(ต่อ)
"เมี้ยวววววววว"
เสียงของสัตว์เลี้ยงและน้ำหนักที่ถาโถมบนตัวทำให้เขาลืมตาตื่นภายใต้ความมืดในค่ำคืน แพขนตาที่เปียกทำให้เขาลูบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ...เขาร้องไห้ แม้แต่ความฝันคนๆนั้นก็มีอิทธิพลกับใจเขาเหลือเกิน
"ฉลาม....เอ็งมานั่งทับตาทำไม ตัวอย่างกับวัว"
เขาว่าเจ้าเหมียวที่นั่งทับอยู่กลางลำตัว ฉลามเป็นลูกของไอ้ปลาลูกสาวของเขาเอง ปลาเสียไปเมื่อปีก่อน...และคนๆนั้นไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาในเวลาแสนเศร้า...เขาไม่กล้าพอที่จะบอกเพราะคนที่รักคนนั้นกำลังวุ่นวายกับการทำอัลบั้ม ไม่อยากรบกวน เป็นอีกเหตุผลที่เขาใช้ทำร้ายตัวเอง
"อาบีมคะ"
"อาบีมไม่อยู่หรอก"
"อยู่สิ เค้าเห็นรถ"
เขาเดินมาเปิดประตูให้เด็กชายและหญิงคู่หนึ่ง ทั้งคู่เป็นลูกของพี่ชายคนๆนั้น
"ว้ายยยย"
เด็กสาวตะโกนอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใครมาเปิดประตู
"อาบีมทำไมไม่เปิดไฟ ตกใจหมดเลย"
เด็กสาวเบ้หน้า...เขาลูบหัวเธอแผ่วเบา
"ขอโทษครับ อาหลับครับ"
"อาซินบอกว่าถ้านอนตอนค่ำจะทำให้ปวดหัว"
เขายิ้มให้กับเด็กชายผู้พูด.....คนๆนั้นเป็นฮีโร่ของเด็กทั้งสอง แม้จะย่างก้าวไปที่แห่งใดหรือทำสิ่งใด...คนผู้นั้นก็อยู่ในใจเขา
"คุณปู่กับคุณย่าให้มาเรียกไปทานข้าวค่ะ"
เขายิ้มและขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินตามเด็กทั้งสองไปอีกที่ ที่อยู่ไม่ไกลนักเพราะคนๆนั้นให้เหตุผลว่า
'ผมอยากอยู่กับคนที่รักทั้งคู่'
****************************************
"ช่วงนี้เป็นไงบ้างลูก"
ผู้เป็นแม่เอ่ยถามพลางจัดจาน ซึ่งเธอปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาเพราะเธอบอกว่าอยากให้เขานั่งทานอย่างอร่อยเพียงอย่างเดียว
"งานวิจัยเสร็จแล้วครับ ช่วงนี้คงรับบรรยายไปเรื่อยๆ รอเสนองานต้นปีหน้า"
เขาตอบเธอที่ยิ้มให้อย่างใจดี...เธอทำให้เขานึกถึงแม่ที่อยู่ชานเมือง ที่บ่นว่าอยากจะมาร่วมวงสนทนากับเธอคนนี้แม้ทั้งคู่จะพบปะกันเกือบทุกอาทิตย์อยู่แล้วก็ตาม
"เออ....เอ็งก็ให้ว่างบ้าง พ่อเห็นทำงานแล้วปวดหัวแทน"
ชายผู้ที่เป็นนายตำรวจเก่าพูดบ้าง ชายผู้นั่นตบที่เก้าอี้ตัวข้างๆเพื่อให้เขานั่งลงตรงนั้น...ที่ๆใครบางคนเคยนั่ง...
“ของโปรดทั้งนั้นเลยนะลูก แมเตรียมไว้ให้”
เขากล่าวขอบคุณ ก่อนจะหันไปโค้งให้ผู้มาใหม่
"ไอ้ซินเป็นไงบ้าง"
ผู้ที่มีใบหน้าคล้ายกับคนๆนั้น เอ่ยถาม
"ไวท์!"
คู่ชิวิตของเจ้าของชื่อเอ่ยปราม เขายิ้มและบอกเธอว่าไม่เป็นไร
"ยุ่งกับการเล่นคอนเสิร์ตครับ"
เขาตอบและยิ้มให้ทุกคนที่นั่งอยู่
“ตอนหนูไปหา...หนูเห็นอาบีมตาแดง”
สาวน้อยที่พอเข้าใจอะไรบางอย่างเอ่ยบางอย่างออกมาอย่างเถรตรง ผู้คนที่นี่เป็นแบบนี้เสมอ
"บีม...ห้าปีแล้วนะ แม่ว่าลูกควรจะให้โอกาสตัวเองบ้างนะ หนูไม่ต้องมารอซินแบบนี้ก็ได้"
สองปีที่พวกเขาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆด้วยกันตอนที่บีมยังใช้ทุนอยู่ในเมืองไทย...ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก่อนที่ความฝันของทั้งคู่จะพรากพวกเขาออกจากกัน...เขาเลือกที่จะรับทุนเรียนต่อเพื่อทำงานวิจัยให้องค์กรช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของโลกในอเมริกา ในเวลาเดียวกันกับที่อีกคนที่ตามฝันโดยการเซนสัญญาการเป็นศิลปินให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกา พวกเขาเทียวไปเทียวมาหากันในระยะเวลาเกือบสามปีที่อยู่ภายในอเมริกา...แต่เพียงเมื่อเขาเรียนจบเขากลับมาอยู่ในโลกเต็มไปด้วยความทรงจำ แต่อีกคนกำลังโลดเล่นอยู่ในอีกโลก...โลกแห่งแสงสี นั่นเป็นโลกเขานึกภาพไม่ออก และไม่รู้ว่าโลกของใครคนนั้นจะยังมีเขาในความทรงจำบ้างไหม
"อือ...คุณครูบอกว่าเราต้องให้โอกาสตัวเองนะอา"
เด็กสาวเอ่ยต่อท่ามกลางความเงียบงัน ทุกคนที่นี้รู้ทุกอย่างดี...ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์อันห่างเหิน รู้ถึงชื่อเสียงอันเป็นที่มาสู่ข่าวลือมากมายของอีกคน
"บ๊ะ...มาพูดแบบนี้ได้ไง ขืนพวกเอ็งเลิกกันพ่อจะตัดพ่อตัดลูกมันทั้งคู่"
หรือรู้แม้กระทั่งความรู้สึก....ว่าเขาผูกพันธุ์กับที่แห่งนี้และผู้คนที่นี้เสียจนไม่อยากไปไหน
"ที่เรียกมาวันนี้ไม่ใช่แค่กินข้าวหรอก ปู่มีของขวัญหลังเกษียนให้ทุกคน"
ชายผู้ที่อาวุโสที่สุดเอ่ยต่อ ชายผู้นั้นยื่นซองสีขาวให้และบอกให้เขารีบเปิด พลางพ่นพึมพำว่าเดี๋ยวไม่ทันการ เขาไหว้ขอบคุณแล้วเปิดมัน มันเป็นตั๋วเครื่องบินพร้อมใบจองโรงแรม เพื่อไปพบอีกคนที่โลกอีกใบ เขานั่งนิ่งงัน บางทีเขาควรจะให้โอกาสตนเองเรียกคืนหัวใจสักครึ่งของตนเองคืนมาบ้าง หัวใจที่ใครบางคนเอาไปทั้งหมด เขาจะไม่เพียงขอมันกลับมาแต่จะขอของอีกคนกลับมาอีกครึ่ง...ให้ความรักมันเต็มเหมือนเดิมเสียที
แต่บางทีเขาคนนั้นอาจจะไม่เหลือหัวใจให้เขาแม้เพียงเสี้ยวให้เขาแล้วก็ได้ หรือแม้แต่หัวใจทั้งดวงของเขาเอง...อีกคนอาจจะทิ้งไว้ที่ไหนสักที่ก็เป็นได้ คนๆนั้นไม่ได้ผิด เขาก็ไม่ได้ผิด ระยะห่างต่างหากที่ผิด ความจริงที่แสนโหดร้ายคือพวกเขาไม่น่าจะดื้อดึงกันตั้งแต่แรกแล้ว...ภาพที่เขาเห็นที่หน้าโรงแรมไม่ใช่มุมกล้อง ข่าวลือหรืออะไรทั้งสิ้น เขาเห็นด้วยตา คนนั้นกำลังยืนให้สาวที่เคยเห็นในข่าวกอด คนที่เคยเกลียดการสัมผัส...เป็นคนๆเดียวที่เคยพูดว่ายกอ้อมกอดให้เขาคนเดียว ซินเดอเรลาของเขาคนนั้นเอง
********************
ซินเห็นใครบางคนที่หน้าโรงแรม คนๆนั้นดูคุ้นตา ลักษณะเหมือนใครบางคนที่เขารัก เพียงแต่ใครคนนั้นท่าทางกระฉับกระเฉงมากกว่านี้ ผิวที่ขาวไม่ได้ซีดเผือดขนาดนี้ แต่แววตาที่ปราศจากแว่นช่างเหมือนกันเหลือเกิน แต่เขาคิดว่าบางทีเขาคงเหนื่อยเกินไปเหมือนทุกที
ในค่ำคืนแห่งความหนาวเย็นยามใกล้สิ้นปี เขาเอนกายอยู่บนนกยักษ์ลำใหญ่ที่มุ่งหน้าสู่เมืองต่อไปที่อยู่ในลิสต์ทัวร์คอนเสิร์ต ที่นั่นมีผู้คนจำนวนหลายพันที่ตั้งตาคอยวันนี้ แต่เขากลับคิดถึงแค่อีกคนที่ตั้งตาคอยเขาอย่างไม่รู้ว่าวันไหนจะได้พบกันอีก
คนๆนั้นรับโทรศัพท์หรือวีดีโอคอลได้แปลกอย่างประหลาดเสมอ
‘รองเท้าหายหรือคิดถึงผมครับคุณซินเดอเรลา ถึงโทรมา’
ทุกๆครั้งเขาจะหัวเราะและตอบว่า
‘ซินคิดถึงปลา’
‘ปลาที่ไหน ที่นี่มีแค่แมว เป็นเด็กเป็นเล็กหัดมีกิ๊กเหรอ ห๊ะ!!!’
คนๆนั้นมักจะโมโหได้น่ารักเสมอ แม้เพียงได้ยินเสียงเขาก็นึกแววตาและท่าทางออก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่บทสนทนามันเหลือเพียงแค่คำทักทาย และรอยยิ้มที่เหน็ดเหนื่อยของอีกคน ดังเช่นครั้งนั้น
‘ครับ’
เสียงปลายสายฟังดูงัวเงีย เขาลืมไปครั้งว่าที่ๆใครคนนั้นอยู่ไม่ใช่ตอนบ่ายสองเช่นเขา เพียงแต่การไม่ได้ติดต่อกันเกือบเดือนทำให้เขารู้สึกคิดถึงแทบบ้าหรือบางทีอาจจะรู้สึกผิดอย่างร้ายแรง เขารู้ดีว่าระยะเวลาในการเดินสายโปรโมทอัลบั้มมีเพียงแค่ฝ่ายเขาเท่านั้นที่สามารถติดต่อกลับไปได้ ใครบางคนไม่สามารถต่อสายข้ามประเทศโดยที่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนในโลกหรือกำลังทำอะไรอยู่ได้แน่ เพียงแต่เขายุ่ง...หรือแค่บางทีอาจจะยังพยายามไม่พอ
‘ซินนะครับ’
เขาเอ่ยทักทายพลางทิ้งตัวลงบนโซฟาในสถานีวิทยุแห่งหนึ่งในยุโรปเหนือ เสียงจอแจของผู้คนรอบข้างทำให้อีกคนเอ่ยถาม
‘ครับ เหนื่อยไหม ตอนนี้คุยได้เหรอ’
เขาเกลียดบทสนทนาแบบนี้ พอๆกับเกลียดที่ตัวเองไม่อยากได้ยินเสียงไร้ชีวิตชีวาของอีกคนที่อยู่คนละฟากฟ้า อาจจะเป็นอีกเหตุผล...หรือข้ออ้างก็ได้ มันเหมือนคนที่เขารักกำลังเหนื่อย แต่ยอมฝืนตัวเองเพื่อไม่ให้เขาคิดมากและมุ่งหน้าทำตามความฝันต่อไป...ความฝันที่คนๆนั้นไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วย
ตอนที่บีมไปเรียนต่อ เขาก็เลือกที่จะเซนสัญญาผูกมัดตัวเองอย่างทะนงตนว่าพวกเขากำลังมุ่งสู่ความสำเร็จของชีวิตเหมือนกัน ใครคนนั้นโทรมาหาเขาที่บ้านพักทุกเช้า เหมือนกับที่เขาใช้วีดีโอคอลติดต่อกลับไปทุกคืน แม้จะคิดถึง เขาก็สามารถบินไปหาได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่เมื่อใครคนนั้นต้องกลับไปทำงานที่บ้านเกิดเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คำว่าชื่อเสียงย่างกรายเข้ามาเยือน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
‘กำลังรอสัมภาษณ์’
เพียงพูดได้แค่นั้นเสียงของทีมงานก็ส่งเสียงเรียกให้เข้าไปทำงานต่อ เขาบีบโทรศัพท์เครื่องบางแน่นและหลับตาพร้อมกับค่อยๆผ่อนลมหายใจก่อนจะทิ้งเวลาให้เงียบงันยาวนานอย่างไร้คำพูดปลอบประโลม แต่มีบางคำที่ใครคนนั้นเอ่ยออกมา เสียงนั้นแหบและแผ่วเบา เขาไม่ได้โง่…คนๆนั้นกำลังสะอื้น...แม้แต่ร้องไห้ก็ยังต้องอดทน เพียงเพราะเพื่อเขาเท่านั้น
‘ซิน...ฝันดีนะ’
คำอวยพรเช่นนั้น...คงใช้ไม่ได้กับคนเช่นเขาเพราะตั้งแต่นั้นมาเขาไม่เคยหลับตาลงแล้วฝันดีแม้เพียงครั้งเดียว...
________________________________________________________________________________
ต่อหน้า 16