ตอนที่ 17 คู่แข่ง
ตฤณกรมาที่บ้านของอาทิตย์ทัศน์ในตอนเช้าวันอาทิตย์....
“จ้า เดี๋ยวแม่จะออกไปร้านนะลูก” อรนุชบอกลูกชายที่กำลังเดินลงบันไดมา ชายหนุ่มเหลือบมองคนที่กำลังนั่งให้อาหารปลาอย่างสบายใจที่ระเบียงก่อนจะพยักหน้ากับผู้เป็นแม่
“อ้อ แล้วก็เมื่อวานแม่รื้อห้องเก็บของเจอกล่องใส่ของของลูกน่ะ ไม่รู้ว่ายังจะเก็บไว้อยู่ไหม ลูกลองดูก็แล้วกันแม่วางไว้ใต้โต๊ะข้างชั้นหนังสือโน่นน่ะ” เธอพูดพร้อมกับชี้ไปที่กล่องพลาสติกใบใหญ่ที่วางแอบอยู่ตะโต๊ะข้างชั้นวางหนังสือซึ่งอาทิตย์ทัศน์เกือบจะลืมมันไปแล้ว
“ครับแม่” ชายหนุ่มรับคำก่อนจะเดินออกไปจากบ้านเพื่อเปิดประตูรั้วส่งแม่ของเขา ครู่หนึ่งอาทิตย์ทัศน์ก็เดินกลับเข้ามาในบ้านก่อนหายเข้าไปในครัว
“คุณทานอะไรมาแล้วหรือยัง” เสียงที่ดังขึ้นจากในครัวทำให้คนที่กำลังเพลินอยู่กับการมองปลาคราฟเผลอยิ้มออกมา บ่อยครั้งที่เขามักจะถูกถามด้วยคำถามสั้น ๆ แต่แฝงความห่วงใยเช่นนี้ ตฤณกรลุกขึ้นก่อนจะเดินตามเข้าไป
“ยังครับ”
“อยากทานอะไรเดี๋ยวผมทำให้ทาน”
“อืม...ถ้าอย่างนั้นผมขอไก่อบฟาง แล้วก็หมูหันนะ” คนตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะ
“ได้” อาทิตย์ทัศน์ที่ยืนหันหลังให้ตอบเพียงสั้น ๆ ทำเอาตฤณกรรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้คนตรงหน้าไม่คิดจะตอบโต้คำพูดกวนประสาทของเขา
คนตัวสูงนั่งลงเท้าคางรอที่โต๊ะอาหารตาคมยังคงจดจ้องไปที่แผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าที่กำลังทำนู่นทำนี่เสียงดังก๊อกแก๊ก ครู่หนึ่งอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ตฤณกรก้มมองไข่เจียวสีเหลืองทองในจานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังตักข้าวใส่จานให้
“เฮ้ย! นี่มันไข่เจียวหมูสับนะคุณ”
“ก็นี่ไง ไก่อบฟางกับหมูหันแต่มันยังเป็นไข่อยู่ทั้งไก่และหมู ถ้ารอฟักคุณคงหิวตายพอดี”
“หมูที่ไหนออกลูกเป็นไข่ คุณนี่มันแสบจริง ๆ” ตฤณกรส่ายหน้ายิ้ม ๆ
“รีบทานเข้า อย่ามัวพูดมากอยู่” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะหันไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำโดนัท
“อร่อยจัง” คนตัวสูงที่กำลังนั่งเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ เอ่ยขึ้น
อาทิตย์ทัศน์หันมาก่อนจะกล่าว “พูดอย่างกับไม่เคยทานอย่างนั้นแหละ”
“เคยทานน่ะเคยอยู่หรอกครับ แต่ไม่เคยทานแบบที่คุณทำให้ทาน”
หน้าระบายยิ้มของคนที่กำลังนั่งเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อย่างมีความสุข ทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องหันหน้าหนีเพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มเล็ก ๆ ของตัวเองเอาไว้
“จะหน้าหนาวแล้วนะคุณ คุณวางแผนเที่ยวหรือยัง ผมรอโปสการ์ดอยู่นะครับ”
อาทิตย์ทัศน์ที่กำลังใช้กรรไรตัดถุงแป้งสาลีอยู่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะนึกถึงโปสการ์ดที่ได้รับล่าสุดจากคนที่ยืนล้างจานอยู่ข้าง ๆ
“ผมยังไม่ได้คิด” คนตัวเล็กกว่าตอบสั้น ๆ
“เฮ้อ...รอเก้ออีกตามเคย” ตฤณกรบ่น
“ทำไมคุณถึงอยากให้ผมไปที่นั่น ผมหมายถึง...” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันก่อนจะกล่าวต่อ “วัดพระธาตุดอยสุเทพใช่ไหม” เขาเหลือบมองคนข้าง ๆ เขาไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่กำลังยิ้ม เป็นรอยยิ้มซึ่งอาทิตย์ทัศน์เองไม่อาจเข้าใจได้...
ตฤณกรนั่งมองอาทิตย์ทัศน์ที่กำลังเอื้อมหยิบอ่างแก้วใบใหญ่มาวางลงบนโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับที่เขานั่งอยู่
“ทำอะไรน่ะคุณ”
“ผสมแป้ง”
“ให้ผมช่วยได้ไหม”เขากล่าวพร้อมกับเดินอ้อมมายืนใกล้ ๆ คนตัวเล็กพยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้
“ผมต้องทำยังไงบ้าง”
“เดี๋ยวผมจะเทส่วนผสมลงไป คุณคนให้มันเข้ากันก็แล้วกัน” พูดจบอาทิตย์ทัศน์ก็เทแป้งสาลีลงในอ่างก่อนจะตามด้วยยีสต์และเกลือ
“ผมคนเลยนะ” ตฤณกรที่ในมือถือไม้พายในท่าเตรียมพร้อมเอ่ยขึ้นก่อนจะลงมือคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน อาทิตย์ทัศน์มองดูคนข้าง ๆ ก่อนจะผสมไข่แดง น้ำตาลทราย เนยสดเค็มและนมสดลงในอ่างอีกใบก่อนจะตีให้เข้ากันด้วยตะกร้อตีไข่ จากนั้นเขาจึงเทส่วนผสมทั้งหมดลงในอ่างที่ตฤณกรคลุกเคล้าแป้งไว้เรียบร้อย
“คนไปเรื่อย ๆ นะ จนกว่ามันจะไม่ติดอ่าง”
“หือ...ตะ ตะ ติดอ่างเหรอครับ”
“ไม่ใช่ติดอ่างแบบนั้น” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว “ถ้าจะตลกขนาดนี้ก็เลิกเป็นดีไซเนอร์เถอะ”
“คุณว่าดีเหรอ” ตฤณกรทำหน้าทะเล้น
“ไม่ดีหรอก”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“อย่างคุณน่ะ เข้าคณะไหนหัวหน้าคงตายหมด” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเดินไปหยิบถาดอะลูมิเนียมที่วางอยู่เหนืออ่างล้างจานพร้อมกับพึมพำเบา ๆ “ชอบกวนประสาทแบบนี้เข้าคณะไหนหัวหน้าโดนยิงตายหมด”
“แล้วนี่เราต้องทำเยอะแค่ไหนเนี่ยคุณ”
“ก็เยอะพอสมควรถ้าจะเอาไปขาย ผมจะทำไว้จำนวนหนึ่งก่อนส่วนที่เหลือจะให้เด็ก ๆ ช่วยกันทำลูกค้าจะได้ทานของใหม่ ๆ” คนตัวเล็กกว่ากล่าวพร้อมกับวางถาดลงบนโต๊ะ
“มันเริ่มเป็นเนื้อเดียวกันแล้วทีนี้ผมต้องทำยังไงต่อครับ”
“ต้องเอาออกมานวดอีกที”
“ใช้มือเลยเหรอ”
“ใช่”
เมื่อได้รับอนุญาตจากอาทิตย์ทัศน์ตฤณกรก็ใช้มือคัวกแป้งในอ่างออกมาวางบนโต๊ะ
“ต้องโรยแป้งลงไปหน่อยจะได้ไม่ติดมือ คุณแบมือมาสิ”
ตฤณกรแบมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างว่าง่ายก่อนที่อาทิตย์ทัศน์จะโรยแป้งสาลีลงบนมือของเขา
“รู้สึกเหมือนเป็นนักยิมนาสติกขึ้นมาเลยแฮะ” คนตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะ
“ทีนี้คุณก็เริ่มนวดแป้ง เวลานวดก็ใช้อุ้งมือดันแป้งให้ออกจากตัวแบบนี้ แล้วค่อยตะล่อมกลับ ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ กันจนแป้งเนียน” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับสาธิตให้เขาดู
“ไม่ง่ายเลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะทำตาม
ผ่านไปประมาณสิบนาทีแป้งที่นวดก็เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นอาทิตย์ทัศน์ก็พักแป้งไว้ก่อนจะเริ่มผสมส่วนผสมใหม่...
“ผมชิมได้ไหมคุณ” ตฤณกรที่กำลังหนวดแป้งอยู่เอ่ยขึ้นเมื่ออาทิตย์ทัศน์ใช้ตะเกียบคีบโดนัทอันเล็กที่เพิ่งทอดเสร็จขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมันบนตะแกรง
“ได้สิ” คนตัวเล็กกว่าตอบยิ้ม ๆ
“มือไม่ว่างอ่ะคุณ ช่วยหยิบให้ผมหน่อยนะครับ”
อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว “ถ้าอย่างนั้นคุณก็รอให้เสร็จก่อนแล้วค่อยชิม”
“โหยยยย ใจร้าย” ตฤณกรบ่น “ผมอยากชิมตอนที่มันร้อน ๆ แบบนี้นี่นา”
หน้าคมส่ายไปมาช้า ๆ ก่อนจะใช้ตะเกียบจิ้มโดนัทที่เพิ่งเอาขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมันยื่นให้ชายหนุ่ม
“โอ้โห..เป่าหน่อยสิครับ ปากพังกันพอดี”
“เรื่องเยอะจริง” อาทิตย์ทัศน์พึมพึมก่อนที่นิ้วเรียวจะค่อย ๆ บิโดนัทชิ้นเล็ก เขาเป่ามันเบา ๆ ก่อนจะยื่นให้คนข้าง ๆ ตฤณกรยิ้มก่อนจะใช้ปากงับชิ้นโดนัทที่มือของเขา
“อร่อยจัง”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” คนตัวเล็กกล่าว
อาทิตย์ทัศน์และตฤณกรใช้เวลาเกือบทั้งวันในการทำโดนัทจนในที่สุดพวกเขาก็ได้โดนัทจำนวนมากสำหรับนำไปขายงานออกร้านในวันรุ่งขึ้น....
งานออกร้านของมหาวิทยาลัยเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าของวันจันทร์และจัดติดต่อกันมาเรื่อยจนถึงวันสุดท้ายของงานกินเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ มีผู้คนมากมายทั้งที่ทำงานและอาศัยอยู่รอบ ๆ มหาวิทยาลัยต่างก็แวะเวียนมาจับจ่ายซื้อของ ยิ่งแดดร่มลมตกคนก็ยิ่งมากขึ้นเนื่องจากเป็นเวลาเลิกงาน ซุ้มของคณะต่าง ๆ คึกคักเป็นพิเศษทุกวันเพราะได้แรงนักศึกษาหลาย ๆ ชั้นปีเข้ามาช่วยกันเรียกลูกค้า ภายในซุ้มของคณะศิลปกรรมศาสตร์นอกจากจะจำลองร้านกาแฟบรรยากาศเมืองปายแล้วยังมีการตั้งโต๊ะสำหรับวาดภาพให้กับคนที่อยากมีภาพการ์ตูนล้อติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วย
“ซื้อโดนัทหน่อยค่ะ” สาวน้อยในชุดนักศึกษากล่าวอย่างขวยเขินกับพ่อค้าจำเป็นที่ยืนขายโดนัทอยู่ภายในซุ้ม
“นี่ครับ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะยื่นถุงกระดาษติดสติ๊กเกอร์โลโก้ของซุ้มคณะศิลปกรรมศาสตร์ให้กับเธอ
“ขอบคุณค่ะ” สาวน้อยยังคงยืนบิดไปมาในมือกำถุงกระดาษแน่นก่อนที่รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าจะวูบหายเนื่องจากเสียงเตือนจากคนที่ยืนต่อคิวอยู่ด้านหลัง นั่นทำให้เธอต้องเดินหลบฉากออกมาทันที
“อาจารย์จ้ามาช่วยขายแบบนี้ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนวันสุดท้ายเลยค่ะ” นักศึกษาสาวที่กำลังชงเครื่องดื่มอยู่ที่เคาน์เตอร์ใกล้ ๆ กันเอ่ยขึ้น
“นั่นสิครับอาจารย์ หางแถวยาวเชียว ไม่รู้ว่าโดนัทอร่อยหรือคนขายหน้าตาดี” ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเดินมาถึงหัวเราะ “ผมเห็นสาว ๆ เดินถือถึงโดนัทซุ้มคณะเรากันเต็มเลย”
“ผมว่าให้โดนัทอร่อยจะดีกว่านะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจะมองหาใครคนหนึ่งที่บอกว่าจะมาหาเขาในค่ำวันนี้
“ได้ข่าวว่าโดนัทซุ้มนี้อร่อย ผมก็เลยแวะมาชิม” ชายหนุ่มเจ้าของแววตาวิบวับที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น อาทิตย์ทัศน์เงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูงผิวสีน้ำผึ้ง เขาคือ ‘ดนุพงษ์’ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่บรรดาสาว ๆ ต่างก็ไม่มีใครไม่รู้จัก
“เหมาเลยไหม” คนตัวเล็กกว่ายิ้มพร้อมกับคีบโดนัทใส่ถุงยื่นให้
“ขอบคุณครับ” ดนุพงษ์รับถุงโดนัทมาก่อนจะเปิดออกชิม “อืม..อร่อยจริง ๆ ด้วย พี่จ้าทำเองเหรอครับ”
“ใช่”
“ขอโทษนะคะอาจารย์” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาก่อนที่สาวน้อยในชุดเสื้อช็อปคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จะก้าวเท้าออกมาจากกลุ่มของนักศึกษาที่ยืนรอซื้อโดนัทอยู่ด้านหลัง “คือ...หนูขอถ่ายรูปคู่อาจารย์ได้ไหมคะ”
สองหนุ่มมองหน้ากันก่อนที่คนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น “ได้สิครับ” ดนุพงษ์ยิ้ม
“เอ่อ..หนูหมายถึง ขอถ่ายรูปคู่อาจารย์ดิวกับอาจารย์อาทิตย์ทัศน์น่ะค่ะ” เธอยิ้มเขิน ๆ
คำขอแปลกประหลาดนั้นทำเอาอาทิตย์ทัศน์ยืนงงไปชั่วขณะ จนกระทั่งลูกศิษย์ของเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันต้องสะกิด
“อาจารย์คะ น้องเขาจะขอให้อาจารย์ถ่ายรูปกับอาจารย์ดนุพงษ์ค่ะ”
“เอ้อ...อืม..เอาสิ” พูดจบอาทิตย์ทัศน์ก็เดินไปยืนข้าง ๆ คนที่ตัวสูงกว่าเขาเล็กน้อย
“ใกล้ ๆ กันแบบนั้นแหละค่ะอาจารย์” สิ้นเสียงของสาวน้อย บรรดาตากล้องสมัครเล่นทั้งหลายต่างก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพ ไม่เว้นแต่นักศึกษาของคณะศิลปกรรมศาสตร์เอง
“แหม..วันนี้สองหนุ่มหล่อสายอาร์ตโคจรมาพบกันทั้งทีนะคะ ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นภาพประวัติศาสตร์” สิ้นเสียงของคนพูดก็มีเสียงโห่ฮิ้วชอบใจของบรรดานักศึกษในบริเวณนั้นตามมา....
“ดิวจะดื่มอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวพี่บอกเด็กทำให้” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นเมื่อบรรดานักศึกษาเลิกสนใจพวกเขาแต่กลับไปสนใจภาพในกล้องมือถือแทน
“ก็ดีครับ” หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกล่าว ดังนั้นอาทิตย์ทัศน์จึงเดินนำดนุพงษ์ไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มให้เขา
สองหนุ่มยืนคุยกันต่อขณะรอเครื่องดื่มโดยไม่รู้เลยว่าเขาทั้งสองกำลังอยู่ในสายตาของใครอีกคน ตฤณกรหยุดมองชายหนุ่มร่างสูงที่สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลสกรีนลายถ้วยกาแฟสีชมพูซึ่งกำลังยืนคุยกับชายหนุ่มแปลกหน้าก่อนจะเดินเข้าไปสั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์
“คาปูชิโน่เย็นครับ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะเดินผ่านคนร่างเล็กไปนั่งที่โต๊ะไม้ซึ่งตั้งอยู่ในมุมหนึ่งโดยไม่มีแม้แต่คำทักทาย ตาคมมองดูบรรดานักศึกษาที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มวาดภาพการ์ตูนล้อลงในกระดาษขนาดเท่าโปสการ์ดอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นเตี้ย ๆ แต่ละโต๊ะมีโคมไฟเล็ก ๆ สำหรับให้แสงกับอุปกรณ์วาดเขียนอีกเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ภาพที่วาดเสร็จก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับเจ้าของภาพได้ไม่น้อย
ครู่หนึ่งแก้วกระดาษทรงสูงก็ถูกวางลงตรงหน้าพร้อมกับถุงใส่โดนัท
“ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ได้สั่งโดนัทนะครับ” ตฤณกรกล่าวทั้งที่ไม่ได้เงยหน้ามองคนที่ยกเครื่องดื่มและขนมมาเสิร์ฟ
“ผมเลี้ยง” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณครับ” ตฤณกรตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ จนน่าแปลกใจ
“คุณมาถึงนานหรือยัง”
“ก็ตั้งแต่ที่คู่จิ้นเขาถ่ายรูปกัน” คนตัวสูงตอบห้วน ๆ ขณะส่งโดนัทเข้าปาก
“คู่จิ้น” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว “คืออะไร”
“อะไร นี่คุณไม่รู้จริง ๆ น่ะเหรอ”
“ถ้ารู้ผมจะถามคุณให้คุณมาย้อนถามผมแบบนี้เหรอ”
ตฤณกรมองคนตรงหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะอธิบาย “จิ้น มันก็มาจากอิแมจินไงคุณ จินตนาการน่ะ คู่จิ้นก็คือคนสองคนที่คนรอบข้างเขาจินตการการให้เป็นคู่รักกันอะไรทำนองนี้แหละ”
“อืม..” อาทิตย์ทัศน์พยักหน้า
“ไม่วัยรุ่นเลยคุณนี่”
“แล้วคู่จิ้นที่คุณว่าเมื่อกี้ คุณหมายถึงใคร”
“ก็...” ตฤณกรหยุดก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังนั่งคุยกับนักศึกษาที่โต๊ะห่างออกไป “นั่นไง”
อาทิตย์ทัศน์มองตามสายตาของเขาก่อนจะกล่าว “นั่นอาจารย์ดนุพงษ์ เขาเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าของผม”
“เป็นพี่น้องกันว่างั้นเถอะ”
“ใช่”
“คุณคนเดียวหรือเปล่าที่คิดแบบนี้ เขาอาจจะไม่ได้อยากเป็นพี่น้องกับคุณก็ได้”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็ดูสายตาที่เขามองคุณสิ”
“คิดอะไรเลอะเทอะ”
“ใช่สิ ผมมันทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง” ตฤณกรพึมพำ
อาทิตย์ทัศน์มองคนตรงหน้าก่อนจะถอนใจเบา ๆ เป็นเวลาเดียวที่เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าหน้าท้องของผ้ากันเปื้อนออกมากดอ่านข้อความ
‘อย่าลืมแวะไปที่ซุ้มคณะผมบ้างนะครับ’
อาทิตย์ทัศน์เงยหน้ามองคนที่กำลังยืนถือโทรศัพท์อยู่ไกล ๆ เขายิ้มมาให้ก่อนจะเดินออกจากซุ้มไป
“ตามเขาก็ได้นะ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ในขณะที่คนตัวเล็กกว่ากำลังเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกง
“เป็นอะไรของคุณ อารมณ์ไม่ดีอะไรมาแล้วมาพาลกับผมหรือเปล่า” อาทิตย์ทัศย์ขมวดคิ้วก่อนจะค่อย ๆ ปลดผ้ากันเปื้อนออก
“ไม่รู้เหมือนกัน เห็นหน้าเขาแล้วผมหงุดหงิด” ตฤณกรหยุดก่อนจะดูดกาแฟจากแก้วเพื่อดับอารมณ์หงุดหงิดภายในใจ
ชายหนุ่มวางแก้วลงก่อนจะกล่าวต่อ “ผมหึงคุณมั้ง” คำพูดแสดงความรู้สึกของคนตัวสูงตรงหน้าทำเอาไบหน้าของคนฟังร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที
“ตลกแล้ว คุณจะหึงผมทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” พูดจบอาทิตย์ทัศน์ก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินเอาผ้ากันเปื้อนไปคืนที่เคาน์เตอร์ เขายืนคุยกับนักศึกษาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกไปจากซุ้ม...
ตฤณกรมองร่างสูงที่กำลังเดินล้วงกระเป๋าดูนู่นดูนี่ตามซุ้มซึ่งตั้งอยู่รายทาง รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามให้ทัน
“ต้องเป็นอะไรกันใช่ไหมผมถึงจะหึงคุณได้” เสียงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูทำให้อาทิตย์ทัศน์ต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของรอยยิ้มกวนประสาทที่กำลังเดินผ่านเขาไป
“ไอ้บ้าเอ๊ย” คนตัวเล็กกว่าพึมพำเบา ๆ
เสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงที่ดังมาจากซุ้มคณะสัตวแพทย์ศาสตร์สามารถเรียกความสนใจของคนที่เดินผ่านมาผ่านไปได้ไม่น้อย ที่หน้าซุ้มมีการตั้งกล่องบริจาคและแสดงภาพกิจกรรมต่าง ๆ ของเหล่านักศึกษาว่าที่สัตวแพทย์ ถัดไปไม่ไกลบรรดาหนุ่ม ๆ ใจกล้ากำลังจับงูหลามสีสวยตัวใหญ่เชิญชวนให้สาว ๆ ต่างคณะที่กำลังยืนเลือกซื้อของอยู่แถวนั้นมาถ่ายภาพคู่กับงู ภายในบริเวณซุ้มมีทั้งตู้แสดงปลาสวยงามและพันธุ์ไม้น้ำรวมถึงการแสดงของสัตว์แสนรู้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยนักศึกษาคณะสัวแพทย์ทั้งสิ้น
“มาช่วยหาบ้านใหม่ให้น้องหมากันนะคะ ตอนนี้เราเหลือตัวเดียวแล้วนะคะ” หญิงสาวร้องเจื้อยแจ้ว
“พี่คะ เอาสุนัขไปเลี้ยงที่บ้านสักตัวไหมคะ” เธอกล่าวกับอาทิตย์ทัศน์
ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะเอื้อมมือจับหูทั้งสองข้างของเจ้าลูกสุนัขหูตูบที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์บนบ่าของหญิงสาว
“เหลือตัวสุดท้ายแล้วนะคะพี่” เธอกล่าวก่อนจะส่งลูกสุนัขให้เขา ชายหนุ่มจึงรับมันมาอุ้มไว้
“อยากได้ไปเลี้ยงเหรอคุณ” ตฤณกรที่เดินเข้ามาใกล้ ๆ เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองเจ้าสุนัขตัวน้อยในอ้อมกอดของคนตัวเล็กกว่า อาทิตย์ทัศน์ไม่ได้ตอบอะไร เขาค่อย ๆ อุ้มเจ้าลูกสุนัขที่กำลังหาวหวอด ๆ ขึ้นมาดูหน้ามันใกล้ ๆ
“อ้าว มีคนเอาไปเลี้ยงหมดแล้วเหรอคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลนัก เมื่อสองหนุ่มหันไปมองเขาก็พบร่างเล็ก ๆ ของสาวน้อยในชุดนักศึกษาซึ่งในมือของเธอถือตะกร้าสานใบใหญ่กำลังยืนคุยอยู่กับหญิงสาวเจ้าของสุนัขที่อาทิตย์ทัศน์กำลังอุ้มอยู่
“เหลือตัวสุดท้ายแล้วจ้ะ ต้องรอดูว่าพี่คนนั้นเขาจะเอาไหม” เธอกล่าวก่อนจะหันมายังจุดที่ทั้งสองคนยืนอยู่
“เสียดายจังค่ะมาไม่ทัน พอดีหนูเพิ่งจะสอบเสร็จ”
อาทิตย์ทัศน์อุ้มลูกสุนัขเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะส่งมันให้เธอ “นี่ครับ”
“ให้หนูเหรอคะ” สาวน้อยถามอย่างแปลกใจในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แล้วพี่ไม่เอามันไปเลี้ยงเหรอคะ” เธอวางตะกร้าลงก่อนจะรับเจ้าลูกสุนัขมาอุ้มไว้
คนตัวสูงส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ผมคิดว่ามันน่าจะชอบคุณมากกว่าผมนะ ดูสิมันยิ้มให้คุณด้วย”
สาวน้อยยิ้มให้เจ้าลูกสุนัขที่กำลังกระดิกหางมาพร้อมกับร้องหงิง ๆ ในอ้อมแขนของเธอก่อนจะกล่าวขอบคุณชายหนุ่มใจดี “ขอบคุณนะคะพี่ หนูอยากเลี้ยงสุนัขมานานแล้ว แล้วเมื่อวานก็เพิ่งขออนุญาตคุณแม่ได้ วันนี้สอบเสร็จเลยรีบมาเอา คิดว่าจะไม่ทันแล้วเสียอีก”
“ไปอยู่ด้วยกันนะ” เธอพูดกับลูกสุนัขก่อนจะย่อตัวลงเปิดตะกร้าแล้วใส่เจ้าตัวเล็กลงไป
“ทำไมคุณถึงให้น้องเขาไปล่ะ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าเขตซุ้มจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชและต้นไม้นานาชนิดของคณะเทคโนโลยีเกษตร
“ตั้งแต่พ่อเสีย แม่ผมก็ไม่เคยคิดจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอะไรอีกเลย” คนตัวเล็กกว่ากล่าว
“ทำไมล่ะครับ”
“คงเพราะไม่อยากที่จะต้องเจ็บปวดละมั้ง” อาทิตย์ทัศน์กล่าว “เวลาที่เราผูกพันกับใครมาก ๆ แล้วถ้าวันหนึ่งต้องสูญเสียเขาไป มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ”
“อืม...ผมเข้าใจ” ตฤณกรนิ่งไปพร้อมกับคิดถึงสภาพของตัวเองในวันที่เติบโตขึ้นมาโดยไม่มีพ่อและแม่ “แต่ผมกำลังคิดว่าถ้าน้องคนนั้นไม่ได้มาที่นี่ แล้ววันนี้คุณไม่ได้เอาลูกสุนัขตัวนั้นกลับไปเลี้ยงมันจะเกิดอะไรขึ้น”
“คุณไปอุ้มมันแบบนั้น คุณรู้ไหมว่ามันจะดีใจขนาดไหน มันคงชอบเวลาที่คุณกอดมัน เวลาที่คุณเล่นกับมัน มันคงเริ่มจดจำใบหน้าของคุณ จำกลิ่นของคุณ แต่สุดท้ายคุณไม่เอามันไปเลี้ยง เพราะคุณกลัวว่าวันหนึ่งมันจะต้องตายจากไป มันเองมันก็คงเศร้า แต่ถ้าคุณเอามันไปเลี้ยงผมเชื่อว่าในวันที่มีใครคนใดคนหนึ่งต้องจากไป อีกฝ่ายต้องรู้สึกมีความสุขที่ในช่วงเวลาหนึ่งต่างคนต่างได้อยู่ด้วยกัน ผมเชื่อว่าคุณแม่ของคุณเอวท่านคงมีความสุขทุกครั้งเมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาทคุณพ่อคุณยังอยู่ ไม่มีใครที่ไม่เคยพบกับการสูญเสียหรอกคุณ” ตฤณกรกล่าว “คุณเคยฟังเรื่องเมล็ดผักกาดชุบชีวิตไหม”
“จะเอานิทานอะไรมาเล่าให้ผมฟังอีก” อาทิตย์ทัศน์ขมวดคิ้ว
“มันไม่ใช่นิทานนะคุณ เรื่องนี้คุณลุงของผมเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าในสมัยพระพุทธเจ้าน่ะ มีผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มร่างของลูกที่ไร้ลมหายใจเที่ยวไปหาหมอให้ช่วยรักษาเพราะเธอไม่ยอมรับว่าลูกของเธอได้ตายไปแล้ว จนกระทั่งมาพบกับพระพุทธเจ้า”
“พระพุทธเจ้าท่านรับปากจะรักษาให้โดยการปรุงยาขึ้นมาตำหรับหนึ่งเพื่อชุบชีวิตลูกของเธอ แต่เธอต้องไปหาส่วนผสมที่ยังขาดอยู่อีกอย่างหนึ่งให้ได้ นั่นก็คือเมล็ดผักกาด”
“เมล็ดผักกาดเหรอ”
“ใช่ เมล็ดผักกาดธรรมดา ๆ นี่แหละ แต่มีข้อแม้ว่า มันจะต้องเป็นเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อนเลย”
“แล้วเธอหาได้ไหม” อาทิตย์ทัศน์ถาม
ตฤณกรส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ว่าจะเข้าไปขอเมล็ดผักกาดที่บ้านไหน เธอก็พบว่าทุก ๆ บ้านล้วนมีคนตายมาก่อนทั้งนั้น บางบ้านยังไว้ทุกข์อยู่เลย”
“จริงสินะ” อาทิตย์ทัศน์พยักหน้าเห็นด้วย
“คุณเห็นไหม ไม่มีใครหรอกที่จะไม่พบกับความสูญเสีย มันอยู่ที่ว่าใครจะเจอเร็วเจอช้า”
“สาธุ” อาทิตย์ทัศน์ยกสองมือประนมท่วมหัวงาม ๆ หนึ่งทีก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“นี่พูดให้คิดนะครับ ไม่ได้พูดให้ขำ”
“ผมก็คิดอยู่นี่ไง” อาทิตย์ทัศน์ยิ้ม
“คิดอะไรของคุณ แน่ะ..ยังจะยิ้มอีก”
“คิดว่าอย่างคุณก็พูดจามีสาระกับเขาเป็นด้วย”
“นี่คุณหลอกด่าว่าผมไร้สาระหรือเปล่าเนี่ย” ตฤณกรขมวดคิ้ว
“เปล่า ผมไม่ได้หลอกด่า” อาทิตย์ทัศน์หัวเราะ
“แต่ก็ดีแล้วละที่คุณให้น้องเขาไปน่ะ เปลี่ยนจากเลี้ยงหมามาเลี้ยงผมดีกว่า เชื่องกว่าตั้งเยอะ ไม่ดื้อไม่ซนไม่งอแง”
“แต่ กวน ....” คนตัวเล็กกว่ากล่าวก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านขายต้นไม้ทำให้ตฤณกรได้ยินคำสุดท้ายไม่ชัดนัก
“คุณว่าอะไรนะ” คนตัวสูงยิ้มก่อนจะเดินตามไปทันที
อาทิตย์ทัศน์กวาดสายตาอ่านป้ายบอกชื่อต้นไม้ซึ่งเรียงรายอยูทั่วร้าน มีหลายชื่อที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ตาคมมาสะดุดเข้ากับป้ายที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
‘รักแรกพบ’
“มีต้นไม้ชื่อนี้ด้วยเหรอ” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพเก็บไว้
“คุณไม่รู้จักเหรอ”
“ไม่” อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าขณะก้มดูภาพในโทรศัพท์
“เด็กกรุงเทพฯก็แบบนี้แหละ”
“ไม่เกี่ยวเลย ชื่อแปลกขนาดนี้ใครจะรู้จัก”
“มันมีดอกด้วยนะคุณ เดี๋ยวผมหาก่อน” ตฤณกรกล่าวก่อนจะกวาดตามองหา “โน่นไง ดอกสีเหลือง ๆ ที่เป็นแฉก ๆ นั่นน่ะ”
อาทิตย์ทัศน์มองตามสายตาของชายหนุ่มก่อนจะพยักหน้า “นี่น่ะเหรอรักแรกพบ”
คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกล่าว “ใช่ ถ้าคุณยังไม่รู้จักก็รู้จักเอาไว้ นี่แหละที่เขาเรียกว่า...รักแรกพบ” ตฤณกรยิ้ม คำพูดแฝงอะไรบางอย่างนั่นทำให้อาทิตย์ต้องหันกลับมาสบตาเขา....