ตอนที่ 19 กล่องแห่งความลับ
สัปดาห์ต่อมา...
‘ผมจะขึ้นเครื่องแล้วนะคุณ นอกจากไม่มาส่งแล้วยังจะไม่อวยพรอะไรหน่อยเหรอครับ’
อาทิตย์ทัศน์อ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะยิ้ม นิ้วเรียวค่อย ๆ พิมพ์ข้อความบางอย่างตอบกลับไป
‘…..’
ตฤณกรอ่านข้อความสั้น ๆ ที่ถูกส่งมาก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ใจร้ายจริง ๆ” ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งกลับไปบ้าง
‘ผมจะแปลมันว่า...เดินทางปลอดภัย อย่าลืมคิดถึงผมบ้าง คุณกลับมาเมื่อไรผมจะบอกว่าคิดถึงคุณเหมือนกัน...ตามนี้ก็แล้วกันนะครับ ผมไปละ’
“ไอ้บ้าเอ๊ย” อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า มือหนึ่งเอื้อมผลักประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในร้านอาหารอิตาเลียนตกแต่งสไตล์โมเดิร์นซึ่งตั้งอยู่ในซอยดียวกับมหาวิทยาลัย เสียงดนตรีคลาสิคดังคลอไปกับเสียงพูดคุย ลูกค้าในร้านเวลานี้มากพอสมควรแต่ก็ยังพอมีโต๊ะว่าง ชายหนุ่มแจ้งกับบริกรที่เดินเข้ามาหาก่อนจะตามเขาไปนั่งลงที่มุมหนึ่งของร้านก่อนที่ตาคมมองหาใครคนหนึ่งที่โทร.นัดให้เขามาที่นี่เมื่อช่วงเย็น
“ขอโทษที่ต้องให้รอนะครับพี่จ้า พอดีผมมีประชุมด่วน เพิ่งจะเลิก” ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลง
“ไม่เป็นไร พี่ก็เพิ่งมาถึง”
“พี่จ้าสั่งอะไรหรือยังครับ” ดนุพงษ์ถาม
“ยัง แต่เดี๋ยวก่อนก็ได้ พูดธุระของดิวมาเถอะ”
“ถ้าไม่มีธุระ เราจะทานข้าวด้วยกันไม่ได้เลยเหรอครับ”
“ก็ดิวเป็นคนบอกพี่เองว่ามีธุระจะคุยด้วยไม่ใช่เหรอ”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า “ถ้าผมไม่บอกแบบนั้น พี่จ้าจะยอมมาเหรอครับ”
อาทิตย์ทัศน์สบตาคนตรงหน้าก่อนจะนิ่งไป
“ผมแค่อยากเจอพี่จ้า ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่มีได้เจอกันเลยนะครับ พี่จ้ายังโกรธผมเรื่องวันนั้นอยู่หรือเปล่า ผมอยากจะขอโทษ”
“พี่ว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า อีกอย่างคนเสียหายเขาก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
“ผมไม่ได้สนใจความรู้สึกเขา แต่ที่ผมสนใจ ผมสนใจความรู้สึกพี่จ้ามากกว่า” ดนุพงษ์กล่าวก่อนจะจ้องลึกลงไปในดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า
“พี่น่าจะมองออกว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่”
“เรา...สั่งอาหารกันดีกว่านะ” อาทิตย์ทัศน์ตัดบท
“ให้โอกาสผมหน่อยไม่ได้เหรอครับ” ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกล่าวก่อนจะวางมือของตัวเองลงบนมือของคนตรงหน้า “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะครับที่ผมขอโอกาสจากพี่”
ใช่...มันเป็นครั้งที่สองแล้วที่ผู้ชายคนนี้พูดขอโอกาสจากเขา วันนี้เป็นครั้งที่สอง ส่วนครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยที่เขาทั้งคู่ยังคงเรียนชั้นมัธยม...
อาทิตย์ทัศน์นิ่งเงียบไปก่อนจะค่อย ๆ ชักมือออก “ดิวก็น่าจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ตอนนั้นผมอาจจะสู้พี่นนท์ไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมสู้ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตรงไหน” ดนุพงษ์กัดกรามแน่นด้วยความโมโหแต่ก็พยายามจะรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“มันไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้หรือการแข่งขันนะ” อาทิตย์ทัศน์ตอบเรียบ ๆ “พี่ว่าดิวตั้งสติแล้วค่อย ๆ คิดทบทวนดีกว่า อามรณ์ดีแล้วค่อยมาคุยกัน ถ้ายังอยากจะคุยกันอยู่ วันนี้พี่กลับก่อนก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้าน
“เขาดีกว่าผมตรงไหน ก็แค่พนักงานบริษัทธรรมดา ๆ” ดนุพงษ์ที่รีบวิ่งตามออกมากล่าวพร้อมกับคว้าข้อมือชายหนุ่มเอาไว้
อาทิตย์ทัศน์ดึงมือเขาออกก่อนจะกล่าว “อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยพูดจาดูถูกใคร”
“ผม ผมขอโทษ” ดนุพงษ์กล่าวเสียงอ่อยเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังทำตัวไม่ดี
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะหันไปโบกแท็กซี่ที่กำลังแล่นผ่านมา...
สายลมเย็น ๆ ของฤดูหนาวพัดผ้าม่านหน้าต่างปลิวไสว เสียงกรุ๊งกริ๊งของโมบายแขวนหน้าต่างดังเป็นระยะ ๆ ตามจังหวะของกระแสลม คนที่กำลังนอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น เป็นอีกหนึ่งวันของการตื่นขึ้นมาแล้วต้องนึกถึงใครบางคนในรอบสองสัปดาห์ที่ไม่มีแม้แต่ข้อความ เสียงโทรศัพท์ หรือข่าวคราวใด ๆ อาทิตย์ทัศน์ลุกขึ้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำครู่ใหญ่ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งในชุดเสื้อยืดแขนยาวลายขวางกับกางเกงขาสั้นใส่สบาย ๆ เขาเดินลงไปที่ชั้นล่างของบ้านก่อนจะตรงเข้าไปในครัว
หญิงวัยกลางคนที่กำลังยืนหันหลังให้เธอยังคงทำหน้าที่ของเธอเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แม้เวลาจะผ่านไปเกือบสามสิบปี เธอก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ เสียงมีดกระทบกับเขียงไม้ดังเป็นจังหวะต่อเนื่องแข่งกับเสียงฝาหม้อที่ถูกดันขึ้นด้วยไอน้ำเดือด
“จ้าช่วยนะแม่” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะเดินเข้าไปเปิดฝาหม้อออกทำให้ไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาทันที
อรนุชยิ้มก่อนจะส่งชามใส่หมูสับให้ลูกชาย จากนั้นอาทิตย์ทัศน์ก็ใช้นิ้วเรียวปั้นหมูเป็นก้อนก่อนจะหย่อนลงในน้ำที่เดือดพล่าน
“เห็ดหูหนูอยู่ในอ่างข้างเตานะลูก แม่ล้างเอาไว้แล้ว” พูดจบผู้เป็นแม่ก็หันไปตอกไข่ใส่ชาม
อาทิตย์ทัศน์รอจนหมูสับที่หย่อนลงไปในหม้อเมื่อสักครู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา จากนั้นเขาก็ใส่เห็ดหูหนูตามลงไปก่อนจะปรุงรสด้วยน้ำปลา เขาปล่อยให้น้ำเดือดไปอีกสักพักก่อนจะปิดฝาหม้อและปิดเตา
“ทำกับข้าววันนี้แล้วคิดถึงตังนะลูก มีแต่ของชอบของตังทั้งนั้นเลย”
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มกับตัวเองพร้อมกับนึกถึงคนที่มักจะกินแต่กับข้าวจืด ๆ ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นแม่ “ตอนจ้าไม่อยู่แม่คิดถึงจ้าแบบนี้หรือเปล่าเนี่ย”
“คิดถึงสิลูก แม่ก็คิดถึงหมดแหละทั้งจ้าทั้งตัง”
อาทิตย์ทัศน์เดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่จากด้านหลังพร้อมกับบ่น “จ้าชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครเป็นลูกแม่กันแน่”
“ดูพูดเข้าลูกคนนี้” อรนุชกล่าวก่อนจะตีแขนลูกชายเบา ๆ
“ก็จริงนี่ครับ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะคลายวงแขนออก จากนั้นเขาจึงหันไปหยิบกระทะมาตั้งบนเตาก่อนจะเปิดเตาขึ้นอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าตังจะกลับมาทันวันเกิดจ้าหรือเปล่านะ แม่ว่าจะชวนมาทานข้าวที่บ้านด้วยกันเสียหน่อย แล้วนี่ได้คุยกันบ้างหรือเปล่า” ผู้เป็นแม่กล่าวก่อนจะส่งขวดน้ำมันให้ลูกชาย
“เปล่าครับ”
“สงสัยจะงานยุ่ง”
“กวนประสาทมากกว่า” อาทิตย์ทัศน์พึมพำกับตัวเองก่อนจะเทน้ำมันลงกระทะพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อน...
“อ่ะนี่” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับยื่นกุญแจกับคีย์การ์ดให้คนตัวเล็กกว่าที่กำลังยืนเกาะแผงกั้นดูพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินบนสถานีรถไฟฟ้า
“อะไร”
“คีย์การ์ดกับกุญแจสำรองห้องผม”
“แล้วเอามาให้ผมทำไม” ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ก็ไว้สำหรับตอนผมไปญี่ปุ่นแล้วคุณคิดถึงผมขึ้นมาไง คุณจะได้ไปที่ห้องผมเผื่อจะหายคิดถึง”
“บ้า ใครจะคิดถึงคุณ”
“ลองดูไหมล่ะ ผมจะไม่โทร.หา ไม่ส่งข้อความมา ดูซิว่าคุณจะคิดถึงผมไหม” คนตัวสูงยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มสุดท้ายก่อนที่จะจากกันไปไกลขนาดนี้....
“จ้า น้ำมันร้อนแล้วลูก มัวใจลอยไปไหน” ผู้เป็นแม่ยิ้มก่อนจะส่งชามใส่ไข่ที่ตีผสมกับหอมแดงให้ลูกชาย
อาทิตย์ทัศน์รับชามใบนั้นมาก่อนจะเทไข่ลงในกระทะ ไม่ช้าไข่เจียวก็เหลืองฟูด้วยความร้อนของน้ำมัน
“ใจลอยไปญี่ปุ่นหรือเปล่าจ๊ะลูกชายแม่”
“ไม่ใช่เสียหน่อยครับ” ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ใช้ตะหลิวกลับไข่ในกระทะ
อรนุชยิ้มก่อนจะหันไปเปิดหม้อข้าวก่อนจะตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่จาน
“เอ้อ กล่องใส่ของที่แม่วางไว้ให้น่ะลูกดูหรือยัง เผื่อจะมีอะไรที่ไม่ใช้แม่จะได้บอกให้คนรับซื้อของเก่าเขามาขนไปพร้อม ๆ กันทีเดียว” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น
“จ้าลืมไปเลย เดี๋ยววันนี้จ้าจะลองดูนะครับ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะตักไข่สีเหลืองทองขึ้นพักบนตะแกรง...
ในตอนสายหลังจากที่ส่งผู้เป็นแม่ไปทำงานแล้ว ชายหนุ่มก็กลับเข้ามานั่งดูทีวีและอ่านหนังสืออ่านเล่นจนกระทั่งตกบ่าย อาทิตย์ทัศน์เดินไปที่ระเบียงก่อนจะนั่งลงมองปลาคราฟหลากสีที่เขาเลี้ยงเอาไว้พร้อมกับนึกถึงคนที่มักจะมานั่งตรงนี้บ่อย ๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ชายหนุ่มค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีฟ้าสดที่ถูกประดับด้วยริ้วเมฆสีขาว สายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านมาพาเอาใบไม้ไหว อาจเป็นเพราะร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเอาไว้ข้างบ้านทำให้มุมนี้เป็นมุมที่เย็นสบายเหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อน ใครบางคนจึงชอบมานั่งตรงนี้เสมอทุกครั้งที่มาที่นี่
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปยกกล่องพลาสติกใส่ของใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างชั้นหนังสือมาวางที่ระเบียงก่อนจะนั่งลง จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ เปิดฝากล่องออก ข้างในมีเสื้อแจ็คเก็ตตัวใหญ่ที่ได้รับแจกเมื่อสมัยเป็นเฟรชชี่ ที่ด้านหลังเสื้อปักตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นชื่อภาควิชาของเขา
‘photographic art’
มือเรียวค่อย ๆ หยิบเสื้อตัวนั้นออกมากาง มันยังคงใหม่มากเพราะใส่ไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น อาทิตย์ทัศน์ชะงักเมื่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างตกลงบนหน้าตักของเขา มันคือหมวกแก๊ปสีดำซึ่งที่หน้าหมวกปักตัวอักษรเดียวกันกับเสื้อนั่นเอง
ชายหนุ่มวางเสื้อแจ็คเก็ทลงข้างตัวก่อนจะเอื้อมหยิบกล้องฟิล์มตัวเก่าที่เป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากกันตั้งแต่เมื่อตอนสมัยเรียนขึ้นมาดู เขายิ้มกับมันราวกับได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันเสียนานอีกครั้ง แม้มันจะพังจนซ่อมไม่ได้แล้วแต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้ง อาทิตย์ทัศน์วางกล้องลงบนตักพร้อมกับมองสำรวจสิ่งที่ยังเหลืออยู่ในกล่องซึ่งมีทั้งตำราเรียน สมุดจดงาน และเอกสารประกอบการเรียนจำนวนหนึ่ง ที่ก้นกล่องยังมีภาพขาวดำที่ล้างอัดเองตั้งแต่เรียนการล้างอัดภาพในห้องมืดเมื่อครั้งเรียนชั้นปีที่ 1 มันเป็นภาพของต้นไม้ใบหญ้า คน และสัตว์ เท่าที่ในเวลานั้นจะถ่ายได้ แต่ละภาพวางกระจัดกระจายกันอยู่ คงจะหลุดออกมาจากอัลบั้มที่วางอยู่ใกล้ ๆ กัน
อาทิตย์ทัศน์หยิบอัลบั้มที่เต็มไปด้วยภาพถ่ายขาวดำขึ้นมาดู มันเป็นภาพเมื่อตอนที่เขาไปรับน้องที่จังหวัดเชียงใหม่ มีทั้งภาพการเดินทางด้วยรถไฟ ภาพวัดวาอารามซึ่งเป็นศิลปะล้านนา แต่มีรูปหนึ่งที่สะดุดตาเหลือเกิน มันเป็นภาพของชายหนุ่มผมยาวที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ริมถนนซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนและร้านค้า...
“จ้า พี่อยากให้เขาวาดภาพล้อให้น่ะ จ้านั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ พวกปีสองไม่รู้เดินหายไปไหนกันหมดแล้ว” สาวน้อยร่างบางเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงมือน้องรหัสให้เดินไปด้วยกัน ในที่สุดเธอก็พาเขาไปหยุดที่ร้านขายโปสการ์ดทำมือ ที่ข้างร้านมีชายหนุ่มผมยาวร่างหนาคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาวาดภาพตามแบบซึ่งเป็นภาพถ่ายที่ได้มาจากลูกค้า
“อีกหลายคิวไหมคะ” เธอเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มร่างหนาเงยหน้าขึ้นก่อนจะกล่าว “ถ้ารีบ ผมลัดคิวให้ก่อนได้ครับ งานนี้เขาสั่งทำ อีกหลายวันถึงจะมาเอา”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนหน่อยนะคะ”
“นั่งเลยครับ” ชายหนุ่มร่างหนากล่าวก่อนจะหันไปหยิบกระดานวาดรูปแผ่นเล็กที่ขึงกระดาษเอาไว้เรียบร้อยแล้วขึ้นมาวางบนตัก
“พร้อมนะครับ” เขากล่าวก่อนจะลงมือร่างดินสอ
“พี่ลัล งั้นผมเดินเล่นแถวนี้นะ” ชายหนุ่มที่สวมหมวกแก๊ปกับแจ็คเก็ทตัวโคร่งกล่าว
“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนสิจ้า” ลัลลดาหันไปบอกน้องรหัสของเธอ
“นั่งก่อนก็ได้ไอ้น้อง หลังแผงพี่มีเก้าอี้” ชายหนุ่มเจ้าของร้านกล่าว
อาทิตย์ทัศน์หยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบเก้าอี้ตัวเตี้ยที่หลังร้านมานั่งลงใกล้ ๆ กับพี่รหัสของเขา
“มาเที่ยวเหรอครับ” ชายหนุ่มร่างหนาเอ่ยขึ้นขณะที่สายตายังคงจ้องที่ปลายดินสอ
“มารับน้องค่ะ แล้วก็ถือโอกาสมาเที่ยวด้วย”
“มาจากกรุงเทพฯ เหรอ”
“ค่ะ พรุ่งนี้ค่ำ ๆ ก็จะกลับแล้ว วันนี้เลยพากันมาเดินถนนคนเดินค่ะ”
“ไปไหว้พระธาตุมาหรือยังครับ”
“ว่าจะขึ้นไปพรุ่งนี้ค่ะ” ลัลลดากล่าวพร้อมกับมองภาพในกระดาษที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
“เป็นคนเชียงใหม่เหรอคะ” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน
“ครับ”
“เรียน มช. หรือเปล่าคะ”
“เปล่าหรอกครับ เรียนกรุงเทพฯ เหมือนกัน พอดีปิดเทอมก็เลยชวนเพื่อน ๆ มานั่งวาดรูปที่ถนนคนเดิน” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับมองไปยังตรงข้ามฝั่งถนนซึ่งมีหนุ่มผมยาวอีกคนกำลังนั่งวาดรูปอยู่
อาทิตย์ทัศน์ละสายตาจากกระดานวาดรูปของชายหนุ่มร่างหนาก่อนจะหันมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก่อนจะยกกล้องที่ขึ้นฟิล์มเตรียมพร้อมขึ้นมาเล็ง นาน ๆ จะลั่นชัตเตอร์ให้ได้ยินเสียที
ผ่านไปเกือบสามสิบนาที รูปการ์ตูนล้อหญิงสาวหัวโตตัวเล็กก็เสร็จเรียบร้อย “ขอบใจนะก้อง” ลัลลดากล่าวเมื่อรับภาพนั้นมาไว้ในมือ
“อ่ะ นี่เงินจ้ะ” เธอกล่าวก่อนจะส่งเงินให้ชายหนุ่ม
“ไม่เป็นไร เอาไว้ถ้าเราแวะไปแถวมหาวิทยาลัยของลัลก็เลี้ยงข้าวเราบ้างก็แล้วกัน” ก้องเกียรติยิ้มก่อนจะหยิบนามบัตรจากกระเป๋าเสื้อส่งให้ “นี่เบอร์เรา เผื่ออยากใช้บริการงานศิลป์”
“ขอบใจนะ” ลัลลดารับนามบัตรนั้นมาก่อนจะใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายที่ถักจากไหมพรม “เราไปละ”
“ครับ”
“ไปกันเถอะจ้า” ลัลลดาหันไปดึงน้องรหัสของเธอให้ลุกขึ้นก่อนจะพากันเดินหายไปในฝูงชน
“อะไรกัน ๆ เจอกันแป๊บเดียวมีให้เบอร์กันด้วย” ชายหนุ่มผมยาวที่เดินข้ามฝั่งมาเอ่ยขึ้น
“เฮ่ย ลูกค้า” ก้องเกียรติขมวดคิ้ว
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะถาม “เขามาจากไหนน่ะพี่”
“มาจากกรุงเทพฯ”
“กรุงเทพฯ ด้วย ถ้าอย่างนั้นพี่ก้องก็พอมีหวังน่ะสิ” น้ำเสียงล้อ ๆ นั้นทำเอาคนฟังต้องรีบสวนกลับทันที
“ไอ้ตัง ไอ้บ้า พี่ยังไม่ได้คิดอะไรเลย แกน่ะคิดไปไกลแล้ว”
“เอาเถอะ แล้วผมจะคอยดู” ตฤณกรกล่าวยิ้ม ๆ
รถสี่ล้อสีแดงพานักศึกษาสาขาศิลปะการถ่ายภาพจำนวนหลายสิบชีวิตที่มาจากกรุงเทพฯ ซึ้นไปส่งที่วัดพระธาตุดอยสุเพพในช่วงบ่าย แม้จะเป็นวันจันทร์แต่นักท่องเที่ยวที่มาสักการะพระธาตุก็ยังคงหนาตา เมื่อนักศึกษาทั้งหมดลงจากรถเรียบร้อยแล้วก็พากันจัดแถวถ่ายรูปหมู่ที่หน้าบันไดซึ่งมีปูนปั้นรูปพญานาคขนาดใหญ่เลื้อยทอดตัวยาวตามแนวเชิงบันได จากนั้นนกกระจอกก็พากันแตกรังอีกครั้ง เมื่อต่างคนต่างเดินขึ้นไปตามบันไดโดยมีจุดหมายอยู่ที่องค์พระธาตุสีทองที่ด้านบน
“ไอ้น้องปีหนึ่งคนนั้นน่ะ เร็ว ๆ หน่อยวุ้ย ไว้ไปดื่มด่ำกับวัฒนธรรมข้างบนโน่น” เสียงของนราวิช หรือ ‘พี่วิช’ ซึ่งเป็นพี่ว้ากที่ดังขึ้นทำให้หลาย ๆ คนต่างก็ต้องเร่งฝีเท้า จะมีก็เพียงชายหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ กล้องตัวเก่งถูกยกขึ้นมาบันทึกภาพทิวทัศน์ป่าเขาที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
“จ้า เร็ว ๆ เข้า พี่วิชเรียกแล้ว เดี๋ยวก็โดนซ่อมกันทั้งชั้นปีหรอก” เสียงลัลลดาร้องขึ้นก่อนที่เธอจะวิ่งลงมาลากแขนน้องรหัสของเธอขึ้นไป
“ดะ เดียวก่อนพี่ลัล หมวก...” อาทิตย์ทัศน์ร้องขึ้นก่อนจะหันไปหยิบหมวกที่วางอยู่กับราวบันได ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อตาคมประสานกับสายตาของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา แรงรั้งจากมือเล็ก ๆ ของพี่รหัสช่วยเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง มือเรียวเอื้อมคว้าหมวกแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปสายตาของหลาย ๆ คนก็ปะทะเข้ากับสีทองอร่ามของยอดพระธาตุ เสียงระฆังใบใหญ่ดังสลับกับเสียงระฆังใบเล็กที่ชายคาตามจังหวะของกระแสลมปลายฤดูหนาว อาทิตย์ทัศน์เดินถ่ายรูปไปรอบ ๆ พระธาตุก่อนจะไปหยุดที่จุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้เกือบทั้งเมือง เสียงชัตเตอร์ของนักท่องเที่ยวยังคงดังแข่งกับชัตเตอร์ของบรรดานักศึกษาสาขาศิลปะการถ่ายภาพจนกระทั่งเสียงของชายหนุ่มร่างใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง
“น้อง ๆ สาขาศิลปะการถ่ายภาพนะครับ มารวมกันตรงนี้ก่อนเดี๋ยวเราจะรับดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้พระธาตุกัน”
ดังนั้นบรรดาเด็กหนุ่มสาวที่ต่างสะพายกล้องกันคนละตัวต่างก็เดินมารวมกันเพื่อรับดอกไม้ธูปเทียนที่รุ่นพี่เตรียมไว้ให้ก่อนจะแยกย้ายกันไปสักการะพระธาตุ
“อธิษฐานอะไรน่ะจ้า” หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเอ่ยขึ้นหลังจากทั้งคู่ปักธูปลงในกระถาง
“ขอให้ได้กลับมาอีกครั้ง” อาทิตย์ทัศน์กล่าว
“อืม พูดยังกับเชียงใหม่มายากอย่างนั้นแหละ”
“บางที่มันก็ไปไม่ยากนะพี่ลัล แต่ก็ไม่บ่อยที่เราจะได้กลับมาอีกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอให้จ้าได้กลับมาที่นี่อีกนะ” ลัลลดายิ้มก่อนจะลุกขึ้นเดินไปรวมกับเพื่อน ๆ ของเธอ
อาทิตย์ทัศน์วางดอกบัวสีชมพูที่พับกลีบอย่างประณีตลงบนพานก่อนจะเดินสำรวจไปรอบ ๆ อีกครั้ง ในขณะที่เพื่อน ๆ ของเขาต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปหามุมถ่ายรูปของตนเองเพื่อหวังจะมีงานติดไม้ติดมือกลับไปส่งอาจารย์บ้าง
“จ้า ไปแขวนระฆังกันเถอะ อ่ะนี่พี่เอามาเผื่อ ไปเขียนชื่อแล้วก็เอาไปแขวนนะ” สาวร่างบางกล่าวก่อนจะส่งระฆังใบจิ๋วให้น้องรหัสของเธอ
“ขอบคุณครับพี่ลัล” อาทิตย์ทัศน์รับระฆังใบเล็กมาก่อนจะหาที่ร่ม ๆ เพื่อนั่งเขียนชื่อลงไปตามที่พี่รหัสของเขาบอก ครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้น จุดหมายก็คือรั้วรอบ ๆ องค์พระธาตุ
“แดดร้อนนะ ระวังไม่สบาย” เสียงที่ดังขึ้นใกล้ ๆ หูทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ถูกวางลงบนศีรษะก่อนที่ร่างสูงของชายหนุ่มผมยาวผู้หนึ่งจะเดินผ่านตัวไป เมื่ออาทิตย์ทัศน์เอื้อมมือหยิบสิ่งที่อยู่บนศีรษะมาดู เขาก็พบว่ามันคือหมวกแก๊ปที่เขาวางทิ้งไว้ที่ราวบันได ชายหนุ่มสวมมันกลับเข้าที่พร้อมกับมองหาผู้ชายคนเมื่อครู่แต่ก็ไม่พบ อาทิตย์ทัศน์จึงเดินไปที่รั้วรอบองค์พระธาตุก่อนจะจัดการแขวนระฆังใบเล็กนั้นไว้กับรั้ว
คนตัวสูงยืนมองชายหนุ่มที่ได้เจอที่ถนนคนเดินเมื่อคืนก่อนจะยิ้มน้อย ๆ เขาเดินเข้าไปที่รั้วรอบองค์พระธาตุก่อนจะเอื้อมมือจับระฆังใบเล็กที่เพิ่งถูกแขวนเมื่อครู่ขึ้นมาดูข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้
‘เมฆา กิตติวรกุล’
อาทิตย์ทัศน์นั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอนก่อนจะเลื่อนลิ้นชักหยิบกล่องใส่โปสการ์ด ๆ ออกมาดูทีละใบ ในที่สุดเขาก็เจอสิ่งที่กำลังหา ภาพสเก็ตซ์ด้านหลังของผู้ชายสวมหมวกแก็ปที่หลังเสื้อมีตัวอักษร ‘phot’ ภาพสเก็ตซ์บันไดนาค และภาพสเก็ตซ์ระฆังใบเล็กซึ่งแขวนอยู่ตามแนวรั้วเหล็ก กระดาษสีเหลืองเก่า ๆ ยิ่งย้ำเตือนว่าแต่ละภาพถูกวาดเอาไว้นานแล้ว...
ประตูห้องในคอนโดถูกเปิดออกช้า ๆ อาทิตย์ทัศน์ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปภายในห้องก่อนจะเปิดไฟ เขาเดินตรงไปที่ผนังด้านหนึ่งของห้องที่มีกรอบรูปติดเรียงเอาไว้ มือเรียวค่อย ๆ ปลดภาพสเก็ตซ์ชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปออกมาดูอย่างพิจารณา ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดของภาพเท่าไรนัก แต่หากพิจารณาดี ๆ จะพบว่าพื้นหลังที่ไม่ได้แสดงรายละเอียดอะไรมากนักยังคงมีรายละเอียดในตัวของมันเอง นั่นทำให้คนดูรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มในภาพกำลังนั่งอยู่ที่ร้านขายรูปภาพหรือโปสการ์ดที่ไหนสักที่ ที่คอของเขาคล้องสายกล้องซึ่งคาดว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันกับกล้องที่เขาถืออยู่ในมือ อยู่ ๆ น้ำใส ๆ ก็หยดลงบนกระจกของกรอบรูป อาทิตย์ทัศน์ใช้มือเรียวปาดน้ำตาที่กำลังไหลอาบทั้งสองแก้มของตัวเองก่อนจะกอดกรอบรูปนั้นเอาไว้แน่น...