(3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (3 เรื่องจบ) อสรพิษที่รัก ,เธอที่รัก ,พลังอธิษฐาน  (อ่าน 62989 ครั้ง)

ออฟไลน์ cakecoke

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
 :hao7:

 ชอบน้อง เรื่องที่ 2 มากกกกก

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
แนะนำว่าเรื่องละกระทู้เถอะครับ คนอ่านใหม่ๆมันสับสน :mew5:

ออฟไลน์ Maytbb

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ตอนนี้อ่านงูเจ้าอยู่
หนูมุกหน้ากลัว มะโรงน้องน่ารัก
เดี่ยวตามอ่านเรื่องต่อไป

สลับกันซะงั้น ฮ่าๆๆๆๆ สนุกน่ะ

ออฟไลน์ ngam221038

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รู้สึกเบลอๆยังไงไม่รู้   :z3: :z3::mew5: :serius2:ลงคนละกระทู้เถอะค่ะ :call:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6

ออฟไลน์ heroza

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 307
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
งูเจ้าสุดหล่อจะทำหน้าที่ว่าที่สามีได้ดีหรือเปล่านะ~ เรียนรู้งานบ้านๆใว้เยอะๆน่ะดีแล้วเพราะค่าตอบแทนน่าสุขใจสุดๆ  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
สนุกดีค่ะ โดยเฉพาะเรื่องคุณงู  :-[

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
หนูมุกหาเขยเป็นงูเจ้าเข้าบ้านด้วยนะเนี่ยเยี่ยมมาก 555

ปล.หัวกระทู้อัพเดทเฉพาะเมื่อลงตอนใหม่ บอกแค่ตอนที่ลงและวันที่ก็พอค่ะ
และอย่างที่ คห. บน ๆ บอกคือ คนละเรื่องก็ลงคนละกระทู้เลยค่ะ คนอ่านงงค่ะเพราะมันไม่ต่อเนื่องกัน

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
ถ้าไม่ได้ลองเข้ามาไม่รุ้ว่าเลยว่าเรื่องอสรพิษอยู่ในทู้เดียวกับอีกเรื่อง --!

แต่หนูมุกโหดไปกลบรัศมีพระเอกอย่างมะโรงน้อยหมด
งูจงอางที่ว่าดูน่ากลัว เจอคนบ้านทั้งสาม ชูคอขู่ใครไม่ได้เลย
รอดูมะโรงน้อยออกตัวเป้นพระเอกบ้าง ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษ 4
«ตอบ #70 เมื่อ29-12-2013 19:52:16 »

มีปัญหาด้านเวลาพอสมควร  ยังไงจะไล่ลงให้หมดทั้ง 3 เรื่องตอนนี้เลยค่ะ
ไม่ค่อยได้ว่างเข้ามาเท่าไหร่  ตอนหลังจากนี้ไปเป็นต้นฉบับไม่ได้ดูอะไรเพิ่มนะคะ
เรื่องอาจจะกระโดดจากตัวหลักไปตลอด  แต่ว่าอาจจะเป็นนิสัยตัวเอง 555555
พอลงจบอสรพิษ  จะลงต่ออีก 2 เรื่อง  ไม่แยกกระทู้ค่ะ เพราะตอนแรกจะลงเรื่องเดียวพอ


อสรพิษที่รัก 4


   
“ผักพวกนี้มันกินได้ที่ไหนล่ะหนูมุก!...”  เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นในบ้านหลังเล็ก  ย่านชานเมืองโซนเกษตรธารา  จังหวัดที่เก้าสิบเก้า

   ต้นเสียงอยู่หน้าตู้เย็นหลังใหญ่  ซึ่งเต็มไปด้วยผักสวนครัวนานาชนิดกองรวมกันบนพื้น  มีงูเจ้ามะโรงท่าทางหดหู่ทรุดนั่งอยู่ใกล้ ๆ  แต่คนต้นเรื่องกลับยืนสบายอารมณ์อยู่ไม่ห่างนัก

   “ทำไมจะกินไม่ได้  สลัดผักสวนครัวไงล่ะ  กระเพรา  โหระพา  สะระแหน่  ขิง  ข่า  ตะไคร้  หอม  กระเทียม  พริกขี้หนูสวน  ใบมะกรูด  ลูกมะนาว  ใส่น้ำสลัดไปมันก็เป็นสลัดผักสวนครัวใช่รึเปล่าเล่า  มะโรงน้อยที่น่ารักของผม...”  มือบางนุ่มนิ่มไม่สมบุรุษ  เชยใบหน้าคมสุดสลดขึ้นมองด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

   งูเจ้าเยาว์วัยก้มหน้าหลบสายตาดุดันที่จ้องมา  หลังจากพอจะทำความเข้าใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ชัดเจน  ว่าได้หาเรื่องใส่ตัวเองเข้าให้แล้ว

   เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อคืนวานและยามเช้าตรู่...

   “อื้อ...เดี๋ยว ปล่อย...อื้อ...”  เสียงนั้นเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก  สองมือที่ควรจะผลักไสเรือนกายกำยำให้ห่างออกไปถูกมัดด้วยเศษผ้าอย่างแน่นหนา 

   คล้ายกับการต่อสู้ระหว่างปลาวาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่ที่กำลังหิวโหย  กับปลาโลมาน้อยที่ไร้ทางสู้...ซึ่งสุดท้ายเจ้าตัวที่เล็กกว่า  ก็คงไม่พ้นคมฟันจากผู้ล่าเป็นแน่…

   ริมฝีปากบางที่ซุกไซ้ไปตามแผ่นหลังของร่างที่พยายามดิ้นรนขัดขืนและถอยหนีนั้น  ยังคงกดเม้มเลื่อนลงไปตามแนวกระดูกสันหลัง  ทิ้งรอยแดงช้ำเป็นจ้ำ ๆ อยู่ทั่วผิวขาวเนียนจนแทบไร้ที่ว่าง 

   มือคู่ใหญ่กดร่างบางแนบสนิทอยู่กับเตียง  ไม่อนาทรร้อนใจต่อท่าทีต่อต้าน  เมื่อริมฝีปากที่เป็นอิสระยังยากเย็นยิ่ง  ยามจะเอื้อนเอ่ยบริภาษสิ่งใดแก่ตัวเขา

   ภิมุขซุกหน้ากัดหมอนนุ่มเพื่อสกัดกั้นเสียงครางผะแผ่ว  จากแรงลุกล้ำที่เบื้องล่าง    สะโพกบางสั่นไหวไปตามแรงอารมณ์ของอสรพิษหนุ่มที่แม้จะเพิ่งพบพาน  ก็มีบางอย่างที่ผูกพันกันไว้ยิ่งกว่านั้น

   แรงขยับเคลื่อนไหวด้านล่างรุนแรงไม่มีหยุดยั้ง  ก่อเกิดบทรักที่ร้อนแรงเกินกว่าจะยืนยันได้ว่านั่นคือครั้งแรกของพวกเขาทั้งสอง

   ดวงตาฉ่ำน้ำหรี่ปรือ  หากมีประกายของความเคียดแค้นมองเหม่อ  เมื่อประสาทสัมผัสรับรู้ห้วงอารมณ์แห่งความสุขสม  แต่ในหัวใจกลับคิดจะเอาคืน  แลกกับสิ่งที่เสียไปอย่างสาสมที่สุด 

   แม้เรี่ยวแรงจะอ่อนล้าลงไปตามแรงเคลื่อนไหวจากร่างด้านบน  กระทั่งสติที่มีขาดหายไป  วินาทีสุดท้ายนั้นภิมุขก็ยังคงคิดแค้นอสรพิษหนุ่ม  ที่เมื่อคิดจะรุกรานก็บังคับกันอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้...แล้วอย่างนี้จะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ ได้เช่นไร

   แววตาสีแดงเชื่อมหวาน  จ้องมองเรือนร่างสลบไศลไร้สติ  หากรับรู้ดีว่าการเคลื่อนไหวรุกรานของตนจะไม่สิ้นสุดลงในเวลาอันใกล้นี้เป็นแน่  ต่อให้ต้องตื่นขึ้นมาและอ่อนแรงหมดสติไปอีกสักกี่ครั้ง  หากฟ้าไม่สว่าง...

   ‘มะโรงจะไม่หยุด! หรอกนะหนูมุก’

++++++++++++++++++++++++

   ดวงตาแดงช้ำหรี่ขึ้นมองสู่เบื้องบน  แรงกระแทกกระทั้นที่ร่างกายรู้สึกทำให้ต้องกรีดร้องออกมาเสียงลั่นห้อง  กว่าสายตาจะปรับให้เห็นภาพต่าง ๆ ชัดเจน  ความคิดก็ประมวลผลสรุปออกมาก่อนแล้วว่าอะไรเป็นไร...

   “ไม่ คิด จะ หยุด...ใช่มั้ย”  น้ำเสียงแหบแห้งสั่นไหวเอ่ยถามอย่างยากลำบาก  ดวงตาแดงก่ำจ้องมองอสรพิษหนุ่มที่แสร้งยิ้มเยาะใส่ด้วยความอาฆาตอย่างที่สุด

   ข้อมือที่ถูกมัดขยับเคลื่อนไหวต่อสู้ให้หลุดพ้น  หากความหนาแน่นของเชือกที่ถูกมัดอยู่กับหัวเตียงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียง...เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

   “ไม่อยากจะหยุด...มีอะไรหรือไม่”  จงอางหนุ่มตอบด้วยเสียงกวนอวัยวะบางส่วนของร่างข้างใต้  อย่างไม่สะทกสะท้านเกรงกลัว  แม้สายตาดุ ๆ ที่จ้องมองมาก็ไม่อาจจะทำให้รู้สึกหวาดกลัวได้...ผิดกับช่วงเวลาปกติยิ่งนัก

   “งี่เง่าที่สุด”  ภิมุขรวบรวมเรี่ยวแรงเอ่ยพูดออกมาจนครบประโยค  แม้เสียงจะแหบแห้งจนเจ็บคอเหลือเกินก็ตาม  “แก้มัดเดี๋ยวนี้...มันเจ็บ  ถ้าไม่มัดไม่มีปัญญาบังคับเอาหรือไง...โง่นี่งูน้อย”

   เมื่อคนที่ดูเหมือนจะไร้ทางสู้กลับคิดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง  อสรพิษผู้กล้าหาญเฉกเช่นบุตรงูเจ้าจึงหัวเราะเสียงดังด้วยความพอใจ  ใบหน้าหล่อเหลาที่ยามนี้แฝงความโฉดตามแบบฉบับมาเฟียไว้เต็มเปี่ยม  ก้มลงกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ภิมุขอดขนลุกด้วยความวาบหวามไม่ได้

   “ได้สิ...จะให้บังคับแบบไหน  มะโรงทำได้ทุกแบบอยู่แล้วที่รัก!”  ว่าแล้วมือใหญ่ก็เอื้อมขึ้นแก้มัดให้มือเล็ก  ทั้ง ๆ ที่ริมฝีปากยังคลอเคลียอยู่กับซอกคอนุ่มของอีกฝ่ายนั่นแหละ

   มือที่เป็นอิสระเลื่อนเข้ากอดรัดเรือนกายกำยำแนบสนิท  ก่อนที่จะใช้สายตาดุดันจ้องมองใบหน้าคมเมื่อยามที่อีกฝ่ายเลื่อนตัวขึ้นสบตา  “โชกโชนจริงนะตัวแค่นี้...ไปเรียนมาจากใครกัน”

   จงอางหนุ่มอายุสิบปีส่งเสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง  ก่อนเฉลยข้อสงสัยของภิมุขด้วยท่าทีน่าหมั่นไส้สุดขีดในสายตาของชายหนุ่ม  “มะโรงไม่ใช่มนุษย์นะถึงจะต้องมานั่งเรียนเรื่องพวกนี้  มันอยู่ในสายเลือด  ฝังอยู่ในความทรงจำอันยาวนานที่สืบต่อกันมาจากเผ่าพันธุ์”

   ดูท่าภิมุขจะพอใจในคำตอบไม่น้อย  ความดุดันในสายตาคลายลงจนหมดสิ้นเมื่อได้ฟัง  “ก็ดี...แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอย่างภิมุข  จะยอมให้ใครมาบังคับได้ง่าย ๆ หรอกนะ  ผมไม่ว่าถ้าจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ  แต่ถ้าไม่เอาคืน...ตายไปยังดีกว่า”

   “แล้วจะเอาคืนเช่นไรเล่า...หรือว่าจะเป็นฝ่ายทำเอง!!!”  งูเจ้ามะโรงถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  อดหวังไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างที่คิด

   “ฝันไปเถอะ...เอาคืนแบบไหนเดี๋ยวก็รู้  แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่ ๆ ล่ะ”  ช่างเป็นคำตอบที่ทำให้จงอางหนุ่มฝันสลายได้ในทันทีทันใดจริง ๆ

   “เข้าใจแล้วล่ะ”  บุตรงูเจ้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ก่อนที่ดวงตาสีแดงเพลิงจะฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกลอีกครั้ง  ทำให้ภิมุขอดหวาดหวั่นไม่ได้  “มาต่อกันดีกว่า...”

   สิ้นคำนั้นใบหน้าคมก็ก้มลงขบเม้มผิวที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งสิเน่หาของตนซ้ำอีก  ร่างกายที่ยังคงเชื่อมกันเป็นหนึ่งเริ่มขยับเคลื่อนไหว  ปลดปล่อยให้ความคิดของภิมุขล่องลอยสู่ห้วงรักอันยาวไกลไม่รู้สิ้น  โดยมีเสียงครวญครางแว่วหวานเป็นคำยืนยัน...

   ++++++++++++++++++++++++

   “คิดอะไรไม่ทราบ...”  เสียงห้วนดุเอ่ยถามดังลั่น  เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้ามองพื้นเหม่อไปไกลจากโลกปัจจุบันอย่างรู้สึกได้

   จงอางหนุ่มไม่ตอบ  แต่ขยับจัดเก็บข้าวของใส่ตู้เย็นอย่างขะมักเขม้น  ปล่อยให้สายตาของภิมุขไล่มองตามด้วยความสงสัยเต็มอก  หากในที่สุดก็ได้รับคำตอบ...ที่ไม่น่าพอใจเอาเสียเลย

   “ก็แค่คิดว่ารีบกินข้าวให้เรียบร้อยกันดีกว่า  จะได้อาบน้ำนอนเสียที”  คำตอบนั้นตรงไปตรงมา  และซื่อตรงต่อความคิดของตนเองยิ่งนัก  เมื่อรู้ดีว่าเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่เขาจะได้เปรียบมากที่สุด

   ภิมุขกำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น  เขาอยากจะกระทืบเท้าซ้ำ ๆ เพื่อให้หายแค้นใจ  หากก็รู้ว่ากริยานั้นไม่เพียงไม่สมเป็นสุภาพบุรุษ  แต่ยังจะแสดงความงี่เง่าของตนเองออกมาให้ต้องเสียเปรียบอีกด้วย

   “ถ้าไม่ตายเพราะผักพวกนั้นก่อนก็เอาสิ...”  แล้วภิมุขก็เถียงอย่างไม่ลดละ

   จงอางหนุ่มหันมาเข่นเขี้ยว  “ฮึ...ไม่ตายง่าย ๆ หรอก  เอาให้มันรู้กันไปเลย...ว่าใครจะแน่กว่ากัน  คนที่คิดจะฆ่าสามีหรือว่า...สามีผู้แสนดี”

   “คลื่นไส้...แสนดีหรือแสนเลวกันแน่”  ภิมุขตะโกนโต้ตอบอย่างไม่ลดละ

   งูเจ้ามะโรงหัวเราะในลำคอ  ขณะที่ยังคงเก็บของเข้าตู้เย็นต่อไป  “ไม่เป็นไรครับ...แค่หนูมุกยอมรับว่ามะโรงเป็นสามี  จะแสนดีหรือแสนเลว...มะโรงรับได้ทุกอย่าง”

   เมื่อรู้ว่าหลงกลอสรพิษหนุ่มเข้าให้แล้ว  ภิมุขก็กำหมัดกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด  ร่างโปร่งหันหลังออกจากส่วนครัวด้วยกลัวจะเสียหน้าซ้ำสอง  หากเสียงทรงอำนาจก็หยุดไว้เสียก่อน...

   “จะไปไหน...ไม่ทานข้าวหรือไร”

   “กินมาแล้ว  จะเข้าห้อง...มีอะไรอีกมั้ย”  จากอารมณ์คุกรุ่นภายใน  จึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างที่สุด
   จงอางมะโรงรีบลุกขึ้นมากอดรัดภิมุขอย่างเอาใจ  “หรือ...ทำไมถึงได้แง่งอนนัก  โกรธมะโรงมากนักหรือไร  ถ้าอิ่มแล้วก็เข้าไปรอในห้องก็ดีเหมือนกัน  ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำรอนะน่ารักดี  เดี๋ยวมะโรงรีบกินสลัดผักสวนครัวแล้วจะตามเข้าไป…นะครับ” 

   เสียงออดอ้อนอ่อนหวานทำให้ภิมุขตัวสั่นสะท้าน  แต่หาใช่เพราะอารมณ์สนิทเสน่หาไม่  หากเพราะเปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยว  ที่อีกฝ่ายดูเหมือนจะหยอกเย้าเขาอย่างไม่สิ้นสุดต่างหาก

   ภิมุขไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมฝ่ายเสียเปรียบต้องเป็นเขา...ผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักคำว่า ‘เสียเปรียบ’ มาก่อน

++++++++++++++++++++++++

   ภิมุขซุกหน้าลงกับหมอนนุ่ม  กรีดเสียงร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างโกรธจัด  สองมือทุบหมอนดังตุบตับราวกับหมอนเป็นจำเลยคู่อาฆาต  หากในห้วงของความคิดนั้นยังคงย้ำเตือนอยู่เสมอ  ‘เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะไร้ทางสู้และพ่ายแพ้’

   สำหรับภิมุขความรักไม่ใช่เกม  ที่จะต้องมีแพ้หรือชนะ...หากเป็นความรักจะไม่มีคำว่า ‘แพ้หรือชนะ’  แต่สิ่งที่ต้องเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีที่มีอยู่  มันก็คือเกม...เกมหนึ่ง  ซึ่งต้องมีแพ้และชนะ

   ไม่ผิดหากสักวันพวกเขาจะบอกว่า  ‘รักกัน’  แต่กว่าจะถึงวันนั้น  ขอสนุกกับความรู้สึก  แพ้  ชนะ  ให้สมใจเสียก่อนเถอะ...ชีวิตจะได้มีรสชาติ  ไม่น่าเบื่อ!!!

   ร่างโปร่งดีดตัวลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มหมายมาด  “ก็เอาสิมะโรงน้อย  คนอย่างภิมุข...แพ้ง่าย ๆ ก็บ้าล่ะ”  ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างสบายใจ…

   ++++++++++++++++++++++++

   ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยความรีบร้อน  หากก็พบเพียงความมืดสนิทไร้แสงเสียงใด ๆ  งูเจ้ามะโรงเอื้อมมือเปิดสวิตซ์ไฟข้าง ๆ ตัว  แล้วก็ต้องแปลกใจกับภาพที่ภิมุขนอนหลับสบายอยู่บนเตียงโดยไม่สนใจสิ่งใด...ทั้ง ๆ ที่สัญญาเอาไว้ว่าจะอาบน้ำและนอนเตียงเดียวกัน  หากเขายอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย

   “หนูมุกผิดสัญญากับมะโรงเหรอ...”  จงอางหนุ่มตะโกนถามอย่างร้อนรน  “ก็ไหนสัญญากันเอาไว้แล้วไงเล่า  ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ” 

   “แล้วจะทำไม  อยากจะนอนก็มานอนสิ...เรื่องมาก”  ภิมุขลืมตาขึ้นมาตอบโต้อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่  ผิดกับบุตรงูเจ้าราวฟ้ากับเหว

   “ก็ไหนว่าจะอาบน้ำด้วยกัน  ต้องอาบน้ำก่อนถึงจะนอนด้วยกัน...ทำไมทำแบบนี้”  จงอางหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ  ดวงตาสีแดงเพลิงคลอน้ำใสอย่างห้ามไม่อยู่

   “สำคัญนักหรือไง  ไม่นอนก็ไม่ต้องนอน...ไปเลยไป!”  ภิมุขที่เริ่มหงุดหงิดส่งเสียงไล่อีกฝ่ายไปให้พ้น ๆ เพราะรำคาญเต็มที

   บุตรงูเจ้ายกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างเสียใจ  เมื่อยึดถือในคำมั่นสัญญายิ่งกว่าชีวิต  เขาหันหลังเดินออกจากห้องไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง  ไม่คิดว่าความตั้งใจที่มีจะจบลงในเวลาเพียงไม่นาน...ดูเหมือนการมาครั้งนี้จะไม่ช่วยอะไรเขาได้เลย

   ร่างกำยำทรุดลงพื้นด้วยอาการผิดปกติบางอย่าง  ทั้งร่างสั่นสะท้าน  ตามผิวหน้าและผิวกายปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ  ลมหายใจหอบถี่จากความทรมานที่ได้รับ

   “พี่มะโรง...”  เสียงของสัตยาดังขึ้นด้วยความตกใจ  ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาประคองอสรพิษหนุ่มพร้อม ๆ กับพงหญ้า  “พี่...เป็นอะไรไปครับเนี่ย  พี่มะโรง”

   “กิน มะ นาว”  มะโรงเอ่ยตอบอย่างยากลำบาก  หากคำตอบก็เพียงพอให้ทั้งสัตยาและพงหญ้าตกใจจนหน้าซีด 

   “งูไม่ถูกกับมะนาวไม่ใช่เหรอพี่  พี่แพ้มะนาวใช่มั้ย...แล้วกินเข้าไปทำไม”  สัตยาคาดคั้นอย่างไม่เข้าใจนัก

   สีหน้าซีดเผือดยิ่งเศร้าสร้อย  “เค้า...ซื้อมาให้  คงอยากให้ตาย...”  แม้เจ็บช้ำ  แต่ก็ดูเหมือนจะย้ำเตือนกับตนเองว่าเช่นนั้น

   “เป็นอะไรไป...สำออยหรือไง”  เสียงของภิมุขดังขึ้น  ชายหนุ่มมองตรงมาอย่างเอาเรื่อง  เมื่อไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพไม่ถูกตาอยู่ตรงหน้า

   “มุก  นายให้พี่มะโรงกินมะนาวได้ยังไงกัน  นายก็รู้ว่างูไม่ถูกกับมะนาวไม่ใช่เหรอ...คิดจะฆ่าพี่งูจริง ๆ หรือไง”  สัตยาเอ่ยถามน้องชายอย่างไม่เข้าใจนัก

   “กินมะนาวงั้นเหรอ  ใครจะบ้ากินเข้าไปได้จริง ๆ”  ภิมุขเดินเข้ามาหาจงอางหนุ่มอย่างไม่แน่ใจนัก  คิดว่าบางทีอาจจะจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา  หากเมื่อเห็นอาการอันย่ำแย่ของอีกฝ่ายก็หน้าซีดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง

   มะโรงขยับตัวออกห่างภิมุขอย่างนึกชิงชัง  “ไปให้พ้น...”  น้ำเสียงดุดันเต็มไปด้วยพลังอำนาจประกาศกร้าวอย่างไม่แยแส  “หากมีชีวิตรอดในครั้งนี้...ความผูกพันที่มีมาก็ขอให้สิ้นสุดกันแค่นี้เถอะ”

   สัตยากับพงหญ้าอ้าปากค้าง  ไม่นึกว่าในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้อย่างง่ายดาย  เพราะไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ยินเสียงเมื่อคืนก่อนเสียเมื่อไหร่

   ภิมุขขยับถอยห่างด้วยความโกรธจัด  ริมฝีปากที่ยังช้ำถูกขบซ้ำจนเลือดซึม  “ก็ได้...จะไปไหนก็ไป  ไอ้งูงี่เง่า...ตายไปซะได้ก็ดี!!”

   คนที่พูดจบเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วขังตัวเองไว้ในนั้นอีกครั้ง  ทิ้งให้คนที่อยู่ด้านนอกนั่งอึ้ง  พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับความใจเด็ดที่ได้เห็นอยู่พักใหญ่  เมื่อรู้ดีว่าหากภิมุขยินยอมพร้อมใจ  คงไม่มีวันจะปล่อยให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากตนจากไปได้ง่าย ๆ เป็นแน่...หรือจะตัดใจได้จริง ๆ เช่นนั้นหรือ

   “ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องคุยกันอีกแล้วสินะ  พงหญ้าพวกเราพาพี่มะโรงไปส่งที่ศาลงูเจ้าเถอะ  ปล่อยเจ้ามุกไปก่อนแล้วกัน  พรุ่งนี้ก็คงจะไปทำงานได้อยู่หรอก...”  สัตยาและพงหญ้าจึงช่วยกันประคองอสรพิษหนุ่มที่ดูเหมือนจะไร้สติออกจากบ้านหลังเล็ก

   ++++++++++++++++++++++++

   การเดินทางออกจากตัวจังหวัดสู่หมู่บ้านเครือตะโก้  เริ่มต้นขึ้นในเวลาพลบค่ำ  และสิ้นสุดสุดลงในเวลาเช้าตรู่บริเวณศาลงูเจ้าที่แตกต่างไปจากเมื่อสิบปีก่อน  เมื่อถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาด  เป็นคำมั่นสัญญาจากชาวบ้านที่ให้ไว้ว่า...ศาลงูเจ้าจะอยู่คู่ท้องถิ่นตลอดไป

   หญิงสาวหน้าตาสวยงามและชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดุดัน  ยืนรอรับการมาของงูเจ้ามะโรงราวกับรู้ล่วงหน้า...ว่าบุตรชายต้องกลับมาในวันและเวลานี้

   พงหญ้าทรุดลงนั่งบนพื้นด้วยความหวาดกลัว  เมื่อเห็นดวงตาสีแดงเพลิงส่องประกายโกรธแค้น  หากสัตยากลับสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง  หากสู้ไม่ได้ก็แค่ตายเท่านั้นเอง!!!

   “ผมขอบอกไว้ก่อนว่าต่อให้โกรธแค้นน้องชายผมแค่ไหน  ก็อย่าคิดมาแตะต้องทำอันตรายเค้าหากไม่ข้ามศพผมไปก่อน  ไม่อย่างนั้น...ผมสาบาน  ศาลนี้ต่อให้ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน  ผมจะพังให้ดู”

   งูเจ้าผู้รักษาศาลและภรรยาจ้องมองสัตยาด้วยสายตาชื่นชม  เมื่อไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าหาญถึงเพียงนี้  นึกแล้วก็อดจะเปรียบเทียบกับบุตรชายตัวโปรดไม่ได้...ทำไมถึงไม่เข้มแข็งให้ได้เท่านี้นะ

   “เอาเถอะ...บุตรเราอ่อนแอเอง  เจ้ามะโรงมันโตมาตัวเดียว  พี่น้องอื่นที่เกิดพร้อมกันก็ถูกกินไปเสียหมด  เราอาจจะตามใจมากไปจนเข้มแข็งให้สมเป็นงูเจ้าเฝ้าศาลมิได้  ในเมื่อดูแลตัวเองไม่ได้เยี่ยงนี้  เราก็จะดูแลบุตรเราเอง”  ประมุขแห่งศาลงูเจ้าว่า

   “แล้วท่านมะโรงจะปลอดภัยมั้ยครับ...”  พงหญ้ามองดูมะโรงที่ไร้สติอยู่ในอ้อมกอดมารดาแล้วอดถามขึ้นมาไม่ได้

   งูเจ้าหันไปมองบุตรชายแล้วยิ้มดุดันองอาจ  “ปกติพวกเราไม่เคยต้องกลัวหรือแพ้ต่ออะไร  เพราะบำเพ็ญญาณจนเป็นถึงงูเจ้ากันแล้ว  แต่มะโรงมันอ่อนแอเพราะถูกพรากจากแม่ไปหลายเพลา  ก็เลยเหมือนงูธรรมดานั่นแหละ  แต่สายเลือดงูเจ้าอย่างเราไม่ตายง่าย ๆ หรอก  เราย่อมช่วยบุตรเราได้…หากรู้ว่าจะตายแล้วยังกิน  เราจะปล่อยให้ตายจนแม่มันร้องไห้จนตายตามไปนั่นแหละ”

   “ก็ลองดูสิ...”  น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยอย่างไม่กลัวเกรง  ทั้งที่ดวงตาสีแดงสดยังคงทอดมองบุตรชายในอ้อมกอดด้วยความรักอย่างหาที่สุดมิได้  “กลับมาหาแม่ทีไร  เจ้าก็เกือบตายเสียทุกครั้งไปเลยนะมะโรง  เพราะพ่อเจ้าไร้สามารถนี่แหละ  ตั้งชื่อข่มภัยแล้วยังช่วยเจ้ามิได้เลย...ลูกรัก”

   งูเจ้าถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย  “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง  ว่าอย่าเอื้อเอ็นดูมันให้มากไปนัก  ลูกเรามีตั้งมากมาย  เพียงแค่มันพบชะตากรรมที่โหดร้าย  แต่ก็มิได้ตายจากไปเสียหน่อย”

สัตยากับพงหญ้าหันมองงูเจ้าทั้งสองคนละทีสองทีอย่างงงงัน  ไม่เคยคิดว่าแม้แต่งูจงอางก็มีเรื่องให้ทะเลาะกันด้วย  ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ  อย่างนี้ก็คงเป็นโชคดีกระมัง  ที่ได้มีโอกาสมาพบเรื่องราวมหัศจรรย์นี้...

   “พวกเจ้ากลับไปเถิด  ไม่ได้ว่างมากนี่นะ...ข้าไม่เห็นกลับบ้านกันนานแล้ว  แต่ก็ดีแล้วจะหงุดหงิดกันเปล่า ๆ พวกด็อกอะไรนั่นมันมาวุ่นวายกันเหลือเกิน  ชื่อก็แปลกนัก  ฟังก็ยาก  รู้สึกว่าจะคล้าย ๆ วิทยุ  ตู้เย็น  หม้อข้าวอะไรนี่แหละ”  งูเจ้าเอ่ยบอกด้วยความหงุดหงิดเต็มที  สายตาดุดันจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยความอาฆาตตามนิสัย

   “พี่มะโรงเล่าให้ฟังแล้วครับ  แต่พวกนั้นจะกำจัดพวกท่านไปได้จริง ๆ น่ะเหรอครับ”  สัตยาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ  ว่าจะมีคนทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือลงได้

   “ประสาอะไรกับพวกนั้น  เจ้ายังพูดเองว่าสามารถทำลายศาลลงได้  เป็นใครก็ทำลายได้ทั้งนั้น  เพียงแต่พวกนั้นหวังจะเอาชีวิตเราด้วย  ป่าผืนนี้มีความสำคัญที่เราต้องรักษาดูแล  หากคิดจะทำลายก็ต้องฆ่าพวกเราเสียก่อน  มีอะไรบ้างที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าจะทำไม่ได้...อยู่มาหลายร้อยปี  ข้าไม่ยักรู้”  งูเจ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะ     

   “เพียงมีแขนขา  สมองใหญ่โต  คิดจะทำลายโน่นนี่ก็ทำกันง่าย ๆ สักวันเถิดจะได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทำลายล้าง  รู้จักแต่ทำลายผู้อื่น  หวังแต่ทำให้ตนเองมีความสุข...เห็นแก่ตัวยิ่งนัก”

   สัตยากับพงหญ้าไม่สามารถตอบโต้คำพูดนั้นได้เลย  เมื่อเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน  ความคิดที่ต้องการทำลายบางอย่างเพื่อตนเอง  ย่อมมีอยู่ในจิตสำนึกไม่มากก็น้อย  เป็นไปได้หรือที่มนุษย์อย่างพวกเขาจะรักษาศีลข้อห้าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น...เช่นไรเสียก็ต้อง ‘ฆ่า’ ชีวิตอื่น

   “ทางเราจะช่วยสืบเรื่องของคนพวกนั้น  และหาทางไล่ออกไปให้  ไม่ว่าอีกนานแค่ไหนศาลงูเจ้าก็จะต้องอยู่กับป่าเครือตะโก้ต่อไป  แม้เราจะห้ามคนอื่นไม่ได้  แต่ตัวเราเองก็จะทำทุกอย่างและรักษาที่นี่ให้คงอยู่ไปนานที่สุดแน่นอน”  สัตยาให้คำมั่นต่องูเจ้าด้วยความมั่นใจ

   สามีภรรยางูเจ้ามองแผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสอง  ที่เดินจากไปอย่างมั่นคง  และเชื่อมั่นว่าสัตยาจะสามารถทำอย่างที่พูดไว้ได้แน่นอน 

   หากก็เสียดายยิ่งนัก...

   แม้ศาลงูเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป  แต่บุตรชายที่พ่ายในรักที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ก่อนถือกำเนิด  ก็คงต้องคงอยู่ต่อไปอย่างเจ็บช้ำ  เมื่อไม่มีผู้ที่รักอยู่ข้างกายไปจนชั่วชีวิต

   เสียดายอดีตเด็กชายตัวน้อยผู้อ่อนโยนคนนั้น  แม้พวกเขาจะเคยคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นพรหมลิขิตที่ผูกชะตากันมาแต่ปางก่อน  แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง  อาจจะเกี่ยวเนื่องถึงเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิด...

   มิควรตั้งแต่แรกที่งูเจ้าวัยเยาว์  จะคร่ำครวญหาเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญ  มิควรจะผูกพันอยู่กับความรู้สึกรักและหลงใหล  และวาดหวังถึงความสมหวังข้ามเผ่าพันธุ์

   มิควรเลยจริง ๆ หนอ...ลูกรักเอ๋ย


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษ 5
«ตอบ #71 เมื่อ29-12-2013 19:57:08 »

อสรพิษที่รัก 5



   ดวงตาสีแดงเพลิงที่เพิ่งโผล่พ้นเปลือกตาบาง  กระพริบถี่อย่างไม่ชินแสงสว่าง  ก่อนตวัดมองไปรอบ ๆ ด้วยความคุ้นเคยบางอย่าง  เมื่อแน่ใจว่ากำลังอยู่ที่ไหนร่างสูงใหญ่ก็ผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ…

   “เป็นเช่นไรบ้างเล่าเจ้ามะโรง  หลับไปเพลาหนึ่งเต็ม ๆ เลยเชียวลูก…”  เสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้มดุดันที่ส่งตรงมาจากบิดา  ทำให้บุตรชายหลุบตาลงต่ำด้วยความเศร้าใจ

   “ท่านพ่อ…ลูกกลับมาที่บ้านจริง ๆ หรือนี่”  บุตรวัยเยาว์เอ่ยถามบิดา  ที่มีอายุยาวนานกว่าอย่างผิดหวัง

   งูเจ้าผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาหาบุตรชายคนโปรด  ที่ยังคงนั่งสลดอยู่บนเตียงหินอ่อนสี่เสากว้าง  ซึ่ง  หากรวมกับเครื่องเรือนอื่น ๆ ที่สร้างด้วยหินอ่อนเช่นเดียวกันแล้ว  จะได้พบสาเหตุของความสว่างตาของห้องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย…

   “เจ้ายังเด็กยิ่งนักมะโรงเอ๋ย  พ่อเคยบอกเจ้าหรือไรว่าความรักนั้นต้องบังคับให้ได้มา  สิ่งใดหากอยู่ในมือเจ้าแล้วไซร้  เช่นไรเสียมันก็ต้องอยู่ในมือ…โยนทิ้งไปแบบนั้น  เขาเจ็บไม่เป็นหรือไรลูก…”

   เมื่อภรรยาไม่อยู่งูเจ้าที่คอยต่อว่าภรรยาว่าตามใจลูกนักหนา  ก็กกกอดบุตรรักไว้กับอก  มือใหญ่ทั้งลูบผมลูบหลังเป็นการปลอบประโลม  ด้วยความรักใคร่ใหลหลงที่ดูเหมือนจะมีให้บุตรผู้อาภัพยิ่งกว่าผู้ใด

   “ก็ลูกคิดแล้วว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนี้นี่ท่านพ่อ  มันจะต้องลงเอยด้วยดีไม่ใช่หรือ  ท่านก็เคยบอกลูกเอาไว้เช่นนั้น…”  มะโรงเถียงบิดาอย่างไม่เข้าใจนัก  ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องมองบิดาอย่างค้นหาคำตอบ  เมื่อตนเองไม่เข้าใจเหตุผลกลใด

   งูเจ้าถอนใจ  ชักจะสงสัยว่าแท้จริงแล้วหรือตนเองจะพลาดไป  “พ่อบอกเจ้าว่าเช่นไร  พ่อบอกว่าทุกอย่างจะสมหวัง  แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะต้องเร่งรัดเอากับไข่มุกมณีนั่น  หากฝืนใจเจ้าหรือเขาเอาได้  พ่อจับคู่เจ้ากับแม่งูแถวนี้ไม่ดีกว่าหรือไร”

   “แต่ลูกไม่ได้รักแม่งูแถวนี้นี่  ลูกจะอยู่กับหนูมุก…แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้”  มะโรงร้องไห้คร่ำครวญกับบิดา  แม้จะไม่เข้ากับร่างกายใหญ่โต  แต่ก็เหมาะสมกับวัยและนิสัยเอาแต่ใจ

   “ลูกเอ๋ยเจ้าอย่าร้องสิ  พ่อจะหาทางใหม่ให้ก็ได้  โธ่…เดี๋ยวตาสวย ๆ ของเจ้าก็แดงช้ำหมด  มีพ่อยู่ทั้งคนเจ้าจะกลัวผิดหวังไปใยลูกรัก…”  งูเจ้าผู้แพ้น้ำตาบุตรชายแทบจะทำอะไรไม่ถูก  มิคิดเลยว่าบุตรชายที่เฝ้าถนอมเลี้ยงดูมา  จะต้องมาเสียน้ำตาเพราะเรื่องที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เช่นนี้

   พลันนั้น...แสงสีทองส่องวาบเข้ามาภายในห้อง  ปรากฏเรือนร่างสูงโปร่งงดงามราวกับนางไม้แห่งพงไพร  เส้นผมสีดำสนิทส่องประกายระยิบระยับ  ไม่แพ้นัยน์ตาสีเงินบริสุทธิ์ที่โดดเด่นอยู่บนดวงหน้าหวานล้ำ

   “จะหาทางใดช่วยบุตรท่านอีกเล่า…เซค”  น้ำเสียงใสหากดุดันเอ่ยถามอย่างไม่ชอบใจนัก  “ที่ผ่านมาท่านยังฝืนกฎไม่มากข้อพออีกหรือไร”

   มะโรงมองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจสุดขีด  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบบุคคลที่ดูเหมือนจะเป็นตำนานแห่งขุนเขาเลยทีเดียว  “ท่านพ่อครับ…งูเทพ!!!”

   งูเจ้าเหลือบมองผู้มาเยือนเพียงครู่  ดวงตาโชนแสงสิ้นประกายแห่งความสุขหลุบต่ำ  ความรู้สึกมากมายภายในหัวใจสับสนปนเป  เพียงความรู้สึกหนึ่งเดียวที่เคยโหยหาไม่สิ้นสุด  แม้ว่าจะดูเหมือนมีครบ...สุดท้ายก็มีบางสิ่งขาดหายไป

   “อย่ามายุ่งกับข้าเหม่เม๋  มาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้น  หากเห็นว่าข้าทำผิดจะลงโทษเช่นไรมันเรื่องของเจ้า…”  แม้คำที่เอื้อนเอ่ยจะต่อว่าต่อขาน  หากน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับเหนื่อยล้ายิ่งนัก

   ดวงตาสีเงินทอดมองออกนอกหน้าต่างสู่เบื้องนอก  แม้มีจะมีความรู้สึกมากมาย...แต่ด้วยหน้าที่  สิ่งที่มีก็คล้ายกับไม่สามารถจะคงอยู่ในใจได้  “ท่านพูดง่ายนี่  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าข้าไม่สามารถตัดใจลงโทษท่านได้  จะทำร้ายใจกันไปถึงไหนเซค  ถือว่าข้าขอร้องเถอะ…เลิกทำผิดเสียที  อย่าใช้อำนาจในทางที่ผิดอีกเลย  แม้ไม่ทำร้ายใครแต่สักวันมันจะหวนกลับมาทำร้ายตัวท่านเอง”

   “ข้าไม่ใช่เจ้านี่เหม่เม๋  ที่ทอดทิ้งคนที่รักไปได้ลงคอ  อำนาจไม่ได้สำคัญสำหรับข้า  ส่วนหน้าที่จนถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่ได้ทำสิ่งใดบกพร่องเสียหน่อย  แล้วเจ้ายังต้องการอะไรจากข้าอีกเล่า”  คำต่อว่าต่อขานเอื้อนเอ่ยไม่สิ้นสุด...บ่งบอกการมีอดีตที่ยาวไกลยิ่งนัก

   มะโรงมองจ้องงูเทพด้วยความตื่นตะลึง  แม้จะสะดุ้งตกใจไปหลายครั้งเมื่อได้ฟังน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว  แต่รอยยิ้มหวาน ๆ ที่บรรจงส่งตรงมายังเขาก็อดทำให้หลงเสน่ห์ยวนใจนั้นไม่ได้ 

   งูเจ้าเซคมองบุตรชายอย่างไม่ไว้ใจนัก  ด้วยกลัวหัวใจดวงเล็กจะลุ่มหลงกับสิ่งใดไปได้โดยง่าย  จึงเอื้อมมือปิดตาบุตรชายเอาไว้อย่างมิดชิด…หากไม่เห็นความงดงาม  ก็คงไม่ลุ่มหลงในความงดงาม  เฉกเช่นเดียวกับตัวเขา

   “ท่านพ่อ  ท่านทำสิ่งใดกัน...หวงหรือไร  ข้าจะฟ้องท่านแม่  คอยดูสิ...”  ประโยคหลังของบุตรชาย  ทำให้งูเทพถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

   ร่างสูงใหญ่องอาจผละจากบุตรชาย  แล้วเดินไปหางูเทพ  ก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปพร้อมกับหมอกหนาทึบ  ทำให้มะโรงได้แต่มองด้วยความสงสัย  ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้น...เป็นเช่นไรกันแน่

   ++++++++++++++++++++++++

    “ทำไมมาถึงที่นี่  เรื่องที่จะเตือนข้าสำคัญนักหรือไร”  เซคเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนัก  ดวงตาสีแดงสดแฝงแววความเจ็บปวดมองเลื่อนลอยออกไปแสนไกล  คล้ายจะทะลุกำแผงหินอ่อนออกไปได้  แต่แท้จริงแล้วอยากจะจับจ้องอยู่ภายในศาลไม่ร้างลา

   ร่างบางก้าวเดินเชื่องช้าตรงไปยังร่างสูง  หัวใจที่โหยหากันและกันเต้นถี่ในทุกวินาทีที่เคลื่อนผ่าน  เรียวแขนบอบบางเลื่อนเข้าโอบกอดผู้ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง  หากหัวใจนั้นแทบจะหลุดออกมาจากทรวงอก...เพียงความรักเท่านั้น  ที่แม้อยู่ใกล้แค่ไหน  ก็ไม่มีวันจะเอื้อมคว้าได้ถึง

   “เซค...ได้โปรดอย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย  หากเรื่องที่ท่านเคยทำระแคะระคายสู่เบื้องบน  เกรงว่าบารมีที่ท่านและบรรพบุรุษเคยสั่งสม  ก็คงช่วยท่านไว้ไม่ได้...”  เสียงเว้าวอนนั้นไหนเลยจะทำให้ผู้ฟังใจแข็งอยู่ได้  หากเหตุผลของสิ่งที่ต้องทำกลับยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเปลี่ยนใจ

   “เหม่เม๋...รักข้ามฐานันดร  ข้าอาจจะมิเคยได้เอื้อมถึง  แต่ข้ารู้ดี...หากพยายามอีกเพียงนิด  ข้าจะสามารถก้าวล้ำไปถึงเจ้าได้  แต่ที่เราต่างต้องยอมแพ้  ก็เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่เหลือเกิน…”  มือใหญ่เอื้อมดึงร่างบางเข้ามากอดแนบอก  ใบหน้าคมซุกซบอยู่กับเส้นผมนุ่มกรุ่นกลิ่นคุ้นเคย

   หากเพียงความตั้งใจแน่วแน่เท่านั้น  ที่จะไม่แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง  “ถึงวันนี้...ข้าอยู่มานานจนรู้แล้วว่าสิ่งใดควรถอยหลัง  และสิ่งใดควรก้าวเดินต่อไป  ข้าจะไม่ทำให้ลูกต้องผิดหวัง...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด  ได้แค่หวังว่าเจ้า...จะไม่ทำร้ายตัวเองไปพร้อม ๆ กันเท่านั้น”

   “ข้ายังอยู่ตรงนี้นะเซค...”  น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นถูกตราตรึงอยู่ในหัวใจของผู้เป็นที่รัก  ก่อนที่เหตุการณ์มากมายอาจจะผ่านเข้ามาให้ต้องฝ่าฟันไปถึงจุดสุดท้าย...แห่งชีวิตที่เหลือ

++++++++++++++++++++++++

   ลำตัวยาวเกือบสี่ฟุต  เกล็ดสีดำเลื่อมพราย  เคลื่อนไหวอยู่ภายในพงไพรกว้างใหญ่  ดวงตาสีแดงเพลิงมองตรงไปยังข้างหน้าด้วยความสนอกสนใจ  ความเร็วปานพายุที่เคยใช้  กลับยิ่งช้าลงเรื่อย ๆ เมื่อสองข้างทางเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ  ที่ห่างหายไปนานหลายปี...

   เสียงพูดคุยงึมงำฟังคล้ายสำเนียงจิ้งหรีด  ทำให้ลำตัวยาวเหยียดต้องหลบกลืนเข้ากับกอไผ่  ดวงตาสีแดงเพลิงมองทะลุต้นไผ่สูงสู่กลุ่มคนต้องสงสัย  จึงได้เห็นเหยื่อ...ที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ล่า!!!

   “คุณคิดว่าแหล่งอาศัยของงูจงอางในป่าที่นี่  จะอยู่ห่างจากศาลลึกเข้าไปในป่าทึบอีกไกลขนาดนั้นเลยเหรอ  กว่าจะไปถึงถ้ำพันปีอันโด่งดังนั่น  มันต้องเดินเท้าอีกเป็นร้อยกิโลฯ เลยนะทอทาส...”  ผู้พูดเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่มีเส้นผมและดวงตาสีดำสนิท

   “แล้วคุณคิดว่างูจงอางจะอยู่บริเวณนี้ได้จริง ๆ เหรอวิทัญญู  เราหาข้อมูลมาแล้วนี่  ไม่มีใครในบริเวณนี้เคยถูกงูจงอางทำร้ายมาก่อน  จะว่าไปแถวนี้ดูเหมือนจะมีแต่แมงป่องช้างนะที่เป็นอันตราย”  ทอทาสชายหนุ่มผู้มีผมสีน้ำตาลแดงตั้งข้อสังเกต

   กลุ่มผู้ค้นหาจิตวิญญาณงูจงอางเลือกบริเวณที่โล่งกลางป่า  กางเตนท์พักอาศัยและค้นหาร่องรอยการเดินทางของงูจงอาง  เพื่อตามงูตัวใดตัวหนึ่งสู่ฝูงใหญ่  ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่างูชนิดนี้ไม่ใช่สัตว์ที่ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง

   ศาสตราจารย์ทอทาสและวิทัญญู  มักจะสนทนาตั้งข้อสังเกตเรื่องราวในป่าอยู่เสมอ  โดยมีผู้ร่วมงานอีกสามคนคอยนั่งฟัง  และคิดวิเคราะห์คำพูดของพวกเขา  เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง...แม้จะเป็นงานที่อยู่นอกเหนือความเป็นจริงก็ตาม

   ศาสตราจารย์ทูเยลและเทารีสมักจะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเงียบ ๆ  ตามแบบฉบับของนักวิทยาศาสตร์ผู้คงแก่เรียนตามอายุอานามที่ล่วงเลยมานานกว่าห้าสิบปี  ต่างจากผู้ร่วมงานอีกคนที่มักจะอยู่แยกออกไปจากกลุ่มเสมอ ๆ

   ศาสตราจารย์มอร์คาวน์  อัจฉริยะวัยหนุ่มที่มักจะชอบเคลื่อนไหว  สำรวจที่นั่นที่นี่ไปทั่วไม่อยู่นิ่ง  และไม่ถนัดที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับใครสักเท่าไหร่...เขาเดินสำรวจบริเวณกอไผ่กอหนึ่งอย่างสนอกสนใจ  เพราะก็เคยศึกษามาบ้างว่าเป็นบริเวณที่งูจงอางนิยมวางไข่มากอีกแห่งหนึ่ง

   ดวงตาสีแดงเพลิงมองตามลักษณะอันไม่คุ้นเคยด้วยความสนใจ  เส้นผมสีทองปลิวตามลมแผ่วเบา  ผิวขาวซีดทำให้เจ้าของร่างสูงโปร่งดูบอบบางสมกับหน้าตา...ที่มองเช่นไรก็รู้สึกว่ามีเสน่ห์ที่แตกต่างจากใครบางคนเสียจริง   

   “นี่...เจ้าจะเก็บหน่อไม้หรือไร  ตุ๊กตาสีซีด”  น้ำเสียงดุดันตามความเคยชิน  เอ่ยถามอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก

   มอร์คาวน์หันมองผู้มาเยือนด้วยความตกใจ  ด้วยไม่คิดว่าในป่าลึกเช่นนี้จะมีใครผ่านเข้ามาง่าย ๆ  เพียงแต่เมื่อคิดจะเอ่ยถาม  ก็ราวกับจมดิ่งในห้วงเสน่ห์ล้ำลึกของฝ่ายผู้มาเยือนไปแล้วเรียบร้อย...

   “คุณเป็นคนเก็บหน่อไม้เหรอครับ  ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาแย่งอาชีพคุณนะ  เพียงแต่สนใจว่าบริเวณนี้จะมีงูจงอางอาศัยอยู่รึเปล่าเท่านั้น  ผมกับเพื่อนมาศึกษาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับงูจงอางน่ะครับ”  ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร  ซึ่งผู้มองอดรู้สึกว่าน่ารักไม่ได้

   มะโรงเอียงคออย่างไม่เข้าใจ  ว่าคนถามไม่รู้หรือว่าไม่ฉลาดกันแน่  เพราะคิดกันแบบงูจงอางแล้ว  ก็ต้องรู้ล่ะว่ากอไผ่กอนี้มันไม่มีใครอาศัยอยู่หรอก  ถ้ามีก็คงจะออกมาจัดการผู้บุกรุกไปแล้ว...ไม่รอให้มาถามหาหรอก

   “กอไผ่ตรงนี้ไม่มีหรอก  จะบอกให้นะตุ๊กตาสีซีด  ป่าที่นี่ไม่มีงูจงอางอยู่หรอก  เพราะว่าชาวบ้านอยู่กันเยอะ...อันตรายทั้งกับชาวบ้านและงูจงอางเชียวล่ะ  ก็เลยต้องอพยพไปอยู่ที่อุทยานแห่งชาติที่จังหวัดอื่นแทน  ปลอดภัยดี...ทำร้ายคนก็ง่ายแสนง่าย  เพราะหลงเข้าไปเอง  หึหึหึ”  เป็นเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมที่ส่งเสริมเสน่ห์แบบร้ายกาจ  ได้อย่างน่าประทับใจผู้คนทีเดียว  อย่างน้อยก็มอร์คาวน์ล่ะที่รู้สึกแบบนี้

   มอร์คาวน์หยิบสมุดพกเล่มเล็กขึ้นมาจดข้อมูลที่เพิ่งได้รับอย่างตั้งใจ  มะโรงที่สนใจอีกฝ่ายอยู่แล้วรีบเข้าไปมองดูแบบใกล้ชิดในทันใด  ดวงตาสีเพลิงอ่านลายเส้นของปากกาอย่างตั้งใจเต็มที่  แล้วก็ต้องสงสัยอีกรอบ...ว่าตัวหนังสือแบบไม่มีบนมีล่างนี้  มันอ่านแบบไหนกันในเมื่อบิดาของเขาก็ไม่เคยสอนเสียหน่อย

   “เขียนว่าอะไรล่ะนั่น...ข้าอ่านไม่ออก”  มะโรงเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดเอาแต่ใจ  ทำให้มอร์คาวน์ที่กำลังจดข้อมูลอยู่ต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ

   ดวงตาสีเป็นเอกลักษณ์ที่มองมาด้วยความแง่งอนนั้น  ทำให้ชายหนุ่มต้องหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดู  “ก็เขียนที่คุณบอกเมื่อกี้ไงครับ  จดไว้เป็นข้อมูลน่ะ  เพียงแต่ผมเขียนภาษาไทยไม่เป็น  แต่พูดได้เพราะทำงานวิจัยเกี่ยวกับที่นี่โดยเฉพาะอยู่แล้วน่ะครับ”

   “ข้าก็มาแถวนี้บ่อย ๆ นะ  เมื่อสองปีก่อน  แต่ช่วงที่ผ่านมาต้องเรียนรู้เรื่องในเมืองมากมาย  ทำให้ออกมาไม่ได้  ไม่เช่นนั้นจะรู้มากกว่านี้อีก...”  มะโรงโอ้อวดด้วยความทะนงในตนเอง  “ถ้าไปด้านโน้นป่าจะสวยมาก  ลึกเข้าไปจะเจอน้ำตกที่แม้แต่คนในหมู่บ้านก็ยังเข้ามาไม่ถึงเชียวนะ”

   เพียงแค่นึกได้บุตรงูเจ้าก็รีบเดินไปตามทางนั้นอย่างรีบร้อน  ทำให้มอร์คาวน์ที่กำลังฟังอย่างสนใจต้องเดินตามไปด้วยความอยากรู้...ว่าชายหนุ่มคนนี้  จะรู้จริงในสิ่งที่บอกหรือไม่

   “แล้วทำไมวันนี้ถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ  ในเมื่อไม่ได้มานานแล้ว...”  มอร์คาวน์ที่เดินตามมาอย่างถือวิสาสะเอ่ยถามด้วยความสนใจ

   มะโรงเงียบไปคล้ายไม่อยากจะตอบ  แต่สุดท้ายก็ตอบจนได้  “ถูกภรรยาไล่ออกจากบ้านมาน่ะสิ  ทะเลาะกันเช่นไรเล่า  เค้าก็เลยโกรธใหญ่เลย  ไฟลุกบ้านเลยล่ะเจ้าเชื่อหรือไม่  ว่าไปแล้วก็คิดถึงเหลือเกิน  แต่ว่ายังไม่ถึงเวลากลับไปหาหรอก...ข้าทำตัวไม่ดีเอง  คราวหน้าจะทำตัวดี ๆ แน่นอนเลย  เค้าจะได้ไม่ต้องเสียใจอีก...”

   มอร์คาวน์อดจะเสียใจลึก ๆ ไม่ได้  เมื่อไม่คิดว่าคนที่หมายปองเอาไว้ตั้งแต่แรก  จะมีเจ้าของแล้วเช่นนี้  ที่สำคัญดูเหมือนอีกฝ่ายจะรักภรรยามากเสียด้วยนี่สิ...  “ผมก็เคยมีคนที่รักเหมือนกัน  แต่ว่าก็ถูกทิ้ง...ทิ้งแล้วทิ้งเลยด้วยสิ” 

   “เสียดายจริง  ตุ๊กตาสีซีดน่ารักแบบนี้  ก็ยังถูกทิ้งเลยหรือนี่  น่าสงสารเจ้าจริง ๆ เลยนะ  มานี่สิเดี๋ยวจะพาไปเที่ยวสนุกเอง  นี่เพราะเจ้าเป็นคนดีหรอกนะ...แค่ข้าเห็นว่าดีก็พอแล้วล่ะ”  มือใหญ่คว้ามือเล็กกว่ากอบกุมเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

   มอร์คาวน์หัวเราะเบา ๆ คลอไปกับสายลมบางเบากลางป่า  คิดในใจว่าบางทีการมีเพื่อนใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก  หากเขาจะเปิดใจยอมรับใครสักคน...เขาอาจจะได้พบกับความสุขบ้างก็ได้  แม้สิ่งนี้จะไม่ทำให้เกิดความรักก็ตาม
   “เล่าเรื่องของคนรักคุณให้ผมฟังบ้างสิ...”

   มะโรงยิ้มสดใสเมื่อได้ฟังคำขอนั้น  แล้วเริ่มเล่าช้า ๆ  “หนูมุกน่ะนะ  เป็นเด็กที่ดีมาก  แม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง  แต่ก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน  เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกว่าช่างอบอุ่นจริง ๆ  ถึงจะใจร้ายในบางครั้ง  แต่หนูมุกก็เป็นคนที่ข้ารักที่สุด...”

   เรื่องราวที่เล่าสู่เพื่อนใหม่ฟัง  ดังอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่ทั้งคู่ก้าวเดินไป  มิตรภาพอันอบอุ่นระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่านั้น  เริ่มต้นจากความใสซื่อบริสุทธิ์ของทั้งสอง...ในวันที่ต่างคนต่างไม่มีใครเคียงข้างกาย

   ++++++++++++++++++++++++

   “สุริตา…คุณมุกมาหรือยัง”  สัตยาเอ่ยถามเลขาหน้าห้องของน้องชายที่กำลังนั่งทำงานอยู่อย่างแข็งขัน

   หญิงสาวแก้มยุ้ยเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับสัตยาและพงหญ้า  “มาตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ  ริตามาถึงก็เห็นคุณมุกนั่งทำงานอยู่ในห้องแล้ว...แต่เธออารมณ์ยังไม่คงที่นะคะคุณหยก” 

   สัตยาพยักหน้าแล้วเดินนำพงหญ้าเข้าไปในห้องทำงานของน้องชาย  โดยมีสายตาของสุริตาที่มองตามเข้าไปอย่างไม่เข้าใจนัก  ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะสอดรู้สอดเห็นขนาดที่จะต้องรู้ไปเสียทุกเรื่อง  จึงได้แต่ก้มลงทำงานต่อไป

   ภาพของภิมุขที่ยืนมองออกไปนอกผนังกระจกกว้าง  รับแสงอ่อน ๆ ของดวงตะวันในยามเช้า  อาจจะดูงดงามเรืองรองในสายตาของใครหลายคน  แต่ก็ไม่ใช่ในสายตาของสัตยาและพงหญ้าที่เห็นเพียงรัศมีของความผิดหวังและเสียใจฉายออกมาชัดเจน

   “ช่างเถอะน่า  อะไรที่มันหายไปแล้วก็ไม่ต้องคิดไปตามหาหรอก  ถ้านายคิดว่าได้แล้วจะทิ้งแบบนี้…พี่ก็รู้ว่านายคงไม่ให้ไป” 

   พูดจบสัตยาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มจนเกิดเสียงดัง  เพราะหวังจะให้ภิมุขมองกลับมาที่ตัวเขาสักนิด…แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแม้แต่น้อย  เมื่ออีกฝ่ายยังคงเหม่อมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

   พงหญ้านั่งลงใกล้ ๆ สัตยาด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร  อย่างน้อยถ้าเป็นคนอื่นทำให้สองพี่น้องคู่นี้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ  เขาก็คงจะสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้แค้นคืนให้ได้  แต่หากเป็นงูเจ้าแล้วไซร้…ยกเว้นไว้เสียหน่อยจะดีกว่า

   “ผมสู้แล้วล่ะพี่…สู้ไม่ไหว  แถมสุดท้ายก็เคลิ้มตามไป  ก็เลยไม่คิดจะยกให้ฟรี ๆ ไง…แต่มันก็เท่านั้น  ได้แล้วโยนทิ้งง่าย ๆ แบบนี้  จะไปตายที่ไหนก็ไปเถอะ…”  แม้จะแฝงด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง  หากน้ำเสียงที่พูดก็ยังคงเฉยชาจนน่าใจหาย

   สัตยากับพงหญ้าฟังแล้วเงียบไป  สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจภิมุขเช่นไร  บางทีหากเวลาผ่านไปนานกว่านี้  ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะเป็นไปตามทางของมันเอง  ถึงวันนั้นความสุขอาจจะคืนกลับมาสู่ภิมุขได้เหมือนเดิม...ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว  ภิมุขยังคงมีความหวังบางอย่าง

   ++++++++++++++++++++++++

   อีกวันผ่านไป...ว่างเปล่าและเงียบเหงา  ร่างโปร่งก้าวเดินไม่มั่นคงเข้าสู่บ้านหลังเล็ก  ที่เคยมีใครบางคนรอคอยอยู่  แม้เพียงวันเดียวก็จำได้ถึงความรู้สึกดี ๆ นั้น  หากวันนี้แม้จะมองหาสักเท่าไหร่  รอบด้านก็ยังคงเงียบงัน...ไร้สรรพสำเนียงใด

   สองขาพาตัวเองก้าวล่วงสู่ห้องนอนอย่างเหนื่อยล้า  ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา  ภิมุขมักจะถูกพี่ชายลากไปรับประทานอาหารเย็นก่อนกลับบ้านเสมอ  เพราะอีกฝ่ายคงรู้ดีว่าในช่วงเวลานี้เขาเลื่อนลอยจนไม่อยากแม้แต่จะแตะต้องสิ่งใด...

   หัวใจอันเหน็ดเหนื่อยนั้น  ทำให้สติค่อย ๆ เลือนสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย  เมื่อไม่คิดจะรับรู้ต่อสิ่งใด  ทั้งความเจ็บช้ำร้าวราน  และความเหงาที่เกาะกินใจเมื่อไม่มีใครบางคน  ที่เคยอยู่ใกล้ ๆ เหมือนวันนั้น...

   “หนูมุก...เหนื่อยมากหรือไร  ฮื้อ...”  น้ำเสียงออดอ้อนนั้นดังอยู่ริมหู  หากเมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นผู้ที่เคยอยากพบยิ้มให้อยู่ไม่ไกล

   “มะโรงน้อย...ฝันดีจัง”  มือบางเอื้อมขึ้นไล้สันกรามบนใบหน้าคมอย่างคิดถึงเป็นที่สุด  “ไม่เป็นไรใช่มั้ย  คงจะไม่เป็นเป็นไรจริง ๆ สินะ...”  คำถามนั้นราวกับถามตัวเองอยู่ในใจเช่นกัน

   มือใหญ่กอบกุมมือเล็กเอาไว้  แล้วจุมพิตลงแผ่วเบาอย่างรักใคร่สุดประมาณ  “ไม่ได้เป็นอะไร...ไม่ต้องห่วงนะ  หนูมุกไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรงเลย  มะโรงเป็นห่วงหนูมุก  มะโรงไม่ดีเอง...ขอโทษนะหนูมุก  มะโรงจะไม่บังคับเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวอีกแล้ว”

   อ้อมแขนไม่กว้างใหญ่โอบรอบร่างสูงกำยำอย่างโหยหา  หากก็ถูกโอบพลิกขึ้นอยู่เหนือคนโตกว่าในทันใด  “หนูมุกยังไม่ได้อาบน้ำเลย...เหนื่อยมากแน่ ๆ”

   “เหม็นเหรอ”  คนถามนอนหลับตาพริ้มอยู่บนร่างแข็งแกร่ง  ใบหน้าที่อมยิ้มอยู่ซุกซบอยู่กับแผ่นอกกว้างอย่างมีความสุข

   “เปล่า...หนูมุกหอมอยู่ทั้งวันนั่นแหละ  ก็มะโรงชอบกลิ่นของหนูมุกนี่นา  หอมเหมือนตุ๊กตาสีซีดเลย  แต่มะโรงก็รักหนูมุกคนเดียว  ถึงตุ๊กตาสีซีดจะน่ารักก็เถอะ...”  คำพูดตรงไปตรงมาไร้เดียงสา  แต่กลับทำให้คนที่หลับตาพริ้มดวงตาลุกโพลงได้อย่างน่ากลัว

   “ใครกัน...ตุ๊กตาสีซีดนั่น”  ภิมุขขยับพลิกตัวอยู่บนเรือนกายแกร่ง  แล้วคาดคั้นถามด้วยความไม่ชอบใจ  คิดแล้วก็กดปลายจมูกสูดกลิ่นกายอีกฝ่ายอย่างค้นหา  “ติดกลิ่นน้ำหอมใครมากันเนี่ยมะโรงน้อย  หายไปอาทิตย์เดียวก็ไปมีคนอื่นแล้วเหรอ  คิดจะท้าทายใช่มั้ย...”

   “เปล่านะ  มะโรงกับตุ๊กตาสีซีดเป็นเพื่อนกันต่างหาก  หนูมุกกล่าวหานี่...”  คนตัวโตกว่าหัวเราะคิกอย่างชอบใจเมื่อเห็นภิมุขหึงหวง  แต่ก็ใช่จะไม่รู้เสียหน่อยว่าอีกฝ่ายหวงเขาสักแค่ไหน

   ภิมุขผุดลุกขึ้นนั่งคร่อมคนที่กำลังแก้ตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก  ร่างโปร่งดูเหมือนจะผอมบางลงมากทีเดียวในช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านไป...

   เน็คไทผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มถูกดึงออกอย่างหงุดหงิด  ก่อนที่มะโรงจะได้นอนตาค้าง  เมื่อมือบางเอื้อมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนหมด  ผิวขาวเนียนเผยออกยั่วเย้าสายตาเพียงเล็กน้อยอย่างน่ามอง  ก่อนที่เจ้าของเรือนร่างจะโยนเข็มขัดหนังแท้ทิ้งอย่างไม่ใยดี...

   ซิปกางเกงถูกเลื่อนลงเผยให้เห็นกางเกงชั้นในสีอ่อน  ทำให้ดวงตาสีแดงเพลิงได้แต่จับจ้องอย่างทำอะไรไม่ถูก  เมื่อไม่คิดว่าภิมุขจะเย้ายวนใจได้มากมายถึงเพียงนี้  เรียวแขนขาวสะอ้านวางทาบอยู่กับสองแขนของคนรัก  ก่อนที่ร่างนวลจะโน้มลงมอบจุมพิตแสนหวานให้กับอีกคน...ด้วยความรักและหวงแหนที่มีอยู่เต็มเปี่ยม

   เพียงแค่นั้น...มะโรงที่นิ่งไปก็เริ่มจะรู้สึกตัว  มือใหญ่ดึงร่างโปร่งเข้าหาจนแนบชิดสนิท  เสื้อเชิ้ตที่เผยให้เห็นไหล่เนียนถูกถอดทิ้งไป  ก่อนจะตามด้วยชิ้นอื่น ๆ กระทั่งไม่เหลือสิ่งใดปกปิดสายตา

   ริมฝีปากที่ประกบกันแสนหวานแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงและเรียกร้องมากขึ้น  มือใหญ่ไล้ไปตามผิวเนียนจนทั่วทั้งเรือนกาย  หากดวงตาสีแดงเพลิงคู่นั้นก็ยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาแดงเรื่อที่แสดงเสน่ห์ออกมาอย่างไม่ปิดกั้น...แม้จะไม่ได้เห็นดวงตาคู่สวยที่หลับพริ้มในยามนี้

   ริมฝีปากบางเลื่อนไล้คลอเคลียที่ซอกคอกรุ่นกลิ่น  แล้วไล้เรื่อยลงสู่แผ่นอกเนียนนุ่ม  หยอกเย้าอยู่กับยอดอกสีอ่อนที่คล้ายดอกตูมกำลังบาน  ให้เจ้าของร่างที่กำลังเคลิบเคลิ้มล่องลอยไปอย่างไม่รู้สึกตัวไม่รู้สึกถึงแรงรุกล้ำในเบื้องล่าง  แม้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดมากเพียงไหนก็ตาม...

   สองแขนโอบกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น  เมื่อยามที่แรงเคลื่อนไหวด้านล่างรุกเร้ารุนแรงมากขึ้น  แม้จะไม่สามารถนับได้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่  แต่ดวงตาที่เคยปรือปรอยหวานฉ่ำอยู่เสมอก็กลับหลับสนิทไปด้วยความเหนื่อยอ่อน  หากก็ไม่ได้เอ่ยห้ามปรามผู้ที่โอบกอดตนเองเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย...เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่สิ้นสุดความต้องการ

   กระทั่งแสงสว่างสุดท้ายดับวูบลง...พร้อมกับความสุขสมที่ต่างฝ่ายต่างได้รับอย่างเต็มเปี่ยม  ภิมุขที่หมดแรงหลับสนิทไปแล้วก็ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีก  แม้แต่เสียงน้ำไหลที่ดังก้องอยู่ในห้อง  และยามที่ผิวกายได้สัมผัสความนุ่มของเตียงกว้างอีกครั้ง...

   อ้อมกอดแนบสนิทคลายออกเมื่อเข้าสู่เวลาเช้าตรู่  ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องใบหน้าที่กำลังนอนหลับอย่างมีความสุข  ด้วยความรักทั้งหมดที่มี...

   ค่ำคืนที่ผ่านไปราวกับความฝันอันแสนหวานนั้น  กำลังจะล่วงผ่านสู่ความเป็นจริงแล้วในไม่ช้า  แม้ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นจะมองไม่เห็นเขาอีกในช่วงเวลาแห่งแสงสว่าง...แต่เมื่อไรก็ตามที่ความมืดฉาบโรยความสุขจะคงอยู่เสมอ

   “หนูมุก...วันนี้ยิ้มได้แล้วนะ  อย่าลืมคิดถึงมะโรงด้วยล่ะ...คนดี”  ริมฝีปากบางจูบประทับลงบนริมฝีปากอิ่มแผ่วเบาคล้ายคำบอกลา

   แล้วความฝันของค่ำคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป...พร้อมกับการจางหายไปของหมอกหนาทึบภายในห้องแห่งนี้ 

   ‘รักหนูมุก...ที่สุดเลย’

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2013 20:01:49 โดย OIL1982 »

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่รัก 6



   ‘พระเพลิงผลาญ  ผลไม้ป่าสูญนับพันล้าน  คฤหาสน์เหลือเพียงเถ้าถ่าน’

   พาดหัวข่าวตัวโตบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน  ซึ่งมียอดขายอันดับหนึ่งในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  เรียกความสนใจจากคนในจังหวัดได้เป็นอย่างดี  เพราะต่างก็อยากจะรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์แบบฉับไวเช่นเดียวกัน

   เพียงไม่นานเหตุการณ์เพลิงไหม้คฤหาสน์และโกดังเก็บผลไม้ของกลุ่มผลไม้ป่า  ก็กลายเป็น  TALK  OF  THE  TOWN  ที่โด่งดังไปทั่วทั้งจังหวัด  ไม่ว่าบ้านไหน ๆ ก็ต้องยกมาเล่าสู่กันฟังถึงความน่าจะเป็นของสาเหตุที่ทำให้กลุ่มส่งออกผลไม้อันดับสองของจังหวัดต้องสูญทรัพย์สินไปเกินกึ่งหนึ่ง

   “มุก  นายเห็นพาดหัวข่าววันนี้รึยัง  เค้าว่าพวกผลไม้ป่าสูญเกือบพันล้านเลยว่ะ...พงหญ้านี่สงสัยจะเก่งเรื่องเลว ๆ มากเกินไปแล้ว”  สัตยาเอ่ยปากพูดกับน้องชายที่เพิ่งเปิดประตูห้องเข้ามา  ส่วนสายตากลับมองไปยังคนที่กอดเอวซบไหล่อยู่ข้าง ๆ  เขาบนโซฟามุมห้อง

   “เรื่องน่าเบื่อแบบนั้นอย่าพูดให้รำคาญเลยพี่หยก  หาเรื่องประเทืองปัญญามาคุยกันดีกว่าน่า…”  ภิมุขถอนใจเหนื่อยหน่าย  ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงแบบไม่มีจิตใจจะทำอะไร

   สัตยากับพงหญ้าหันมองหน้ากันอย่างสงสัย  ว่าทำไมช่วงนี้ภิมุขถึงได้อารมณ์เปลี่ยนง่ายถึงขนาดนี้  ก่อนจะซุบซิบกันสองคนจนภิมุขต้องมองจ้องอย่างเอาเรื่อง…

   “อย่ามานินทาผมต่อหน้านะ  เดี๋ยวก็จับกินทีเดียวสองคนเลยดีมะ…”  เมื่อจะพูดต่อเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นแบบไม่น่าไว้ใจ  ทำให้ทั้งสามคนในห้องต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ

   “คุณมุกคะ…คุณวลีลดาขอพบค่ะ”  เลขาหน้าห้องของสัตยาถูกผลักจนเซถลาล้มลงไป  ก่อนที่หญิงสาวหน้าตาฉาบด้วยเครื่องสำอางหลายยี่ห้อดังจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

   “สวัสดีค่ะคุณมุก  คงเห็นข่าวที่บ้านลดาแล้วใช่มั้ยคะ  เกิดเรื่องร้าย ๆ เต็มไปหมดเลย  สมบัติที่น่ารักของลดาก็หายไปกับไฟจนหมด  คุณพี่ก็ไม่ยอมให้ซื้อใหม่ด้วย  บอกว่าเรากำลังแย่…คุณมุกช่วยลดาหน่อยสิคะ”  สีหน้าท่าทางราวกับนางร้ายจากละครทีวีทำให้คนมองต้องแอบเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้อย่างที่สุด

   “แหม…คุณลดาครับ  จะให้พวกเราช่วยแบบไหนล่ะครับ  รู้สึกว่าพวกเราจะรวยไม่เท่าคุณลดานะ  ส่งออกผลไม้เหมือนกันก็จริง  แต่พวกผมน่ะกำไรน้อยกว่าเยอะเลย  คนโกงไม่เป็นก็แบบนี้ล่ะครับ  เนาะหยกเนาะ…”  พงหญ้าประชดประชันด้วยรอยยิ้มสมใจ

   “ไอ้คนใช้  ไม่ได้ขอความเห็นซักหน่อย…เงียบไปเลย”  เสียงแหลมกรีดร้องอย่างไม่พอใจ  แต่คำต่อว่านั้นทำให้สัตยาต้องดีดตัวลุกขึ้นด้วยความโมโห  หากก็โดนพงหญ้าดึงลงไปซบอยู่กับอกเสียก่อนจะได้ทำอะไร

   “ปกป้องกันดีจริง ๆ เลยนะคะคุณหยก  แหม…คุณพี่น่าจะได้รู้นะเนี่ยว่าพวกคุณรักกันมากขนาดไหน”  น้ำเสียงนั้นทั้งเยาะเย้ยและดูหมิ่นจนภิมุขเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง

   “มันจะมากไปแล้วมั้งครับคุณลดา  ถึงคุณจะรวยกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ  มีเชื้อมีสายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นเจ้าขุนมูลนาย  หรือพวกกินบ้านกินเมือง  แต่ตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากพวกเราหรอก  บางทีตอนนี้บ้านอัญมณีอาจจะมีทรัพย์สินมากกว่ากลุ่มผลไม้ป่าก็ได้…ใครจะไปรู้” 

   ภิมุขประกาศสงครามอย่างตรงไปตรงมาจนคนอื่น ๆ ตกใจกันไปหมด  ไม่เว้นแม้แต่วลีลดา  “พวกเราสูญเสียเพราะพวกคุณมามากพอแล้วล่ะ  เอาคืนแค่นี้ผมว่าไม่มากไปนักหรอก  ถ้าอยากจะไปแจ้งความก็เชิญเถอะ  คงจะมีคนเชื่อคุณหรอกนะ  ในเมื่อพวกเราทำอะไรเปิดเผยอยู่ตลอด…ต่างกับคุณ”

   ดวงตาของหญิงสาวลุกโพลงด้วยความตกใจ  เมื่อไม่คิดว่าคนที่เคยนอบน้อมให้ตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา  จะกล้าพูดจาอาจหาญเยี่ยงนี้  แต่หน้าตาขึงขังจริงจังของภิมุขเป็นเครื่องยืนยันได้ดี  ว่าอีกฝ่ายพร้อมจะประกาศสงครามกับเธอและกลุ่มผลไม้ป่าแล้ว  เมื่อเข้าใจได้ดังนั้นเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งตึก…

   “สุริตา  โทรเรียกวิศวกรดูแลตึกเรามาด่วนเลย”  ภิมุขตะโกนกลบเสียงกรีดร้องอย่างรำคาญ 

หากเลขาสาวสวยก็ยังคงตะโกนถามกลับมาด้วยความสงสัย  “เรียกมาทำไมล่ะคะคุณมุก…” 

   “ผมคิดว่าตึกเรามันคงจะร้าวแล้วล่ะ  ผมจะให้เค้ามาตรวจดูให้เรียบร้อย  เกิดมีรอยร้าวแล้วอยู่ ๆ ถล่มลงไป  จะได้ส่งรายงานฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกลุ่มผลไม้ป่าได้…”  ภิมุขตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  แล้วไม่ลืมจะยักคิ้วหลิ่วตาใส่วลีลดาที่เพิ่งจะเงียบเสียงไปด้วยความคาดไม่ถึง

   “ฝากเอาไว้ก่อนเถอะพวกแก  อุตส่าห์ลดตัวลงมาคบค้าสมาคมด้วยยังไม่เห็นบุญคุณ  ซักวันฉันจะให้คุณพี่เล่นงานพวกแกจนปางตายเลย…”  พูดจบเจ้าหล่อนก็สะบัดก้นออกจากห้องไปด้วยความโกรธจัด

   พงหญ้าเอามือที่ปิดหูสัตยาออก  แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย  “จะดีเหรอคุณมุก  เล่นประกาศสงครามไปแบบนี้  พวกเราจะเอาตัวรอดได้จริง ๆ น่ะเหรอ  กลุ่มนั้นเค้ามี  Go  We  Gone  คุ้มหัวอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

   “เรื่องตลกน่ะสิ  เมื่อวานผมเพิ่งโทรไปคุยกับรุ่นพี่อัคนีมา  ถึงได้รู้ว่าที่พวกนั้นเคยขู่ไว้น่ะแค่สร้างเรื่อง  เห็นว่าทาง  Go  We  Gone  จะเอาเรื่องอยู่เหมือนกันที่คิดง่าย ๆ เอาชื่อเค้ามาขู่ชาวบ้านแบบนี้  แล้วทีนี้ก็เห็น ๆ ว่าใครจะเหนือกว่า…”  ภิมุขบอกด้วยรอยยิ้มพออกพอใจ  ก่อนจะหันไปกระแนะกระแหนพี่ชายที่ยังคงซึมเศร้าซบอยู่กับอกคนรักไม่ห่าง

   “เฮ้ย…พี่หยกครับ  กรุณาฟื้นสติหน่อยเถอะ  มันจะอะไรนักหนาวะครับ  แค่พี่พงโดนคนบ้าดูถูกไปนิดเดียวถึงกับสติหลุดปานนี้  มันอะไรกันวะนิสัยของ ๆ ข้าคนอื่นห้ามแตะเนี่ย”

   พงหญ้าก้มลงจูบหน้าผากมนด้วยรอยยิ้มชอบใจ  แต่สัตยาก็หันหน้ามาต่อว่าน้องชายอย่างโมโหที่ทำลายบรรยากาศดี ๆ ของตัวเอง  “แล้วนายไม่เป็นเหรอวะถึงมาว่าคนอื่นเค้า  กลับบ้านไปเลยไป  ป่านนี้พี่มะโรงคงไปคลอเคลียอยู่กับน้องตุ๊กตาหน้าหวานแล้วล่ะม้าง…”

   “ไอ้พี่บ้า  รู้แบบนี้ไม่เล่าให้ฟังก็ดี  ไม่ต้องมาว่าคนของคนอื่นเค้าเลยนะ  แค่พี่พงน่ะดูแลให้ดีก่อนเถอะ  เมื่อเช้าผมเห็นไปป้อเลขาท่านประธานด้วย  โธ่ ๆ น่าสงสารเพิ่งจะรู้ล่ะสิ”  ว่าแล้วคนที่ทิ้งระเบิดไว้ก็วิ่งหายออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

   สัตยาหันไปตาเขียวใส่พงหญ้าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว  “ไม่จริงซักหน่อย  เมื่อเช้าก็เดินเกาะแข้งเกาะขาหยกอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ  นี่เรายังไม่ได้แยกกันตั้งแต่เช้าเลยนะครับที่รัก  ก็พอเข้าห้องมาพงก็มาออเซาะหยกอยู่นี่แหละ”

   สัตยานึกย้อนกลับไปตั้งแต่เช้าแล้วพยักหน้าเห็นด้วย  “นั่นดิ  ก็นั่งหาเศษหาเลยกันแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วจริง ๆ ด้วย  กระทั่งยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงนี่แหละ  ใช่มั้ย…”  เสียงถามนั้นประชดอยู่เล็ก ๆ  “แล้วเมื่อไหร่จะได้กินวะครับคุณพงหญ้า”

   “ตอนเย็นก็ได้นี่…”  สิ้นเสียงนั้นร่างบางก็ถูกดันลงนอนราบไปโซฟา  ปล่อยให้คนรักได้หาเศษหาเลยกับผิวนวล ๆ ต่อไป…จนกว่าจะพอใจและเลิกราไปเอง

++++++++++++++++++++++++

   “มะโรงจะไปที่ใดกันเล่า…”  น้ำเสียงหวานนุ่มเอ่ยถามบุตรชายอย่างสงสัย  เมื่อเห็นอีกฝ่ายรีบร้อนวิ่งเข้าไปในห้องพิธีที่อยู่ภายในศาลงูเจ้า

   มะโรงหันกลับมาด้วยความตกใจ  “ท่านแม่กลับมาแล้วหรือครับ  เอ่อ…ลูกจะไปหาหนูมุกครับท่านแม่  ท่านพ่ออนุญาตให้ไปได้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว”

   หยาดทิพย์พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปใกล้บุตรชายคนโปรด  ลูบแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างรักใคร่  “ดีแล้วล่ะที่พ่อเจ้าอนุญาต  มะโรงเอ๋ยพ่อเจ้าเค้าทุ่มเทเพื่อเจ้ามากถึงเพียงนี้เชียว…หากบรรดางูเทพบนขุนเขาทราบเรื่องราวเข้า  พ่อเจ้าคงต้องมีโทษมหันต์เป็นแน่”

   มะโรงหลุบสายตาลงต่ำ  ก่อนจะอ้อมแอ้มถามมารดาอย่างไม่เข้าใจนัก  “เมื่อครั้งลูกฟื้นคืนสติ  ลูกพบงูเทพเหม่เม๋  ท่านแม่ท่านพ่อกับงูเทพเหม่เม๋มีความสัมพันธ์กันเช่นไร  ก็…ลูกเพิ่งเห็นท่านเหม่เม๋กลับไปเมื่อวานนี้เอง”

“ฮื้อ…ท่านเหม่เม๋มาหรือ  ตายจริง!!!”   หยาดทิพย์อุทานด้วยความตกใจ  “ลูกรักเจ้าไปหาหนูมุกของเจ้าก่อนเถิด  แล้วคราวหน้าแม่จะเล่าให้ฟัง  ไม่มีอะไรมากมายหรอกลูก”

   บุตรงูเจ้าพยักหน้ารับคำมารดาแต่โดยดี  ก่อนที่จะเดินหายเข้าสู่ห้องพิธีไป  หยาดทิพย์เดินตรงไปตามทางเดินที่ทอดยาวภายในศาล  และรู้ดีว่าภาพแรกที่ได้พบจะต้องเป็นอย่างที่คิดเอาไว้เป็นแน่

   “ท่านพี่…”  หยาดทิพย์เอ่ยทักงูเจ้าที่กำลังเหม่อมองไปไกลแสนไกล  ผ่านระเบียงศาลงูเจ้าทางด้านทิศตะวันออกตรงไปยังขุนเขากว้างใหญ่ 

   “ข้าได้ข่าวว่าท่านเหม่เม๋มาที่นี่หรือ…”  ทั้งเสียงเรียกและเสียงที่เอ่ยถามนั้นไม่ทำให้งูเจ้าหันกลับมาหาหยาดทิพย์ได้  กระทั่งมือบางวางทาบลงไปบนแขน  ดวงตาสีแดงสดนั้นก็เพียงแค่ทอดมองมาที่เธอเท่านั้น

   “ท่านเหม่เม๋มิได้เอาผิดกับท่านเรื่องที่ช่วยมะโรงใช่หรือไม่”  หยาดทิยพ์เอ่ยถามอีกครั้ง  หากก็ไม่ได้รับคำตอบ  “ข้าควรจะรู้ตั้งแต่แรกว่ามันเป็นเช่นนั้น  ข้าจะไม่ถามสิ่งใดให้สะเทือนใจท่านอีก  แต่ข้าก็อยากจะเตือนท่านไว้  ว่าอย่าทำให้ท่านเหม่เหม๋เป็นห่วงมากไปกว่านี้เลย”

   “ข้าเข้าใจแล้ว…น้องข้า”  เสียงนั้นฟังดูอ่อนแรง  หากหยาดทิพย์ก็ได้เพียงแค่ยิ้มให้กับตนเอง  และเดินกลับเข้าสู่ด้านในด้วยความเห็นใจต่อชะตากรรมของทั้งตัวเอง  พี่ชายและงูเทพผู้สูงศักดิ์

   ++++++++++++++++++++++++

   ‘บาปที่ก่อนั้นจะทำให้ตัวตนอันบริสุทธิ์แปดเปื้อน 
จากสีขาวสู่สีเทา…จากสีเทาสู่สีดำสนิท 
เพียงบาปเล็กน้อยที่สร้าง…แลที่ก่อ 
จะทำให้งูเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ถูกลดฐานันดร 
กลับกลายเป็นเพียงจงอางธรรมดาตัวหนึ่ง’

กฎนั้นย้ำชัดเจนหากแม้ฝ่าฝืน  รัศมีสีขาวที่อยู่รอบตัวก็จะเปลี่ยนแสงสีให้เบื้องบนสามารถเอาผิดงูเจ้าทุกผู้ทุกนามที่ทำผิดได้  เพราะเหตุนี้…เหม่เม๋จึงต้องมา

   “เซค  ท่านคิดอะไรอยู่”  น้ำเสียงหวานใสเอ่ยถามอยู่กับแผ่นอกกว้างอย่างใคร่รู้  ในเวลาปกติและเป็นส่วนตัวเช่นนี้งูเทพกลับกลายเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น

   “คิด…คิดว่าทำไม  เจ้าจึงต้องมาถึงที่นี่  ทั้ง ๆ ไม่เคยมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้ว”  วงแขนอบอุ่นกอดรัดผู้เป็นที่รักไว้แนบสนิท  เมื่อรู้และเข้าใจทุกสิ่งดี  “เหม่เม๋…อย่าคิดเสียสละตัวเองเพื่อข้าอีกเลย  ข้ายังสามารถหลบสายตาของเหล่างูเทพอยู่ได้  อย่างน้อยก็อีกหลายปี  ถึงวันนั้นข้าก็คงส่งลูกข้าได้ถึงฝั่งแล้ว”

   ดวงตาสีเงินหลับพริ้มลงอย่างไม่เห็นด้วยนัก  “หากข้ามั่นใจว่าท่านจะส่งมะโรงน้อยนั่นได้ถึงฝั่ง  เซคข้าจะมาพบท่านเพื่อให้พวกเราเจ็บช้ำกันอีกทำไม  เพราะข้ามั่นใจ…ว่าท่านทำด้วยพลังของท่านผู้เดียวไม่ได้  น้องสาวท่านก็ไม่รู้  ไม่เช่นนั้นคงไม่ส่งเสริมกันมาถึงเพียงนี้”

   “ข้าจะไร้สามารถถึงเพียงนั้นเชียวหรือ  แค่ทำให้ลูกหลุดพ้นจากจิตวิญญาณของเราเพียงเท่านี้”  เซคเอ่ยค้านอย่างมั่นใจในความสามารถที่ตนเองมีอยู่

   เหม่เม๋ลืมตาขึ้นอย่างรำคาญใจกับความดื้อดึงของอีกฝ่าย  “เซค…ที่ท่านไม่เชื่อข้าเป็นเพราะท่านมั่นใจว่าท่านเก่งกาจ  หรือท่านจงใจจะปฏิเสธข้ากันแน่  ท่านคิดจะปฏิเสธข้าอีกครั้งใช่หรือไม่”

   งูเจ้ามองเจ้าของคำถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  มือใหญ่เชยคางมนขึ้นมองอย่างพินิจ  “เหม่เม๋  เจ้าคิดว่ามันง่ายนักหรือที่ใครสักคนจะปฏิเสธตัวเจ้าได้ลงคอ  เจ้าคิดว่าตัวเจ้านั้นเอื้อมถึงได้ง่ายนักหรือไร  เจ้าคิดว่าผิวนุ่ม ๆ ของเจ้าควรแล้วหรือที่จะถูกมองข้าม…อย่างที่ข้าเคยทำด้วยความพยายามอย่างแสนสาหัส  เพราะปรารถนาให้เจ้าขึ้นถึงจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์”

   ดวงหน้าหวานสะบัดมือหนีมือใหญ่  แล้วก้มลงซุกซบอยู่กับแผ่นอกกว้างด้วยความกระดากอาย  “แล้วใครให้ท่านพูดตรง ๆ เช่นนั้นเล่า  หากไม่ปฏิเสธก็…เงียบ ๆ ไม่ต้องบอกข้าก็ได้”

   “แล้วเจ้าจะรู้หรือว่าข้าตอบรับหรือปฏิเสธ…”  เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยกระซิบที่ข้างหู  ทำให้เหม่เม๋ต้องเอียงแก้มหลบ  “เจ้าอายจนตัวร้อนผ่าวเลยล่ะเหม่เม๋”  ไม่วายที่งูเจ้าจะล้อเลียนอีกฝ่ายให้ยิ่งเขินอายมากขึ้นอีก

   “หากไม่ต้อนข้าให้จนมุม  ท่านจะอยู่ไม่สุขหรือไรกันเซค”  เหม่เม๋เงยหน้าถามเผยให้เห็นพวงแก้มสุกปลั่งอย่างน่ามอง  ก่อนที่มือนุ่ม ๆ จะทุบลงบนแผ่นอกแกร่งไปหลายครั้ง

   มือบางถูกกำรวบไว้ทั้งที่งูเจ้ายังคงยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดังเดิม  “มือนุ่มนิ่มถึงเพียงนี้  ผิวนวล ๆ ที่เห็นก็คงจะไม่ต่างกันนัก  หรือมันจะนุ่มกว่ากันแน่นะ”

   เมื่อรู้ว่ากำลังถูกแกล้งเหม่เม๋ก็เริ่มจะหงุดหงิด  แม้ดวงหน้าจะแดงเป็นลูกตำลึงสุกแต่ก็อดเอ่ยปากท้าทายไม่ได้  “หากไม่ลองสัมผัสดู  ใยท่านจะรู้เล่าเซค”

   “ข้าน่ะหรือไม่เคยลองสัมผัส  เหม่เม๋…ข้าจำได้ว่าสัมผัสมาทั้งตัวเจ้าแล้วล่ะ”  เซคยังคงไม่ลดละให้อีกฝ่ายง่าย ๆ ซ้ำมือใหญ่ก็ยังลากไล้จากคอผ่านแผ่นอกลงมาจนถึงหน้าท้อง

   สัมผัสผ่านผ้าเนื้อบางที่สวมใส่ทำให้เหม่เม๋ต้องดึงมือใหญ่เอาไว้  แล้วเงยหน้าทำตาดุใส่คนรักที่มักจะแกล้งยั่วเย้าเขาอยู่เสมอ ๆ  ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่ตัวเขากำลังจริงจังถึงเพียงนี้…

   “เมื่อไหร่จะเลิกแกล้งข้าเสียทีเล่าเซค”

   “เด็กโง่…ข้าเลิกแกล้งเจ้านานแล้ว”  เซคกระซิบเสียงอ่อนหวานอยู่ริมหู  ลิ้นร้อนลากไล้บนหูนุ่มนิ่มให้เจ้าของได้ตกตื่นด้วยยังไม่ทันเตรียมใจ

   ริมฝีปากบางลดลงจุมพิตริมฝีปากอิ่มสีเชอรี่  พร้อมกับที่เรือนร่างผอมบางถูกประคองลงนอนบนพื้นเตียงนุ่ม  ดวงตาสีเงินบริสุทธิ์หลับพริ้มลงพร้อมกับรอยยิ้มบนแก้มแดงเรื่อดูงดงาม…วันเวลาผ่านมาร้อยกว่าปี  วันนี้จะเป็นวันที่พวกเขาได้สมหวังเพียงข้ามคืน

   ผิวเนื้อเนียนถูกเผยให้เห็น  เมื่ออาภรณ์บางพลิ้วเลื่อนหลุด  ทุกซอกมุมบนเรือนกายขาวสะอ้านถูกสัมผัสจากทั้งริมฝีปากและสองมือที่ไล้ไปจนทั่ว  เสียงหวานใสเอ่ยเรียกชื่อของผู้เป็นที่รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า…จวบจนรุ่งสาง

   ฐานันดรที่แตกต่างถูกลบเลือนหายจากความสัมพันธ์แต่ครั้งเก่าก่อน  แม้ความเป็นมานั้นจะไม่ได้สมหวัง  และแม้ในวันข้างหน้าเรื่องราวที่เคยผิดหวังนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง  หากทุกความคิดก็ถูกลบเลือนหายไปจากสัมผัสเพียงบางเบา…

   ดวงหน้าที่หวานที่สุดของผู้เป็นที่รักนั้น  คือยามที่รู้สึกหวั่นไหวจากสัมผัสริมฝีปากที่แตะลงสู่ริมฝีปากและผิวเนื้อเนียนนุ่มจนทั่วร่าง

   เสียงที่หวานที่สุดของผู้เป็นที่รักนั้น  คือเสียงที่เอ่ยเรียกข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ไม่รู้จบ  กระทั่งสติที่มีอยู่ดับสิ้นไป

   ดวงตาที่หวานที่สุดของผู้ที่เป็นที่รักนั้น  คือยามที่ตาคู่นั้นโผล่พ้นเปลือกตาในยามเช้า  และจ้องมองเพียงข้าไม่สนใจต่อสิ่งอื่นใด

   ความรักที่หวานที่สุดของสองเรานั้น  คือวันเวลาที่ผ่านไปโดยมีกันและกันไม่แยกจาก  แลความรู้สึกมากมายที่ได้ใช้ร่วมกันนั้น  จะคงอยู่นานแสนนานตราบชั่วนิรันดร์ที่เราคงอยู่บนโลกแห่งนี้



   ประตูบ้านถูกเปิดออกอย่างรุนแรงด้วยเท้าข้างหนึ่งของภิมุข  ที่แทบจะวิ่งเข้าสู่ด้านในอย่างรีบร้อน  สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด  เมื่อไม่ได้พบคนที่ต้องการพบ  ร่างโปร่งทิ้งตัวนอนลงบนเก้าอี้เบาะนุ่มแล้วดิ้นยุกยิกไปมาอย่างลุกลี้ลุกลน

   “เป็นอะไรเหรอหนูมุกที่รัก”  มะโรงทักขึ้นด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นคนรักนอนดิ้นไปมาไม่หยุดด้วยความหงุดหงิด

   ภิมุขลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหาคนรักด้วยความดีใจ  จนอีกฝ่ายแทบจะกางแขนรับไว้ไม่ทัน  “ไหนว่าวันนี้จะมาเร็วไง  นึกว่าจะมารอซะอีก  ไอ้พี่หยกบ้าก็ชอบขู่ว่ามะโรงจะไปเจ๊าะแจ๊ะอยู่กับตุ๊กตาซีด ๆ นั่น”

   “หึงหวงเหรอนี่…ดีจริง”  มะโรงหัวเราะอยู่กับซอกคอนุ่มอย่างพึงใจ

   “แหวะ…นิดเดียวหรอก”  ภิมุขทำหน้ามุ่ยแล้วลากงูมะโรงเข้าห้องไป  “อาบน้ำกันดีกว่า  วันนี้อากาศร้อนมากเลย  แปลกนะ…ปกติที่นี่อากาศไม่ร้อนนี่นา”

   มะโรงหัวเราะเสียงเบาหากฟังดูน่ากลัว  จนภิมุขต้องหันกลับมามองและพบกับสายตาดุดันที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก  “ทำไมล่ะมะโรง”

   “กลุ่มผลไม้ป่าสูญทรัพย์สินไปมากโข  เห็นว่าก็เลยหาทางทดแทนเงินที่สูญไป  ด้วยการรุกล้ำป่าเก่าแก่ที่อำเภอสุขเหลือแสน  กับอำเภอสุขเหลือล้น  แต่โดนผู้ดูแลที่นั่นจัดการซะราบคาบ  ที่อากาศร้อนเนี่ยเพราะท่านเจ้าทางนั้นโกรธน่ะสิ…”  มะโรงเล่าตามที่ตนเองรู้มา

   ภิมุขฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก  อย่างไรเสียความเข้าใจต่อการคุ้มครองดูแลป่าของเจ้าป่าเจ้าเขาก็ห่างไกลความคิดของคนธรรมดาอย่างเขาไปไกล  คือไม่รู้ว่า ‘จัดการซะราบคาบ’  หน้าตาเป็นแบบไหน  จะเหมือนเมื่อคราวงูเจ้าเล่นงานคนงานที่บ้านเขาเมื่อสิบปีก่อนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ  แต่ครั้นจะถามก็กลัวจะทำให้ต้องหวาดกลัวขึ้นมาอีก…

   “คิดอะไร  เหม่อเชียว”  มะโรงเอ่ยถามขณะเอื้อมมือปลดกระดุมเสื้อให้ภิมุขที่นิ่งเงียบไปนานสองนานจากความคิดของตนเอง

   “เปล่าหรอก  คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย  ช่วงนี้อะไรก็น่าเบื่อไปหมดเลย  พี่หยกก็สวีทกับพี่พงจนเกินเหตุ  เกาะติดกันชนิดที่ไม่ยอมห่างเลย  อิจฉาชะมัด…”  ว่าแล้วก็หันมาทำหน้างอใส่คนรักอย่างน่ารักน่าชัง

   มะโรงก้มลงแตะริมฝีปากลงบนปลายจมูกโด่งสวยของภิมุข  แล้วยิ้มอย่างเอ็นดูจนภิมุขอดทักไม่ได้  “ทำไมไม่กี่วันถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากนักนะ…”

   “ก็ออกสู่โลกกว้างมากขึ้น  แล้วหนูมุกก็ทำตัวเด็กลงด้วยนี่นา”  มะโรงเอ่ยตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ทำให้ภิมุขงอนจนเดินหนีหายเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่รอ

   เสียงน้ำไหลลงสู่อ่างกว้างก้องกังวานไปทั่วห้อง  ภิมุขปลดผ้าขนหนูผืนโตที่คนรักคลุมตัวไว้ให้ออก  แล้วก้าวลงสู่อ่างน้ำด้วยความสดชื่น  น้ำเย็นชื่นใจท่ามกลางอากาศร้อนที่ไม่คุ้นเคยทำให้ภิมุขเพลิดเพลินกับการแช่น้ำ  จนลืมว่ายังมีใครอีกคนที่ยังคงไม่ได้ลงไปนอนแช่ด้วยกันอยู่ด้วย  กว่าจะรู้ตัวมะโรงก็ก้าวลงอ่างอาบน้ำมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วนั่นแหละ…

   มือใหญ่สมตัววักน้ำลูบไล้ไปตามผิวเนียนอย่างคุ้นเคย  ภิมุขรู้สึกสบายจนต้องเอนกายพิงอีกฝ่ายอย่างมีความสุข  ปล่อยให้สองมือของคนรักลูบไล้ไปทั่วเรือนร่าง…จนเผลอหลับไป

   ++++++++++++++++++++++++

   บรรยากาศรอบด้านมืดสนิท  ทำให้ภิมุขที่ตื่นขึ้นกลางดึกต้องผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ  แล้วก็อดโล่งใจไม่ได้เมื่อตัวเขาถูกดึงรั้งไว้โดยผู้ที่นอนอยู่เคียงข้าง

   มะโรงเอื้อมมือเปิดโคมไฟที่โต๊ะหัวเตียงอย่างงุนงง  “ทำไมล่ะหนูมุก  ฝันร้ายเหรอ…ฮื้อ”  ริมฝีปากบางจรดลงบนหน้าผากนวลเบา ๆ อย่างเป็นห่วง

   “ทำไมไม่ปลุกตั้งแต่อาบน้ำเสร็จเล่า  ยังไม่ได้ทำอะไรกันเลย”  ภิมุขต่อว่าคนรักอย่างไม่ชอบใจ  เมื่อเห็นนาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาตีสองเข้าไปแล้ว

   “ทำอะไรกัน…เดี๋ยวนี้หนูมุกทะลึ่งนะเนี่ย”  พูดจบกำปั้นนุ่ม ๆ ก็ทุบไปบนแขนแกร่งอย่างไม่ออมแรง  แต่ก็ไม่ทำให้มะโรงรู้สึกเจ็บขึ้นมาได้

   “หมายถึงว่าไม่ได้กินข้าว  ไม่ได้คุยกันเลย  เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับไปแต่เช้า  แล้วตอนเย็นก็อาจจะเป็นแบบนี้อีกก็ได้  เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่ด้วยกันซะทีล่ะ”  คนถามซุกตัวกอดเอวหนาอย่างออดอ้อน

   มะโรงลูบผมนุ่มอย่างเอ็นดู  “ยังมาไม่ได้หรอก  ต้องจัดการเรื่องทางโน้นให้เรียบร้อยก่อน  แล้วจะมาอยู่กับหนูมุกตลอดไปเลย  ตอนนี้ยังไม่ได้…พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ  หนูมุกก็อย่าออกไปข้างนอกสิ  แล้วมะโรงจะอยู่เป็นเพื่อนอีกสองวันเลย”

   “อยู่ได้เหรอ”  ภิมุขดีดตัวลุกขึ้นด้วยความดีใจ  แล้วขยับขึ้นไปนอนบนร่างสูงใหญ่ของคนรักด้วยรอยยิ้มสมใจ 

   มะโรงกอดรัดร่างโปร่งไว้จนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน  “อยู่ได้…ตอนนี้น่ะนอนได้แล้ว  พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ทำอะไรกันซะที…ทำไปอีกสองวันแบบไม่หยุดเลย”

   “บ้า…”  ภิมุขเงยหน้าต่อว่าคนรัก  แล้วซุกหน้าหลบถ้อยคำสองความหมายไปทันที

   มะโรงรอจนภิมุขหลับสนิทแล้วจึงประคองคนรักลงนอนบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา  ริมฝีปากเผลอขบเม้มไปตามผิวนุ่ม ๆ ไปหลายครั้ง  ก่อนจะสงบใจล้มตัวลงนอนเคียงข้างอีกฝ่ายแล้วปล่อยให้ค่ำคืนเลยผ่านไป  สู่ยามเช้าที่จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีก…แม้เพียงสองวัน

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่่รัก 7
«ตอบ #73 เมื่อ29-12-2013 20:05:26 »

   
อสรพิษที่รัก 7


ริมเส้นทางจราจรที่ทอดยาวไกลกว่าร้อยกิโลเมตร  รถยี่ห้อหรูสีดำสนิทที่อาจจะหาได้ทั่วไปในจังหวัดที่เก้าสิบเก้าจอดนิ่งสนิทอยู่เป็นเวลานาน  ฟิล์มกรองแสงสีทึบยากเกินกว่าจะมองทะลุสู่ภายในได้  ทำให้ผู้ที่สัญจรผ่านไปมาไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดปัญหาใดขึ้นกับรถคนนี้หรือไม่ 

   บนเบาะของผู้ขับรถที่เอนลงเพื่อให้นอนได้สบาย  ถูกจับจองโดยชายหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ จมูกโด่ง  ดวงตาคม  หล่อเหลาในแบบของเจ้าขุนมูลนายในยุคก่อน  เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มถูกพับแขนขึ้นเหนือข้อศอกทั้งสองด้าน  ชายเสื้อนั้นหลุดลุ่ยออกนอกกางเกงอย่างเห็นได้ชัด

   เสียงถอนหายใจอันหนักหน่วงดังต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า  เมื่อยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานที่ผ่านมา…บ้านหลังใหญ่โตที่อยู่มาสองชั่วอายุคนถูกเพลิงเผาผลาญเสียสิ้น  และรู้ดีว่าคงเป็นเพราะความผิดพลาดแบบไม่ตั้งใจของตนเองโดยแท้

   สิ่งที่สูญเสียไป  เกือบทุกอย่างสามารถแสวงหามาใหม่ได้  ทั้งทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาล  แต่สิ่งที่ตีราคาได้เช่นนั้นจะคงอยู่สักเท่าไหร่ก็คงไม่ต่างกัน  หากบางสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจเล่า  สิ่งที่แม้จะใช้เวลาค้นหาทั้งชีวิต…ก็คงไม่มีวันได้มาครอบครองอีก

   นัยน์ตาคมเปล่งประกายขึ้นในเวลาชั่ววูบ  เมื่อรู้ว่าการจะครอบครองสิ่งใด ๆ นั้น…ไม่ยากเลย!!!

   เสียงล้อบดกับถนนดังลั่น  ก่อนรถคันที่จอดนิ่งสนิทจะออกตัวอย่างรวดเร็วปานพายุ  สู่จุดหมายในห้วงความคิด  ระยะทางแม้ยาวไกลสักหมื่นลี้  จะใกล้เข้ามาอีกนิดหากหัวใจคิดจะไปให้ถึงที่หมาย

   ++++++++++++++++++++++++

   ลำธารสายยาวทอดผ่านป่าอนุรักษ์ของชุมชน  เป็นดั่งกระแสชีวิตที่สำคัญต่อเกษตรกรผู้ทำสวนผลไม้  และแบ่งปันไปจนถึงชาวนาผู้ปลูกข้าว  ซึ่งแม้จะมีไม่มากในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  แต่ก็เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจอันรุ่งเรืองในจังหวัดแห่งนี้

   น้ำใสไหลระเรื่อยเอื่อย  กระทบประกายแสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้ยืนต้นสูงที่ทอดตัวระหว่างสองฝั่งลำธารให้เห็นแสงระยิบระยับงดงามจับตา  ดอกราชพฤกษ์สีเหลืองเป็นรวงมากมายตามฤดูกาลร่วงหล่นคล้ายสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย…

   ดวงตาสีฟ้าใสทอดมองกลีบดอกสีเหลืองสดร่วงหล่นอย่างสบายใจ  สองขาราน้ำในลำธารเล่น  พร้อมกับการหลบเหล่าปลาตัวเล็ก ๆ มากมายที่ว่ายวนอยู่ริมธาร

   เสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบทำให้ดวงตาสีฟ้าต้องละจากเบื้องบน  แล้วเอี้ยวตัวมองไปด้านหลัง  ก่อนรีบลุกขึ้นด้วยความตกใจ  และล้มลงริมลำธารไปครึ่งตัว  หากเขากลับตัดสินใจขยับตัวลงสู่ส่วนน้ำลึกแทนที่จะขึ้นฝั่ง  เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

   “คิดจะว่ายน้ำหนีเลยเหรอม็อคค่า  คุณไม่เห็นเหรอว่าตรงนี้มันเป็นแอ่ง  ถ้าจะว่ายเป็นทางยาวไปเรื่อย ๆ ต้องด้านล่างโน่น…”  น้ำเสียงแม้ฟังดูเฉียบขาด  แต่กลับแฝงแววหยอกล้อไว้ชัดเจน  “ขึ้นมาดีกว่า  น่าจะรู้นะว่าถ้าให้ผมลงไปตามถึงในน้ำแล้วจะเป็นยังไง”

   คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดพลาดเพราะความตกใจ  มองคนบนฝั่งตาขวาง  “คุณจะมาทำไมในป่าแบบนี้  มันไม่ใช่ที่ ๆ คุณจะทำงานได้ในวันหยุดหรอกนะพฤกษ์”

   ผู้มาใหม่ลงมือถอดถุงเท้าและรองเท้า  แล้วลดตัวนั่งริมลำธารลักษณะเหมือนกำลังกดดันคนในน้ำอย่างใจเย็น  ดวงตาคมเสมองไปรอบ ๆ ป่าอย่างสบายใจ  ไม่ทุกข์ร้อนต่อดวงตาที่ตวัดค้อนมาให้หลายครั้ง

   “ลงไปตามจับในน้ำ  แล้วกอดซะแถวนี้เลยดีมั้ยเนี่ย  ทำไมถึงได้ดื้อนักนะ”  คนที่ชักจะเริ่มหมั่นไส้แกล้งพูดเสียงดัง  ทำให้อีกคนต้องขยับตัวว่ายน้ำห่างออกไปอีก

   “ทำไม ?  เกลี้ยกล่อมบอสของอัญมณีไม่สำเร็จหรือไง  ถึงได้คิดจะมากลืนน้ำลายตัวเอง”  น้ำเสียงประชดประชันเอ่ยถามอย่างหงุดหงิด  “มันไม่ง่ายหรอกนะคุณพนาสัณฑ์”

   “ใครไปเกลี้ยกล่อมใคร  อะไรกันม็อคค่าอ่านข่าวสังคมแล้วแอบหึงผมเหรอเนี่ย  ถึงว่าสิไม่เห็นกลับเข้าเมืองบ้างเลย  ที่แท้ก็เข้าใจผิดคิดว่าผมไปตามคุณสัตยาที่เอง  บอกให้รู้นะ…รายนั้นน่ะงานอดิเรกของเค้าคือหาเรื่องให้คนรักหึงหวง  จนมันเกิดเรื่องใหญ่โตนี่แหละ”  ว่าแล้วคนพูดก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหัวใจ  ที่หลายครั้งก็เออออยอมตามน้ำฝ่ายนั้นไปด้วยความนึกสนุก  จนสุดท้ายบ้านที่มีก็วอดวายไปกับตานั่นแหละ

   “อย่ามาแก้ตัว  คุณก็รู้ว่าที่เกิดเรื่องไม่ใช่เพราะคุณทำตัวชีกอ  อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้เรื่องไฟไหม้สวนอัญมณีสามจุดในวันเดียวน่ะ  ถึงไม่ได้ลงข่าวแต่ผมได้ยินคนงานของคุณที่มาส่งข้าวของพูดกันไม่ขาดปาก” 

   มอร์คาวน์ว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งเพราะเริ่มหนาว  ก่อนจะถูกพนาสัณฑ์ดึงตัวขึ้นมานั่งริมตลิ่งด้วยสีหน้างุนงง   “ไฟไหม้สวนอัญมณี  วันไหน…ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

   “ตีหน้าซื่อเก่งชะมัด”  มอร์คาวน์ว่า

   “เดี๋ยวก็จูบเลยดีมั้ย  ปากดี…”  มือใหญ่เอื้อมขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนหมด  แล้วถอดออกเหลือไว้เพียงเสื้อกล้ามตัวใน  “ถอดเสื้อออกสิ  เดี๋ยวก็ปอดบวมหรอกคุณผิวบาง”

   มอร์คาวน์ยกมือขึ้นกอดอกแล้วขยับถอยหนี  แต่ก็ไม่พ้นคนตัวโตอย่างกับตึกที่เข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงจนทำให้ตัวเขาต้องเปลือยช่วงบนจนได้…

   “ไอ้คนชีกอ  ลามกที่สุด  ไอ้ปลาทะเล  ไอ้…อื้อ  อย่ามาแตะตัวผมนะไอ้คนบ้า  คนผีทะเล  ไอ้ปลาไหล  ปลาช่อน…”  คำต่อว่าฟังดูประหลาดเหมือนจะไม่จบลงง่าย ๆ หากอีกเสียงไม่ขัดขึ้นมาก่อน

   “รู้จักปลาซักกี่ตัวกันล่ะ  เอาสิว่ามาให้หมดเลย  ผมจะได้นั่งดูคุณแก้ผ้าไปอีกนาน ๆ  เสร็จแล้วพอป่วยเนี่ยก็อุ้มขึ้นรถกลับบ้านหลังเล็ก ๆ อย่างที่คุณอยากได้  เรียกหมอมารักษา  แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็…อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”  คล้ายจะเป็นคำพูดง่าย ๆ  แต่ก็รู้สึกได้ถึงการวางอนาคตอันยาวนานต่อจากนี้ไป

   มอร์คาวน์นิ่งไปเพราะจับอารมณ์ตัวเองไม่ถูก  “บ้าสิ…”  เขาพึมพำเสียงเบา  แววตาเลื่อนลอยไปไกล  ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนเองจะอยู่ในสภาพเช่นไร

   “เมื่อไม่กี่วันก่อนผมเจอใครคนนึง  เค้าทำให้ผมนึกถึงคุณ…กระทั่งคิดว่าถ้าพวกเราไปกันได้ไกลกว่านี้มันจะดีซักแค่ไหน  ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงจะรักเค้าแล้วแน่ ๆ  หมายความว่าผมอาจจะเลิกรักคุณไปแล้วนั่นแหละ”

   พนาสัณฑ์มองอดีตคนรักอย่างไม่เข้าใจนัก  “แค่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องของคนอื่น  จนคุณหนีมาทำงานอนุรักษ์ห่างไกลกันแค่นี้  มันทำให้หัวใจคุณเปลี่ยนง่ายขนาดนี้เชียวเหรอม็อคค่า”

   “เราทะเลาะกันเรื่องใหญ่แค่ไหนคุณจำได้รึเปล่า  แล้วงานไร้ศีลธรรมที่ผมต้องฝืนใจทำให้คุณนี่  รู้มั้ยว่ามันทำให้คุณเป็นคนเลวร้ายแค่ไหน”  มอร์คาวน์เอ่ยถามอย่างคาดคั้น  ดวงตาสีฟ้าแดงก่ำจากอารมณ์เก็บกดภายใน

   “ไม่เข้าใจ  ยิ่งพูดก็ยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง  อย่ามาเสียน้ำตากับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้นะม็อคค่า  เราทะเลาะกันเรื่องใหญ่งั้นเหรอ  ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายเราทะเลาะกันเรื่องแชมพูอาบน้ำเจ้าเครซี่  แล้วก็เรื่องผู้ชายที่ยัยน้องสนใจ  ส่วนงานอนุรักษ์ที่ไร้ศีลธรรมที่คุณบอกว่าฝืนใจทำให้ผมนี่  ขอบอกว่าแผนการอนุรักษ์ของกลุ่มผมมันอยู่ที่อำเภอสุขเหลือแสน  เป็นป่าหมู่บ้านสนขาว  ไม่ใช่หมู่บ้านเครือตะโก้  อำเภอสุขเหลือล้นนี่หรอก”

   “อย่ามาแก้ตัว  คุณคิดว่าผมไม่เห็นแผนธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ให้คุณสัตยางั้นเหรอ  ผมอ่านมาแล้วคุณยอมให้กลุ่มอัญมณีส่งออกผลไม้ได้ที่เดียวเป็นเวลาห้าปี  แต่คุณสัตยาต้องยอมรับงานบริหารในเครือของบริษัทคุณเป็นงานพาร์ตไทม์   แล้วไม่ต้องมาแก้ตัวเรื่องโครงการทำลายจิตวิญญาณงูจงอางเพื่อล้มศาลงูเจ้าที่นี่  เพราะมันมีลายเซ็นต์คุณกำกับส่งไปถึงองค์กรของผมที่อเมริเกินนู่น”

   พนาสัณฑ์พยักหน้าหงึกหงักอย่างพยายามทำความเข้าใจ  แต่มือก็ยังขยับสวมเสื้อให้มอร์คาวน์ไม่หยุด  “เอาล่ะ…คิดว่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว  ในเมื่อหนังสือของคุณมีลายเซ็นผม  แล้วสัญญาเอื้อประโยชน์นั่นก็คงมีเหมือนกัน  แต่สัญญาไม่ได้ถูกเอาไปใช้งาน  ผมก็คิดว่ารู้แล้วล่ะว่าจะเริ่มสืบดูจากตรงไหน  หลังจากพาคุณกลับไปได้แล้วน่ะนะที่รัก”

   “ไปไหน  พาผมไปไหน  ไม่ไปนะ…”  เสียงโวยวายดังสะท้อนไปทั่วบริเวณเมื่อร่างของมอร์คาวน์เปลี่ยนไปดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของพนาสัณฑ์  แต่ก็ไม่อาจหยุดฝีเท้าของอีกฝ่ายไว้ได้ 

   ในที่สุด  รถสีดำก็เคลื่อนตัวออกจากถนนบริเวณหน้าปากทางเข้าป่าอนุรักษ์ชุมชนเครือตะโก้  ไปตามเส้นทางเดิม…

   ++++++++++++++++++++++++

   ผ้าม่านสีน้ำตาลถูกเลื่อนปิดไปทั่วห้องกว้าง  ทำให้ภายในห้องดูมืดทึบแม้จะเป็นเวลากลางวันก็ตาม  ในความลางเลือน  ร่างสองร่างนอนแนบชิดกันภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่  ก่อนที่เงาร่างสูงจะขยับเคลื่อนไหว  มือหนึ่งสัมผัสโคมไฟเพื่อสร้างแสงสว่างสลัว ๆ ภายในห้อง

   ภิมุขลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อรู้สึกถึงแสงภายในห้อง  ดวงตาช้ำมองมะโรงที่คร่อมเขาอยู่ด้วยรอยยิ้ม  “เพิ่งจะนอนไม่นานเองนี่นามะโรงน้อย  จะรีบตื่นทำไมล่ะ  ค่ำ ๆ ค่อยตื่นก็ได้”

   “ไม่เอาหรอก  หนูมุกนอนไปเถอะ  มะโรงอยากเห็นหน้ามุกนาน ๆ นี่นา  คิดถึงจะแย่  คิดถึงทุกเวลาเลยรู้มั้ย…”  ถ้อยคำออดอ้อนเอาใจที่ดูจะเป็นคำติดปากของงูเจ้าอายุน้อยผู้นี้  ภิมุขมักจะได้ยินอยู่เสมอ ๆ และทุกครั้งเขาก็อดยิ้มไม่ได้

   ภิมุขหลับตาลงอีกครั้งเมื่อริมฝีปากของมะโรงจรดลงบนปลายจมูกเขาแผ่วเบา  ก่อนจะทิ้งสติที่มีหลับใหลอยู่ภายใต้อ้อมกอดอบอุ่นของผู้เป็นที่รัก  ที่นาน ๆ ครั้งจะได้อยู่ด้วยกันนานเกินหนึ่งวัน…

   ++++++++++++++++++++++++

   สัตยานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาสีฟ้าคราม  บนตักมีพงหญ้าหนุนนอนหลับอยู่    คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นบางข้อความที่ไม่น่าชอบใจนัก  มือหนึ่งเอื้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหมายเลข  ก่อนจะรอปลายทางรับสายนิ่ง ๆ เพื่อกันไม่ให้คนรักรู้สึกตัวตื่น

   ปลายทางโทรศัพท์สัญญาณเงียบไปจนสัตยาแปลกใจ  คล้ายว่ามีคนรับโทรศัพท์แล้ว  แต่เสียงทางนั้นกลับเงียบสนิทไร้การเคลื่อนไหวหรือตอบรับใด ๆ

   “มุก  นายได้ยินพี่มั้ยวะ”  สัตยากระซิบอยู่กับหูโทรศัพท์  ระวังตัวไม่ให้เผลอขยับมากไปนัก  ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบตอบกลับมา

   [ “หนูหยกเหรอ  หนูมุกหลับอยู่  มะโรงไม่อยากจะปลุกน่ะ  เพิ่งได้นอนเมื่อบ่ายนี้เอง” ]

   “อ้าวพี่มะโรง  วันนี้อยู่ยาวหรอกเหรอครับ  จริง ๆ ผมมีเรื่องจะคุยกับนายมุกน่ะ  แต่ไม่เป็นไร  ถ้าตื่นแล้วค่อยให้โทรกลับมาหาผมก็ได้”  สัตยาเอ่ยบอกอย่างเข้าอกเข้าใจในเหตุผลของปลายสาย

   [ “หนูหยกไม่ต้องห่วงนะ  มะโรงดูให้แล้ว  พงหญ้าไม่เป็นอะไรหรอกน่า  หาหลักฐานไม่เจอหรอก  ถึงมะโรงจะมีญาณหยั่งรู้ไม่มากนัก  แต่เรื่องนี้เชื่อได้” ]

   สัตยาหัวเราะอย่างสะใจ  “ครับ  ขอบคุณครับพี่มะโรง  ไม่น่าคิดมากเลย  ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนแล้วนะครับ  ครับ…สวัสดีครับ”

   สัตยาวางโทรศัพท์กับโต๊ะด้านข้างอย่างพอใจ  ไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาของพงหญ้าที่มองขึ้นมาอย่างสงสัยว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่กับใคร  และเรื่องอะไรกัน  ถึงได้ดูชอบอกชอบใจนัก  เพราะความหึงหวงที่มีมากเกินขีดจำกัด  ทำให้อดเอ่ยถามไม่ได้

   “หยกคุยกับใครเหรอครับ  หัวเราะชอบใจเชียวนะ…”  ใบหน้าคมงอง้ำจนสัตยาต้องหัวเราะออกมาในความขัดกันนั้น

   “ทำหน้าเข้ม ๆ จะเหมาะกว่านะพงหญ้า  ไม่มีอะไรหรอกน่า  โทรไปหานายมุก  แต่เจอพี่มะโรงรับสาย  บอกว่ามุกมันหลับซะนี่…น่าพอใจรึเปล่าเล่า”  ดวงหน้าหวานก้มลงจรดริมฝีปากอิ่มสดของตนลงบนริมฝีปากคนรักอย่างเอาใจ

   “ท่านมะโรงอยู่ได้นานขนาดนี้  ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้พวกเราชวนสองคนนั้นออกไปทานข้าวข้างนอกดีมั้ยครับหยก  เปลี่ยนบรรยากาศไง  ยังไง ๆ สองคนนั้นก็ต้องกินข้าวเย็นล่ะ  ใช่มั้ยครับที่รัก”   พงหญ้าเอ่ยถามด้วยสายตาเป็นประกายที่รู้กันกับสัตยา  ก่อนจะดึงมือนุ่ม ๆ มาแนบแก้มเอาไว้อย่างหวงแหน

   “เป็นความคิดที่ดีมากเลย  ถ้าอย่างนั้นอีกซักสองชั่วโมงค่อยออกไปก็แล้วกันนะ  จะออกไปแล้วค่อยโทรไปบอกทางนั้น  เพราะคงไม่ต้องเตรียมตัวนานหรอก”  สัตยาบอกอย่างเห็นด้วย

   หลังจากตกลงกันได้ทั้งสองก็ใช้ช่วงเวลาที่เหลือพัวพันนัวเนียกันต่อไป  เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้หยุดงานในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่ออยู่ด้วยกันแบบนี้…

++++++++++++++++++++++++

   “วิชัยเหรอ  ผมอยากให้คุณตรวจสอบเอกสารช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคมปีก่อนหน่อย  ช่วงนั้นผมมีปัญหาชีวิตขีดเขียนอะไรไม่ดูน่ะ  ผมอยากรู้ว่ามีคนใช้ประโยชน์จากการเสียประโยชน์ของผมรึเปล่า  ช่วยหน่อยนะ…”  พนาสัณฑ์คุยโทรศัพท์ขณะที่สายตาจ้องอยู่กับร่างโปร่งในชุดคลุมอาบน้ำที่นั่งอยู่ปลายเตียงด้วยหน้าตาหงิกงอ

   “เสแสร้ง  แสดงละครเก่งจริงนะ  ทำเป็นโทรหาทนายพาร์ตไทม์อย่างคุณวิชัย  คิดเหรอว่าผมจะเชื่อไอ้คนหลอกลวง  ฮึ…”  ว่าแล้วหน้าหวานซีดก็สะบัดหนีราวกับจะแง่งอนผสมกับขุ่นเคือง

   “ปากจัด  ถือดี  ยโสโอหัง  อวดดี  ที่เหลือไปนอนคิดเอาเองนะ  ผมคิดไม่ออกว่านิสัยคุณเนี่ยมันเรียกว่าอะไรอีก  อาบน้ำแล้วก็กินข้าวต้มนั่นซะ  กินยาด้วย  เสร็จแล้วก็นอนห่มผ้าให้มิดชิด  จะได้ไม่เป็นหวัด  แต่ถ้าไม่ทำดี ๆ ล่ะก็  วันนี้เครซี่มันจะสละตัวเองยอมอดอาหารเพื่อไม่ให้คุณป่วยด้วยล่ะที่รัก  มันบอกผมอีกนะว่าถ้าคุณไม่ทำตามที่ผมสั่ง  มันจะไม่เอาหน้ามันมาพบคุณอีกเลย  น่าสงสารผอมออกปานนั้นต้องอดข้าวอีกแล้วเหรอเนี่ย”

   จบประโยค  ดอกคอลล่าในแจกันก็ลอยหวือมากระทบหน้าพนาสัณฑ์อย่างไม่มีเวลาให้หลบ  แต่แล้วคนขว้างก็ยอมนั่งลงรับประทานข้าวต้มปลาดี ๆ  ไม่กล้าโวยวายอะไรอีก  เพราะไม่อยากให้สุนัขตัวโปรดต้องถูกทรมานโดยคนที่เขาคิดว่าโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดในโลกคนนี้

   พนาสัณฑ์เดินฮัมเพลงออกจากห้องนอนมาอย่างอารมณ์ดี  ห้องโถงกว้างภายในบ้านไม้สักชั้นเดียวหลังไม่ใหญ่โตมากนัก  สุนัขคอลลี่ตัวอ้วนโตเกินขนาดสุนัขพันธุ์เดียวกันทั่วไปนอนอยู่บนพื้นพรมกลางห้องที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ  ดูเหมือนมันกำลังสุขสบายจนคนเห็นรู้สึกได้

   เจ้ายักษ์อ้วนที่เจ้าของแสนคลั่งไคล้ตวัดหัวโต ๆ มองผู้เป็นนายคล้ายจะมีรอยยิ้มให้  แล้วก็ทิ้งหัวโต ๆ นั้นลงกับพื้นเหมือนจะหนักซะมากมาย…

   พนาสัณฑ์เดินเข้าไปหยุดที่สุนัขตัวโปรด  แล้วทิ้งตัวลงนอนหนุนขนนุ่มบนตัวอวบ ๆ  อย่างสบายอกสบายใจ  “เครซี่  นายคิดเหมือนเรามั้ย  ว่าบ้านใหญ่นั่นถูกไฟไหม้ก็ดีเหมือนกัน  พวกเราอยู่กันสองคนกับหนึ่งตัวที่นี่มีความสุขกว่าเยอะเลยเนาะ  ไม่ต้องเดินหากันไกล  ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะเจอม็อคค่าก่อน  แล้วพูดใส่ไคล้เราเข้าแบบที่มันเป็นอยู่เนี่ย”

   “งืด…”   เสียงคล้ายตอบรับดังขึ้นจากปากกว้าง ๆ ของสุนัขอ้วนคล้ายจะเห็นด้วยกับผู้เป็นนาย

   “นายนี่มันฉลาดจริง ๆ เลยว่ะเครซี่  ว่าง ๆ นายไปสอนม็อคค่าบ้างนะ  ว่าคนบนโลกนี้น่ะมันเลวร้ายแค่ไหน  มากกว่าเราเยอะก็แล้วกัน  ใช่มั้ยยักษ์ใหญ่”  พนาสัณฑ์เอ่ยถามเจ้าตัวโตด้วยความเคยชิน  หลังจากอยู่ด้วยกันมาเกือบห้าปี  และเกือบสองปีที่ต้องอยู่ด้วยกันเพียงหนึ่งคนกับหนึ่งตัว

   ยักษ์อ้วนเครซี่ยกหัวโตขึ้นแล้วทิ้งลงบนพรมอย่างเห็นด้วยอีกครั้ง  ตัวโตขยับพลิกเล็กน้อยอย่างเกียจคร้าน  แล้วเจ้าหมาตัวโตกับผู้เป็นนายก็นอนหลับสนิท  ในบรรยากาศที่สบาย ๆ ในวันหยุดนี่เอง

   ++++++++++++++++++++++++

   “ทำอะไรน่ะหยก…”  พงหญ้าเอ่ยถามคนรักที่กำลงง่วนอยู่ในครัวบ้านน้องชาย  ทั้ง ๆ ที่เจ้าของบ้านยังคงอยู่ในห้องนอนกับงูเจ้าวัยเยาว์

   สัตยาที่กำลังตีไข่ในถ้วยใบใหญ่ให้เข้ากันหันมายิ้มขื่นให้คนรัก  “พี่มะโรงบอกว่านายมุกมันอยากกินไข่ตุ๋น  ไข่เจียวหมูสับ  ไข่ต้มสอดไส้แยมองุ่นน่ะสิพงหญ้า  ไม่เข้าใจจริง ๆ นึกยังไงถึงจะกินแต่ไข่  ไม่เบื่อบ้างหรือไง  รายนี้มันชอบกินไข่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย  มีอย่างเดียวล่ะมั้งที่ดูจะไม่กล้ากิน…ไข่งูจงอางน่ะ” 

   พงหญ้าเสียวสันหลังวูบเมื่อได้ฟังคำสุดท้าย  เรื่องราวในอดีตไหลเข้าสู่สมองอย่างไม่ต้องเรียกหา  ความหวาดกลัวนั้น  ไม่ว่านานสักแค่ไหนก็ไม่เคยลบเลือนหายไปเลยจริง ๆ  จะว่าไปมันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทั้งตัวเขาและสัตยาไม่อยากจะให้มื้ออาหารไหน ๆ มีไข่เป็นส่วนประกอบ  แต่ช่างเป็นความคิดที่แตกต่างจากภิมุขเสียจริง

   เตาไร้ควันที่มีอยู่ถึงสามจุด  ถูกใช้งานจนหมด  และนั่นทำให้พงหญ้าอดแปลกใจในเสน่ห์ปลายจวักของคนรักไม่ได้  เมื่อไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายแบ่งร่างแบบไหนถึงทำกับข้าวไข่สามอย่างรวมถึงกับข้าวอื่น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน

   สัตยากระวีกระวาดเตรียมกับข้าวไข่ให้น้องชาย  จัดสลัดผักรวมมิตรให้งูเจ้ามะโรง  และทำแกงมัสมั่น  ผัดหน่อไม้ฝรั่งเป็นกับข้าวเพิ่มเติม  เพราะเป็นกับข้าวที่พงหญ้าโปรดปรานเป็นพิเศษ

   ถือว่าโชคดีไม่น้อยที่พวกเขาเปลี่ยนแผนการมาทำอาหารเย็นรับประทานที่บ้านของภิมุข  เพราะสัตยาเพิ่งจะรู้ซึ้งเมื่อเข้ามาถึงที่นี่  ว่าภิมุขนั้นมีอาการไข้หวัด  ทำให้เพลียจนแทบลุกไม่ขึ้น  และนั่นทำให้มะโรงผู้ไม่คุ้นชินกับโรคต่าง ๆ ของมนุษย์ตกใจแทบสิ้นสติ  หากพงหญ้าไม่บอกไปเสียก่อนว่าไม่ใช่เรื่องน่าห่วงมากนัก  เมื่อเห็นว่าภิมุขแค่ตัวร้อนและมีอาหารไอเท่านั้น

   พงหญ้าพามะโรงออกจากบ้านเป็นครั้งแรกในชีวิตงูจงอาง  ที่ไม่เคยแย้มเยือนเข้าสู่ตัวเมืองเลยสักครั้ง  แต่มะโรงก็อาสาจะออกไปด้วย  เพราะอยากรู้ว่าหากมีเหตุการณ์แบบนี้อีก  เขาควรจะทำเช่นไรเพื่อไม่ให้ภิมุขมีอาการหนักมากขึ้นกว่าเดิม

   เมื่อกลับเข้าบ้านมาร่างสูงอย่างกับตึกแฝดคู่  ก็ต้องตาลุกวาวอย่างหนุ่มเจ้าชู้  เมื่อต้องมาประสบพบเจอเข้ากับหมอเสน่ห์แรงแห่งยุค  กิตติกานต์  ภัทรกานท์  หากไม่ละสายตาไปเห็นคนรักของอีกฝ่ายที่ยืนส่งยิ้มพิมพ์ใจให้กับสัตยาและภิมุขอยู่เสียก่อน

   “อ้าวกลับมากันเร็วจริง  พอดีพี่หมอกิตเข้ามาติดต่อตามุกเรื่องผลไม้น่ะ  ก็เลยดูอาการให้ด้วย  เห็นว่าไม่หนักหนาอะไรอีกไม่นานไข้ก็คงจะลดแล้วล่ะ  แข็งแรงจริง ๆ เลยนะเนี่ย”  สัตยาหันไปพูดกับน้องชายแล้วหันไปยิ้มกับกิตติกานต์  และรวี  แต่พงหญ้ากลับเห็นว่าดวงตาของคนรักนั้นช่างแช่อยู่กับรวี  รวีวารได้นานเหลือเกิน

   กิตติกานต์  เห็นสายตาสองหนุ่มที่จ้องมองคนรักของตนแล้วอดขบขันไม่ได้  ดูเหมือนทั้งคู่จะทั้งหึงทั้งหวงสัตยาและภิมุขอยู่ไม่น้อย  เขาจึงสะกิดแขนคนรักเจ้าเสน่ห์เพื่อให้รู้สึกถึงพิษรักแรงหึงเสียที

   รวีที่ยืนอยู่เงียบ ๆ หันมองตามสายตาคนรักแล้วหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่  “เอาล่ะ ๆ  ที่โรงแรมในเครือมีงานนาฏศิลป์พื้นบ้านรอพวกเราอยู่  แค่มาติดต่อเรื่องผลไม้ในงานฤดูกาลผลไม้ประจำปีเท่านั้นล่ะ  นะครับกิต”

   อ้อมแขนกว้างโอบประคองคนรักเข้าหาตัวแล้วเอ่ยคำลากับรุ่นน้องทั้งสอง  “เอาล่ะหยก  มุก  พวกพี่คงต้องกลับแล้วล่ะนะ  คราวหน้าอาจจะอยู่ทานอาหารเย็นด้วย  แต่วันนี้เราสองคนรับผิดชอบจัดงานเนี่ยสิ  อ้อ…เกือบลืมว่าคุณเพลิงฝากความคิดถึงมาให้ด้วย  รายนั้นติดธุระอยู่ที่ต่างจังหวัดน่ะ”

   “ครับพี่  ขอบคุณนะครับที่นึกถึงพวกเรา  แล้วพบกันในวันงานฤดูผลไม้ประจำปีนะครับ”  สัตยาว่าแล้วยกมือยกไม้ไหว้ล่ำลารุ่นพี่ที่น่านับถือ  ขณะที่สัตยาก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นยืนส่ง  จนกิตติกานท์ต้องประคองให้นั่งลงอีกครั้ง

   มะโรงส่งยิ้มให้กิตติกานท์หวานเยิ้ม  เป็นการขอบคุณก่อนจะหันมาสนใจคนรักที่นั่งอยู่บนโซฟา  แล้วก็ต้องร้องโอดโอยเมื่อถูกฝ่ามือพิฆาตของภิมุขหยิกเข้าให้อย่างหมั่นไส้  ที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นสิ่งสวยงามแล้วอดใจไม่ไหวอยู่เสมอ  แล้วแบบนี้จะวางใจพาออกไปพบเจอคนใน  Go  We  Gone  ได้เช่นไร  ในเมื่อคนในนั้นจัดว่าเจ้าเสน่ห์จนเป็นที่เลื่องลือ

   “เอาล่ะ ๆ ไอ้ความหึงหวงน่ะเก็บ ๆ ไว้อยู่กับใจบ้าง  กินข้าวกันดีกว่า  พี่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”  สัตยาที่กลับเข้ามาหลังจากเดินออกไปส่งแขกผู้มาเยือน  เข้ามาประคองน้องชายไปที่โต๊ะอาหาร

   ทั้งสี่คนเข้านั่งประจำที่ก่อนจะลงมือรับประทานอาหารเย็น  และสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไปเหมือนเช่นปกติ  แต่ดูเหมือนเรื่องงานฤดูกาลผลไม้ประจำปีที่จัดขึ้นที่โรงแรมในเครือพลากรนั้น  จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นบทสนทนาหลักเลยทีเดียว  เพราะธุรกิจจะรุ่งเรืองหรือร่วงหล่น  ก็ขึ้นอยู่กับงานในครั้งนี้เท่านั้น

   งานฤดูกาลผลไม้ประจำปีของจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  จะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า  เวลาในการเตรียมการที่เหมาะสมเช่นนี้  ทำให้กลุ่มอัญมณีแทบจะได้เปรียบกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้เดินนำหน้าไปหนึ่งก้าวด้วยความสนิทสนมของเจ้าของงาน  ที่อย่างน้อยก็รู้กำหนดจัดงานก่อนกลุ่มอื่นถึงหนึ่งสัปดาห์  ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษมากเกินพอแล้ว

   สัตยาและภิมุขที่กำลังมีความสุขอยู่กับอาหารจานโปรด  วาดหวังกับงานใหญ่ประจำปีนี้ว่า  พวกเขาอาจจะเปิดตัวผลไม้อีกสักสองสามชนิดที่ทางสวนเพิ่งรุกคืบทำการปลูกได้สำเร็จก่อนที่อื่น  และหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติแล้วก็หวานอร่อยถูกใจมากทีเดียว

   หากทำได้สำเร็จ  กลุ่มอัญมณีคงมีออเดอร์จากต่างประเทศรวมถึงในประเทศเพิ่มขึ้นจนอาจจะรับไม่ไหว  ซึ่งนั่นเป็นจุดมุ่งหมายหลักของกลุ่ม  ที่หวังจะทำกำไรในช่วงต้น  ก่อนที่จะถูกแบ่งตลาดในช่วงต่อไป  เพื่อว่าในช่วงเวลานั้นจะได้ใช้เวลาในการพยายามปลูกผลไม้อื่นที่ยังปลูกไม่ได้ในจังหวัด  ในขณะที่ผลไม้ที่ตีตลาดไปแล้ว  ก็ยังคงขายได้แบบสม่ำเสมอ 

   ทำให้ไม่ว่าในวันไหน ๆ กลุ่มอัญมณีก็ยังเดินนำหน้าผู้อื่นอยู่หนึ่งถึงสองก้าวเสมอ…นั่นคือความคิดในแบบผู้บริหารของกลุ่มอัญมณี

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่่รัก 8
«ตอบ #74 เมื่อ29-12-2013 20:09:11 »

อสรพิษที่รัก 8


   “ยักษ์ใหญ่  ไปดูให้เราหน่อยสิว่าใครมา…”   เสียงตะโกนดังก้องอยู่ในบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก  ซึ่งหากมองมุมสูง  จะคล้ายบ้านเล็กกลางป่าใหญ่  เพราะผู้สร้างจงใจสร้างบ้านขึ้นกลางสวนเพราะความชื่นชอบส่วนตัว

   สุนัขพันธุ์คอลลี่ตัวอ้วนกลมแทบจะกลิ้งตัวเองออกจากตัวบ้าน  ระยะทางจากประตูบ้านไปถึงประตูรั้วถึงกับทำให้มันถอดใจ  นั่งปล่อยพุงโต ๆ วางไว้กับพื้น  จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะอันคุ้นเคยของผู้มาเยือนนั่นแหละ…

   “ไงล่ะเจ้าเครซี่  กินไม่เจียมตัวเลยนะ  ถึงได้วิ่งไม่ไหวแบบนี้  ถ้าขโมยเข้าบ้านเราจะทำยังไง…หา”  ผู้มาเยือนเอ่ยปากคุยกับสุนัขแสนรู้  ที่ทำหน้าตาฮึ่มฮั่มใส่เพราะไม่อยากยอมรับในคำสบประมาทนั้น

   “ใครมาล่ะ…เงียบจริง  หรือเขากลับไปแล้วเหรอเครซี่ยักใหญ่”  เสียงของพนาสัณฑ์ตะโกนถาม  ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกมาจากด้านใน  “เฮ้ย…ไอ้วา!!!  หลงมายังไงวะเนี่ย  เราว่ายังไม่ได้บอกใครเลยนะว่าย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะ”   

   ชายหนุ่มที่กำลังนั่งหยอกเย้าคลุกคลีกับสุนัขตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วปัดเสื้อผ้าพอเป็นพิธี  “เออสิ…หูตาเราก็มีนี่หว่า  สั่งให้คนของเพลิงเค้าสืบให้น่ะ  ว่าแต่ทำไมนายย้ายแบบไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้วะ  เตรียมการไว้เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าบ้านจะถูกเผาอย่างนั้น…หรือเราห่วงนายเกินไปวะ”

   “ไอ้บ้า…ใครจะไปรู้ล่วงหน้าวะ”  พนาสัณฑ์ยังคงยิ้มแย้มพูดคุยถึงสิ่งที่สูญเสียไปเหมือนไม่ได้ติดใจอะไร  ทำให้ทิวาอดแปลกใจไม่ได้  แต่ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทจึงทำได้เพียงแค่ตบบ่าอีกฝ่ายแทนคำปลอบใจเท่านั้น

   “ชื่อนายมันเสียจนเราต้องทำเป็นลืมว่ามีนายเป็นเพื่อนสนิทแค่คนเดียวเลยน่ะโว้ย  เพลิงเค้าเชื่อซะสนิทใจว่านายมันเลวจริง ๆ  เลวมาก ๆ อะไรจะเลวได้แบบที่เค้าคิดวะเนี่ย…”  ทิวาเน้นย้ำด้วยความไม่เข้าใจนัก  จนคนฟังอดทำหน้าสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนรักมาให้กำลังใจหรือมาตอกย้ำกันแน่

   “เรื่องมันยาวว่ะ  จริง ๆ เราน่ะอยู่เงียบ ๆ มาเกือบสองปีแล้ว…ตั้งแต่ตอนที่คนรักเราหนีไปไหนก็ไม่รู้นั่นแหละ  ตอนที่พวกเราไปกินเหล้ากันเมื่อสองปีก่อนนั่นไง  ครั้งสุดท้ายที่เราอยู่ในโลกที่มันวุ่นวาย  หลังจากคืนนั้นเราก็ย้ายมาอยู่บ้านนี้เงียบ ๆ กับเจ้าเครซี่นี่แหละ”

   พนาสัณฑ์เล่าเรื่องในอดีต  ขณะพาทิวาเดินเข้าสู่บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่นในความคิดของตัวเอง  “แต่ระหว่างนั้นดูเหมือนเราจะล่องลอยไปหน่อยว่ะ  ดันลงลายมือชื่อตัวเองในเอกสารแล้วไม่ได้อ่าน  กว่าจะรู้ตัวว่าทำเรื่องที่ผิดพลาดไป  ก็จนป่านนี้นี่แหละ  นายคิดดูสิขนาดคนรักเราเค้ายังไม่ยอมเชื่อเลย…ว่าเราไม่ได้ตั้งใจทำ”

   “ทำไมถึงไม่ดูดี ๆ วะ…”  ทิวาที่นั่งลงบนเบาะนุ่มกลางห้องอดต่อว่าเพื่อนไม่ได้

   พนาสัณฑ์ที่กำลังตั้งอกตั้งใจรินน้ำชาทำหน้าตาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก  “ถ้าคุณเพลิงเค้าหนีนายไปบ้าง  นายจะทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เหรอวะ…เราถามจริง ๆ เหอะ”

   ทิวาฟังแล้วก็เงียบไป  เมื่อสามารถให้คำตอบกับตนเองได้ว่า  เขาก็คงจะทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันกับที่พนาสัณฑ์ทำเป็นแน่  ในเมื่อเขาทั้งสองนั้นทั้งพื้นฐานเรื่องครอบครัว  นิสัย  หรือบุคลิกแทบจะไม่มีสิ่งใดเลยที่แตกต่างกัน  เรียกว่าคบกันได้เพราะความเหมือนจนสุดขั้วนี่แหละ…

   “ขอโทษด้วยว่ะ  ที่เราไม่ได้สนใจนายเลยตลอดสองปีมาเนี่ย  แต่ว่าเป็นช่วงที่ต้องรับผิดชอบงานใหม่  ต้องเดินทางบ่อย…แล้วก็แทบหลบสายตาเพลิงเค้าไม่ได้เลย  ไม่อยากจะบอกว่าถูกส่งคนมาคุมน่ะ  โหดมั้ยล่ะแฟนเรา”  ทิวาหัวเราะเสียงดังเมื่อนึกถึงคนรัก  ดูเหมือนเขาจะชอบใจที่ถูกสายตาของอีกฝ่ายกักขังเอาไว้

   พนาสัณฑ์ก้มหน้าก้มตาจิบน้ำชาอย่างนึกอิจฉา  เพราะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะมีวันที่เป็นสุขได้บ้าง  เมื่อสองปีที่ผ่านมาเขารู้จักเพียงแค่ความเหงาเศร้า  จนแทบไม่รู้จักความรู้สึกอื่นใดอีกเลย…

   “นายมีอะไรให้เราช่วยมั้ยวะพฤกษ์  ถ้ามีบอกเราได้นะ…เราเห็นนายเดือดร้อนแล้วรู้สึกผิดจริง ๆ ถ้าเราไม่กล่อมให้นายกลับมาที่นี่  นายอาจจะมีความสุขอยู่ที่อังกฤษแล้วก็ได้”  ทิวาเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบก็อดจะรู้สึกว่าเป็นความผิดเขาไม่ได้  ถ้าตอนนั้นเขาไม่ขอร้องให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวกลับมาสืบทอดกิจการที่บ้าน  อีกฝ่ายก็คงจะเป็นนักพฤกษาศาสตร์อยู่ที่อังกฤษแล้ว

   “เฮ้อ…ยังไงเราก็ปฏิเสธสายเลือดตัวเองไม่ได้นี่หว่า  ถึงจะไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรก็เถอะ”  พนาสัณฑ์ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจ  เขาเอนตัวซบอยู่กับเครซี่ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  “ใช่แล้ว…นายช่วยสืบเรื่องเอกสารที่มีลายเซนต์ของเราภายในสองปีนี้ให้หน่อยได้มั้ยวะ  เราจะได้เคลียร์เรื่องนี้กับยัยน้องให้จบเสียที”

   ทิวาพยักหน้ารับคำ  แล้วอดนึกถึงน้องสาวจอมโวยวายของเพื่อนไม่ได้  “ยัยน้องของนายเนี่ยเป็นคนก่อเรื่องใช่รึเปล่า  ช่วงที่ผ่านเห็นมีข่าวกับน้องชายประธานกลุ่มอัญมณี  แต่รู้สึกทางนั้นไม่เล่นด้วย”

   “เออ…น้องชายคุณสัตยานั่นแหละ  คุณภิมุข…แต่รายนี้เราไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว  รู้จักแต่คุณสัตยาเพราะโดนยืมชื่อไปใช้เล่นเกมนิดหน่อยน่ะ  ว่าไปแล้วช่วงนี้คุณคนสวยไม่มาหาเลยแฮะ  ไม่อยากจะบอกว่าจริง ๆ เราก็สนิทกันนะ  แต่ไม่มีใครรู้เพราะต่างคนต่างเก็บตัว”  คนเล่าหัวเราะพออกพอใจอยู่คนเดียว  จึงไม่ทันสังเกตหน้าตาบูดเบี้ยวของคนที่ฟัง

   “เท่าที่เห็นคุณสัตยาอะไรนี่เค้าดุกว่าเพลิงอีกน่ะโว้ย  ไปสนิทกันได้ยังไงวะ”  ทิวาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อที่อีกฝ่ายพูดนัก

   พนาสัณฑ์หันไปมองทางเครซี่ที่หลับสบายอยู่ใกล้ ๆ แล้วเริ่มเล่าให้ฟัง  “ก็ตอนนั้นจูงเครซี่ออกไปซื้อต้นไม้แถวนี้แหละ  แล้วเจ้ายักษ์ใหญ่ก็วิ่งหนีเจ้าร็อตไวเลอร์ที่อยู่บ้านใหญ่ตรงหัวมุมถนนนู้น…มันวิ่งตัดหน้ารถคุณสัตยาน่ะสิ  รายนั้นตกใจแทบช็อค  แต่ก็รีบลงมาดูเจ้าหมาพันธุ์โอ่งมังกรที่นอนหมอบตัวสั่นอยู่  แล้วเค้าก็เอ็นดูจนแวะเวียนมาหาบ่อย ๆ  ตอนนั้นพอรู้ว่าเป็นคู่แข่งธุรกิจกัน  เค้าเลยขอยืมชื่อไปใช้สร้างเรื่องสนุกน่ะสิ  บริหารเสน่ห์ตามแบบฉบับคนหน้าตาสวยหยาดเยิ้มล่ะนะ  เราก็ยอมง่าย ๆ ก็เค้าน่ารักนี่หว่า…”

   “อ้อ…นึกว่ารู้จักก่อนที่รักนายจะหนีไปซะอีก”  ทิวายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ  ก่อนจะเหลือบตาไปอีกทางด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  “อย่างนี้ถ้าแฟนนายโกรธมันก็สมควรไม่ใช่เหรอ  ถึงจะเข้าใจผิดไป  แต่ก็มีเรื่องที่เข้าใจถูกล่ะนะ  แต่แฟนนายก็น่ารักนะ…”

   พนาสัณฑ์รู้สึกงงกับคำพูดของทิวาไม่น้อย  กำลังจะเอ่ยถามว่าอีกฝ่ายเคยเห็นหน้าคนรักเขาเมื่อไหร่  แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนากำลังยืนงัวเงียกอดหมอน  แต่ดวงตาดุดันน่ากลัวกำลังจ้องมองมาทางเขาอย่างเอาเรื่อง…

   เจ้าเครซี่ที่หลับสบายอยู่ได้กลิ่นอันคุ้นเคย  มันลืมตาขึ้นมาเจอกับเจ้านายผู้เป็นที่รักที่ไม่ได้พบกันนานเกือบสองปี  ร่างยักษ์ใหญ่ก็รีบตะกุยตะกายเคลื่อนตัวเองหลุน ๆ ไปหาอย่างดีอกดีใจ…

   มอร์คาวน์อ้าแขนรอรับสุนัขตัวโปรดที่ขยับเข้าหาด้วยความดีใจเช่นกัน  ขนาดตัวที่ใหญ่กว่าที่จำได้ในความทรงจำ  ทำให้รู้ได้ทันทีว่าพนาสัณฑ์หลอกใช้สุนัขตัวโปรดมาขู่บังคับให้เขาทำนั่นทำนี่อยู่ตลอดตั้งแต่เขามาถึงบ้านหลังนี้

   “เครซี่…คิดถึงเราจริง ๆ เลย  ทำไมตัวโตแบบนี้ล่ะ  กินตามใจปากล่ะสิ  ไม่ได้นะต้องอดอาหารบ้างแล้ว เดี๋ยวจะป่วยเอานะ…รู้มั้ยเด็กดี”  มอร์คาวน์เอ่ยกับสุนัขตัวโปรดที่แทบจะกลิ้งกลับที่เดิมเมื่อได้ยินคำว่า ‘อดอาหาร’  นั่นแหละ

   พนาสัณฑ์มองภาพเจ้านายกับตัวโปรดกอดรัดกันอย่างรักใคร่ด้วยความหมั่นไส้  “เชอะ…นายฟังนะโว้ย  เจอหน้าเราไม่พูดว่าคิดถึงซักคำ  พอเจอหน้าเจ้าเครซี่ที่ทิ้งไปไม่ใยดีตั้งสองปีกลับบอกว่าคิดถึง  คนเราก็แบบนี้ล่ะนะ  ไม่รับผิดชอบ…”

   “เครซี่…ถูกเลี้ยงแบบตามใจนี่ไม่ดีเลยนะ  ดูสิอ้วนแบบนี้  จะเป็นโรคอะไรบ้างก็ไม่รู้  คนเลี้ยงเรามาเนี่ยไม่ใส่ใจเราเลยนะ  เค้าอยากให้เราตายเร็ว ๆ หรือไงเนี่ย”  มอร์คาวน์ยังคงพูดกับเจ้าตัวโปรดต่อไปแต่ดูเหมือนตั้งใจจะเหน็บแนมอีกคนมากกว่า

   “วา…นายคิดว่าถ้าเราปล่อยให้เจ้ายักษ์ใหญ่อดตายตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนคงดีกว่าใช่รึเปล่าวะ  ใครจะไปใจร้ายได้แบบคนบางคนล่ะ  คิดหนีไปก็ไปเลย  ไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตายรึเปล่า…”

   ทิวานั่งก้มหน้ามองถ้วยชาบนโต๊ะอย่างเหนื่อยใจ  อยู่ ๆ เขาที่คิดจะมาเยี่ยมเยียนดูสารทุกข์สุขดิบของเพื่อนรักก็ต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  นี่เขามาผิดวันหรือช่วงนี้ดวงไม่ดีก็ไม่แน่ใจ…

   “เรื่องในครอบครัวเอาไว้คุยกันสองคนไม่ดีกว่าเหรอวะพฤกษ์  เราไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรอกเดี๋ยวจะวุ่นวายเปล่า ๆ  ยังไงสามีภรรยาก็ควรจะปรับความเข้าใจกันเองดีกว่านะ  มีเรื่องอะไรก็คุยกันดี ๆ…ถ้าคุยดี ๆ ไม่รู้เรื่องค่อยคุยบนเตียงก็ไม่สายนี่หว่า” 

ประโยคหลังทิวาจงใจกระซิบเพื่อนเสียงดัง  ทำเอาคนที่กำลังฟังไกล ๆ ต้องรีบหยิบหมอนที่ถือออกมาหายกลับเข้าไปภายในห้องพร้อมกับเจ้าตัวโปรดด้วยความกระดากอาย

   พนาสัณฑ์หัวเราะด้วยความสะใจ  ด้วยไม่เคยคิดว่าคนเงียบ ๆ อย่างทิวาจะพูดอะไรได้โดนใจขนาดนี้  แต่ดูเหมือนคนพูดจะกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยที่ต้องทำให้ใครอีกคนต้องจนตรอก…แต่นี่ก็เพื่อเพื่อนของเขาเท่านั้นเอง

   “ไม่ต้องชื่นชมอะไรทั้งนั้น  รีบจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยซะ  ส่วนเรื่องเอกสารพวกนั้นจะช่วยจัดการให้  วันหลังเราจะมาใหม่แล้วกัน…วันนี้ได้เวลาของนายแล้ว  ไปล่ะ…”  ทิวาตบไหล่เพื่อนรักแล้วลุกขึ้นเดินออกจากบ้านหลังเล็กด้วยความรวดเร็ว

   พนาสัณฑ์นั่งมองตามหลังเพื่อนสนิทจนอีกฝ่ายหายลับออกไปจากบ้าน  ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าสู่ห้องภายในด้วยความไม่มั่นใจนัก…

   เจ้าเครซี่นอนแผ่อยู่บนพื้นพรมหน้าเตียงใหญ่โดยมีมอร์คราวน์เอนตัวซบอยู่ไม่ห่าง  คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็เลยได้โอกาสเข้าไปกอดซบคนที่ตัวเล็กกว่าอีกต่อหนึ่ง  หากดวงตาสีฟ้าก็เพียงแค่ทอดมองมาชั่วครู่  ก่อนจะเสหลบไปเสียเฉย ๆ
   “คุณวลีลดาพูดโกหกเหรอพฤกษ์…”  น้ำเสียงที่อ่อนลงมากเอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด  เพราะหากเป็นอย่างที่ถามออกไป  หมายความตลอดสองปีมานี้เขาเป็นฝ่ายทำผิดมาตลอดเลยหรือไร

   มือใหญ่เอื้อมขึ้นลูบเส้นผมสีทองนุ่มสลวย  “ช่างเถอะนะม็อคค่า  อย่าพูดถึงเรื่องของคนอื่นอีกเลย  พวกเราเริ่มต้นกันใหม่ดีมั้ย…”

   “แต่เค้าเป็นน้องสาวคุณนี่  เค้าไม่ใช่คนอื่น…เค้าไม่ชอบผม”  ดวงหน้าหวานที่ซบอยู่กับขนปุยนุ่มสลดลงอย่างเสียใจ

   พนาสัณฑ์กุมมืออีกฝ่ายไว้แล้วพูดในสิ่งที่คิดอย่างไม่นึกเดือดร้อน  “แค่เรารักกันก็พอแล้ว  อีกหน่อยเราก็จะไม่ยุ่งกับพวกนั้นอีก  เราจะอยู่กันที่นี่…อย่างมีความสุข  แค่พวกเราเท่านั้น”

   “ตอนนั้นคุณวลีลดาบอกเรื่องที่คุณคิดจะจริงจังกับคุณสัตยา  ผมไม่รู้ว่าคุณยังไม่รู้จักใครที่นี่ด้วยซ้ำ  ผมน่าจะนึกได้ว่าคุณไม่ชอบสุงสิงกับใคร  ผมโกรธเลยหนีกลับบ้าน  แต่หลังจากนั้นทางองค์กรก็ได้รับการว่าจ้างให้มาค้นคว้าและทำลายจิตวิญญาณงูเจ้าที่นี่  ผมเห็นเป็นโครงการของคุณเลยยอมกลับมา  น้องคุณก็โกหกผมอีกว่าคุณสั่งการหวังทำลายผืนป่าใหญ่  แต่มันบังเอิญกว่านั้นที่ผมเห็นคุณอยู่ในร้านอาหารแถว ๆ นี้  และคุยกันอย่างสนิทสนมกับคุณสัตยา  ผมก็เลยหมกตัวอยู่แต่ในป่า…”  มอร์คราวน์เล่าอย่างรู้สึกผิด  ที่ไม่คิดจะถามเรื่องราวจริง ๆ จากอีกฝ่ายก่อน

   “จะว่าไปแล้วนอกจากไอ้วา  หยก…อ้อ  คุณสัตยาเนี่ยก็เป็นเพื่อนอีกคนที่อยู่ที่นี่ล่ะนะ  ถึงจะบังเอิญมาก ๆ เลยก็เถอะ  ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เค้ายืมชื่อไปบริหารเสน่ห์กับแฟนเค้าง่าย ๆ หรอก  เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งทางนั้นถึงได้เลือกเผาบ้านใหญ่  แทนที่จะเป็นบริษัทฯ  ทรัพย์สมบัติที่ผมไม่สามารถละทิ้งมันได้”  พนาสัณฑ์ยิ้มกับตัวเองเมื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้  เขาไม่ได้นึกโทษใคร  เพราะรู้ว่าน้องสาวตัวเองไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ควรจะเป็น

   ดวงตาสีฟ้าทอดมองคนรักด้วยความเห็นใจและกังวล  มอร์คาวน์ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง  แม้รู้ว่ามันไม่ยากนักกับการที่พนาสัณฑ์จะละทิ้งสมบัติ  ที่มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขา  หากเรื่องที่กำลังสับสนวุ่นวายในตอนนี้ก็ทำให้เขาอดหนักใจไม่ได้

   สมองที่กำลังคิดอย่างสับสนเริ่มมีบางสิ่งแปรปรวน  มอร์คาวน์ส่ายศีรษะรุนแรงจากเสียงหวีดร้องดังลั่นที่ดังสะท้อนอยู่ภายใต้จิตสำนึก  สองมือขยุ้มเส้นผมแน่นเข้าด้วยความทรมานอย่างที่สุด  ในช่วงเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างรุมเร้าจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก  ความรู้สึกหนึ่งก็เด่นชัดขึ้นมา...

   “จิตวิญญาณจงอางถูกทำลายแล้ว!!!” 

   เสียงตะโกนและท่าทางทรมานของคนรักทำให้พนาสัณฑ์ได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ  มือใหญ่แกะมือที่ดึงทึ้งผมตัวเองออก  แล้วกอดร่างบางไว้อย่างกังวล  เขาแทบจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดจากตรงไหน...

   “สิ่งที่คุณวลีลดาคาดหวังให้เกิดขึ้นมันเป็นความผิดร้ายแรง  เธออาจจะได้ผืนป่าตรงนั้นมาเป็นของตัวเอง  แต่ป่าที่มีคำสาปจะทำทุกสิ่งพินาศไปในเวลาเพียงไม่นาน  พฤกษ์...ผมก็เป็นอีกคนที่ร่วมทำผิดกับพวกนั้นด้วย  ถึงผมจะไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจังก็เถอะ” 

   มอร์คาวน์ที่เริ่มสงบลงซุกซบกับคนรักอย่างต้องการที่พึ่ง  เขารู้สึกแย่อย่างร้ายกาจที่ตนเป็นหนึ่งในคณะนักสำรวจที่มุ่งทำลายจิตวิญญาณแห่งป่า  ความทุกข์ทรมานที่ได้รับเพียงชั่วครู่อาจจะน้อยไปกับการที่เขาตอบตกลงเพื่อทำในสิ่งที่ผิดมหันต์  ถึงแม้ในความเป็นจริงเขาแทบจะไม่ให้ความร่วมมือแก่คนอื่น ๆ ในคณะทำงานก็ตาม  แต่ทุกอย่างก็มาถึงจุดมุ่งหมายแล้ว
   อำนาจแห่งงูเจ้าสูญสลายไปจากป่าชุมชนเครือตะโก้แล้ว...

   ++++++++++++++++++++++++

   “ท่านพ่อ!!!”   มะโรงสะดุ้งลุกขึ้นจากโซฟาด้วยความตกใจ  ในหูได้ยินเสียงบิดากรีดร้องโหยหวน  ก่อนที่จิตวิญญาณแห่งงูจงอางของเขาจะดับวูบหายไป  จนจับคลื่นความรู้สึกของครอบครัวไม่ได้อีก  “ไม่จริง...เรากลายเป็นมนุษย์!!!”

   คำอุทานสุดท้ายของมะโรงทำให้ภิมุขที่กำลังนั่งมองเขาต้องงุนงง  หากเมื่อลายดอกจิกบนหน้าผากของคนรักอยู่ ๆ ก็หายไป  ก็ยิ่งงงเข้าไปอีก  “มะโรง  พูดอะไรน่ะ...ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

   ดวงตาที่เคยมีสีแดงเพลิงกลับกลายเป็นสีดำสนิทเมื่อจ้องมองคนรัก  ตาคู่นั้นคลอไปด้วยหยดน้ำใสที่เจ้าตัวไม่ยอมปล่อยให้ร่วงหล่นลงมา  “ท่านพ่อสิ้นแล้ว...พวกนั้นทำสำเร็จ  มะโรงไม่รู้สึกถึงท่านพ่อแล้ว…” 

   ประโยคที่พูดนั้นทำให้ภิมุขพอจะเข้าใจเรื่องราวได้  ร่างโปร่งลุกขึ้นโอบกอดคนรักเอาไว้ด้วยความสะเทือนใจ  แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านของตนเองก็ตาม...  “เรากลับบ้านกันเถอะ  ไปดูว่าที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”

   มะโรงเดินตามแรงจูงของภิมุขอย่างไร้ความรู้สึก  ดวงตาเหม่อลอย  หากยังคงพูดต่อไปคล้ายกับได้เตรียมใจไว้แล้ว  “ท่านพ่อทำสำเร็จแล้วหนูมุก  มะโรงเป็นมนุษย์ได้แล้ว  แต่การบำเพ็ญเพียรตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมาก็ไม่อาจจะหยุดยั้งการทำลายพวกเราจากคนเหล่านั้นได้  มะโรงเป็นความหวังสุดท้ายของท่านพ่อ...ท่านต้องการให้มะโรงมีความสุข  เพราะมะโรงเกิดมาอาภัพกว่าพี่น้องคนอื่น”

   ภิมุขพยักหน้ารับแม้จะยังไม่เข้าใจนักก็ตาม  แต่ก็รู้ว่าบิดาของมะโรงเสียสละเพื่อบุตรตนเองอย่างที่สุด  เขาเปิดประตูรถแล้วดันเบา ๆ ให้อีกฝ่ายขึ้นรถ  ก่อนจะวิ่งไปอีกฝั่งเพื่อเข้าประจำที่คนขับ  ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดของทั้งสอง...

   รถแล่นไปตามเส้นทางอันคุ้นเคยมาตลอดชีวิต  ภายในรถเงียบกริบไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด  มะโรงมองเหม่อออกไปด้านนอกอย่างไร้สติ  แม้ไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะรุนแรงแค่ไหน  แต่ก็ยังมีความหวังเลือนรางว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างจะคงเดิม

   ผ่านไปค่อนวัน…ภิมุขจอดรถที่ปากทางเข้าป่าชุมชน  ก่อนจะลงจากรถมาเปิดประตูให้มะโรงที่นั่งนิ่งไม่ขยับมาตลอดทาง  มือหนึ่งเอื้อมจับจูงคนรักให้ค่อย ๆ ลงจากรถ  แล้วเดินเข้าสู่ด้านในด้วยกัน  เส้นทางสู่ศาลงูเจ้าเงียบเหงาวังเวง  ผิดกับที่ภิมุขเคยเดินผ่านมาตลอด  ชายหนุ่มพยายามจะมองหานก  หรือกระรอกตามกิ่งไม้อย่างที่เคยเห็น  แต่ตลอดเส้นทางจนถึงบริเวณศาลงูเจ้า  เขาก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดเลย

   ภิมุขดวงตาเบิกโพลงมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจสุดขีด  และแทบจะไม่เชื่อสายตา  ศาลงูเจ้าที่สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อนพังทลายลงเหลือเพียงเศษหินอ่อน  ในขณะที่มะโรงคุกเข่าลงบริเวณหน้าที่ตั้งศาลเดิมด้วยความโกรธแค้นและทุกข์ทรมาน

   “มะโรง...ลูก”  เสียงเรียกนั้นทำให้ทั้งสองต้องหันไปทางที่มาด้วยความตกใจ  หญิงสาวสวยสะคราญตายืนยิ้มเศร้า ๆ อยู่ด้านหลังพวกเขา

   ภาพที่ไม่ได้ลวงตานั้นทำให้มะโรงรีบคลานเข่าเข้าไปกราบลงที่เท้ามารดาด้วยความดีใจอย่างที่สุด  น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดหยดรินไม่ขาดสายเมื่อถึงความเสียสละของบิดา  ที่ทำเพื่อเขามาตั้งแต่เล็กจนโต  ธรรมภาวนาที่เพียรทำมาร้อยกว่าปีต้องดับสิ้นลงเพื่อบุตรผู้เป็นที่รักเท่านั้นหรือไร

   “อย่าร้องลูก...”  มือบางเอื้อมซับน้ำตาให้บุตรชาย  แล้วฝืนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  “พวกเราถูกทำลายไปแค่ที่นี่เท่านั้น  ทางเจ้าเขาช่วยกลบจิตบางส่วนไว้ได้ทัน  ท่านเหม่เม๋ขออำนาจที่มีเพื่อดลบันดาลให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายอย่างที่ควรจะเป็น  แต่ความผิดแต่หนหลังครั้งที่พ่อเจ้าส่งพี่เจ้าออกไปด้านนอกเพื่อพวกเรา  รวมถึงช่วยเจ้าในครานี้  ก็มีการคาดโทษกันไว้ถึงสิบปี  หากฟื้นคืนสติขึ้นมาในเวลานี้  จักต้องชดใช้โทษกลายเป็นจงอางธรรมดาจนครบกำหนดโทษ  แต่หากฟื้นหลังจากสิบปีนั้นก็จักถือว่าโทษสิ้นสุดลงแล้ว  แม่กลัวแค่พ่อเจ้าจักไม่ฟื้นคืนเท่านั้นมะโรงเอ๋ย”

   “ท่านแม่...ท่านพ่ออยู่ที่ใดกัน  แล้วเป็นสิ่งใดมากหรือไม่”  มะโรงเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก  เขายังเด็กเกินจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับบิดาได้

   หยาดทิพย์ยิ้มให้บุตรชายด้วยความรัก  แล้วเล่าให้ฟัง  “พวกนั้นทำร้ายพ่อเจ้าในช่วงเวลาที่ท่านกำลังใช้อำนาจทั้งหมดที่มีภาวนาเพื่อให้เจ้าได้เปลี่ยนจิตวิญญาณสู่การเป็นมนุษย์  โชคดีที่พลังทางนั้นหายไปส่วนหนึ่ง  แล้วก็โชคดียิ่งกว่าที่ท่านเหม่เม๋มาช่วยต้านพลังนั้นได้ทันเวลา  พ่อเจ้าจึงเพียงหลับใหลไปเท่านั้น  แต่พลังนั้นก็ร้ายกาจถึงขนาดทำลายศาลพังพินาศลงได้...”

   ภิมุขเดินเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหญิงสาวข้าง ๆ มะโรง  ดวงตามุ่งมั่นมองสบกับดวงตาสีแดงเพลิง  “คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ  เรื่องศาลที่พังไป  เดี๋ยวคนในชุมชนรู้เข้าก็ต้องเร่งทำการบูรณะให้ใหม่  ส่วนคนพวกนั้นเดี๋ยวชาวบ้านก็รวมตัวกันขับไล่ออกไปเองล่ะครับ  ป่าชุมชนและศาลงูเจ้ามีคุณค่าทางสังคมและทางจิตใจต่อพวกเรามาก  ยังไงก็ไม่ปล่อยให้ใครมาทำลายความเชื่อและความศรัทธาที่มีได้ง่าย ๆ หรอกครับ”

   หยาดทิพย์ยิ้มแล้วเอื้อมมือลูบผมภิมุขอย่างเอ็นดู  “น้ารู้ดีจ้ะว่าพวกเราอยู่ร่วมกันได้  แต่ต่อไปน้าคงต้องฝากหนูมุกดูแลมะโรงด้วย  อีกไม่นานพี่ชายของมะโรงที่เป็นมนุษย์มาหลายสิบปีก็จะไปหาและช่วยให้มะโรงใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ได้ง่ายขึ้น  ตอนนั้นน้าก็คงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”

   พูดกับภิมุขจบหยาดทิพย์ก็หันมาหาบุตรชาย  แล้วดึงอีกฝ่ายขึ้นมากอดด้วยความรักของผู้เป็นแม่  “มะโรงไม่ต้องห่วงแม่กับพ่อเจ้านะลูกนะ  แม่จะอยู่ที่นี่แหละ  หากคิดถึงก็แวะมาหาแม่เหมือนที่พี่เจ้าทำก็ได้  แต่ไม่ต้องมาบ่อย ๆ  เจ้าอย่าทำให้พ่อเจ้าผิดหวังเชียว  หากวันข้างหน้าพ่อเจ้าได้สติ  แม่จักให้พ่อเจ้าไปหาเจ้าเอง  ต่อไปนี้พ่อเจ้าคงจะอยู่กับท่านเหม่เม๋ที่ฝั่งด้านโน้น  พวกเราต่างก็มีความสุขในที่ของตัวเองนะลูก...”

   มะโรงผละจากอ้อมกอดมารดาแล้วพยักหน้ารับคำด้วยความเข้าใจ  ก่อนที่ภาพของมารดาจะค่อย ๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตา  โดยไม่มีคำล่ำลาอื่นใด  เมื่อพวกเขาต่างก็จะยังคงอยู่ด้วยกันไปจนถึงวันสุดท้าย

   “หนูมุก...กลับบ้านเราเถอะ”  มะโรงมองภาพศาลที่พังทลายแล้วหันหลังเอ่ยชวนคนรัก

   ทั้งคู่เดินออกจากเขตป่าชุมชุนเครือตะโก้ด้วยความรู้สึกโล่งใจ  เมื่อเรื่องนี้คลี่คลายลงไปในทางที่ดี  ถึงเรื่องราวจะยังดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด...แม้ห่างกันแค่ไหน  ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเหมือนที่เคยเป็นมา
   



ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่่รัก 9
«ตอบ #75 เมื่อ29-12-2013 20:11:36 »

อสรพิษที่รัก 9


   
   เสียงกริ่งที่ดังจากรั้วหน้าบ้านทำให้มะโรงที่กำลังล้างจานอยู่ในครัวต้องละมือ  แล้วรีบเร่งไปยังประตูด้านหน้าด้วยความสงสัย...หากภาพตรงหน้าก็ทำให้มีรอยยิ้มด้วยความดีใจอย่างที่สุด

   “ท่านพี่...”  คนที่ยืนรออยู่หน้าบ้านอยู่ในวัยชรา  อายุน่าจะมากขนาดเป็นปู่คนที่เรียกได้ด้วยซ้ำ  แต่ในความเป็นจริงอีกฝ่ายก็คือพี่ชายแท้ ๆ ของมะโรงนั่นเอง

   “ไม่ได้พบเจ้าเสียนานเลย...สองปีแล้วสินะ”  พี่ชายเอ่ยทักน้องชายขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าบ้านอย่างเชื่องช้า  เพราะสังขารที่ร่วงโรย  “ท่านพ่อบอกพี่เอาไว้ได้สักพักแล้ว  เรื่องที่จะช่วยจนกระทั่งเจ้าได้ถึงฝั่งฝันในครานี้”

   “ครับ...”  มะโรงรับคำสั้น ๆ  เขาไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ชายจะต้องทำเพื่อให้เขาเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์นัก  หากแต่ก็รู้มาจากบิดาว่าจะต้องทำอีกหลายอย่าง  เพื่อให้มีตัวตนอยู่บนโลก  และสามารถอยู่ร่วมกับคนที่รักได้

   มะโรงจำคำของบิดาได้ขึ้นใจ  ว่าตัวเขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นงูเจ้าตั้งแต่ถือกำเนิด  จากเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา  ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นอ่อนแอเกินกว่าจะแบกภาระอันยิ่งใหญ่สืบต่อจากบรรพชนได้...และมะโรงเข้าใจในสิ่งที่บิดาเป็นห่วงดีกว่าใคร

   เมื่อประคองพี่ชายนั่งลงบนโซฟาแล้ว  มะโรงจึงนั่งลงใกล้ ๆ  สังเกตวัยที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาแล้วทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับตนเองในอนาคต  รู้ว่าหากเป็นมนุษย์อายุนั้นจะสั้นยิ่งนัก  แม้จะแปลกใจที่เขาจะต้องเริ่มต้นด้วยวัยผู้ใหญ่และจากนี้อีกไม่เกินห้าสิบปี  ชีวิตในฐานะมนุษย์นี้ก็จะ....สิ้นสุดลง

   “นี่เป็นบัตรประชาชน  ปัจจุบันเจ้าจะอายุสามสิบปีมนุษย์  ที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของเจ้าอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ใจกลางโซนกสิกรรม  เอาไว้ให้คนรักของเจ้าพาไปดูก็ได้  พี่เตรียมไว้ให้เจ้าเพียงเท่านี้  ทรัพย์สมบัติพี่จัดการแบ่งให้เรียบร้อยแล้ว  รายการอยู่ในแฟ้มที่วางอยู่ในห้องทำงานที่บ้านหลังนั้น”  ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยบอกด้วยถ้อยคำที่ฟังง่ายดายสำหรับตนเอง  หากไม่ง่ายเลยสำหรับคนที่รับฟัง

   “มะโรงเอ๋ย...เจ้ายังเด็กนัก  ยังห่างไกลกับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไป  สิ่งที่ท่านพ่อเคยสอนนั้นใช้ไม่ได้ในโลกของมนุษย์หรอกนะ  ไม่ใช่มีแค่ความรักแล้วเจ้าจะเอาตัวรอดอยู่ได้  จะให้คนรักของเจ้าต้องคอยดูเจ้าไปตลอดไม่ได้หรอกเด็กเอ๋ย...เจ้าต่างห่างที่จะต้องปกป้องเขา”

   มะโรงที่พอจะเข้าใจในประโยคหลัง ๆ พยักหน้ารับคำกับพี่ชาย  เขารู้ดีว่าพี่ชายคนนี้ไม่ได้มีเฉพาะจิตวิญญาณของมนุษย์  อีกฝ่ายเป็นดังตัวแทนของเหล่าพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกับเขา  เมื่อบิดารู้ดีว่าหากไม่รู้จักมนุษย์ให้ดีพอ  เหล่าพี่น้องและผองเพื่อนคงไม่อาจเอาตัวรอดอยู่บนโลกได้ตลอดไป  พี่ชายของมะโรงจึงมีความพิเศษกว่ามะโรง  ตรงที่หากสิ้นอายุขัยนี้ไป  ก็จะมีร่างใหม่ให้เริ่มต้นชีวิตในฐานะมนุษย์อีกครั้งอย่างไม่สิ้นสุด...จนกว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขาจะดับสูญไปนั่นแหละ  พี่ชายจึงจะดับสูญไปพร้อม ๆ กัน

   “ร่างนี้ใกล้ถึงคราวสิ้นสุดอายุขัยแล้วมะโรงเอ๋ย  พี่คงไม่ได้มาหาเจ้าอีกแล้ว  แต่หากพี่ถือกำเนิดขึ้นในร่างใหม่พี่จะกลับมาพบเจ้าอีกครั้ง  วันนี้เจ้าจงจำสิ่งที่พี่บอกไว้ให้ดี  พี่จะต้องกลับไปพักผ่อนก่อนแล้ว  อย่าลืมไปดูบ้านที่พี่จัดหาไว้ให้ล่ะเด็กน้อย...สักวันเจ้าคงได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น  เจ้าต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้นะน้องพี่...”  นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของพี่ชายที่มะโรงจำได้ขึ้นใจทุกประโยค  หากแต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมดจริง ๆ

++++++++++++++++++++++++

สุนัขคอลลี่ตัวอ้วนโตเดินอืดเอื่อยผ่านร้านรวงต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายดูสวยงามสะอาดตา  มันแทบจะเป็นฝ่ายเดินจูงเจ้าของที่ถือสายจูงอยู่  แต่กลับเดิน ๆ หยุด ๆ จนมันเอาใจไม่ถูก  เหตุผลอาจเป็นเพราะคนข้างกายเจ้านายมันกระมัง  ที่เดี๋ยวแวะร้านโน้นร้านนี้ด้วยความสนอกสนใจสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา...

   “อันนี้ผมว่าไม่น่าสนใจหรอก  คุณดูแจกันใบนั้นสิมันหาได้จากชุมชนแถวสุขเหลือล้ำนะผมว่า  ถ้าคุณอยากได้ลายโบราณแบบยุคสุโขทัยคงต้องไปดูแจกันนำเข้าจากจังหวัดอื่นที่โซนหัตถกรรมจะดีกว่า”  เสียงพนาสัณฑ์อธิบายด้วยความรอบรู้  เพียงเพราะเขาใช้เวลาสองปีที่ผ่านมาในการเดินดูร้านต่าง ๆ ตามแต่ละโซนในจังหวัดที่เก้าสิบเก้านี่เอง

   สัตยามองแจกันใบที่อีกฝ่ายชี้แล้วพยักหน้าเบา ๆ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกคุ้น ๆ อย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ  จึงได้ออกเดินต่อไปด้วยอยากรู้ว่าแถวนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจอีกหรือไม่

   จังหวัดที่เก้าสิบเก้านั้น  ตัวอำเภอเมืองจะจัดแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ ตามกิจกรรมที่คนในแต่ละโซนส่วนใหญ่ทำกันอยู่  แต่ละโซนจะเปรียบเสมือนเป็นตำบลหนึ่งเลยทีเดียว...

   “แล้วคุณจะจัดการเรื่องของน้องสาวคุณยังไง  ผมว่าชักจะเอาใหญ่แล้วนะ  ไม่แน่ใจว่าถ้ายังอาละวาดต่อไปน้องชายผมจะละเว้นให้รึเปล่าน่ะสิ...แต่ไม่ต้องห่วงนะ  เดี๋ยวผมจะไปบอกพวกนั้นเองว่าคุณเป็นเพื่อนผม  จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจปิดบังนานขนาดนี้  แค่มันสนุกเท่านั้นเอง”    สัตยาที่เดินไปด้านหน้าหันกลับมาคุยกับพนาสัณฑ์ที่กำลังนั่งลงแกะสายจูงให้เจ้าเครซี่อยู่

   พนาสัณฑ์ยักไหล่เหมือนจะไม่สนใจอะไร  “ช่างเถอะ...บอกตรง ๆ นะ  ว่าผมเพิ่งคิดได้ว่าผมไม่จำเป็นจะต้องสนใจอะไรนักหรอก  ขอแค่ละเว้นผมกับม็อคค่า  อยากได้อะไรผมจะยกให้ยัยน้องหมดเลย  ผมอยากอยู่อย่างสงบ”

   “ขอโทษนะที่ผมดึงคุณเข้ามาเกี่ยวด้วย”  สัตยาเอ่ยขอโทษด้วยความรู้สึกผิดขึ้นมา

   “ยัยน้องดึงคุณเข้ามาเกี่ยวกับผมตั้งแต่ก่อนหน้าที่เราจะรู้จักกันซะอีก  และถึงไม่มีคุณเรื่องพวกนี้ก็จะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี  ทรัพย์สมบัติมันช่างล่อตาล่อใจพวกละโมบนัก  ยัยน้องน่ะมีคนยุยงส่งเสริมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”  พนาสัณฑ์หัวเราะเยาะให้กับโชคชะตาที่ดึงให้เขาต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องราวเหล่านี้  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ต้องการอะไรเลย

   สัตยาเงยหน้ามองท้องฟ้าในวันที่อากาศแจ่มใสแล้วแค่นหัวเราะออกมา  “ทำอะไรไว้  ก็ต้องรับผลของมันทั้งนั้นแหละ  น้องสาวคุณคงอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้  เพราะสิ่งที่เค้าทำช่างใหญ่หลวงนัก”

   ทั้งสองต่างยิ้มให้กันเมื่อเข้าใจดีว่า  ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  สิ่งนั้นย่อมเป็นผลจากสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไปแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นชะตากรรมหรือผลกรรม  ทุกคนก็ได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น...

   ทั้งสองคนไม่รู้เลยว่ามีบุคคลลึกลับหลบอยู่ในซอกมุมที่ยากต่อการมองเห็น  เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  หากก็ไม่ดังพอที่คนเดินผ่านไปมาจะได้ยิน...

++++++++++++++++++++++++

“หนูมุก  พี่ชายมะโรงมาหาเมื่อตอนกลางวันล่ะ”  มะโรงอ้าแขนรับคนรักเข้ามากอดไว้แล้วเอ่ยบอกด้วยความดีใจ  “เอาบัตรอะไรไม่รู้มาให้  แล้วก็นี่บ้านมะโรง...”

   ภิมุขก้มมองแผ่นกระดาษเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือคนรักแล้วอดเอ่ยถามไม่ได้  “บ้านหลังนี้พี่ชายซื้อให้มะโรงเหรอ  น่าแปลกว่าทำได้ยังไงเนี่ยทั้งบัตรประชาชนนี่ด้วย”

   “ถ้ามนุษย์รู้เสียหมดว่าพวกมะโรงเป็นคนอย่างสมบูรณ์ได้เช่นไร  มะโรงกับพี่น้องไม่แย่เหรอ”  มะโรงเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนัก  แต่ภิมุขก็พยักหน้าเข้าใจในทันที

   “นั่นสินะ  ผมน่าจะคิดได้เองนะเนี่ย”  ภิมุขโทษตัวเองเพราะคิดว่าตัวเขาน่าจะฉลาดกว่านี้อีกนิด

   มะโรงส่ายหน้าด้วยความไม่เห็นด้วยนัก  “ถ้าหนูมุกเข้าใจได้ทุกเรื่อง  มะโรงก็โง่น่ะสิที่ไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย”
   “อ้าว...คุณเพิ่งจะอายุแค่เนี้ย  ถึงในบัตรจะสามสิบก็เถอะ”  ภิมุขมองดูบัตรประชาชนแล้วเบิกตาอย่างตกใจ  แต่ยังคงพูดต่อ  “จริง ๆ คุณต้องรู้ไว้นะว่าผมเป็นคนฉลาดมาก ๆ”

   “มะโรงรู้อยู่แล้ว...”  คนพูดส่งเสียงฮึในลำคอ  แล้วเดินเลี่ยงเข้าไปในครัวอย่างน้อยใจตัวเอง

   ภิมุขมองตามอีกฝ่ายแล้วแอบหัวเราะอย่างอดไม่ได้  เมื่อไม่คิดว่าคนตัวโต ๆ อย่างมะโรงก็มีมุมช่างน้อยอกน้อยใจอยู่เหมือนกัน  ร่างโปร่งเดินเข้าไปกอดแผ่นหลังกว้างไว้อย่างเอาใจ  จนลืมไปว่าตัวเองก็มีมุมที่ไม่สามารถเอาชนะคนเจ้าเล่ห์ได้เช่นกัน  เมื่อต้องรับจูบร้อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่

   “นี่...ในครัวเชียวนะ”  ภิมุขดันอีกฝ่ายออกห่างแล้วต่อว่าอย่างไม่ใยดีความรู้สึกซาบซ่านที่ได้รับ

   “เหรอ...แล้วไงอีก”  คนถามไล้ปลายจมูกโด่งลงสู่ซอกคอขาวแล้วเอ่ยถาม  “หนูมุกจะสนใจอย่างอื่นมากกว่ามะโรงเหรอ  ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ”

   “จะบ้าหรือไงเล่า...”  ภิมุขฟังคำพูดไร้ความรับผิดชอบแล้วเกิดเขินขึ้นมา  “สนใจอย่างอื่นที่ไหน  แต่นี่มันในครัว”
   คนฟังเริ่มปลดกระดุมเสื้อคนพูดออกอย่างไม่รีบร้อน  เมื่อผิวเนียนเปิดให้เห็น  ริมฝีปากบางก็ประทับรอยให้ในทันที  “นี่ไม่เรียกว่าสนใจอย่างอื่นเหรอ  เวลาแบบนี้ต้องเรียกชื่อมะโรงคนเดียวต่างหาก  อย่างอื่นห้ามพูด  ไม่งั้นโกรธแล้วจะไม่ทำต่อจริง ๆ ด้วย”

   ภิมุขอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงในสิ่งที่ได้ฟัง  จะเถียงต่อก็กลัวว่าจะไปหยุดในจุดที่ทำให้ตัวเองทรมานเข้าให้  จึงได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจไปจนกว่าจะถึงที่สุดนั่นแหละ

   ++++++++++++++++++++++++

   รถยนต์หรูติดฟิล์มสีทึบคันหนึ่งวนเวียนอยู่รอบตึกบริษัทอัญมณีอย่างน่าสงสัย  ก่อนที่รถคันนั้นจะจอดห่างออกไปสองช่วงตึก  จนกระทั่งรถของสัตยาแล่นเข้าสู่ภายในตัวตึก  ประตูรถคันนั้นจึงเปิดออกให้ผู้ที่เปรียบเสมือนศัตรูของเขาได้ก้าวลงมา...

   “จัดการตามแผนได้...”  วลีลดาหันไปสั่งลูกน้องที่เดินเข้ามาใกล้  แล้วเดินเข้าไปภายในร้านอาหารร้านหนึ่งแถว ๆ นั้น

   พงหญ้าล็อครถแล้วกำลังจะเดินตามสัตยาเข้าไปภายในตึก  แต่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้  แล้วขวางหน้าไว้เสียก่อน  ยังไม่ทันจะได้เอาเรื่องอะไร  สิ่งหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องนิ่งเงียบไปด้วยความไม่เข้าใจ

   “ถ้าอยากรู้ความจริง  ตามผมไปสิ...”  ชายคนนั้นพูดจบก็เดินนำหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

   พงหญ้าส   องจิตสองใจ  เขายืนนิ่งอย่างสับสนหากสุดท้ายก็มองเข้าไปที่ประตูทางเข้าด้วยความหงุดหงิด  แล้วจึงตัดสินใจวิ่งตามชายแปลกหน้าคนนั้นไป...

   ในร้านอาหารวลีลดานั่งหัวเราะชอบใจอยู่ในมุมสงบมุมหนึ่ง  “นั่งลงสิคะคุณพงหญ้า...”

   ลักษณะการพูดที่ไม่ได้ดูถูกดูแคลนเหมือนเก่าทำให้พงหญ้านั่งลงอย่างเสียมิได้  เขาสับสนเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายสติดีหรือเปล่า  ถึงได้นั่งมองหน้าเขาแล้วหัวเราะคิกคักอยู่นั่น 

   “รูปนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่คุณวลีลดา”  เมื่อนึกรำคาญจนทนไม่ไหว  พงหญ้าจึงตัดสินใจถามจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที

   รูปมากมายถูกเทออกจากซองเอกสารกองอยู่ตรงหน้าพงหญ้า  แต่ละภาพนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องขบกรามอย่างโกรธจัด  ภาพของสัตยากำลังแสดงความสนิทสนมกับใครคนหนึ่ง  ท่าทางกำลังมีความสุขนั้นทำให้พงหญ้านึกแค้นเคืองขึ้นมา

   “นั่นพี่ชายลดาเองค่ะ”  หญิงสาวเปลี่ยนลักษณะการพูดกับพงหญ้าแล้วจริง ๆ  “สองคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว  จริง ๆ ไม่น่าจะมีอะไรหรอกถ้าพี่ชายไม่คิดจะยกฐานะให้คุณหยกมาเป็นคนใกล้ตัว  ดูนี่สิคะ...”

   กระดาษหลายแผ่นถูกวางลงตรงหน้าพงหญ้า  ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบมันขึ้นมาอ่านดูอย่างสงสัย  แล้วดวงตาของเขาก็ลุกวาวด้วยความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ข้างใน

   “เราต่างก็ไม่ชอบเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกันสินะคะ  ลดาไม่อยากย้ำหรอกนะคะว่าคุณหยกนอกใจคุณมานานแค่ไหนแล้ว  พี่ชายซื้อบ้านไว้เพื่อพวกเขาทั้งสองคน  เท่าที่รู้มาตอนนี้พี่ชายเลือกที่จะอยู่กับคุณหยกมากกว่าบริษัทฯ ด้วยซ้ำ  แน่ล่ะว่าลดาโกรธมาก  ไม่มีทางยอมรับได้เด็ดขาด  คุณพงหญ้าอาจจะยอมให้คนที่คุณรักมีความสุขได้  แต่ละลดายอมให้ไม่ได้...”  หญิงสาวมีท่าทีโกรธแค้นอย่างที่พูด  เพราะสำหรับเธอแล้วสัตยาเป็นศัตรูตัวจริงโดยไม่ต้องแสดงละคร

   พงหญ้ากำมือแน่น  แต่ก็ยังเอ่ยถามความต้องการของหญิงสาวอย่างรู้ทัน  “แล้วคุณต้องการอะไรถึงได้มาบอกผม”

   มือบางเอื้อมข้ามโต๊ะมายังหน้าพงหญ้า  โดยที่เขาไม่ได้เสหลบอย่างที่ควรจะเป็น  “ลดาต้องการคุณมาร่วมงานด้วย  ในฐานะ...สามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  เราจะร่วมงานกันทั้งด้านธุรกิจและชีวิตครอบครัว”

   ความต้องการของหญิงสาวทำให้พงหญ้าตกใจหากก็ไม่มากพอจะแสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาทางสีหน้า  ชายหนุ่มเพียงพยักหน้ารับ  “ผมขอตัดสินใจ...ไม่นาน  หากตกลง…คุณจะพบผมที่บ้านของคุณ”

   วลีลดาใช้ปลายนิ้วจิ้มจมูกโด่งนั้นแล้วถอนมือออกมาด้วยรอยยิ้มพอใจ  ดวงตากร้าวแสดงถึงพิษร้ายของเธอมองตามพงหญ้าที่เดินออกจากร้านไป  แล้วหัวเราะออกมาราวกับสิ่งที่ต้องการนั้น...ได้มาไว้ในครอบครองแล้ว

   “เราต่างก็นิสัยเหมือนกัน  ฉันดูคุณไม่ผิดหรอกน่าพงหญ้า...ถึงไม่มีทรัพย์สมบัติ  แต่รูปสมบัติและความสามารถของคุณก็คือสิ่งที่ฉันต้องการ  กลุ่มอัญมณีต้องพินาศด้วยมือวลีลดาคนนี้นี่แหละ...”  หญิงสาวเก็บกระดาษหลายแผ่นเข้าซองด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ 

   เอกสารที่ใช้ทำลายความรักของคนมาแล้วคู่หนึ่งได้ถูกนำมาใช้อีกครั้ง...และดูท่าว่าครั้งนี้มันอาจจะได้ผลอีกครั้ง

   ++++++++++++++++++++++++

   สัตยารีบลงจากรถอย่างรีบร้อน  เขาได้รับโทรศัพท์จากพงหญ้าว่าไม่ค่อยสบายนักจึงขอลากลับมาพักผ่อนที่บ้าน  ด้วยความเป็นห่วงเขารีบขอยืมรถน้องชายขับกลับมาที่บ้านด้วยความเร็วจนเกือบถูกตำรวจตามมานั่นแหละ

   ภายในบ้านเงียบกริบจนชายหนุ่มนึกประหลาดใจ  แต่ก็ยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นคนรักนอนอยู่บนพื้นพรมที่มุมนั่งเล่นตรงระเบียงข้างสวน  ผ้าม่านที่ถูกปิดทั่วทั้งบ้านทำให้แสงสว่างไม่อาจเล็ดลอดเข้าสู่ภายในได้จนทั้งบ้านเกือบมืดสนิท 
   เมื่อจะเอื้อมมือไปเปิดม่านเสียงของพงหญ้าก็ดังขึ้นเสียก่อน  “กลับมางั้นเหรอ...”

   สัตยาอดจะแปลกใจกับถ้อยคำที่ถูกถามไม่ได้  ยังไม่ทันได้ตอบข้อมือก็ถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าหาด้วยความรุนแรงอย่างที่ไม่เคยทำ  “รู้จักไอ้พนาสัณฑ์ใช่มั้ย  ที่ผ่านมาเนี่ยโกหกกันมาตลอดใช่มั้ย”

   “รู้มาจากไหนน่ะ...”  สัตยาถามอย่างแปลกใจ  ไม่ได้แปลกใจกับท่าทีของพงหญ้า  แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องของเขากับพนาสัณฑ์ต่างหาก  แม้คิดว่าจะเล่าให้ฟัง  แต่ก็ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยด้วยซ้ำ

   “ที่ทะนุถนอมมาตลอดนี่พงมันโง่เองใช่มั้ย  ปล่อยให้หยกไปเป็นของคนอื่นซะตั้งนานแบบนั้น”  พงหญ้าผลักร่างบางลงบนพรมแล้วใช้ตัวกดทับไว้ไม่ให้ขยับหนีไปได้

   “ทำอะไรน่ะ...ปล่อยนะ!!!”   สัตยาตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย เขา พยายามดิ้นหนีจากการกอดรัดนั้นแต่ก็ไม่อาจหลุดออกมาได้เลย

   ริมฝีปากหนาแย่งชิงคำพูดทั้งหมดของสัตยาไปทันที  เมื่อมันครอบครองริมฝีปากอิ่ม  และไล่ตวัดลิ้นของเขาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว  สัมผัสรุนแรงลุกล้ำไปทั่วทั้งร่าง  เสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ให้ถูกดึงกระชากออกอย่างไม่ถนอมรักษา...

   ฝ่ามือใหญ่สมตัวบีบเคล้นผิวเนียนอย่างไม่ปราณี  สร้างร่องรอยและความเจ็บปวดให้กับสัตยาที่เกลียดและกลัวความเจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก  ดวงตาที่เคยหวานซึ้งแดงก่ำเมื่อน้ำตารินไหลไม่หยุด  หากพงหญ้าก็ยังคงไม่ยุติความแค้นเคืองขัดใจภายใน...สร้างความรุนแรงนั้นต่อไป

   เสียงกรีดร้องดังลั่นสะท้อนไปทั่วทั้งบ้าน  เมื่อพงหญ้าฝืนกายเข้าไปในร่างบางไม่หยุด  หยดเลือดไหลรินเปื้อนผืนพรมสะอาดเป็นวงกว้าง  ดวงตาช้ำเบิกโพลงมองสู่เพดานห้องอย่างคนไร้ความรู้สึก  หากริมฝีปากที่มีเลือดไหลซึมก็ยังคงเผยอร้องครางด้วยความเจ็บปวด...

   ฟันคมกัดลงไปบนยอดอกช้ำอย่างรุนแรง  เรียกเสียงร้องจากร่างเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง  ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยร่องรอยฟันนั้นห้อเลือด  บางจุดมีเลือดไหลซึม  จนแทบไม่วี่แววของผิวนวลเนียนไว้ให้เห็น  นิ้วมือเรียวกอบกุมผืนพรมจนสีผิวบริเวณนั้นซีดสนิท  ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจากแรงเคลื่อนไหวเบื้องบนและความหวาดกลัวที่เข้าครอบงำในจิตใจ

   สติสุดท้ายนั้นดวงตาแดงก่ำมองเห็นเพียงดวงตากร้าว  ที่จ้องมองมายังตนเองด้วยความแค้นเคือง  ก่อนที่ทุกภาพจะหายไปต่อหน้าต่อตา...

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่่รัก 10
«ตอบ #76 เมื่อ29-12-2013 20:14:47 »

อสรพิษที่รัก 10 (อวสาน)



สัมผัสอ่อนโยนที่ไล้อยู่บนดวงหน้า  ทำให้สติที่กำลังหลับใหลเริ่มกลับคืนมาอย่างต่อเนื่อง  ดวงตาช้ำค่อย ๆ หรี่ปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า  ภาพเบื้องหน้าแม้ไม่ชัดเจนแต่ก็รับรู้ว่ามีใครอยู่ด้วยอีกหลายคน  หากดวงตาที่ลืมขึ้นมานั้นกลับเสหลบไปด้านอื่นด้วยความหวาดกลัว

   ร่างบางขยับเพียงนิดก็ได้ยินเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลบนร่างกาย  ร่างนั้นสั่นสะท้านเมื่อรู้ว่าไม่มีทางให้หนีไปไหนได้อีกแล้ว...สัตยานั้นราวกับจำทุกคนในห้องไม่ได้  ทั้งภิมุข  มะโรง  กิตติกานท์  อัคนี  ทิวาและพนาสัณฑ์  นั่นทำให้ทุกคนได้แต่ตกใจหากก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา

   “พี่หยก...”  ภิมุขดึงพี่ชายมากอดไว้แนบอกด้วยความสงสารเห็นใจ  แม้อีกฝ่ายจะพยายามดิ้นรนด้วยแรงที่มี  หากอ้อมกอดของเขาก็ยังคงรัดร่างบอบบางเอาไว้แน่น  “นี่มุกน้องพี่ไง...ไม่ต้องกลัวนะครับ  ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว...”

   มือที่ใหญ่กว่าไม่มากนักเอื้อมคว้ามือสัตยาไว้แน่น   ดวงตาช้ำเงยหน้ามองคนที่อยู่ใกล้  แล้วซบหน้าลงกับอกอีกฝ่ายอย่างต้องการที่พึ่ง  ราวกับรู้ว่าใครคนนี้จะไม่ทำให้เขาต้องได้รับความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในความรู้สึกอีก  ภิมุขเอื้อมมือลูบหลังพี่ชายเบา ๆ อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร...ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ

   เมื่อสองวันก่อนเมื่อรู้ว่าพี่ชายไม่ไปทำงาน  เขาจึงได้ไปหาที่บ้านในตอนเย็น  และพบกับภาพที่น่ากลัวจนแทบลมใส่  ร่องรอยช้ำบนผิวเนียนนั้นทำให้สัตยาแทบจะกรีดร้องก็มาให้ดังลั่น  หากมะโรงไม่หาผ้ามาห่อตัวพี่ชายเขาแล้วพาขึ้นรถเสียก่อน...

   ภิมุขพาพี่ชายเข้าโรงพยาบาลที่มีกิตติกานท์บริหารงานอยู่  เพราะเชื่อว่าทางโรงพยาบาลจะสามารถรักษาพี่ชายได้อย่างดีที่สุด  และจะช่วยให้เรื่องของพี่ชายไม่เป็นข่าวได้ด้วย 

   หลังจากนั้นอัคนีส่งคนไปสืบเรื่องราวของพงหญ้าให้  ก็ยิ่งทำให้ภิมุขสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น  เมื่อรู้ว่าภิมุขเตรียมเข้าพิธีแต่งงานกับวลีลดาและจะย้ายไปอยู่กับฝ่ายนั้น  เมื่อเขาไปหาและเอ่ยถามสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายก็รับรู้เพียงแค่ว่าทั้งสองตัดสินใจเลิกกันไปแล้ว  เพราะพี่ชายเขารักอยู่กับคนอื่น  ส่วนใครเป็นคนทำร้ายพี่ชายนั้นพงหญ้าบอกว่าไม่รู้...และภิมุขก็ไม่กล้าพอจะพิสูจน์เพื่อให้เสียชื่อของสัตยา  จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น

   “จะเป็นแบบนี้อีกนานมั้ยครับพี่หมอ...”  ภิมุขหันไปถามกิตติกานท์ที่นั่งมองสัตยาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีอยู่อีกมุมหนึ่งในห้อง

   กิตติกานท์ถอนใจอย่างหมดหนทาง  เพราะใช่ว่าตัวเขาจะไม่เข้าใจเอาเสียเลย  แต่เพราะเข้าใจได้ดีต่างหาก  “เรื่องของจิตใจพี่ตอบไม่ได้จริง ๆ มุก  อยู่ที่การเยียวยาแล้วก็เจ้าตัวด้วยว่าจะเข้มแข็งได้มากแค่ไหน”

   “แล้วจะให้เรื่องราวมันจบแค่นี้เหรอคุณภิมุข”  ทิวาที่กำลังนั่งปลอบอัคนีอยู่เอ่ยถาม  เขาไม่ใคร่จะเห็นด้วยนัก

   “รอให้พี่หยกจัดการเองดีกว่าครับ  ผมไม่อยากจะทำร้ายคนที่พี่หยกไม่ต้องการทำร้าย  ผมเชื่อว่าพี่หยกจะหายดี...ไม่ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีก็ตาม”  ภิมุขกุมมือพี่ชายไว้แน่น  อีกฝ่ายที่นั่งเหม่อลอยเงยหน้าขึ้นมองเขาเมื่อรับรู้ถึงแรงบีบที่มือ  หากเมื่อยิ้มให้ไปอีกฝ่ายกลับก้มลงเหม่อเช่นเดิม  ราวกับได้ลืมวิธียิ้มตอบใคร ๆ ไปแล้ว

   พนาสัณฑ์ที่ยืนอยู่นอกระเบียงเดินกลับเข้ามาแล้วถอนใจกับตัวเองอย่างอดไม่ได้  “เมื่อก่อนหน้านั้นเรายังไปหาซื้อแจกันลายโบราณแบบยุคสุโขทัยด้วยกันอยู่เลย  ทำไมแค่สามวันทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมดแบบนี้”

   “แจกันนั่น…ผมเคยบอกไปว่าอยากได้มาใส่ดอกไม้ในห้องรับแขก  พี่หยกเคยรับปากไว้ว่าถ้าว่างจะไปหาดูให้...”  ภิมุขยิ้มน้อย ๆ เมื่อรู้ว่าพี่ชายยังคงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาอยู่ตลอดเวลา 

   “หนูมุก  พวกเราสามคนย้ายไปอยู่บ้านมะโรงดีมั้ย  ที่นั่นน่าอยู่ดีนะ...หนูหยกอาจจะหายเร็วก็ได้”  มะโรงเข้ามากระซิบบอกคนรัก  แล้วเอื้อมมือลูบผมนุ่มของคนป่วยเบา ๆ อย่างต้องการปลอบใจ  หากอีกฝ่ายก็ไร้ท่าทีตอบสนองใด ๆ

   ภิมุขก้มลงมองสัตยาแล้วหันไปพยักหน้ากับคนรัก  เมื่อข้อเสนอนั้นน่าสนใจอย่างที่สุด  ไม่เพียงแต่หลีกหนีจากบรรยากาศเดิม ๆ ที่อาจจะทำให้พี่ชายอาการหนักขึ้น  แต่บ้านที่มีสวนราวกับจำลองป่ามาไว้ในบ้านแบบนั้น  ช่างเหมาะกับอาการป่วยของพี่ชายเขาเหลือเกิน

   ++++++++++++++++++++++++

   ครึ่งปีต่อมา...

   หลังออกจากโรงพยาบาล  สัตยาก็ถูกพาไปอยู่บ้านหลังใหม่  ภิมุขตัดสินใจเรียกวิษณุ  พี่ชายคนโตมาบริหารงานแทนทั้งเขาและสัตยาที่กำลังป่วย  โดยทั้งคู่ปิดเรื่องนี้ไม่บอกทั้งบิดาและปู่ย่า  เพราะไม่อยากให้พวกท่านต้องเป็นห่วง  ในระหว่างนั้นภิมุขได้ฝากให้พี่ชายสอนงานมะโรงไปด้วย  เพื่อให้อีกฝ่ายทำงานแทนในตำแหน่งของเขาในอนาคต  เผื่อว่าอาการสัตยาจะไม่ดีขึ้นอีกนาน

   ช่วงแรกวิษณุสงสัยในความเป็นมาของมะโรงอยู่ไม่น้อย  และลักษณะแปลก ๆ บางอย่างทำให้เขาอดเอ่ยปากถามน้องชายไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน  ภิมุขจึงได้เล่าความจริงให้พี่ชายฟังทั้งหมด  ทำเอาวิษณุที่เพิ่งได้รู้เรื่องราวตกใจจนตัวสั่น

   “ถึงว่าสิ  อยู่ ๆ คนในหมู่บ้านก็วิ่งออกมาจากป่าหน้าซีดตัวสั่น  บอกว่างูเจ้าพิโรธจนย้ายศาลหนี  แต่ปู่กล่ำหมอผีในหมู่บ้านก็บอกอย่างที่เราพูดนี่แหละ  พวกเราก็เลยทำพิธีตั้งศาลใหม่  บรรยากาศชวนขนหัวลุกในตอนแรก ๆ ก็เลยหายไป  พอตั้งศาลใหม่เสร็จไอ้พวกด็อกฯ นั่นเลยถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน  เพราะชาวบ้านบอกว่าเป็นตัวซวย  เข้ามารวบกวนงูเจ้า  จริง ๆ ชาวบ้านเราก็ไม่ได้งมงายซะทีเดียวล่ะนะ”  วิษณุเล่าให้น้องชายคนเล็กฟัง

   ภิมุขที่ป้อนส้มให้สัตยา  หันมาทำหน้าเบ้ใส่พี่ชายคนโต  “ก่อนหน้านั้นพี่นิลว่าชาวบ้านงมงายใช่มั้ยล่ะ  อย่าคิดว่าผมรู้ไม่ทันนะ”

   หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มเหมือนพระเอกหนังไทยยุคเก่ายิ้มเฝื่อน ๆ ให้น้องชายแล้วเริ่มหาข้อแก้ตัว  “ใครว่าเล่า  แค่คิดว่าเชื่ออะไรที่มองไม่เห็นก็แค่นั้น  ก็ใครจะไปมองเห็นเหมือนเราเล่านายมุก  นี่พี่เชื่อนายแล้วนะ...ปกติต้องขอพิสูจน์ไปแล้ว  แต่กลัวว่ะ”

   “พี่นิลจะไม่เชื่อผมได้ยังไง  ก็ผมน่ะเป็นคนเดียวที่เคยเห็นงูเจ้านี่  เอ้ย…พี่หยกกับพี่พงก็ไปเห็นมาแล้วนี่หว่า  ลืมไป…”  ภิมุขพูดแล้วก็ซึมไปเมื่อนึกถึงพงหญ้าขึ้นมา  “พี่นิล  คำพูดพี่พงเชื่อได้แค่ไหนครับ  พี่หยกมีคนอื่นจริง ๆ เหรอ”

   วิษณุหัวเราะเสียงขื่น  ก่อนให้คำตอบน้องชาย  “จะเชื่อมันได้แค่ไหนน่ะเหรอ  วันนี้จะสำคัญอะไรล่ะวะ  ในเมื่อมันก็แต่งงานกับทางนู้นไปแล้ว  มุกเอ๊ย...เราแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

   ภิมุขมองดูสัตยาที่ยังคงนั่งเหม่อยู่บนเตียงไม่ยอมรับรู้อะไร  บางทีเขาก็คิดว่าหากพี่ชายอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ อาจจะดีกว่าได้สติแล้วต้องมารับรู้เรื่องของพงหญ้าก็เป็นได้  ในเมื่อตัวเขาไม่เคยเชื่อเลยว่าพี่ชายจะมีคนรักคนอื่นอีก...

   “เดี๋ยวพี่จะเข้าบริษัทฯ ซักหน่อยนะมุก  ปล่อยท่านมะโรงทำงานคนเดียวเดี๋ยวจะบาปว่ะ  แต่รายนั้นก็เรียนรู้เร็วดี  พี่ชอบ…เอาไว้คุมงานส่วนของเรากับหยกได้เมื่อไหร่  พี่ขอกลับไปดูงานที่บ้านนะโว้ย  พี่ไม่ชอบตัวเมืองว่ะ  มันไม่ค่อยสงบ”  วิษณุว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป  แต่ก็หันกลับมาก่อนจะพ้นห้อง  “ตอนเย็นพานายหยกออกไปชมนกชมไม้ด้วยนะมุก  อย่าตามใจให้นั่งแต่บนรถเข็นนัก  พาลุกขึ้นเดินเหยียบพื้นหญ้าซะบ้าง  เดี๋ยวฟื้นมาจะเดินไม่ได้เอา”

   “ครับพี่...”  ภิมุขตะโกนตอบออกไป  ทำเอาสัตยาที่กำลังนั่งเหม่อสะดุ้งสุดตัว  “มุกขอโทษพี่หยก...ขอโทษครับ  ไม่เป็นไรนะ”  ชายหนุ่มปลอบพี่ชายแล้วขยับเข้าไปนั่งกอดไว้อย่างรักใคร่

   สัตยาเอียงหน้าซุกไซ้อยู่กับน้องชายอย่างเคยชิน  เพราะไม่ว่าจะเวลาไหนหากเขาลืมตาขึ้นมาคนแรกที่เห็นก็คือภิมุข  และคน ๆ นี้จะอยู่ข้าง ๆ เขาและทำทุกอย่างร่วมกันตลอดเวลา...

   ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านของมะโรง  ภิมุขก็ไม่ค่อยได้เจอหน้าคนรักสักเท่าไรนัก  เพราะอีกฝ่ายต้องรับผิดชอบงานทั้งหมดแทนเขากับพี่ชาย  และเพราะภิมุขต้องย้ายมานอนกับสัตยาด้วย  โอกาสที่ทั้งคู่จะได้เจอหน้ากันก็คือเวลาที่มะโรงเลิกงานแล้วแวะเข้ามาเยี่ยมสัตยาเท่านั้น  แต่แค่เพียงได้กอดจูบทักทายกันในทุก ๆ วัน  ทั้งคู่ก็รู้สึกดีใจมากแล้ว

   ++++++++++++++++++++++++

   จากอาการป่วยของภิมุข  ทำให้กลุ่มอัญมณีตัดสินใจถอนตัวจากงานฤดูกาลผลไม้ประจำปี  กลุ่มผลไม้ป่าจึงเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น  แต่คุณภาพของผลไม้ที่ยังไม่อาจทัดเทียมได้กับกลุ่มอัญมณี  ผู้ค้าผลไม้รายใหญ่จึงยังไม่ให้ความไว้วางใจมากนัก

   พงหญ้าที่แต่งงานกับวลีลดาจึงได้เข้าไปปรับเปลี่ยนมาตรฐานในสวนผลไม้ของกลุ่มผลไม้ป่าเสียใหม่  แต่ยังไม่ได้ผลตามต้องการนัก  เพราะคนงานในสวนของกลุ่มผลไม้ป่าขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง  แถมยังขาดความรับผิดชอบต่อลูกค้าด้วย  ทำให้เขายังคงต้องเหนื่อยต่อไป

   มาตรฐานของผลไม้ส่งออกและผลไม้ในประเทศของกลุ่มผลไม้ป่าก็ทำเอาพงหญ้าต้องเหน็ดเหนื่อยใจ  เมื่อมันห่างไกลกันแบบเห็นได้ด้วยตาเปล่าชัดเจน  เขาจึงบอกกับภรรยาว่าจะดูแลเรื่องมาตรฐานในสวนผลไม้อย่างเดียว  เพราะเชื่อว่าถ้าเริ่มจากจุดเริ่มต้นก็น่าจะช่วยรักษามาตรฐานได้ทั้งหมด  ส่วนอื่นนั้นให้วลีลดาไปจัดการดูแลบริหารงานเองทั้งหมด  ซึ่งทางวลีลดาก็ไม่ได้ขัดอะไร...

   “ได้ข่าวว่าคุณจะไปค้างที่สวนของเราหลายวันเหรอคะ...”  วลีลดาเอ่ยถามสามีที่กำลังยืนชมดาวอยู่ที่ระเบียง  ก่อนจะเดินเข้าไปกอดแผ่นหลังกว้างอย่างเอาอกเอาใจ

   ในสายตาของทุกคนนั้น  วลีลดารู้ดีว่าทุกคนมองเห็นพงหญ้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  สุขุมและองอาจมากขึ้น  เธอเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจากคนธรรมดาคนหนึ่ง  พงหญ้าจะเปลี่ยนแปลงเป็นอีกคนที่สามารถยืนอยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่าใครหลาย ๆ คนได้  นับว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ ที่เธอเลือกอีกฝ่ายมาเพราะหน้าตาและความสามารถที่โดดเด่น  เพราะตอนนี้พงหญ้าเป็นคนที่เธอหวงแหนมากกว่าใคร ๆ ในโลก

   “ใช่...ผมเริ่มจะทนพวกคนงานของคุณไม่ไหวแล้วคุณลดา  ถ้าพวกนั้นยังขัดคำสั่งผมอีก  จะไล่ออกแล้วหาคนใหม่มาแทนให้หมดเลย  คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมทำเพื่อกลุ่มผลไม้ป่าอยู่น่ะ”  พงหญ้าพูดในสิ่งที่ขัดใจก็เกิดอารมณ์เสียขึ้นมาอีก  หากก็ยังกดเก็บอารมณ์นั้นไว้ไม่แสดงออกเหมือนที่เคยทำ

   วลีลดาอดปลาบปลื้มกับสามีไม่ได้ที่อีกฝ่ายทำเพื่อเธอถึงขนาดนี้  “ตามใจคุณสิคะ  แต่ว่าพรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางแล้วนี่...เข้านอนได้แล้วมั้ง”  ว่าแล้วฝ่ายสามีก็ถูกดึงไปยังเตียงหลังใหญ่ภายในห้อง

   แล้วอีกเวลาหนึ่งที่วลีลดาโปรดปรานก็เริ่มต้นขึ้น  หญิงสาวไม่ปฏิเสธว่าชอบรสรักของพงหญ้าเท่ากับที่รักในหน้าตาและความสามารถของชายหนุ่ม  แม้ว่าการสัมผัสนั้นจะดูดุดันและเอาแต่ใจตัวเอง  หากวลีลดาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่มาตามใจเธอหรือใครคนอื่นง่าย ๆ แน่นอน

   ไฟในห้องนั้นดับมืดลงหลังจากผ่านไปค่อนคืน  พงหญ้ายังคงนอนกอดก่ายหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป  โดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำร้ายชีวิตใครคนหนึ่งลงไปแล้ว...

++++++++++++++++++++++++

สวนผลไม้กว่าเจ็ดร้อยไร่  ซึ่งอยู่ในครอบครองของกลุ่มผลไม้ป่านั้นมองดูแล้วกว้างใหญ่ไพศาล  พงหญ้าขี่ม้าตรวจดูรอบ ๆ สวนองุ่นที่กินเนื้อที่กว่าห้าสิบไร่ในช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน  ตอนแรกนั้นเขาแทบจะไม่เชื่อสายตาเมื่อรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นอาณาเขตของกลุ่มผลไม้ป่า  เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาอยู่กับกลุ่มอัญมณี  ที่ซึ่งแม้จะมีสวนอยู่ในหลายอำเภอ  แต่ว่าแต่ละที่นั้นก็ไม่เคยเกินสามร้อยไร่  ถึงแม้ว่ารวม ๆ กันแล้วจะมีมากกว่าหนึ่งพันไร่ก็เถอะ

   ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาว  ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ค่ำเร็วกว่าฤดูร้อนคราวก่อนที่เขามาพักที่นี่  พงหญ้าขี่ม้าไปเก็บที่โรงม้าซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านพักหลังใหญ่ไปไกลกว่าครึ่งกิโลเมตร  ชายหนุ่มเดินทอดน่องกลับบ้านพักอย่างไม่เร่งร้อน  อากาศที่เย็นลงทำให้เขาชอบใจอยู่ไม่น้อย

   กว่าจะกลับถึงบ้านพักก็ล่วงเข้าเกือบสองทุ่มแล้ว  ดวงดาวที่มีอยู่เกลื่อนท้องฟ้านั้นเห็นได้ชัดกว่าในตัวเมือง  ทำให้พงหญ้าอดจะเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยรอยยิ้มไม่ได้  หากความรู้สึกเปรมปรีด์นั้นก็มีอันสะดุดลง...เมื่อนึกถึงใครบางคน  ใครคนนั้นที่เคยอยู่ในอ้อมกอดและนั่งชมดาวอยู่ด้วยกันเพียงสองคน

   รอยยิ้มหวานบาดใจที่เคยได้เห็นบ่อย ๆ นั้น  ทำให้อดนึกถึงร่องรอยความเจ็บปวดที่ฉายให้เห็นชัดในยามที่ถูกเขาทำร้ายไม่ได้  พงหญ้าได้แค่เพียงหวังว่าฝ่ายนั้นจะไม่ลืมความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับจากตัวเขา  และขอให้ใครคนนั้นเจ็บปวดได้เพียงกัน...

   ++++++++++++++++++++++++

   มะโรงก้าวเข้าสู่ตัวบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  หากก็ต้องตกใจเมื่ออยู่ ๆ ร่างของภิมุขก็โผเข้าหาด้วยเสียงหัวเราะดีใจจนตัวเขาแทบจะรับเอาไว้ไม่ทัน  เรื่องราวความรับผิดชอบที่มีมากขึ้นทำให้มะโรงในวันนี้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม  นั่นเป็นภาพที่ทำให้ภิมุขอดหวั่นใจกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปไม่ได้

   “หนูมุกเล่นอะไรเป็นเด็กจริง...ไม่อยู่ดูแลหนูหยกเหรอวันนี้”  เสียงเข้มเอ่ยดุ  ก่อนตั้งคำถามด้วยความแปลกใจ

   อ้อมกอดที่ไม่มั่นคงของคนตัวเล็กกว่าคลายออก  สีหน้าที่เคยดีใจซึมลงอย่างเห็นได้ชัด  “คุณพฤกษ์กับม็อคค่ามาเยี่ยม  พอได้ยินเสียงรถก็เลยฝากพี่หยกไว้  ออกมารับนี่แหละ...ถ้าไม่อยากเห็นหน้ากันนักจะกลับไปดูพี่หยกก็ได้”

   ร่างของภิมุขที่กำลังจะเดินหนีไป  ทำให้มือใหญ่ต้องเอื้อมคว้าไว้อย่างรีบร้อน  แล้วคนตัวเล็กกว่าก็ต้องปลิวมาอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นของคนรักในเวลาต่อมา  “ใครว่าไม่อยากเจอ  แค่ตกใจเท่านั้นเอง”  เสียงนั้นกระซิบอยู่ริมหู  ยังไม่วายเม้มใบหูคนรักอย่างมันเขี้ยว

   “งั้นปล่อยให้สองคนนั้นเค้าดูแลหนูหยกให้ก่อนได้รึเปล่า”  มะโรงถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เหมือนที่เคยเป็น

   ภิมุขเหลือบมองคนถามหน้าตูม  “ทำไม...สองคนนั้นเค้ามาแต่ละทีก็กลับหลังสี่ทุ่มอยู่แล้วนี่  ทำมาถาม...โอ๊ย!! จะลากไปไหนเล่า”

   มะโรงเอื้อมมือปิดปากช่างโวยวายนั่นแล้วลากร่างโปร่งเข้ามากระซิบใกล้ ๆ  “ห้องนอนเราไงเล่า  จะพาหนูมุกไปดูห้องนอน  เพราะหนูมุกยังไม่เคยไปดูเลย  เผื่อจะให้แต่งตรงไหนเพิ่มไง”

   “เออจริงสิ...อยากรู้เหมือนกันว่ารสนิยมมะโรงเป็นยังไง”  แล้วภิมุขก็เป็นฝ่ายลากคนรักไปยังห้องนอนของพวกเขาเสียเอง
   เมื่อไฟในห้องถูกเปิดจนสว่างจ้า  ภิมุขก็เบิกตาค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ  โดยไม่สนใจเสียงประตูห้องที่ปิดตามหลัง   “โอ้โฮ....ห้องกว้างดีจริง ๆ เลย”

   ห้องของมะโรงนั้นเป็นโทนสีทองอร่ามตา  ภายในห้องไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย  มีเพียงเตียงหลังใหญ่ที่ตัวเตียงทำจากไม้สักทองฉลุลายโบราณ  ผ้าคลุมเตียงและปลอกหมอนเป็นผ้าแพรสีเหลืองทองดูเข้ากับผนังห้องจนแสบตา  ปลายเตียงมุมหนึ่งมีโต๊ะไม้สูงวางอ่างดินเผาที่มีดอกลีลาวดีลอยอยู่สองดอก  อีกด้านหนึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าไม้ประดู่ฉลุลายเดียวกับเตียงวางเข้ามุมอย่างพอดิบพอดี

   “ถึงจะดูไม่ค่อยเข้ากันก็เถอะนะ  แต่ว่าโล่งดีผมชอบ...”  ภิมุขกล่าวชื่นชมคนจัดแต่งด้วยรอยยิ้ม  ถึงจะรู้สึกว่าการจัดแต่งเป็นไปตามความพอใจของเจ้าของห้องอีกคนก็เถอะ

   มะโรงยืนกอดอกมองภิมุขที่กำลังเดินไปทั่วห้องด้วยรอยยิ้ม  “ไม่ต้องให้เข้ากันหรือว่าอะไรหรอก  มะโรงไม่ใช่พวกมีรสนิยม  แต่ทำอะไรตามความพอใจต่างหาก”  ว่าแล้วร่างสูงก็เดินเข้าไปคว้าแขนอีกคนดึงมาแนบกายทันที

   “จะมาสวีทอะไรตอนนี้ล่ะครับที่รัก...”  ภิมุขที่ยังไม่รู้ชะตากรรมเอ่ยล้อเลียนคนรัก  “จะกลับไปดูพี่หยกแล้ว  วันหลังค่อยมาเล่นใหม่นะ”

   “ใครจะปล่อยไป  ก็บอกแล้วว่าให้สองคนนั้นดูแลแทนไปก่อนไงเล่า  เดี๋ยวอีกชั่วโมงค่อยไป...”  พูดจบร่างโปร่งก็ถูกช้อนอุ้มไปที่เตียงด้วยหน้าตาเหวอสุดขีด

   “อย่าบอกนะ...อื้อ...”  ถามได้แค่นั้นก็ถูกริมฝีปากบางประทับจูบที่แทบขโมยจิตวิญญาณทั้งหมดไป

   มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางแล้วลูบไล้ผิวเนื้อเนียนที่ห่างมือไปนาน  ทำให้แรงดิ้นที่เคยมีเลือนหายไปทันที  เมื่อริมฝีปากไล้ลงตามลำคอ  ดูดเม้มอยู่กับซอกคอขาวกรุ่นกลิ่นคุ้นเคย  เสียงครางผะแผ่วก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

   เสื้อผ้าจากสองร่างลอยหวือลงไปอยู่ข้างเตียงจนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่า  มะโรงผละออกจากร่างกายหอมหวานนั้นเพื่อจ้องมองผิวนวล ๆ ที่ไม่ได้เห็นเสียนาน  แสงไฟสว่างทั่วห้องทำให้ภิมุขต้องเสหลบจากความกระดากอาย  ปลายนิ้วเรียวไล้จากกลางอกเนียนลงสู่ท้องน้อยเพื่อส่งสัมผัสที่เคยคุ้นนั้นให้  ก่อนที่ริมฝีปากจะตามลงไปจูบประทับตามทางที่นิ้วเคยลากผ่าน..
.
   ภิมุขยกมือขึ้นปิดปากห้ามเสียงครางแว่วหวาน  เมื่อริมฝีปากของคนรักโอบครอบยอดอกที่ตั้งขึ้นจากความสุขสมที่ได้รับ  แต่เสียงนั้นก็เล็ดลอดออกมาจนได้เมื่อมือใหญ่หยอกล้อกับส่วนอ่อนไหวและรุกถี่ขึ้น  คล้ายจะไม่ยอมให้เขาได้หายใจหายคอ

   หยดน้ำใสร่วงหล่นจากขอบตาจากความซาบซ่านที่ได้รับ  ลิ้นที่ผละจากผิวนุ่มบริเวณต้นขาด้านในไล้ไปจนถึงด้านหลังแล้วหยอกล้อกับเส้นทางนั้นอยู่นาน  ก่อนที่นิ้วหนึ่งจะรุกเร้าเข้าไปทีละนิดแล้วคนคว้านด้านในไม่หยุดยั้ง...

   ยอดอกสีช้ำสดถูกครอบครองอีกครั้ง  ทั้งที่สองมือก็ยังคงเกาะกุมทั้งส่วนอ่อนไหวที่เริ่มแข็งขืน  และรุกล้ำเส้นทางด้านหลังจนหายเข้าไปแล้วถึงสามนิ้ว  ร่างโปร่งแอ่นตัวโค้งขึ้นเมื่อถูกรุกเร้าหลายจุดในเวลาเดียว...

   มะโรงโอบประคองร่างที่แทบไม่ติดเตียงขึ้นมากอดไว้แนบอก  ก่อนจะประคองร่างที่สั่นสะท้านนั้นลงในจุดที่พอดีที่สุด  เสียงครางหวานดังขึ้นเมื่อตัวตนของเขาผลุบหายเข้าไปในตัวของภิมุขจนเกือบทั้งหมด  แล้วฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายสะดุ้งน้อย ๆ จากการถูกขบหยอกยอดอกรสหวานติดลิ้น  ดันร่างลงนั้นจนแนบกันได้สนิท

   “อ๊ะ...”  เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงหายใจหอบถี่  มือใหญ่เอื้อมลูบหลังนวลช่วยให้ภิมุขหายใจได้สะดวกขึ้น
   “คิดถึงจังหนูมุก...”  เสียงกระซิบเร้าอารมณ์ดังขึ้นริมหูแดงเรื่อ 

   ภิมุขที่พยายามปรับลมหายใจตวัดสายตาหวานเชื่อมมองคนรักแล้วยิ้มพรายเต็มดวงหน้า  “คนบ้า...”  ริมฝีปากอิ่มที่แดงช้ำจากการถูกบดจูบ  ประทับลงกับริมฝีปากบางมอบความดูดดื่มลึกล้ำในอารมณ์คืนให้  ราวกับเป็นรางวัลอันแสนหวาน

   แล้วสองร่างก็สอดประสานเคลื่อนไหวในท่วงทำนองเดียวกันจนไปถึงที่หมายแห่งอารมณ์  หากก็ไม่สิ้นสุดแค่นั้นเมื่อร่างสูงยังคงอุ้มเรือนร่างของคนรักไปปลุกเร้าต่อถึงในอ่างอาบน้ำ  ที่เสียงหวานยังคงสะท้อนกับผนังภายในฟังดูเร้าอารมณ์...มากกว่าที่เคยได้ยิน

   ช่วงเวลาถัดจากนี้ไปจนไม่รู้ว่าถึงเมื่อไหร่  เสียงสะท้อนหวานล้ำนี้ก็จะยังคงดังก้องภายในใจของคนฟังทุกเวลาที่ผันผ่าน...จนกว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดกันอย่างผาสุกอีกครั้งครา

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่่รัก (ตอนพิเศษ)
«ตอบ #77 เมื่อ29-12-2013 20:18:30 »

อสรพิษที่รัก ตอนพิเศษ 1- กลับมาแล้วที่รัก




   การเดินทางด้วยระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรจากอำเภอหนึ่งสู่อีกอำเภอหนึ่ง  และภารกิจประจำวันอันหนักอึ้งซึ่งได้ปฏิบัติก่อนออกเดินทางนั้น  ยังความเหนื่อยล้ามาสู่ร่างกายยิ่งนัก  ความเหนื่อยล้านั้นทำให้มึนงงถึงขนาดขับรถหลงเข้ามาภายในโซนซึ่งไม่คุ้นเคยด้วย...

   เพราะไม่คุ้นกับเส้นทางทำให้พงหญ้าจอดรถลงข้างทาง  แล้วเดินไปตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยร้านค้า  ทำให้คิดว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจของจังหวัดที่เก้าสิบเก้ากระมัง...

   สายตาคมเหลือบมองสองข้างทางไปเรื่อย ๆ คิดว่าบางทีอาจจะเจอเข้ากับร้านขายเครื่องประดับที่น่าสนใจ  จะได้ซื้อติดมือไปฝากภรรยาที่บ้านบ้าง   เพราะถ้าลองคิดดูแล้วเขาก็ไม่เคยซื้ออะไรเป็นของฝากวลีลดาเลยสักครั้ง

   ที่ร้านเครื่องเพชรดูหรูหราร้านหนึ่งบนถนน  สายตาคมหยุดชะงักจ้องมองภายในร้าน  หาใช่เพราะสนใจเครื่องเพชรด้านใน  แต่คนคู่หนึ่งที่ฝ่ายหนึ่งกำลังสวมสร้อยเส้นเล็ก ๆ บนคอขาวของอีกคนนั้น  ทำให้พงหญ้าต้องตาวาวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้...
   เหตุผลคงไม่ใช่เพราะทั้งสองเป็นผู้ชายเหมือนกัน  ไม่ใช่เพราะหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขาน่าจะรู้จัก  แต่เพราะหนึ่งในนั้นคือคนที่เขารู้มาว่าเป็นคนรักใหม่ของอดีตคนรักของเขานั่นเอง...

   พงหญ้าอดจะยิ้มเยาะอดีตคนรักไม่ได้  อีกฝ่ายอาจจะถูกทิ้งไปแล้ว  นั่นสิในความคิดของเขาจะมีใครอีกที่ทนคน ๆ นั้นได้...นอกจากคนโง่ ๆ อย่างเขา  ที่หลงรักใครคนนั้นแบบหัวปักหัวปำมาแต่ไหนแต่ไร

   ขณะที่กำลังจะก้าวขาออกเดินต่อไป  บางอย่างภายในใจทำให้ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าอยู่กับที่  แล้วยังคงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปไหน...หากคนที่เขายังรักต้องถูกทิ้ง  ไม่ว่าจะในสภาพไหนเขาก็ยังอยากกลับไปหาอีกฝ่ายอยู่ดี

   พงหญ้าคิดว่าตัวเองอาจจะโง่สิ้นดี  แต่ในความเป็นจริงที่ไม่เคยผ่านออกไปจากจิตใจของเขา  สำหรับตัวเขาแล้วไม่เคยมีใครคนไหนแทนที่สัตยาได้เลย...เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ตัดสินใจทิ้งบาดแผลไว้ในใจของอีกฝ่าย  อยากให้แผลนั้นฝังลึกและมองเห็นเด่นชัดตลอดเวลา

   เพื่อให้ตัวเองยังคงคาดหวังอยู่เสมอว่าสักวันสัตยาจะย้อนกลับมาหา  ด้วยเหตุนั้นทำให้พงหญ้ายังคงเฝ้ารออีกฝ่าย...จนถึงวันนี้

   ร่างสูงที่โอบประคองใครอีกคนเดินออกมาจากร้าน  ถูกขวางเอาไว้บนเส้นทางที่มีคนผ่านไปมาไม่มากนัก  อาจจะเพราะด้านหลังเป็นร้านเพชรชื่อดัง  ที่ราคาจัดอยู่ในระดับสูงมากถึงมากที่สุดด้วยก็เป็นได้...

   พนาสัณฑ์ดันมอร์คาวน์ไปด้านหลัง  แล้วมองคนที่ขวางหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง  เมื่อไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเขาต้องการอะไรกันแน่  “มีอะไรเหรอครับ...”

   “ผมแค่อยากจะรู้ว่าคนของผมสบายดีรึเปล่า...”  สายตาข่มขู่จ้องมอง  และน้ำเสียงข่มขู่นั้นเอ่ยถาม

   พนาสัณฑ์หันขวับไปหาคนรักที่ยืนงงด้วยความไม่เชื่อหู  “ม็อคค่าคุณเป็นคนของหมอนี่เหรอ”

   “จะบ้าหรือไงพฤกษ์...ผมเคยรู้จักเค้าที่ไหนเล่า  อย่ามาหาเรื่องนะ”  มอร์คาวน์เสียงขุ่นขึ้นมาด้วยความโกรธ  อยู่ ๆ ก็มาเจอคนบ้าที่ดูท่าจงใจหาเรื่องเขาเสียด้วย  กว่าจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบแบบนี้พนาสัณฑ์ต้องเสียอะไรไปมากมาย  แล้วยังต้องมาเจอเรื่องบ้า ๆ แบบนี้อีกหรือ  โชคชะตาช่างกลั่นแกล้งพวกเขาเสียจริง ๆ

   พงหญ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความไม่เชื่อนัก  ไม่เชื่อที่พนาสัณฑ์จะไม่รู้จักเขา  เป็นไปไม่ได้เลยที่สัตยาจะกลบร่องรอยของเขาไปได้ทั้งหมด  อีกฝ่ายจึงน่าจะเคยเห็นรูปถ่ายเขาที่ถ่ายคู่กับสัตยาบ้าง  ไม่มุมหนึ่งใดในบ้านก็ต้องซอกหนึ่งในกระเป๋าสตางค์  หรือหากไม่เคยเห็นจริง ๆ ก็ต้องเห็นข่าวสังคมที่ป่าวประกาศกันโครม ๆ ว่าเขาเป็นสามีของน้องสาวตนเอง

   “เลิกพูดเล่นได้แล้ว  ผมหมายถึงหยก...”  เมื่ออดรนทนไม่ไหวพงหญ้าจึงได้เฉลยเสียเอง

   ประโยคนั้นทำให้ทั้งสองคนหันขวับกลับมาจ้องมองคนพูดด้วยความคาดไม่ถึง  “คุณเป็นคนรักคุณหยกเหรอ...งั้นคุณก็เป็นคนที่ทำร้ายคุณหยกในวันนั้น...ใช่มั้ย”  พนาสัณฑ์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก

   “ใช่...แล้วจะทำไม”  พงหญ้าหัวเราะเยาะในลำคอ  เมื่อคนถามเป็นคน ๆ นี้  เขาจึงไม่คิดจะปิดบังสิ่งใดไว้เลย  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพูดความจริงกับภิมุขด้วยซ้ำ  ถ้าจะต้องทำให้คนที่แย่งชิงคนที่รักไปได้เจ็บช้ำเช่นเดียวกับที่เขารู้สึก  มันก็เป็นเรื่องที่เขาควรจะต้องยินดีมากกว่า... 

   “ทำไม...”  เสียงนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน  มอร์คาวน์จับมือคนรักเอาไว้เพื่อให้มีกำลังใจที่จะถามถึงเหตุการณ์นั้นต่อได้  “ทำไมคุณทำร้ายคนที่รักได้ถึงขนาดนั้น  เขาไม่ใช่คนสำคัญของคุณหรือไง”

   พงหญ้าหัวเราะเฝื่อน ๆ  ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะถามเพื่ออะไรกันแน่  “ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่”

   ดวงตาที่แทบจะไร้แสงจากความเศร้าใจโชนแสงลุกวาวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความโกรธจัด  หมัดหนึ่งเหวี่ยงเข้าปลายคางของน้องเขยที่ไม่เคยรู้จักจนล้มกลิ้งไปกับพื้น  “มันก็ไม่เกี่ยวอะไรหรอก  ถ้าคุณไม่ทำเพื่อนผมจนปางตายแบบนั้น  คุณทำร้ายชีวิตคนที่เค้ารักคุณ  ทำให้คนที่เคยสดใสร่าเริงกลายเป็นตุ๊กตาที่ถึงจะขยับได้  แต่ก็โต้ตอบอะไรใครไม่ได้...คุณมันเลวสิ้นดี”

   จบคำด่าว่าพนาสัณฑ์ก็คว้าข้อมือคนรักเดินหนีไป  หากพงหญ้าก็ลุกไวพอจะวิ่งตามไปขวางทั้งคู่ไว้ได้อีกครั้ง  “เดี๋ยวก่อน...คุณไม่ได้เป็นคนรักหยกเหรอ”

   พนาสัณฑ์รับฟังอย่างไม่เข้าใจนัก  “ยังไม่เลิกบ้าอีกเหรอวะ  บอกว่าเป็นเพื่อนกัน  ถ้าคนรักล่ะก็นี่ไง...รักกันมากด้วย  มีอะไรมั้ย”

   พงหญ้ามองมอร์คาวน์ด้วยความไม่เชื่อนัก  “ไม่จริง...ไหนคุณซื้อบ้านเอาไว้จะไปอยู่กับหยกไง”

   “สติดีอยู่รึเปล่าวะ  ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่คนรักกัน...อยากหาเรื่องกันนักใช่มั้ย”  พนาสัณฑ์เริ่มจะเงื้อหมัดอีกรอบ  แต่มอร์คาวน์ก็ยื้อยุดไว้ก่อนด้วยไม่อยากให้มีเรื่อง

   “นี่อย่าทำร้ายความสัมพันธ์ของพวกเราอีกเลยนะ  อาจจะมีคนจ้างคุณมาให้แยกพวกเราจากกัน  แต่ว่าพวกเราไม่เชื่อคนอื่นอีกแล้ว  คนอื่นน่ะยังไงซะก็เป็นได้แค่คนอื่นเท่านั้นแหละ”  มอร์คาวน์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้างเมื่อเขาเริ่มเดาเรื่องราวไปอีกทางหนึ่ง

   พงหญ้าฟังแล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจ  เรื่องราวที่ต่อแถวเข้าสู่สมองสับสนจนบอกกับตัวเองไม่ถูก  ว่าเขาควรจะเชื่อเรื่องใดกันแน่...เขาไม่สามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย

   “จะแยกพวกเราจากกันน่ะไม่สำเร็จหรอกนะ  คิดว่าพวกเราเพิ่งเจอกันเมื่อวานรึไง  เราอยู่ด้วยกันมาจะเจ็ดปีแล้ว...คิดว่าเวลาเท่านี้มากพอที่จะไม่แยกจากกันได้รึยังล่ะ”  พนาสัณฑ์ยืนยันความมั่นคงของพวกเขาโดยที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ  หากก็ไม่หวังให้พงหญ้าเข้าใจแม้แต่น้อย

   “ยัง!!!  เพราะถึงอยู่ด้วยกันมามากกว่าสิบปี...ก็อาจจะต้องแยกจากกันไปในซักวันก็ได้”  พงหญ้าพูดขึ้นมาจากประสบการณ์จริงของเขา  หากน้ำเสียงนั้นก็เลื่อนลอยเกินกว่าจะจริงจัง

   พนาสัณฑ์ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาต้องรับรู้  “ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าคนที่รักกันจะทำร้ายกันถึงขนาดนั้นได้  ถ้าคุณเห็นสภาพคุณหยก...คุณคงจะลืมว่าการหัวเราะมันจะต้องทำยังไง”

   “เค้าเป็นยังไงบ้าง...”  พงหญ้ารวบรวมสติเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

   คนที่รับรู้อาการของสัตยาโดยตลอดทอดถอนใจอย่างหดหู่  “เหมือนหุ่นยนต์  ได้แค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่กับที่  เดินไปตามแรงจูงของคนอื่น  ภาพที่ดูดีที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่คลอเคลียอยู่กับน้องชายล่ะมั้ง  แต่ภาพที่แย่ที่สุดก็คือตอนที่ร้องไห้โวยวายเหมือนคนเสียสติ  จนเราคิดกันว่าหนึ่งปีที่กำลังจะผ่านไปไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเลย...ทำไมคุณต้องทำแบบนั้นด้วย”

   พงหญ้านิ่งไปเมื่อได้ยินคำบอกเล่า  แต่เขาก็เงยหน้าจ้องมองพนาสัณฑ์อย่างหมายมั่น  เมื่อคิดเรื่องบางอย่างได้  “ถ้าอยากรู้ผมจะเล่าให้ฟัง...ความจริงทั้งหมดที่เริ่มต้นจากน้องสาวคุณ  แต่มีข้อแม้คุณต้องพาผมไปพบหยก...”


   ภิมุขเดินออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือน  เมื่อได้รู้จากแม่บ้านว่าพนาสัณฑ์และมอร์คาวน์มาเยี่ยมพี่ชายดังเช่นปกติ  ก่อนต้องประหลาดใจเมื่อเห็นพงหญ้าติดตามทั้งสองมาด้วย

   “พี่พงมาเยี่ยมพี่หยกเหรอครับ...ไม่นึกว่าพี่จะปลีกเวลามาได้”  ภิมุขเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มเจื่อน  “พี่หยกจำใครไม่ได้หรอกนะครับ  พี่คงยังไม่รู้”

   “ผมบอกไปบ้างแล้วล่ะครับ...”  พนาสัณฑ์เอ่ยบอก  “วันนี้คุณหยกเค้าสบายดีนะครับ”  เป็นคำถามที่เขาเอ่ยถามทุกครั้งที่มาเยี่ยมจนติดปากไปแล้ว

   “ก็สบายดีเหมือนทุกวันล่ะครับ...”  ภิมุขตอบเหมือนกับทุกวัน  แล้วเดินนำทั้งสามเข้าไปภายในห้องที่มีแสงสว่างทั่วถึง

   บนเตียงกว้างในห้อง  สัตยานั่งเหม่อมองออกไปยังระเบียงที่ติดกับสวนสีเขียวสบายตา  ดวงหน้าที่ดูอ่อนวัยลงจากที่เคยเห็นนั้น  ยังคงหวานล้ำเกินชายไม่เปลี่ยน  หากดวงตาที่เคยหวานจนหลายคนไม่กล้าสบเพราะสุดท้ายก็ต้องเสหลบด้วยทนเสน่ห์ดึงดูดไม่ไหว  วันนี้ตาคู่นั้นเลื่อนลอยหม่นแสงอย่างที่ไม่เคยเป็น...

   พงหญ้าแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อมองเห็นสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น...จากสิ่งที่ตัวเขาได้กระทำลงไป  เสียงกรีดร้องในวันนั้นดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในส่วนลึก  หากเสียงนั้นกลับชัดเจนที่ในหูทั้งสองข้าง  ร่างบางนั้นยังคงดูบอบบางไม่เปลี่ยน  น่าจะเพราะการดูแลอย่างดีที่ทำให้สัตยาไม่ผอมไปมากกว่านี้

   ร่างสูงที่เดินเข้าไปแล้วทรุดตัวลงนั่งใกล้ ๆ พี่ชาย  ทำให้ภิมุขอดแปลกใจไม่ได้  แต่จากสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนทำให้เขาไม่คิดจะห้ามปรามใด ๆ แม้อีกฝ่ายจะแต่งงานไปแล้วก็ตาม...

   มือใหญ่กร้านดูกรำแดดเอื้อมขึ้นแตะแก้มนุ่มมือที่เคยคุ้น  ผู้ถูกสัมผัสเหลียวมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันมองเหม่อออกไปยังจุดเดิม  นั่นทำให้พงหญ้าเพิ่มสัมผัสด้วยการแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากอิ่มนวล  แล้วขยับตัวเข้าไปกอดร่างบางไว้กับอก...ด้วยอยากให้อีกฝ่ายจดจำสัมผัสของเขาได้บ้าง 

   แม้หากจำทุกสิ่งทุกอย่างได้  แล้วจะเกลียดเขาหรือไม่อาจให้อภัยในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว  แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับอยู่ดี...

   ตลอดเวลาที่ผ่านมาพงหญ้าไม่เคยรู้เลยว่าสัตยาตกอยู่ในสภาพเช่นไร  เพียงแค่คิดเสมอว่าอีกฝ่ายคงกำลังอยู่กับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เขา...นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัยให้กับคน ๆ นี้ได้เลย  แต่เมื่อพบเจอกับความจริงตรงหน้า  พงหญ้าจึงเพิ่งเข้าใจว่าถ้าอีกฝ่ายยังคงมีความสุขอยู่กับคนที่รักที่แม้จะไม่ใช่เขา  นั่นก็ยังดีกว่าจะต้องเป็นแบบนี้...เขาทำเรื่องที่ผิดแบบไม่น่าให้อภัยลงไปแล้ว

   “คุณมุก...ผมเป็นคนทำให้หยกเป็นแบบนี้จริง ๆ นั่นแหละ”  พงหญ้าที่ยังคงกอดสัตยาเอาไว้แน่นเอ่ยสารภาพออกมาอย่างเจ็บปวดที่สุด

   ภิมุขเพียงแค่ถอนหายใจออกมา  “ผมก็คิดแล้วว่าพี่หยกไม่มีทางนอกใจพี่พงได้แน่ ๆ ดีจริงที่ไม่ได้ทำอะไรลงไป  ผมไม่อยากทำร้ายคนที่พี่หยกไม่ต้องการจะทำร้าย...”

   พงหญ้ารู้สึกสมเพชตัวเองยิ่งนักเมื่อได้ฟังประโยคหลังสุด  “บางที...คุณมุขอาจจะเข้าใจผิด  ความจริงผมอาจจะเป็นคนที่หยกอยากจะทำร้ายมากที่สุดก็ได้”

   “ไม่หรอกครับ...ถ้าพี่หยกทำร้ายพี่พงได้จริง ๆ  พี่หยกคงจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้  คงจะลุกขึ้นมาในวันนั้นแล้วเช็ดน้ำตาจนหมด  พอวันรุ่งขึ้นก็จ้างมือปืนไปดักยิงพี่พงซะ  เท่านั้นก็จบกันไป...แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะพี่หยกไม่สามารถทำร้ายพี่พงได้จริง ๆ นั่นแหละ”  ภิมุขยืนยันตามความคิดของตนเองที่น่าจะเข้าเค้าความเป็นจริงที่สุด

   พนาสัณฑ์กับม็อคค่านั่งลงบนพื้นพรมที่ปูอยู่ทั่วทั้งห้อง  แล้วฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอย่างสนใจ  “แล้วความจริงที่คุณบอกว่าน้องสาวผมเกี่ยวข้องด้วยล่ะ...”  พนาสัณฑ์เอ่ยถามขึ้นมา

   “นั่นสิ...ผมก็อยากรู้ว่าทำไมพี่พงถึงไปแต่งงานกับคุณวลีลดาได้  เห็นเคยเกลียดขี้หน้ากันจะตาย  กลายเป็นรักกันขนาดนี้ได้ยังไงกัน”  ภิมุขตั้งข้อสงสัยขึ้นมาบ้าง  ทำเอาพนาสัณฑ์กับมอร์คาวน์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงกับอ้าปากค้างกันไป

   “คุณเป็นน้องเขยผมเหรอเนี่ย  ตาย ๆ ๆ  นี่ผมอยู่ในรูหรือไงวะ...”  พนาสัณฑ์บ่นให้ตัวเองอย่างเจ็บใจ  เขาไม่เคยพบน้องเขยตัวเองเลย  งานแต่งงานทั้งคู่จัดขึ้นภายในครอบครัวของแม่เลี้ยงเขา  และช่วงเวลานั้นสัตยาก็เพิ่งป่วยทำให้เขาไม่มีแก่ใจไปพบคนบ้านนั้นที่ไม่ค่อยจะชอบลูกเมียหลวงอย่างเขานัก

   พงหญ้าไม่ได้สนใจคำถามของใครเท่าไหร่นัก  เขาเริ่มเล่าเรื่องราวที่ทำให้เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ  และเรื่องราวเหล่านั้นทำให้คนฟังมีท่าทีตื่นตะลึงด้วยความไม่เชื่อหู  แม้มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ  แต่ไม่มีใครคิดว่าจะมีคนที่คิดทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมาจริง ๆ ต่างหาก

   “แล้วผมควรจะทำยังไงต่อไปดี...ผมไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะกลับไปหาเรื่องคุณลดาด้วยซ้ำ  ความจริงมันเป็นความผิดของผมคนเดียว...”  พงหญ้าเอ่ยโทษตัวเองอย่างไม่มีทางออก  เขามาถึงทางตันแล้วจริง ๆ

   “วันนั้นพวกเรานัดเจอกันจริง ๆ เพื่อคุยเรื่องที่บ้านผมถูกวางเพลิง  คุณหยกมาขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า  แล้วก็ขอให้พาไปหาแจกันโบราณลายแบบสมัยสุโขทัย  บอกว่าจะเอาไปให้เป็นของขวัญคนสำคัญคนนึง  ถ้าจะเอาพยานผมก็มีแต่เจ้าเครซี่  หมาตัวโปรดที่พาไปด้วยนั่นแหละ...”  พนาสัณฑ์อดหดหู่ใจไม่ได้  เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีส่วนทำให้คนที่ได้ชื่อว่า ‘เพื่อน’ ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนั้น

   ภิมุขถอนหายใจอีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร  เขาตัดสินใจเอ่ยบอกพงหญ้าตามความคิดของตัวเองก่อนที่อะไร ๆ จะสายไปอีกครั้ง  “ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่จะต้องทำอะไรกันแน่  แต่ว่าใจพี่คิดอะไรเอาไว้ก็ทำตามนั้นก็แล้วกัน  มาจนถึงวันนี้ผมไม่ได้นึกโทษใครอีกแล้ว  ถ้าคิดว่าอยู่กับคุณวลีลดาแล้วมีความสุขพี่ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร  แต่ถ้ามันไม่ใช่  พี่จะกลับมาผมก็ไม่ว่า...ถึงจะไม่รู้ว่าถ้าพี่หยกจำได้จะเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ  ผมก็แค่เชื่อในความรักมากกว่าความแค้น...”

   พงหญ้ากอดคนในอ้อมกอดที่หลับสนิทไปแล้วไว้แน่น  ก่อนจะตัดสินใจประคองร่างบางลงนอน  เขาจ้องมองภาพยามหลับใหลของคนที่รักเสมออยู่เนิ่นนาน  แล้วจึงลุกออกจากห้องนั้นไป...โดยไม่เอ่ยคำล่ำลาใดแก่ใคร ๆ เลย

   ++++++++++++++++++++++++

   “ที่รัก...กลับมาแล้วเหรอคะ”  วลีลดาที่กลับบ้านมาในตอนเย็น  แทบจะวิ่งเข้าไปกอดพงหญ้าที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ  หากไม่สะดุดเข้ากับสายตาขวาง ๆ ที่ไม่เคยเห็นเสียก่อน

   “เปล่า...ผมไม่ได้กลับมาหรอก  ผมแค่อยากจะมาขอหย่ากับคุณ”  พงหญ้าพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  เขาตัดสินใจเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่รู้ความจริงแล้ว...มันอาจจะดูร้ายกาจกับหญิงสาว  แต่ในเมื่อเขาสามารถทำร้ายคนที่รักมากที่สุดด้วยไม่รู้ได้  ก็ไม่ยากเลยที่เขาจะทำร้ายคนที่ไม่เคยรักได้แบบนี้

   วลีลดาตกใจอย่างที่สุดในสิ่งที่สามีพูด  แต่เธอก็ยังคงทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามต่อ  “คุณพูดเล่นใช่มั้ยคะ  วันนี้วันสำคัญอะไรรึเปล่านะ  คุณแค่จะทำขรึมแล้วสุดท้ายก็หาเรื่องมาเซอร์ไพรส์ลดาใช่มั้ยคะ”

“ผมรู้จักงูพิษดีครับคุณลดา  รู้จักดีกว่าผู้หญิงที่เป็นเหมือนงูพิษซะอีก  เพราะผมไม่รู้ว่าคุณก็เป็นพวกนั้น  ถึงได้เชื่อในสิ่งที่คุณพูดโดยไม่ไตร่ตรองซ้ำอีกครั้ง  ผมทำร้ายหยกเพื่อให้คุณสาแก่ใจ  เพื่อให้ตัวเองต้องทุกข์ใจมาตลอด...ผมเกือบจะหลงกลรักคุณไปจริง ๆ ด้วยซ้ำ”  พงหญ้าต่อว่าคนที่ได้ชื่อว่าภรรยาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ  เขารู้สึกสะเทือนใจกับความผิดพลาดของตัวเองจริง ๆ

   วลีลดาก้าวถอยหลังเพราะยืนแทบไม่อยู่  “คุณรู้...รู้...”

   พงหญ้าพยักหน้าช้า ๆ  “ใช่...ผมรู้แล้ว  ผมจะกลับไปหาหยก  ไปหาคนที่ผมรักมากที่สุด  แล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากเค้าเลยซักวินาทีเดียว  แม้แต่ตอนที่มีคุณอยู่ในอ้อมกอดก็เถอะ  หย่าให้ผมซะ  ให้พวกเราได้จบกันแค่นี้...”

   วลีลดาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง  “คุณบ้าไปแล้วหรือไง  คุณคิดว่าลดาเสียอะไรไปบ้าง  คิดว่าลดาจะปล่อยคุณไปง่าย ๆ หรือไง  มันให้อะไรคุณบ้างคุณถึงได้ยอมเป็นเบี้ยล่างของมันอยู่ตลอดน่ะ  แล้วเห็นรึเปล่าว่าลดาให้อะไรคุณบ้าง...”

   “ผมไม่ได้ต้องการ!!!...ผมต้องการหยก  และคุณหรืออะไรก็จะรั้งผมไว้ไม่ได้อีก...”  พงหญ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตวาดเสียงกร้าว  เขาเดินออกจากห้องนั้นอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใด  หากเสียงของวลีลดาไม่ดังขึ้นเพื่อหยุดการก้าวเดินของเขาไว้เสียก่อน

   “ถ้าคุณไปล่ะก็...คิดเหรอว่ามันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข  คุณก็ด้วยลดาไม่ปล่อยเอาไว้แน่  จะไม่ให้ใครมีความสุขเลย  ไม่เชื่อก็ลองดู”  เสียงนั้นบอกว่าคนพูดกำลังโกรธจัด  และท่าทางของวลีลดาก็เหมือนกับสติแตกเต็มที่แล้ว

   พงหญ้าไม่ได้หันกลับไปมองวลีลดาเลยแม้แต่น้อย  “ถ้าคุณทำอะไรหยกอีก...ผมจะฆ่าคุณซะ”  เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา  ก่อนจะเดินจากมาอย่างไร้เยื่อใย

   สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมาด้วยความหลอกลวงจบสิ้นลงแล้ว  วลีลดากรีดร้องเสียงดังลั่นบ้าน  ถึงแม้เธอจะอาฆาตเอาไว้ในใจเช่นไร  แต่กำลังที่กล้าแกร่งของพงหญ้าก็เป็นดังเกราะป้องกันความร้ายกาจนั้น...ซึ่งเจ้าตัวเองก็มั่นใจในความรักที่มี  ความรู้สึกนี้จะไม่ทำให้หลงทางไปไหนอีกเป็นครั้งที่สอง

   ++++++++++++++++++++++++

   ในสวนกว้างท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน  สัตยายังคงนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีภิมุขคอยชี้ชวนดูโน่นดูนี่เหมือนทุกวันที่ผ่านไป  แม้พี่ชายจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งใด  แต่ภิมุขก็ยังคงพยายามอย่างสุดตัว  เพื่อคนที่เป็นทั้งครอบครัวและเพื่อนสนิท

   “พี่หยกเห็นนกตัวนั้นมั้ย...”  นิ้วหนึ่งชี้ชวนพี่ชายที่ยังคงเหม่อมองดูนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้  สายตาเลื่อนลอยนั้นมองตามนิ้วมือของภิมุขเนิ่นนาน  และนี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบใหม่ของสัตยาที่ทำให้ภิมุขยิ้มออกมาได้  “เก่งแล้วครับ...เก่งแล้ว”

   สองแขนโอบรอบคอพี่ชายที่นั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น  เป็นภาพที่อาจจะทำให้หลาย ๆ คนยิ้มได้  หากสำหรับพงหญ้าที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ กลับรู้สึกปวดใจขึ้นมา...เพราะความร้ายกาจของเขา  ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายถึงขนาดนี้

   ภิมุขหันมาด้านหลังเมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว  เขายิ้มให้พงหญ้าอย่างร่าเริง  เมื่อแน่ใจตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมาหาพี่ชายเขาแน่นอน...ทุกอย่างอาจจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในเร็ววัน  ภิมุขมีความเชื่อแบบนั้น

   “พี่พงอยู่เป็นเพื่อนพี่หยกก่อนนะ  เดี๋ยวผมจะเข้าไปหาอะไรมาให้ทานกัน...”  ภิมุขเดินแยกออกไปอีกทางหนึ่ง  ขณะที่พงหญ้าเดินตรงเข้าไปหาคนรักที่ยังคงนิ่งเฉย

   ร่างสูงนั่งลงตรงหน้าคนรัก  แล้วเงยหน้าจ้องมองดวงหน้าสวยหวานที่สุดในความคิดของตัวเอง  สองมือใหญ่เอื้อมกุมสองมือที่วางอยู่บนตักเอาไว้  นั่นทำให้สัตยาก้มลงมองพงหญ้าด้วยสายตาเลื่อนลอย  คนถูกมองยิ้มให้อย่างสดใสที่สุดแล้วยกตัวขึ้นจูบประทับบนริมฝีปากอิ่มเบา ๆ

   “กลับมาแล้วครับที่รัก...”  ไม่ว่าจะจากไปไหน  ด้วยเวลาเท่าไหร่  แต่ในทุก ๆ ครั้งพงหญ้ามักจะเดินเข้าไปจับมือของคนรักเอาไว้  แล้วจูบทักทายพร้อมเอื้อนเอ่ยคำพูดนี้เสมอ...ไม่เคยขาด

   ความคุ้นเคยที่ดูเหมือนจะไหลเวียนอยู่ภายในจิตใต้สำนึกนั้น  ทำให้คนที่ไม่เคยมีความรู้สึกต่อสิ่งใดมาเป็นระยะเกือบหนึ่งปี  ต้องน้ำตาร่วง...ความอดกลั้นบางอย่างทำให้สัตยาสะอื้นจนตัวโยน  พงหญ้าขยับขึ้นไปกอดร่างบางไว้แนบอก  กระซิบถ้อยคำนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

   แม้ไม่ทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม  แต่ก็สามารถสร้างอาการตอบสนองที่ใคร ๆ ก็ไม่อาจกระทำได้  ทุกอย่างย่อมมีการเริ่มต้นเสมอ...

   หลังจากวันนั้นดวงตาของสัตยาก็มักจะทอดมองหาใครคนหนึ่ง  หากใครคนนั้นไม่อยู่ในสายตาภิมุขก็ต้องคอยปลอบพี่ชายที่คอยแต่จะซึมเศร้าและบางครั้งก็เอาแต่ร้องไห้  และหากใครคนนั้นอยู่ในสายตาดวงหน้าหวานล้ำนั้นก็ยิ้มอย่างดีอกดีใจทุกครั้งไป...

   พงหญ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังใหญ่อีกคน  กลายเป็นคนที่ต้องดูแลสัตยาแทนภิมุข  ผู้ที่เข้าไปเยี่ยมเยียนก็จะเห็นพงหญ้าอยู่กับสัตยาเสมอ  เป็นภาพที่คุ้นตาทุกคน  และเป็นภาพที่คุ้นใจของสัตยาที่เริ่มดีวันดีคืน...

   ++++++++++++++++++++++++

   ค่ำคืนหนึ่งต้นฤดูหนาวที่อากาศเย็นจัด  ภายใต้ผ้าห่มผืนหนามีสองร่างนอนแนบชิดกันอยู่  ร่างบางขยับตัวลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียงจนภายในห้องสว่างตา  มือบางเอื้อมไล้ใบหน้าคนที่หลับใหลไม่รู้ตัวด้วยความรักหมดหัวใจ...   

   ริมฝีปากอิ่มประทับลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายแผ่วเบา  กระนั้นดวงตาคมก็ลืมขึ้นอย่างงัวเงียและงุนงง  มือใหญ่ประคองดวงหน้าหวานที่ก้มลงมองเขาด้วยรอยยิ้ม  ทำให้ริมฝีปากอิ่มก้มลงแนบสนิทกับริมฝีปากเขาอีกครั้งครา...

   พงหญ้าเบิกตาด้วยความตกใจสุดขีด  เมื่อรสจูบนั้นช่างคุ้นเคยเสียจริง  “หยก...”

   “กลับมาแล้วครับที่รัก...”  เสียงนั้นกระซิบอยู่ที่ข้างหู  แว่วหวานและน่าปลาบปลื้มกว่าเสียงใดที่เคยได้ยินมา

   “อย่าไปไหนอีกก็แล้วกัน...”  พงหญ้าดุเสียงเบา  แล้วลุกขึ้นคว้าร่างบางมากอดเอาไว้อย่างหวงแหน

   แล้วความรักนั้นจะถูกสานต่ออีกครั้งจนถึงช่วงเวลายาวนานที่สุด  ความขัดแย้งสิ้นสุดลงแล้วอย่างสมบูรณ์  และทั้งสองจะไม่ให้มันเกิดขึ้นได้อีก  ด้วยความพยายามเพื่อความรู้สึกที่สำคัญที่สุด  และเพื่อคนที่สำคัญที่สุด


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่่รัก (ตอนพิศษ 2)
«ตอบ #78 เมื่อ29-12-2013 20:25:57 »

อสรพิษที่รัก (ตอนพิเศษ 2 - สะเก็ดรัก



“…โรง…มะโรง…เจ้ามะโรงเอ๋ย…” 

   เสียงเรียกนั้นดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คนที่ถูกเรียกลืมตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ  รอบด้านมืดสนิททำให้มะโรงต้องมองฝ่าความมืดไปทั่วทั้งห้อง  หากก็มองไม่เห็นสิ่งใด  กระทั่งอยู่ ๆ แสงสีเงินเรืองรองกระจ่างขึ้นแทนที่ความมืดมิด  จึงค่อย ๆ ปรากฏร่างงดงามที่เขาเคยได้เห็นแค่เพียงครั้งหนึ่ง...

   “ท่านเหม่เม๋!!!”  มะโรงอุทานแผ่วเบา  ด้วยกลัวจะรบกวนการหลับใหลของคนข้างกาย  เขาค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อไม่ให้ภิมุขรู้สึกตัวตื่น

   เหม่เม๋เดินเข้าประชิดเตียง  ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นการเตือนไม่ให้มะโรงเอ่ยถามสิ่งใดอีก  “เราจะมารับเจ้าไปพบพ่อของเจ้า…จะได้สบายใจและหมดห่วงเสียที”

   มือนวลยื่นออกมาด้านหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มงดงามติดตรึงใจ  ราวกับต้องการให้เชื่อมั่นในตัวเขา  มะโรงหันไปมองภิมุขด้วยความกังวล  หากเมื่อนึกถึงบิดาเขาก็ตัดสินใจวางมือลงบนมือที่เล็กกว่านั้นอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม…

   ดวงตากระพริบเพียงครั้ง  สถานที่ที่เคยยืนอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  รอบด้านเป็นหินสีขาวที่ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน  เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พอจะเดาได้ว่าที่นี่คงเป็นถ้ำที่อยู่อาศัยของงูเทพที่บิดาเคยพูดถึงอยู่บ้างเป็นแน่

   ร่างบางจูงคนตัวโตกว่าเดินไปข้างหน้าที่มีเพียงไอหมอก  เส้นทางเลี้ยวลดคดเคี้ยวมีเพียงแค่หมอกสีขาวจางลอยวนอยู่ทั่ว  กว่าจะพ้นมาได้ก็เล่นเอาคนไม่คุ้นเคยคิดไปว่า...ตอนรุ่งสางกระมังจึงจะได้ถึงจุดหมาย

   ปลายทางคือห้องกว้าง  มีเตียงสีขาวส่องประกายระยิบระยับอยู่ที่กลางห้อง  บนเตียงนั้นมะโรงเห็นบิดานอนนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว  ชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่ร่างของบิดาแล้วยกมือที่ขาวจนซีดนั้นขึ้นมากุมเอาไว้  สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่คุ้นเคย  หากมะโรงก็ยังคงแนบใบหน้าลงกับมือของบิดาด้วยความรักเทิดทูนและบูชาสุดหัวใจ

   “ยังไม่มีนิมิตใดที่บอกเราว่าบิดาของเจ้าจะฟื้น  ในช่วงเวลานี้เซคจะอยู่ในความดูแลของเรา  เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะเด็กน้อย  พี่น้องและแม่ของเจ้าคอยมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อย ๆ เราจึงห่วงว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร  ในเมื่อมิอาจมาบ่อยเช่นเดียวกันได้…จึงไปรับเจ้ามาเสียเอง”  งูเทพเหม่เม๋เอ่ยบอก

   “ถ้าท่านพ่อฟื้น  ท่านจะไปรับมะโรงมาเยี่ยมท่านพ่อได้อีกหรือไม่…”  มะโรงเอ่ยถามขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ยอมห่างจากบิดา

   เหม่เม๋ยิ้มอย่างเอ็นดู  ดวงตาสีเงินประกายนั้นเหม่อมองผ่านมะโรงไปยังร่างที่หลับใหล  แล้วหัวเราะเบา ๆ  “หากพ่อเจ้าฟื้นแล้วไซร้  พ่อเจ้าคงจะรีบไปหาเจ้าเป็นคนแรกเลยกระมัง  เช่นไรเราจะไปรับเจ้ามาได้ทันเล่า...”

   มะโรงหันมายิ้มให้กับงูเทพ  อดปลาบปลื้มไม่ได้ที่เขาเป็นที่รักของบิดามากกว่าใคร ๆ แต่หากต้องยกเว้นให้คนตรงหน้าเขาก็คงจะไม่แปลกใจนัก  มะโรงเข้าใจและแยกแยะได้  ว่าความรักนั้นมีมากมายหลากหลายรูปแบบ...ความรักที่บิดามีให้เขาและงูเทพผู้งดงามนั้นนำมาเทียบกันไม่ได้เลย

   เหม่เม๋หันกลับไปมองด้านหลังแล้วหันกลับมายิ้มให้มะโรงราวกับขบขันเต็มที่  “เกรงว่าคืนนี้จะหนาวนัก  คนรักของเจ้าจึงได้ตื่นขึ้นมาเพียงเพราะไม่มีเจ้าคอยให้ความอบอุ่น…เอาล่ะได้เวลากลับแล้ว  เพราะหากเราพลังหมด  เกรงว่ากว่าเจ้าจะออกจากป่านี่ได้  คงใช้เวลาเป็นเดือน…”

   มะโรงรับรู้ความจริงนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์  เขามองบิดาเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนจะเดินตามแผ่นหลังของงูเทพเหม่เม๋ออกมาตามทางเดิม  “มะโรงฝากดูแลท่านพ่อด้วย  คงไม่ต้องเอ่ยลากันเพราะสักวันเราจักต้องได้พบกันอีกเป็นแน่”  เมื่อหยุดยืนตรงที่เก่าเขาจึงได้เอ่ยปากฝากฝังบิดาไว้กับอีกฝ่าย

   “ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อเจ้าหรอก  เราสัญญาว่าจะดูแลให้ดีที่สุด  ขากลับเราส่งตรงนี้…แล้วพบกันในอีกไม่นานนี้นะเด็กน้อย…”  คำสุดท้ายนั้นผู้พูดคล้ายจะให้กำลังใจต่อตนเองด้วย...

   พลันแสงสีขาวก็สว่างขึ้นพร้อมกับการหายไปของผู้มาเยี่ยมเยือน  งูเทพจึงหันหลังเดินกลับไปทางเดิม  เหม่เม๋หยุดอยู่ที่เตียงกลางห้อง  แล้วทอดถอนใจอย่างทุกข์ทรมาน  ดวงตาสีเงินจ้องมองคนรักแล้วนั่งลงข้าง ๆ ร่างที่หลับใหล 

   มือบางเอื้อมไล้ใบหน้านั้น  แล้วเอนตัวลงซบกับอ้อมอกที่เคยอบอุ่นแล้วพึมพำกับตนเอง  “เซค…เมื่อไหร่ท่านจะลืมตาเสียที”

   เสียงนั้นสั่นสะท้าน  เมื่อผู้พูดปล่อยให้น้ำตารินไหลอย่างไม่อดกลั้น  เหม่เม๋ไม่รู้ว่าต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่  หากแต่เขาก็ยังคงมีความหวังอยู่ในทุก ๆ วันที่ผ่านไป ว่าวันหนึ่งคนรักจะลืมตาขึ้นมา  แล้วโอบกอดเขาเอาไว้เหมือนที่เคยทำ…เพียงแค่นั้นไม่ว่าโทษทัณฑ์ใด ๆ เขาก็จะรับไว้เองทั้งหมด

   ++++++++++++++++++++++++

   ภิมุขลืมตาตื่นเมื่อรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบรอบกาย  เขาควานมือสะเปะสะปะหากก็ไม่พบร่างของคนรักที่นอนอยู่ด้วยกันก่อนที่จะหลับไป  ร่างโปร่งกระวีกระวาดลุกขึ้นอย่างรีบร้อนระคนตกใจ  ไฟในห้องถูกเปิดจนสว่างจ้า  หากเมื่อมองไปทั่วทั้งห้องก็ยังไม่พบเจ้าของห้องอีกคน...

   ผ้าม่านที่ระเบียงถูกเปิดออก  ดวงตาปรือปรอยมองกวาดออกไปด้วยความงัวเงีย  ภิมุขรู้สึกง่วงจนไม่คิดว่าจะมีแรงลุกขึ้นมาได้ถึงตรงนี้  หากเขาก็กังวลเกินกว่าจะเดินกลับไปทิ้งตัวลงนอน  แล้วรออยู่อย่างนั้นจนกว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

   ร่างที่โงนเงนเริ่มทรุดลงบนพื้นพรมด้วยยืนไม่อยู่  แต่แม้จะง่วงแค่ไหนภิมุขก็ยังคงพยายามลืมตาให้กว้างที่สุด  อย่างน้อยเขาก็อยากจะกลับขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้งเมื่อมะโรงกลับเข้ามาในห้อง  แล้วอุ้มเขาขึ้นไปนอนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ...ก็แค่อยากจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปไหนไกลจนไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาที่ใด

   แสงหนึ่งสว่างขึ้นในห้องสีทอง  หากก็ถูกแสงไฟฟ้ากลบจนคนในห้องไม่เห็นความวูบวาบนั้น  มะโรงงุนงงอยู่ชั่วครู่ที่ภายในห้องไม่ได้มืดมิดอย่างที่ควรจะเป็น  แต่เมื่อเห็นภิมุขนั่งซบอยู่กับผ้าม่านระเบียงจึงพอเข้าใจเหตุการณ์ได้บ้าง...

   “หนูมุก...ตื่นมาทำไม”  ร่างสูงที่เดินเข้าไปหาเอ่ยถาม  แล้วประคองร่างภิมุขขึ้นมาด้วยความขบขันเมื่อเห็นคนรักดูจะกึ่งหลับมากกว่ากึ่งตื่น

   สองแขนของภิมุขโอบกอดคนรักแล้วเอ่ยต่อว่าด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน  “ลุกไปไหนตอนดึก ๆ  นึกว่าจะหนีเข้าป่าไปแล้ว...”

   “ใครจะไปไหนได้  วันนี้มะโรงเหมือนแต่ก่อนที่ไหน...เอาล่ะกลับไปนอนได้แล้ว”  ว่าแล้วมะโรงก็อุ้มคนตัวเล็กกว่าขึ้นไปนอนบนเตียงเช่นเดิม 

   ริมฝีปากบางแนบลงบนดวงตาที่หรี่ปรือราวกับบังคับให้ดวงตาคู่นั้นปิดลงอีกครั้ง  ขณะที่เล่าเรื่องที่เขาต้องออกไปข้างนอกยามค่ำคืนที่ริมหูคนรัก  “ท่านเหม่เม๋มารับมะโรงไปเยี่ยมท่านพ่อ  มะโรงได้พบท่านพ่อแล้ว  ถึงท่านพ่อจะหลับอยู่ก็เถอะ...จริง ๆ ก็อยู่นานกว่านี้ไม่ได้หรอก  ไม่อย่างนั้นพลังของท่านเหม่เม๋จะหมดเอาน่ะสิ  เรื่องฝืนธรรมชาติยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะอันตรายมากขึ้นเท่านั้น  แต่ถ้าท่านพ่อฟื้น...อ้าว!  แอบหลับจนได้”

   เสียงที่เอ่ยเล่าไปเรื่อย ๆ หยุดลงเมื่อรู้ว่าภิมุขหลับไปเสียแล้ว  มะโรงโอบกอดคนรักเอาไว้  แล้วหลับตาลงอย่างเป็นสุข  เมื่อได้รู้แล้วว่าทุกคนที่เขารักยังคงอยู่อย่างมีความสุขในที่ของตนเอง  เขารู้ดีว่าแม้จะนานแค่ไหน  แต่อนาคตจะอยู่ใกล้เพียงแค่เราเอื้อมมือเสมอ...จึงได้แค่หวังว่าอีกไม่นานบิดาของเขาจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

   ++++++++++++++++++++++++

   “หยกครับ  ปิดทีวีได้แล้วน่า  จะดูไปถึงเมื่อไหร่กันมันตีสองแล้วนะเอ้า...”  พงหญ้าเอ่ยบอกคนรักที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องด้วยความง่วง  แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมมานอนเสียที

   สัตยาหันมามองคนรักแล้วกระแทกกระทั้นปิดโทรทัศน์  ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างใส่อารมณ์เต็มที่  “นอนอยู่นั่น  นอนทุกวันเลย...ไม่มีอารมณ์ทำอย่างอื่นเลยหรือไง”

   พงหญ้าที่ขยับเข้ามาหาคนรักขมวดคิ้วด้วยความสงสัย  ดูเหมือนว่าตั้งแต่อีกฝ่ายหายเป็นปกติจะมีอะไรให้ต้องแปลกใจเสมอ  “แล้วอยากทำอะไรล่ะ...พงทำเป็นเพื่อนก็ได้”

   “เรื่องแค่นี้ก็มาถาม  ตายด้านแล้วเหรอไง...”  แก้มแดง ๆ ซุกอยู่กับหมอนเอ่ยต่อว่าแล้วต้องซุกหน้าหนียิ่งกว่าเดิมเมื่อพงหญ้ายันตัวขึ้นมาถามด้วยความตกใจ

   “ไม่เจ็บหรือไงวันนั้น...”  คนถามถอนใจอย่างเจ็บปวด  เมื่อต้องกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เดิม ๆ  ที่เขาทำร้ายสัตยาไปตั้งมากมาย  ถึงขนาดเกือบต้องสูญเสียอีกฝ่ายตลอดไปด้วยซ้ำ

   สัตยาเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด  “แล้วต้องเจ็บไปทั้งชาติหรือไง  ไม่บ้านี่หว่า...ไม่อยากทำก็พูดมาเลยดีกว่า  ไม่ต้องมาทำแก้ตัว...แน่ล่ะซี้  คุณลดาปลาป่นนั่นคงดีกว่าสินะ  แล้วกลับมาทำไม”

   “ปากจัดไม่เปลี่ยนจริง ๆ”  มือใหญ่ตีแปะลงไปบนริมฝีปากอิ่มอย่างหมั่นไส้  “คนเป็นห่วงก็มองให้เห็นหน่อยสิครับคนดี  ทำไมถึงได้เอาแต่ใจนักนะ...”

   “ไอ้บ้าพงหญ้า  ไอ้บ้า ๆ ๆ ๆ”  เสียงตะโกนดังลั่นไปทั้งห้อง  เมื่อร่างบางลุกขึ้นมาทุบเตียงระบายอารมณ์ไม่หยุด ที่อาละวาดสุดขีดก็เพราะแปะเดียวที่ตีลงบนปากนั่นแหละ

   พงหญ้าทนไม่ไหวเอื้อมมือไปปิดปากช่างต่อว่านั่น...แต่ก็โดนฟันคมกัดเข้าเสียอีก  “โอ๊ยยยยย...หยกครับ  มันดึกมากแล้วนะ  อย่าเสียงดังสิเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินกันหรอก  จะอัดอั้นตันใจอะไรขนาดนี้กันล่ะเนี่ย”

   “ไอ้บ้าพง  ไอ้บ้า  ดี...ไม่ทำก็ไม่ทำสิ”  สัตยาขยับจะลงจากเตียง  หากอ้อมแขนแกร่งก็กอดรัดเอวไว้แน่นหนาจนขยับไม่ได้

   พงหญ้ากดริมฝีปากลงบนต้นคอขาว ๆ อย่างหมั่นไส้เต็มที่  “จะไปไหน...หนีไปนอนที่อื่นเชียวเหรอ”

   คนกำลังโมโหตวัดสายตามองคนพูดแล้วเริ่มยิ้มยั่วอารมณ์  “ไปนอนห้องนายมุกน่ะสิ  ถ้าเป็นพี่มะโรง...คงไม่รู้สึกรังเกียจแน่ ๆ เลย  หึหึหึ”

   “ไม่ให้ไป!!!...”  พงหญ้าดันร่างบางลงนอนแล้ววางแขนขาพาดทับร่างนั้นไว้ไม่ให้ขยับไปไหนอีก  “ไว้ใจไม่ได้  พี่มะโรงยิ่งชอบของสวยงามอยู่  ส่วนคุณมุกก็ตามใจหยกยิ่งกว่าอะไรดี  ไม่ได้แล้ว...ต้องให้ห่าง ๆ กันไว้ถึงจะดี”

   ก่อนสัตยาจะลุกขึ้นมาอาละวาดได้อีก  มือของพงหญ้าก็จัดการถอดเสื้อผ้าจอมโวยวายออกจนหมด  แล้วจึงถอดเสื้อผ้าตนเองโยนลงข้างเตียงตามไป  คนที่เคยอาละวาดจึงได้นอนเงียบสนิทไม่ยอมหันมองคนรักอีกเลย...

   ดวงตาคมของพงหญ้าทอดมองร่างเปล่าเปลือยขาวสะอ้านจนพอใจ  แล้วจึงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งตัวเขาและคนรักเอาไว้  ภายใต้ผ้าห่มร่างสูงนอนกอดก่ายร่างบางอยู่แนบแน่นอบอุ่น  ทำให้สัตยาประหม่าจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย

   “คืนนี้มันดึกมากแล้วจริง ๆ เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันวันหลังเถอะนะครับ...”  พูดจบพงหญ้าก็งับต้นคอขาวเบา ๆ คล้ายจะปลอบใจ

   สัตยากอดรัดผ้าห่มแน่นหนา  แม้จะรู้สึกถึงแผ่นอกกว้างที่แนบอยู่กับแผ่นหลังของเขา  หากก็รู้สึกเขินอายจนกว่าจะพูดโต้ตอบอีกฝ่ายได้  แต่คำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทำให้เขาไม่ค่อยจะมั่นใจนัก  เขาไม่คิดว่าพงหญ้าจะเปลี่ยนใจได้ง่ายดายขนาดนั้น...

   “สัญญาแล้วนะ...ที่พูดน่ะ”  สัตยาทวงถามเสียงอู้อี้  เพราะริมฝีปากงับอยู่กับผืนผ้าที่กอดอยู่

   พงหญ้ากอดรัดร่างบางแน่นเข้าแล้วกระซิบเบา ๆ เพียงให้อีกฝ่ายได้ยิน  “สัญญา...ว่าจะทำแน่ ๆ ครับ”

   เพียงคำมั่นนั้น  ก็ทำให้สัตยาหลับตาสนิทได้ทั้งคืน  โดยไม่คิดจะลุกมาอาละวาดหรือคาดคั้นเอาอะไรจากพงหญ้าอีกเลย...

   ++++++++++++++++++++++++

   “แล้วทำไมพี่หยกจะต้องรีบร้อนด้วย  ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะเอ้า...เดี๋ยวช็อคไปอีกรอบจะทำยังไงกันเล่า  ผมเป็นห่วงพี่หยกนะ”  ภิมุขเตือนพี่ชายที่มาบ่นเรื่องที่ต้องการแต่ไม่ได้มาให้เขาฟัง

   สัตยาหน้างออย่างไม่พอใจ  ริมฝีปากอิ่มถูกกัดจนช้ำเริ่มขยับเถียงอย่างเอาแต่ใจ  “จะให้รอถึงเมื่อไหร่เล่า  พงหญ้าไปอยู่กับยัยลดานั่นตั้งนาน  ถามว่ามีอะไรกันมั้ยก็บอกว่าเกือบทุกคืน  ทีกับพี่ทำไมถึงได้ไม่ทำอะไรเลย  คนมันกังวลนี่...”

   ภิมุขส่ายหน้ากับเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ของพี่ชาย  ก่อนจะเริ่มให้เหตุผลของตัวเอง  “พี่พงเค้าห่วงความรู้สึกของพี่หยกน่ะสิ  กว่าจะผ่านความเจ็บปวดมาได้...เกือบปีเชียวนะครับ”

   “บ้า!!!  พี่น่ะไม่ได้เป็นอะไรมากซักหน่อย  วันนั้นมันเจ็บก็จริง  แต่ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย  ลืมหมดแล้วล่ะ  แต่กลัวมากไปหน่อย  เลยมองอะไรหลอนไปหมด  ที่เงียบ ๆ นั่นเพราะเสียใจต่างหาก  ก็พวกนายพูดเรื่องพงหญ้าไปแต่งงานอยู่ได้  ไม่รู้หรือไงว่าพี่เสียใจแค่ไหน...กรอกหูกันอยู่นั่น”  สัตยาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโหสิ่งรอบตัวทั้งหมด  ที่ไม่มีอะไรทำให้เขารู้สึกพอใจขึ้นมาได้เลย

   ภิมุขทำตาโตเมื่อได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา  “ผมน่าจะรู้นะเนี่ยว่าใครก็ทำร้ายพี่ผมไม่ได้หรอก  เดี๋ยวนี้ผมโง่ไปนิดหน่อยแล้วสิถึงรู้ไม่ทันสิ่งที่พี่หยกเป็นน่ะ  สบายล่ะสิได้อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น  นิสัยพี่อยู่แล้วนี่...คนอะไรชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วง”

   “ไม่ได้ตั้งใจนี่  แค่มันเนือย ๆ ไม่อยากจะทำอะไรหรือว่าพูดกับใคร  มันท้อใจน่ะ  ขนาดตอนที่พงหญ้ากลับมายังไม่รู้สึกดีใจเลย  แต่ตอนที่พูดคำนั้นออกมาเนี่ย  ซึ้งมาก ๆ เลยนะ...พี่เพิ่งรู้ว่าทุกอย่างมันสามารถเหมือนเดิมได้  ถ้าเราไม่ได้เปลี่ยนไปเลย”  สัตยายิ้มอย่างมีเสน่ห์แล้วทำท่าเคลิ้มฝันจนภิมุขอดหมั่นไส้พี่ชายไม่ได้

   “โทษความโชคร้ายของพี่พงเถอะนะ  ที่มารักคนแบบพี่หยกได้เนี่ย...”  ภิมุขส่ายหน้าอย่างระอาใจ  แต่เขาก็อดจะยิ้มกับพี่ชายไม่ได้  ที่ในที่สุดแล้วทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายเกินกว่าพวกเขาจะรับไหวเลย

   สัตยายังคงยิ้มแล้วเอนซบน้องชายอย่างต้องการคนเอาใจ  “ถ้าพงหญ้ายังช้าไม่เลิก  นายต้องช่วยพี่นะมุก  เรื่องพี่มะโรงน่ะ”

   ภิมุขถอนหายใจเหนื่อยหน่ายอีกครั้งอย่างอดไม่ได้  “ผมน่ะเหรอจะไม่ช่วยพี่...แล้วมะโรงน่ะเหรอจะปฏิเสธพี่  ไม่ต้องกังวลน่า  เพราะพี่พงก็ไม่โง่เหมือนกัน”

   แล้วสองพี่น้องก็หัวเราะอย่างมีเลศนัยด้วยความเข้าใจที่รู้กันเพียงแค่สองคน  หากคนที่กำลังแอบฟังอยู่อย่างพงหญ้าและมะโรง  คนหนึ่งก็หน้ามุ่ยด้วยความไม่ชอบใจที่ทุกอย่างมันช่างดายกว่าที่คาดไว้นัก  ส่วนอีกคนก็ได้แต่ยิ้มชอบใจ  หวังให้เรื่องราวเป็นอย่างที่ทั้งสองคนได้พูดไว้เร็ว ๆ เสียที...

   ++++++++++++++++++++++++

   คฤหาสน์กว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบสิบไร่  ตั้งอยู่นอกเมืองออกไปทางโซนอุตสาหกรรม  ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงหน้ารถญี่ปุ่นที่แม้จะมีสีพิเศษ  แต่ก็ดูธรรมดาเกินกว่าคนขับรถจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไปได้...รถยนต์สีแพล็ตตินั่มแล่นเข้าสู่ตัวบ้านช้า ๆ ผ่านเส้นทางที่ทอดยาวจนกระทั่งสวนทางกับรถหรูที่สั่งผลิตจากแถบยุโรปจึงได้หยุดลงอย่างกระทันหัน

   พนาสัณฑ์ก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหาคนบนรถหรูที่จอดห่างออกไปไม่ไกลนัก  “ยัยน้องพี่ขอคุยกับเราหน่อย...”

   วลีลดาเพียงแค่ลดกระจกลงมา  ใบหน้าที่ดูไม่ค่อยพอใจนั้นไม่ได้หันมาหาพี่ชายแต่อย่างใด “คุณพี่มีอะไรล่ะคะ  จะบอกลดาว่าอย่าไปยุ่งกับพวกนั้นเหรอ...ไม่ต้องห่วงค่ะ  ลดาไม่เอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วกับคนแบบนั้นอีกแล้ว”  ใบหน้าคนพูดเชิดขึ้นอย่างมีทิฐิและยังมีความแค้นฝังอก

   “ไม่ใช่...”  พนาสัณฑ์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายในตัวน้องสาวต่างมารดา  หากเขาก็ต้องทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้  “พี่จำได้ว่าเธออยากได้บ้านหลังนี้  พี่จะยกให้เธอก็ได้...แต่เธอรู้ใช่มั้ยว่าคฤหาสน์ที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแบบนี้มีค่ามหาศาลแค่ไหน  ถ้าเธอรับข้อเสนอพี่ได้ทั้งหมด  พี่จะยกให้เธอแล้วไม่มายุ่งด้วยอีก”

   วลีลดาหันมองพี่ชายต่างมารดาด้วยความไม่เข้าใจนัก  เธอรู้ดีว่าที่นี่เป็นสมบัติอีกอย่างที่พี่ชายเธอหวงแหนเกินกว่าจะยกให้น้องนอกไส้อย่างเธอได้  และมันก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด  เพื่อบอกกับใคร ๆ ได้ว่าเธอก็คือทายาทคนสำคัญของตระกูลเก่าแก่นี้...

   “พี่รู้มาว่าเธอกำลังท้อง  แล้วก็คิดจะทำลายเด็ก...เก็บหลานไว้ให้พี่  แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างอยู่  พี่จะเซนต์เอกสารให้เธอก็ต่อเมื่อเธอคลอดลูกออกมาแล้ว  อีกอย่างเด็กจะต้องแข็งแรงสมบูรณ์  ผ่านการตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลในเครือของคุณกิตติกานท์”  พนาสัณฑ์ยื่นข้อเสนอที่ทำให้คนฟังมีท่าทางหนักใจอย่างเห็นได้ชัด

   วลีลดารู้ดีว่าพี่ชายรู้จักคนในกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มีชื่อเสียงนั่น  ดังนั้นคงจะไม่แปลกถ้าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เธอตั้งครรภ์  เพราะเธอเองก็ไปตรวจด้วยความไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้  ไม่อย่างนั้นเธออาจจะไปตรวจที่ต่างประเทศ  แล้วทำแท้งที่นั่นเสียเลย...

   ทรัพย์สมบัตินั้นล่อตาอยู่ตรงหน้า  วลีลดาจำเป็นต้องถนอมรักษาลูกของคนที่เกลียดเอาไว้...แต่แค่คิดถึงมาตรฐานการตรวจสุขภาพเด็กแรกเกิดของโรงพยาบาลมาตรฐานสูงแบบนั้น  วลีลดาก็อดคิดหนักไม่ได้  ว่าเธอจะทะนุถนอมเด็กในท้องที่เป็นดังมารหัวขนได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

   “น้องอยากได้บ้านหลังนี้  แล้วจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา...พี่ชายจะใช้วิธีไหนก็ตามแต่  แต่ลดาจะยอมพี่ชายอีกแค่เจ็ดเดือนเท่านั้นนะคะ...ออกรถ”  ท้ายสุดหญิงสาวก็หันไปสั่งคนขับรถของเธอ  โดยไม่ให้ความสนใจพนาสัณฑ์ที่ยังคงยืนอยู่เลย

   มอร์คาวน์ลงจากรถเมื่อเห็นว่ารถของวลีลดาแล่นออกไปไกลแล้ว  เขาเดินเข้ามาหาคนรักแล้วจับมืออีกฝ่ายเอาไว้คล้ายต้องการปลอบใจ  “คุณลดาไม่ยอมเหรอพฤกษ์...ทำยังไงกันดีล่ะ”

   พนาสัณฑ์หัวเราะเสียงดังก้องบริเวณนั้น  เขานึกเยาะเย้ยโชคชะตาที่ทำให้ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้  “อย่างยัยน้องเหรอจะไม่ยอมรับข้อเสนอของผม  น่าดีใจนะที่บ้านหลังนี้แลกชีวิตหลานผมมาได้  เอาไว้หลานเกิดมา  ผมจะส่งไปอยู่กับคุณพงคุณหยก  ให้เค้าห่างไกลจากครอบครัวของแม่แท้ ๆ  จะได้รับรู้ถึงความรักที่แท้จริงจนถึงราก...แบบที่แม่เค้าไม่เคยได้รู้จัก”

   “อือ...ผมภูมิใจในตัวคุณเสมอเลยพฤกษ์  รักคุณมากจริง ๆ ด้วย”  มอร์คาวน์ซบหน้าลงกับต้นแขนของคนรักแล้วพูดออกมาเบา ๆ แต่ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องได้ยินคำพูดของเขาแน่ ๆ

   พนาสัณฑ์โอบกอดคนรักไว้แนบชิด  ดวงตาคมจ้องมองภาพคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตกทอดมาจนถึงรุ่นเขา  หากทุกอย่างจะต้องดำเนินต่อไป  หลานที่เกิดมาต้องใช้นามสกุลเขาและใช้ชีวิตนอกเส้นทาง...ที่แม้จะไม่เลิศเลอแต่รอบข้างก็อบอุ่นและมีความสุข  เหมือนความรู้สึกที่เขาเคยได้รับก่อนที่บิดามารดาจะเสียไป

   “คุณพ่อครับ...ขอโทษนะครับที่รักษาที่นี่ไว้ไม่ได้  แต่ผมก็ได้หลานให้คุณพ่อแล้วนะครับ”  เสียงนั้นเอ่ยกับคนที่อยู่แสนไกลเกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยสายตา...หากสื่อถึงกันได้ด้วยจิตใจเท่านั้น

   ++++++++++++++++++++++++

   “มานี่เลย...จะหนีไปไหน”  พงหญ้าแทบจะต้องตะครุบจับสัตยาแล้วกอดรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา  เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายดิ้นหนีไปไหนได้อีก  “จะเล่นละครอินเดียหรือไง  ให้วิ่งตามจนเหนื่อยแล้วเนี่ย...”

   สัตยาพยายามทำหน้าเลียนแบบปลาบอลลูน  แต่ยิ่งมองเห็นพงหญ้าอยู่ใกล้ ๆ ก็ยิ่งโมโหขึ้นมาอีก  เพราะข่าวที่เพิ่งได้รับรู้จากพนาสัณฑ์เมื่อสักครู่  “ไอ้พงบ้า...ทำให้ยัยลดานั่นท้องจนได้แล้วมั้ยล่ะ  ไอ้บ้าพง...ไอ้คนเลว”

   “ด่าไปสิ  อยากด่าอะไรก็ด่าไปเลย  แล้วไงล่ะ...ผมไม่รับผิดชอบหรอกนะ  เลวจริง ๆ นั่นแหละ  ไม่คิดจะสนใจซักนิดด้วย  แต่ลูกผมน่ะผมจะเลี้ยงเอง...ให้หยกที่น่ารักของผมเป็นแม่ไงครับคนดี”  พงหญ้าหอมแก้มนุ่มของคนรักอย่างเอาใจเต็มที่  เขารู้ดีว่าสัตยาไม่ใช่คนใจแข็งแม้แต่น้อย

   “เป็นได้ที่ไหนเล่า...พูดจาน่าโดนดีนัก  แต่ว่าอยากให้มาอยู่ด้วยเร็ว ๆ จัง  คุณพฤกษ์นี่ก็ใจดีจริง ๆ ยอมยกหลานให้เราดูแล...นี่เราไปเตรียมของให้ลูกพงดีมั้ย”  สัตยาเริ่มเห่อลูกของพงหญ้าอย่างออกนอกหน้า  ยิ่งฝ่ายนั้นบอกว่าจะให้เขาเป็นแม่ก็ทำเอาเขาได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  เพราะถือว่าตัวเองเป็นคนรักของอีกฝ่ายนั่นแหละ…ถ้าเขาไม่เป็นแม่แล้วใครจะมาเป็น

   พงหญ้าชักจะเห็นความไม่ชอบมาพากลอย่างรวดเร็วทันใจ  คิดดูแล้วหากลูกของเขาเกิดมาแล้วต้องมาอยู่ในความดูแลของเขาและสัตยา  ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสัตยาจะต้องให้ความรักกับหนูน้อยอย่างเต็มที่  แล้วทีนี้เขามิกลายเป็นสุนัขที่ไม่มีหัวให้เลียเจ้านายหรือ...ฝันร้ายชัด ๆ เลย

   “หยก...มานี่มา”  พงหญ้าออกแรงดึงคนที่กำลังจะไปเตรียมอะไรล่วงหน้าจนดูเวอร์เอาไว้อีกรอบ  แล้วกึ่งดึงกึ่งลากคนรักให้นั่งลงบนตักตัวเองอย่างบังคับ  “ไม่ต้องรีบหรอกน่า  อีกตั้งเจ็ดเดือนนี่นา  อีกสี่เดือนค่อยเตรียมก็ทัน...”

   สัตยามองหน้าพงหญ้าแล้วพยักหน้าเห็นด้วย  เมื่อไม่มีอะไรให้พูดอีกดวงหน้าหวานก็ซุกซบอยู่กับซอกคอคนรักเหมือนที่เคยทำ  “ช้ามาก ๆ ตั้งเจ็ดเดือน  ทำไมคุณพฤกษ์ไม่บอกใกล้ ๆ วันนะ  ทำเอาตื่นเต้นไปหมดเลย”

   “เมื่อกี้ยังอาละวาดอยู่หยก ๆ ยังมาทำพูดดี”  พงหญ้าแขวะให้อย่างหมั่นไส้

   สัตยาขยับตัวขึ้นมาจ้องหน้าเจ้าของตักอย่างเอาเรื่อง  “อ้าว...มันก็ต้องโมโหอยู่แล้วใช่รึเปล่า  เก่งนี่ทำผู้หญิงอย่างนั้นท้องได้  คงเอาใจกันเต็มที่ล่ะสิ”

   แล้วมือใหญ่ก็ตีแปะลงบนปากช่างพูดนั่นเบา ๆ  “ไปหัดคำพูดนางอิจฉาแบบนี้มาจากไหนกัน  ละครตอนกลางคืนหรือไง  นี่ถ้าฝึกมาใช้กับพงล่ะก็  จะยกทีวีไปบริจาคให้หมดบ้านนี้เลย”

   “มันทีวีของพี่มะโรงหรอก...”  สัตยาเถียงอย่างไม่ยอมลงให้

   “งั้นเดี๋ยวไปขอซื้อต่อจากท่านมะโรง  หยกไม่ได้ทำงานมาปีกว่าแล้วสินะ  ตำแหน่งในบริษัทฯ ผมก็รับผิดชอบแทนแล้วด้วย  ผมไม่ให้เงินซื้อทีวีหรอกนะ...จะขอน้องชายก็เอา  ถ้าไม่รู้จักอายน่ะ”  พงหญ้าพูดไปเรื่อย ๆ อย่างรู้สึกเป็นต่อเต็มที่  ความรู้สึกของเขาเหมือนกับสามีไม่ส่งเสียภรรยาแบบนั้น

   สัตยานั่งหน้างออย่างเถียงไม่ออก  คนเคยมีเงินใช้ไม่ขาดมืออย่างเขา  ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ด้วย  นอกจากมรดกที่อาจจะได้รับจากทางปู่ย่านั่นแหละ  “ทีหลังจะพูดดี ๆ  เถียงนิดเดียว  ไม่เอาทีวีไปบริจาคได้รึเปล่าล่ะ”   

   “น่ารักที่สุด...แฟนใครเนี่ย”  พงหญ้าหอมแก้มนุ่ม ๆ ไปหลายครั้งด้วยความชอบใจอย่างที่สุด

   สัตยาหัวเราะคิกคักอย่างขัดเขินแล้วกระซิบกับคนรักเพียงให้ได้ยิน  “แฟนนายพงหญ้าไง...”

   ดวงตาคมของพงหญ้าจ้องมองคนรักเสียหยาดเยิ้ม  เขากอดรัดร่างของสัตยาเอาไว้แนบแน่นจนไร้ช่องว่าง  หากก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดกันทั้งสองฝ่าย  แม้วันนี้ความรักจะไม่ได้หวานขึ้นกว่าเดิม  แต่ในทุกวันที่ผ่านไป  ความรักของพวกเขาก็ยังคงหวานได้เท่าเดิม...ไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ

   ++++++++++++++++++++++++


   ความเงียบสงบรอบด้าน  ทำให้ดวงตาสีแดงสดที่เริ่มโผล่พ้นจากเปลือกตาต้องมองไปรอบ ๆ ด้วยความมึนงง...หากภาพตรงหน้าก็ทำให้รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้าคมคายได้  ร่างนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก  แต่ก็เงียบเชียบจนไม่มีเสียงใด ๆ สะท้อนกำแพงหินออกมา

   ก้าวย่างที่ยากลำบากก้าวต่อไปยังจุดหมายตรงหน้า  ก่อนที่สองแขนจะโอบกอดร่างบางที่ยืนนิ่งอยู่ด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ...

   งูเทพเหม่เม๋สะดุ้งด้วยความตกใจ  ดวงหน้างดงามหันขวับมาด้านหลังด้วยความไม่เชื่อ  หากดวงตาสีเงินคู่สวยก็หลั่งรินหยดน้ำใสออกมาไม่ขาดสายด้วยความยินดีอย่างที่สุด...คนรักของเขาฟื้นกลับมาแล้ว

   “เซค...ท่านทำให้ข้าเป็นห่วงถึงขนาดนี้เชียวหรือ”  น้ำเสียงสั่นเครือนั้นเอ่ยต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก

   ใบหน้าคมเกยบนลาดไหล่ของผู้เป็นที่รักอย่างเหนื่อยอ่อน  หากเขาก็ยังไม่อยากจะขยับไปไหนให้ไกลกันอีกในยามนี้  “ขอโทษ...ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เหม่เม๋  ไม่คิดว่าทุกอย่างจะผิดพลาดถึงขนาดนี้  ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ คนดี”

   “เอาเถอะ...เพียงแค่ท่านฟื้น  จะต้องเสียอะไรอีกมากมายเท่าไหร่  ข้าก็จะไม่เสียดายให้ต้องเปลืองความรู้สึกใด ๆ อีก”  ร่างบางประคองคนรักกลับไปนอนบนเตียงกลางห้องเช่นเดิม  เพื่อให้อีกฝ่ายได้ฟื้นพลังอีกครั้ง  บนหินขาวที่มีสรรพคุณในการรักษาจิตวิญญาณที่แหลกสลายได้

   เหม่เม๋ไล้มือแผ่วเบาบนใบหน้าซีดขาวและเย็นเฉียบของคนรัก  แล้วก้มลงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายด้วยความรักหมดหัวใจ  ก่อนที่ร่างบางจะเอนตัวลงนอนซบบนแผ่นอกที่อบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนเลยในความรู้สึกของเขา...

   “หากข้าตื่นอีกครั้งหลังจากพลังฟื้นคืน  เจ้าต้องพาข้าไปหามะโรงนะเหม่เม๋...”  เซคเอ่ยขึ้นข้างหูคนรักอย่างเห็นเป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง

   เหม่เม๋เอื้อมมือกุมมือคนรักเอาไว้คล้ายเป็นการให้คำมั่น  ก่อนที่พวกเขาจะหลับตาลงเพื่อรับเอาพลังจากหินขาว  เพื่อรักษาจิตวิญญาณที่สูญเสียพลังไปมิใช่น้อย...และอีกไม่นานความเข้มแข็งจะกลับมาอีกครั้ง  เพื่อให้พวกเขาได้สะสางเรื่องราวที่ค้างคา  ให้ลงเอยด้วยสิ่งที่ดีที่สุด





ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
อสรพิษที่่รัก (ตอนพิเศษ 2)
«ตอบ #79 เมื่อ29-12-2013 20:27:13 »


   มะโรงผุดลุกขึ้นกลางดึก  ทำให้เตียงไหวยวบตามแรงของเขาจนภิมุขต้องรู้สึกตัวตามขึ้นมาด้วย  มือที่เล็กกว่าสอดเข้าไปในมือใหญ่แล้วจับมือนั้นไว้อย่างปลอบใจ  เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงฝันร้ายทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้...

   “หนูมุก...ท่านพ่อฟื้นแล้ว  อีกไม่นานจะมาหามะโรงที่นี่  มะโรงดีใจที่สุดเลยหนูมุก  ท่านพ่อปลอดภัยแล้ว”  มะโรงหันมากอดคนรักเอาไว้แน่นด้วยความดีใจอย่างที่สุด

   ภิมุขที่ยังคงงัวเงียยิ้มด้วยความดีใจไปด้วย  เขากอดตอบคนรักเพื่อแสดงความยินดีกับสิ่งที่ได้รับรู้  “อือ...ดีแล้ว  รักมะโรงที่สุดเลยนะครับ”  เสียงนั้นเอ่ยบอกเบา ๆ ขณะที่แนบหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น 

   มะโรงแทบจะไม่เชื่อหู  เพราะไม่บ่อยนักที่ภิมุขจะบอกว่ารักเขาเหมือนเช่นวันนี้  หากนี่ก็คงเป็นความรู้สึกที่อีกฝ่ายจะบอกกับเขาได้  ในช่วงเวลาที่อับจนคำพูดมากที่สุด...

   “มะโรงก็รักหนูมุกมาก ๆ เลย  ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็จะมีหนูมุกอยู่ในใจไม่เปลี่ยนไป  นานที่สุดเท่าที่จะรู้สึกได้เลย...”  ภิมุขเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำที่สุด  มะโรงจึงอดไม่ได้ที่จะมอบรอยจูบอันแสนหวานให้คนที่เขาทั้งรักและมีความผูกพันต่อกันมาด้วยเวลาอันยาวนาน

   ความรักของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด  และจะยาวนานที่สุดเท่าที่พวกเขาจะรักษาความรู้สึกนี้ไว้ได้  ไม่ว่าพวกเขาจะยังรักกันอีกนานแค่ไหน  ในทุก ๆ วันที่ผ่านไปก็จะเป็นวันที่มีความสุขที่สุด  จะรักษาความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันไว้ตลอดเวลา...อยากรักกันให้นานจนถึงชั่วนิรันดร์


   ++++++++++++++++++++++++

วลีลดาโกรธแค้นพงหญ้า  แต่เธอก็ตัดสินใจละทิ้งคนที่ไม่มีใจให้กับเธอ  ดีกว่าต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับความบ้าบิ่นของอีกฝ่าย  ที่อาจจะทำให้เธอไม่เหลือแม้แต่อนาคตในวันข้างหน้า  หลังจากหย่าร้างกับพงหญ้าไม่นานวลีลดาจึงรู้ว่าตัวเองท้องกับชายหนุ่ม  เธอคิดจะทำแท้ง  แต่พนาสัณฑ์ก็ขอเอาไว้  โดยยื่นข้อเสนอจะยกทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งที่เป็นของเขาให้  ถ้าเธอตัดสินใจคลอดลูกออกมาให้พงหญ้า 

   วลีลดายอมรับข้อเสนอ  หลังจากนั้นเธอตัดสินใจแต่งงานใหม่  หากชีวิตคู่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะความเอาแต่ใจของเธอ  ธุรกิจผลไม้ถูกละทิ้ง  เมื่อวลีลดาหันไปสนใจธุรกิจสปาและเครื่องสำอาง  แต่คู่แข่งที่มากมายทำให้กิจการในชื่อของเธอไม่เป็นที่รู้จักมากนัก  ความล้มเหลวทางธุรกิจทำให้คฤหาสน์ที่ได้มาจากพนาสัณฑ์ต้องถูกประกาศขาย  โดยผู้ซื้อก็คือพนาสัณฑ์ที่ฝากทิวาติดต่อขอซื้อคืนให้  ทำให้ในที่สุดคฤหาสน์หลังใหญ่ก็ตกเป็นทรัพย์สมบัติของลูกชายพงหญ้าอย่างที่พนาสัณฑ์ต้องการ

   พนาสัณฑ์และมอร์คาวน์ตัดสินใจทำธุรกิจเกี่ยวกับปุ๋ยชีวภาพ  ซึ่งเป็นธุรกิจรายใหม่ในจังหวัดที่เก้าสิบเก้า  แม้ธุรกิจจะไปได้ดีแค่ไหน  ทั้งคู่ก็ยังคงยึดติดกับความพอเพียง  ไม่ทำอะไรที่หนักหนาเกินคนสองคนจะทำไหว  และทรัพย์สมบัติที่ยังคงเหลืออยู่กับพนาสัณฑ์ก็มากพอที่ทำให้ทั้งคู่ไม่ต้องดิ้นรนกับอะไรมากนัก  แต่พนาสัณฑ์ก็ไม่ใคร่จะสนใจในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นนัก  เขายกทรัพย์สมบัติที่เหลือให้กับหลานชายซึ่งเป็นลูกของพงหญ้าและน้องสาว  ซึ่งพงหญ้าเป็นผู้ดูแลอยู่  หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับมอร์คาวน์ต่อไป

   พงหญ้าและสัตยารับเลี้ยงดูลูกของพงหญ้าที่เกิดกับวลีลดา  เด็กน้อยกลายเป็นที่รักของคนในบ้านหลังใหญ่  รวมถึงครอบครัวของสัตยาและภิมุขที่อยู่ต่างอำเภอ  แม้จะขาดแม่แต่ก็ไม่ทำให้หนูน้อยขาดความอบอุ่น  เมื่อทุกคนทุ่มเทความรักให้อย่างมากมายจนดูเหมือนจะล้น...

   ท่ามกลางความอลหม่านของครอบครัวประหลาด  ที่ทั้งพงหญ้ากับสัตยา  และมะโรงกับภิมุขนั้นดูจะขัดแย้งกันเป็นประจำ  แต่เรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นเรื่องดี ๆ ได้ไม่ยากเมื่อต่างฝ่ายต่างยอมถอยให้กันคนละก้าวเสมอ  ทุกคนจึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน

   เซคฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง  หกปีหลังจากที่เขาได้หลับไป  หลังจากนั้นเซคได้มาพบกับมะโรงด้วยความยินดีอย่างสุดแสน  และแม้จะรู้ว่าต่อจากนี้ไปยากนักที่พวกเขาจะได้พบกันอีก  แต่ทั้งคู่ก็ยังคาดหวังให้อีกฝ่ายมีความสุขในช่วงเวลาที่จะผ่านเข้ามา...

   เหม่เม๋ใช้จิตวิญญาณของตนเองรับประกันความผิดที่เซคได้ทำลงไป  เขาให้คำมั่นต่องูเทพสูงสุดว่าเซคจะทำเรื่องที่ผิดอีกครั้งอย่างแน่นอน  เซคจึงรอดพ้นการลงโทษมาได้ในที่สุด  ห้าสิบปีหลังจากนั้นเซคที่บำเพ็ญเพียรจนมีจิตวิญญาณแข็งแกร่งในขั้นสูง  ก็ได้รับการเลื่อนฐานะเป็นงูเทพและพำนักอยู่ในถ้ำเดียวกับเหม่เม๋  เพื่อรักษาป่าเขาลึกลับที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าไปถึงได้...

   เวลาผ่านเลยไปท่ามกลางความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีทั้งแปรเปลี่ยนและคงมั่น  หากทุกคนก็ยังคงใช้ชีวิตของตนเองอยู่ในสถานที่ที่มีความสุขที่สุด  และต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าเมื่อมีโอกาสได้พบ  ก็ต้องมีสักวันที่อาจจากลา  และเมื่อจากกันไปแล้ว...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกแสนนานแค่ไหน  ในวันหนึ่งข้างหน้าอันยาวนานนั้น  พวกเขาอาจจะได้พบกันอีกครั้ง...และสานต่อความผูกพันที่มีร่วมกันต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

   เมื่อความรักนั้นได้แตกสะเก็ดออกไปอย่างกว้างขวาง  เราที่เดินเก็บสะเก็ดแห่งรักนั้นก็ยังคงไล่ตามเส้นทางอันยาวไกลไปเรื่อย ๆ และหวังว่าสักวันเราจะสามารถเก็บสะเก็ดรักทั้งหมดนั้นมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้  แล้วกดทับกลุ่มก้อนแห่งความรักนั้นไว้ในดวงใจ...ตราบนานเท่านาน




จบแล้วค่ะ  ต่อด้วย  "เธอที่รัก" นะคะ  หมดแรง enter แต่จะพยายามลงให้หมดค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

อสรพิษที่่รัก (ตอนพิเศษ 2)
« ตอบ #79 เมื่อ: 29-12-2013 20:27:13 »





ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 2
«ตอบ #80 เมื่อ29-12-2013 20:29:07 »

ย้อนมาลงให้ใหม่กันสับสน


เธอที่รัก 1




ยามค่ำคืนที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟมากมาย  ราวกับดวงดาวเกลื่อนฟ้า 
หากต่างสถานที่สิ่งที่พบเจอย่อมแตกต่างกัน 
และนี่ก็เป็นความต่างระหว่างเมืองหลวง  กับท้องทุ่งนาตามชนบท

เสียงรถเบรกดังสนั่นไปทั่วลานจอดรถ  ในอาณาเขตคอนโดหรูกลางเมือง 
ทำให้คนทั่วบริเวณหันมามองรถ BMW  สีน้ำเงินมันวาวด้วยความสนใจแค่เพียงชั่วครู่ 
ในเมื่อก็เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก้าวลงจากรถหรูของตนเองด้วยท่าทางโซซัดโซโซ 
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดสองคนจึงทำท่าจะเข้าไปพยุงเขา 
ด้วยความมีไมตรีจิต  แต่คนที่ดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะปกติก็โบกไม้โบกมือบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรเสียก่อน

ก้าวเดินไม่มั่นคงอาจจะเกิดจากภาวะความเหน็ดเหนื่อยภายใน 
ทำให้หญิงสาวหลายคนที่รู้จักกันดีเลือกที่จะไม่เอ่ยคำทักทายผู้ที่เพิ่งกลับมาถึงที่พัก 
และเด็กหนุ่มร่างสูงก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใครเช่นกัน

กว่าจะพ้นจากประตูด้านหน้ามาได้  เขาต้องเสียเวลากับคีย์การ์ดในมือถึงสามรอบ 
นั่นทำให้อารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติยิ่งทวีความหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก 
ความไม่พอใจทั้งหมดที่มีจึงไปลงเอากับการกดปุ่มเลือกชั้นลิฟต์  ที่เขาเลือกกดมันเสียทุกชั้น…

ก่อนหน้านั้นอารมณ์ก็เสียจะแย่อยู่แล้ว  แต่เมื่อทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด  เด็กหนุ่มก็อารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม 
เมื่อพบว่าลิฟต์ที่ตัวเองขึ้นมา  หยุดในทุก ๆ ชั้น  แล้วก็โมโหตัวเองเข้าไปอีกที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น
เพราะตัวเขาขาดสติ

ร่างสูงทรุดลงนั่งบนพื้นอย่างเซ็ง ๆ มือที่ประกอบไปด้วยนิ้วเรียวสวย
เสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าตนเองออกอย่างหงุดหงิด 
นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเกิดอารมณ์ไม่ปกติด้วยความเศร้าซึม 

ใครจะไปคิดว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่าง  จะต้องมีวันนี้เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไปกัน…
ในเมื่อเขาคือ  ภาติยะ  กอบกู้เกียรติ  บิดาเป็นถึงนักธุรกิจส่งออก 
มีบริษัทฯ ใหญ่โต  อำนาจบารมีล้นเหลือ  ความร่ำรวยก็ไม่ต้องพูดถึงเรียกได้ว่าล้นฟ้ากันทีเดียว

ภาติยะ  จัดว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบ  เรียกได้ว่ารูปหล่อ  ฉลาด  พ่อรวย  ครอบครัวอบอุ่น 
ทุกอย่างที่เป็นตัวเขา  ไม่มีสิ่งใดเลย…ที่จะเรียกได้ว่าดี  ปานกลาง  พอใช้  หรือต้องแก้ไข 
แต่ทุกอย่าง…ยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยาย

ในเมื่อเป็นแบบนั้น  แล้วมันเหตุผลแบบไหนกันที่เขาต้องมีวันนี้  วันที่ถูกคนรัก
ที่คบกันมานานเกือบ  7  ปีทิ้งไป  ด้วยเหตุผลง่าย ๆ  ‘คุณดีเกินไป…ภาต’ 
ตัวเขาเองย่อมจะนึกไม่ถึงแน่ ๆ ว่าการที่เขาดีเกินไปมันผิดตรงไหน  การเอาใจเก่ง 
ตามใจคนรักทุกอย่าง…สารพัดความดีที่ทำ  มันเกินไปอย่างนั้นหรือ

“เฮ้อ…ดีเกินไป  แล้วผิดตรงไหนวะ”  ภาติยะบ่นกับตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายใจ 
เกิดมาก็เพิ่งจะเคยพบความผิดหวังนี่แหละ  แถมยังเพราะว่าตัวเองดีเกินไปอีกต่างหาก
นั่นทำให้เขาคิดเหมือนกัน…ว่าจะทำตัวเลว ๆ เลยดีไหม

ประตูลิฟต์เปิดออกในชั้นที่ภาติยะพักอยู่  เขาจึงลุกขึ้นเดินออกจากลิฟต์มาด้วยท่วงท่าที่มั่นคงกว่าในตอนแรก
 เด็กหนุ่มถอนหายใจไปอีกหลายครั้ง  ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตูห้องเข้าไปช้า ๆ 
เหมือนกำลังลุ้นกับอะไรสักอย่าง

สายตากวาดไปรอบ ๆ ห้องด้านนอก  เมื่อไม่เห็นใครหรือสิ่งใด  ก็ถอนใจหายราวกับโล่งอกนักหนา 
มือหนึ่งยกขึ้นเสยผม  แล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด  เมื่อคิดว่าอาจจะต้องเจอกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในวินาทีถัดไป

“ภาต…กลับมาแล้วเหรอ”  เสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม 
ก่อนที่เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวจะปรากฏตัวออกมายืนตรงหน้า  พร้อมกับรอยยิ้มหวาน

ภาติยะตะลึงกับภาพตรงหน้า  เมื่อเห็นเพื่อนสนิทอยู่ในชุดนอนของผู้หญิง 
จะว่าไปขนาดรูปร่างของเพื่อนเขาก็ออกจะอรชรอ้อนแอ้นอย่างกับผู้หญิงอยู่แล้ว 
ยิ่งมาแต่งตัวแบบนี้ก็ยังกับอีกฝ่ายใส่เสื้อเชิ้ตของเขาอยู่ตัวเดียว…มากกว่าจะเป็นชุดนอนลายการ์ตูนปกติ

ดวงหน้าหวานใสมีรอยยิ้มพราย  เจ้าตัวหมุนไปรอบ ๆ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทจับจ้องตัวเองไม่วางตา 
ก่อนภาติยะจะเดินเข้าไปกอดคอเขาเอาไว้  แล้วลากหลุน ๆ ไปที่โซฟากลางห้องด้วยความรวดเร็ว

“มันชุดอะไรน่ะ…น่านฟ้า”  ภาติยะเอ่ยถามเมื่อพยายามจับเพื่อนตัวเองลงนั่งบนตัก 
แล้วทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้สำเร็จ

คนที่ถูกจับตัวไว้แน่นทำหน้าอย่างกับปลาทอง  บ่งบอกถึงอาการงอนได้อย่างน่ารักน่าชัง 
เชิดหน้าหนีไม่สนใจคำถาม  จนภาติยะต้องคิดหาแผนการทำให้อีกฝ่ายหายงอนจนหัวปั่น

“ก็เห็นว่าน่ารักดีนี่…ก็เลยถาม”  นั่นล่ะพออีกคนได้ยินเข้า  ก็หันมายิ้มหวานทันใด 
จนภาติยะเหนื่อยใจความบ้ายอของเพื่อนรัก

“ชุดนอนของพี่น้ำฝนล่ะ  มันติดมาในกระเป๋าเมื่อคราวไปค้างกับพี่เค้าครั้งก่อนไง 
แล้วทีนี้เมื่อตอนเย็นอะ  เราดูทีวีเห็นนางเอกเค้าใส่แบบนี้แหละ  น่าร้ากน่ารัก  พอส่องกระจกดูแล้วก็เออ…
หน้าตาเราก็น่าจะใส่ขึ้นไง  เลยเอามาลองดู  นึกแล้วว่าต้องดูดี” 
น่านฟ้ามีคำอธิบายให้เป็นฉาก ๆ  จนภาติยะมองเห็นภาพชัด

“เออ…ก็ดูดีน่ะนะ”  ภาติยะชักจะเริ่มเห็นดีด้วย 
“มันก็ดูเซ็กซี่ดี  เหมาะกับนายแล้วล่ะ  แต่ขานายสวยดีนี่  เนียนเชียว…”

น่านฟ้ามองมืออีกคนที่ไล้ไปตามขาตัวเองเบา ๆ  อย่างแปลกใจ 
เขาเอนตัวซบเข้าแผ่นอกกว้างด้วยความสงสัย  ทั้งที่ยังคงปล่อยให้ภาติยะลูบเรียวขาตนเองได้ตามใจชอบ

“เป็นอะไร…ไหนว่าวันนี้นัดกับมาศไง  กลับเร็วจัง…หรือว่าถูกทิ้ง” 
คนพูดดูเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจเช่นกันกับสิ่งที่ถามออกไป 
เพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างภาติยะจะถูกทิ้งได้

ภาติยะหัวเราะเบา ๆ  “เก่งแฮะ…ทายถูกได้ไง” 
เจ้าตัวไม่พูดเปล่าก้มลงจูบหน้าผากมนเบา ๆ เป็นการชมเชยอีกอย่าง

น่าแปลกที่น่านฟ้าเพียงแค่ยิ้มรับ  ดูเหมือนพวกเขาจะชินกับการปฏิบัติต่อกันแบบนี้ไปเสียแล้ว 
จำได้ว่าน่าจะเป็นตั้งแต่คบกันใหม่ ๆ เลยด้วยซ้ำ  หรือจะเป็นเพราะสาเหตุนี้กันนะที่ทำให้ภาติยะถูกนพมาศ 
ซึ่งเป็นคนรักหักอกเอา

“ไปอาบน้ำได้แล้วล่ะ  เดี๋ยวจะไปนอนแล้ว…” 
น่านฟ้าเอ่ยบอกแล้วขยับลุกขึ้น  แต่ก็โดนมือใหญ่คว้าข้อมือไว้ก่อน 

เจ้าตัวก้มลงหอมแก้มภาติยะเบา ๆ เป็นเหมือนการปลดสลักที่ล็อคตัวเองไว้ 
เมื่ออีกฝ่ายยอมปล่อยแต่โดยดี  แล้วทั้งคู่ก็แยกกันไปคนละห้อง…แต่สุดท้ายก็ต้องมาพบกันที่ห้องนอนอยู่ดี



ภาติยะนอนแช่ตัวในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่อย่างสบายใจ  ดูเหมือนน่านฟ้าจะทำให้เขาอารมณ์ดีได้เสมอ 
คิดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงอีกฝ่ายที่ชอบทำตัวแปลก ๆ  แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดีของน่านฟ้าเช่นกัน

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเขาค่อนข้างหัวช้า  ถึงอีกฝ่ายจะเรียนเก่ง  และมีมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ 
แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นเพราะความผิดปกติของน่านฟ้าก็ได้  ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

น่านฟ้าค่อนข้างจะเป็นคนสนุกสนาน  สดใสและมีรอยยิ้มหวานติดอยู่บนหน้าเสมอ 
แม้ในยามที่ต้องทุกข์ใจจนหาทางออกไม่ได้  ต่อหน้าคนอื่นก็ยังจะดูเป็นปกติ 
แต่ภาติยะเองก็รู้ดีว่าเพื่อนของเขาไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นเห็น…น่านฟ้ามีความเป็นมาลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น

เพื่อนสนิทเขาเป็นเด็กที่เรียกได้ว่ามีปัญหา  ภาติยะพบกับน่านฟ้าเมื่อตอนที่เขาเรียนอยู่มัธยมต้น 
พวกเขาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน  ในเวลานั้นอีกฝ่ายดูซึมเศร้า  ไม่มีสังคม 
และไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองมีเสน่ห์ต่อผู้ที่พบเห็นมากแค่ไหน

วันหนึ่งภาติยะช่วยน่านฟ้าเอาไว้ได้  จากเหตุการณ์ที่สะเทือนใจอีกฝ่ายอย่างที่สุด 
เมื่อเกือบโดนรุมโทรมจากรุ่นพี่ในโรงเรียนถึงหกคน  เหตุการณ์ไม่ได้ถึงขั้นหวุดหวิด 
แค่เพียงถูกฉุดกระชากลากถู  แต่ก็ทำให้น่านฟ้าตกใจจนช็อคหมดสติไปหลายวัน

หลังจากเหตุการณ์คราวนั้น  ภาติยะก็เป็นเพียงคนเดียวที่น่านฟ้าให้ความไว้วางใจมากที่สุด 
จนมารดาของเขาต้องขอร้องให้ภาติยะช่วยดูแลลูกชายของตน 
เธอและพี่สาวของน่านฟ้าดีใจมากเมื่อภาติยะรับปาก 
เพราะหากยังอยู่ที่บ้านต่อไปน่านฟ้าก็จะต้องถูกบิดาแท้ ๆ ทารุณกรรมอยู่ดี…
เพราะความเกลียดชังที่ลูกชายคนเดียวหัวช้า  จนคล้ายเด็กปัญญาอ่อน

ภาติยะขอให้บิดาของตนรับน่านฟ้ามาอยู่ที่บ้านด้วย  ซึ่งทุกคนในบ้านเขาก็ไม่มีใครว่าอะไร 
อาจเป็นเพราะความน่ารักของน่านฟ้าด้วยก็ได้ที่ทำให้ทุกอย่างราบรื่นไปหมด 
ตั้งแต่วันนั้นมาเขาและน่านฟ้าก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา  ไม่เคยห่างกันไปไหน 
จนใครต่อใครชอบล้อเลียนว่า…เป็นคู่แต่งงานใหม่

ภาติยะหัวเราะเมื่อนึกถึงคำพูดนั้น  จะว่าไปแล้วเมื่อสองวันก่อน 
เดชานนท์เพื่อนสนิทในกลุ่มก็เพิ่งล้อพวกเขาด้วยคำนี้เช่นกัน 
จนเขานึกสงสัยว่า  เป็นคู่แต่งงานกันมาตั้ง  8  ปีแล้ว  จนถึงวันนี้ยังไม่เก่าอีกหรือ…

เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำเมื่อรู้สึกว่าตัวเองแช่น้ำนานเกินไปแล้ว 
เขาหยิบผ้าเช็ดตัวมาซับน้ำออกจากตัวอย่างเหม่อลอย  นึกไปถึงคนด้านนอกว่าจะหลับไปแล้วหรือยัง 
แล้วก็พอจะเดาได้ว่าคงจะหลับสนิทไปแล้ว…ก็น่านฟ้าน่ะหลับง่ายจะตาย

เสียงประตูห้องน้ำที่เปิดออก  ไม่สามารถทำให้คนที่นอนหลับตาพริ้มบนเตียงรู้สึกตัวได้ดังคาด 
ภาติยะมองน่านฟ้าที่หลับสนิทด้วยความเอ็นดูมากกว่าอื่นใด 

ชุดนอนเลื่อนอวดต้นขาเนียนอย่างหมิ่นเหม่ทำให้เด็กหนุ่มต้องส่ายหน้าระอาใจกับความคิดแผลง ๆ
ที่ไม่ได้จงใจนั้น  เพราะถึงแม้จะดูน่ารัก  แต่ก็เซ็กซี่เกินไป…

ภาติยะนั่งลงข้าง ๆ น่านฟ้าที่นอนตะแคงขดตัวจากความเย็นของเครื่องปรับอากาศ 
เขาแต่งตัวไปด้วยอย่างลวก ๆ  เพราะให้ความสนใจกับคนที่กำลังหลับมากกว่า 
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงไปมองเพื่อนตัวเองอย่างใกล้ชิด  ก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวทิ้งไปเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย

“อือ…ภาต  อาบน้ำช้าจัง”  น่านฟ้าที่ลืมตาตื่นขยี้ตาอย่างงัวเงีย  ปากก็บ่นเพื่อนอย่างแสนงอน

ภาติยะเพียงแค่ยิ้มกับความน่ารักนั้น  เมื่อรู้ดีว่าน่านฟ้านั้นเจ้าแง่แสนงอนเพียงใด 
เอาเป็นว่าผู้หญิงหลาย ๆ คนยังต้องยอมแพ้นั่นแหละ…

“โทษที…ก็ไม่คิดว่าน่านฟ้าจะง่วงขนาดนี้นี่”  ดวงตาที่โตอยู่แล้วยิ่งโตขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง 
ทำให้คนที่จ้องมองต้องหัวเราะออกมาเสียงดัง

หน้าหวานเบ้อย่างไม่ชอบใจกับเสียงหัวเราะที่ดูเหมือนจะเยาะเขา  “ง่วงที่ไหนกัน…” 
พูดจบก็ซบหน้าลงกับหมอนอย่างงอน ๆ ไปอีกรอบ

ภาติยะต้องอดกลั้นความขบขันของตัวเองไว้  ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาง้ออีกฝ่ายด้วยความเคยชิน 
“น่า…อย่างอนสิ  นอนดีกว่านะ”

วงแขนคว้าน่านฟ้าเข้ามากอดเอาไว้จนแนบสนิท  ใบหน้าเกยอยู่กับไหล่บางเหมือนที่เคยทำ 
แล้วหลับตาลงช้า ๆ ด้วยความสบายใจ  แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกเมื่อน่านฟ้าขยับยุกยิกไปมาอยู่ในอ้อมกอดของตน 
อีกฝ่ายตะแคงตัวเข้าหาอ้อมอกอบอุ่นของภาติยะ  เงยหน้ามองคนที่กอดตัวเองเอาไว้ตาแป๋วเหมือนกระรอก

“ว่าไง...”  เสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม  ทั้งที่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ยอมนอน

นิ้วชี้เรียวสวยชี้ไปที่หน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าบูดบึ้ง  เมื่อแน่ใจว่าถูกแกล้งอยู่แน่ ๆ 
ภาติยะหัวเราะเสียงดัง  ก่อนจะยอมก้มลงจูบหน้าผากนวลเหมือนเช่นทุกวัน...
น่านฟ้ายิ้มแล้วหลับตาลงแต่โดยดี  ไม่นานนักเสียงหายใจของทั้งสองก็ราบเรียบ...
บ่งบอกถึงการหลับสนิทได้เป็นอย่างดี



ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 2
«ตอบ #81 เมื่อ29-12-2013 20:32:27 »

เธอที่รัก 2



รถ  BMW  Series 7   แล่นโฉบเฉี่ยวเข้ามาด้วยความเร็วเกินปกติ  ทำให้คนที่อยู่บริเวณอาคารเรียนแบบยุโรป  เพียงแค่มองตามด้วยสีหน้าเซ็งสนิท  มีเพียงเด็กสาวเฟรชชี่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดด้วยความชื่นชม

ภาติยะแทบจะกระโดดลงจากรถ  เพื่อวิ่งไปเปิดประตูรถอีกฝั่งให้น่านฟ้าได้ก้าวลงมา  โดยไม่สนใจว่าภาพนั้นจะทำให้ใคร ๆ คิดไปไกลสักแค่ไหน  รู้แค่ว่าตัวเขาเองไม่เคยให้น่านฟ้าต้องลำบากทำอะไรเองมาก่อนเลยตั้งแต่รู้จักกันมา

“เพิ่งโผล่มาได้รึไงวะไอ้เพื่อนเวร…”  เสียงทักดังมาแต่ไกล  ก่อนที่คนพูดจะเดินออกมาจากตัวอาคารที่ก่อสร้างด้วยอิฐสีแดงก้อนใหญ่

ภาติยะหันไปทำตาขวางใส่คนเอ่ยทัก  แต่น่านฟ้ากลับยื่นมือของตนให้อีกคนพร้อมกับรอยยิ้ม  คนที่มาด้วยกันจึงได้แต่ทำหน้าเบ้อย่างเซ็งจัด  เมื่อเห็นเพื่อนสนิทจอมเวอร์ยกมือบางขึ้นจูบราวกับต้อนรับเจ้าหญิงเสียอย่างนั้น…

“ไอ้นนท์  แกอย่าเวอร์นักได้มั้ยวะ  น่านฟ้าต้องสกปรกเพราะแกทุกวัน…ชั้นต้องเสียเวลาเพิ่มนะโว้ย  กว่าจะล้างตัวเค้าให้สะอาดได้”  ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มน้อย ๆ อย่างสะใจเมื่อยามเหน็บแนมเพื่อนสนิทได้อย่างถึงพริกถึงขิง

เดชานนท์เงยหน้ามองเพื่อนจอมกวนด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ  อยากจะเข้าไปต่อยมันสักหมัด  ถ้าไม่ทันคิดได้เสียก่อน…ว่าไอ้หน้าที่หล่อกว่าเขานิดหน่อยนั่น  ก็เพื่อนสนิทเขาเอง

“สงสัยแกจะมัวแต่อาบน้ำให้น้องฟ้าของชั้นอยู่ล่ะม้างไอ้ภาต  แกถึงได้ลืมเอาหมาออกจากปากเน่า ๆ ของแกซะด้วย…ไอเพื่อนเลว”  เป็นคำพูดโต้ตอบที่เติมข่า  ตะไคร้  กระชายได้อย่างดุเดือดถึงใจทีเดียว  สำหรับคุณหนูคุณชายตระกูลผู้ดีอีกหลาย ๆ คนที่ได้ฟัง

ดวงตาใสแป๋วเลื่อนจับจ้องใบหน้าเพื่อนสนิททั้งสอง  ที่เถียงกันคอเป็นเอ็นด้วยความสนใจ  เพราะสมองที่ช้ากว่าคนอื่นทำให้น่านฟ้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ทั้งสองคนพูดโต้ตอบกันอยู่  แต่แล้วก็มีบางคนที่ทำให้เขาละสายตาจากสองเพื่อนที่เถียงกันหน้าดำหน้าแดงได้…

เด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ความสูงไล่เลี่ยกันกับน่านฟ้า  ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยไม่รู้จะทำตัวเช่นไร  ทำให้น่านฟ้าจับจ้องรุ่นน้องคนนั้นไม่วางตา  ดวงหน้าสวยหวานตากลมโตกับริมฝีปากอิ่มสีสดดูจับตาจับใจจนต้องสะกิดทั้งภาติยะและเดชานนท์ให้หันไปมอง…

เดือนมหาวิทยาลัยปี 1  มองรุ่นพี่กลุ่ม  ‘ไตรเทวา’  ด้วยความประหม่า  เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะดวงซวยถึงขนาดจับพลัดจับผลูต้องมาเป็นน้องรหัสของรุ่นพี่เดชานนท์  เดือนมหาวิทยาลัยปี 3  ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเจ้าเล่ห์แสนกล  แถมยังมีเพื่อนสนิทเป็นถึงตะวันและดาวมหาวิทยาลัยปีเดียวกันอีกต่างหาก

++++++++++++++++++++++++

มหาวิทยาลัยกอบเกียรติ  อยู่ในกลุ่มธุรกิจกอบเกียรติ  ซึ่งมีนายภาค  กอบกู้เกียรติ  บิดาผู้แสนอัจฉริยะของภาติยะเป็นหัวเรือใหญ่  โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้เน้นให้ความรู้ทางด้านการบริหารธุรกิจ  แม้จะเปิดสอนมากกว่า 20 สาขาวิชา  แต่ทุกสาขาวิชาก็ถูกส่วนผสมของความเป็นธุรกิจเข้าครอบงำและผสานกันอย่างลงตัว  ที่นี่จึงเป็นแหล่งรวมของลูกท่านหลานเธอ  เหล่าทายาทนักธุรกิจรวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้าในตลาดที่ต้องการให้บรรดาลูกหลานของตนประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจเหมือนอย่างเจ้าของมหาวิทยาลัย

เมื่อปีที่ภาติยะก้าวเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้น  เขาเป็นที่จับตามองของทุก ๆ คนเนื่องจากทำคะแนนเข้ามาได้ในอันดับที่ 1  จนเป็นที่กังขาว่านั่นคือความสามารถที่แท้จริง  หรือเป็นเพราะอิทธิพลของผู้เป็นบิดากันแน่  ก่อนที่ตัวเขาจะแสดงความสามารถของตนเองให้ทุกคนได้ประจักษ์จากผลการเรียนและผลงานวิชาการต่าง ๆ

ภาติยะยังเป็นถึง  ‘ตะวันมหาวิทยาลัย’  ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้วิธีการลงคะแนนจากนักศึกษาทั้งหมด  โดยแต่ละคณะจะส่งตัวแทนสามคน  เพื่อเข้ารับการลงคะแนนคัดเลือกให้เป็น  ‘ตะวัน  เดือน  และดาวของมหาวิทยาลัย’  โดยตำแหน่งนั้นจะอยู่ติดตัวไปจนจบการศึกษาเลยทีเดียว

ในปีของภาติยะนั้น  คณะบริหารธุรกิจ  เลือกตัวแทนเป็นชายหนุ่มทั้งหมด  โดยทั้งสามคนนั้นมีบุคลิกแตกต่างกันแบบที่ทุกคนก็คาดไม่ถึง  ถ้าว่ากันแบบนิยายแล้วก็เหมือนกับพระเอก  นางเอกและตัวอิจฉานั่นเอง…

ตัวแทนจากคณะบริหารธุรกิจ  ได้รับการลงคะแนนจนกวาดตำแหน่ง  ‘ตะวัน  เดือน  และดาวมหาวิทยาลัย’  มาครองด้วยคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่ต้องวิตก  ก่อนที่ทั้งสามคนจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน  จนทำให้ทุกคนได้รู้ซึ้งว่า…

“มันเลือกจับกลุ่มกันเพราะความบ้า ๆ บอ ๆ นั่นแหละ”

++++++++++++++++++++++++

“น้องรหัสแกว่ะนนท์…เดือนปีนี้นี่หว่า  จำได้ตอนขึ้นเวที…คนที่อายจนสะดุดสายไมค์ล้มไง  ชั้นบอกพวกนั้นแล้วให้ใช้แบบไร้สาย  แต่พวกมันบอกว่าแกลืมซื้อถ่าน…น้องมันต้องเซ่นความงี่เง่าของพี่มันเลยเห็นมั้ย”  ภาติยะยักคิ้วให้เพื่อนอย่างสะใจ  ลืมสนใจคนที่ถูกพาดพิงถึงที่หน้าแดงก่ำด้วยความอายไปเสียสนิท

เดชานนท์แทบอยากจะเข้าไปขย้ำคอเพื่อน  เมื่องัดเอาเรื่องเล็กน้อยมาเกทับเขาต่อหน้าน้องรหัสที่อุตส่าห์หลงเข้ามา…ทั้ง ๆ ที่อยู่มาจนปี 3  ก็เพิ่งมีน้องรหัสกับชาวบ้านเค้านี่แหละ  คิดแล้วก็โมโหเหตุผลที่ผ่าน ๆ มา  ที่บอกว่าเพราะเขามันบ้าเกินเหตุกลัวจะดูแลน้องรหัสไม่ได้…เพราะฉะนั้นอย่ามีมันเลย

ถ้าเดชานนท์ไม่ยื่นคำขาดจะลาออกจาก  ‘เดือนมหา’ลัยปี 3’  ก็คงไม่มีรุ่นน้องตกถึงท้องเหมือนอย่างวันนี้หรอก  นี่คงเลือกเดือนปีนี้มาให้  เพราะความคิดที่ว่าเป็นเดือนเหมือนกันก็คงจะไม่ต่างกันกระมัง

มือใหญ่วางบนไหล่บางเบา ๆ  ดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับ  จนน่าตกใจสำหรับเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง  ที่มองเห็นออร่าเป็นภาพคล้ายสุนัขเห็นไอศกรีม  แต่นั่นไม่ได้ทำให้เดชานนท์สนใจสิ่งรอบตัวเท่ากับเด็กหนุ่มตัวเล็กตรงหน้า 

“พี่ชื่อเดชานนท์  เรียกพี่ว่าพี่นนท์ก็ได้น้อง…แล้วเราล่ะชื่ออะไร  อยู่ปีไหน”  เดชานนท์ถามอย่างสนอกสนใจ  แต่เพื่อนสนิทจอมกวนหัวเราะเสียงดังก๊าก

“ไอบ้านนท์…เพิ่งเคยมีน้องรหัสหรือไงวะ  น้องเค้าก็ต้องอยู่ปี 1 สิวะ  โอ้ย…ตลกว่ะ”  ภาติยะหัวเราะอย่างสะใจตามเคยที่ได้เหน็บแนมเพื่อนฝูง  โดยลืมไปว่าตัวเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มีน้องรหัส  เพราะเคยทิ้งน้องรหัสมาสนใจแต่น่านฟ้าจนน้องรหัสร้องไห้ไปฟ้องสภานักเรียนมาแล้ว

เดชานนท์ที่เริ่มหมั่นไส้เพื่อนรักเพื่อนแค้นดึงน่านฟ้าเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ตัวเขา  เพราะกลัวอีกฝ่ายจะติดเชื้อบ้าจากเพื่อนปัญญาอ่อนบวกโรคจิต  จนตัวน่านฟ้าขยับเข้าชิดกับรุ่นน้องปี 1  ทั้งสองจ้องมองกันและกันไม่วางตา

“ผมชื่อภัทร  เรียกภัทก็ได้ครับพี่นนท์”  เสียงใสเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนตั้งใจจะส่งให้คนตรงหน้าที่ตัวเท่า ๆ กันมากกว่า

น่านฟ้าส่งยิ้มหวานตอบรุ่นน้องไปอย่างมีไมตรี  ก่อนจะเงยหน้ามองเดชานนท์อย่างสนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ  ยังไม่ทันได้รู้เรื่องตัวเขาก็ถูกภาติยะดึงกลับไปอยู่ใกล้ ๆ เสียก่อน

เดชานนท์มองอย่างหมั่นไส้  ก่อนจิกกัดเพื่อนสนิทอีกรอบ  “จะหวงอะไรนักหนาวะ  เพื่อนกันนะโว้ย…ชั้นไม่แย่งเมียเพื่อนหรอกน่า”

“… …”  ภาติยะพูดอะไรไม่ออกได้แต่อ้าปากค้างกับความปากเก่งของเดชานนท์

“นี่พี่น่านฟ้า  จะว่าไปก็นะ…เห็นเด็ก ๆ แบบนี้แต่ว่าเรียนช้าน่ะ  เป็นรุ่นพี่เรา 5 – 6 ปีได้มั้งภัท  แต่ช่างเหอะ  เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจมาก  พี่แค่อยากบอกเอาไว้  ส่วนไอนี่เห็นหน้าตาดี ๆ แต่นิสัยมันเลวจัด  มันชื่อภาติยะ  เรียกพี่ภาตหรือไอบ้าก็ตามแต่ใจ”  ตอนหลังคนพูดยิ้มอย่างสะใจ  แถมแลบลิ้นใส่ภาติยะอีกต่างหาก

ภาติยะชักเบื่อขึ้นมา  เขาโบกไม้โบกมือเหมือนไม่เล่นแล้ว  “พอก่อนดีกว่าว่ะ  เหนื่อย…แต่แกจะเลี้ยงต้อนรับน้องรหัสที่ไหนวะ  รู้สึกชาวบ้านเค้าจะเลี้ยงฉลองกันไปเกือบหมดแล้วนี่หว่า  เดี๋ยวส่งรายงานช้านะโว้ย  ผิดธรรมเนียมมหา’ลัยอีกล่ะยุ่งเลย”

เดชานนท์ทำท่าเซ็งเมื่อนึกถึงธรรมเนียมปฏิบัติของสภานักศึกษามหาวิทยาลัย  ที่รุ่นพี่จะต้องเลี้ยงรับรุ่นน้อง  และส่งรายงานบันทึกการสานสัมพันธ์นั้นให้ทางสภานักศึกษาได้ตรวจสอบตามกำหนดเวลาไม่เกิน  3  เดือนนับจากเปิดภาคการศึกษาใหม่

“แล้วจะหากลุ่มได้มั้ยวะเนี่ย  เห็นว่าบริหารฯ ไปกันหมดแล้วนี่หว่า…เออ! จริง ๆ ไปกับแกกับน่านฟ้าก็ได้นี่หว่า  แต่ว่า…จะไปไหนกันดีวะ  วันจันทร์นี้หยุดวันรัฐธรรมนูญ  วันอังคารอาจารย์ประชุมวิชาการนี่หว่า  ดีเลยเราไปเที่ยวรีสอร์ตแม่ชั้นมั้ย  สบายดีออก”  เดชานนท์นึกได้ก็ยิ้มกริ่ม  ก่อนจะนึกขึ้นได้หันไปถามรุ่นน้องที่ยืนเงียบอยู่  “ไปได้มั้ยเนี่ยภัท…3 วัน 2 คืนแล้วกัน”

ภัทรพยักหน้ารับเพราะตัวเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว  มีรุ่นพี่ดูแลอยู่ตั้ง  3  คน  ที่บ้านคงไม่ว่าอะไร  ส่วนภาติยะนั้นรับรู้เรียบร้อยว่าเขาและน่านฟ้าจะต้องไปด้วย  ไม่อย่างนั้นก็จะผิดระเบียบสภาฯ อีก…

จริง ๆ แล้วการเลี้ยงต้อนรับต้องมีรุ่นพี่ – รุ่นน้องตั้งแต่สองคู่ขึ้นไป  และหากเป็นชายหญิงจะต้องมี 5 คู่ขึ้นไปด้วยซ้ำ  แต่ส่วนใหญ่จะจัดไปเป็นสาขาวิชา  ยกเว้นพวกที่ตกหล่นอาจจะต้องไปรวมกับสาขาวิชาหรือคณะวิชาอื่น

“เออ…งั้นเดี๋ยวคืนวันศุกร์ไปค้างด้วย  แล้ววันเสาร์เช้าไปรับภัท  ไปรถตู้แล้วกันนะสบายดี…”  เดชานนท์วางแผนเสร็จสรรพ  “เอาล่ะวันนี้ไปเรียนกันก่อนดีกว่า  แล้วเจอกันภัท”

มือใหญ่วางปับลงบนศีรษะเล็กของรุ่นน้อง  ก่อนหันหลังเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกสองคน  เสียงต่อล้อต่อเถียงดังลั่นไปตามทางเดิน  เมื่อทั้งเดชานนท์และภาติยะเกิดลับคมฝีปากกันอีกรอบ  เหมือนกลัวมหาวิทยาลัยจะขาดสีสัน…

ภัทรมองตามรุ่นพี่ทั้งสามคนที่เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม  ดูเหมือนว่าการได้เป็นน้องรหัสของคนดังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก  เด็กหนุ่มเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างมีความสุข…ชีวิตนี้อะไรก็ช่างสดใสราบรื่นดีเสียจริง

++++++++++++++++++++++++

สายตาริษยามองตามเรื่องราวที่เพิ่งจะเกิดขึ้นด้วยความแค้นใจ  บางครั้งสิ่งที่ต้องการก็ยากนักที่ได้มา  แต่อย่างน้อยหากมีโอกาสก็คงไม่มีวันจะปล่อยให้สิ่งนั้น…หลุดออกไปจากมือ


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 3
«ตอบ #82 เมื่อ29-12-2013 20:33:39 »

เธอที่รัก 3



บ้านพักเรือนไม้  ในบรรยากาศท่ามกลางหมู่มวลแมกไม้เขียวขจี  ของรีสอร์ต  ‘ริมธารา’  คือจุดหมายของการออกเดินทางจากเมืองกรุงมุ่งสู่ความเป็นธรรมชาติรังสรรค์  แม้จะเป็นยามบ่ายแต่แสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องผ่านยอดไม้ลงมาก็ให้ความร่มรื่นได้อย่างน่าประทับใจ

เดชานนท์และคณะเดินทาง  ยืนมองบ้านพักเรือนไม้ที่เรียงกันในระยะที่ห่างไกล  เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้มาท่องเที่ยวด้วยความรู้สึกแปลกตา  ก่อนที่สี่จะเดินตามพนักงานของรีสอร์ตไปยังบ้านพักของพวกเขา  ซึ่งแม่ของเดชานนท์เป็นผู้จัดการเลือกไว้ให้  แต่ไม่ได้อยู่รับเพราะต้องเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศพอดี

++++++++++++++++++++++++

เสียงตะโกนโวยวายดังขึ้นในบ้านพักเรือนไม้  เด็กหนุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังยืนชื่นชมบรรยากาศของป่าเขียวขจีอยู่ภายนอกระเบียงชั้นบน  จึงรีบวิ่งกลับเข้าไปภายในห้องอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ

“เป็นอะไรวะเต้ย…ร้องยังกับจะตาย”  เด็กหนุ่มหน้าตี๋เอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ยืนตัวสั่นอยู่บนเตียงที่ผ้าปูสีขาวสะอาดยับย่น 

นิ้วชี้เรียวยาวชี้ไปยังสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจกลัว  จนวิ่งขึ้นไปหลบตัวสั่นอยู่บนเตียง  ให้เพื่อนที่มาด้วยกันต้องมองตาม  แล้วส่ายหน้าไปมาตามประสาของคนที่ไม่เคยกลัวอะไร…

“แมลงสาบ  แล้วไง…แค่นี้น่ะนะที่นายต้องหนีขึ้นไปบนเตียง  แถมร้องตะโกนเสียงดังจนได้ยินไปถึงหน้าทางเข้ารีสอร์ตนู่น”  ธราดลต่อว่าเพื่อนสนิท  ก่อนจะดึงหนวดแมลงสาบขึ้นมา  แล้วเดินออกจากห้องไป

ตรีภพทรุดนั่งลงบนเตียงด้วยความสยองขวัญ  จิตใจยังคงกระเจิดกระเจิง  นึกขยะแขยงเพื่อนสนิทที่มันไม่รู้จักกลัวอะไร  กล้าถึงขนาดหยิบแมลงสาบตัวเป็น ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน  ช่างต่างกับตัวเขาที่กลัวแมลงสาบทุกตัวที่ขวางหน้า…หรือตัวเขาจะขี้ขลาดเกินไปกันแน่

“นายไปล้างมือเลยดล…”  น้ำเสียงที่ยังคงสั่นเอ่ยบอกเพื่อนผู้ใจกล้า  “แล้วถูสบู่ด้วยนะโว้ย  ไม่อย่างนั้นนายย้ายไปนอนบ้านหลังอื่น  ด่วนที่สุด!”

ดวงตาตี่เล็กจ้องมองดวงตากลมโต  ที่แสดงความหวาดกลัวบวกขยะแขยงด้วยความเหนื่อยหน่าย  ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างว่าง่าย  เสียงน้ำไหลดังคลอกับเสียงพูดคุยเป็นระยะ ๆ เมื่อทั้งคู่สนทนากันด้วยเรื่องที่เป็นเป้าหมายสำหรับการมาท่องเที่ยวครั้งนี้

“เฮ้ย! เต้ย…แล้วเราจะทำยังไงต่อไปวะ  ถึงจะได้ไปเจอน้องน่านฟ้าของนายเนี่ย”  ธราดลตะโกนถามเพื่อนที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง  โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ตก

“ไม่รู้ว่ะ…”  ตรีภพเลือกที่จะตอบสั้น ๆ  ก็ในเมื่อตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรดี

ธราดลเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าเซ็งสุดชีวิต  ก่อนเอ่ยต่อว่าเพื่อนสนิท  “ปัญญาอ่อน…แล้วนายก็อุตส่าห์ลากเรามาเป็นเพื่อนเนี่ยนะ  นายก็รู้ว่าเราชอบน้ำตก…ช่วงนี้ข่าวว่าพายุเข้า  น้ำป่าไหลหลาก  เกิดมันพัดเราไปด้วย…นายจะทำไงวะ”

“เราก็กลับกรุงเทพฯ คนเดียวสิ…ถามโง่ ๆ นี่หว่า”  ตรีภพตอบแบบไม่ต้องคิด

คำตอบง่าย ๆ และสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์  ทำให้ธราดลต้องส่ายหน้าอย่างรำคาญใจ  ถึงแม้ตัวเขาจะรู้จักกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก ๆ  แต่จากวันนั้นถึงวันนี้เขาก็ไม่เคยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากคนตรงหน้าเลยสักครั้ง…ยังคงเย็นชาได้เท่าเดิม

เมื่อสามวันก่อนตรีภพไปค้างกับธราดลที่บ้าน  เพื่อจะตื้อให้เขาพามาที่รีสอร์ตของแม่เดชานนท์  เพราะอีกฝ่ายได้ยินเรื่องที่เดชานนท์พูด  จึงอยากจะตามมา…จุดหมายคือการแย่งชิงน่านฟ้ามาจากภาติยะ 

อาจจะเพราะตรีภพไม่เคยทำอะไรด้วยตนเอง  และถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหินเพราะเป็นลูกชายคนสุดท้อง  จากลูกทั้งหมดสี่คนของพ่อแม่  ทำให้ธราดลซึ่งรู้จักกับครอบครัวของอีกฝ่ายดีต้องจัดการตั้งแต่ขออนุญาตคนในบ้านเทพนิรันดร์  จนกระทั่งพาตรีภพมาถึงที่นี่…

หากเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทกันธรรมดา  ธราดลก็คงจะไม่ตามใจตรีภพถึงขนาดยอมลำบากขนาดนี้  แต่เพราะตัวเขาเองก็มีจิตคิดพิสมัยอีกฝ่ายอยู่  การได้มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อยเช่นกัน…

ธราดลนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ ตรีภพที่นอนมองเพดานไม้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด  มือใหญ่ลูบเบา ๆ บนแก้มขาวเนียนให้อีกคนต้องหันมามองด้วยสายตาเฉยชา  ริมฝีปากจูบลงบนหน้าผากมนแล้วไล้ปลายจมูกมาตามแนวจมูกอีกฝ่าย  กระทั่งจรดริมฝีปากที่เกือบชิดกันในตอนแรก  จนแนบสนิทกันในตอนหลัง…

ตรีภพหลับตาอย่างผ่อนคลายกับสัมผัสที่เคยชิน  เขาปล่อยให้ธราดลทำตามใจชอบ  เพราะรู้ว่าเพื่อนของเขาจะหยุดทุกสัมผัสเมื่อพอใจแล้ว…โดยที่อีกฝ่ายจะไม่ล่วงเกินเขาไปไกลกว่านี้

++++++++++++++++++++++++

พายุฝนหลงฤดูในช่วงกลางเดือนธันวาคม  ทำให้เดชานนท์ที่ตั้งใจจะพาเพื่อน ๆ มาเที่ยวต้องนึกหงุดหงิดอย่างสุดแสน  เมื่อพวกเขาทั้งหมดทำได้เพียงแค่นั่งแกร่วกันอยู่ภายในบ้านพัก  ที่แม้จะสูงจากพื้นดินจนมองเห็นความสวยงามของสายฝนได้แตกต่างออกไป…แต่ก็ให้ความรู้สึกเหงาหงอยได้ไม่แพ้กัน

แม้จะเป็นเช่นนั้น  ภาพของน่านฟ้ากับภัทรที่นั่งอยู่ริมขอบระเบียงเพื่อชื่นชมสายฝนที่โปรยปราย  ก็เป็นสิ่งที่สามารถดึงดูดให้ภาติยะและเดชานนท์หันไปสนใจ  จนกระทั่งหายเบื่อได้ในที่สุด…

ภาติยะออกไปนั่งริมระเบียงข้าง ๆ น่านฟ้า  แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ขยับไปนั่งซ้อนหลังร่างบางได้อย่างแนบเนียน  สองแขนโอบกอดเอวบางกระชับเข้าหาตัว  แล้วเกยคางไว้บนลาดไหล่อีกฝ่ายแนบชิด  กระทั่งภัทรที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ต้องหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกด้วยความเขินแทน…หากอีกสองคนกลับไม่รู้สึกขัดเขินอะไรเลย

“ภาตเบื่อมั้ย…”  เสียงใสเอ่ยถาม  เอียงดวงหน้าขึ้นมองภาติยะด้วยสายตาราวสื่อความหมาย  แต่เจ้าตัวคงจะไม่รู้สึกว่าในดวงตามีความหมายบางอย่าง

ภาติยะส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม  ไม่ลืมที่จะก้มลงหอมแก้มเนียนเพื่อเป็นการยืนยัน  ให้ดวงหน้าหวานต้องก้มหลุบต่ำด้วยความอาย  มือบางทั้งสองถูกเกาะกุมกระชับจนคล้ายจะเป็นเนื้อเดียวกับมือของภาติยะไปแล้ว…

ภัทรที่ดูเหมือนจะได้เห็นฉากเด็ดค่อย ๆ ขยับถอยฉากออกมาจนพ้นรัศมีความเป็นส่วนตัวของทั้งคู่  แล้วก็เจอเข้ากับสายตาเบื่อหน่ายของเดชานนท์  ที่มองเพื่อนทั้งสองคนด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉา  แต่เมื่อมองเห็นน้องรหัสของตัวเองอีกฝ่ายก็ยิ้มขึ้นมาได้…

++++++++++++++++++++++++

เดชานนท์ดึงกึ่งลากภัทรเดินข้ามสะพานไม้ที่ทอดยาว  ระหว่างห้องพักห้องหนึ่งไปยังอีกห้องซึ่งเป็นห้องพักของพวกเขาทั้งสอง  ภัทรถูกดันลงนั่งบนเบาะนุ่มที่วางล้อมโต๊ะไม้เตี้ย  ก่อนที่เดชานนท์จะเปิดตู้เย็นขนาดเล็ก  แล้วหยิบเบียร์ออกมาเปิดริน…

ภัทรถูกคะยั้นคะยอให้ทดลองดื่มเบียร์ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยดื่ม  ในขณะที่เดชานนท์ก็พยายามสรรหาเครื่องดื่มมึนเมาที่มีบริการอยู่ภายในห้องออกมาวางเรียงบนโต๊ะ  เหล้า  วิสกี้  วอดก้า  บรั่นดี  ไวน์หลากหลายยี่ห้อถูกวางจนเต็มโต๊ะไปหมด  คนที่ไม่ค่อยจะถนัดเรื่องเครื่องดื่มพวกนี้นักจ้องมองสีสันที่ต่างกันไปตามชนิด  แล้วทดลองจิบนู่นจิบนี่ไปอย่างนึกสนุก…

ร่างบางมองตามรุ่นพี่ที่ชิมเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์หลากหลายรูปแบบ  แล้วเริ่มทำตามบ้าง…ดวงหน้าหวานแดงก่ำ  จากความร้อนของเครื่องดื่มที่ดื้อจะทดสอบทั้ง ๆ ที่ไม่เคยดื่มมาก่อน  หากก็ทำเพราะนึกอยากทดลอง

เดชานนท์ที่ชักจะรู้ตัวว่าเริ่มมึนเมาหยุดการทดลองของตัวเองเอาไว้  เขาถอดเสื้อทิ้งด้วยความร้อนจากภายใน  ก่อนจะเริ่มเก็บเครื่องดื่มบนโต๊ะไปเก็บที่เก่า  หันมองอีกทีก็เห็นภัทรดวงตาปรือปรอยด้วยความมึนงงไปเสียแล้ว…

มือบางปลดกระดุมเสื้อออกอย่างเชื่องช้า  เพราะแทบไร้สติ  ทำให้ดวงตาคมที่จ้องดูอยู่มองตามด้วยความพึงใจ  ผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นออกมาบางส่วนเริ่มแดงเรื่อ  กับเสียงเครือเบา ๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์  ทำให้เดชานนท์รู้สึกว่าภัทรช่างเซ็กซี่จริง ๆ

เดชานนท์นั่งลงใกล้ ๆ ภัทรที่กำลังมึนเมา  ดวงหน้าหวานหันมองเขาด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม  ริมฝีปากแดงอิ่มเผยอหายใจรุนแรง  โดยไม่รู้ตัวว่าสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองได้มากแค่ไหนเมื่อเจ้าตัวหลับไป…กระทั่งในยามที่ถูกรุ่นพี่ช้อนตัวเข้าไปกอดไว้แนบชิดภัทรก็ไม่รับรู้แล้วเช่นกัน

ปลายจมูกโด่งแนบลงบนคอภัทรหนัก ๆ  ก่อนกดริมฝีปากเม้มทิ้งรอยไว้จนทั่ว  แล้วอุ้มร่างบางขึ้นไปนอนบนเตียงในอีกห้อง  ผ้าห่มผืนสีขาวสีเดียวกับผ้าปูเตียงถูกดึงขึ้นมาจนถึงคอรุ่นน้องผู้โชคร้าย…เมื่อรุ่นพี่จอมเจ้าเล่ห์สอดมือเข้าไปถอดเสื้อผ้าออกจากร่างบางจนหมด

ผ้าห่มถูกเลื่อนออกจากแผ่นอกเพียงนิด  ให้ริมฝีปากบางได้เม้มไปตามผิวเนื้อเนียนที่แดงเรื่อให้เกิดรอยจนทั่วไปหมด  แล้วจึงเลื่อนผ้าห่มคลุมไว้ถึงคอร่างบางเช่นเดิม  เขาจูบเบา ๆ บนหน้าผาก  ไล่ลงมาปลายจมูก  และปิดท้ายลงที่ริมฝีปากอิ่ม  ก่อนจะนอนกอดภัทรเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแสนกล…

‘เพียงแค่ภัทรตื่นขึ้นมา…ก็จะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแน่นอน’


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 4
«ตอบ #83 เมื่อ29-12-2013 20:34:44 »

เธอที่รัก 4



บรรยากาศในยามเช้า  หลังจากคืนที่ลมฝนพัดกระหน่ำผ่านพ้นไปแล้วดูมีมนต์ขลัง  แสงอาทิตย์อ่อน ๆ กับน้ำค้างบนยอดไม้สร้างแสงเงาสลัว ๆ ดูงดงามและนวลตาหากได้เห็น  แต่จะมีสักกี่คนที่ตื่นขึ้นมาในยามเช้าตรู่ที่อากาศน่านอนเช่นนี้…

เรือนร่างบอบบางแนบชิดเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่น  แรงขยับแม้ไม่ได้รุนแรงแต่ก็ทำให้เจ้าของอ้อมกอดต้องลืมตามองอย่างงัวเงีย  ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าแล้วหลับตาลงอีกครั้ง…เมื่อนึกได้ว่ายังไม่ถึงเวลาจะตื่นขึ้นมาเจอเรื่องราวแสนสนุกที่เขาก่อเอาไว้

++++++++++++++++++++++++

ความเย็นของอากาศหลังผ่านเมฆฝน  ทำให้ร่างบางต้องขยับตัวซุกซบคนใกล้ตัวอยู่หลายครั้ง  ภาติยะที่ตื่นอยู่แล้วอมยิ้มอย่างเอ็นดู  แล้วกอดอีกฝ่ายให้แนบชิดขึ้นอีก  แต่ก็คงจะแน่นเกินไป  เมื่อน่านฟ้าอึดอัดจนต้องลืมตาขึ้นมอง…

“ตื่นเร็วจัง…”  ภาติยะเอ่ยด้วยความเสียดาย  เขาดันร่างบางให้นอนหงายแล้วก้มลงจูบที่หน้าผากมนแทนคำทักทายอรุณสวัสดิ์  “อากาศดี๊ดี…นอนต่อดีกว่ามั้ยน่านฟ้า”

คนที่จับจ้องอิริยาบทของคนที่อยู่เหนือตนเองในตอนแรกทำหน้างอ  แล้วเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายอย่างแสนงอน  “ภาตแกล้งทำไมล่ะ…เราตื่นเลยเห็นมั้ย”

ภาติยะอ้าปากค้าง  ไม่คิดว่าการที่เขากอดอีกฝ่ายแรงไปจะเป็นการกลั่นแกล้งไปเสียได้  เขารีบโอ๋คนที่กำลังงอนอย่างเอาใจ  “โอ๋…คนดี  ภาตแกล้งที่ไหนเล่า  เห็นว่าหนาวก็เลยจะกอดให้อุ่น ๆ ไงครับ  ฮื้อ…”

น้ำเสียงอ่อนโยนกับถ้อยคำหวาน ๆ ทำเอาคนฟังหน้าขึ้นสีเรื่อ  หากแต่ก็เอนกายนอนตะแคงหลบสายตาคมที่จ้องมา  ด้วยท่าทีน่ารักน่าชังนั้นทำให้ได้รับรางวัลเป็นจุมพิตที่แก้มหลาย ๆ ครั้ง  ก่อนที่ภาติยะจะนอนลงเคียงข้างอีกฝ่าย  แล้วอ้อมแขนโอบกอดเอวบางเอาไว้  อย่างไม่อยากตื่นนอน

++++++++++++++++++++++++

ดวงตากลมโตโผล่ขึ้นพ้นเปลือกตาบางอย่างเชื่องช้า  อากาศเย็นที่ประทะบางส่วนของร่างกายทำให้รู้สึกประหลาดใจกับความอบอุ่นที่ได้รับ  หากแต่ไม่สม่ำเสมอทั่วร่าง  และเมื่อดวงตามองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า  เขาก็แทบจะร้องออกมาด้วยเสียงดัง ๆ …หากก็ยังยั้งเอาไว้ได้ทัน

ใบหน้าคมที่หลับอย่างสบายใจ  ทำให้ภัทรเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ  ร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนเองแนบสนิทอยู่กับแผ่นอกเปลือยของอีกฝ่าย  แม้มีผ้าห่มคลุมอยู่แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ชัดเจน  ทำให้ดวงหน้าหวานต้องแดงเรื่อ  ถึงจะไม่รู้ก็ตามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง  นั่นทำให้นึกโทษความอยากรู้อยากลองของตัวเองขึ้นมาทันใด

ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปไกล  ดวงตาของเดชานนท์ที่ลืมขึ้นสบตา  ก็ทำเอาภัทรอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  เด็กหนุ่มก้มหน้างุดอยู่กับแผ่นอกเปลือยของพี่รหัสตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร  ไม่รู้เลยว่านั่นทำให้เดชานนท์ยิ้มออกมาอย่างสมใจ

“เมื่อคืนนี้…มีความสุขจริง ๆ เลยนะ”  เสียงแผ่วเบาจงใจกระซิบที่ริมหูของคนที่ทำอะไรไม่ถูก  โดยพยายามจะกลั้นหัวเราะไว้เต็มที่เมื่อสัมผัสได้ว่ารุ่นน้องตัวสั่นสะท้านจากคำพูดนั้น

ภัทรนึกอะไรไม่ออก  จำอะไรไม่ได้  เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เมามายจนขาดสติ  แต่คำกระซิบของรุ่นพี่ใกล้ ๆ ตัวทำให้ต้องคิดลึก  จนเข้าใจไปว่าเขากับพี่รหัสสุดเท่ห์คนนี้มีอะไรกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่าถึงแม้จะจำอะไรไม่ได้…แต่เขากลับรู้สึกอาย  จนไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง  มือบางคว้าผ้าห่มขึ้นคลุมเรือนร่างของตน  แล้วขยับออกห่างไปนั่งหันหลังให้เดชานนท์อย่างทำอะไรไม่ถูก  จึงไม่ได้เห็นสายตาวาวระยับของรุ่นพี่ผู้มากเล่ห์เหลี่ยม  ที่กำลังสนุกกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เดชานนท์ขยับเข้าไปใกล้ภัทรอีกครั้ง  เขากอดเอวบางเข้ามาใกล้ตัวแล้วเกยคางไว้บนลาดไหล่เปลือยเปล่าที่โผล่พ้นผ้าห่มสีขาว  การกระทำนั้นทำให้ภัทรตัวสั่นน้อย ๆ ราวกับลูกนกที่เหน็บหนาว  ปฏิกิริยาที่ไร้ทางสู้ดูมีเสน่ห์ในสายตาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์  ทำให้ต้องก้มลงจูบไหล่เนียนอย่างนึกเอ็นดู…

“จะหนีไปไหนกันล่ะครับเด็กดี  เมื่อคืนออกจะน่ารัก  เสียงก็ว๊านหวาน  ตอนถอดกระดุมเสื้อนะเซ็กซี่สุด ๆ เลย…”  พูดได้แค่นั้นมือบางก็เอื้อมขึ้นปิดปากคนพูดไว้เสียก่อน

“พอแล้ว…พี่นนท์”  ภัทรเอ่ยบอกเสียงเบา  เขาอายจนแทบอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ  แต่ก็เห็น ๆ ว่าอีกฝ่ายไม่สนใจว่าเขาจะอับอายแค่ไหน

เดชานนท์ได้ทีดึงมือนุ่มออกจากปาก  แล้วจูบลงบนฝ่ามือ  ก่อนไล่ไปตามนิ้วต่าง ๆ จนครบ  ทำเอาเจ้าของมือหน้าร้อนฉ่า  จนเจ้าตัวกลัวหน้าตัวเองจะระเบิดเป็นจุลอยู่เหมือนกัน  แล้วก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น  เมื่อประตูถูกเปิดออกด้วยฝีมือของภาติยะ…

“ไอนนท์  ตื่นได้แล้วมั้ง  จะ…เฮ้ย!  ไอนนท์แกทำอะไรน้องภัทวะ  ไอ้…”  อยู่ ๆ ภาติยะก็เกิดด่าไม่ออกบอกไม่ถูกเสียอย่างนั้น

น่านฟ้ามองสองคนที่กอดกันแน่นอยู่บนเตียงตาแป๋ว  เจ้าตัวยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ  จากความใสซื่อของตนเอง  “สนิทกันเร็วจังนะนนท์…ดีจังเลย”

เป็นคำเอ่ยทักที่ทำเอาอีกสามคนรู้สึกต่างกันไปคนละแบบ  แต่ที่แน่ ๆ แต่ละคนทำหน้าเหวอเหมือนกันหมด  หากไม่เข้าใจถึงความไร้เดียงสาของอีกฝ่ายแล้วไซร้  ก็คงจะมึนงงยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า…

“จะชวนไปไหนวะภาต”  เดชานนท์หันไปถามภาติยะ  หลังจากหันไปยิ้มให้น่านฟ้าเรียบร้อยแล้ว  “ชั้นจะได้พิจารณาถูกว่าควรจะพาภัทเค้าออกไปมั้ย…”

ภาติยะมองเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิท  แล้วอดสงสารเด็กหนุ่มในอ้อมกอดของปีศาจไม่ได้  แต่เขาเองก็เลือกที่จะเงียบไว้เสีย  เพราะเกิดเดชานนท์คิดเอาเรื่องขึ้นมา  เขาอาจจะซวยจนคาดไม่ถึงก็ได้  คิดว่ากับภัทรแล้วอีกฝ่ายก็คงจะไม่ถึงกับทำให้ชอกช้ำเป็นแน่…รักษาตัวเองไว้ก่อนคงจะดีที่สุด

“จะไปค้างในป่าน่ะ  เพราะว่าบรรยากาศทางโน้นน่าสนใจดี  มันธรรมชาติเลยว่ะ  เพิ่งดูโบชัวร์มา  ไปซักคืนก่อนกลับไง…ว่าไงวะไปมั้ย”  ภาติยะมองเดชานนท์ที่ครุ่นคิดทั้ง ๆ ที่ยังกอดน้องรหัสตัวเองไม่ปล่อย  จนเขาได้แต่หมั่นไส้กับความเจ้าเล่ห์ของเพื่อน

ภัทรที่แทบจะละลายหายไปกับอากาศ  เริ่มทำตัวไม่ถูกที่ทั้งภาติยะกับน่านฟ้าจ้องมองเขาไม่วางตา  ดวงหน้าหวานจึงทำใจกล้าหันเข้าไปซบกับอกของคนด้านหลัง  เพื่อหลบหน้าหลบตารุ่นพี่ทั้งสอง  ที่อีกคนดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง  ส่วนอีกคนไม่รู้อะไรเลย

เดชานนท์ที่ยังคิดไม่ตกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี  กับท่าทีของภัทร  เขาให้คำตอบภาติยะได้ในที่สุด  “ไปก็ดีเหมือนกันว่ะ  ชั้นจะพาภัทไปฮันนีมูน  แกนี่ความคิดดีว่ะไอภาต  ตั้งแต่คบกันมาเนี่ย  วันนี้แกฉลาดที่สุด”

ภาติยะชักสีหน้าใส่เพื่อนอย่างหมั่นไส้  “เออ…เก็บของเข้าล่ะ  อย่าช้านะโว้ย  สิบโมงเช้าเจอกันที่อาคารอำนวยการ…เออ  ไม่ต้องดีกว่า  เดี๋ยวชั้นไปจองที่พักเองก็ได้  แกเก็บของไปแล้วกัน”  พูดจบก็จูงคนใกล้ตัวออกจากห้องของเพื่อนสนิทไปทันที  เพราะมั่นใจว่าเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์คงไม่ปล่อยเด็กหนุ่มในอ้อมกอดง่าย ๆ

เมื่อไม่มีคนรบกวนเดชานนท์ก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับภัทรต่ออย่างอารมณ์ดี  ดวงตาโตหลับลงอย่างไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  แต่กับการที่เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรอีกฝ่าย  ทำให้เขายิ่งสงสัยเข้าไปอีก  นั่นทำให้ภัทรมืดแปดด้านจากการหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ 

‘บางทีปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน…คำตอบก็จะถูกค้นพบในที่สุด’

++++++++++++++++++++++++

กล้องส่องทางไกลในมือถูกลดลงเมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการ  ธราดลเดินกลับเข้าไปในห้องก่อนคว้ากระเป๋าเงินเก็บใส่กระเป๋ากางเกง  เขาเข้าไปนั่งข้าง ๆ คนที่ยังหลับสนิท  แล้วก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มเบา ๆ  ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ…

ตรีภพลืมตาขึ้นมองเพดานอย่างแปลกใจ  แต่ก็หลับตาลงอีกครั้งอย่างไม่นึกสนใจอะไร  ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะทำอะไรสักอย่าง  เพื่อให้จุดหมายของเขาประสบความสำเร็จ  ดังนั้นตัวเขาแค่นั่งดูเฉย ๆ ก็คงพอ…

++++++++++++++++++++++++

ผ่านไปเกือบสามสิบนาที  ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง  ธราดลวางกระเป๋าเงินไว้บนโต๊ะพร้อมกับพวงกุญแจที่ดูเหมือนเขาจะได้มาใหม่  ก่อนจะขยับขึ้นไปนอนเคียงข้างคนบนเตียงอย่างสบายใจ  เมื่อคิดว่าบางทีเขาอาจจะขอรางวัลจากอีกฝ่ายได้ 

คงไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า  เพื่อจับตามองความเคลื่อนไหวของบรรดารุ่นน้องที่อยู่ห่างออกไป  จนรู้ว่าพวกนั้นจะย้ายเข้าไปพักในป่าในคืนนี้…

ธราดลเห็นภาติยะกับน่านฟ้าไปที่อาคารอำนวยการ  เขาจึงตามทั้งคู่ไปบ้าง  สอบถามอ้อมค้อมกับพนักงานอยู่นาน  จึงรู้ว่าทั้งสองจะเข้าไปพักที่บ้านพักในป่า  เขาจึงทำเรื่องจองห้องพักและได้กุญแจบ้านพักมาแล้ว  ที่เหลือก็แค่รอให้พวกนั้นเดินทางล่วงหน้าไปก่อน  แล้วค่อยติดตามไปก็ไม่สาย…

“ไปไหนมา…”  น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยถามคนที่นอนอยู่เคียงข้างด้วยความสงสัย  ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะไม่ถามแต่สุดท้ายเขาก็ถามจนได้…ความอยากรู้เป็นเหตุนั่นเอง

คนถูกถามไม่ตอบ  เพียงแค่ยิ้มอย่างเป็นต่อ  ตรีภพส่ายหน้าอย่างรำคาญ  ก่อนจะขยับขึ้นคล่อมธราดลเอาไว้แล้วแนบริมฝีปากกับอีกฝ่ายเนิ่นนาน  กว่าจะถูกปลดปล่อยให้หอบสะท้านจากความเชี่ยวชาญของคนช่างเรียกร้อง

ธราดลดันเรือนร่างที่บางกว่าลงนอน  แล้วกอดกระชับร่างนั้นไว้  “ไปจองที่พักในป่ามาน่ะ  พวกนั้นจะเข้าป่ากันตอนสาย ๆ  เอาไว้พวกเราค่อยตามไปช่วงบ่าย ๆ ก็ได้”

ตรีภพถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย  แล้วบ่นขึ้นมา  “เข้าป่าเหรอ…มันไม่มีอะไรทำกันรึไงนะ  อยู่ดี ๆ ไม่ชอบเนี่ย”

“ไม่อยากไปเหรอ  งั้นก็อยู่ที่นี่มั้ยล่ะ”  เสียงถามกลั้วหัวเราะ  ด้วยมั่นใจว่าอย่างไรเสียตรีภพก็ต้องดึงดันตามไปจนได้

“ไปสิ  ใครว่าจะไม่ไป  ตอนบ่ายใช่มั้ย…งั้นตอนนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน  มันหนาว”  ตรีภพหลับตาลงอีกครั้ง  แม้จะรู้สึกว่าอ้อมกอดของอีกคนแน่นขึ้นแต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจ  กระทั่งหลับสนิทไปในที่สุด

ธราดลลืมตามองเหม่ออย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก  เขาเองพอจะรู้ว่าตรีภพไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับอะไร  ถ้าพูดถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย  เขาเองก็ไม่เคยเข้าใจเลยสักครั้ง 

แม้จะรู้ดีว่าตรีภพเป็นคนถือตัว  หากก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยอมให้เขาทำอะไรตามใจมาจนถึงตอนนี้  โดยไม่เคยว่าอะไรสักอย่าง…เขาแค่อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ก็เท่านั้น


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 5
«ตอบ #84 เมื่อ29-12-2013 20:35:48 »

เธอที่รัก 5




ดูเหมือนการตัดสินใจย้ายที่พักของภาติยะ  จะเป็นความคิดที่ผิดพลาดมหันต์  เมื่อในช่วงค่ำของวันฝนเกิดตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว  สภาพอากาศเลวร้ายจนไม่แน่ใจว่าจะเกิดน้ำป่าไหลหลากลงมาหรือเปล่า…มีเพียงเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ตเท่านั้นที่หวาดหวั่นใจ 

ภาติยะยืนมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาผ่านผืนม่านผ้าฝ้ายทอลาย  เขากับเดชานนท์ค่อนข้างจะวิตกเกี่ยวกับสภาพอากาศตั้งแต่ฝนเริ่มตกเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา  พวกเขาตัดสินใจรอดูสภาพอากาศไปก่อน  เผื่อว่าสายฝนนั้นจะเบาบางลงบ้าง…

ผ่านไปถึงสองชั่วโมงแล้ว  สภาพอากาศดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อฝนตกหนักไม่หยุด  จนเริ่มมองเห็นน้ำขังอยู่ตามหลุมบ่อ  เสียงหัวเราะของน่านฟ้าและภัทรที่หยอกเย้ากันอยู่ตลอด  ทำให้ภาติยะและเดชานนท์ได้แต่แอบสบตากันด้วยความหนักใจ

ความกังวลบางอย่างทำให้ภาติยะต้องเข้าไปดึงน่านฟ้าเข้ามากอดไว้กับตัว  จนเสียงหัวเราะภายในห้องนั้นเงียบหายไป  ภัทรที่มองเห็นเพียงภาพข้างหน้าไม่ได้รับรู้ถึงความในใจของใคร  จึงได้แต่เบือนหลบภาพนั้นด้วยความเขินเสียเอง…

“ภาตง่วงเหรอ…”  เสียงใสเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางของภาติยะ  ดวงหน้าหวานอิงแอบอยู่กับแผ่นอกกว้างอย่างออดอ้อน  แต่อีกคนกลับรู้สึกถึงการปลอบประโลม  จนคลายความกังวลลงได้…บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองเพราะไม่เคยชินกระมัง

เดชานนท์ที่เห็นรอยยิ้มบาง ๆ ของเพื่อนสนิทที่เคยมีความหนักใจอยู่ด้วยกัน  เกิดหมั่นไส้อีกฝ่ายขึ้นมา  เขาจึงดึงข้อมือภัทรเข้าห้องไป  อีกฝ่ายตกใจจนหยุดยั้งตัวเองไว้กับที่  แต่เพียงชั่วครู่ร่างบางก็ถูกดึงรั้งจนหายเข้าไปในห้องจนได้…

“อาบน้ำนอนกันดีกว่านะ…”  ดวงตาฉายแววระยิบระยับจนคนมองต้องหลบสายตาหวาด ๆ  ก่อนเจ้าตัวจะเข้ามานัวเนียอยู่ใกล้ ๆ

ดวงหน้าหวานส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความกลัวและอับอาย  แต่ก็ถูกมือใหญ่ดึงลากเข้าห้องน้ำไปได้ตามเคย  ส่วนอาบน้ำมีเพียงฉากไม้กั้นนั้นค่อนข้างแคบ  จนเมื่อยืนอยู่กันสองคนก็อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้  หากอากาศหนาวเย็นที่ล่วงล้ำเข้ามาภายในทำให้รู้สึกอบอุ่นมากกว่าจะอึดอัด…

ร่างบางยืนนิ่งหันหลังให้อีกคน  โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  เมื่อเสื้อผ้าของตนถูกโยนข้ามฉากกั้นไปแล้ว  เขาก็ขยับเข้าหาภัทรที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง  สองมือเอื้อมมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต  แผ่นอกที่แนบชิดนั้นให้ไออุ่นแผ่ซ่านมาถึงแผ่นหลังจนภัทรไม่กล้าจะขยับเรือนกาย

กระดุมถูกปลดจนหมดไป  เสื้อจึงถูกเลื่อนลงจากหัวไหล่  และเมื่อเห็นผิวขาวนวลเดชานนท์ก็ไม่ลืมที่จะฝังรอยจูบลงไปอย่างเคยชิน…จะว่าไปเขาก็เพิ่งชินมาตั้งแต่เช้าวันนี้นี่แหละ 

เดชานนท์ที่ดูเหมือนมุ่งมั่นกับการอาบน้ำ  เลื่อนมือลงจัดการกับกางเกงที่ภัทรสวมในเวลาต่อมา  ไม่สนใจสักนิดว่าอีกฝ่ายจะทำตัวเหมือนกับรูปปั้นไปแล้ว  ก็รูปปั้นที่ไหนกันจะสั่นสะท้านได้แบบนี้  เมื่อซิปกางเกงถูกรั้งลง  มือใหญ่ทั้งสองก็เลื่อนทั้งกางเกงและชั้นในออกจากร่างบางพร้อมกันในทีเดียว  ขณะที่เลื่อนตัวลงก็ไม่ลืมที่ไล้ปลายจมูกมาตามแนวกระดูกสันหลังของอีกฝ่ายด้วย  ทำให้คนที่สั่นอยู่แล้วยิ่งสั่นมากขึ้นอีก…

กางเกงและชั้นในกองอยู่ที่พื้นแล้ว  หากก็ยังติดเรียวขาจนเลื่อนออกไม่ได้  แทนที่จะเอ่ยบอก…เดชานนท์ที่กำลังประดิษฐ์ประดอยอยู่กับเรือนร่างบอบบางก็กลับก้มลงขบเม้มผิวเนียน ๆ ที่ส่วนน่องเสียอย่างนั้น  ภัทรสะดุ้งด้วยความตกใจจนต้องจำยอมก้าวเท้าออกจากกางเกงตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายหยุด…จนเดชานนท์ลุกขึ้นมายืนตามเดิม แล้วค่อย ๆ หย่อนกางเกงและชั้นในของเขาทิ้งให้เห็นเต็มตาอย่างยั่วเย้านั่นแหละ  ภัทรก็แทบจะเอาหัวโขกกำแพงไม้เพื่อหลบให้พ้นใบหน้าที่หยอกล้อไม่เลิกนั่น

“เฮ้อ…ถอดเสร็จซะแล้วสิ  น่าเสียดาย…”  เดชานนท์แสร้งถอนหายใจกระซิบอยู่ข้าง ๆ หูภัทรจนอีกฝ่ายเปลี่ยนสีหน้าเป็นมะเขือเทศสุก  ให้เขาได้ยิ้มอย่างพอใจนั่นแหละถึงได้หยิบหมวกอาบน้ำมาสวมคลุมเส้นผมของตนและอีกฝ่าย  แล้วเปิดน้ำอุ่นจากฝักบัวให้มันไหลรินรดร่างกายทั้งสอง…

สบู่สมุนไพรกลิ่นน้ำอบไทยถูกละลายถูไปตามเรือนร่างบางอย่างบรรจง  หลาย ๆ ครั้งที่ปลายนิ้วเลือกจะหยอกเย้าผิวเนื้อนุ่มด้วยการกดลงไปเบา ๆ ทำให้ภัทรสะดุ้งด้วยความตกใจ  สัมผัสด้วยรอยจูบที่ประทับตามต้นคอ  ซอกคอ  หัวไหล่  แผ่นหลังช่วงบน  รวมถึงฝ่ามือลูบไล้  ดูคล้ายจะเป็นการลวนลามหรืออาจจะมากกว่านั้น  แต่เมื่อใช้ระยะเวลาพิสูจน์จะเห็นได้ว่าเดชานนท์นั้นตั้งอกตั้งใจอาบน้ำให้ร่างบางจริง ๆ 

ภัทรถูกหมุนให้หันหน้าเข้าหาร่างสูง  ดวงหน้าหวานหลุบต่ำอยู่กับแผ่นอกกว้างไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย  กระนั้นสบู่ในมือใหญ่ก็ถูกมือเล็กลูบไล้จนเกิดฟอง  แล้วนำมาถูไล้ไปตามแผ่นอกหนาหากเพียงไม่นานน้ำก็ชำระให้หายไป…

ชั่วครู่ที่ดวงหน้าหวานเงยขึ้นสบดวงตาคม  เห็นเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนเพียงวินาที  ริมฝีปากบางก็ประทับเข้ากับริมฝีปากอิ่มมอบจุมพิตหวานล้ำ  ท่ามกลางสายน้ำอุ่นที่ไหลรินไม่หยุด  เนิ่นนานที่ภัทรจิตใจล่องลอยไป  แผ่นหลังบางถูกดันเข้าหากำแพงไม้ไผ่  โดยมีเรียวแขนข้างหนึ่งของเดชานนท์กั้นไว้ไม่ให้ทาบกันได้สนิท  เมื่อกลัวผิวเนียน ๆ เกิดร่องรอย…

มือที่ว่างเลื่อนไล้สบู่ไปตามแผ่นอกเนียนจนทั่ว  ความลื่นของสบู่รวมถึงรอยสัมผัสไม่ทำให้สติที่เลื่อนลอยกลับมาได้  เมื่อเดชานนท์ยังคงจูบซับไปทั่วดวงหน้าหวานที่หลับตาพริ้มไม่เลิก  เนิ่นนานที่ริมฝีปากประทับรอยจูบ  กระทั่งขบเม้มเบา ๆ ไปตามผิวเนียนนุ่มผ่านสายน้ำ  กระทั่งซอกคอ  แผ่นอก  รวมถึงหน้าท้องเกิดรอยคล้ายกลีบกุกลาบสีแดงจนทั่วไปหมด…ก่อนจะหยุดลง

ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วรั้งร่างบางเข้าหา  เสียงหอบเบา ๆ ดังอยู่ริมหู  เมื่อสองแขนเรียวโอบรอบคอเดชานนท์ไว้แน่น  จนร่างนั้นถูกเขารั้งขึ้นแนบชิดจนเท้าไม่ติดพื้น  น้ำอุ่นถูกปิดไปแล้วแต่ความอบอุ่นของร่างกายที่แนบชิดยังคงอยู่  ร่างบางถูกปล่อยลงยืนบนพื้นอีกครั้ง  แล้วถูกคลุมด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนใหญ่จนถึงเข่า…

เดชานนท์ดึงหมวกอาบน้ำออกจากศีรษะเขาและภัทร  แล้วเอื้อมหยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนที่พาดอยู่บนฉากกั้นมาเช็ดตัวอย่างเร่งรีบ  เมื่อพันผ้าเช็ดตัวไว้ที่เอวเสร็จก็ช้อนอุ้มภัทรขึ้นแนบอกออกจากห้องน้ำไป…

ร่างบางถูกวางลงให้ยืนกับพื้นข้างเตียง  ดวงตากลมโตยังคงหลุบต่ำอยู่ที่พื้นเมื่อยามที่อีกฝ่ายเลื่อนผืนผ้าซับไปตามเรือนร่างจนทั่ว  ผิวเนียนแห้งสนิทแล้วผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่จึงถูกดึงออก  แสงไฟนวลภายในห้องทำให้เห็นผิวขาวผ่องได้ชัด…ภัทรสะดุ้งเมื่อผืนผ้าถูกดึงออกจากร่าง  เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงด้วยความเผลอไม่ได้ตั้งใจ  ก็เจอสายตาแวววาวที่จับจ้องเรือนร่างตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ…

ใบหน้าคมก้มลงจูบประทับบนริมฝีปากอิ่มเพียงแผ่วเบา  แล้วประคองภัทรลงนอนบนเตียงก่อนที่เจ้าตัวจะดึงผ้าเช็ดตัวโยนทิ้งไป  แล้วขยับเข้าไปกอดร่างบางแนบไว้กับอกไม่ให้ห่าง  ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงขึ้นคลุมทั้งสองร่างอย่างเรียบร้อยด้วยฝีมือของเดชานนท์…

“นอนแบบนี้ก็ดีนี่นา…”  น้ำเสียงกลั้วหัวเราะกระซิบอยู่ริมหูร่างบาง 

แม้ใจจริงอยากจะทำมากกว่านี้  แต่บางครั้งการรอให้ผูกพันกันมากกว่านี้อีกนิด  ก็จะเป็นหนทางที่ดีกว่า…เมื่อคิดมาคิดไป  เดชานนท์ก็เริ่มจะมั่นใจว่าตนเองอยากจะลองวางหัวใจไว้ที่ใครสักคนดูบ้าง  แต่ก็ไม่ใคร่เข้าใจนักว่าทำไมตัวเขาถึงได้เลือกภัทร  ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน 

หากจะเทียบตัวเองกับภาติยะแล้ว  เขาก็รู้ว่าความรู้สึกไม่เหมือนกันเลย  เพราะภาติยะกับน่านฟ้ารู้จักและผูกพันกันมานาน  ก่อนหลับตาหรือกระทั่งยามลืมตาทั้งสองคนก็ต้องมองเห็นกันและกันก่อนใคร  หากสองคนนั้นจะรักกันขึ้นมาก็คงไม่แปลก…แล้วเขาเล่าเพราะอะไรกัน

ความคิดหยุดชะงักลงเมื่อร่างบางที่กอดอยู่กับอกขยับหันหน้ามาทางตน  ดวงตาโตวาวใสจับจ้องมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น  เดชานนท์จึงเอื้อมมือลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ แย้มรอยยิ้มอ่อนโยนที่ดูเหมือนจะอยู่ติดกับหน้าไปเสียแล้วให้ภัทร  ซึ่งยังคงจับจ้องมาที่เขาด้วยความกล้าในความหวาดหวั่น…ทำให้เขาต้องกดปลายจมูกลงบนหน้าผากมนอย่างเอ็นดู

“ทำไมไม่นอนล่ะครับภัท…”  เอ่ยถามขณะที่ปลายนิ้วไล้อยู่บนริมฝีปากอิ่มที่ดูเหมือนจะเริ่มช้ำเพราะตัวเขาเอง  แล้วก็อดไม่ได้จะจูบลงไปอีกครั้ง…

ดวงตาใสหลับพริ้มเมื่อรู้สึกถึงความนุ่มนวลบนริมฝีปากของตน  ปลายลิ้นร้อนไล้ไปตามริมฝีปากไม่หยุดราวจะหยอกเย้า  บางครั้งถูกขบเม้มเบา ๆ บางครั้งก็รุนแรงขึ้นคล้าย ๆ อีกคนเกิดหมั่นเขี้ยวขึ้นมา  จนภัทรต้องลืมตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ…

เดชานนท์หยุดหยอกเย้าอีกฝ่าย  ใบหน้าคมจริงจังขึ้นมาเมื่อสารภาพบางอย่าง  “เมื่อวาน…จริง ๆ แล้วพี่ไม่ได้ทำอะไรเราหรอกนะภัท  พี่ก็แค่แกล้งเล่นเฉย ๆ น่ะ”

ภัทรนิ่งไปทันใด  ดวงหน้าหวานเฉยเมยเมื่อความคิดภายในตีกันยุ่งเหยิงไปหมด  อีกฝ่ายแค่คิดจะแกล้งเขา  ไม่ได้รู้สึกจริงจังหรือว่าสนใจตัวเขาเลย  แค่หลอกเล่นเท่านั้นน่ะหรือ…แล้วก็เพิ่งจะเข้าใจว่าตัวเองก็หวังความจริงใจจากเดชานนท์เช่นกัน

ร่างบางลุกหนีเดชานนท์ในทันใด  เรือนร่างเปลือยเปล่านั่งนิ่งอยู่กลางเตียง  ทำให้อีกคนได้เพียงแค่มองแผ่นหลังเนียนนั้นเงียบ ๆ ไม่ทันนึกว่าเขาไม่ได้คิดจะปิดไฟนอนแม้แต่น้อย…ร่างที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไม่มีอาการสั่นสะท้านใด ๆ ทั้งจากความรู้สึกบางอย่างที่ก่อเกิดและทั้งจากอากาศที่เย็นยะเยือกรอบตัว…

ภัทรรู้ว่าเรื่องมันน่าเศร้า  แต่เขากลับไม่มีน้ำตาให้กับเรื่องนี้แม้แต่น้อย  ดูเหมือนบางอย่างจะคลุมเครืออยู่ภายในใจจนเขาคิดอะไรไม่ออก  ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดหวัง  เพียงแต่ยังไม่เข้าใจเช่นเคย  นึกต่อว่าอีกฝ่ายที่ยังคงนอนนิ่งเฉย  ไม่คิดจะลุกขึ้นมาง้อ…ทำให้เข้าใจอีกข้อว่า  เขายังคงมีความหวังอยู่กับเดชานนท์  หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทิ้งไปไหน

ความเย็นที่สัมผัสได้จากแขนที่โผล่พ้นผ้าห่ม  ทำให้เดชานนท์ขยับลุกขึ้น  ดวงตาจับจ้องร่างที่นั่งไม่ไหวติงอย่างนึกเป็นห่วง  ป่านนี้ร่างนั้นคงเย็นเฉียบไปทั้งตัวแล้วกระมัง  เขาไม่รู้เลยว่าภัทรนั้นแอบลุ้นอยู่แค่ไหนว่าตัวเขาจะขยับเข้าไปหา…แล้วโอบกอดเอาไว้เหมือนที่เคยเป็น

เตียงนุ่มไหวยวบตามแรงขยับของใครบางคน  ทำให้ภัทรต้องยิ้มออกมา  อ้อมแขนแข็งแรงโอบรอบเรือนกายบอบบางแล้วรั้งเข้ามาหาตัวจนแนบชิด  ผิวกายเย็นเฉียบนั้นทำให้ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้อีกฝ่ายอย่างร้อนรน  ริมฝีปากบางจูบซับไปตามดวงหน้าหวานจนทั่ว  เผื่อทำให้ผิวที่เย็นเยียบนั้นอุ่นขึ้นมาได้บ้าง…

ภัทรอมยิ้มน้อย ๆ รับสัมผัสจากร่างสูง  รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด  เขามั่นใจว่ายังคงมีความหวังกับเดชานนท์ได้เต็มเปี่ยม  จากการกระทำที่ถ่ายทอดออกมานี้เอง…

“ภัท…หนาวมั้ย…”  เพียงน้ำเสียงที่กระซิบก็อบอุ่นในหัวใจ  จนภัทรนั้นลืมหนาวไปเรียบร้อยแล้ว  เขาจึงเพียงส่ายหน้าเบา ๆ เป็นการปฏิเสธ  แล้วซบอยู่กับแผ่นอกกว้างไม่ยอมห่าง

เดชานนท์ประคองร่างบางลงนอนอีกครั้ง  ดวงหน้าที่ซบอยู่กับอกเลื่อนขึ้นหนุนหมอนแนบใบหน้าชิดกับเขาจนรู้สึกแปลกใจ  แต่มือที่เอื้อมดึงผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงคอของเขา  ทำให้เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกลัวเขาจะหนาวนั่นเอง…

ภัทรถูกดันให้หนอนหงาย  ก่อนเดชานนท์จะตะแคงตัวขยับเข้าไปใกล้  ปลายจมูกโด่งชนแก้มนิ่มอย่างพอดิบพอดี  แขนข้างหนึ่งโอบล้อมเอวบางเข้าหาตัวจนไม่มีช่องว่าง  ทำให้ภัทรต้องหัวเราะเบา ๆ อย่างอิ่มใจ  เขาหันหน้ามาประทับริมฝีปากอิ่มช้ำลงบนปลายจมูกโด่งซ้ำ ๆ  แล้วปล่อยให้ดวงตาทั้งสองสบกันอย่างเชื่อมหวาน…

บางทีความรู้สึกบางอย่างก็ยากนักที่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้…หากการกระทำที่แสดงออกก็ไม่ได้บ่งบอกถึงคำใด ๆ  เช่นกัน

ไม่ว่าเส้นทางนี้จะห่างไกลจากคำว่า  “รัก”  แค่ไหน…สักวันก็คงจะรู้เอง

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 6
«ตอบ #85 เมื่อ29-12-2013 20:36:53 »

เธอที่รัก 6




เสียงร้องโวยวายดังลั่นไปทั่วบ้านพักหลังเล็ก  ต้นเสียงยืนตัวสั่นเทาอยู่บนเตียงนุ่ม  มือยังคงชี้ไปที่ตัวต้นเหตุที่วิ่งไปมาอยู่บนพื้นด้านล่าง  แมลงสาบตัวน้อยที่ไม่ได้รับรู้ในเสียงดังสนั่นนั้นยังคงวิ่งไปมาเหมือนไม่รู้จะไปไหน…จนกระทั่งมือใหญ่ลดลงหยิบหนวดมันขึ้นมา  จับเจ้าตัวปัญหาโยนออกไปนอกหน้าต่าง  แล้วปิดงับไว้อย่างดี  ไม่นึกสงสารเจ้าแมลงสาบที่ต้องออกไปเผชิญพายุฝนด้านนอกแม้แต่น้อย

“จับทิ้งแล้วล่ะเต้ย…”  เอ่ยบอกคนบนเตียงที่ทรุดตัวลงนั่งทั้งที่ยังสั่นสะท้านไม่หาย  ก่อนตัวเองจะหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือให้สะอาด

“โอ๊ะ!”  ธราดลร้องด้วยความตกใจเมื่อตรีภพรีบวิ่งเข้ามาในห้องน้ำ  จนชนกับเขาที่กำลังจะออกไป  แล้วก็ตกใจยิ่งกว่าเมื่ออีกฝ่ายลุกลี้ลุกลนถอดเสื้อผ้าออกด้วยความรีบร้อน  วิ่งหายเข้าไปหลังฉากกั้น  ก่อนจะได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวไหลไม่หยุด

เมื่อเก็บเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายถอดทิ้งไว้ลงตะกร้าแล้ว  ธราดลก็เลื่อนเข้าประชิดฉากกั้นที่สูงเพียงไหล่ของตน  แล้วจ้องมองคนที่กำลังลูบสบู่ไปทั่วตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างแปลกใจ  ท่าทางที่ดูจริงจังกับการถูสบู่นั้นทำให้เขานึกแปลกใจไม่น้อย  จนอยากจะเอ่ยถามหากคำพูดที่ได้ยินก็ไขข้อข้องใจได้ทั้งหมด

“รีสอร์ตก็หรูหรา  ทำไมถึงได้มีไอ้ตัวพวกนั้นได้นะดล  แต่จะว่าไปนะ  คอนโดพวกเราหรูกว่านี้ตั้งเยอะ  ยังเห็นมันได้บ่อย ๆ เลย  เกลียดชะมัด…เมื่อครู่มันไต่ตัวเราด้วยนะ  เหม็นจะแย่”  ตรีภพอาบน้ำไปบ่นไป  จึงไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อนสนิทที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ไว้ชัดเจน

ก็อย่างที่อีกฝ่ายพูด  รีสอร์ตก็หรู  คอนโดที่พวกเขาพักอยู่ด้วยกันหรือก็หรู  มันจะมีแมลงสาบได้อย่างไรกัน  เป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย  เพราะทุก ๆ วันก็มีแม่บ้านคอยทำความสะอาดให้  แล้วแมลงสาบพวกนี้มันจะอยู่ได้ยังไงในเมื่อห้องสะอาดขนาดที่ว่าฝุ่นก็ยังไม่มี  คิด ๆ แล้วธราดลก็เสียดายอยู่ลึก ๆ เมื่อนึกได้ว่าแมลงสาบในถุงที่เขาเตรียมมาเหลืออยู่ตัวเดียว…ก็ใช้ไปสองตัวแล้วนี่นา  ไม่โยนทิ้งให้เห็น  ตรีภพก็คงร้องลั่นอยู่อย่างนั้น

“ดล…นายว่ามันจะโผล่มาอีกมั้ย”  เสียงเอ่ยถามทำให้ธราดลที่ตกอยู่ในห้วงคิด  ต้องหันไปส่ายหน้าทันที  ตรีภพได้แต่ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเสียเต็มประดา  เมื่อไม่รู้ว่าจะเจอศัตรูตัวฉกาจอีกเมื่อไร

เรือนร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากฉากกั้น  ปล่อยให้ธราดลสะบัดผ้าขนหนูผืนใหญ่คุมกายให้  ดวงตามองไปตามพื้นด้วยความหวาดระแวง  ไม่ได้สนใจแม้ร่างกายตนเองจะถูกอีกคนซับน้ำออกให้อย่างเบามือ  อาจจะเพราะความเคยชินก็เป็นได้

“ถ้ามันมาอีกเราต้องเสียสติแน่ ๆ เลย”  บ่นกับเพื่อนอย่างอ่อนใจ  ฟังคล้ายเป็นการออดอ้อนเสียมากกว่าจนคนฟังต้องดึงรั้งมากอดไว้แนบอกนั่นแหละ

“ไม่เอาน่า  มันไม่มาแล้วล่ะ…ไม่ต้องกลัวนะ”  เป็นคำปลอบที่สุดแสนจะธรรมดา  แต่คนฟังกลับอุ่นใจและเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม  ดวงหน้าก้มซุกแผ่นอกกว้างคล้ายจะยึดเป็นที่พึ่ง  คนอย่างเขาแม้ไม่เคยต้องกลัวอะไร…แต่ยกเว้นแมลงสาบทั้งโลกนี้ทีเถอะ

“ไปแต่งตัวเถอะ  เดี๋ยวเราอาบน้ำเสร็จจะตามออกไป”  ธราดลตัดใจเลิกบทซึ้งใจในห้องน้ำด้วยการละจากร่างบางเข้าไปในฉากกั้น  ปล่อยให้ตรีภพเดินออกจากห้องน้ำไปอย่างหวาด ๆ

++++++++++++++++++++++++

สายตาละจากชุดยูกาตะสองตัวที่พับไว้เรียบร้อยบนเตียง  ยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกไปถึงคนที่กำลังอาบน้ำอยู่  อีกฝ่ายเป็นคนนั่งจัดเสื้อผ้าที่จะเอาติดตัวมาด้วย  แล้วก็ดูจะพออกพอใจนักหนาเมื่อตอนที่พับชุดยูกาตะที่ได้รับเป็นของฝากจากมารดาเขาเมื่อคราวไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่แล้วลงกระเป๋า  ก็คงจะคิดอะไรอยู่นั่นแหละ  ถึงได้เก็บใส่กระเป๋ามา  คนเจ้าเล่ห์แบบนั้นคิดอะไรล่วงหน้าได้เป็นฉาก ๆ อยู่แล้ว…เป็นเพื่อนกันมานาน  ไม่รู้เท่าทันก็ซื่อบื้อเกินไปล่ะ

ตรีภพรู้ว่าตัวเองไม่ได้ซื่อบื้อ  มือเลื่อนปลดผ้าเช็ดให้ตัวตกลงบนพื้นอย่างไม่สนใจ  ดวงตาจับจ้องไปที่กระจกบานใหญ่บนโต๊ะเครื่องแป้ง  หมุนซ้ายหมุนขวาอยู่สองสามรอบแล้วยิ้มอย่างพอใจ  อยู่ ๆ ก็นึกอยากจะออดอ้อนอีกคนขึ้นมา  สงสัยจะเป็นเพราะฟ้าฝนเป็นใจกระมัง  รู้แค่ว่าตอนนี้มีแค่เจ้าเพื่อนจอมเจ้าเล่ห์นั่นคนเดียวก็พอแล้ว…คนที่เคยอยู่ในความคิดเรียกคืนไม่ได้ก็ช่างเถอะ

เสียงประตูเปิดทำให้คนที่กำลังสำรวจเรือนกายตัวเอง  ต้องหุบยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นเฉยเมยในทันใด  แกล้งไม่รับรู้เมื่อยามอีกคนจ้องมองตัวเองที่อยู่ภายใต้แสงไฟนวล  ในใจแอบคิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไป  แล้วก็ต้องลอบยิ้ม  เมื่อร่างสูงที่คาดผ้าเช็ดตัวอยู่ผืนเดียวเดินไปที่ปลายเตียง  หยิบชุดยูกาตะสีขาวลวดลายดอกซากุระขึ้นมาสะบัดเบา ๆ  ก่อนที่ชุดนั้นจะเข้ามาคลุมตัวเขาพร้อมกับอ้อมกอดอันคุ้นเคย

“ไม่หนาวหรือไง…ฮื้อ”  คนพูดกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่ม  แล้วโอบรอบเอวบางรั้งอีกฝ่ายให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม

ตรีภพเอียงตัวมองดูคนถามอย่างสำรวจ  ด้วยสูงเกือบจะเท่ากันทำผิวแก้มชนกับปลายจมูกอีกฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  “แล้วนายล่ะ…ไม่หนาวหรือไง”  แล้วก็ถามอย่างหมั่นไส้เมื่อเห็นแผ่นอกกว้างเปลือยเปล่า

“ไม่ล่ะ…อยู่ใกล้นายก็อุ่นจะแย่”  คำตอบเล่นเอาคนฟังย่นจมูก  พึมพำเบา ๆ จนธราดลต้องเอ่ยถาม  “ฮื้อ…อะไรนะ”

“บอกว่า…น้ำเน่า!”  ตรีภพเน้นคำหลังด้วยรอยยิ้มผุดพราย  แล้วก็ต้องตกใจเมื่ออีกคนช้อนตัวเข้าขึ้นอุ้มไว้แนบอก  แล้วพาไปที่เตียงนุ่มอย่างรวดเร็ว

เมื่อถูกวางลง  แขนที่โอบรอบคอธราดลก็ไม่ยอมปล่อย  จนดึงรั้งร่างสูงให้ทาบทับตัวเองไว้แนบชิด  ดวงตาระยิบระยับจนคนมองต้องคิดไปไกลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เมื่อยูกาตะที่คลุมกายอีกฝ่ายอยู่หมิ่นเหม่  เผยให้เห็นผิวเนียนอยู่ใกล้ ๆ ตา

“คิดจะทำอะไรเต้ย…”  เอ่ยถามแล้วก้มหน้าลงเม้มซอกคอขาวอย่างมันเขี้ยว  จนตรีภพต้องหัวเราะอย่างจักจี้  แต่ยังเงยหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายสัมผัสอย่างสะดวก

“เอ…ทำอะไรดีน้า”  ธราดลแทบอยากจะตะครุบอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน  เมื่อน้ำเสียงคล้ายคำถามนั้นดูทั้งยั่วเย้าและยวนใจให้สั่นไหว  ได้แต่คิดว่าวันนี้ตรีภพน่ารักกระชากใจจริง ๆ

“สร้างรักดีมั้ย”  ธราดลยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พอ ๆ กับคำตอบ  จนตรีภพต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำพูดอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก

ริมฝีปากกดลงแรง ๆ ที่กลางแผ่นอกเนียน  แล้วเงยหน้ามองตรีภพที่จ้องมองอยู่อย่างมีความหมาย  ทำให้คนที่ไม่รู้จักความเขินอายหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาได้  เมื่อรู้สึกว่าประกายตาของธราดลช่างให้บรรยากาศเย้ายวนใจนัก

สองเสียงที่หยอกล้อกันเมื่อสักครู่เงียบสนิท  ในห้องได้ยินเพียงสายฝนที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอกเท่านั้น  ตรีภพใช้สายตามองตามริมฝีปากที่สัมผัสเรือนกายของเขาไม่หยุดหย่อน  หลายครั้งที่ต้องบิดตัวไปมาด้วยความวาบหวาม  หมอนที่หนุนนอนถูกสองมือขยำสุดแรง  ริมฝีปากอิ่มเผยอหอบเบา ๆ เพื่ออดกลั้นสุ้มเสียงบางอย่าง  หากแต่ไม่เอ่ยห้ามอีกคนแม้แต่น้อย…

ฉากรักถูกสร้างจากจุดเริ่มต้น…อาจเปลี่ยนฝันบางความรู้สึกในเวลาต่อมา

++++++++++++++++++++++++

ธราดลที่นั่งพิงอยู่กับหัวเตียงจ้องมองร่างบางที่นอนตะแคงนิ่งเฉยด้วยความไม่เข้าใจนัก  แม้พวกเขาจะเพิ่งผ่านความร้อนแรงจากบทแห่งห้วงอารมณ์มาด้วยกัน  แต่อีกฝ่ายกลับเย็นชาขึ้นมาเมื่อบทรักจบลง  ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเสียจริง

“เต้ย…หันมาหน่อยสิ”  เอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงชัดเจน  หากคนถูกเรียกก็ยังคงนอนนิ่ง  เมื่อก้มมองใกล้ ๆ ก็เห็นดวงตาคู่นั้นมองออกไปนอกหน้าต่าง  ทั้ง ๆ ที่ผืนผ้าม่านยังคงบังตาจนมองไม่เห็นแม้แต่สายฝนที่เลื่อนผ่านกระจก

“ก็บอกให้หันมาไง!”  น้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะตะโกนใส่  สองมือก็กระชากร่างบางให้หันมาหาตน  สายตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ที่มองกลับมา  ทำให้ยิ่งโมโหจนระงับใจไว้ไม่อยู่ 

“ลุกขึ้น!  แล้วไปอาบน้ำซะ…”  เมื่อสะกดกั้นอารมณ์เอ่ยบอกไปแล้ว  ธราดลก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

++++++++++++++++++++++++

ตรีภพมองตามร่างสูงเดินออกจากห้องไป  แล้วลุกขึ้นนั่งกอดเข่าด้วยความยากลำบาก  เมื่อตอนถูกกระชากเข้าหาแม้ว่าเจ็บก็ยังไม่ร้องสักคำ  แต่ตอนนี้กลับน้ำตาร่วงอย่างไม่เคยเป็น  รู้ผลของการทำอะไรโดยไม่คิดก็ตอนนี้  เมื่อไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ที่มีจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน  ในเมื่อทุกอย่างเกินเลยมาถึงตอนนี้…

ดวงหน้าซุกซบสะอื้นเสียงเบาอยู่กับเข่า  จนมองไม่เห็นอีกคนลอบยิ้มอยู่ข้าง ๆ ประตู  ไม่ทันเห็นด้วยซ้ำตาคนเจ้าเล่ห์นั่นไม่ได้ปิดประตูห้องเสียงดังเมื่อครั้งเดินหนีออกไป  จึงไม่รู้ว่าตัวเองถูกเฝ้ามองอยู่ด้วยสายตาที่สื่อถึงความห่วงใยแค่ไหน

ร่างบางสะดุ้งเมื่อถูกโอบรั้งเข้าหาเรือนกายแกร่ง  ดวงหน้าเปื้อนคราบน้ำตาหันไปมองคนที่ลุกหนีออกไปเมื่อสักครู่ด้วยความงงงัน  ว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาตอนไหน  ก่อนที่สายตาที่แสดงความเจ้าเล่ห์นั้นจะตอบคำถามที่สงสัยให้ได้รู้จักคำว่าอาย…

สองมือยกขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างเร่งรีบ  แต่ก็ถูกดึงออกแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากของเจ้าของอ้อมกอด  ซึ่งบรรจงจูบซับน้ำตาออกให้อย่างไม่รีบร้อน  ตรีภพจึงได้แต่นั่งตัวแข็งเพราะทำอะไรไม่ถูก  จะว่าไปแล้วรอตอบคำถามของอีกฝ่ายคงดีกว่าเอ่ยถามคำถามออกไปมากนัก…เพราะธราดลอาจจะเข้าใจทุกอย่างลึกซึ้งจนไม่ถามอะไรอีก

“จะไปไหนเต้ย…”  ตรีภพขยับตัวเบา ๆ ทำให้ธราดลต้องเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ก็ไหนให้ไปอาบน้ำ  ก็เลยจะไปอาบน้ำ”  เสียงตอบแผ่วเบาจนต้องเงี่ยหูฟัง  ธราดลมองคนพูดที่เบือนหน้าหนีอย่างเอ็นดู  รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าตรีภพเอียงอายได้น่ารักขนาดนี้

“นั่นเพราะไม่รู้จะพูดอะไร  ตอนนี้ไม่ต้องไปแล้ว  ไม่อยากให้ต้องอาบหลาย ๆ รอบ”  ธราดลหัวเราะเสียงดังหลังพูดจบ  มั่นใจว่าคำพูดที่สื่อความนัยนี้จะทำให้ตรีภพเข้าใจได้ไม่ยาก  แล้วก็จริงเมื่อตรีภพหันหน้าเข้าซบอกเขาเพื่อบดบังดวงหน้าที่ขึ้นสีเรื่อของตนเอง

“ไม่เอา…ไม่ทำแล้ว  ไปอาบน้ำดีกว่าดล”  เสียงพูดอ้อน ๆ กับริมฝีปากอิ่มช้ำที่จรดลงบนแก้มทำให้ธราดลใจอ่อนได้ไม่ยาก  จึงช้อนอุ้มตรีภพเข้าห้องน้ำไปในที่สุด

++++++++++++++++++++++++

ตรีภพนั่งนิ่งปล่อยให้อีกคนซับน้ำออกจากผมตนเองอย่างเบามือ  โดยมีแก้มนุ่มเป็นรางวัลตอบแทน  เมื่อธราดลถือโอกาสก้มลงหอมแก้มของร่างบางไปจนนับครั้งไม่ถ้วน  ยิ่งอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยห้ามก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะยิ่งได้ใจ  จนแก้มนุ่มแทบจะช้ำจากริมฝีปากของเขานั่นแหละถึงได้หยุด

“เจ็บมั้ยเต้ย…”  เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเช็ดผมให้อีกฝ่ายจนแห้งแล้ว  เห็นตรีภพพยักหน้าแทนคำตอบก็โอบกอดอีกฝ่ายไว้แนบแน่นคล้ายต้องการปลอบประโลม  “ไม่เป็นไรนะ  เดี๋ยวดลดูแลเต้ยเอง”

คล้ายเป็นคำสัญญา  ทำให้ตรีภพยิ้มบาง ๆ แต่ก็ยังไม่เลิกจากนิสัยเดิมเมื่อส่งเสียงต่อว่า  “น้ำเน่าอีกแล้วดล…”

“เค้าเรียกว่าหวานซึ้งกินใจต่างหากที่รัก…”  พูดแล้วก็เม้มติ่งหูอีกคนอย่างมันเขี้ยว  ก่อนจะประคองร่างบางลงนอนอย่างทนุถนอม

ดวงตาใสที่จ้องมองมาทำให้ธราดลต้องก้มลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ มือหนึ่งเอื้อมไล้ผิวแก้มนุ่มไปมา  ดวงตามองสบกันส่งบางคำไปให้ถึงหัวใจสองดวง  จนกระทั่งตรีภพหลับตาลง  ธราดลจึงล้มตัวลงนอนกอดอีกฝ่ายไว้แนบชิด  สองมือสอดประสานเกาะกุมกันไม่ปล่อย…เป็นการพลิกผันความสัมพันธ์ที่เคยมีมาเนิ่นนานให้ต้องเปลี่ยนไปในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า

‘เพื่อนสนิท’  ในวันนั้น…จนถึง  ‘คนรัก’  ในวินาทีนี้

ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 7
«ตอบ #86 เมื่อ29-12-2013 20:37:55 »

เธอที่รัก 7



ช่องว่างจากประตูที่แง้มไว้เพียงน้อยนิดนั้น  ดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องไปยังคนที่กำลังนั่งซับน้ำออกจากผมตัวเองอยู่หน้าโต๊ะกระจก  เรือนร่างบอบบางนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั้นขาวเนียนอย่างน่ามอง  แต่หากกล้ามองใกล้ ๆ  เขาคงไม่ต้องแอบมองจากช่องว่างเล็ก ๆ นี้เป็นแน่

เสียงเรียกร้องภายในใจทำให้ต้องดึงประตูเปิดออกอย่างอยากหักห้ามตนเอง  ดวงตาโตใสคล้ายดวงตากระรอกมองมาด้วยรอยยิ้มหวาน  มือที่เช็ดไปตามเส้นผมหยุดนิ่งลง  เมื่อยามที่สองแขนแกร่งโอบรอบมาจากด้านหลัง  เอียงดวงหน้าน้อย ๆ เมื่อแก้มนุ่มถูกหอมแล้วซุกไซ้อยู่ไม่ห่าง

“อาบน้ำนานจังภาต…”  เอ่ยทักอย่างแปลกใจ  ไม่ทันได้รู้ว่าอีกฝ่ายแอบมองตัวเองอยู่นานแล้ว  จึงไม่มีคำตอบใดให้หายข้องใจ

“ทำไมไม่แต่งตัวล่ะครับ  เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”  ภาติยะกระซิบถามอยู่ข้างหู  ไม่กล้าบอกว่ากลัวใจตัวเองด้วยอีกอย่างหนึ่ง…ก็น่านฟ้าน่ารักขึ้นทุกวัน  ไม่ใช่เพิ่งสังเกตเห็น  แต่ความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรงขึ้นต่างหาก

ดวงหน้าหวานหันไปมองกระจกคล้ายขัดใจ  สะบัดเส้นผมที่เริ่มหมาดไปมา  “ผมยังไม่แห้งเท่าไหร่เลย…รอภาตด้วยล่ะ  ไม่เห็นออกมาซักทีหนาวจะแย่”

ภาติยะเงยหน้ามองภาพสะท้อนน่านฟ้าจากกระจกอย่างไม่เข้าใจนัก  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีอะไรที่ไม่บอกกับเขา  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีความลับต่อกันมาก่อน  ถึงแม้จะคิดอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะหยิบผ้าขนหนูจากมือของน่านฟ้ามาเช็ดผมให้อีกฝ่ายแทน

“นนท์กับน้องภัทน่ะ  สนิทกันเร๊วเร็วเนาะ…พวกเราก็สนิทกันมาตั้งนานแล้วด้วย”  คล้ายเป็นประโยคบอกเล่า  แต่น้ำเสียงแง่งอนนั้นทำให้ภาติยะยิ่งงงเข้าไปอีก  ว่าน่านฟ้ากำลังจะบอกอะไรเขากันแน่

ร่างบางเริ่มไม่อยู่สุขเมื่อขยับยุกยิก ๆ แก้มนวลก็ป่องเป็นปลาบอลลูน  จนภาติยะต้องวางมือจากเส้นผมนุ่ม  แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าอย่างเป็นห่วงเป็นใย  ดวงตาคมมองสบกับดวงตาใสแจ๋ว  หากน่านฟ้ากลับเบือนหน้าหนีด้วยท่าทางที่เรียกได้ว่างอนสุดขีดเสียนี่…

“เป็นอะไรเหรอคนเก่ง…ฮื้อ  ไม่บอกแล้วภาตจะรู้มั้ยเนี่ย  เมื่อครู่ก็ยังไม่เห็นโกรธอะไรเลยนี่นา”  น้ำเสียงทุ้มนุ่มถามอย่างอ่อนโยน  ทำให้น่านฟ้าต้องหันมาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ

ดวงตาใสมีน้ำคลอจนมือบางต้องยกมือขึ้นปาดออก  แล้วบอกคนที่จ้องมองตนอยู่ด้วยเสียงสั่นเครือ  “น้องภัทน่ะมีรอยตรงนี้ด้วยนะ…”  เจ้าตัวชี้ที่แผ่นอกบางของตัวเองจนภาติยะนั่งตะลึงไปเรียบร้อย

“ถามดูแล้วด้วย…เค้าบอกว่าเพราะสนิทกันมากก็เลยถูกประทับรอยไว้  แล้วทำไมเราไม่มีล่ะ  ก็ไหนเราสนิทกันมากไง  ไม่ใช่เหรอภาต…ภาตไม่รักเราแล้วน่ะ  คนใจร้าย…อุตส่าห์พูดดี ๆ ด้วยตั้งหลายรอบ  ก็ไม่เห็นทำให้ซักที”  จากเสียงที่เคยสั่นเริ่มจะบวกเข้ากับเสียงสะอื้นในตอนหลัง  หากเป็นปกติภาติยะคงดึงน่านฟ้ามากอดแล้ว  แต่ตอนนี้ดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เขาช็อคจนทำอะไรไม่ถูก…

เล่นกันแล้วไงไอนนท์เอ๊ย…ไอ้เพื่อนตัวดี  จะตอบแทนมันด้วยอะไรก็ยังนึกไม่ออกจริง ๆ

“ไปไกล ๆ เลย  ไม่ต้องมาอยู่ใกล้”  เสียงร้องไห้ดังลั่นห้อง  ไม่เพียงภาติยะไม่ปลอบแต่ยังนั่งนิ่ง  ทำให้น่านฟ้าผลักไสอีกฝ่ายไม่หยุด  นึกน้อยใจไปสารพัดว่าเพื่อนไม่สนใจ

“เดี๋ยวสิน่านฟ้า…”  มือใหญ่พยายามจับมือบางที่ผลักไสตนเองไว้  แต่น่านฟ้าที่ร้องสะอึกสะอื้นก็ยังคงสะบัดมือหนีจากการเกาะกุมนั้นไม่เลิก

“โอ๊ย!…”  เสียงร้องคล้ายได้รับความเจ็บปวดจากภาติยะ  ทำให้น่านฟ้าหยุดสะบัดมือหนีทันที  นั่นทำให้คนที่ส่งเสียงร้องอยากจะหัวเราะให้สะใจ  แต่ก็ต้องนิ่งไว้…เมื่อยังคงต้องดำเนินการหยุดยั้งเรื่องราวครั้งนี้ให้ได้

“เจ็บตรงไหนภาต…โดนตรงไหน”  ดวงหน้าหวานเปื้อนคราบน้ำตา  ทั้งดวงตาที่ยังคงเต็มไปด้วยน้ำใสก้มลงมองภาติยะอย่างเป็นห่วง  จนน้ำตาร่วงลงบนหน้าภาติยะไปหลายหยด

ภาติยะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้อีกคนแผ่วเบา  ส่ายหน้าช้า ๆ คล้ายจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร  แล้วจึงลุกขึ้นอุ้มร่างบางไปที่เตียง  ให้อีกฝ่ายนั่งอยู่บนตักเขา  นิ่งฟังเสียงสะอื้นที่เริ่มคลายลง  ไม่ลืมที่จะอาศัยช่วงเวลานี้หอมแก้มเนียนไปหลายฟอด

มือบางยกขึ้นเช็ดแก้มตัวเองไปหลายครั้ง  ไม่รู้ว่ายิ่งเช็ดภาติยะก็ยิ่งได้ใจสัมผัสผิวนุ่มนั้นไม่เลิก  จนน่านฟ้าเป็นฝ่ายหยุดเสียเอง  ดวงหน้าหวานหันเข้าซบอกกว้างอย่างต้องการเอาใจ  นึกถอดใจไปเรียบร้อยว่าอีกคนคงจะไม่รักไม่สนใจในตัวเขาแล้ว…

ภาติยะถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับความเข้าใจของน่านฟ้า  เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไปหลายรอบ  ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา  “ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำซักหน่อยนี่นา…แต่ถ้าทำแล้วมันจะยาว”

ดวงตากลมโตเงยขึ้นจ้องมองคนพูดด้วยความสงสัย  ร่างบางขยับออกมาเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ  ภาติยะเอื้อมมือลูบแก้มนุ่มนั้นอย่างเอ็นดู  ก่อนจะเลื่อนมือลงช้า ๆ จนตัวเขาเองนั่นล่ะที่รู้สึกปั่นป่วน  ปลายนิ้วที่เลื่อนมาถึงกลางอกถูกสายตาของน่านฟ้าจับจ้องอยู่ตลอด…

เนิ่นนานในใจของเจ้าของมือ  ดวงตาคมจับจ้องสีสันสดสวยบนผิวขาวเนียน  แทบจะเรียกได้ว่ากลั้นใจ  เมื่อปลายนิ้วชี้เลื่อนเข้าหายอดเกสรสีส้มอ่อน  กดลงไปจนเกสรนั้นจมหายเข้าไปในผิวเนื้อนุ่ม  เพียงเท่านั้นร่างบางก็สะดุ้งด้วยความตกใจ  ถอยตัวเองออกไปจนถึงปลายเตียงแล้วยกผืนผ้าห่มขึ้นมาปกปิดเรือนกายที่สั่นสะท้าน…ด้วยความรู้สึกที่ยากเข้าใจ

ภาติยะยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเหนื่อยใจ  ปฏิกิริยาโต้ตอบที่แสดงความหวาดกลัวปนด้วยความไม่เข้าใจนั้น  ไร้เดียงสาและน่ารัก  แทบไม่อยากจะปล่อยไปง่าย ๆ แต่หากต้องการได้มาแล้วไซร้  ตอนนี้ก็มีแต่ต้องหักหาญเอาก็เท่านั้น…แล้วจะทำลงได้เช่นไร

“ก็บอกแล้ว…แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะครับ  ถ้ากลัวก็มานอนได้แล้ว”  ในที่สุดภาติยะก็เลือกข่มความรู้สึกของตัวเองไว้  มือใหญ่เอื้อมออกมารับ  กังวลกับท่าทีของน่านฟ้าจนไม่แน่ใจว่ามือบางนั้นจะวางลงมาหรือไม่

ดวงหน้าหวานหลุบต่ำ  ถึงอย่างนั้นก็ยังคงซับสีเรื่อได้อย่างงดงาม  ริมฝีปากอิ่มเผยอสั่น  หากยังไม่สู้เรือนร่างบอบบางที่ยังคงสั่นเทาด้วยความรู้สึกที่เข้าใจว่าหวาดกลัว  หากในใจกลับสับสนจนคิดอะไรไม่ออก  ภาพมัว ๆ จากหางตาทำให้เห็นมือใหญ่ที่ยื่นมา…

แม้ยังคงสับสน  แต่ก็กลัวหากไม่ยื่นมือออกไป  มือนั้นจะไม่ยื่นมาให้เกาะกุมอีก  คิดได้เพียงนั้นแทนที่เจ้าตัวจะยื่นมือออกไป  กลับโผทั้งร่างเข้าหาภาติยะที่รีบโอบรับไว้เสียนี่  และนั่นคล้ายเป็นการยุติความรู้สึกทั้งหมดที่มี  เมื่อมองเห็นเพียงคนตรงหน้า…ที่รับรู้ว่าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด

“ใครบอกว่าไม่ให้ทำ…”  ส่งเสียงออเซาะอยู่ที่ริมหูภาติยะ  ซึ่งต้องหัวเราะอย่างมันเขี้ยวคนที่แสนจะดื้อดึง

“งั้นก็เอาผ้าห่มออก  ถอดผ้าเช็ดตัวเลย”  น้ำเสียงฟังดูจริงจังเอ่ยบอก  กระทั่งคนที่กอดเขาเอาไว้แน่นต้องผละออกมา 

ดวงหน้าหวานบูดบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง…ทั้งที่ดวงตายังคงแดงช้ำ  “บ้า…ภาตบ้า”

“เอ๊…จะเอายังไงกันแน่เนี่ย  ถ้าไม่ให้ทำก็ไม่เป็นไรนี่ครับ  ไม่เห็นต้องฝืนเลย”  ภาติยะยังคงหยอกเย้าต่อไป  ไม่คิดว่าคำพูดตนจะทำให้จนตรอกเสียเอง

ไม่ต้องคิดทวนซ้ำ  เมื่อมือบางปลดทั้งผ้าห่มและผ้าเช็ดตัวออกจากเรือนกายทั้งหมด  เผยให้เห็นผิวนวลใต้แสงไฟส่องสว่าง  นั่นทำให้ภาติยะเริ่มทำอะไรไม่ถูก  ดูเหมือนเขาเพิ่งจะนึกออกว่าตัวเองลืมไปว่าข้างนอกฝนตกหนัก…แต่ทำไมถึงเพิ่งมานึกได้ตอนนี้ก็ไม่รู้สิ

“ทำรึยังล่ะ  รอยสีแดง ๆ หลาย ๆ รอยเลยนะ  เอาตรงไหนดีน้า…”  คนพูดไม่รู้สึกรู้สา  ด้วยไร้เดียงสาเสียมากกว่า  ก้มมองแผ่นอกตัวเอง  แถมตั้งอกตั้งใจเลือกที่ ๆ อยากให้ร่องรอยปรากฏอีกต่างหาก

“เอา…ทำก็ทำ  แต่ต้องให้จูบเป็นรางวัลนะ”  ภาติยะเริ่มจะหาโอกาสให้ตัวเองได้  ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้  แถมยังขอรางวัลอีก  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้อยู่คนเดียวนั่นแหละ

เมื่อน่านฟ้าพยักหน้ารับ  ริมฝีบางก็ก้มลงจูบเม้มไปตามแผ่นอกเนียนอย่างตั้งใจ  ว่าไปแล้วเขาเองก็ไม่เคยคิดจะตั้งอกตั้งใจกับเรื่องแบบนี้มาก่อน  ยิ่งเวลาที่ได้ยินเสียงครางหวาน ๆ จากริมฝีปากน่านฟ้า  คนที่ตั้งใจอยู่แล้วก็ยิ่งกดจูบให้หนักกว่าเดิม…

ความรู้สึกจักจี้ที่มีความวาบหวามซาบซ่านรวมอยู่นั้น  ทำให้น่านฟ้าต้องส่งเรียงร้องออกมาอย่างไม่ปิดบัง  เป็นความรู้สึกที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาด  แต่แทนที่จะจมอยู่กับความรู้สึกนั้น  เขากลับคิดถึงภัทรขึ้นมา  อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเหมือนกันบ้างไหม  ว่าแล้วก็คิดได้ว่าพรุ่งนี้จะลองถามดู  แล้วก็จะอวดรอยกลีบดอกไม้ที่กำลังแต่งแต้มบนตัวเขาให้ภัทรได้เห็นด้วย…

ภาติยะผละออกมาจ้องมองร่องรอยที่ตนเป็นคนทำแล้วยิ้มออกมา  บางทีหากหยุดแค่นั้นก็คงได้  แต่เขากลับไม่หยุด  จุดคล้ายดอกไม้แรกแย้มชู่ช่ออวดความงดงามนั้นเด่นชัดตัดกับผิวขาวนวลจนไม่อยากละไป  แล้วก็ก้มลงจูบและเม้มที่สองยอดนั้น  คิดไว้ว่าจะทำจนกว่าจะพอใจ  เสียงหวาน ๆ ที่ข้างหูก็รับมาเป็นคำชมเสีย…

เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง  ก็เห็นดวงหน้าหวานยิ้มยวนให้  ริมฝีปากที่เผยอยั่วเย้าเอ่ยคำหนึ่งให้ภาติยะต้องยิ้มออกมา  “ดีจังภาต…”

“รักน่านฟ้าที่สุดเลย…”  เอ่ยถ้อยหนึ่งซึ่งกลั่นออกมาจากหัวใจ  และรับฟังอีกถ้อยหนึ่งซึ่งหวานซึ้งไม่ได้แพ้กัน  “รักภาตที่สุดเหมือนกัน…”

รอยยิ้มหวานฉ่ำต่างมีให้กันและกัน  ส่งความรู้สึกบางอย่างที่ลึกซึ้งเข้าครอบคลุมสองหัวใจ  ริมฝีปากคล้ายถูกดึงดูดเข้าหาจนแนบชิด  ส่งปลายลิ้นพัวพันหยอกเย้าให้เข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่า ‘รัก’ คำนั้น  ให้สิ่งใดแสนหวานบนโลกนี้…ยังยากเปรียบเปรยกับ  ‘รักของเรา’

ความรักที่มีให้ลึกซึ้งจนเกินจะให้ความหมายของ  ‘รักนี้’  ได้ทั้งหมด…หากให้ด้วยหัวใจ  ก็ขอให้รับรู้ด้วยหัวใจเช่นกัน…ว่าเธอคือที่รัก


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 8
«ตอบ #87 เมื่อ29-12-2013 20:38:59 »

เธอที่รัก 8




เสียงเกมจากโทรทัศน์ดังก้องไปทั่วบริเวณห้องนั่งเล่น  บนคอนโดของภาติยะ  เมื่อเจ้าของห้องกำลังนั่งประลองฝีมืออยู่กับเพื่อนสนิทจอมเจ้าเล่ห์  ขณะที่สองหนุ่มหน้าหวานนั่งหยอกล้อกันสนุกสนานอยู่ในห้องนอน…

น่านฟ้าที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับภัทรเริ่มเหนื่อยหอบ  เนื่องจากพวกเขาแกล้งกันไปมาด้วยการกลิ้งทับและกดอีกฝ่ายลงบนเตียงไปมาอยู่หลายรอบ  เสียงหัวเราะจึงเริ่มแทนที่ด้วยเสียงหอบจากความเหน็ดเหนื่อย  ภัทรหยุดจักจี้น่านฟ้าทันทีเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่เงียบไป  เขาลุกขึ้นมานั่งมองน่านฟ้าที่นอนยิ้มด้วยความงุนงงและสงสัย

“พี่น่านฟ้าเป็นอะไรฮะ…อะไรกันอยู่ ๆ ก็ยิ้ม”  แล้วภัทรก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนต้องถามออกมา

น่านฟ้าผุดลุกขึ้นนั่งในทันที  ดวงหน้าหวานยิ้มพรายอย่างชอบใจกับอะไรสักอย่าง  “พี่กับภาตน่ะนะ  สนิทกันมากกกกกก…เลยล่ะ  สนิทกันมากกว่าภัทกับนนท์อีก  เชื่อม้าาา…”

ภัทรพยักหน้า  ก็แล้วทำไมเขาจะไม่เชื่อในเมื่อใคร ๆ ก็รู้กันทั่ว  ว่าภาติยะกับน่านฟ้าสนิทสนมกันมานาน  จนหลาย ๆ คนสงสัยด้วยซ้ำ  ว่าเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ น่ะหรือ…แล้วภัทรก็ต้องทำตาโตทันใด  เมื่อมือของรุ่นพี่ผู้แสนจะน่ารักเอื้อมขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองออกจนหมด  แม้จะเขินแทนอยู่บ้าง…เขาก็นั่งมองจนอีกฝ่ายแยกสาบเสื้อออกให้เห็นเนื้อนวลนั่นล่ะ

รอยสีแดงอ่อน ๆ ทั่วแผ่นอกเนียน  ทำให้ภัทรกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกขึ้นมา  นึกย้อนไปถึงคำพูดตัวเองที่โกหกอีกฝ่ายไปคำโต  ว่าร่องรอยที่ได้มานั้นเป็นเพราะสนิทกับเดชานนท์มาก  จำได้ว่าตอนนั้นน่านฟ้ารับคำซึม ๆ…นี่คงไม่ใช่ไปขออะไรแปลก ๆ กับอีกคนหรอกนะ  ไม่อย่างนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  ถ้าภาติยะรู้ว่าเขาก็ได้รอยแบบนี้มาจากเดชานนท์  แต่คิดไปคิดมาก็วางใจ  เมื่อนึกได้ว่าภาติยะก็เห็นฉากเด็ดไปแล้วนี่นา

“ภัทก็รู้แล้วว่าสนิทกัน…แหม  แค่นี้ก็เอามาอวดนะพี่น่านฟ้าเนี่ย”  ส่ายหน้าไปมากับความน่ารักของคนตรงหน้า  ขณะที่ค่อย ๆ ติดกระดุมให้เช่นเดิม  แต่มือบางของอีกฝ่ายก็ยุดมือภัทรไว้เสียก่อน

“เราสองคนก็สนิทกันใช่เปล่า…”  เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา  แต่ภัทรก็พยักหน้ารับอย่างหวั่นใจ  แล้วดูเหมือนจะคิดไว้ไม่ผิด  “งั้นภัทก็ทำให้หน่อยดิ  อยากได้อีก…อยากได้จากภัทอะ”

ภัทรเงียบไปด้วยทำอะไรไม่ถูก  ดวงตาโตที่จ้องมองมามีแววเร่งเร้า  แล้วดวงหน้าหวาน ๆ ก็บูดบึ้งขึ้น  เมื่อรู้สึกว่าจะไม่ได้ดั่งใจ  ภัทรถอนหายใจ…ในสมองครุ่นคิดหนัก  แต่แล้วก็ตัดสินใจก้มหน้าลงหาหน้าอกเนียน  คิดเอาเองว่ารอยเดียวภาติยะคงจะไม่รู้เรื่อง…ถ้าน่านฟ้าไม่หวังดีกับเขาด้วยการเอาไปเล่าให้อีกฝ่ายฟัง

เพียงแค่ริมฝีปากแตะลงบนเนื้อนวล  เสียงประตูเปิดก็ดังขึ้น  เสียงดังลั่นที่จับใจความไม่ได้ทำให้สองหนุ่มหน้าหวานต้องหันไปมองงง ๆ  เห็นภาพภาติยะกับเดชานนท์ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงหน้าประตู  ก่อนที่เดชานนท์จะเดินเข้ามาข้างในแล้วจับภัทรแยกออกจากน่านฟ้าอย่างรวดเร็ว…เมื่อรู้ดีว่าบางครั้งอารมณ์ของภาติยะก็ยากนักหยั่งถึง  อย่างไรเสียก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน

ภาติยะมองตามเดชานนท์ที่ดึงภัทรออกจากห้องไป  ก่อนจะหันกลับเข้ามามองน่านฟ้าที่นั่งงงอยู่บนเตียง  ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด  รู้ตัวดีว่าหวงแหนคนตรงหน้าแค่ไหน  และรู้ด้วยว่าน่านฟ้ากับภัทรคงไม่ได้ทำอะไรกันเกินเลย  แต่ก็อดโมโหไม่ได้…คิดแล้วก็กระแทกประตูปิดเสียงดัง  จนคนที่นั่งอยู่บนเตียงสะดุ้ง

ก้าวเดินเชื่องช้าจนมาถึงริมเตียง  และทรุดลงนั่งโดยไม่พูดอะไร  จนน่านฟ้าต้องขยับเข้ามาใกล้ ๆ อย่างไม่เข้าใจนัก  ดวงหน้าหวานซบอยู่บนแผ่นหลังกว้างคล้ายปลอบใจ  หากภาติยะก็ขยับหนีอย่างไม่ใยดี  เพราะความหึงหวงที่ประทุอยู่ภายในใจ

“เล่นอะไรอีกล่ะน่านฟ้า…”  กระชากเสียงถามด้วยความโกรธ  จนคนถูกถามหน้าเสีย  ดวงหน้าหวานส่ายไปมารุนแรงอย่างไม่เข้าใจและปฏิเสธ  ดวงตาโตคลอน้ำใสด้วยความเสียขวัญ  หากคนตรงหน้ากลับไม่ได้ให้ความสนใจเมื่ออารมณ์บางอย่างอัดอั้นจนระเบิดออกมา

ดูเหมือนภาติยะจะระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่  เขาหันไปจับตัวน่านฟ้าเขย่ารุนแรง  “แล้วเมื่อกี้ทำอะไร…คิดอะไรเองเป็นบ้างมั้ย  โตขนาดนี้แล้วนะ  ไม่ใช่เด็ก ๆ อีกแล้ว…จะได้ไม่รู้อะไร  รู้มั้ยถ้าทำแบบนี้  ไม่มีใครเค้ารักหรอกน่านฟ้า”

ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก  เมื่อคราวแรกอยากจะร้องบอกว่าเจ็บ  แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดดูเหมือนเจ้าตัวจะช็อคไป  เรือนร่างบอบบางสั่นสะท้านไปทั้งตัว  ความเจ็บปวดที่ซึมลึกเข้าไปในหัวใจทำให้ดวงหน้าหวานส่ายไปมารุนแรงอย่างรับไม่ไหว  มือบางพยายามแกะมือใหญ่ที่จับต้นแขนไว้แน่นออก  เสียงร้องไห้เริ่มดังก้องไปทั่วห้อง…กว่าภาติยะจะรู้สึกตัว  อะไรก็สายเกินแก้ไปหมด

“น่านฟ้า…เดี๋ยวสิ  น่านฟ้า…”

เสียงร้องไห้ดังไม่หยุด  ขณะที่ร่างบางกระถดตัวหนีภาติยะไปจนสุดขอบเตียง  แม้เขาจะค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาและเรียกอีกฝ่ายเอาไว้  แต่ดูเหมือนน่านฟ้าจะไม่ยอมรับรู้อีก  เมื่อเห็นร่างบางหนีจนจะตกเตียงภาติยะจึงคว้าร่างนั้นเข้าสู่อ้อมกอด  พยายามที่จะปลอบขวัญอย่างสุดกำลัง  แต่คำพูดรุนแรงสร้างความกระทบกระเทือนในหัวใจมากเกินไป  น่านฟ้าจึงหวาดกลัวยามถูกสัมผัสจนกรีดเสียงร้องดังลั่นกระทั่งสลบไปในที่สุด…

เดชานนท์กระชากประตูเปิดออกด้วยความตกใจ  เขาและภัทรวิ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว  เห็นเพียงภาติยะประคองน่านฟ้าเอาไว้  ดวงหน้าหวานซีดเผือดเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา  แค่นี้เดชานนท์ก็พอจะเดาเรื่องออก…แต่ก็ไม่รู้จะต่อว่าเพื่อนสนิทอย่างไร  เมื่อรู้ว่าพูดอะไรไปก็คงจะเป็นการซ้ำเติมอีกฝ่ายมากกว่า

“ไอ้ภาตเอ๊ย…ทำเกินไปใช่มั้ยเนี่ย”  เดชานนท์พูดเพียงแค่นั้น  สีหน้าของภาติยะก็สลดลง  เริ่มกังวลใจขึ้นมาเมื่อไม่รู้จะแก้ปัญหาแบบไหน  “ก็รู้นี่หว่าว่าเค้าเป็นยังไง  แล้วนี่ทำอะไรวะ  เล่นเอาถึงสลบเลยเหรอ  ไม่ได้ใช้กำลังหรอกใช่มั้ย”

“จับเขย่าว่ะ…แต่พูดแรงน่าดูเลย  ทำไงดีวะไอนนท์…ถ้าเค้าตกใจไม่หายเหมือนคราวนั้น  แล้วไม่ยอมอยู่ที่นี่อีกจะทำไงดีวะ  เฮ้อ…”  ภาติยะถอนหายใจหนักหน่วง  ยกสองมือขึ้นกุมขมับอย่างคิดไม่ตก

“แกน่ะคนพิเศษว่ะ  อย่าคิดมากเลย  มีอะไรก็พูดกันดี ๆ น่านฟ้าน่ะเค้ามีแกแค่คนเดียวนี่หว่า…เค้าคงไม่ไปไหนหรอก”  เดชานนท์พยายามจะปลอบทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ไม่มั่นใจในสิ่งที่พูดด้วยซ้ำ

“เฮ้อ…เอาน่ารอให้น่านฟ้าฟื้นก่อน  แล้วก็พูดกับเค้าดี ๆ เดี๋ยวชั้นกับภัทจะรออยู่ด้านนอกแล้วกัน…”  พูดจบก็หันไปจูงภัทรที่ยังคงตกใจไม่หายออกจากห้องไป

ภาติยะก้มลงมองดวงหน้าที่ยังคงซีดเผือด  มือใหญ่เอื้อมเกลี่ยปอยผมที่ตกระดวงหน้าหวานออกอย่างแผ่วเบา  แล้วเลื่อนไล้ไปตามแก้มนวลด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยม  “ภาตขอโทษนะ…ที่รัก”  ก้มลงเอ่ยบอกคนกำลังหลับที่ข้างหู  ก่อนขยับประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนอย่างอ่อนโยน

หวังว่าความวู่วามและความไร้เหตุผลครั้งนี้…คงไม่ทำให้เสียคนที่รักไป

++++++++++++++++++++++++

“เพราะภัทรึเปล่าพี่นนท์…”  น้ำเสียงกลั้นสะอื้นเอ่ยถามคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างเป็นกังวล

เดชานนท์ละสายตาจากประตูห้องที่เพิ่งจากมา  หันมามองภัทรที่นั่งซึมเศร้า  แล้วดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้อย่างปลอบประโลม  “ไม่หรอกน่า…ไอ้ภาตมันหึงมากไปหน่อยล่ะมั้ง  คงพูดแรงไปอย่างว่าจนน่านฟ้าตกใจน่ะ”

“พี่น่านฟ้าเค้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนะพี่นนท์  พี่ภาตเค้าก็รู้นี่  แล้วทำไมต้องว่าพี่น่านฟ้าด้วยล่ะ…”  ภัทรถามด้วยความไม่เข้าใจ  เพราะคิดว่าภาติยะน่าจะมีเหตุผลกับทุกเรื่อง

“อ้าว…ความหึงหวงมันเข้าใครออกใครที่ไหน  มันก็เข้าใจนั่นแหละ  แต่ว่าคงอดไม่ได้ต่างหาก  นี่ดีนะที่เป็นไอภาต  ถ้าเป็นคนอื่นคงลงไม้ลงมือไปแล้วมั้ง  พี่ว่านะ…”

“ถ้าภัททำแบบนั้นพี่นนท์จะทำยังไง…”  ภัทรเงยหน้าสบตากับเดชานนท์แล้วถามด้วยความอยากรู้

“ก็จะจับมัดไว้กับเตียงแล้วก็ใช้กำลังข่มขืนซะนะสิ  หึหึหึ…แค่คิดก็น่าสนุกแล้วมั้ยล่ะ”  สายตาเลื่อนลอยราวกับคิดไปไกลของเดชานนท์  ทำให้ภัทรต้องหยิกแขนอีกฝ่ายแรง ๆ อย่างหมั่นไส้

“โอ๊ยยย…น้องภัท”

“สมน้ำหน้า  คิดอะไรเอาแต่ได้…”  ภัทรต่อว่าแล้วขยับตัวหนีอีกฝ่ายอย่างโมโห  แต่ก็ถูกดึงเข้าไปกอดอีก  และคราวนี้เดชานนท์ก็กอดเขาเอาไว้แน่นไม่ให้ขยับหนีได้อีก

“อ้าว…แล้วคิดเรื่องจะให้ตัวเองเสีย  จะคิดเพื่ออะไรล่ะครับน้องภัทที่รัก”  เดชานนท์เอ่ยถามริมหูภัทรอย่างยั่วเย้า

“ไม่ต้องมาทำเรียกนะ…”  ภัทรก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างอับอาย  ดวงหน้าขึ้นสีเรื่อน่ามองจนเดชานนท์ต้องจับจ้องด้วยความเอ็นดู

ร่างบางถูกประคองนอนลงโซฟา  ปล่อยให้ดวงตาหวานฉ่ำของคนตรงหน้าจ้องมองและบ่งบอกความรู้สึกภายในมากมาย  ก่อนที่ริมฝีปากทั้งสองจะเคลื่อนเข้าหากันดูดดื่มลึกซึ้ง  ให้ดวงตาได้ปรือหลับลง  เพื่อใช้เรียวลิ้นหยอกล้อมอบความรู้สึกมากมายแทนคำพูดที่มี

++++++++++++++++++++++++

“รักพี่นนท์มั้ยครับ…”  เอ่ยถามหลังจากนอนจ้องดวงตาโตมานาน  จนอีกคนต้องหน้าเปลี่ยนสีด้วยความสะเทิ้นอาย

“บ้า…แล้วพี่นนท์รักภัทมั้ยเล่า”  ภัทรถามกลับทั้งที่หลบสายตาร่างสูงที่ทาบทับอยู่

มือใหญ่เชยคางอีกฝ่ายให้หันมามองสบตาตัวเอง  แล้วยิ้มหวานให้  ก้มหน้าเข้าแนบชิดอีกฝ่าย  แล้วกระชิบเสียงแผ่วเบาชิดริมฝีปากอิ่มที่ต้องช้ำเพราะตัวเอง  “รักสิ…”

ดวงตาใสโตขึ้นอีกเมื่อได้ฟัง  แม้จะรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า  หากก็ยังเสียงแข็ง  “รักเร็วเกินไปแล้ว…ใช้เวลาอีกซักนิดไม่ได้เหรอฮะ”

“รักน่ะมันไม่ต้องใช้เวลาซักหน่อย  เวลาน่ะเค้าเอาไว้เพื่อพิสูจน์ต่างหาก…ว่าจะหมดรักกันไปรึเปล่า”  เดชานนท์บอกด้วยรอยยิ้ม  “แล้วรักพี่นนท์มั้ยล่ะครับที่รัก…”

ภัทรยิ้มหวานส่งให้คนตรงหน้า  “ความรักน่ะมันไม่ต้องใช้เวลาซักหน่อยพี่นนท์…แต่เวลาน่ะเค้าเอาไว้พิสูจน์ใจตัวเองด้วยรู้รึเปล่า”

เดชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจนัก  คิดว่าตัวเองพูดเข้าใจยากแล้วเชียว  เจอคำพูดของภัทรเข้าไปเขาก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่  “ตกลงว่าคำตอบน้องภัทคืออะไร…”

“รอได้มั้ยล่ะครับ…”  เสียงใสเอ่ยถามอีกครั้ง  นิ้วเรียวเกลี่ยปลายจมูกโด่งของเดชานนท์เบา ๆ

เดชานนท์ยิ้มกับคำถามนั้น  ก้มลงจูบเบา ๆ บนริมฝีปากอิ่ม  แล้วกระซิบชิด  “รอสิครับ…”

คล้ายเป็นการเลื่อนเวลาสำหรับความรักออกไป  หากในความเป็นจริงแล้ว…สองใจย่อมรับรู้ถึงความรักที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว  เมื่อการกระทำผูกพันใกล้ชิดเกินกว่าใคร  หากเพียงแค่มองข้ามการกระทำนั้น…เพื่อค้นหาคำยืนยันเพียงหนึ่งคำ

‘รัก’  คำนั้น…เพียงคำเดียว


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 9
«ตอบ #88 เมื่อ29-12-2013 20:39:55 »

เธอที่รัก 9


เปลือกตาบางลืมขึ้นช้า ๆ ในความมืด  หลังจากกระพริบตาหลายครั้งจนสามารถลืมตาได้อย่างเต็มที่  สิ่งที่พบอยู่รอบตัวก็คือความมืดมิด  ด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มกลับเข้ามาครอบงำจิตใจ  ทำให้ต้องขยับกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  และนั่นทำให้รับรู้ว่าแม้ในยามนี้…เขาก็ไม่ได้อยู่เพียงผู้เดียว

แสงจากโคมไฟสว่างขึ้น  เมื่อภาติยะเอื้อมมือไปสัมผัสเบา ๆ ที่แผ่นกระจกใสบนตัวโคม  เขานั่งเฝ้าน่านฟ้ามาหลายชั่วโมงแล้ว  แม้จะคิดเอาไว้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลากลางคืน  แต่เขาเองก็ยังคงหลับตาไม่ลงอยู่ดี…

“น่านฟ้า…”  เอ่ยเรียกอีกคนเสียงเบา  แม้เกือบจะเป็นเสียงที่ไม่ได้ยิน  แต่น่านฟ้าก็ยังคงหันมามองด้วยสายตาว่างเปล่า…อย่างที่ไม่เคยเป็น

เรียวแขนเล็กจากความผอมบางสะบัดออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่  แล้วเจ้าตัวก็ทำท่าจะลุกไปจากเตียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ  หากไม่ถูกภาติยะโอบกอดเอาไว้แน่น…แต่ถึงอย่างนั้นน่านฟ้าก็ยังคงดิ้นหนีอ้อมกอดที่เคยคุ้นด้วยความน้อยอกน้อยใจ

คำพูดแม้เป็นประโยคที่ยาวเหยียด  แม้จะพูดอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว  และถึงจะไม่ได้พยายามตั้งใจฟังเหมือนที่แล้ว ๆ มา  แต่ทุกคำยังคงชัดเจนและย้ำเตือนอยู่ในสมอง  รวมถึงสลักลึกลงในหัวใจ  ราวกับมันง่ายดายนักที่เขาจะจดจำเรื่องราวความเจ็บปวดนี้เอาไว้…

“ปล่อย…จะไปหาแม่กับพี่ฝน”  แม้เสียงเอ่ยบอกจะแหบแห้ง  หากแต่ถ้อยคำนั้นกลับบอกถึงความเย็นชาได้อย่างน่าปวดใจ

ราวกับหัวใจตกลงสู่ปลายเท้าในเวลาอันรวดเร็ว  ภาติยะกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าจนน่านฟ้าหายใจไม่ออก  แม้จะได้ยินเสียงไอจากคนในอ้อมกอด  เขาก็ยังคงกอดรัดอีกฝ่ายเอาไว้แนบชิด  เพราะนึกกลัวว่าหากปล่อยให้น่านฟ้าไปในวันนี้…คงต้องสูญเสียอีกฝ่ายไปตลอดชีวิตเป็นแน่

“ปล่อย…สิ”  เสียงพูดอย่างยากลำบาก  และอาการเริ่มหอบหายใจนั้น  กลับทำให้ภาติยะกอดรัดน่านฟ้าแน่นเข้า  อย่างไม่เกรงกลัวจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปในอ้อมกอด  ราวกับว่าขอเพียงอีกฝ่ายยังอยู่ใกล้  แม้จะไร้ชีวิต…คงจะดีกว่า

“เฮ้ย…ไอ้ภาต”  เสียงเดชานนท์เรียกเพื่อนสนิทดังขึ้น  ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งเข้ามาแยกน่านฟ้าออกจากภาติยะอย่างรวดเร็ว  จนอีกคนรีบซุกซบเข้ากับอกเขาด้วยความหวาดกลัว…

นับว่าเป็นโชคดีของน่านฟ้าที่มีเพื่อนอย่างเดชานนท์  เมื่อคราวแรกอีกฝ่ายตั้งใจเพียงจะแง้มประตูดูเหตุการณ์ภายใน  แต่ภาพแรกที่เห็นก็คืออาการหายใจไม่ออกของเพื่อนสนิท  จนต้องรีบเปิดประตูวิ่งเข้ามานั่นแหละ…ภาติยะที่รู้ทันก็เลยต้องเอาอารมณ์บางส่วนมาบริภาษเพื่อนสนิทที่มันช่างสอดรู้สอดเห็นเสียเหลือเกิน

“เป็นอะไรมั้ยน่านฟ้า”  เมื่อละสายตาจากภาติยะ  เดชานนท์ก็ก้มลงถามน่านฟ้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  มือเลื่อนลูบเบา ๆ บนเส้นผมนุ่มด้วยความเคยชิน…

ภาพของน่านฟ้าที่กอดเอวซบหน้าเข้ากับเดชานนท์แบบอ้อน ๆ นั้น  ทำให้ภาติยะแทบจะพ่นไฟใส่เพื่อนสนิทจอมเจ้าเล่ห์ที่เงยหน้ามายักคิ้วให้…ถ้าเขาทำได้  แต่ดูเหมือนเดชานนท์ก็จะไม่กวนใจภาติยะนานนัก  เมื่อภัทรก้าวเข้ามาในห้องและจับจ้องอยู่ที่เขาไม่วางตา

“พากลับบ้านหน่อยสินนท์…”  เสียงน่ารัก ๆ ของน่านฟ้าออดอ้อนแกมขอร้องกับเดชานนท์  แค่นั้นคนที่เคยนึกสนุกอยู่ก็กลับสงสารภาติยะขึ้นมาจับใจ  เมื่ออีกฝ่ายทำได้แค่ก้มหน้านิ่งแถมยังกำมือแน่นจนนิ้วซีดขาว…

“จะกลับจริง ๆ นะเหรอน่านฟ้า  จะปล่อยไอ้ภาตมันอยู่คนเดียวจริง ๆ เหรอ”  เดชานนท์พยายามตั้งคำถามเพื่อทดสอบจิตใจน่านฟ้า  ด้วยความอยากรู้และอยากจะช่วยเพื่อนเป็นเหตุ

น่านฟ้ามีอาการกระสับกระส่ายด้วยความไม่แน่ใจ  มือบางกำเสื้อเดชานนท์ไว้แน่น  หากก็ไม่กล้าเอ่ยตอบคำถามนั้น  ทำให้อีกสามคนที่คอยมองอยู่ยิ้มขึ้นมาได้…

แล้วเดชานนท์ก็พยายามคิดหาคำพูดมาเกลี่ยกล่อมอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้กลับบ้าน  โดยลองสมมติเอาว่าน่านฟ้าคงจะขี้หึงเหมือนกับภาติยะ…ดังนั้นคงต้องให้แสดงความหึงหวงออกมาให้ได้

“ถ้าทิ้งไอภาตไปแล้ว  จะไม่ห่วงมันเลยเหรอ…”  เดชานนท์ถามหยั่งเชิงขึ้นมา  น่านฟ้ายังคงไม่ตอบแต่มือกลับกำเสื้อเดชานนท์แน่นขึ้นอีก 

“แล้วถ้าไอภาตมันไปมีคนใหม่ล่ะ  ถ้ามันเอาคนอื่นมาอยู่ด้วยที่คอนโดเนี่ย  น่านฟ้าจะดีใจใช่มั้ย…”  เป็นคำถามอีกระลอกที่ทำเอาน่านฟ้าชักจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหว  แต่ก็ทำแค่เพียงหันไปมองภาติยะอย่างสับสน

ภาติยะที่เกือบจะเข้าไปขย้ำคอเดชานนท์ในตอนแรก  เริ่มจะนั่งนิ่ง ๆ ได้  เมื่อเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของน่านฟ้าที่ดูเหมือนจะหวงเขาอยู่ไม่ใช่น้อย  รู้ว่าตัวเองยังคงมีโอกาสฉุดรั้งอีกฝ่ายไว้ได้  จึงตัดสินใจปล่อยให้เดชานนท์จัดการเรื่องทั้งหมด  โดยเขาและภัทรคอยลุ้นอยู่ห่าง ๆ

“เงียบ…แสดงว่าไม่ได้ห่วงอะไร  ถ้าอย่างนั้นเก็บกระเป๋าก่อนสิ  เดี๋ยวนนท์กับน้องภัทจะไปส่งที่บ้านให้  เอ…บ้านคุณแม่เนี่ย  ไม่ใช่บ้านที่นี่ใช่รึเปล่า  ก็คุณแม่เลิกกับคุณพ่อแล้วนี่เนอะ  อ๋อ…อยู่จังหวัดที่เก้าสิบเก้าใช่มั้ย  ถ้างั้นน่านฟ้าก็ต้องย้ายไปเรียนที่นู่นด้วยเหรอ  อ้าวก็อดเจอเรากับไอ้ภาตด้วยสิ  ไม่ดีเลยเนาะ”  เดชานนท์ยังคงพูดไปเรื่อย ๆ แม้ว่าน่านฟ้าจะเริ่มส่ายหน้าไปมาปฏิเสธคำพูดหลาย ๆ คำของเขาแล้ว  แต่เขาก็แกล้งมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น

“นนท์ ๆ เดี๋ยวสิ…”  น่านฟ้ากระตุกเสื้อเดชานนท์เอาไว้  ให้อีกฝ่ายหันมาสนใจตัวเอง  เมื่อเห็นอีกฝ่ายมัวแต่ทำท่าครุ่นคิดอยู่นั่น…

“หือ…อ๋อ  จะให้รีบไปส่งเลยเหรอ  ได้สิ…น้องภัทเก็บกระเป๋าช่วยพี่น่านฟ้าหน่อยสิครับ”  เดชานนท์ยังคงสนุกไม่เลิก…ภัทรก็เกือบจะเห็นดีเห็นงามด้วยถ้าน่านฟ้าไม่ส่งเสียงขัดขึ้นมาก่อน

“ไม่เก็บนะ…ไม่ไปนะ  ภาต ๆ”  น่านฟ้าขยับออกจากอ้อมกอดของเดชานนท์โผเข้าหาภาติยะด้วยความเคยชินทันที

ภาติยะรีบขยับเข้าหาน่านฟ้าด้วยความรวดเร็ว  เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาซบอยู่กับอก  เขาก็ยิ้มออกมาได้  ใบหน้าคมซบอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นอย่างดีใจ  คอยฟังเสียงน่านฟ้าร้องบอกว่าจะไม่ยอมไปไหนอย่างเป็นสุข  โดยไม่สนใจสักนิดว่าเดชานนท์และภัทรจะเดินออกจากห้องไปอย่างหมั่นไส้เพียงไร

“เดี๋ยวก่อน…”  อยู่ ๆ น่านฟ้าก็ดันภาติยะออกห่าง  ดวงตาโตที่จ้องมองยังคงมีแววตื่นกลัวอยู่บ้าง  แต่อีกฝ่ายก็ยังคงยืนยันเจตนารมณ์ที่ให้ไว้เมื่อครู่  “อยู่ต่อ…แต่ไม่อยู่ห้องนี้แล้ว  จะย้ายไปนอนห้องนู้น”

คำพูดของน่านฟ้าถึงกับทำให้ภาติยะตาค้าง  เขาส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมในทันใด  “ไม่เอา…ถ้าจะไปนอนห้องอื่น  จะให้ไอนนท์มันไปส่งบ้านซะ  ไม่อยากอยู่ก็ไม่บังคับหรอก”

น่านฟ้ากัดริมฝีปากอย่างน้อยใจ  ทำท่าจะลุกจากเตียงไปจัดกระเป๋าอีกครั้ง  แต่ก็ชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าใส่ใจเหมือนแต่ก่อน  เมื่อหันไปมองก็เห็นภาติยะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเสียอย่างนั้น  นิ้วเรียวจิ้มไปบนที่นอนด้วยไม่รู้จะทำอะไรต่อไป  แล้วก็เริ่มร้องไห้เงียบ ๆ อย่างเสียขวัญขึ้นมาอีก  อีกมือจึงต้องยกขึ้นปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร…จนภาติยะอดไม่ไหวนั่นแหละ

“โอ๋…เด็กดี”  เสียงเอ่ยปลอบอยู่ข้าง ๆ หู  เมื่อภาติยะเข้ามาโอบกอดร่างบางเอาไว้  แล้วเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบาแถมยังถือโอกาสหอมแก้มเนียนด้วยเสียอีก

“นอนห้องนี้ก็ได้…ไม่กลับบ้านได้มั้ยภาต”  เสียงเจือสะอื้นเอ่ยถามอย่างอ้อนวอนจนภาติยะต้องก้มลงหอมแก้มอย่างพะเน้าพะนอเอาใจ

“ครับ ๆ  ไม่ให้กลับบ้านหรอกน่า…อย่าโกรธภาตเลยนะ  ภาตพูดไม่ดีเพราะว่าทั้งหึงทั้งหวงน่านฟ้ามากไปหน่อย  ภาตน่ะรักน่านฟ้ามาก  ก็เลยกลัวว่าน่านฟ้าจะให้คนอื่นมาแตะต้องอีก  ก็คนมันหวงนี่นา”

น่านฟ้าตาโต  หันไปมองภาติยะแล้วถามต่อ  “แล้วถ้าพูดมาแล้วเราไม่เข้าใจล่ะ  ภาตจะโกรธอีกมั้ย”

ภาติยะเพิ่งจะรู้ซึ้งคราวนี้เองว่าน่านฟ้าเป็นคนที่มีความจำยอดเยี่ยมคนนึง  เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะจำประโยคที่เขาพูดไปด้วยความไม่ตั้งใจนั่นได้ทั้งหมด  “ขอโทษ…น่านฟ้าอย่าใส่ใจที่ภาตพูดเลย  ภาตไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แค่หึงมากไปแค่นั้นเองนี่นา”

น่านฟ้าขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักแล้วถามอีก  “แล้วภาตหึงทำไมล่ะ…”

“อ้าว…”  ภาติยะตั้งท่าตอบในทันใด  “ก็คนมันรักนี่ก็ต้องหึงสิ  ถ้าไม่รักแล้วจะหึงทำไมล่ะครับ  อ้อ…หวงมาก ๆ ด้วยรู้รึเปล่า  ถ้าเข้าใกล้คนอื่นอีกก็จะเป็นอีก  เพราะฉะนั้นก็ห้ามเข้าใกล้ใครอีก”

น่านฟ้าก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างอาย ๆ  นั่นทำให้ภาติยะรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแน่นอน  “ก็เข้าใกล้แค่น้องภัทเอง  นนท์ด้วย…แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ  ก็ไหนว่าสนิทกันไง”

“ได้น่ะมันได้  แต่ให้ถึงเนื้อถึงตัวนี่น่ะ  ทำใจไม่ได้หรอกครับที่รัก…ก็มันหวงอะน่านฟ้าก็”  คนตัวโตออดอ้อนด้วยการซบเข้ากับแผ่นอกบาง  จนน่านฟ้าหัวเราะเบา ๆ ด้วยความจักจี้

“ก็แค่น้องภัทคนเดียวเองนี่นา  ไม่ได้จะให้นนท์ทำด้วยซะหน่อย  ก็อาย…”  น่านฟ้าอ้อมแอ้มบอก  ทำให้ภาติยะเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะอย่างชอบใจ

“อายไอนนท์เหรอ…น่ารักจังเลยนะน่านฟ้า  แสดงว่าก็ต้องรักภาตอยู่ล่ะสิ  ถึงได้อายคนอื่นแบบนี้”  ภาติยะปะติดปะต่อเรื่องเข้าหากันอย่างรวดเร็ว  ด้วยการเดาของตนเองล้วน ๆ

น่านฟ้าก้มหน้าหนีภาติยะอีกครั้ง  แต่ก็ถูกอีกฝ่ายเชยคางกลับมาสบตาจนได้  คำถามจริงจังจากแววตานั้นทำให้ต้องเอ่ยตอบไปอย่างเขินจัด  “ก็รักสิ  ก็มีภาตคนเดียวนี่นา”

ภาติยะยิ้มจนแก้มแทบปริ  เขาดึงน่านฟ้าเข้ามากอดเอาไว้แน่น  “ภาตก็รักน่านฟ้าเหมือนกันแหละ…ดีจังนะที่น่านฟ้าไม่หนีกลับบ้านไป  นึกว่าจะเป็นเหมือนคราวก่อนที่ไอ้พวกรุ่นพี่บ้าพวกนั้นมันลากไป  พอตื่นขึ้นมาก็ไม่ยอมกลับบ้านอีก”

“ภาตกลัวเราจะกลับบ้านไปแล้วไม่กลับมาหาเหรอ…”  น่านฟ้าถามอย่างใคร่รู้

“กลัวสิ  ก็ทำท่าเย็นชาขนาดนั้นนี่นา”  ภาติยะพูดแล้วก็กอดน่านฟ้าแน่นขึ้นอีก  จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มบางจากดวงหน้าหวานที่ซบอยู่กับไหล่เขาอย่างมีความสุข

“ไม่ไปหรอก  แค่คิดว่าจะไปเฉย ๆ เอง  แค่คิดจริง ๆ นะ…”  เสียงใสพูดอย่างจริงจังจนภาติยะต้องขยับออกมาประทับรอยจูบลงบนหน้าผากมนเป็นรางวัล

“ภาตก็ไม่ให้ไปซะหน่อย  กะว่าถ้าคิดจะไปให้ได้  จะจับล่ามโซ่ไว้กับเตียงเลยล่ะ  แล้วก็จะไม่ให้ไปมหา’ลัย  แล้วถ้าดื้อมาก ๆ ล่ะก็จะข่มขืนซะเลย  ดูซิว่าจะคิดหนีอีกมั้ย”  คนพูดเริ่มจินตนาการอย่างนึกสนุกขึ้นมา

น่านฟ้าตาโตขึ้นมาอีกเมื่อได้ฟัง  “ข่มขืนด้วยเหรอ…”  เจ้าตัวเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นราวกับว่านั่นเป็นเรื่องสนุกสนานจนภาติยะต้องกุมขมับเมื่อดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ

“ดีจังนะภาต…เอาไว้ว่าง ๆ ลองเล่นกันดูมั้ยจับล่ามโซ่ไว้กับเตียงเลยเหรอ  คงไม่เจ็บเนาะ  อื้อ…”  น่านฟ้าดินรนเมื่ออยู่ ๆ ภาติยะก็เอามือปิดปากไม่ให้เขาพูดต่อ

“อย่าดิ้นสิ”  สัมผัสแผ่วเบาที่ติ่งหูทำให้น่านฟ้าตัวสั่นสะท้านขึ้นมา  ภาติยะยังคงเม้มเบา ๆ ที่ติ่งหูนั้นอย่างมันเขี้ยว  ก่อนจะลากริมฝีปากลงสู่ซอกคอขาวแล้วกดประทับรอยสีแดงเรื่อเอาไว้

“เอาไว้ถ้าทำตัวน่ารักจนห้ามใจไม่ไหวเมื่อไหร่…จะสอนให้ว่าเค้าข่มขืนกันยังไง  ดีมั้ยครับที่รัก” 

มือใหญ่ข้างหนึ่งสอดประสานไว้กับมือเล็กนุ่ม  แล้วเอ่ยกระซิบเบา ๆ แต่หมายมาดให้อีกฝ่ายได้ยินชัดเจน  อดยิ้มไม่ได้เมื่อดวงหน้าหวานพยักตอบรับด้วยความเข้าใจ  และดูเหมือนจะพยายามคิดหาวิธีทำตัวน่ารัก ๆ  เพื่อให้เขาต้องอดใจไม่ไหวในที่สุด…ช่างเข้าใจอะไรง่ายดีเสียจริง

“ดีจัง…เดี๋ยวจะทำตัวน่ารัก ๆ ให้ภาตทนไม่ไหวเร็ว ๆ เลยล่ะ”

แม้จะพูดด้วยความไร้เดียงสา  แต่ครานี้เห็นทีภาติยะจะทึกทักเอาว่า  ‘ความร้ายเดียงสา’  ของน่านฟ้านั้นช่างน่ารักเกินขีดความน่ารักทั่วไปเสียเหลือเกิน  แล้วถ้าเขาต้องทนไม่ไหวขึ้นมาจะโทษใครกันล่ะเนี่ย…

โทษความน่ารักของน่านฟ้า…หรือความไม่ยับยั้งชั่งใจของตัวเองกัน 


ออฟไลน์ เงาใต้น้ำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +116/-3
เธอที่รัก 10
«ตอบ #89 เมื่อ29-12-2013 20:40:53 »

เธอที่รัก 10



บรรดาชายหนุ่มหญิงสาวที่เดินผ่านโต๊ะหินอ่อนใต้ร่มลีลาวดี  ต่างจ้องมองภาพตรงหน้าไม่วางตา  ดอกสีขาวบริสุทธิ์ร่วงหล่นตามกาล  ส่งให้สิ่งที่มองเห็นเป็นราวภาพฝันที่ละสายตาจากไปไม่ได้  หากคนที่อยู่ตรงนั้นบางคนกลับมองภาพตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ยากบรรยาย…

ดวงหน้าที่หวานเกินชายแดงระเรื่อจากการหัวเราะแบบไม่มีจังหวะให้หยุด  เนื่องจากคนข้าง ๆ พยายามเหลือเกินในการกลั่นแกล้งเขา  หากเดชานนท์ที่ได้แต่นั่งมองกลับคิดว่าภาติยะจงใจลวนลามน่านฟ้าแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนต่างหาก

ริมฝีปากที่ซุกซนไปทั่วดวงหน้าของน่านฟ้านั่นแหละคือเครื่องยืนยัน  ว่าไอ้เพื่อนที่แสนเลวมันกำลังลวนลามเพื่อนที่น่ารักของเขา  แต่ก็ขี้เกียจจะห้ามเต็มที  เพราะดูเหมือนยิ่งห้ามจะเหมือนยิ่งยุเสียมากกว่า  แค่นั่งดูและรอให้น้องรหัสสุดที่รักของเขาเลิกเรียนและพากลับบ้านให้พ้นหน้าพ้นตาสองคนนี้ก็พอแล้ว…พลันความคิดก็หยุดชะงัก  เมื่อเสียงหนึ่งทักขึ้น

“ไอ้นนท์…”  เสียงเรียกทำให้เดชานนท์ต้องหันไปมองที่มา  และภาติยะกับน่านฟ้าก็หยุดหยอกกันทันทีเช่นกัน

“อ้าว…เฮ้ย!  มาไงวะเฮีย  เอ้ย…มาไงครับเฮีย”  เจ้าตัวรีบแก้ไขคำพูดตัวเองเมื่อมือใหญ่ ๆ กำลังจะสะบัดมาถึงศรีษะของเขา

น่านฟ้ามองธราดลที่เดินเข้ามาหาเดชานนท์  แล้วทำตาโตเมื่อเห็นคนข้างหลังชายหนุ่มรุ่นพี่  ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับทั้งสองคน  แต่จำไม่ได้ว่าจากเหตุการณ์แบบไหนเท่านั้นเอง…

“เมื่อวันพุธไปบ้านแกมาว่ะ  แต่คุณลุงบอกแกไปนอนบ้านเพื่อน  ชั้นเอาขนมไปฝากน่ะ  ไปเที่ยวมา  โดนบ่นยาวเลยว่ะ  หาว่าไปเที่ยวรีสอร์ตท่านแล้วเอาขนมที่รีสอร์ตมาฝาก  แบบว่าอัฐยายซื้อขนมยาย  งงว่ะ  อัฐชั้นซื้อขนมแม่แกไม่ใช่เหรอวะ…”  ธราดลถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ เดชานนท์ก่อนหันไปดึงตรีภพให้นั่งลงด้วยกัน  และไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะสนใจน่านฟ้าแค่ไหน

เดชานนท์หัวเราะขบขันกับคำเปรียบเปรยของลูกพี่ลูกน้อง  ก่อนจะฉุกคิดได้  “เฮียไปเที่ยวริมธารามาเหรอ  ไปตอนไหนทำไมผมไม่รู้วะ  แล้วทำไมไม่ลงทุนหน่อยว้า…แถวข้างทางผลไม้เยอะจะตาย  ดันไปซื้อขนมในรีสอร์ตมาฝากคุณแม่ซะนี่  ประสาท…”

“อ้าว…ไอ้น้องเวร  ก็เห็นมันอร่อยโว้ย  คุณป้าอาจจะเบื่อ  แต่คุณลุงกับพี่ ๆ เค้าไม่เบื่อนี่หว่า  คุณป้าโมโหเพราะเห็นว่าไปรีสอร์ตพร้อมกันกับแก  แต่ไม่บอกล่วงหน้าโว้ย  เลยบ่นยาว…ก็ไปฮันนีมูนนี่หว่าจะบอกใครทำไมวะ”  แล้วธราดลก็หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ  เมื่อเห็นหน้าเดชานนท์เหวอสนิท  เพราะตกใจคำพูดของเขา

ยังไม่ได้ตั้งคำถามเดชานนท์ก็เงียบไป  เมื่อหันไปเห็นน่านฟ้าขยับเข้าไปชิดคนที่น่าจะเรียกได้ว่าน่าจะเป็นพี่สะใภ้ของเขา  แถมหน้าหวาน ๆ นั่นยังขยับเข้าไปจ้องหน้าหล่อเหลาของอีกคนจนแทบแนบกันได้สนิท…

ภาติยะกับธราดลได้แต่มองภาพนั้นนิ่งเฉย  แต่ถ้าเหตุการณ์มีทีท่าเกินเลยเมื่อไหร่ทั้งคู่ก็เตรียมตัวจะแยกทั้งสองคนออกจากกันทันทีเช่นกัน

ตรีภพหัวเราะออกมาเพียงเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีของน่านฟ้า  เพราะท่าทีไร้เดียงสาและน่ารักอย่างนี้นี่ล่ะ  เขาถึงได้หลงใหลคลั่งไคล้อยู่นาน  จนความรู้สึกนั้นปิดบังความรักที่มีไว้ได้หมด  ก็คิดอยู่ว่าถ้าฟ้าฝนไม่เป็นใจ  เขากับธราดลจะมีวันที่เข้าใจกันแบบนี้ไหม…

“หน้าคุ้น ๆ ล่ะ  ต้องเคยเห็นแน่ ๆ เลย”  น่านฟ้าพูดขึ้นมาทั้งที่พยายามครุ่นคิดจนคิ้วขมวดเข้าหากัน  “ที่ไหนน้า…”

ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะเคร่งเครียดกับสิ่งที่หลงลืมไป  ทำให้ตรีภพเลือกที่จะดึงน่านฟ้าเข้ามากอดเอาไว้หลวม ๆ  แล้วเอ่ยเฉลยให้ฟัง  “เอกศาสตร์แผนกประถม  ก่อนน่านฟ้าจะย้ายเข้ากรุงเทพฯ ตอนมัธยมไงเล่า…”

ธราดลมองคนในอ้อมกอดคนรักอย่างแปลกใจ  ความทรงจำถูกประมวลผลราวเครื่องจักรกล  ก่อนจะตบเข่าฉาดเมื่อนึกออก  “อ๋อ…ดาวเอกศาสตร์ที่น่ารัก ๆ นั่นน่ะเหรอ  เรียนห้องเดียวกันมาตั้งหกปี  ทำไมลืมไปได้นะเนี่ย  ว่าแต่เข้ากรุงเทพฯ  มาด้วยกันแท้ ๆ  ไม่น่าแยกกันไปเลยนะพวกเราเนี่ย”

น่านฟ้าเริ่มจะนึกออกบ้าง  เขายิ้มอย่างดีใจที่อย่างน้อยก็ได้เจอเพื่อนเก่าบ้าง  ก่อนจะทำหน้าสลดลงเมื่อนึกถึงบางเรื่องออกด้วย  “ตอนเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ตามเพื่อนไม่ทัน  เพราะขาดเรียนบ่อย…แพ้อากาศน่ะ  ที่นี่ร้อนกว่าบ้านเก่าเยอะ  คุณพ่อโกรธก็เลยให้ลาออก  แม่เลยจ้างครูมาสอนที่บ้านแล้วปีต่อมาก็สอบโรงเรียนใหม่ได้น่ะ  ก็เลยไม่ได้เจอกันทั้ง ๆ ที่ตอนแรกก็เข้าโรงเรียนเดียวกันแล้วแท้ ๆ  แต่อยู่คนละห้องไง  จริง ๆ ก็ได้ไปเรียนแค่ไม่กี่วันเอง”

ภาติยะที่นั่งฟังน่านฟ้าพูดเรื่องสำคัญได้อย่างยาวนานอดรู้สึกทึ่งไม่ได้  เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าน่านฟ้าก็ไม่ได้หัวช้าอะไรมากนัก  เพียงแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับรู้อะไรเสียมากกว่า…เขานั่งฟังทั้งสามคนพูดถึงเรื่องราวในอดีตอย่างเพลิดเพลิน  จนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภัทรเข้ามาร่วมวงด้วยตอนไหน  แต่ทั้งหกคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนานกับอดีตอันแสนซนของรุ่นพี่ทั้งสองและน่านฟ้า  จนกระทั่งเวลาร่ำลามาถึง

ธราดลกับตรีภพเป็นฝ่ายเอ่ยลาขึ้นมาก่อน  แต่เมื่อทั้งสองลุกขึ้นยืน  ก็ต้องเจอคำพูดกวนประสาทของเดชานนท์  ที่เล่นเอาตรีภพแทบจะแทรกแผ่นดินหนีคนทั้งหมดเมื่อได้ฟัง

 “แจกการ์ดเมื่อไหร่ก็อย่าลืมผมนะเฮีย  ผมจะรีบถลาไปขอช่วยงานเลย  รับรองได้…”

ธราดลดูเหมือนจะพอใจ  เมื่อยื่นมือมาตบไหล่ลูกพี่ลูกน้องตัวดีแทนคำขอบใจ  “เออ…แล้วจะบอกแกคนแรกเลยว่ะน้องชาย”  แม้จะอยากพูดต่อแต่เขาก็ถูกตรีภพดึงไปจากวงสนทนาอย่างรวดเร็ว  ให้ที่เหลือได้แต่มองตามพร้อมเสียงหัวเราะ  ที่ทำให้เจ้าชายน้ำแข็งอย่างตรีภพต้องอับอาย

“ได้เรื่องมั้ยละแก  ไอเพื่อนปากปีจอ…”  ภาติยะอดหยอกตามประสาไม่ได้

“ไม่ใช่ชั้นนี่หว่าไอ้ภาต…ที่ได้เรื่องน่ะ  เฮียดลโว้ย  สะใจดีว่ะ”  เดชานนท์โต้กลับอย่างไม่สำนึก  จนกระทั่งภัทรลุกหนีเขาไปนั่นแหละ  มโนสำนึกถึงกลับมา  “เฮ้ย…กลับก่อนนะ  ที่รักงอนอีกแล้วว่ะ”

ภาติยะได้แต่มองตามเพื่อนสนิทไปด้วยความระอา  เพราะรู้ว่าเพื่อนของเขาเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา  ไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สมกับอะไรง่าย ๆ เท่าไหร่  คิดไปคิดมามันก็พวกเดียวกับเขานี่แหละ  เมื่อคิดจนปลงตก  เขาก็จูงมือน่านฟ้าให้ลุกขึ้นแล้วพากลับคอนโดก่อนที่จะดึกดื่น

++++++++++++++++++++++++++
เสียงประตูลิฟท์เปิดออก  ทำให้หญิงสาวที่กำลังจะก้าวขึ้นลิฟท์เงยหน้าขึ้น  แล้วเธอก็นิ่งไปเมื่อเห็นอีกสองคนที่กำลังก้าวออกมาจากด้านใน  ภาติยะที่กำลังจูงมือน่านฟ้าออกจากลิฟท์ตกใจจนแทบก้าวขาไม่ออก  หากไม่ห่วงในสวัสดิภาพของน่านฟ้าเขาก็คงจะยืนอยู่ตรงนั้น  ไม่ขยับไปไหนเป็นแน่

มือบางเกาะกุมมือใหญ่แน่นเข้าเมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า  ดวงหน้าหวานซบลงกับต้นแขนของภาติยะคล้ายต้องการที่พึ่ง  จนภาติยะต้องปล่อยมือมาโอบเอวบางเข้าหาตัวราวกับเป็นการยืนยันถึงความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ทั้งน่านฟ้าและนพมาศได้รับรู้

“มีธุระกับภาตเหรอครับมาศ  เข้าไปคุยกันในห้องก่อนดีมั้ย”  ภาติยะเอ่ยกับนพมาศหลังจากตั้งสติได้  แล้วโอบเอวน่านฟ้าเดินนำหญิงสาวไปที่ห้องของตน…

++++++++++++++++++++++++++

เข้ามาถึงในห้อง  น่านฟ้าก็แยกตัวมาที่ห้องครัว  ปล่อยให้ภาติยะนั่งคุยกับนพมาศที่ส่วนรับแขก  ดูเหมือนความคิดของเขาจะล่องลอย  จนถึงขนาดรินน้ำล้นแก้วไปหลายรอบ  มือบางยกขึ้นลูบหน้าตัวเองก่อนจะตั้งสติลงมือรินน้ำใหม่อีกครั้ง  เจ้าตัวยิ้มออกมาได้ที่คราวนี้เขารินน้ำได้โดยที่ไม่ล้น  แล้วก็ต้องตั้งสติอีกรอบเพื่อยกน้ำออกมาด้านนอก

แก้วน้ำถูกวางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าของนพมาศพอดี  น่านฟ้าที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับหญิงสาวทำท่าจะเดินผละออกมา  หากไม่โดนมือของภาติยะยื้อยุดเอาไว้  รู้ตัวอีกทีเขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ภาติยะเสียแล้ว  ร่างบางนั่งก้มหน้าสติเลื่อนลอย  เสียงของสองคนที่คุยกันราวกับดังอยู่ในที่ไกล ๆ ถึงจะพยายามเงี่ยหูฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลย…

“…ฟ้า…น่านฟ้าครับ  น่านฟ้า  นี่…ที่รัก”  เสียงที่กระทบโสตประสาท  ทำให้ดวงตาโตต้องช้อนมองคนเรียกช้า ๆ  สติสตังเริ่มจะกลับมาครบ
เมื่อหันมองไปรอบ ๆ ห้อง  ก็พบเพียงภาติยะและตัวเขานั่งอยู่เพียงสองคน  “มาศไปไหนล่ะ  เข้าห้องน้ำเหรอภาต”

ภาติยะมองน่านฟ้างง ๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จริง ๆ ว่านพมาศกลับไปเมื่อสักครู่  “อย่าบอกนะว่าไม่รู้เลยว่าภาตกับมาศคุยอะไรกัน  นี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่ามาศกลับไปเมื่อกี้  ภาตเพิ่งเดินออกไปส่งมาเนี่ยล่ะ”

น่านฟ้าส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ  ก่อนจะนึกขึ้นมาได้  “แล้วคุยกันเรื่องอะไรเหรอ…จะกลับมาเป็นแฟนกันอีกเหรอ”  ร่างบางถามอย่างกังวลใจ

ภาติยะยกมือลูบหน้าท่าทางเครียด ๆ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ เป็นการยอมรับ  “สงสัยคงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะ  มาศกำลังมีปัญหาน่ะ  พ่อเค้าจะให้หมั้นกับเจ้าของโครงการคอนโดริมน้ำน่ะ  นั่นน่ะรุ่นพ่อเชียวนะ…ภาตเลยต้องช่วยโกหกว่าเป็นแฟนเค้าไปสักพัก  บางทีก็คงต้องกลับมาคบกันจริง ๆ ล่ะมั้ง  เค้ายังมีใจกับภาตไม่เปลี่ยนเลย  บางทีอาจจะเป็นเพราะภาตผิดเองล่ะมั้ง  ที่ไม่ใส่ใจเค้าให้มากกว่านั้น”

น่านฟ้าส่ายหน้าไปมาไม่หยุด  ดวงตาคลอน้ำใสอย่างรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ฟัง  หากภาติยะกลับทำได้แค่เพียงยกมือลูบผมเป็นการปลอบใจ  ปล่อยให้หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากดวงตาคู่ใสไม่ขาดสาย  ริมฝีปากอิ่มถูกกัดจนแดงช้ำ  แม้จะสงสารจับใจแต่ภาติยะก็เลือกที่จะมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ

“ภาติยะ…คนโกหก  คนหลอกลวง”  น่านฟ้าต่อว่าอีกคนด้วยเสียงสั่นเครือ  ก่อนที่จะลุกหนีวิ่งเข้าห้องนอนไป  โดยภาติยะไม่ได้คิดจะลุกตามแต่อย่างใด

++++++++++++++++++++++++++

ร่างบางซุกหน้าเข้ากับหมอนร้องไห้จนตัวสั่น  กระนั้นก็ยังคงมีเสียงสะอื้นลอดผ่านออกมาได้  มือบางที่กำแน่นทุบหมอนไปหลายครั้ง  แต่ดูเหมือนมันจะไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่มีในหัวใจให้ลดลงได้  ถึงวันนี้ถึงเข้าใจที่ใคร ๆ เคยพูด  ‘ความสุข  มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน’

ที่ผ่านมานั้นเคยมีความสุขมากมาย  และดูเหมือนจะได้ใช้ความรู้สึกไปกับมันอย่างคุ้มค่าแล้ว  แต่เรื่องที่แสนเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพียงครั้ง  หรือไม่กี่ครั้งกลับช่วงชิงความรู้สึกในช่วงเวลาดี ๆ ไปได้หมด  น่านฟ้าก็คงจะเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่เข้าใจ…ว่าทำไมคนเราจดจำความเศร้าใจได้ดีกว่าความสุขใจ

คงเพราะความปวดร้าวมันแทรกลึกลงไปในความทรงจำ…และฝังลึกลงไปในหัวใจด้วยกระมัง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด