มาต่อแล้วค่ะ
=========
อากาศเมืองไทยในช่วงต้นเดือนเมษายน ใครๆก็คิดว่าร้อนจนไม่สามารถจะยืนอยู่กลางแดดได้เกินหนึ่งชั่วโมง.. ยิ่งบนถนนที่รถติดเป็นตังเม ควันจากท่อไอเสียและความร้อนจากเครื่องยนต์ด้วยแล้ว คนที่ทนอยู่บนถนนเมืองกรุงได้นี่ต้องสุดยอดจริงๆ ซึ่งคนที่สามารถเดินฝ่าแดดอยู่บนท้องถนนได้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น คนขายพวงมาลัยนั่นเอง
เธอเป็นหญิงผิวคล้ำแดดกร้านลมมีพวงมาลัยหลายสิบพวงอยู่ในมือ เดินลัดเลาะผ่านรถคันโน้นมายังรถคันนี้โดยไม่เร่งฝีเท้านัก เพราะก็รู้กันอยู่ว่าถ้าติดล่ะก็แยกนี้นาน.. ไม่มีทางไปได้เร็วๆแน่
ดังนั้นเมื่อเข้ามาใกล้รถหรูก็ยังไม่แตกตื่นรีบร้อน ได้แต่เดินผ่านช้าๆ
เธอไม่ได้หวังจะให้คนในรถเปิดกระจกมาซื้อ เพราะเธอรู้ว่ารถประเภทนี้ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเธอ ไม่มีรถหรูในกรุงเทพคันใดเปิดกระจกมาซื้อพวงมาลัยบ่อยๆหรอก นอกจาคนใจดีที่ช่วยอุดหนุนเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งเธอนั้นห่างกันคำว่าเด็กตัวเล็กๆไปมากโข
หญิงขายพวงมาลัยเดินมองหารถคันเป้าหมาย.. มันเป็นแท็กซี่ที่อีกไม่ไกลนักก็จะถึง แต่ที่ต้องสะดุดเพ่งมองเข้าไปในรถหรูที่ดำคันนั้น ก็เพราะชายที่นั่งตรงฝั่งคนขับ มีเลือดหยดจากหางคิ้วเป็นทาง เจ้าตัวดูเหมือนจะยกมือขึ้นเช็ดเลือด แต่อีกสักพักมันก็ไหลลงมาอีก พอปล่อยให้ไหล มันก็หยดแหมะลงมาเปื้อนที่อก พอยกมือขึ้นเช็ดมือก็เลอะ เล่นเอาป้ายหน้าจนแดงไปหมด
คนขายยังแลเลยไปที่นั่งด้านข้าง มีผู้ชายอีกคนซึ่งผินหน้าหนีออกไปนอกรถ แถมยังหลับตาเสียด้วย เธอเมียงมอง ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งเห็นชัดว่าฝ่ายที่เมินหน้าหนีนั่งกอดอกอยู่ไม่ใช่ว่าหลับ ส่วนฝ่ายคนขับก็ป้ายมือกับเสื้อจนเลอะไปหมด บางครั้งยังยกแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดด้วย
การเป็นคนขายของบนถนนนั้น นอกจากบรรดาพวงมาลัยแล้ว เธอจะมีของเล็กๆน้อยๆ พวกลูกอม หนังสือพิมพ์ และกระดาษทิชชู่ขายด้วย และเธอก็มักจะพกของเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นมาในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนของเธอ
เธอหยิบห่อทิชชู่ขึ้นชูที่ข้างคนขับ แต่เหมือนเขาจะไม่เห็นเพราะมัวแต่ซับเลือด ทำให้เธอตัดสินใจเคาะกระจกรถนิดๆ
ปกติเธอไม่กล้าเคาะ แต่คราวนี้เธอตัดสินใจเคาะเพราะอยากให้เขามีกระดาษไว้ซับเลือด
คนในรถส่ายหน้า ..เธอเข้าใจว่าเขาอาจจะเห็นแค่พวงมาลัย และไม่เห็นทิชชู่ เธอจึงเคาะกระจกอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับเอาทิชชู่วางลงบนกระจกหน้ารถให้เขาเห็นถนัด พอสายตาเขามองจับที่ห่อทิชชู่แล้ว เธอจึงหยิบออก
แล้วความพยายามก็เป็นผล ชายหนุ่มในรถลดกระจกลง ก่อนจะยื่นแบงค์ 20 ให้เธอ...แล้วปิดกระจกไป..
"เอ้าคุณ ไม่เอาทิชชู่หรือ?.." เธอพยายามโบกทิชชู่ไปมา แต่พอเขาโบกมือไล่เธอถึงได้เข้าใจ.. เขาก็แค่ตัดรำคาญด้วยการให้เงิน 20 บาทแก่เธอ
"ก็ตามใจ.." เธอยักไหล่แล้วเก็บของ เก็บเงินเข้ากระเป๋าแล้วเดินขายของต่อไป ทิ้งให้รถคันนั้นตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
มกรยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลลงมาแล้วปาดมือเช็ดกับเสื้อ เลือดไหลออกมาน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังซึมออกมาจนถ้าไม่เช็ดอาจจะไหลเข้าตาและทำให้เขาขับรถไม่ได้
ปริมาณรถในช่วงเวลาเกือบเร่งด่วนอย่างนี้มีเป็นแพ พวกเขาอยู่บนถนนมาเกือบ 30 นาทีแล้ว และดูเหมือนจะติดอยู่แยกนี้อีกสักระยะแน่ๆ คงติดจนเลือดหมดตัว
ก็ดี...มันก็สมควรกับคนเลวอย่างนี้แล้ว
ความคิดยังไม่ทันจบ มือขาวของคนที่นั่งข้างๆก็ยื่นมาพร้อมทิชชู่
เห็นแบบนั้น..มกรก็ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
"นัท.." เขายื่นมือไปหยิบจากมือน้อง "ขอบใจที่ห่วงพี่นะ.."
ณัฐวีร์หยิบกล่องทิชชู่จากคอนโซลรถมาวางไว้ให้ตรงที่พักแขน
"ไม่เป็นไร ..ผมห่วงตัวเอง ไม่อยากมาตายบนรถนี่เพราะเลือดเข้าตาจนพี่ขับรถไม่ได้"
เด็กหนุ่มยกมือกอดอกและหันหน้าหลับตามองเมินไปอีกทาง ทำเหมือนไม่มีเรื่องที่จะเสวนากับมกรอีก
ใจที่พองฟูอยู่เมื่อครู่เหี่ยวแฟ่บลงตามเดิม และดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมเข้าไปอีกเมื่อมกรยิ้มเยาะตัวเอง เขากดทิชชู่ที่น้องหยิบให้ซับเลือดก่อนจะโยนกล่องทิชชู่ไปเบาะหลัง ใช้เพียงกระดาษในมือกดซับแผลเอาไว้
หยิบมาให้แค่นี้เขาก็จะใช้แค่นี้...
ณัฐวีร์หันหน้ามาเล็กน้อย ปรายตามองบริเวณที่พักแขนซึ่งเจ้าตัวเคยวางทิชชู่ไว้ ก่อนจะตวัดสายตาเมินเฉยขึ้นมองมกรอีกครั้ง แล้วก็เมินหน้าไปทางเดิม..นอกตัวรถ
ความเงียบในรถทำให้ได้ยินกระทั่งเสียงถอนหายใจเบาๆจากฝั่งคนขับ
รถค่อยๆขยับแล้ว.. จากนั้นอีกเกือบชั่วโมงรถก็มาถึงแถวบ้านของณัฐวีร์
ตอนนี้ที่ร้านอาหารขนของไปตึกใหม่เกือบหมดแล้ว กำหนดเปิดร้านใหม่ก็คือช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ดังนั้นจึงมีเวลาอีกพอสมควรในการเตรียมงาน และเตรียมขนย้าย
ป๊ากับแม่ยังพักอยู่ที่บ้านเดิม แต่คนงานบางส่วนย้ายไปที่โน่นบ้างแล้ว ทำให้ตึกเก่าลดความพลุกพล่านไปเยอะ
ทั้งไม่มีคนงาน ทั้งไม่มีลูกค้า ลานจอดรถจึงโล่ง หน้าร้านก็ไม่มีรถจอดริมฟุตบาทอีก
พอมกรขับรถเข้ามาถึงจึงกลายเป็นว่าณัฐวีร์เปิดประตูก้าวลงเดินเข้าร้านได้ทันที
"นัท!"
มกรเปิดประตูออกมาจากรถแล้ววิ่งตาม ทันได้เห็นว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วน้องยกมือไหว้ป๊ากับแม่ไก่ก่อนจะวิ่งพรวดเดียวถึงบันไดเลย
"นัท! พี่ขอคุยก่อน นัท"
พอมกรร้องเรียกณัฐวีร์ก็ตะโกนขึ้น "ป๊า อย่าให้คนอื่นตามนัทขึ้นมานะครับ นัทอยากพัก"
แล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งขึ้นบันไดไปเลย
"นัท!"
มกรกำลังจะถึงบันไดแล้วตอนที่มีคนมาจับแขนเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหันกลับมาทันที
"ไอ้แมน มึงทำอะไรน้อง!" คนพูดมองสำรวจอีกฝ่ายไปทั่ว "แล้วนี่มึงไปฟัดกับหมาที่ไหนมา?"
มกรมองแล้วจึงเปิดปาก "แชร์..กู.."
ชายหนุ่มมือสั่นและขาสั่น ความกลัวทำให้เขาหน้าซีดลงจนเพื่อนต้องพยายามดึงจะพาไปนั่งที่โต๊ะ
"ไม่.." มกรส่ายหน้าทำท่าจะก้าวขึ้นบันได "ให้กูขึ้นไปเคลียร์กับน้องก่อน"
"ไม่ได้ น้องไม่ให้ขึ้นก็อย่าเลยมึง มาคุยกับกูก่อน" แชร์รั้งไว้จนได้ เขาหันไปเรียกเพื่อนของณัฐวีร์ "แพรวจ๋า.. ฝากขึ้นไปดูข้างบนหน่อยได้ไหม"
แพรวพยักหน้ารับก่อนจะวิ่งขึ้นไปโดยมีมกรมองตามไปจนลับตา
นั่นเขาแฟนกัน.. แล้วกูล่ะเป็นอะไร
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำนน ได้แต่ถอยตัวลงมานั่ง ไหล่ที่เคยตั้งตรงลู่ลงเหมือนคนหมดอาลัยทำให้คนที่เห็นภาพนั้นต่างมองหน้ากัน
"เดี๋ยวป๊าไปเอาผ้าขนหนูกับน้ำมาให้ แล้วจะเอายามาให้ด้วย" คุณวีรชาติบอกก่อนจะแยกตัวออกไป เขาวางมือลงบนบ่าภรรยาเล็กน้อยให้กำลังใจกัน เพราะเห็นว่าณัฐวีร์ไม่ได้มีแผลที่ไหน เขาจึงเบาใจไปได้นิดนึง แต่ถ้ามกรมีแผลขนาดนี้ก็ไม่มีทางจะเบาใจได้ทั้งหมดหรอก
คุณวีรชาติหายขึ้นไปไม่นานก็กลับลงมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลกล่องใหญ่ ความที่เป็นร้านอาหารต้องใช้ของมีคม ที่บ้านเลยมีอุปกรณ์เผื่อไว้เสมอ พอเอาลงมาให้ก็ยังเห็นว่ามกรมองขึ้นไปด้านบนไม่ยอมเลิก ถึงเบาใจว่ามีแชร์นั่งคุมอยู่ แต่คุณวีรชาติก็ยังไม่มั่นใจจนต้องลากเก้าอี้มาประกบแล้วเริ่มลงมือทำแผลให้
"ไม่ต้องห่วง..ข้างบนแพรวเขาคุยอยู่"
คุณวีรชาติบอกขณะที่เริ่มใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดคราบเลือดและสิ่งสกปรกออกให้ มือทำไปปากก็ถามไป
"เล่าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?"
เพราะคำถามนั้นมกรจึงเบือนสายตาลงมามองหน้าอีกฝ่าย ดวงตาของผู้สูงวัยกว่ามีความอ่อนล้า ใต้ตาคล้ำทั้งที่ไม่น่าจะตรากตรำทำงานเพราะตอนนี้ปิดร้านอยู่
หรือว่า..
"ป๊า ..รอน้องทั้งคืนเลยหรือครับ?" มกรถามด้วยความสงสัย
คุณวีรชาติชะงักมือไปนิดหนึ่งก่อนจะขยับมือต่อ
"ถ้าเธอมีลูกชายที่เคยเกิดอุบัติเหตุสองครั้งใหญ่ๆตอนไปค้างที่อื่น ครั้งแรกแขนหัก ครั้งที่สองรถชน เธอจะไม่มีวันนอนหลับถ้าลูกไม่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ"
มกรมีสีหน้าสลดลง เขาหลุบตามองมือตัวเอง ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็เริ่มใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผลจนเย็นไปรอบบริเวณ
"ไม่รู้สิครับ.. บางทีผมก็จินตนาการไม่ออกว่าถ้าผมมีลูกแล้วผมจะห่วงเขาได้อย่างที่ป๊าห่วงนัทหรือเปล่า.." มกรหลับตาลง.. หัวตาของเขาร้อนและแสบโพรงจมูก บางส่วนอาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ลที่เช็ดอยู่ใกล้ดวงตากระมัง
"ทำไมล่ะ.." คุณวีรชาติเริ่มลงเบตาดีนโดยใช้สำลีซับไปที่แผลแล้วเตรียมผ้าก๊อตและพลาสเตอร์ปิดขณะรอฟังคำตอบนั้น
"เพราะพ่อของผมไม่เห็นเป็นแบบนี้กับผมเลย"
ผ้าก๊อตถูกวางและพลาสเตอร์ถูกปิดลงมา หัวนิ้วโป้งจากกำปั้นมือขวาลูบพลาสเตอร์ให้ปิดดี และคุณวีรชาติก็ลูบมันอยู่อย่างนั้นขณะพูดตอบไปว่า
"คนเราต่างมีเบ้าหลอมมาไม่เหมือนกัน คงจะคาดหวังให้พฤติกรรมของพ่อทุกคนเหมือนกันไม่ได้หรอก.. เขาอาจจะพบอะไรมาต่างจากฉันก็ได้" คุณวีรชาติยังใช้นิ้วโป้งลูบพลาสเตอร์ แต่เขาคลายฝ่ามือที่กำไว้ออกแล้ววางลงบนศีรษะของมกรขณะใช้หัวนิ้วโป้งค่อยๆลูบที่พลาสเตอร์ซึ่งปิดอยู่ตรงหางคิ้ว
"ไหนเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมนัทถึงได้หนีขึ้นไปแบบนั้น"
แล้วคุณวีรชาติก็ลดมือลง ขณะมกรถอนใจเฮือก มองตามมือนั้น.. ด้วยดวงตาพร่ามัว
ความอบอุ่นของ.. พ่อ..
เป็นแบบนี้นี่เอง
"นัทเข้าใจผมผิด.."
คุณวีรชาติพยักหน้ารอฟังความ
มกรเหลือบตาขึ้นมอง "แต่ก่อนหน้านั้น.. เขาบอกว่าเขาจำความได้มาตั้งแต่แรก ป๊ารู้เรื่องนี้หรือเปล่าครับ..?"
คุณวีรชาติขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางภรรยาที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะ เธอส่ายหน้าน้อยๆ คุณวีรชาติจึงมีสายตายุ่งยากใจขึ้นมาทันที
"เราสองคนไม่รู้เรื่องนี้..นัทบอกเองหรือ?"
"ครับ.." มกรพยักหน้าแล้วหลุบตาลงมองมือตัวเอง ที่ณัฐวีร์ไม่กล้าบอกครอบครัวเรื่องที่จำความได้แล้วก็อาจเพราะไม่อยากเล่าให้บิดามารดาทราบถึงเรื่องราวในอดีตก็เป็นได้
ณัฐวีร์คงไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนอุบัติเหตุ จึงแสร้งทำเป็นจำความไม่ได้เสีย
มกรสูดลมหายใจเข้าลึก ในเมื่อเขาไม่อยากให้เล่าก็จำเป็นจะต้องไม่เล่า?
ชายหนุ่มหลับตาลง..
--- คนโกหก
ใบหน้ายามที่ณัฐวีร์ต่อว่าเขาซ้อนขึ้นมาในมโนสำนึก
ไม่ได้.. โกหกต่อไปอีกไม่ได้แล้ว..
มกรขยับนั่งตัวตรง มองหน้าแชร์ เพื่อนของเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำความผิดมาด้วยกัน.. แต่เขาจะรับมันไว้เอง ความผิดนี้เขาจะรับมันไว้เอง
--- มึงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะไอ้แมน ปล่อยน้องมันไปกูยอมแพ้
--- ไม่ได้ กูไม่ปล่อย!
คำพูดในความทรงจำเมื่อสองปีก่อนยังชัดเจน แชร์มันห้ามเขาแล้ว แต่เขาไม่สามารถหยุดตัวเองได้..
ทำไมถึงหยุดไม่ได้.. ตอนนี้เขารู้คำตอบตัวเองแล้ว..
ชายหนุ่มหันไปมองคุณวีรชาติอย่างตัดสินใจได้
"ผมมีเรื่องจะสารภาพครับ.."
-----
แพรวก้าวลงบันไดมาจากชั้นบนสวนทางกับเจ้าของบ้านที่พยุงภรรยาท้องกลมโตขึ้นบันไดมา
"ป๊าวี.. จะพาแม่ไก่ขึ้นห้องหรือคะ ให้น้องแพรวช่วยไหม?"
คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มบางๆให้ ใบหน้านั้นดูอิดโรยมากกว่าแรกที่เธอเห็นเมื่อเช้านี้เสียอีก
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวป๊าพาทางนี้ไปพักแล้วจะแวะเข้าไปดูนัท.. ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง"
แพรวยิ้มอย่างปลอบใจส่งมาให้ "ไม่มีอะไรค่ะ ร้องไห้บ้างแต่ทุกอย่างโอเค แพรวเอาอยู่.. เมื่อครู่บ่นปวดหัว แพรวเลยให้นอนพักไปก่อนค่ะ นี่ลงมาหาอะไรให้เขาทาน ถ้าขึ้นไปยังไม่หลับก็จะบังคับให้ทานอาหารและยาสักหน่อยค่ะ"
วีรชาติพยักหน้ารับ "ขอบใจแพรวมากนะ ถ้าแบบนั้นป๊าจะได้ไม่เข้าไป ขอพักสักหน่อยบ่ายๆค่อยมาคุยกับเขาอีกที"
"ค่ะป๊า.." เธอหลีกทางให้เจ้าของบ้านเดินผ่านไปทั้งคู่ แต่คล้อยหลังนิดเดียวคุณวีรชาติก็หันกลับมา
"ว่าแต่..แพรวรู้ใช่ไหมว่านัท..ไม่ได้ความจำเสื่อม?"
คนฟังสะดุ้งนิดๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพยักรับ "ค่ะป๊า"
"อืม.." วีรชาติทำเสียงตอบรับในคอแล้วพยักหน้ากับคุณณฐกา "ป๊ากับแม่จะไปนอนแล้ว.. ฝากนัทด้วยแล้วกันนะ"
"ค่ะ.." แพรวยกมือไหว้คุณวีรชาติ "ขอโทษและขอบคุณค่ะป๊า"
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนรับไหว้พลางส่งยิ้มมาให้
"ไม่เป็นไรจ้ะ.. แม่ไก่ต่างหากที่ต้องขอบคุณน้องแพรว เป็นเพื่อนที่ดีกับนัทมาตลอดเลย.. ขอบคุณนะ"
แพรวมองส่งเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกตื้อและตีบตันในอก เธอปิดความลับนี้ไว้กับตัวเองเพราะณัฐวีร์ขอร้อง เขาไม่อยากให้พ่อแม่ต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องในอดีตของเขา เธอจึงไม่อยากขัดใจ หากเรื่องมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักเธอก็อยากจะช่วยเหลือเพื่อน
ทดแทนกับวันนั้นที่เธอช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้เลย
..เธอรู้ว่าเพื่อนเจออะไรมามาก ถึงจะไม่รู้ละเอียด..แต่เธอก็รู้ว่าคนสองคนไม่ได้เริ่มคบกันเพราะความรักที่มีให้กันและกัน.. เป็นเพื่อนของเธอเพียงฝ่ายเดียว ที่..รัก.. ไอ้บ้านั่นจนหัวปักหัวปำ ขนาดเจ็บหนักมาอย่างนี้ก็ยังไม่เข็ดที่จะลองรักดูอีกที
แล้วเป็นไง..เจ็บตัวคราวก่อนไม่พอ..คราวนี้เจ็บใจอีกด้วย
มันน่า...!!
เธอเข่นเขี้ยวแล้วเดินลงไปที่ด้านล่าง กะเอาไว้ในใจว่าลงไปถึงเมื่อไร สิ่งที่จะทำสิ่งแรกก็คือ..เฉ่ง!
เฉ่งไอ้คนที่ทำให้เพื่อนเธอเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า..
ครั้นพอลงไปถึงเธอก็พบร่างไร้สติของมกร..ที่นอนทอดตัวยาวอยู่บนโซฟา โดยมีผ้าคลุมไหล่ของคุณณฐกา คลี่คลุมไว้บนอก
พอเห็นอย่างนั้นคนที่คิดจะเหวี่ยงใส่ไอ้ตัวก่อเรื่องให้สมใจก็ได้แต่ร้อง
"เฮ้อ..."
ก็ขนาดพ่อแม่ผู้เสียหายเขายังสามารถ..อภัย..
ทำไมเธอจะ..อภัยและปล่อยวางลงไม่ได้ล่ะ
"แพรว.."
คนเรียกโผล่หน้าออกมาจากครัว..พร้อมกับกวักมือให้เธอเดินเข้าไปด้านใน
ครัวนั้นเหลืออุปกรณ์ทำครัวไม่มากแล้ว จึงดูโล่งจนผิดตา ตรงหน้าของแชร์มีอ่างแก้วสำหรับเข้าเวฟอยู่ใบหนึ่ง ข้างในมีข้าวต้มกระดูกหมูควันฉุยใส่เอาไว้ ดูเหมือนจะเป็นอาหารที่คุณวีรชาติเตรียมตั้งแต่เช้า
"ทำอะไรน่ะ"
"กำลังจะเอาไปให้นัท เมื่อกี้คุณอาจะเอาขึ้นไปเอง แต่พี่อาสาทำให้ คุณอาเลยพาแม่ไก่ขึ้นไปพัก"
แพรวพยักหน้า เธอยกแขนขึ้นกอดอกแล้วเอนตัวพิงกรอบประตู "ทำตัวเป็นประโยชน์ก็ดีค่ะ.."
หญิงสาวมองอีกฝ่ายเทข้าวต้มลงชามแก้วอย่างระวัง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น "แล้วนี่เพื่อนพี่เขาทานแล้วเหรอคะ?"
"เรียบร้อยจ้า เมื่อครู่โดนบังคับให้ทานข้าวทานยาแล้วอาวีก็บอกให้นอน นี่ยาคงออกฤทธิ์ถึงได้หลับไปแล้ว ไม่งั้นก็นั่งมองแต่บันไดขึ้นข้างบน"
"ก็ดีที่หลับ ไม่งั้นแพรวคงวีนใส่เขาแน่ๆ"
แชร์หยิบกระดาษทิชชู่เช็ดขอบชาม ยกชามนั้นวางในจานรองแล้วจึงเอาใส่ถาดอลูมิเนียมให้อีกที เขาหันไปคว้าเอาน้ำดื่มในตู้เย็นออกมาแล้ววางลงในถาดนั้น แต่ไม่ได้หยิบแก้วหรือหลอดให้เพราะรู้ว่าข้างบนมีแก้วประจำตัวของณัฐวีร์อยู่แล้ว
"เท่านี้ไอ้แมนมันก็รู้สึกผิดจะแย่แล้วล่ะค่ะ..น้องแพรวก็ใจเย็นๆกันมันนิดนึงนะคะ"
"ก็ไม่ได้อยากจะเป็นนางร้ายนะคะ" แพรวหมุนตัวเดินนำออกมาจากห้องครัว เธอปรายตามองคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาแล้วถอนหายใจเล็กๆ มือขาวสวยยื่นไปหยิบแผงยาพารามาถือไว้ แล้วจึงย่นจมูกใส่ร่างที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกรอบ แลบลิ้นใส่อย่างหมั่นไส้
"แพรวจะขึ้นไปอยู่กับนัท พี่แชร์ก็ดูแลเพื่อนของพี่แชร์ไปแล้วกัน" เธอพูดแล้ววางยาลงในถาดทำท่าจะยกถาดขึ้นไปเอง
"อ้าว..ไม่ให้พี่ขึ้นไปส่งเหรอ?"
"อย่าเลย เดี๋ยวเกิดสะดุ้งตื่นมาไม่เห็นใครจะวิ่งพล่านไปทั่ว แพรวไม่อยากให้มาเพ้ออะไรตอนนี้ แพรวห่วงเพื่อนแพรว"
“หืม?..”
“ใช่สิ.. พี่ก็ห่วงเพื่อนพี่ แพรวก็ห่วงเพื่อนแพรว ผิดตรงไหน”
แชร์ยิ้มกว้าง "ไม่ผิดค่ะ ตามใจแพรวเลย เดินขึ้นไปดีๆนะ"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นบ๊ายบายทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วมองงงๆ ยังก้าวไม่พ้นบันไดเธอก็ได้ยินเสียงผิวปากลั้นลาสุดชีวิต ยังงงอยู่ว่าเจ้าตัวเป็นอะไร..
"เพื่อนของแพรว เพื่อนของแพรว.."
ประโยคนั้นแว่วดังขึ้นมาทำให้เธอหน้าแดงแป้ด ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ..
นี่เธอ..ลืมสถานะตัวเองไปได้ยังไง ..ซวยแล้ว
"บ้าพอๆกับเพื่อนเลยพี่แชร์นี่" เธอบ่นอุบแล้วรีบเดินขึ้นไปที่ห้องของณัฐวีร์
---------
แชร์นั่งอยู่ด้านล่างเพื่อเฝ้าเพื่อนซึ่งยังหลับสนิท เขาใช้หนังสืออ่านฆ่าเวลา และเพิ่งจะอ่านไปได้ไม่กี่หน้าเอง แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเครือ
ชายหนุ่มคว้าเอาขึ้นมาไว้ไม่อยากให้เจ้าของโทรศัพท์ตื่นตอนนี้ พอก้มดูจึงได้เห็นว่าเป็นชื่อของมารดาไอ้มกรมัน..
ไอ้นี่ก็แปลก คนส่วนใหญ่เวลาเซฟเบอร์แม่ตัวเองในโทรศัพท์ก็จะเซฟว่าแม่บ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แสดงความสนิทสนมกัน.. แต่มันกลับเซฟไว้แค่ว่า "คุณมนธิชา" ห่างเหินเสียไม่มี
ถึงพวกเพื่อนจะรู้ว่ามกรไม่ค่อยลงรอยกับครอบครัวนัก แต่ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนที่รู้เรื่องความบาดหมางนั้นดีเท่าณัฐวีร์อีกแล้ว แชร์จึงได้แต่สงสัยในความแปลกประหลาดนั้นจนถึงทุกวันนี้
"สวัสดีครับคุณน้า..แชร์ครับ" ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปเบาๆแล้วเดินผละไปที่ครัวเพื่อไม่ให้มกรต้องตื่นขึ้น
"ตอนนี้แมนอยู่ที่บ้านนัทครับ.. ไม่เป็นไรมากครับ นอนพักกันอยู่ ..ไม่มีอะไรหรอกครับ ทะเลาะกันนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีกันเอง..ผมว่าวันนี้คงไม่ได้เข้าไปที่ออฟฟิศ.."
ชายหนุ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ มนธิชาจึงบอกว่าถ้ามอบหมายให้คุณประคองอยู่เคลียร์กับตำรวจเรียบร้อยแล้วคุณมนธิชาจะมาหาที่นี่ทันที ให้ช่วยดูแลมกรไว้ให้หน่อย
"ได้ครับคุณน้า ไม่ต้องห่วงครับ"
ชายหนุ่มกดวางสายแล้วเดินออกมาจากห้องครัว ..จึงได้พบว่าตรงบริเวณที่มกรนอนอยู่นั้นว่างเปล่าไปเสียแล้ว
"ออกไปนะออกไป!" เสียงแหวของแพรวทำให้แชร์เงยหน้าขึ้นไปทันที
"ตายห่าแล้วไอ้แมน!!"
-----