“อ้าว...แม่”
แว่นที่พึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำและสวมเพียงกางเกงขายาวเอ่ยทัก เธอมองลูกชายที่ผอมจนเกินควรก่อนจะถามไถ่
“ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?”
“ใกล้จบแล้วครับ”
“เอ็งคิดว่าแม่ถามถึงเรื่องนั้นเหรอหมอ?”
นางนั่งลงบนเตียงของลูกชาย แว่นเดินไปปิดเพลงส่งผลให้ทั้งห้องเงียบงัน คนเป็นแม่ถอนหายใจหนักๆแล้วมองหน้าลูกชายไม่วางตา
“ถ้าเหนื่อยก็บอกแม่บ้าง แม่ยังเป็นแม่อยู่หรือเปล่า”
เอาจริงๆเธอไม่ได้สนใจนักว่าลูกชายจะเป็นอะไร แต่เธอน้อยใจมากกว่าที่ลูกไม่ยอมบอกอะไรเลย มันเหมือนกับว่าลูกกำลังมองข้ามเธอไป
“ผมกลัวแม่เสียใจ ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ”
แว่นนั่งลงบนพื้นแล้วเอาหน้าซบกับตักคุณนายแม่ของมัน เธอลูบผมลูกชายเพียงคนเดียวซ้ำไปมา อีกไม่กี่วันไอ้หมอของเธอก็จะเรียนจบแล้วแต่เธอกลับรู้สึกว่าลูกพึ่งจะห้าขวบเท่านั้นเอง
“ถามคำเดียว เอ็งไปยุ่งกับไอ้น้องซินก่อนจริงๆเหรอวะ”
แว่นเงยหน้ามามองแม่ระคนตกใจ มันอ้าปากหวอแต่ไวเท่าความคิดหน้ามันก็แดงขึ้นเรื่อยๆจนคุณนายแม่อดขำไม่ได้
“ไอ้หล่อนั่นมันเสน่ห์แรงขนาดนั้นเลย”
มันเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบและแว่นก็รู้ดีมันจึงซุกหน้าลงที่ตักแม่อย่างเคย
“แล้วถามอีกคำ”
หมอเพี้ยนบ่นอู้อี้ว่า ‘ไหนแม่บอกคำเดียวไง’ แต่ก็ปล่อยให้ถามอยู่ดี
“ทำไมถึงรักเขา”
มันยิ้มให้ตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตอบแม่ไปอย่างชัดเจน
“ไม่รู้ครับ”
ไม่รู้ เป็นคำเดียวกับที่แม่ของแว่นเคยบอกคุณยายเมื่อท่านถามว่าทำไมต้องเลือกพ่อของหมอบีม เธอก็ไม่ค่อยรู้นักหรอกว่ามันจะเกิดอะไรบ้าง เหมาะสมกันหรือเปล่า เธอรู้แค่ว่าเธอรัก...และตอนนี้เธอรู้ว่าควรจะทำอะไรบ้างได้แล้ว
***********************************
หลังจากทัวร์ไหว้พระกันตอนเช้าเสร็จแม่ก็บอกที่อยู่น้องเบสท์ให้ขับรถให้โดยอ้างว่าจะมาหาเพื่อน ผู้เป็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆอย่างไม่ได้สนใจนัก จนกระทั่งรถคันยาววิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งแถบชานเมือง พ่อจึงวางหนังสือพิมพ์แล้วลงจากรถเพื่อมองไปรอบๆ บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ด้านหน้ามีสวนกล้วยย่อมๆปลูกไว้ ในเวลานั้นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็เดินออกมา เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของภรรยาอย่างที่บอก แต่เขาก็คิดผิด...
“สวัสดีจ้า มาหาใครคะ?”
ผู้หญิงคนตรงหน้าเอ่ยทักทาย ด้วยผมตรงประบ่าและรอยยิ้มทำให้เธอดูใจดี
“มาหาพ่อแม่น้องซินค่ะ”
เขาเบิกตากว้างพอๆกับผู้หญิงคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของรั้ว ผู้หญิงคนนั้นชี้มือเข้าหาตัวเอง พร้อมกับเขาที่หันไปถามคนข้างๆ
“มาที่นี่ทำไม”
ภรรยาของเขาก็แค่ยิ้ม แต่เขารู้ดีวาเมื่อไหร่ที่เธอยิ้มแบบนี้เขาไม่สามารถที่จะปฏิเสธอะไรได้แน่นอน และเขาก็เหนื่อยที่จะปฏิเสธแล้ว บางทีเขาก็ควรที่จะทำอะไรบ้าง...
“น้องซินอยู่ไหมคะ”
เธอเอ่ยถามผู้หญิงอีกคนที่อีกฝั่งของรั้ว ผู้หญิงคนนั้นดูงุนงงแต่ก็ตอบแต่โดยดี
“ไม่อยู่ค่ะ ไปทัวร์ต่างจังหวัด”
“ฉันเป็นแม่บีม น้องซินเป็นยังไงบ้าง”
พอภรรยาเขาพูดไปแบบนั้นอีกคนก็มีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาบีบมือภรรยาแน่น รู้สึกแย่...ด้วยไม่อยากให้คนบ้านนี้นึกเกลียดลูกชายของตัวเองที่พาเด็กอีกคนเป็นไปในทางนั้น หากแต่เขาไม่รู้ว่าเขาคิดผิดมาโดยตลอด พร้อมกันนั้นภรรยาเขาถึงอ้อนวอนเธอคนนั้นอีกครั้ง
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันอยากมาคุยด้วย”
ผู้หญิงที่น่าจะเป็นแม่ของเด็กชายอีกคนเดินนำเขาและภรรยาเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่มีตาแก่วัยน่าจะมากกว่าเขาอยู่ห้าถึงสิบปีกันนั่งเช็ดปืนอยู่ นับด้วยสายตาคร่าวๆ ปืนทั้งหมดนั่นมีมากกว่าสามสิบกระบอก
“พ่อซินเขาค่ะ”
เธอบอกด้วยน้ำเสียงไม่ต้อนรับขับสู้นัก ชายคนนั้นหยิบจับปืนพลางมองมาทางพวกเขาด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
“นี่พ่อแม่หมอบีมนะพ่อ”
เธอแนะนำให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ชายคนตรงหน้าพยักหน้ารับไหว้ภรรยาเขาอย่างเดาอารมณ์ไม่ออก
“ฉันอยากมาคุยด้วยค่ะ”
เธอพูดออกไปในอย่างที่เธออยากพูด เขาได้แต่บีบมือภรรยาตัวเองแน่นกว่าเดิม
“ว่ามาเลยครับ ผมฟังอยู่”
ใครคนนั้นตอบรับพลางเช็ดถูปืนพวกนั้นไปด้วยราวกับไม่ได้ใส่ใจกับการมาของพวกเขานัก หรือไม่ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องมาในสักวันหนึ่ง ภรรยาเขาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เป็นเขาเองที่ทนไม่ได้จึงถามออกไปก่อน
“คุณรู้เรื่องลูกคุณทั้งหมดไหม?”
ผู้ชายตรงหน้ายิ้มกลั้วหัวเราะแล้วใช้นัยตาไม่เป็นมิตรจ้องที่เขานิ่ง
“รู้สิ ถามอะไรแปลกๆ ว่าแต่คุณเถอะ...เคยรู้อะไรเกี่ยวกับลูกบ้าง?”
เขานิ่งไปอย่างกับว่าคำถามนั่นเขาไม่สามารถตอบมันได้โดยสิ้นเชิง หลังจากวันที่ลูกชายคนโตขออโหสิกรรมให้ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรกับลูกอีกแม้แต่คำเดียว เหมือนมันเป็นหนามที่คอยตำหัวใจเขาอยู่ตลอดเวลา อะไรคือสิ่งที่ลูกชายผู้ดื้อรั้นกลัวและยอมถอยไปจนมุม...คำตอบคือตัวเขาเอง ดูเหมือนเขาจะปล่อยให้เวลาล่วงเลยนานเกินไป ผู้ชายคนตรงหน้าถึงเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง
“ไอ้ซินเริ่มสักตอนอายุ15 สักรูปเถาไม้ตรงไหล่ก่อนเลย ผมนี่เลือกลายให้มันเอง มันชอบเงียบแล้วเอาแต่ใจ ยิ่งเรื่องเครื่องดนตรีกับเรื่องของกินนี่เรื่องมากสุดๆ ถ้าไม่ได้ดั่งใจนี่ไม่กิน ส่วนเบสตัวแรกของมันนะ อื้อหือ...แพงลากเลือด แต่ผมจำที่มันบอกได้ว่ามันจะคืนค่าเบสผมร้อยเท่าตอนนี้ได้มาพันเท่าละ ตัดสินใจถูกจริงๆที่ให้มันยืมเงินซื้อเบส”
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะปากกว้างเมื่อร่ายยาวถึงลูกชายของตน การพูดครั้งนี้ของคนตรงหน้าดูผ่อนคลายลงมันก็เหมือนกับเขาที่เวลาเล่าเรื่องพี่ให้น้องเบสท์ฟัง แต่เขากลับรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ต่างออกไป บางอย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัส...บางทีอาจจะเป็นความเป็นพ่อที่ควรจะเป็นก็ได้
“แล้วคุณเห็นหน้ามันไหม...หล่อเหมือนผมตอนหนุ่มๆเลย เล่นดนตรีก็เก่ง พูดจาก็เพราะ สาวๆนี่ติดตรึมเห็นว่าจะได้ไปโกอินเตอร์ด้วยนะ ซินมันบอกว่าเซนต์สัญญาแล้วที่อเมริกาหรือที่ไหนเนี่ยแหละ มันเท่ห์เหมือนพ่อมันไม่มีผิด”
ผู้ชายคนนั้นวางปืนในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“เรื่องไอ้ซินคบกับหมอบีมนี่ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้ว ไอ้หมอมันห่ามแต่นิสัยดี...ก็เหมือนได้ลูกชายเพิ่มมาอีกคน”
เขานั่งนิ่งไปราวกับว่าทุกอย่างที่เล่ามามันไม่ใช่เรื่องจริง คนที่นี่รู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว...หรือจะเป็นเขาเองที่ทำทุกอย่างพลาดไป...นี่เขาทำพลาดไปกี่ครั้งแล้วนะ
“ขอโทษด้วยนะคะที่บีมชอบมารบกวน”
ภรรยาเขาเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับบีบมือเขาแน่น บางทีเธอคงเข้าใจทุกอย่างมากกว่าเขา อาจจะเป็นเพราะเธอรู้จักลูกจริงๆก็ได้ ไม่เหมือนเขาที่คิดว่าตนเองรู้แต่ไม่ได้รู้อะไรเลย...
“รบกวนอะไร นี่ผมขาดลูกมือช่วยเช็ดปืนไปเลย สองอันนี้ของหมอบีมนะ”
ชายตรงหน้าชี้มือไปที่ปืนไม้สีขาวและสีน้ำตาลอย่างละกระบอก ก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทางที่อ่อนลงไป
“แกว่าจะมาเอาแต่ยังไม่เห็นกลับมาซะที”
เสียงของชายคนตรงหน้าเศร้าสร้อยลงอย่างชัดเจน
“จะให้เอาไปทำอะไร”
เป็นเขาที่อดถามไม่ได้ ชายคนนั้นเบิกตานิดหน่อยแล้วค่อยๆบอกแต่ชัดเจนในน้ำเสียง
“ยิงหัวนัดเดียวกระจุยเลยคุณ”
ใครคนนั้นว่าพลางหัวเราะ ซึ่งเขาไม่ได้ตลกไปด้วย ผู้ชายคนตรงหน้ายิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทางสบาย
“ผมสะสมเพราะชอบแต่ให้ไปแล้วจะไปทำอะไรก็ช่างเขา หมอมันร่ำๆอยู่ว่าจะแอบเอาของผมไปขาย ขายหมดนี่ผมได้ตังค์ซื้อบ้านอีกยี่สิบหลัง”
ผู้ชายคนนั้นพูดถึงลูกชายเขาอย่างกับว่ารู้จักกันดี...น่าจะดีมากกว่าเขาด้วยซ้ำไป เขาเหลือบมองไปรอบๆห้องสีขาวโพลนเห็นใบประกาศการยิงปืนรวมถึงรูปถ่ายต่างๆถึงได้รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นตำรวจ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงพูดจาได้น่าเชื่อถือ ชักจูงและน่ากลัวไปในเวลาเดียวกัน
“คุณไม่ว่าอะไรเหรอคะ ถ้าพวกเขา”
พ่อของเด็กคนนั้นเอนตัวลงกับเบาะนุ่มพลางกวาดสายตามองของสะสมของตัวเองก่อนจะพูดบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวกับคำถามนักออกมา
“ผมเป็นตำรวจสายบู้ ผมเข้าใกล้ความตายบ่อย...แล้วผมก็ทำให้คนตายบ่อยด้วย”
ท้ายประโยคนั่นพ่อของนายซินยิ้มแห้งๆ ปล่อยให้ทุกอย่างนิ่งเงียบอยู่พักนึงแล้วถึงเริ่มพูดต่อ
“ทุกๆครั้งที่ผมเสี่ยงผมจะคิดถึงครอบครัวคิดถึงลูก และทุกๆครั้งผมจะเสียดายถ้าผมทำให้เขามีความสุขไม่ได้”
เสียงนั่นเงียบลงอีกครั้งราวกับเพียงเพื่อให้สองคนที่นั่งฟังอยู่ได้มีเวลาคิดตามบ้าง
“แค่มันมีความสุขผมก็ตายตาหลับแล้ว หมดห่วง...ชีวิตคนมันไม่ยาวนักหรอก แก่ๆอย่างผมอย่างคุณจะอยู่อีกกี่วันกัน ยังมาทำให้ลูกหลานปวดหัวอีก”
ท้ายประโยคนั่นกลั้วหัวเราะไปด้วย เขาพอจะนึกออกว่ารอยยิ้มจนตาปิดนี่เขาเคยเห็นที่ไหน จากเด็กคนนั้นและส่งมาถึงลูกชายเขา แม้ลูกจะไม่เคยยิ้มให้เขาก็ตามที
“แล้วไอ้หมอเป็นไงบ้าง ไม่โหมงานจนผอมแล้วเหรอลูกผมอุตส่าห์ขุนอยู่เป็นปี”
แต่บางทีก็น่าหมั่นไส้ที่คนๆนี้รู้ทุกอย่างราวกับเป็นผู้คุมเกมส์ แต่เขาไม่คิดจะเล่นเกมส์แบบนี้อีกแล้ว เขาสงสารตัวเอง สงสารลูก... เขาอยากจะมีความสุขบ้างก็เท่านั้นเอง
“ก็...ค่ะ”
ภรรยาเขาตอบกลับไปอย่างเสียไม่ได้ ในตอนเดียวกันพ่อของเด็กชายอีกคนก็เอ่ยทักคนที่พึ่งเดินเข้ามา
“อ้าวหมอ มานี่”
ลูกชายของเขาดูเหนื่อยแต่ก็ยิ้มให้ชายคนตรงหน้า และหันมาไหว้เขาซึ่งเขาไม่ได้ยกมือรับไหว้เหมือนทุกที ลูกชายคนนั้นนั่งลงที่ตรงข้ามเขาด้วยท่าทางเกร็งอย่างเห็นได้ชัด หรือจริงๆแล้วลูกชายเขาเป็นแบบนี้ทุกครั้งกันนะ
“หายไปนานเลยเอ็ง ลืมหน้าที่หรือไง”
ชายคนนั้นเอ่ยทักซึ่งหมอหัวเราะน้อยๆก่อนจะตอบ
“ผมอู้นิดหน่อยเอง”
ชายคนนั้นทำหน้าตาไม่ค่อยพอใจอยู่พักเดียวก่อนจะชี้มือไปที่ลูกชายคนเล็กของเขา
“นั่นแฝดเอ็งเหรอ”
หมอรีบปัดมือเป็นพัลวันก่อนจะตอบ
“น้องชายผม น้องเบสท์”
เขาสังเกตุมาหลายครั้งแล้วว่าเมื่อใดที่พี่น้องเขาคุยกันเขาจะเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าระยะเวลายี่สิบปีที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้พวกเขาห่างกันเลย จะมีแต่เขากับลูกชายคนโตที่ไม่สามารถเข้าหน้ากันได้เสียที เขารู้แล้วว่ามันคงเป็นเพราะตัวเขาเอง... เขาไม่ได้อยากจะทำพลาดอีกแล้ว
“พ่อว่าไอ้ซินน่าจะชอบแบบคนน้องมากกว่านะ”
หมอยู่หน้าเมื่อชายคนนั้นดูท่าจะชอบน้องชายตนมากกว่า แต่ก็ตบมุขไปตามเรื่องตามราว
“พ่อพูดแบบนี้เอาปืนมายิงผมเลยดีกว่า”
เขาพึ่งสังเกตุอีกคราว่าลูกชายคนโตเขาเป็นคนที่ร่าเริง...ยกเว้นแต่เมื่ออยู่กับเขา ลูกชายคนนั้นเรียกคนตรงหน้าว่าพ่อได้อย่างกับมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ลูกไม่เคยเรียกเขาแบบนั้น แต่จะว่าอะไรได้เขาเองก็ไม่เคยเรียกชื่อลูกเหมือนกัน...
ชายคนนั้นนั่งตัวตรงแล้วหันไปหาลูกชายคนโตของเขาแล้วพูดออกมาอย่างจริงจัง
“หมอ มีอะไรจะพูดไหม”
วันนี้ลูกชายเขามองเขาเต็มตาอีกครั้งโดยไม่ได้ร้องไห้
“ผมขอโทษครับ...”
น้ำเสียงนั่นชัดเจนกว่าวันนั้นเยอะ แต่เขาก็รู้ว่าความตั้งใจไม่ได้ต่างกัน
“แม่ก็ขอโทษนะ”
ภรรยาเขาเอ่ยออกไปในที่สุดทั้งๆที่เธอไม่ต้องพูดแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ เป็นเขาต่างหากที่ต้องพูดอะไรออกไปเสียที
“ฉันขอโทษ...”
น้องเบสท์ที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่ต้นคิดว่าความสัมพันธ์ของลูกชายกับพ่อคงต้องให้เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ และเวลาคือตัวช่วยเยียวยาต่อไป แต่คงจะไม่ยากเกินไปแล้ว...
*****************************
“มาทำไม”
นายซินถามคนที่เคาะประตูห้องตัวเองเป็นทำนองเพลงลอยกระทงในคืนวันที่มันพึ่งกลับจากต่างจังหวัด ตอนแรกมันกะว่าจะออกมาด่าเพราะคิดว่าเป็นเด็กเกรียนที่ไหนหลุดมา แต่ไอ้แว่นคนนี้ก็คงเกรียนไม่ต่างกัน
“มีเจ้าหญิงขี้แงอยู่แถวนี้เลยมาปลอบ”
ซินทำหน้านิ่งๆแล้วเดินนำเข้ามาในห้องแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไป เช่นเดียวกันกับไอ้เพี้ยนที่มองเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เทคตัวเขามากอดหมับ นายซินมองลูกพี่ของไอ้ฉลามกับไอ้ปลาที่ซุกหัวทุยๆของตัวเองเข้ากับไหล่ของมัน
“คิดถึง”
แว่นพูดอู้อี้อยู่กับคอของอีกคน ซินก้มลงว่าจะกดจมูกเข้ากับข้างแก้มของอีกคนแต่แล้วก็ไม่ได้ทำ ได้แต่ยืนนิ่งๆแล้วพูดบางอย่างออกไป
“ทิ้งผมแล้วไม่ใช่เหรอ”
พูดแค่นั้นอีกคนก็ผละออกทันที ซินเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของอีกคนอย่างชัดเจน ตากลมของหมอเริ่มแดงและมือคู่นั้นเริ่มกำเข้าหากัน...จนกลัวว่าถ้ากำเข้าไปแน่นกว่านั้นคงได้แผล
“ขอโทษ...”
ไอ้หมอก้มหน้าแล้วพูดออกมาเบาๆ มือเบสที่สกิลการแกล้งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวว่าจะแกล้งแว่นต่อไปอีกหน่อยแต่ก็ทำไม่ลง มันรีบคว้าตัวคนข้างหน้ามากอดไว้แน่นอย่างกับกำลังจะบอกว่าเป็นมันเองที่ คิดถึง มากกว่า
“ผมทำอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะ”
ในที่สุดพ่อคนหล่อก็เลิกแกล้งเขาเสียที แว่นส่ายหน้าไปมาแต่ยังไม่ยอมเอาหน้าออกจากซอกคอชาวบ้านชาวช่อง มันยิ้มให้ตัวเองสักพักก่อนจะตอบออกไป
“แซนวิชอร่อยดีนะ”
ความจริงไม่ใช่แค่แซนวิชหรอก ตลอดเดือนที่พวกมันห่างกันไปคุณเจ้าหญิงเล่นโทรสั่งอาหารเช้า กลางวัน เย็นให้ไปส่งที่โรงพยาบาลทุกวัน เริ่มตั้งแต่แซนวิชยันหูฉลามเดลิเวอรี แรกๆแว่นก็งงคิดว่าไอ้เพื่อนโจ้เลี้ยงแก้อกหักแต่มานึกขึ้นได้ว่าไม่มีทาง...ไอ้โจ้มันงกจะตาย
“แล้วทำไมถึงก้างอีกแล้วเนี่ย”
นายซินไล้มือไปตามแผ่นหลังของหมอบ้า แว่นดึงตัวออกเล็กน้อยแต่มือเบสก็กอดเข้ามาใหม่
“เอ้มันแย่งกิน”
แว่นโทษเพื่อนทั้งๆที่ความจริงแล้วตัวเองเครียดจนกินไม่ลงต่างหาก
“แล้วกล้ามคุณเจ้าหญิงหายไปไหนแล้ว”
“บีมหัวเหม็น”
“ไปทัวร์มาเหนื่อยไหม”
“แล้วคุณเจ้าชายสอบเป็นไงบ้าง”
“ไอ้ซิน อย่าเลื้อย!”
พวกมันคุยกันสะเปะสะปะไปคนละทิศละทาง แต่ก็แปลกที่ทั้งหมดนั่นสามารถเข้าใจกันได้เอง มีอะไรมากมายที่พวกมันทั้งคู่จะพูดกันเช่น คิดจะไปจากกันจริงๆเหรอ? หรืออะไรทำนองนั้นแต่กลับไม่พูดออกไป เพราะต่างคนต่างก็รู้ว่าไม่มีทาง...ไม่รู้ว่าคนทั้งคู่ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน อาจจะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างเชื่อใจมากก็ได้ ตอนนี้พวกมันจึงทำเพียงยืนกอดกันแน่นๆอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งนายซินมือปลาหมึกกอดอีกคนหนุบหนับแล้วก็ถามไปด้วย
“จบแล้วสินะ”
“อือ”
แว่นตอบเป็นเวลาเดียวกับที่ใครอีกคนวางมือไว้บนเอวแค่หลวมๆ หมอมองหน้าคนข้างหน้าอย่างกับว่าไม่ได้เห็นมานานแต่ก็ทำได้ไม่เท่าไหร่มันก็เขินจนต้องก้มหน้าลงไปชิดอกตัวเองอยู่ดี
“ผมขอทวงสัญญานะ”
ไอ้หมอนึกอยู่สักพักว่าสัญญาอะไร แต่ก็ไม่ทันเวลาเพราะอีกคนยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วก็ฉวยแว่นของมันออกไปเสียแล้ว
“เฮ้ยยยยยย”
มันร้องได้แค่นั้นริมฝีปากบางก็จรดลงมาที่ตรงจมูกของมันก่อนจะทาบลงที่ปาก หมอเขินจนตัวจะสุกแต่ก็ปล่อยให้อีกคนทำตามใจ เขาว่ากันว่าจูบที่สุดยอดต้องหลับตาแต่แว่นขอเถียง!!! มาลองลืมตามองไอ้หล่อจูบนี่ก็ทำเอาแทบจะตายเหมือนกัน ยิ่งคนข้างหน้าลืมตาเอาตาคมๆมาสบตาด้วยแว่นแทบจะละลายติดกับอกมัน
“อื้อ..”
หมอบ้าดันอีกคนออก นายซินก็ผละออกไปง่ายๆ แต่แค่ครู่เดียวก็ยื่นหน้าเข้ามาใหม่ ซินอ้าปากงับริมฝีปากล่างของแว่นก่อนจะดูดแรงๆแก้หมั่นเขี้ยวแล้วค่อยประกบปากลงไปใหม่ แต่แค่ไม่นานก็ต้องจำใจผละออกเมื่ออีกคนเริ่มประเคนกำปั้นให้ มันมองหน้าไอ้เพี้ยนที่บัดนี้ไร้ทางสู้อย่างสิ้นเชิง แว่นหอบอย่างกับคนวิ่งหลายร้อยเมตร ใบหน้าที่เคยขาวซีดซับสีเลือดโดยเฉพาะริมฝีปากที่แดงจัด...มันน่างับอีกทีจริงๆ แต่แค่โน้มหน้าเข้าไปอีกรอบไอ้หล่อก็โดนฝ่ามือแปะเข้าที่แก้มทั้งสองข้าง
“ใจเย็นสิวะ”
ซินว่ามันก็ไม่ได้ใจร้อนนะ แค่รู้สึกว่ามันลนลานกว่าปกตินิดเดียวเอง แต่เป็นนิดเดียวที่ไอ้หมอแทบจะตาย...เวลาเห็นคนนิ่งๆหลุดนี่มันทำร้ายหัวใจจริงๆ เมื่อไม่ให้จูบซินมันก็จัดการฟัดแก้ม ใบหู ซอกคอขาวๆจนอีกคนละลายติดไปกับเตียงเรียบร้อย มือเบสหัวเราะเมื่อเห็นอีกคนแยกเขี้ยวให้ ก่อนจะดึงแว่นที่ตัวอ่อนเหมือนโดนขี้ผึ้งลนขึ้นมาจากเตียงแล้วจัดแจงให้อีกคนนั่งลงบนตักหันหน้าเข้าหาตัวเองโดยที่ตัวมันเองนั่งพิงหัวเตียงท่าทางสบาย
“ตลอดเดือนกูคิดมาตลอดเลยนะว่ากูเป็นเกย์จริงไหม”
ไอ้คำถามเกย์ไม่เกย์วนมาเป็นรอบที่ร้อย นายซินหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นอีกคนดูเก้กังราวกับไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหน มันเลยจับฝ่ามือสองข้างมาจูบหนักๆแล้ววางไว้ที่ไหล่ตัวเอง แว่นมองการกระทำทั้งหมดของคนข้างหน้าก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง
“กูเป็นเพราะมึงนี่แหละ”
ริมฝีปากบางนั่นผุดยิ้มขึ้นราวกับกำลังพอใจ หมอเสหน้าออกไปข้างๆเมื่ออีกคนยื่นหน้าเข้ามาหาเลยกลายเป็นว่ามือเบสต้องซุกลงที่ซอกคอของมันแทนพร้อมกับเริ่มไล้มือเข้าไปในเสื้อเชิ้ตที่แว่นใส่ทำงานทั้งวัน ไม่นานนักเสื้อตัวนั้นก็ลงไปนอนกองที่พื้น ผิวของแว่นขาวจนเวลาขบกัดหรือเผลอใช้มือขยำจะขึ้นรอยสีแดงๆเต็มไปหมด นายซินที่แพ้ผู้ชายลักษณะนี้ถึงกับหื่นขึ้นตา หลังจากกัดคนอื่นไปทั้งตัวแล้วพ่อคนหล่อวนขึ้นมาจูบอีกรอบก่อนจะถอดเสื้อยืดตัวใหญ่ของตัวเองออก
“ซิน เดี๋ยวพ่อแม่...”
ไอ้หล่อที่หื่นมากในตอนนี้กอดอีกคนที่เปลือยท่อนบนเหมือนกันเข้าหาตัวแน่นก่อนจะจูบเล็มที่สันกรามของแว่นพร้อมกับตอบไปด้วย
“ห้องผมมันห้องเก็บเสียง”
อันข้อนั้นไอ้หมอมันรู้อยู่แล้วแต่ก็...
“ซิน เดี๋ยว...”
คนที่โดนเดี๋ยวเป็นรอบที่สองใช้ตาเรียวๆมองไอ้หมอที่บัดนี้โดนลวนลามจนแดงไปทั้งตัวก่อนจะพูด
“สงสารผมบ้างนะครับ”
แว่นมองใบหน้าคมๆที่ชื้นผุดพรายอยู่เต็มพื้นที่ ริมฝีปากบางสีแดงจัดขบเม้ม ดวงตาคมนั่นจับจ้องใบหน้าของแว่นอยู่ไม่วางตา...เพียงแค่นั้นแว่นก็ยอมให้เขาลวนลามต่อ มือใหญ่ของนายซินจับอยู่ตรงสะโพกของหมอก่อนจะค่อยๆไล้มาข้างหน้าเพื่อปลดตะขอกางเกงสแล็คของอีกคนออก แว่นผู้ปกติหน้าด้านแต่ตอนแบบนี้หน้าบางเกินไปหลับตาปี๋ซุกหน้าเข้ากับไหล่อีกคนแทน
“บีมครับ...”
อีกคนเรียกแล้วจูบอีกครั้ง...และอีกครั้ง ราวกับกำลังสูบวิญญาณอีกคนก็ไม่ปาน นายซินลำบากเล็กน้อยที่ต้องถอดกางเกงอีกคนที่นั่งทับอยู่บนตักจึงทำแค่เพียงรูดซิปนั่นลง คุณมือเบสไล้มือมาตั้งแต่ริมฝีปากของอีกคนจนมาถึงยอดอกสีสดลามไปถึงชั้นในสีขาวที่บัดนี้ชุ่มจนเป็นวงกว้าง เพียงซินล้วงมือเข้าไปในนั้นอีกคนก็สะดุ้งเฮือก แว่นเหลือบมองอีกคนหวาดๆ ใครคนนั้นจับมือมันไปวางที่บางอย่างที่พองจนดันกางเกงผ้าบางออกมา
“นะครับ...”
หมอบ้าไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ไล้มือเขาไปในนั้นแล้วจัดการใช้อีกมือดึงกางเกงที่เกะกะของอีกคนลง
ในมวลอากาศที่เย็นจัดเพราะเครื่องปรับอากาศ หมอกลับรู้สึกว่าริมฝีปากที่เกี่ยวกระหวัดกันอยู่และฝ่ามือของคนทั้งสองที่รูดรั้งความปรารถนาให้กันกลับร้อนระอุจนเหงื่อซึมออกมาราวกับอาบน้ำ ไม่นานนักอีกคนก็ถอนใบหน้าออก นัยตาเรียวที่วาววับจ้องมาที่ตัวหมอราวกับว่าเป็นของกิน... นายซินซุกหน้าลงบนคอของแว่น ปลายจมูกโด่งคลอเคลียอยู่กับซอกคอพร้อมกับส่งเสียงครางต่ำๆไม่นานนักฟันขาวก็กัดลงที่ตรงซอกคอตรงนั้นแรงๆก่อนที่ร่างกายจะกระตุกพร้อมกัน หมอที่กำลังหายใจหอบรัวซบหน้าลงบนไหล่ของอีกคนเช่นกัน ในเวลาแค่ชั่วครู่นายซินดันตัวหมอลงพร้อมถอดกางเกงตัวตัวมันและอีกคนให้เป็นชีเปลือยแล้วแทรกตัวเองลงมา ก่อนที่อีกคนจะพูดอะไรคนที่อยู่ข้างบนเอื้อมมือไปหยิบของจากโต๊ะข้างเตียง เจลสีใสที่หมอรู้ดีว่าคืออะไรถูกเทลงบนปลายนิ้วของอีกคนจนกระทั่งปลายนิ้วเข็งแร็งนั่น...
“ซิน...เจ็บ”
หมอผู้ซ่อนใบหน้าตัวเองไว้ใต้ฝ่ามือสองข้างประท้วงออกมา นายซินก้มลงไปจูบเบาๆที่หลังมือของอีกคน จนในที่สุดใครคนนั้นยอมเปิดหน้าให้เห็นแต่ก็ยังหลับตาปี๋ มือเบสหัวเราะในลำคออย่างถูกใจก่อนจะก้มลงไปจูบเปลือกตาสองข้างนั่นเบาๆ
“บีมมองผมนะ...”
ใครคนนั้นใช้ตาที่แดงก่ำมองเข้ามาในตาของมัน
“อย่าเกร็งนะครับ มันไม่เจ็บหรอก...เชื่อผมนะ”
แว่นมองตาเรียวของอีกคนนิ่งอย่างกับว่าแค่คำพูดนั่นจะช่วยให้หายเจ็บจริงๆ พร้อมกันนั้นนิ้วมือของอีกคนก็สอดแทรกเข้ามาอีกครั้ง...และอีกครั้งซ้ำๆ ความเย็นจากเจลสีใสทำเอาหมอผวาอยู่สองถึงสามรอบ ซึ่งเมื่อมองจากหน้าตาพึงพอใจและรอยยิ้มมุมปากของอีกคนแล้วหมอก็พอรู้ว่าความรู้สึกแปลกๆในร่างกายที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่แค่ความเย็นจากเจลเสียแล้ว...
ในหระว่างที่ริมฝีปากอิ่มของของหมอถูกนายซินขบและแลบเลียอยู่ซ้ำๆ เรียวขาของคนที่อยู่ด้านล่างก็ถูกแยกออกให้กว้างกว่าเดิม นายซินค่อยๆกดบางสิ่งลงในตัวของอีกคน มันกดเสียงครางต่ำไว้ในลำคอเมื่อการสอดแทรกไปถึงสุดทาง ซินไม่รู้ว่าเล็บของอีกคนที่จิกบนบ่าเจ็บแค่ไหน ไม่ได้รู้ว่าตัวเองทำหน้าตายังไงออกไปในตอนนี้ มันรู้แต่เพียงว่าสัญชาตญาณของมันในยามนี้...อยาก...จนน่ากลัว
หมอผู้หายใจได้ไม่ทั่วท้องนักเมื่อรับบางสิ่งในตัว...มันคับแน่นและจุกเสียดในเวลาเดียวกัน แว่นค่อยๆกวาดมองใบหน้าอีกคนที่หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น เพียงไม่นานหมอก็ต้องเบือนหน้าหลบตาเมื่อใครคนนั้นเริ่มขยับตัวจากเชื่องช้าจนค่อยๆเร็วขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเหงื่อจากร่างกายคนข้างบนหยดลงบนร่างกายมันหยดแล้วหยดเล่า แขนข้างที่มีรอยสักอยู่เต็มลูบหน้าผากมันเบาๆก่อนที่เจ้าของแขนข้างนั้นจะก้มลงมาใช้ลิ้นแลบเลียยอดอกสองข้างของมัน หมอหลุดเสียงครางอย่างช่วยไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะมันไม่เคยสังเกตุหรือไม่รอยสักตรงหลังใบหูนั่นอีกคนคงพึ่งไปสักมา มันจึงเผลอใช้มือลูบรอยนั้นอยู่ซ้ำๆรอยสักที่เป็นชื่อจริงของมันเอง... บีมพอเข้าใจเอ้ขึ้นมานิดหน่อยว่าทำไมผู้ชายลุคแบดกายส์ถึงทำร้ายใจได้มากมายนัก...
“ไอ้บ้า...”
แว่นโพล่งออกมาไม่เต็มเสียงเพราะมัวแต่หลุดเสียงน่าอายออกมา ใครคนนั้นหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะสบตามันนิ่ง...แล้วก็ทำแค่ยิ้มกว้างให้ ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาจูบพร้อมกับแรงขยับที่มากขึ้น หมอบิดกายและพยายามผลักอีกคนนออกเมื่อแรงอารมณ์ของตัวเองกำลังใกล้ถึงจุดสิ้นสุด แต่ไอ้หล่อกลับตรึงมือของหมอไว้ด้วยมือของตัวเองแล้วขยับตัวเองให้เร็วขึ้นอีกจนร่างของอีกคนกระตุกหลายๆครั้งเป็นเวลาเดียวกับที่นายซินก้มลงกัดที่แผลเก่าของอีกคนพร้อมกับปลดปล่อยอารมณ์ความต้องการของตัวเองลงไปในร่างของคนด้านล่างโดยไม่ยอมปล่อยมือของอีกคนออกมาด้วยซ้ำ... แว่นผู้หายใจไม่ทันนอนหอบให้อีกคนนอนทับอยู่นิ่งๆจนเมื่อสติกลับมาสมบูรณ์แล้วถึงรู้สึกเจ็บที่คอของตนเอง แว่นตวัดตามองไอ้หมาบ้าหน้าหล่อที่ยิ้มจนตาหยีอยู่ตรงหน้า แต่กลับเหมือนมันไม่รู้จักไอ้หื่นขี้แกล้งคนนี้แม้แต่น้อย
“นี่ใครวะ คายไอ้ซินออกมานะเว้ย”
แว่นจับไหล่ไอ้คนข้างหน้าเขย่าแก้เจ็บและแก้เขิน บอกไว้เลยว่าเมื่อกี้ที่โดนกัด...มันโกรธไม่ลงแม้แต่น้อย มันแพ้ไอ้ซินจริงๆให้ตายเถอะ! เพราะนายซินคงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยเลยจับอีกคนฟัดทั้งตัวอีกรอบ? แว่นเลยทั้งเตะทั้งถีบแบบไม่ค่อยมีแรงดูวุ่นวายไปหมด
“ฮ่าๆ”
นายซินหัวเราะร่าเมื่อจับแว่นให้อยู่นิ่งๆได้ ใช้กำลังกับไอ้หมอเพี้ยนไร้ทางสู้นี่ความถนัดพิเศษของไอ้หล่อเลยทีเดียว
“มองทำไม”
แว่นถามเมื่ออีกคนเอาแต่มองมันไม่วางตา รวมถึงมองรอยกัดที่เริ่มแดงบนซอกคอด้วย
“รู้ไหม ผมมีความสุขจนจะตายอยู่แล้ว”
หมอแยกเขี้ยวให้ทั้งที่หน้าแดงก่อนจะพูดบ้าง
“วันนี้มึงเป็นอะไรวะ ดูแปลกๆ”
แว่นจะบอกว่าหื่นแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ส่วนนายซินก็ตอบแบบหน้ามึนๆเช่นเดิม
“ทดเวลาที่หายไปไง”
พอว่าเสร็จก็กดจูบลงกับซอกคอของหมอที่ตัวเองกัดไว้พร้อมกับใช้ลิ้นร้อนๆแลบเลียไปด้วย หมออ้าปากค้างกว้างอย่างนึกเหตุผลจะด่าไม่ออก ก่อนอีกคนจะรวบตัวเข้าไปกอดทั้งตัว
“บีมเป็นโรคหัวใจเหรอ”
ไอ้หล่อแซวเมื่อเสียงหัวใจอีกคนดังจนกลับเสียงเครื่องปรับอากาศในห้อง โดยไม่ได้สำนึกว่าเป็นเพราะมันตัวเอง
“กูจะหัวใจวายตายแล้ว เต้นจังไอ้หัวใจเหี้ยนี่...”
ว่าแล้วพี่แกก็ซุกลงไปตรงอกชาวบ้านชาวช่องแล้วไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย แต่ก็พาลส่งเสียงออกมาอีกเมื่ออีกคนยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดหัวเราะ
“มึงก็หยุดขำสักที”
นายซินพยายามแล้วนะแต่มันทำไม่ได้ ก็หมอมันจี้เองนี่หว่า
____________________________________________________________________
TBC.