล้วตอนนี้
พอออกจากหมีพูห์ ขนมที่ทานกันไปตอนดูขบวนพาเหรดก็ย่อยหมด ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะนั่งทานอาหารมื้อหนักกันเสียที แล้วก็เป็นมกรอีกเช่นเคยที่เดินหาซื้ออาหารโดยให้ณัฐวีร์นั่งจองโต๊ะ
“นัททานได้นะ” มกรถามพลางยกเอาข้าว และชามบะหมี่ออกจากถาด
อากาศตอนเย็นๆ  เริ่มหนาวแล้ว ลมแรงด้วย พื้นที่ทานอาหารมีทั้งที่เป็นด้านนอกอาคารแบบเปิดโล่งมีหลังคากันแดด และเป็นในห้องปิดมิดชิดแบบฟาสต์ฟู้ด แต่เพราะในห้องคนเยอะมาก พวกเขาถึงเลือกนั่งด้านนอก อากาศแบบนี้พอได้ทานน้ำซุปร้อนๆ เส้นบะหมี่นุ่นๆ มีเนื้อหมูและเป็ดรสเลิศ ก็ทำให้ณัฐวีร์อารมณ์ดีจนทานไปด้วยแล้วก็ชวนอีกฝ่ายคุยไปด้วยอย่างสนุกสนาน
พอจบมื้ออาหาร พวกเขาก็ไปที่เดอะ สมอลล์ เวิลด์ ซึ่งตอนที่อิ่มท้องสบายพุงแบบนี้ การได้ล่องเรือชมประเทศต่างๆพร้อมฟังเพลงที่ขับกล่อมโดยตัวการ์ตูนประจำชาตินั้นก็ทำให้ณัฐวีร์รู้สึกคลายเหนื่อยจากที่เดินเล่นมาทั้งวันได้เหมือนกัน
“เจ้านั่นหน้าตาตลกนะ” มกรกระซิบอยู่ข้างหูทำให้ณัฐวีร์ต้องเหลียวมองตามมือที่อีกฝ่ายชี้ พอเห็นเขาก็หัวเราะ
“ใช่ๆ หน้าตาเหมือนพี่แชร์”
คนฟังสะดุดกึก.. “อะไรเนี่ย อยู่กับพี่ต้องไปคิดถึงมันด้วย”
“อ้าว...” ณัฐวีร์ร้อง แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายิ้มๆเหมือนล้อเล่นเขาก็เลยยิ้มตอบแล้วชี้ให้อีกฝ่ายดูตุ๊กตาที่หมุนแขนควงขากันเป็นหมู่คณะเพื่อเต้นตามเพลงประจำชาติตัวเอง
พอออกมาจากสมอลล์เวิล์ดก็ใกล้เวลาไฮไลท์สุดท้ายโชว์การจุดพลุแล้ว พวกเขาเดินซื้อของฝากคนละถุงสองถุงก่อนจะแว้บออกจากร้านมายืนออพร้อมกับนักท่องเที่ยวรอดูพลุ
แสงสีและเสียงเพลงที่ประกอบกับพลุนั้นเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจทำให้คนดูบางคนถึงกับลืมหายใจไปเลย

.
.
.
.
.

tbc.




ขอบคุณที่เข้ามาร่วมสนุกชิงพี่แม้นกันนะคะ ^__^
ยังร่วมสนุกกันได้อยู่นะคะ คำถามยากไปนิดนึง 55555

คนแต่งฝากมาบอกว่า ---> ต่อจากนี้จะดราม่าจัดหนักจัดเต็ม!.. โหมดหวานๆ มันหมดไปแล้วนะครัชพี่แม้น  :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะต้องหน่วงอีกแล้วหรือนี่

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
สวัสดีค่ะทุกคน ก่อนอื่นเลยอยากขอโทษที่เข้ามาประกาศรายชื่อผู้ร่วมสนุกช้าไป 2-3วัน 

คุณมอส จับรายชื่อผู้โชคดีที่ร่วมสนุกตอบคำตอบ ชิงหนังสือพี่แม้น เรียบร้อยแล้วนะคะ

เฉลยคำตอบ
จากควิสท์ที่ว่า ความหมายชื่อณัฐวีร์ หมายถึงอะไรนะคะ

หมายถึงปราชญ์ผู้กล้าหาญค่ะ
(ก็เหมาะกับลักษณะนิสัยน้องเนอะ)

ลิสต์รายชื่อผู้ตอบคำถามถูกนะคะ

**เราใช้วิธีจับสลากค่ะ**






และผู้ที่จับขึ้นมาได้คืออออออ... แต่น แตน แต๊นนนน นน #คาดว่าน่าจะรู้กันแล้ว 5555




ดีใจกับคุณ kavinchy Ay'e ด้วยค่ะ  o13

ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนุกนะคะ ไว้รอตอนใหม่ เร็วๆนี้น๊าาา  :katai4:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เข้ามารอพี่แม้นศรี :z13:

ยินดีกับคนที่ได้หนังสือด้วยจ้า  :katai2-1:  :z2:

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #287 เมื่อ05-06-2014 10:56:22 »

ตอนที่ 25




พลุลูกสุดท้ายจบลง คนต่างทยอยกันออกจากสวนสนุกแต่ยังมีบางกลุ่มที่เลือกซื้อของต่อ เพราะการรีบออกไปตอนนี้นอกจากรถติดแล้ว รถไฟก็คนแน่นมากด้วย
“พี่โทรบอกคนขับรถของโรงแรมแล้วนะ” มกรเดินเข้ามาบอกตอนที่ณัฐวีร์กำลังถือพวงกุญแจไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และแม็กเน็ทไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
“ครับ...” ณัฐวีร์ตอบรับแล้วก็ยกของในมือสองข้างขึ้น “พี่ว่าอันไหนดี”
มกรมองพวงกุญแจหมีพูห์กับแม็กเน็ทที่เป็นรูปทอยสตอรี่ซึ่งต่างก็ไม่ใช่แนวเขาทั้งคู่ แล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้า “อย่าให้เลือกเลย... นัทจะเอาให้ใครนัทก็น่าจะรู้นะว่าเขาชอบอะไร”
“อือ นั่นสินะ...” ณัฐวีร์ก้มมองของสองอย่างในมือ แล้วก็วางลงในตะกร้าไปทั้งคู่
“อ้าว ตกลงเอาสอง”
“อื้อ.. ผมเลือกไม่ถูกหรอก” ณัฐวีร์ตอบแล้วหันไปเลือกของต่อ “อันนึงฝากเพื่อนในกลุ่มอีกอันฝากแฟนละกัน..”
แล้วณัฐวีร์ก็ต่อในใจว่า มันก็กลุ่มเดียวกันล่ะนะ... แย่งกันเอาเอง แพรวน่ะใกล้บ้านมีสิทธิ์เลือกก่อน เลือกอันไหนไปอีกอันก็ของเพื่อนอีกคน..ก็มันเพื่อนเหมือนกันหมดนี่นะ
แต่ความคิดในใจนั่นไม่ได้สื่อออกให้มกรรับรู้ คนฟังจึงยืนสะอึกอึ้งไป ยิ่งเห็นณัฐวีร์ทำเฉยเลือกของฝากอย่างสนุกสนานไม่ได้สนใจกัน ความรู้สึกก็ยิ่งกดดันและเจ็บปวดหนักข้อขึ้นจนเผลอถามระบายความเจ็บปวดในอกนั้นออกมา “นัทไม่รู้หรือไงว่าพี่รู้สึกยังไงกับนัท”
คนถูกถามชะงัก มือที่หยิบจับของอยู่ละลง เจ้าตัวถอนหายใจหนักๆ อุตส่าห์คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดออกมาแล้วเชียวนะ
“ผมมีแฟนแล้ว”
“แต่พี่..”
ณัฐวีร์เมินหน้าหนีอีกฝ่ายทันที “พอเถอะครับ ถ้าพี่พูดออกมาผมคงอยู่ทำงานกับพี่ไม่ได้ตลอดปิดเทอมนี้แน่”
พอเห็นท่าทางณัฐวีร์เป็นแบบนั้น มกรก็ยิ่งปวดหัวใจหนักขึ้นไปอีก มันเหมือนกับมีตะปูสักร้อยดอกถูกค้อนสักร้อยอันตอกเข้าไปที่หัวใจพร้อมกันเป็นจังหวะ ทั้งเจ็บ ทั้งยอกแสลงใจจุกไปทั้งอก แบบนี้เองที่ณัฐวีร์เคยรู้สึก การถูกปฏิเสธรัก..จากคนที่รัก ขนาดเขาโดนแค่นี้เขายังรู้สึกเจ็บขนาดนี้.. แล้วณัฐวีร์โดนหนักกว่านี้อีก..เจ็บทั้งกายและเจ็บทั้งใจ.. แค่นี้สำหรับเขายังถือว่าน้อยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆอย่างยอมรับชะตากรรม “ได้..พี่จะไม่พูด”
แล้วร่างสูงใหญ่ของมกรก็ค่อยๆ ก้าวถอยออกมา ปล่อยให้ณัฐวีร์เดินเลือกซื้อของตามลำพัง
เกือบสิบนาทีที่ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบงัน กระทั่งจ่ายเงินที่แคชเชียร์และพากันเดินออกมานั่งรอรถของโรงแรมแล้วก็ยังตกอยู่ในความเงียบนั้น คนขับโทรเข้ามาหามกรแล้วแจ้งว่ารถติดมากเพราะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเพิ่งจะทยอยออกไป จึงอาจจะมาช้าเล็กน้อย พวกเขาจึงเลือกหาที่นั่งหลบมุม
พอหาที่นั่งกันได้ มกรก็คิดจะหาทางออกให้บรรยากาศที่แสนจะมึนตึงนี้.. เขาไม่อยากเสียณัฐวีร์ไป ไม่อยากเสียไปอีกแล้ว.. ต่อให้ต้องอยู่ตรงนี้อย่างพี่คนหนึ่ง อย่างคนที่เจ็บปวดที่สุดเขาก็จะทน.. ถ้ายังตัดใจจากไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องดูแลน้องให้ดีที่สุด..
เขาไม่ต้องการกอดร่างที่เต็มไปด้วยเลือดแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะร่างของใครก็ตาม
มกรสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองมือที่สั่นระริกของตัวเอง ภาพความทรงจำนั้นยังติดแน่นอยู่ในกายนี้ ใจนี้ สมองนี้... และมันไม่ใช่แค่หนเดียว แต่เป็นถึงสองหนด้วยกัน
ทั้งณัฐวีร์ ลูกเกด และมะม่วง
มกรหลับตา.. ลูกเกดคือหญิงสาวที่เขารัก แต่เพราะเขามีพฤติกรรมเลวๆ เธอจึงพยายามรั้งไม่ให้เขาออกไปข้างนอกด้วยการกระโดดลงมาจากชั้นสองของห้องที่คอนโด เธอกลิ้งลงมานอนกับพื้นพร้อมทั้งพาเอามะม่วงออกมาด้วย..
เขาต้องสูญเสียมะม่วงไปเพราะเหตุนั้น ลูกของเขา.. ลูกที่ยังไม่รู้เพศด้วยซ้ำ..
หลังจากเหตุการณ์สูญเสียนั้น ลูกเกดเองก็เพิ่งรู้ว่าเธอมีมะม่วงอยู่ในท้อง.. เธอโทษว่าเขาเป็นคนทำร้ายเธอ เธอให้พี่ชายมาตามรังควาญที่มหาวิทยาลัย ตอนนั้นพ่อและแม่ต่างจับมือกันเพื่อหยุดยั้งครอบครัวของลูกเกด ทั้งให้เงินเป็นทุนสำหรับเกดเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ และพาเขาไปให้พ้นจากประเทศไทย เพื่อหนีทุกอย่างเป็นปี
พอกลับมาเขาก็ยังไม่หยุดความเลว.. เขาผลักตัวเองลงเหวหนักกว่าเดิมด้วยการทำให้ณัฐวีร์มาเป็นของเขา และ..ทำให้น้องเจ็บ
มกรส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว ไม่อยากทำให้ใครเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว… เขาเสียเกด เขาเสียมะม่วง แต่เขาไม่อยากเสียณัฐวีร์ไปอีก ดังนั้น ทางไหนที่จะทำให้คนๆนี้มีความสุข เขาจะทำ.. เมื่อไม่อยากให้พูด เขาก็จะไม่พูด เขาจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจที่สุด
มกรพรูลมหายใจออกมาอย่างต้องการจะระบายความอัดอั้นในอกนี้ ชายหนุ่มหยิบถุงใส่ของแล้วดึงเอาของที่อยู่ข้างในออกมา มันเป็นตุ๊กตาเบบี้พูห์ในท่านั่งที่ตัวสูงประมาณเกือบ 45 เซน แล้วเขาก็ยื่นมาให้ณัฐวีร์ “หมีตัวนี้นัทจะเอาไปทำอะไรก็ตามใจ พี่ซื้อให้นัท”
“แต่ผมบอกพี่แล้ว..”
“พี่รู้.. แต่ทั้งที่รู้พี่ก็ยังตัดใจจากนัทไม่ได้หรอก”
“ถ้ารับไว้มันก็เหมือนผมให้ความหวังพี่” ณัฐวีร์ยังใจแข็งไม่ยอมรับ
“ไม่หรอก พี่จะไม่คิดแบบนั้น..พี่สัญญา ได้โปรดรับมันไปที”
มกรก้มหน้าลง..น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมา แค่เห็นณัฐวีร์ก็ใจอ่อนยวบ เขาคว้ามันมาทันที แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่หนาลูบไปมาเบาๆ “ไม่เอาน่าพี่ อย่าทำแบบนี้”
มกรจับมือที่สัมผัสไหล่เขาไว้แล้วบีบก่อนจะค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นทุกที ณัฐวีร์เอนตัวจนไม่มีที่จะหนี ของก็เต็มมือ หมีพูห์อีกตัวบนตัก แล้วยัง..
มัวแต่คิดหาทางหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาหา สัมผัสนั้นแผ่วเบาอบอุ่นแต่ไม่เรียกร้อง คนทำเหมือนกล้าๆกลัวๆแตะแล้วก็ถอยออกไป ดวงตาคมค่อยๆมองมาที่ณัฐวีร์ ใบหน้าที่เห่อซ่านร้อนระอุของเขาคงจะไม่น่าดูนัก แต่เพราะนั่งประสานตากันแบบนั้นมันคงไปกระตุกต่อมอะไรเข้า มกรถึงขยับสะโพกเข้ามาใกล้แล้วโอบไหล่รั้งร่างเล็กเข้าหา ก่อนจะบดริมฝีปากและส่งปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้ามาโดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว
“อึก....”
ณัฐวีร์รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างไร้น้ำหนัก ในหัวเขาขาวโพลนไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะต้องทำอะไร มือที่จับตุ๊กตากำแน่นแล้วจิกลงไปบนตัวมันเหมือนจะหาที่ยึด เพราะถ้าไม่ยึดเจ้าหมีนี่ไว้ สงสัยคงเลื่อนขึ้นไปเกาะบ่ากอดเอวใครแน่ๆ
แต่แล้วอีกฝ่ายก็ผละออกไป ตอนแรกณัฐวีร์ไม่เข้าใจและยังเบลอๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าพอเสียงดนตรีจากสายเรียกเข้าดังขึ้นเขาก็เหมือนตื่นจากฝันหวามหวานนั่น
“OK …wait awhile”
ณัฐวีร์สะดุ้งขึ้นมาทันทีที่อีกฝ่ายวางมือลงบนขา เขาลุกพรวดแล้วไม่พูดอะไรอีก ได้แต่หยิบถุงของฝากมาถือไว้ด้วยมือข้างซ้าย แล้วก็กอดเบบี้พูห์แนบอกด้วยมือข้างขวา
มกรเองก็คงเข้าใจสถานการณ์ เขาไม่พูดอะไรนอกจากลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาหา
“พี่ถือให้..”
ณัฐวีร์ส่ายหน้าทำให้อีกฝ่ายถอนใจ “ได้ ตามใจนัท.. รถมาแล้ว อยู่ตรงลานจอดเดินตามพี่มานะ”
แล้วทั้งคู่ก็เดินกันไปอย่างเงียบๆ
.
.
.
.
.
วันต่อมา โปรแกรมของทั้งคู่กลายเป็นการที่ณัฐวีร์ขอตามคุณมนธิชาออกไปช็อปปิ้งด้วยกันขณะที่มกรถูกทิ้งให้อยู่ที่โรงแรมเพียงลำพัง
ช่วงกลางคืนคนทั้งคู่มีแต่ความอึมครึมให้แก่กัน พอมาตอนเช้าณัฐวีร์ยังหนีไปเที่ยวกับแม่อีก ทำให้มกรเองก็รู้สึกท้อที่จะง้อคืนดีด้วยเหมือนกัน
ชายหนุ่มไม่ลุกจากเตียงจนกระทั่งเกือบเที่ยง พอลุกมาเห็นโน๊ตเล็กๆที่บอกว่าอีกฝ่ายออกไปแล้วก็เลยงดข้าวประท้วงกันเลยทีเดียว
ทว่า.. ก็ทำใจแข็งไม่ง้ออยู่ไม่นานนักหรอก
ในห้องนั้นมีของใช้ของณัฐวีร์วางอยู่ เสื้อผ้าก็อยู่.. มกรทำนิ่งไม่โทรหาอยู่ได้แค่บ่ายเกือบเย็นเท่านั้น แล้วเขาก็ทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องหยิบโทรศัพท์โทรหาเลขาแอมแล้วตามออกไปจนได้
การเดินซื้อของด้วยกันในสายตาผู้ใหญ่ทำให้สองคนไม่สามารถมีเวลาส่วนตัวเพื่อปรับความเข้าใจกันมากนัก ประโยคที่คุยกันได้ก็มีเพียงถามข้อมูลหรือสิ่งที่อยากซื้อเท่านั้นเอง
บรรยากาศอึมครึมต่อเนื่องไปข้ามอีกคืน ..แล้วมกรก็ทนไม่ไหวจนวันรุ่งขึ้นต้องระบายความอึดอัดออกมา
“ให้พี่ดูแลนัทเถอะ”
มกรเอ่ยขึ้นเมื่อผู้ใหญ่สองคนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และพวกเขาเตร็ดเตร่รออยู่ที่ร้านเสื้อผ้าแถวนั้น
“ผมก็ไม่ได้ห้ามนี่..”
“นัท..ก็เห็นๆอยู่” มกรบอกขณะมองถุงในมืออีกฝ่ายที่พูดยังไงก็ไม่ยอมให้ช่วยถือ
“ผมถือได้ มันเบาๆ”
“แต่ถือติดต่อกันหลายวันมันก็ไม่ไหวไม่ใช่เหรอ..ให้พี่ช่วยถือดีกว่า”
ณัฐวีร์เมินไปอีกทาง ใบหน้านั้นเรื่อสีแดงขึ้นเล็กน้อยขณะที่เอ่ยประโยคถัดมาด้วยเสียงแผ่วลง “ถ้าให้ช่วยถือ..สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก”
จริงๆ มกรก็อยากจะต่อล้อต่อเถียงหรอกนะ แต่เพราะบรรยากาศระหว่างกันมันไม่พาไปเสียเลย เขาจึงตอบอย่างตัดปัญหา
“...ได้” ในเมื่อไม่อยากให้ทำก็จะไม่ทำอีก “พี่สัญญา..”
ในแว่บหนึ่ง ณัฐวีร์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ทำไมถึงได้ยอมง่ายขนาดนั้นนะ.. ไม่เอาแต่ใจเป็นคนดีหรือแค่ไม่จริงจังกันแน่.. แค่ทำเล่นๆ แล้วพอไม่ได้ดั่งใจก็ถอยไปหรือเปล่า
ทว่า..ในอีกความคิดหนึ่งก็แทรกขึ้นมา เขาน่าจะรู้สึกโล่งใจสิ.. บรรยากาศอึมครึมอย่างที่ผ่านมาหลายวันเขาก็ไม่ค่อยชอบหรอก ถ้าอีกฝ่ายสัญญาเสียเขาก็จะเบาใจมากขึ้น แล้วก็จะได้มีข้ออ้างให้ตัวเองไม่ต้องมานั่งกังวล
“สัญญาแล้วนะ”
มกรพยักหน้า ทำให้ณัฐวีร์ยิ้มน้อยๆ
“งั้นเอานี่ไปถือ แล้วก็นัทหิวน้ำแล้ว เราชวนคุณแม่ไปนั่งพักที่คาเฟ่ตรงด้านล่างกันเถอะ”
เป็นครั้งแรกที่ณัฐวีร์หลุดเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นออกมา ทำให้มกรเบิกตาโต
“ทำไม?” คนถูกมองถามงงๆ เขายังไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองนั้นหลุดเรียกแทนตัวว่า “นัท” ไปเสียแล้ว
อีกฝ่ายแค่ส่ายหน้าแล้วยิ้มกว้างชนิดที่ใครผ่านไปผ่านมาก็เหลียวคอดูกันเลยทีเดียว “ไปหาแม่กัน..”
อย่างน้อย วันนี้เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งแล้ว.. เขาได้ ‘นัท’ คืนมาแล้ว
.
.
.
.
.
กว่าพวกเขาจะลงเครื่องมาผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าตรงสายพาน ณัฐวีร์ก็ยืนหาวหวอดอยู่ข้างๆคุณมนธิชาแล้ว เขาปล่อยให้มกรและกลุ่มทีมงานอื่นแยกออกไปยืนดูกระเป๋าที่สายพาน
“นัทไปด้วยกันคราวนี้สนุกไหม” มนธิชาเอ่ยถาม
“สนุกครับ” คนตอบหันมายิ้มกว้างให้
“ฉันเห็นพวกเธอสนุกกัน ฉันก็ดีใจ ไปเที่ยวกันมาแบบนี้คงสนิทกันเร็วขึ้นนะ” คุณมนธิชาทอดตามองแผ่นหลังลูกชาย ไหล่กว้างนั้นตั้งตรงดูผึ่งผาย บุคลิกของลูกชายเธอไม่ถือว่าเป็นรองชายหนุ่มในวัยเดียวกัน.. มีก็แต่จิตใจเท่านั้นที่ต้องเยียวยาบ้าง “จากนี้ฉันก็ฝากแมน..เอ่อ ฝากงานไว้ด้วยนะ ช่วยกันทำงานกับแมนเขา พวกเธอน่าจะได้ประสบการณ์จากงานนี้เยอะล่ะ”
“ครับ” ณัฐวีร์ยิ้มแล้วยกมือไหว้ “ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วยที่ให้โอกาสผมได้ไปศึกษาดูงานอะไรแบบนี้”
“ที่ร้านอาหารคงไม่ได้จัดประชุมเรื่องการลงทุนสินะ” มนธิชาเอ่ยล้อ
“มีแค่สัมมนาป้าแม่ครัว เอ้ย เชฟกับพนักงานต้อนรับลูกค้าเรื่องการทำงานเป็นทีมกับเซอร์วิสมายน์บายแม่ไก่เท่านั้นเองครับ” ณัฐวีร์รับลูกแล้วสองคนก็หัวเราะกัน ส่งผลให้คนที่กำลังเข็นรถบรรทุกกระเป๋าเข้ามาหามองอย่างงงๆ
“หัวเราะอะไรกันครับ”
“คุยกันเรื่องสัมมนาน่ะแมน..กระเป๋าครบแล้วหรือ?”
“ครับ..” มกรตอบรับแล้วหันไปหาณัฐวีร์ “ไปเถอะนัท..เดี๋ยวพี่ให้คนขับรถไปส่งที่บ้านก่อน”
บรรยากาศของแม่ลูกคู่นี้เป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับณัฐวีร์ เพราะเหมือนว่าเขาเป็นตัวกลางอยู่ระหว่างคนในครอบครัวที่ฝ่ายหนึ่งก็เป็นผู้ใหญ่ อีกฝ่ายก็ตั้งแง่เหลือเกิน เขาไม่รู้ลึกๆ ว่าเหตุผลของความไม่ลงรอยกันนั้นคืออะไร แต่เท่าที่สัมผัสมา ดูเหมือนว่าเงื่อนปมในใจของมกรจะมีซ่อนลึกอยู่ โดยที่เขาไม่เคยบอกเล่าให้ใครได้ฟัง
พอผ่านขั้นตอนศุลกากรเรียบร้อยคนทั้งหมดก็เดินออกมาตรงทางออก..แล้วสิ่งที่รออยู่ก็ทำให้มกรหน้ามุ่ยไปทันที
“นัท..!” หญิงสาวใบหน้าสวยน่ารักในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตแขนกุดเข้ารูปเก๋โบกมือให้ณัฐวีร์ ที่ข้างๆ เธอมีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของมกรยืนอยู่ด้วย
“ไงเพื่อน..” แชร์โบกมือทักมกร เลยโดนด่าไปหนึ่งคำ “อ้าว เจอหน้ากันมึงก็ให้พรเสียแล้ว เป็นห่าอะไรครับ”
“พามาทำไม” มกรตวัดสายตามองไปทางหนุ่มสาวสองคนที่ยืนถามไถ่ความสนุกของทริปกันอยู่ไม่ไกลนัก
ณัฐวีร์เวลาอยู่กับเพื่อน..เอ่อ แฟนของเขา ก็มีการสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาด้วยออร่าจากการจับมือหญิงสาว ส่วนแพรวเองก็ยิ้มเก๋เกาะแขนเพื่อน..อ่า แฟนของเธอหัวเราะด้วยกันเบาๆ
มันคือภาพที่ไม่ว่าใครได้เห็น ..ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนสองคนนี้..เหมาะสมกัน
“มึงไหวไหม..” แชร์เอ่ยถามเพื่อน ดวงตาไม่ได้ละออกจากคนคู่นั้นเลย
“เจ็บเหี้ยๆ”
“สมน้ำหน้ามึง..แต่ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะกูด้วย ..ไม่น่าท้ามึงเลย” แชร์เอ่ยถึงเหตุการณ์ในอดีตอย่างรู้สึกสำนึกผิด
“ความผิดกูเอง มึงไม่ต้องโทษใคร” มกรเองก็มองไม่วางตา ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าณัฐวีร์มีเจ้าของ แต่อย่างไรก็ยังทำใจไม่ได้ …ไม่ได้จริงๆ “ถ้าจะโทษก็โทษกู ที่ไม่ทำดีกับเขาเสียตั้งแต่แรก.. แล้วที่ต้องมานั่งช้ำใจอยู่อย่างนี้ก็เพราะกรรมที่ทำเอาไว้เอง.. ต้องยอมรับเอง”
.
.
.
.
.
(ต่อด้านล่างค่ะ)

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #288 เมื่อ05-06-2014 11:01:59 »

ช่วงเดือนหลังกลับมาจากฮ่องกง วิธีการทำงานของณัฐวีร์ก็ยังไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก.. เขาต้องใช้สมาธิอย่างหนักที่จะอ่านข้อมูลต่างๆ รายงานเก่าๆ ของบริษัท ช่วงจังหวะที่ทำงานก็มีบ้างที่เขาต้องออกไปกับมกร หรือคุณมนธิชา ทั้งออกไปพบลูกค้า ทั้งออกไปดูหน้างาน และประชุม จนมีบางครั้งต้องทานข้าวเย็นนอกบ้าน
บางทีก็ไปพร้อมกันสามคน บางทีก็ไปกันแค่สองคน.. เหมือนวันนี้ที่พวกเขาได้มีโอกาสออกมาดูงานพร้อมกับทีมงาน แล้วแยกย้ายกันกลับ

“พี่หิวจัง นัททานข้าวกับพี่นะครับ” มกรเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เขานั่งอยู่ตรงที่คนขับในขณะที่ณัฐวีร์นั่งอยู่ด้านข้าง

“วันนี้นัดกับแพรวไว้แล้วครับ สงสัยจะไปไม่ได้” ณัฐวีร์บอกแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ

มกรนิ่งไปนิด ความรู้สึกตอนนี้ของเขาคือเจ็บจนชา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอคำตอบแบบนี้ บางทีพอณัฐวีร์ตอบแบบนี้แล้วในอีกสิบนาทีต่อมาแพรวก็มารับณัฐวีร์ที่ออฟฟิศด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มยิ้มอย่างยอกในอก ถ้าหัวใจของเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ช้ำได้ มันคงน่วมช้ำจนถึงขีดสุดของมันแล้ว พอมาถึงขั้นนี้ ช้ำหนักๆ ขนาดนี้ เดี๋ยวมันก็ตาย.. พอมันตายเขาก็จะไม่เจ็บปวดอีก

“งั้นก็ไม่เป็นไร ไว้วันหลังเราค่อยไปทานด้วยกันก็ได้”

กลางวันนัทเป็นของพี่..กลางคืนนัทจะกลับไปมีชีวิตส่วนตัวก็ตามใจ
ณัฐวีร์เงยหน้ามายิ้มแต่ไม่พูดอะไรแล้วก้มมองโทรศัพท์ต่อ โทรศัพท์เครื่องนี้มกรเป็นคนพาไปซื้อ แล้วออกค่าใช้จ่ายให้เองเสียด้วย ..เพราะขโมยของน้องมา เลยซื้อใช้น้องเสียเลย แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะอยากขโมยอีกสักรอบ เพราะณัฐวีร์เล่นแต่โทรศัพท์ไม่คุยกับเขาเลย
กลายเป็นมกรเองที่ยังตอแยอยากจะคุยด้วย “แล้วนัดกันไว้ที่ไหน พี่จะได้ไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่ผ่านรถไฟฟ้าที่ไหนก็จอดให้นัทลงได้ นั่งรถไฟฟ้าไปไวดี”

“ไม่เป็นไร พี่ไม่มีธุระที่ไหน ขับไปส่งได้สบาย” แล้วคนพูดก็เอื้อมมือมาจับมืออีกฝ่ายดึงไปกุมไว้
กลายเป็นณัฐวีร์ต้องเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มาให้ความสนใจอีกฝ่าย เพราะอาการแบบนี้แสดงว่าเรียกร้องให้เขาสนใจแล้ว

“ตามใจครับ ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลานัดด้วยนั่งรถเล่นกับพี่ไปเรื่อยๆก็ได้.. แพรวนัดที่พารากอนครับ”

“ได้เลย” มกรยิ้ม แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว เดี๋ยวส่งณัฐวีร์ให้แพรวแล้วเขาค่อย..

“ปล่อยมือได้หรือยังครับ”

“อ่ะ.. ขอโทษๆ” มกรคิดเพลินจนอีกฝ่ายต้องเตือน พอเขาปล่อยปุ๊บก็มีเสียงไลน์เข้าปั๊บ กลายเป็นข้อความนั้นแพรวส่งมายกเลิกนัด ทำให้คนขับรถรีบเปลี่ยนร้านเป้าหมายทันที

มื้ออาหารเย็นที่มกรเลือก เป็นอาหารญี่ปุ่นในถนนเมนของทองหล่อซึ่งทั้งสองคนเคยมาทานด้วยกันแล้วหนหนึ่ง และณัฐวีร์ก็ติดใจปลาดิบและวิวของที่นี่มาก ร้านอาหารอยู่บนสุดของตึกสูง 7 ชั้น รอบด้านไม่ได้ตึกบังทัศนียภาพ ทำให้มองออกไปเห็นวิวยามค่ำของเมืองแถบนั้นได้ดี

“เดี๋ยวอีกหน่อยร้านก็ย้ายมาอยู่ใกล้ๆ ที่นี่แล้ว” มกรพูดขึ้นในขณะที่ณัฐวีร์ทำหน้างงๆ แล้วก็นึกได้

“หมายถึงร้านป๊าน่ะหรือครับ”

“ใช่.. ตอนนี้ตกแต่งไปถึงไหนแล้วล่ะ” มกรคีบโอทาโร่ชิ้นใหญ่ให้น้อง

“หาช่างตกแต่งภายในอยู่ครับ ตัวโครงตึกไม่มีปัญหาเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแต่พวกตกแต่งภายใน”
ณัฐวีร์เล่าไปก็คีบอาหารทานไป.. ร้านของเขาถูกเวนคืนที่เพราะเจ้าของขายให้ผู้ซื้อรายใหม่เพื่อเอาไปทำคอมเพล็กซ์ ทำให้ต้องหาที่ตั้งร้านใหม่ และเมื่อไม่นานนี้เองที่พวกเขาได้ทำเลที่ทองหล่อ ตึกใหม่ที่ได้เป็นอาคารพาณิชย์ 5 ห้องติดกัน แบ่งด้านล่าง 4 ห้องทำเป็นร้านอาหาร ส่วนอีกห้องก็ทำเป็นล็อบบี้และที่ตั้งของลิฟต์ ด้านบนทำเป็นหอพักทั้งหมด โดยปิดชั้นบนสุดชั้น 5 ไว้เป็นที่พักส่วนตัวของครอบครัวเขา

ตอนนี้ก็หาช่างดำเนินการซ่อมบำรุง ตกแต่งภายใน และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งคงเป็นจังหวะพอดีกับเส้นตายของตึกทางโน้นให้ย้ายออก
และ...คงให้แม่ไก่ของนัทได้ทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่ ก่อนคลอดน้องตัวน้อยๆ ออกมา
ถูกแล้ว.. วันที่ณัฐวีร์กลับมาจากฮ่องกง เขาได้รู้ข่าวดีว่าณฐกากำลังตั้งท้องอ่อนๆ ทำให้เรื่องสงสัยที่ว่าทำไมช่วงนั้นแม่ไก่นอนเยอะและทานอาหารจุผิดปกติมีคำอธิบาย ป๊าดีใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีลูกอีก ทำให้ณัฐวีร์แซวจนป๊าอายหน้าแดงว่าไปทำอีท่าไหน อายุก็ปูนนี้แล้ว

จนถึงตอนนี้แม่ไก่ก็ท้องได้ 3 เดือนนิดๆ แล้ว เป็นเด็กน้อยหลงมาเกิดโดยแท้เพราะห่างกับณัฐวีร์ตั้ง 19 ปี ทั้งครอบครัวเห่อกันสุดๆ เลยทีเดียว

“แบบนี้ถ้าย้ายมาแล้วนัทก็จะเดินทางลำบากขึ้นสิ”

“ไม่เลยครับ” ณัฐวีร์ส่ายหน้า “รถไฟฟ้าชิลจะตาย”

“แล้วจากตึกจะออกไปรถไฟฟ้ายังไง”

“ก็มอเตอร์ไซค์”

“ไม่ดีหรอก เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาคงไม่คุ้ม”

“งั้นให้ป๊าไปส่ง”

“ให้พี่มารับดีที่สุด” มกรกับณัฐวีร์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน พอจบประโยคทั้งสองคนก็เลยมองกันตาปริบๆแล้วก็หัวเราะกันขึ้นมา

“กว่าพี่จะมาถึง พอดีป๊าไปส่งนัทถึงออฟฟิศแล้ว” ณัฐวีร์บอก

“เดี๋ยวพี่ซื้อคอนโดอยู่แถวนี้เลย ไม่ต้องห่วง” มกรเองก็เอ่ยอย่างมุ่งมั่นเช่นกัน “พรุ่งนี้ให้แอมเขาหาข้อมูลมาให้ แล้วนัทช่วยพี่เลือกด้วยนะ”

“จะเลือกยังไง นัทไม่ได้อยู่ด้วยสักหน่อย”

“ก็ไปอยู่กับพี่ก็ได้..” มกรตีเนียน
แต่ณัฐวีร์ไม่เล่นด้วย “เดี๋ยวแต่งงานแล้วจะพาแพรวไปอยู่ด้วยนะครับ”
ประโยคนั้นทำให้มกรก้มหน้าทันที “ใจร้ายจริง คนอะไรใจร้ายจริงๆ ดีแล้วที่แพรวไม่ได้ย้ายมาด้วย ย้ายไปอยู่ห่างมากๆ มากๆ เลยยิ่งดี”

“หูย..” ณัฐวีร์หัวเราะ “นัทก็เจอกับแพรวที่มหาลัยเหอะ..”

“เจ็บมากเลย” มกรหัวเราะแต่ยังไม่ยอมเงยหน้า..
เสียงหัวเราะของเขาถึงจะดัง แต่ดวงตานั้นกลับรื้นไปด้วยหยาดน้ำ.. มันเจ็บแบบนี้เอง..เจ็บจนจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว สุดท้ายชายหนุ่มก็ทนแรงกดดันนั้นไม่ไหว เขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะ

“พี่ไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนึงนะ เดี๋ยวมา”

“ครับ..” ณัฐวีร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
คล้อยหลังของมกร ณัฐวีร์เองก็วางตะเกียบลง เขารู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร เขารู้ว่ามันไม่ดีที่โกหกไป ..แต่จะให้ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ง่ายๆ มันคงเป็นไปไม่ได้

ณัฐวีร์ถอนหายใจ มันหนักอกเวลาที่มองเห็นอีกฝ่ายเจ็บปวด มัน..หวั่นไหว คงต้องยอมรับอย่างนั้นว่าเขาหวั่นไหว เวลาเห็นสายตาเศร้าๆของอีกฝ่าย เขาไม่รู้หรอกว่ามกรคิดอย่างไร เพราะเขาไม่ให้พูด มกรก็ไม่เคยพูด แต่ด้วยท่าทางแล้วเขามั่นใจว่าฝ่ายนั้นมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาแน่ๆ

ณัฐวีร์ถอนใจอีกรอบ มือยกมาเพื่อจะหยิบแก้วน้ำ แต่แล้วมันก็ปาดไปจนหกเลอะหมด

“เฮ้ย!” ณัฐวีร์อุทานด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นโทรศัพท์ของมกรลืมวางไว้ก็ยิ่งตกใจหนัก เขาคว้าเอาโทรศัพท์นั้นขึ้นมาแล้วใช้ทิชชู่ซับน้ำออกทันที

ปุ่มโฮมถูกนิ้วสัมผัสทำให้ภาพหน้าจอที่เป็นวอลเปเปอร์เด้งขึ้นมา

“ภาพนี่..?” ณัฐวีร์อุทานด้วยความสงสัย
มันเป็นภาพของเขาเมื่อก่อนอุบัติเหตุ หน้าตายังเป็นลูกคนจีน ตาตี่ๆ หน้าซีดๆ ยิ้มแหยๆ อยู่เลย ส่วนอีกคน มกร..ก็หล่อคงเส้นคงวา อาจจะผมยาวกว่าตอนนี้ แต่มันคงเป็นภาพเมื่อก่อนอุบัติเหตุแน่ๆ

ณัฐวีร์เพ่งมองรูปภาพนั้น เขาอยากเห็น อยากเห็นว่าข้างในนี้มีอะไร แต่ก็จนใจเหลือเกิน เพราะเครื่องนี้จะเปิดก็ต่อเมื่อมีลายนิ้วมือของมกรมาวางทาบไว้เท่านั้น เหมือนเครื่องของเขาที่ใครก็เปิดออกไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขาเป็นคนสแกนลายนิ้วมือให้

อ่า.. ความอยากรู้มันพุ่งขึ้นสูง ยิ่งได้เห็นหน้าจอโทรศัพท์แบบนี้ยิ่งทำให้ณัฐวีร์อยากรู้ว่าจะมีอีกกี่รูปที่พวกเขาเคยได้ถ่ายด้วยกัน..
แล้วเขาก็คิดได้ เขายกโทรศัพท์ขึ้นโทรเข้าหาเครื่องนี้ สายที่เรียกเข้ามีทั้งชื่อและรูปของเขา ซึ่งเป็นรูปเก่าก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุอีกรูป

“นัท..?” เสียงเรียกทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง วางโทรศัพท์ตัวเองแล้วมองหน้ามกรทันที

“นี่รูปนัท”

“อ้อ..” มกรรับโทรศัพท์กลับมาพร้อมกับมองดูภาพที่เขาเซ็ทไว้ที่หน้าจอโทรศัพท์ ภาพคู่ที่อยู่ในโทรศัพท์เขาเอง ตอนนั้นพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน.. แสงของภาพจึงดูนวลตา ใบหน้าระเรื่อพร้อมรอยยิ้มตื่นๆของณัฐวีร์ทำให้มกรยิ้มตามเด็กหนุ่มในภาพทุกครั้งที่ได้มอง

“ทำไม..?”

“ทำไมเรามีรูปคู่กันน่ะเหรอ.. ก็เราเคยเจอกัน.. แต่นัทคงจำไม่ได้ นัทความจำเสื่อมไปช่วงนั้นพอดี ไม่เป็นไรหรอกมันไม่ได้สำคัญอะไร นัทลืมไปก็ดีแล้ว” มกรพูดพลางยิ้มให้อีกฝ่าย

“แต่นัทอยากรู้” ณัฐวีร์มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม “ทำไมถึงตั้งรูปพวกนี้เอาไว้ มันเป็นรูปเก่าแล้ว รูปใหม่ๆที่เราถ่ายด้วยกันที่ฮ่องกงก็มี ทำไมต้องตั้งภาพพวกนี้”

“พี่..” มกรมองใบหน้าอีกฝ่าย “พี่ชอบรูปพวกนี้ ชอบความรู้สึกตอนนั้นที่พี่ถ่ายมันไว้”

“ความรู้สึกอะไร..” ณัฐวีร์ถามออกมาเหมือนละเมอ ดวงตาคู่นั้นไหวระริก.. นี่เขาหวั่นไหวอีกแล้วหรือ?

“ขอโทษ...เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลย” มกรไม่กล้าต่อตา เขาเบือนหน้าหลบเสียแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง สุดท้ายก็ไม่ยอมอธิบายอะไรออกมาอีกเลย

.
.
.
.
.


ในห้องที่ว่างเปล่า.. ค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยความทรงจำใหม่ ทีละเล็กทีละน้อย
ความทรงจำสวยงาม ความทรงจำน่าเบื่อ ความทรงจำสนุกสนาน ความทรงจำที่น่าสงสัย
ณัฐวีร์นอนกระสับกระส่ายไปมา เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่ห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ

อะไร.. ทำไม..
ภาพบ้านเมืองเคว้งคว้างหมุนเหวี่ยงไปมาจนไม่สามารถจับทิศทางได้ ไม่สามารถจำภาพใดได้อย่างแม่นยำ แล้วร่างของเขาก็กระแทกพื้นถนน ทันทีนั้นเขารู้สึกได้ว่ามีหยาดน้ำไหลหลั่งลงจากหลายที่ กายปวดจนด้านชา ก้อนอะไรบางอย่างดันในคอทะลักออกทางปาก กลิ่นมันคาวคลุ้งพอๆ กับสนิมที่เกาะอยู่ในอารมณ์ในจิตใจนี้มาช้านาน เด็กหนุ่มคายออกมาหวังว่าจะทำให้ร่างนี้รู้สึกดีขึ้น

แต่เปล่าเลย.. เขาเจ็บปวดหนักหน่วง..
ความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะดับวูบไปคือใบหน้าร่ำน้ำตาของใครคนหนึ่ง... น้ำตาที่หยดลงต้องผิวแก้ม..

อะไร.. ทำไม..
สิ่งนั้น..เขาไม่เข้าใจ
แล้วร่างที่นอนกระสับกระส่ายก็ผวาพรวดลุกขึ้นหอบหายใจแรง เขากวาดตามองไปรอบห้อง แล้วก็พรูลมหายใจอย่างรู้สึกโล่งในอก..
ฝัน..

เขาอยู่บนเตียงนอน.. ที่บ้านของเขาเอง..
ไม่ใช่พื้นถนน..ที่เชียงใหม่นั่น





***


tbc.


ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #289 เมื่อ05-06-2014 12:35:19 »

 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:อ่านตามทันแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
« ตอบ #289 เมื่อ: 05-06-2014 12:35:19 »





ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #290 เมื่อ05-06-2014 16:57:18 »

ทั้งสงสารทั้งสมน้ำหน้ากับมกร

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #291 เมื่อ05-06-2014 19:06:55 »

อึดอัดที่สุด
ถ้านัทยังไม่รู้ความจริง เรื่องของทั้งคู่คงเดินหน้าต่อไม่ได้

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #292 เมื่อ05-06-2014 20:45:29 »

เป็นการชดใช้ที่สมควรแล้ว และยังต้องมีอีก
เราไม้ได้เกลียดแม้นศรีนะ แต่นิสัยอีตานี่ยังต้องปรับปรุงอีกมาก

อีกอย่างสถานะคะแนนติดลบ ยิ่งตอนความจำกลับมาคงลงเหวไปเลย
ตอนนี้ทนทำคะแนนให้เยอะที่สุดเถอะ

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #293 เมื่อ06-06-2014 14:41:35 »

รู้สึกสะเทือนใจ :(


ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ hembetaro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
«ตอบ #294 เมื่อ08-06-2014 00:22:40 »


แอบสงสารแม้นศรัีแล้วสิเรา  :mew5:

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
ตอนที่ 26







เช้านี้ณัฐวีร์รู้สึกมึนๆ อาจเพราะเขาไม่ได้นอนอีกเลยหลังจากสะดุ้งตื่นเมื่อคืน ทำให้พอมาถึงที่ทำงานเขาก็ถูกแอมร้องทักขึ้นทันที

“น้องนัทหน้าซีดจังค่ะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

“สงสัยเมื่อคืนนอนไม่พอน่ะครับ..” ณัฐวีร์บอกแล้วเดินเข้าห้องทำงานเลย เข้าไปก็เห็นมกรนั่งอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือแล้วยิ้มให้ แต่ไม่นานก็กลายเป็นขมวดคิ้วเช่นเดียวกับแอม
“ไม่สบายหรือเปล่านัท”

“เปล่า..” ณัฐวีร์ตอบอย่างหงุดหงิด.. อารมณ์ตอนนี้พร้อมจะเหวี่ยงคนตรงหน้าเต็มที่ เพราะต้นเหตุของการนอนไม่หลับก็คือภาพในมือถือของมกรนั่นแหละ

“ทานข้าวเช้าหรือยัง” มกรลุกจากโต๊ะทำท่าจะเดินเข้ามาหา แต่ณัฐวีร์นั้นอารมณ์เกินเยียวยาแล้ว
เขายกมือขึ้นห้ามแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “ไม่ต้องเข้ามาเลยครับ ผมจะทำงาน”
“นัท..?” มกรยังขยับ

“บอกว่าอย่ามายุ่งกับผม!” เสียงตวาดนั่นทำให้อีกฝ่ายชะงัก ใบหน้ามกรค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆจนแดงก่ำไปถึงใบหู

“ได้ครับ..” เป็นคำตอบง่ายๆ ที่ทำให้คนฟังรู้สึกเสียใจที่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นออกไป

มกรถอยกลับไปนั่งที่โต๊ะ ณัฐวีร์เริ่มเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้ว แต่สายตาที่มกรมองมานั้นกลับทำให้ณัฐวีร์รู้สึกหงุดหงิด อากาศมันกดดันเสียยิ่งกว่าตอนที่อีกฝ่ายอยากจะพูดด้วยเสียอีก

“ไม่มีงานหรือไงครับพี่แมน มองผมทำไม”

“ผม..ไม่ใช่ ‘นัท’ แล้วหรือ?” มกรเลิกคิ้ว

ส่วนณัฐวีร์พอได้ยินคำถามนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีก..
อ่า นี่เขาหงุดหงิดจนพาลทั่วไปหมดแล้ว.. นายเป็นอะไร นายเคยเป็นคนฉลาดรู้จักเลือก รู้จักหาทางที่ดีให้กับตัวเองไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ทำแบบนี้ล่ะ ทำไมถึงทำเรื่องน่าโมโหใส่คนอื่นแบบนี้
ความคิดนั้นทำให้ณัฐวีร์อ้าปากจะขอโทษ.. แต่ดูท่าจะไม่ทันแล้ว

มกรกวาดมือปัดเอาแก้วกาแฟตกจากโต๊ะอย่างหงุดหงิดเช่นกัน ดีที่ห้องเป็นพื้นพรม แก้วและจานรองนั้นจึงไม่แตก แต่น้ำกาแฟในแก้วก็กระจายไปทั่ว
ณัฐวีร์ได้แต่สะดุ้งเบิกตาโต.. แล้วทิ้งทุกอย่างให้ตกอยู่ในความเงียบงัน
ใบหน้าแดงก่ำของมกรไม่ได้หันมองมาทางณัฐวีร์ เขาเบือนหน้าหนีหลับตาแน่น มือที่ปัดแก้วกาแฟกำเกร็งจนขึ้นข้อขาว และถ้าจะสังเกตให้ดี...มือนั้นสั่นน้อยๆ

“พี่แมน..”
ณัฐวีร์เรียกแต่ไม่กล้าเดินเข้าไปหา เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม รอให้เวลาผ่านไป รอให้อาการเกร็งของฝ่ายนั้นลดลงจนยอมคลายมือแล้วลืมตาขึ้นเอง

“พี่แมน..”
ณัฐวีร์จึงค่อยก้าวออกมาจากหลังโต๊ะของตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวลุกแล้วเดินออกไปจากห้องเสีย

“เดี๋ยวพี่ไปตามแม่บ้านมาเก็บเอง นัททำงานเถอะ” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป และกลายเป็นว่าณัฐวีร์ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องเพียงลำพัง.. โดยที่ฝ่ายนั้นไม่กลับเข้ามาในห้องอีกเลยตลอดเช้า

ตามตารางการทำงานวันนี้ ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่พวกเขาต้องออกไปหาลูกค้าพร้อมคุณมนธิชา แต่เพราะณัฐวีร์มีอาการไม่ดีมาตั้งแต่เช้า เขาจึงถูกให้อยู่โยงในสำนักงาน และที่ณัฐวีร์ไม่ได้ดึงดันจะไปด้วย ก็เพราะคนร่วมห้องหายหน้าไปตั้งแต่เช้าไม่กลับมาอีกเลย เด็กหนุ่มจึงคิดว่าเขาควรทิ้งระยะห่างเสียหน่อยก็คงจะดี

เรื่องเมื่อเช้า เขาคงทำเกินไปจริงๆ อาการบาดเจ็บทางสมองของเขาทำให้เขาใจเย็นน้อยลง.. และอาจจะพาลใส่อีกฝ่ายเกินไป ทั้งๆ ที่เรื่องมันก็เล็กน้อยนิดเดียว

“สวัสดีค่ะ”
เสียงเอ่ยทำให้คนที่อยู่ในห้องนั้นคนเดียวกะพริบตาสติหลุดออกจากภวังค์ เขามองคนที่เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย

“ครับ?”

“พี่กลอยนะคะเป็นเลขาคุณประคอง” เธอเดินส่งยิ้มเข้ามาหาทำให้ณัฐวีร์ลุกจากโต๊ะ

“มีอะไรให้ช่วยครับ”

“คือ..” คือพูดแล้วก็เมียงมอง “พี่มาเอาแฟ้มงานให้คุณประคองค่ะ”

“แฟ้มไหนครับ”
ด้วยความที่เขามีเอกสารอยู่กับตัวเยอะมาก อ่านบ้างไม่ได้อ่านบ้าง ก็เลยต้องหมุนตัวตามคุณเลขากลอยไปด้วย

“เอ.. แฟ้มของฝ่ายบัญชี เคสคุณพรรณี”
“อืม..” ณัฐวีร์หมุนรอบตัว เขาไม่คุ้นกับเคสนี้ น่าจะยังไม่ผ่านตา พอช่วยๆกันเดินหาก็พบว่ามันไปอยู่หลังโต๊ะมกร

“เจอแล้วค่ะ” กลอยร้องบอกแล้วหอบแฟ้มขึ้นมาถือเองทั้งหมด มันเป็นแฟ้มหนาๆรวมกัน 3 แฟ้ม ทำให้ณัฐวีร์จะยื่นมือเข้าช่วย แต่เธอกลับปฏิเสธเสียก่อน “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่กลอยถือไปเองได้ไม่ต้องห่วงค่ะ แค่นี้เล็กน้อย” แล้วเธอก็เดินก้าวออกไปอย่างกระฉับกระเฉง

ณัฐวีร์ยังเป็นกังวลจึงเดินตามออกไปดูด้วยความเป็นห่วง แต่พอออกไปโผล่หน้าดูก็เลยได้เห็นว่าเธอก็มีคนมาช่วยถืออยู่แล้ว

“อ้าว มีคนมาช่วยแล้วนี่นะ” เด็กหนุ่มพยักหน้ากับตัวเองแล้วกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม..

เมื่อกี้คิดถึงไหนแล้วนะ..อ้อ ..เขาว่าเขาน่าจะต้องโทรไปขอโทษ..เมื่อเช้าเขาทำตัวไม่ดีไป อีกฝ่ายก็แค่ห่วงว่าเขาจะไม่สบาย อยากจะเดินมาดูอาการเท่านั้น แต่เขากลับไปตวาดเสียนี่ ทางนั้นจะโกรธก็คงไม่แปลก

แต่จะเริ่มขอโทษยังไงดีนะ.. ตอนทำผิดไม่ทันได้คิดวิธีขอโทษไว้ก่อนเสียด้วย
ณัฐวีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดไลน์..จดๆ จ้องๆ จะพิมพ์ แต่ก็ไม่ได้พิมพ์ ไม่รู้จะพิมพ์ยังไง เขากดหน้าจอออกแล้วก็วางมือถือลงได้แต่นั่งถอนใจ

นี่เขา...หวั่นไหวอีกแล้วหรือไงนะ?
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์เข้าก็ทำให้ณัฐวีร์สะดุ้งโหยง.. “ฉันกำลังขอร้อง..อ้อนวอนเธออย่าไป..”
กำลังคิดถึงก็โทรมาเลยทีเดียว

“ครับ..พี่แมน..”
เสียงปลายสายกุกกักเล็กน้อยเหมือนเจ้าตัวกำลังเดิน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ก่อนจะมีความเงียบเข้ามาแทนที่

“พี่แมน..” ณัฐวีร์เรียกอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน “มีอะไรหรือเปล่าครับ ตอนนี้น่าจะต้องอยู่ในห้องประชุมนี่นา”

ณัฐวีร์ก้มดูเวลาแล้วก็ได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจ... เรื่องเมื่อเช้าคงเป็นประเด็นให้คนๆนี้โทรมาหาเขา เมื่อครู่เขาเองก็ไม่กล้าจะส่งไลน์ไปหา.. ต่างฝ่ายต่างอยากพูดคุยกันแต่ก็รู้สึกได้ว่ายังมีม่านบางๆ กั้นระหว่างกันอยู่..

ในเมื่อฝ่ายนั้นยอมโทรมาหาแล้ว ทำไมเขาจะต้องมาตั้งแง่อะไรอีกล่ะ ณัฐวีร์คิดพลางเอ่ยออกไป “พี่แมน.. ผม..เอ่อ..นัทรู้สึกไม่ดีกับเรื่องเมื่อเช้า..”
“พี่ขอโทษ..” มกรพูดแทรกขึ้นมาก่อน “พี่ขอโทษที่ทำให้นัทรู้สึกไม่ดี พี่คิดว่าเราใกล้กันมากขึ้นแล้ว แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยสินะ”

“เปล่าครับ คือ..นัทก็ไม่อะไรนะครับ นัทแค่นอนไม่หลับแล้วก็เลยมึนหัว กลัวจะเป็นไข้แล้วติดพี่น่ะครับ” ณัฐวีร์โกหกคำโตเลยทีเดียว.. เขารู้สึกผิดขึ้นมาอีกแล้ว ตัวเองเป็นคนทำเรื่องแท้ๆยังไม่ทันได้ขอโทษเลย นี่จะมาโกหกซ้ำไปอีก

“ยังไงพี่ก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ทำท่าทางแบบนั้นไป.. พี่กังวลจนนั่งเฉยอยู่ในห้องประชุมไม่ได้น่ะ นี่ขอออกมาเข้าห้องน้ำแล้วก็เลยมาคุยกับนัทด้วย.. ได้ขอโทษแล้วก็สบายใจล่ะ.. ถ้าไงเดี๋ยวพี่กลับไปประชุมต่อแล้วนะครับ”

“เดี๋ยวสิครับ..” ณัฐวีร์ลังเลนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจชวนอีกฝ่าย “เย็นนี้พี่แมนว่างไหมครับ ไปทานข้าวบ้านนัทไหม”

พอพูดจบณัฐวีร์ก็กลั้นใจรอคำตอบ แต่ปลายสายอึ้งเงียบไปจนเขาต้องเรียกอีกครั้ง “พี่แมน..?”

“ไปครับ..ไป!”

เสียงตื่นเต้นที่แทรกขึ้นมาทำให้ณัฐวีร์อดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ “งั้นเจอกันตอนเย็นนะครับ”

พอวางสายกันไปแล้ว ณัฐวีร์ก็ถอนใจเฮือก ริมฝีปากที่ยิ้มบางๆ นั้นถูกมือที่สั่นนิดๆ ยกขึ้นแตะ..
เขากำลังยิ้มงั้นหรือ..ทำไมล่ะ?

ณัฐวีร์.. นายหวั่นไหวอีกแล้วสินะ..

.
.
.
.
.

รถยนต์ยุโรปคันใหญ่แล่นออกจากที่จอดรถของร้าน ณัฐวีร์ที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองส่งจนรถแล่นออกไปไกล

“ไม่วางตาเลยนะเรา..” ณฐกาเอ่ยแซวลูกชาย “ตามไปส่งที่บ้านเลยไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะครับ.. นัทอยู่ดูแลน้องดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินเข้ามาประคองมารดาเข้าไปในบ้าน แม้จะโตแล้วและแม้จะเป็นผู้ชาย แต่ณัฐวีร์ก็ยังดูเป็นเด็กขี้อ้อนสำหรับแม่ไก่เสมอเลย
คุณณฐกาท้องอ่อนๆได้สามเดือนกว่าแล้ว แต่เพราะมีอายุ 43 ปี ทำให้เธอต้องระมัดระวังตัวพอสมควร จะลุกเดินไปไหนก็ต้องคอยมีคนอยู่เป็นเพื่อน เพราะการที่มารดามีอายุมากแล้วและอายุครรภ์ยังน้อย จึงมีสิทธิ์ที่เด็กจะหลุดออกง่ายมาก

พอได้นั่งแล้วณฐกาก็เอ่ยถาม “คิดยังไงพาพี่เขามาบ้าน”

“ก็ไม่คิดยังไงครับ นัทไม่พามาเขาก็เคยมาเองนี่นา” ณัฐวีร์ทรุดตัวลงนั่งที่ข้างๆกัน ก่อนจะมองดูคุณวีรชาติที่เดินถือสมุดปกหนังเข้ามาหา

“นี่ของแมนหรือเปล่า? เด็กไปเก็บโต๊ะแล้วเจอวางอยู่ที่เก้าอี้”

ณัฐวีร์หยิบมาพลิกไปมา “ใช่ครับ เดี๋ยวนัทเก็บไว้ให้พี่เขาเอง”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ในกางเกงก็ดังขึ้น

“นี่ไง โทรมาแล้ว” ณัฐวีร์ว่าด้วยใบหน้ายิ้มๆแล้วเจ้าตัวก็รับโทรศัพท์พลางหยิบสมุดนั่นเดินขึ้นไปบนบ้าน “ครับ..พี่แมน.. อื้อ อยู่..”

วีรชาติยืนมองหน้าภรรยาแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างไป..
“กังวลอีกแล้วหรือคะป๊า” ณฐกานั้นอายุห่างจากวีรชาติหลายปีอยู่ เธอจึงทั้งรักและเคารพสามีเป็นอย่างดี

“ก็น่ากังวล เมื่อกี้เด็กเอาสมุดมาให้ พี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยเปิดๆ ดู.. ถึงได้เห็นว่าเป็นไดอารี่ที่แมนเขาเขียน”

เธอฟังแล้วก็ได้แต่ยกมือขึ้นบีบแขนสามีอย่างอยากให้คลายกังวลเรื่องลูกลงบ้าง “น่า ..นัทโตแล้วนะคะ ลูกคงเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแน่ๆ ป๊าไม่ต้องกังวลไปหรอก”

“เปล่าพี่ไม่ได้กังวลเรื่องนั้น.. แต่ในสมุดเมื่อกี้มันมีเขียนบอกไว้ว่าแมนมีลูกแล้ว..”

“เอ๊ะ?”  ข้อมูลที่ได้รับรู้นั้นทำให้คุณณฐกาทำตาโต “ไก่ไม่เคยรู้”

“แบบนี้พี่ว่ามันไม่ดีกับนัทเลยนะ ..สงสัยคุณมนคงปิดไว้ไม่อยากให้เรารู้กันหรอก.. ถ้ามีลูกมีเมียอยู่แล้วก็ไม่น่าจะต้องมาวุ่นวายกับลูกเรานะ เรื่องเป็นมายังไงเราคงต้องโทรไปถามทางนั้นล่ะ”

ณฐกาพยักหน้ารับแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที เรื่องนี้เธอก็ร้อนใจไม่ต่างกัน ถึงเธอจะถือหางและมีความเห็นใจมกรอยู่พอสมควร แต่ถ้ามาทำร้ายความรู้สึกลูกเธอ เธอก็ไม่มีทางเข้าข้างหรอก

หลังจากได้คุยโทรศัพท์กับคุณมนธิชา ..เรื่องของ ‘มะม่วง’ จึงถูกถ่ายทอดออกมา
“แมนเคยมีแฟนชื่อเกดค่ะ เมื่อก่อนนั้นเขาก็รักกันดี แต่ด้วยความที่ยังเด็กทั้งคู่ อายุเท่าๆ กัน เวลาคบหากันก็เลยใช้อารมณ์ พอเกิดปัญหามีปากเสียงกันก็เลยพลั้งมือ แมนเขาพลาดกระทบกระทั่งกัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนเกดตกบันได แล้วเกดเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีน้อง สุดท้ายก็เลยแท้ง ช่วยเด็กไว้ไม่ทัน”
หลังจากวางสายคุณมนธิชา ณฐกาจึงสรุปความให้สามีฟัง

“อ้าว.. สรุปว่าเด็กไม่อยู่แล้ว”

“ใช่ค่ะ เด็กเสียไปแล้ว พี่มนเล่าว่าตอนเกิดเรื่องน่ะ พี่ชายของเกดตามไปเอาเรื่องถึงมหาวิทยาลัย เขาเลยต้องส่งแมนไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ พอเรื่องซาถึงได้พากลับมา”

“แล้วเด็กนั่นไม่เอาความหรือ?”

“คงไม่ค่ะ พ่อของแมนเขาก็ช่วยไกล่เกลี่ยให้อยู่ เห็นว่าทางนี้ให้ค่าทำขวัญกับส่งให้เรียนจนจบเท่าที่เกดอยากจะเรียน โดยมีข้อแม้ว่าอย่ามายุ่งกันอีก”

“แล้วแบบนี้กับนัทจะเอายังไงดี” วีรชาติมองขึ้นไปด้านบน ลูกชายเขาหายไปแล้วอาจจะขึ้นไปคุยโทรศัพท์อยู่จนไม่สนใจสมุดเล่มนั้นแล้วก็ได้

“ก็ปล่อยเขาไปไหมคะ..” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เธอเองก็หนักใจ

ในมื้ออาหารเมื่อครู่ เธอเห็นเด็กสองคนคุยเล่นและหัวเราะให้กัน เธอเห็นดวงตามีความสุขของลูกชาย และเธอก็เห็นว่ามกรดูแลลูกชายเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่มาบ้านนี้ มาทานอาหารด้วยกันที่นี่

เมื่อก่อน มกรจะคุยกับเธอเสียเป็นส่วนใหญ่ เขาเหมือนเด็กที่อยากได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่ อยากได้รับความอบอุ่นจากแม่ อยากมีคนคอยแนะนำ

แต่พอมาตอนนี้ มกรเปลี่ยนไป เขาให้ความสนใจกับณัฐวีร์มากขึ้น เขาคุยกับลูกชายแม่ไก่มากกว่าคุยกับแม่ เขาตักอาหารให้ และยังเดินมาหยิบทิชชู่ที่หมดเองไม่ให้ณัฐวีร์เป็นคนลุกไปด้วย

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้..คือสิ่งที่เธอสังเกต และตกลงใจว่าคงต้องปล่อยให้ณัฐวีร์ตัดสินใจด้วยตนเอง

“จะดีหรือ..” คุณวีรชาติยังเป็นกังวล ลูกชายคนเดียวของเขาเชียวนะ

“ต้องให้เขาตัดสินใจเองได้แล้วค่ะ เขาโตแล้ว เราสองคนเองก็มีเรื่องให้ต้องห่วงเยอะแล้วนะคะ เจ้านี่ไม่รู้จะออกมาเป็นยังไงเลย ป๊าอย่าไปเครียด” ณฐกาบอกพลางลูบท้องตนเองเบาๆ ดวงตาห่วงใยของวีรชาติจึงฉายแววอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ขณะมองส่วนท้องที่นูนขึ้นของภรรยา

แต่มนุษย์เรานั้น.. ล้วนมีความดื้อดึงในตนเอง
ไม่ให้กังวล แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้
ยิ่งไม่ให้ทำอะไรก็เหมือนยิ่งยั่วยุให้จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น
สมุดปกหนังเล่มนั้นร่วงหลุดจากมือ ณัฐวีร์พลาดเปิดอ่านทั้งที่มกรบอกไว้แล้วว่าอย่าเปิด แค่หน้าแรกเขาก็ไม่อยากจะอ่านอะไรต่อไปอีกแล้ว
มะม่วง ..เขาเพิ่งรู้ว่าฝ่ายนั้นมีลูกอยู่แล้ว..

.
.
.
.
.

เช้าวันถัดมา.. เป็นอีกวันที่ณัฐวีร์รู้สึกว่าตัวเองนอนไม่พอ วันนี้เขาอึนและหน่วงในอารมณ์ยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก.. แต่เพราะประสบการณ์จากเมื่อวานทำให้เขารู้แล้วว่าต้องวางตัวอย่างไรเมื่อเข้าไปในห้องทำงาน

มกรมาถึงก่อนแล้ว ในมือมีนิตยสารธุรกิจ ด้านข้างเป็นอาหารเบาๆพร้อมกาแฟ พอณัฐวีร์เดินเข้าไปในห้อง ฝ่ายนั้นก็ลุกเดินมาหาถึงโต๊ะ

“นัททานอะไรมาหรือยัง..”

“ครับ..” เด็กหนุ่มตอบรับก่อนจะยื่นสมุดต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้นอนมาตลอดคืนให้เจ้าของ “นี่ครับสมุดพี่”

ส่งให้เสร็จเขาก็หันหลังให้ทันที เขาไม่ชอบคนโกหก แต่จะไปว่าทางนั้นโกหกก็ไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่เคยถาม ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้คุยกันเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้น จะไปโทษทางนั้นก็ไม่ถูก

เรียกว่ามีแค่เรื่องปิดบังจะถูกต้องกว่า เขาเองก็มีเรื่องปิดบังเยอะแยะ อย่างเรื่องของแพรวนั่นไง..  ดังนั้นจะไปตีโพยตีพายเอากับมกรไม่ได้ ..แล้วอีกอย่าง.. มกรเป็นอะไรกับเขาล่ะ ต้องมาบอกเรื่องลูกเรื่องเมียให้เขารู้ด้วย

ใช่..มีลูก..ก็ต้องมีเมียแล้ว.. เด็กน่ะเดินออกมาจากอากาศไม่ได้หรอกนะ
ณัฐวีร์หลับตาลงอย่างหงุดหงิด อารมณ์คุกรุ่นตอนนี้ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเอง นี่เขาคิดมาตลอดคืนก็ยังไม่ได้คำตอบเลย.. ความรู้สึกนี้มันคืออะไร ทำไมต้องมารู้สึกเรื่องพวกนี้..ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่ายเลย จะมีลูกมีเมียก็ช่างปะไร

ช่างเถอะ..

“นัท... นัท?” มกรเอ่ยเรียกแต่อีกฝ่ายกลับนิ่ง คิ้วเข้มจึงขมวดมุ่น มือกรุ่นร้อนยื่นไปแตะไหล่บางที่สะดุ้งโหยงดึงให้หันกลับมาหา

พลันความเงียบงันก็เกิดขึ้นในห้องนั้นอีกครั้ง..
มกรปล่อยมือออกจากไหล่เล็กแล้วผละเดินออกไปที่ประตูห้อง
โดยปกติแล้ว ประตูนั้นจะเปิดไว้เสมอ เพราะบางทีแอม แม่บ้าน หรือกระทั่งคุณมนธิชาจะเดินเข้ามาหาเป็นประจำ แต่เหตุการณ์ตอนนี้ทำให้มกรตัดสินใจปิดประตูและล็อคมันเสีย

เขาเดินกลับมาที่โต๊ะของณัฐวีร์คราวนี้ไม่ใช่แค่ไหล่ที่เขาดึงกลับมา แต่เป็นเก้าอี้ที่น้องนั่งอยู่.. เขาหมุนมันให้กลับมาหาเขาทั้งตัวเลย

“นัท..” ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาหา “นัทอ่านไดอารี่ไปถึงไหน”
คนถูกถามไม่ตอบได้แต่เบือนหน้าหนี ทำให้คนถามยิ่งร้อนใจ มกรทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าน้องแล้วจับใบหน้าอีกฝ่ายให้หันกลับมามองตรงที่เขา

ดวงตาที่หลุบต่ำของณัฐวีร์เห็นแขนอีกฝ่ายอย่างพร่ามัว เขาหลับตาลงและรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำตาที่ค่อยๆหยดลงแก้มอย่างเชื่องช้า

“อย่าร้อง..ได้โปรดอย่าร้องไห้” เสียงมกรสั่นขณะพูดประโยคนั้น เขาใช้ปลายนิ้วปาดเอาน้ำตาออกจากแก้มขาว “อ่านไปถึงไหน บอกพี่ได้ไหม”

ณัฐวีร์ส่ายหน้าแล้วสะอื้นขึ้นมาทันที “ฮึก..”

ที่ร้องไห้เพราะเขาไม่เข้าใจตัวเอง เขาอึดอัดอยู่ในอกนี้ ทุกอย่างที่เก็บไว้มันปะปนกันมั่วไปหมด ทำไมถึงหวั่นไหวได้ขนาดนี้  ทำไมต้องเสียใจขนาดนี้ มันก็แค่..อีกฝ่ายมาทำดีด้วยในขณะมีเรื่องปิดบังเขาเท่านั้นเอง.. แค่มีลูก มีเมียอยู่แล้วเท่านั้นเอง..

ทำไมต้องมาหลอกกันด้วย?

เขามีแพรวเขายังบอกเลย.. แล้วแพรวก็ไม่ใช่แฟนเขาจริงๆ เสียหน่อย..
ยิ่งคิดณัฐวีร์ยิ่งสะอื้นหนักขึ้น.. สุดท้ายเขาก็ไม่ได้มีใครเลย ไม่มีแพรว และไม่มีกระทั่งมกร..

“นัท.. พี่ทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ” ชายหนุ่มเองก็เสียงสั่นอย่างร้อนใจ เขาดึงร่างที่สั่นเทาเข้ามากอดแล้วลูบไหล่อีกฝ่ายอย่างปลอบโยน รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยอมซบหน้าลงกับไหล่ของเขาและมือก็จับตรงบริเวณเอว ไม่ได้กอดเขา ..แต่ก็ยังดีที่ไม่ผลักเขาออก

พอผ่านไประยะหนึ่งเด็กหนุ่มก็คลายอาการลง เขาผงกหน้าขึ้นจากไหล่กว้างที่ชื้นน้ำตาทำให้อีกฝ่ายถอยตัวออกไปเพื่อจะได้มองกันให้ถนัดขึ้น

“อ่านแค่ไหน อยากรู้อะไรถามพี่ได้นะ” มกรยังพยายามอยู่

“นัท...” เสียงที่เอ่ยออกมาแหบพร่า “ไม่เป็นไร..”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง ร้องไห้จนตาแดงไปหมดแล้ว..” ชายหนุ่มใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าอีกฝ่ายไว้ “ไม่บอกไม่เป็นไร พี่จะเล่าให้ฟังเอง.. มะม่วงเป็นลูกพี่..”

“ไม่อยากฟัง!” ณัฐวีร์ยกมือขึ้นดึงข้อมือหนานั่นผลักออก

“และเขาตายไปแล้ว”
ประโยคนั้นทำให้ณัฐวีร์หยุดมือที่พยายามผลักอีกฝ่ายทันที ดวงตาที่ชื้นน้ำตาเบิกกว้างและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉายความเจ็บปวดของมกร “ตาย..แล้ว”

“ใช่ ตายไปแล้วโดยที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้เป็นยังไง..” มกรเล่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องณัฐวีร์เหมือนว่าจะสื่อสารความจริงใจ ความอึดอัดในอกนี้ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ “แม่ของเขาโมโหพี่ ก็เลยกระโดดลงมาจากบันได แล้วก็แท้งตอนเขาได้แค่ 2 เดือน”

“ทำไม..” เด็กหนุ่มถามพร้อมมองจ้องลึกลงไปในแววตาเจ็บปวดนั้น

“เมื่อก่อนพี่เป็นคนไม่ดี เกเร แล้วก็ชอบเที่ยว ตอนที่มีมะม่วงพี่เพิ่งอยู่ปีหนึ่งเอง คืนนั้นพี่จะออกไปเที่ยวแต่แม่เขาไม่ยอม เราทะเลาะกันแต่ยังไงพี่ก็จะออกไป เขาเลยขู่ว่าจะโดดบันไดที่คอนโด พี่ก็ไม่สนใจคำขู่หรอก เดินจะออกประตูอยู่แล้วเขาก็โดดลงมา.. ตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่ามีมะม่วง มารู้ที่โรงพยาบาลว่าเขาแท้งแล้ว” มกรเล่าเรื่องนั้นด้วยเสียงเจ็บปวดและแผ่วเบา เหมือนว่าถ้าพูดให้เบาเท่าไรเขาก็จะเจ็บน้อยลงเท่านั้น

การรื้อฟื้นความหลังทำให้เขาเห็นภาพร่างที่เปื้อนเลือดอีกครั้ง มกรปิดตาลงแล้วปล่อยมือออกจากหน้าของณัฐวีร์

“การเขียนไดอารี่ถึงมะม่วง เป็นขั้นตอนนึงของการบำบัด.. นอกจากยาแล้วหมอให้พี่เขียนระบายความรู้สึกตัวเองถึงใครสักคน พี่ไม่รู้จะเขียนหาใครก็เลยเขียนหาลูก.. มะม่วงนี่พี่ก็ตั้งชื่อให้เขาเอง แม่เขาไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้วก็เลยยังไม่เคยได้ขออนุญาตแม่เขาเลย เราไม่ได้ติดต่อกันอีกนับจากเกิดเรื่อง ต่อให้พี่อยากรับผิดชอบเขา แต่เขาคงไม่อยากเห็นหน้าคนที่เป็นต้นเหตุฆ่าลูกเขาหรอกมั้ง” ยิ่งพูดมกรก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ชายหนุ่มพิงหลังกับขอบโต๊ะทำงานของณัฐวีร์ เขาปล่อยมือจากใบหน้าของเด็กหนุ่มแล้วทิ้งแขนลงข้างตัว ไหล่กว้างลู่ลงเหมือนว่าเจ้าตัวจะไร้แรง “ถ้านัทไม่เข้าใจตรงไหน นัทถามพี่ก็ได้.. พี่อธิบายได้ทั้งหมดนั่นแหละ”

ณัฐวีร์มองอีกฝ่ายแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ.. “นัทไม่ได้สงสัยอะไร นัทบังเอิญเห็นว่าพี่พูดถึงลูกเท่านั้นเอง ไม่ได้เปิดไปหน้าอื่น.. แค่ไม่เข้าใจว่า..เอ่อ..” เด็กหนุ่มอึกอัก ดวงตาแดงๆนั่นหลุบลงหลบตาอีกฝ่าย

“หือ?.. ไม่เข้าใจอะไร” มกรเห็นอาการแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขาชะโงกหน้าโน้มตัวลงพยายามจะมองช้อนขึ้นไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย แต่เจ้าตัวก็หลีกเลี่ยงด้วยการหันหลบ ทำให้มกรต้องใช้มือตนเองประคองหน้าอีกฝ่ายให้หันมามองกันตรงๆ อีกที

ใบหน้าในอุ้งมือใหญ่นั้นแดงเรื่อ ตาของณัฐวีร์ปิดไม่ยอมลืม
“ไม่บอกพี่ก็จะนั่งอยู่แบบนี้แหละ”

“พี่แมนอ่ะ..” ณัฐวีร์ร้องประท้วงเอามือมาดึงข้อมือหนาออกจากหน้า “ก็แค่ไม่เข้าใจว่ามีลูกมีเมียอยู่แล้วจะมายุ่งกับนัททำไม”

พอประโยคนั้นจบลงมกรก็ยิ้มกว้าง “อ๋อ..แสดงว่าตอนนี้ไม่มีลูกไม่มีเมียแล้วนี่ยุ่งได้”

“มะ...”

ไม่ทัน.. จะปฏิเสธก็ไม่ทันแล้ว

ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบลงมาปิดคำพูดให้ถูกกลืนหายลงไปในคอ เด็กหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเพียงตัวแข็งไร้ทางต่อต้านการกระทำนั้น ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายบดเบียดหนักขึ้น สมองก็เหมือนจะสว่างโล่งว่าง พอปลายลิ้นอีกฝ่ายและเล็มในเชิงขออนุญาต เขาก็เลยเผลอเผยอปากขึ้นน้อยๆเป็นเพราะไม่ทันได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ..

อาจจะว่าเขาซึนเดเระที่สุด ปากกับใจไม่ตรงกัน..

แต่ณัฐวีร์ก็บอกตัวเองว่า ทุกอย่างที่เขาทำไป..มันเกิดจากอีกฝ่ายรุกเร้า เรียกร้องอย่างเอาแต่ใจ และเขาไม่รู้จะหาทางหลบหลีกได้อย่างไร ได้แต่ปล่อยให้ปลายลิ้นอุ่นร้อนกวาดเอาความหวานล้ำในเนื้อหัวใจเขาให้เอ่อขึ้นจนล้นทะลักไปทั้งร่าง.. ถึงขนาดว่าหน่วงๆ ท้องน้อยกันเลยทีเดียว

“พี่..”

ช่วงจังหวะที่พอจะใช้ปากตะครุบอากาศได้ ณัฐวีร์ก็เลยพยายามจะเรียกอีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ ทว่ามือแกร่งที่เลื่อนมาบังคับตรงท้ายทอยให้แหงนเงยขึ้นรับจูบหนักหน่วง ทำให้ณัฐวีร์ไม่สามารถพูดต่อได้อีก

จากวินาทีเป็นนาที..
จนกว่ามกรจะพอใจแล้วผละออกไป ร่างที่เล็กกว่าก็ใจเต้นจนหมดแรงต่อต้าน ได้แค่เอนกายอิงอกกว้างแบบไร้ทางขัดขืน

ตึก ตึก ตึก

เสียงอะไร.. ณัฐวีร์ได้แต่ถามตัวเอง แล้วก็เข้าใจเมื่อขยับซบหน้าให้แนบอกนั้นมากขึ้นแล้วพบว่าเสียงหัวใจอีกฝ่ายก็ดังไม่แพ้ใจของเขา ฟังแล้วเด็กหนุ่มก็ยิ้มบางๆ แอบดีใจลึกๆที่เสียงหัวใจเต้นครั้งนี้ของเขาทั้งคู่ไม่ได้ดังแตกต่างกันเลย

การขยับใบหน้าของณัฐวีร์ทำให้มกรรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นในอก ชายหนุ่มสูดหายใจลึกแล้วโอบกอดร่างนั้นไว้ ก่อนจะก้มลงจูบศีรษะที่ไม่ยอมเงยนั้นเบาๆ ย้ำๆไปหลายๆครั้ง

“พอแล้ว..” ณัฐวีร์อุบอิบ เขารู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างกันมันชักจะหวานมากเกินไป เพราะมือไม้ทางนั้นเริ่มอยู่ไม่สุข เลื้อยลูบไปเรื่อย.. เจ้าตัวก็เลยดันอีกฝ่ายออกห่าง

“อ้าว.. นึกว่าชอบ..” มกรเอ่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นใบหน้าของร่างเล็กกว่าแดงจัด

“หยุดเลย..ไหนบอกว่าจะไม่ทำอีกแล้วไง” คนโดนรังแกประท้วง

“โดนเด็กยั่วเลยหลวมตัวไปนิด” มกรทำท่ากระซิบบอก เลยโดนอีกฝ่ายเตะเข้าให้ที่ขา

“ใครยั่ว!”

“เอ้ย.. ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยเหรอ” ชายหนุ่มร้องแล้วรีบลุกหนี

“เปล่า..ลงหน้าแข้งต่างหาก ..ถ้าทำแบบไม่ขออีกคราวหน้าจะโดนหนักกว่านี้”

“ขอแล้วให้เปล่าล่ะ..” มกรขยิบตา

“ไปขอแฟนนัทโน่น!” เด็กหนุ่มหลุดปากออกมาแล้วก็สะดุ้งเอง เขาเหลือบมองสีหน้าคนที่ยืนอยู่ใกล้อย่างไม่มั่นใจ.. คราวก่อนแค่ปัดแก้วกาแฟ คราวนี้อาจฟาดหัวแตกหรือเปล่า?

แต่มกรเหมือนอึ้งไปนิดเดียว แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มบางๆ “ไม่ขอล่ะ แอบๆ กิ๊กกันแบบนี้ดีกว่า ขอไปเดี๋ยวเขาไม่ให้”

พูดแล้วเจ้าตัวก็ถอยกลับไปที่โต๊ะตัวเอง..มกรพูดแบบนั้นและคิดแบบนั้นจริงๆ ..ตอนนี้ให้เป็นอะไรก็ได้ แค่ให้เขามีณัฐวีร์อยู่ข้างๆแบบนี้ไปตลอดก็พอแล้ว

ไม่ต้องเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันก็ได้.. ขออยู่แบบนี้ไป ดูแลแบบนี้ไปตลอดก็พอใจแล้ว










tbc


ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
ใครสงสารแม้นบ้างยกมือขึ้นนนน!!! 
#แต่เราไม่สงสารหรอก ชิ!  :katai5:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แมนมีความหวังเล็กๆแล้ว

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอดูพฤติกรรมอีก

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
รักษาพฤติกรรมให้ตลอดรอดฝั่งนะแม้น

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด