(คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ..) ตอนพิเศษ : เสือน้อย
ตาคมกริบก้มลงมองดอกบัวหลวงสองดอกที่ถูกจับจีบอย่างประณีตมัดรวมกับธูปและโคมเทียนประดิษฐ์เองซึ่งวางอยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังทางข้างหน้าซึ่งเป็นถนนคอนกรีตสำหรับรถราได้สัญจรไปมาภายในหมู่บ้านจัดสรร ที่ข้างทางมีทั้งพ่อแม่กำลังจูงมือลูก ๆ หลาน ๆ ประคองคุณตาคุณยาย คนรักเดินจับมือกัน ในมือของแต่ละคนต่างก็ถือธูปเทียนและดอกไม้สดตามแต่จะหาหรือซื้อมาได้ เมื่อถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเช่นนี้จุดหมายปลายทางของคนเหล่านั้นคงไม่ต่างกันนักนั่นก็คือวัดที่อยู่ใกล้บ้าน
ตฤณกรก้มลงมองที่มือทั้งสองข้างของตัวเองที่ขณะนี้ได้แต่เพียงกำแฮนด์จักรยาน ไม่มีสัมผัสอุ่น ๆ จากมือของคนข้าง ๆ เหมือนกับคนอื่น แต่เสียงชัตเตอร์ที่ดังเป็นระยะ ๆ อยู่ด้านหลังก็ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาได้เหมือนกัน อย่างน้อยก็อุ่นใจเพราะมันก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้กำลังอยู่คนเดียวบนเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยนี้
“เกาะเอวผมบ้างก็ได้นะ มัวแต่ถ่ายรูปอยู่นั่นแหละ ถ้าคุณหล่นไปตรงไหนผมจะรู้ไหมเนี่ย” คำพูดของพลขับกิตติมศักดิ์ทำให้อาทิตย์ทัศน์จำต้องลดกล้องลง ปากบางเม้นเข้าหากันแน่นพร้อมกับจ้องแผ่นหลังกว้างตรงหน้าอย่างหมั่นไส้
“กล้าทำหล่นเหรอ”
ตฤณกรขยับยิ้มก่อนจะเหลียวมามองคนที่นั่งซ้อนท้าย “ใครจะกล้าทำพ่อเสือน้อยหล่นกลางทางล่ะครับ ลุกขึ้นมาได้มีหวังโดนไล่ตะปบไส้แตกกันพอดี”
หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันน้อย ๆ เมื่อได้ยินสมญานามที่คนข้างหน้าคิดขึ้นมาเรียกตัวเองเมื่อไม่นานมานี้
‘พ่อเสือน้อย’ ฟังแล้วจั๊กกะจี้พิลึกในความคิดของอาทิตย์ทัศน์ อดคิดไม่ได้ว่านี่เขาดุเข้าขั้นพ่อเสือเชียวหรือ
“บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกแบบนี้
“ทำไมล่ะ ผมว่าเหมาะกับคุณดีออก”
“นี่ผมดุขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อืม บางทีก็ดุ แต่บางทีก็เหมือน...” ตฤณกรอมยิ้มก่อนจะหันมาสบตาคนซ้อนท้าย “เหมือนลูกแมวอ้อนเจ้าของ เรียกเสือน้อยก็เหมาะแล้ว น่ารักดีออก”
เพียงเท่านั้นก็ทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าจนอาทิตย์ทัศน์ต้องเสมองไปทางอื่น ทั้งที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาเป็นปี ๆ ทั้งที่เจอกันแทบทุกวัน แต่ทุกครั้งที่สบตาเขามันเหมือนกำลังย้อนกลับไปในวันที่เริ่มเปิดใจให้กัน หัวใจยังคงเต้นแปลก ๆ เหมือนวันแรก ๆ ที่คุยกันไม่มีผิด
“อ่ะ เขิน ๆ” คนตัวสูงพูดพลางรั้งมือคนซ้อนท้ายมาไว้ที่เอวของตัวเอง “กอดไว้ เดี๋ยวหล่นลงไปเพราะมัวแต่เขินละแย่เลย”
น้ำเสียงล้อเลียนแบบนั้นทำเอาคนฟังถึงกับไปไม่เป็น พยายามจะสะกดอาการเขินแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน
มือเรียวค่อย ๆ ขยับออกจากการถูกเกาะกุมก่อนจะเลื่อนกลับมาวางบนหน้าขาของตัวเอง “พูดเพ้อเจ้อ”
แทนที่คนถูกว่าจะตอบโต้ เขากลับผิวปากอย่างอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้
ตฤณกรปั่นจักรยานมาจอดในบริเวณวัดซึ่งขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ตั้งใจมาเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนานี้ ฟ้าที่เริ่มมืดลงช่วยขับให้หลอดไฟนีออนหลากสีสันซึ่งถูกประดับไว้ทั่วบริเวณดูสว่างสดใสขึ้น ลานวัดเต็มไปด้วยร้านรวงที่มาตั้งขายของเนื่องในงานประจำปีของวัดตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน เครื่องขยายเสียงที่ถูกตั้งเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ เป็นตัวกลางในการส่งผ่านสารจากมัคนายกมายังผู้คนที่อยู่ภายในบริเวณวัด
เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วชายชรานุ่งขาวห่มขาวจึงประกาศให้ผู้ที่มาเวียนเทียนไปรวมตัวกัน ดังนั้นผู้คนมากมายจึงพากันชักแถวไปยังโบสถ์ก่อนจะตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อาทิตย์ทัศน์สะพายกล้องเฉียงพาดไหล่ก่อนจะรับดอกบัวที่มัดรวมกับธูปและโคมเทียนจากตฤณกรจากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินไปรวมกับคนอื่น ๆ โคมเทียนที่ช่วยกันประดิษฐ์ตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายสว่างขึ้นเพราะคุณป้าใจดีท่านหนึ่งช่วยต่อเทียนให้ ตฤณกรเหลือบมองเสี้ยวหน้าที่ต้องแสงเทียนสีเหลืองนวลของคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ กันก่อนจะอมยิ้มอย่างมีความสุข ไม่ช้าการเวียนประทักษิณาวัตรรอบโบสถ์เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งการเคารพบูชาพระรัตนตรัยก็เริ่มขึ้นท่ามกลางกลิ่นธูปและควันเทียน
“คุณ เดี๋ยวเราไปเดินเล่นในงานกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ” คนตัวสูงเอ่ยขึ้นขณะวางดอกบัวลงบนฐานพระประธานภายในโบสถ์
“เดี๋ยวก็ดึกหรอก” อาทิตย์ทัศน์ท้วง แท้จริงแล้วเป็นเขาเองที่ไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้เดินเบียดเสียดกันเสียเท่าไร
“ยังไม่ไม่สองทุ่มเลย” พูดพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “แต่ถ้าดึกก็ไม่เป็นไร ผมนอนค้างที่บ้านคุณก็ได้”
ตาคู่สวยหรี่ลงก่อนจะกล่าว “ถามเจ้าของบ้านเขาแล้วหรือยัง”
“ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอนุญาต” ปากหยักขยับยิ้มก่อนจะรีบเดินหนีเสียงบ่นชุดใหญ่ที่คาดว่าจะต้องตามมาจากคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันแน่ ๆ อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างอ่อนใจที่ไม่สามารถต่อกรกับคนเจ้าเล่ห์คนนี้ได้เลยสักครั้ง
สองหนุ่มเดินตามกันไปยังลานวัดที่แน่นขนัดไปด้วยร้านค้าและผู้คน เสียงปาเป้าและยิงลูกโป่งดังคละเคล้าไปกับเสียงเชิญชวนอวดสรรพคุณสินค้าของบรรดาพ่อค้าแม่ขาย ตฤณกรเดินดิ่งไปยังร้านปาเป้าก่อนจะควักเงินจ่ายให้กับเด็กหนุ่มเจ้าของร้านตามจำนวนที่ติดป้ายเอาไว้ สิ่งที่เขาได้กลับมาคือลูกดอกจำนวนสิบอันที่จะต้องปาให้ลูกโป่งแตกทั้งหมดสิบลูกจึงจะสามารถเลือกตุ๊กตากลับบ้านได้หนึ่งตัว
“ไหวเหรอ” อาทิตย์ทัศน์ถาม
“ไหวสิคุณ ผมน่ะเซียนปาเป้านะ สมัยเด็ก ๆ ตอนอยู่เชียงใหม่ ลุงชอบพาผมไปปาเป้าที่งานวัดบ่อย ๆ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างมั่นใจก่อนจะยกมือขึ้นขยับกรอบแว่นสายตาให้เข้าที่
เมื่อได้ฟังดังนั้นคนตัวเล็กกว่าก็พยักหน้าพร้อมกับกอดอกเตรียมพร้อมรอดูผลงานของเซียนปาเป้าที่กวนประสาทที่สุดคนนี้
“เอาเลยพี่” เสียงเชียร์ดังมาจากกลุ่มวัยรุ่นที่ยืนอยู่หลังแผงกั้นหน้าร้าน
ตฤณกรพยักหน้าก่อนเล็งลูกดอกแล้วปามันออกไปเต็มแรง ลูกดอกลูกเล็กแหวกอากาศด้วยความเร็วก่อนจะกระทบกับผิวของลูกโป่งเกิดเสียงดัง ชายหนุ่มหันมายักคิ้วให้คนที่ยืนกอดกออยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเริ่มปาลูกต่อไป ในที่สุดลูกดอกที่ถูกปาออกไปทั้งเก้าลูกก็ทำให้ลูกโป่งแตกไปทั้งหมดเก้าใบ แต่แล้วในขณะที่ตฤรกรกำลังจะปาลูกดอกลูกสุดท้ายเสียงของกลุ่มวัยรุ่นก็ดังขึ้นทำลายสมาธิจนเขาปาพลาดเป้า
“โห เสียดายจังอีกแค่ลูกเดียวเอง”
“ไหนบอกว่าเซียนไง” อาทิตย์ทัศน์ยิ้มก่อนจะจ่ายเงินให้เด็กหนุ่มเจ้าของร้านเพื่อแลกลูกดอกอีกสิบลูก “อยากได้ตัวไหนก็เล็งไว้นะน้อง เดี๋ยวพี่ปาให้”
ตฤณกรถึงกับต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเอาไว้ รอยยิ้มกวน ๆ และลักยิ้มที่แก้มของคนตรงหน้าทำเอาแทบอยากจะเข้าไปจับฟัดสักฟอดให้หายมันเขี้ยว แต่เขาก็ทำได้แค่เพียงส่งสายตาเพื่อเตือนให้พ่อเสือน้อยของเขารู้ว่า ‘กลับไปไม่รอดแน่’ เพียงเท่านั้น
ลูกดอกลูกแรกถูกปาออกไปอย่างไม่เต็มแรงนักแต่ก็ไม่พลาดเป้า อาทิตย์ทัศน์หยิบลูกดอกลูกที่สองขึ้นมาเตรียมพร้อมก่อนจะหันมายักคิ้วให้คนที่กอดอกเต๊ะท่ายืนมองอยู่ข้าง ๆ จากนั้นเขาก็ปาลูกดอกลูกที่สองออกไป ไม่ถึงห้านาทีลูกดอกในมือก็ถูกปาออกไปจนหมดและทุกลูกก็สามารถทำให้ลูกโป่งแตกครบทั้งสิบลูก
“อยากได้ตัวไหน” ปากบางขยับยิ้มเมื่อเดินเข้ามายืนข้าง ๆ คนที่กำลังแหงนมองตุ๊กตาที่ถูกแขวนเรียงรายเหนือศีรษะ
“อืม” ตฤณกรนิ่งคิดก่อนจะชี้ไปที่ตุ๊กตาแมวสีน้ำเงินไม่มีหูตัวใหญ่ที่แขวนอยู่ด้านในสุด “ผมเอาตัวนั้น”
อาทิตย์ทัศน์ยิ้มก่อนจะหันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณกับเด็กหนุ่มเจ้าใช้ไม้ปลายตะขอเกี่ยวถุงใส่ตุ๊กตาลงมาให้
“อ่ะนี่” มือเรียวส่งถุงใส่ตุ๊กตาตัวใหญ่ให้
“ขอบคุณครับ” คนตัวสูงยิ้มจนแก้มแทบปริพร้อมกับรับถุงตุ๊กตามากอดไว้
อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองคนตัวโตตรงหน้าที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กได้ของเล่นใหม่
ยิ่งดึกผู้คนก็ยิ่งมากขึ้น ยิ่งต้องจับมือกันให้แน่นขึ้น?
“ปล่อยมือผมได้แล้ว นี่ไม่ได้อยู่บ้านนะคุณ” คนตัวเล็กกว่ากระซิบปรามคนที่จับมือเขาเอาไว้แน่นนขณะเดินฝ่าฝูงชนไปยังที่จอดรถจักรยาน
“คนเยอะขนาดนี้ เกิดคุณหลงไปจะทำยังไงครับ”
“ผมไม่ใช่เด็กนะคุณ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพร้อมกับแกะมือหนาที่กุมข้อมือของเขาออกก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าให้รู้แล้วรู้รอดไป
“เดินล้วงกระเป๋ายังกับจิ๊กโก๋” คนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นขณะรั้งถุงตุ๊กตามากอดไว้แน่น
“ช่างผมเถอะน่า” เจ้าของร่างเล็กกว่ากล่าวก่อนจะมองดูผู้คนที่เดินสวนทางมา
“ยิ้มอะไรของคุณ” อาทิตย์ทัศน์เอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าคนข้าง ๆ กันเอาแต่กอดตุ๊กตายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ดีใจได้ตุ๊กตา”
“คุณนี่มันเยอะตลอด” อาทิตย์ทัศน์อดแขวะไม่ได้ทั้งที่รู้อยู่แล้วตฤณกรมักจะอ่อนไหวกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ แค่ตุ๊กตาตัวนี้เพียงตัวเดียวก็คงทำให้ปลื้มไปอีกหลายวัน บางครั้งอาทิตย์ทัศน์ก็อดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขาไม่ได้ ความใส่ใจในรายละเอียดของตฤณกรทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความโรแมนติกเอาเสียเลย ยิ่งเมื่อบังเอิญพบกล่องใส่ของใบหนึ่งเมื่อครั้งที่แอบเข้าไปทำความสะอาดตอนเจ้าของห้องไม่อยู่ก็ยิ่งตอกย้ำความคิดนี้ ในกล่องใบนั้นมีทั้งตั๋วเรือด่วนเมื่อครั้งที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก ตั๋วรถเมล์ โปสการ์ด รูปถ่าย และอีกมากมายที่เป็น ‘ของชิ้นแรก’ แต่ละชิ้นถูกใส่ไว้อย่างดีในซองพลาสติก มีวันที่เขียนกำกับพร้อมกับข้อความเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นสั้น ๆ
“ตอนแรกตั้งใจจะปาให้คุณนั่นแหละ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าคุณเองต้องเป็นคนปาให้ผม ตลกดีเนอะ”
“อย่างนี้แหละ คนมันเก่ง” อาทิตย์ทัศน์หยักไหล่
“เฮ้อ...” ตฤณกรถอนหายใจก่อนจะโอบไหล่คนข้าง ๆ เอาไว้ “แบบนี้สงสัยกลับไปบ้านต้องให้รางวัลคนเก่งเสียหน่อยแล้ว”
“ไม่ต้องทำเนียนเลย” พูดจบมือเรียวก็คว้าข้อมือคนตัวสูงกว่ายกข้ามศีรษะตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา
ตฤณกรหัวเราะชอบใจก่อนส่งถุงตุ๊ตาให้คนตัวเล็กกว่าถือเอาไว้ จากนั้นเขาก็เดินไปจูงจักรยานที่จอดอยู่ออกมา “ขากลับคุณปั่นกลับนะ ผมจะกอดตุ๊กตาของผม”
“เป็นเอามากนะคุณน่ะ” อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าก่อนจะส่งถุงตุ๊กตาคืนให้ จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งบนอานจักรยาน เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารและตุ๊กตาขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้วเขาจึงค่อย ๆ ปั่นจักรยานออกจากบริเวณวัด
ตาคู่สวยหรี่ลงเป็นระยะเมื่อไฟหน้ารถที่ขับสวนมาสาดกระทบกับใบหน้า คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากวงแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวของตัวเอง
“ไหนบอกว่าจะกอดตุ๊กตาไง”
“ก็กอดอยู่นี่ไงคุณ”
“กอดตุ๊กตาสิ จะกอดเอวผมทำไม”
“ผมกลัวตก”
“แค่นี้ไม่ตกหรอก”
“ผมก็ยังกลัวอยู่ดี” ตฤณกรกล่าวพร้อมกับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น
“น้อย ๆ หน่อย” เสียงนั่นไม่ได้ทำให้คนถูกปรามคิดจะยอมปฏิบัติตามเลยสักนิด ทั้งยังเอนศีรษะพิงลงบนหลังของคนข้างหน้าพร้อมกับผิวปากอย่างสบายใจไปตลอดทางเสียด้วยซ้ำ
อาทิตย์ทัศน์ชะลอความเร็วด้วยการบีบเบรคมือเมื่อรถมาถึงหน้าบ้าน ชายหนุ่มจอดจักรยานก่อนจะลงไปเปิดประตูรั้ว โดยมีตฤณกรช่วยจูงจักรยานเข้าไปเก็บโรงรถ
“จะกลับเลยไหม ผมจะเปิดประตูให้” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยขึ้น
“อะไรกัน มาถึงก็จะให้กลับเลยเหรอคุณ”
“ดึกแล้วนะ”
“หิว อยากกินข้าวไข่เจียวก่อนแล้วค่อยกลับ” ผู้ใหญ่เอาแต่ใจกล่าวพร้อมกับใช้มือลูบท้องตัวเอง ท่าทางของเขาทำให้อีกฝ่ายอดที่จะถอนหายใจไม่ได้
“งั้นก็เข้าบ้าน” อาทิตย์ทัศน์กล่าวด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ จากนั้นจึงเดินนำเข้าไปในบ้านทันที
“กลับมากันแล้วเหรอลูก” ผู้เป็นแม่ที่กำลังจะเดินขึ้นชั้นสองเอ่ยขึ้นเมื่อสองหนุ่มกลับเข้ามาในบ้าน
“ครับแม่”
“แล้วคืนนี้ตังค้างที่นี่หรือเปล่าจ๊ะ”
“ค้างครับ” / “เปล่าครับ” พร้อมใจกันตอบ แต่กลับตอบแบบไม่ได้นัดกันมาจนตั้งคำถามต้องอมยิ้ม
“เปล่าครับแม่ แค่แวะทานข้าวเฉย ๆ เดี๋ยวก็กลับ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ “ใช่ไหม”
“เอ่อ...ชะ ใช่ ใช่ก็ได้ครับ”
อรนุชขมวดคิ้วยิ้ม ๆ “มันยังไงกันจ๊ะตัง ใช่ก็ได้เนี่ย”
“ก็แวะมาทานข้าวแล้วเดี๋ยวก็จะกลับครับคุณป้า”
“อืม นี่ก็ดึกแล้วนะลูก ทานข้าวแล้วก็ค้างเสียที่บ้านเราก็ได้ พรุ่งนี้จะได้ให้ช่วยลากจ้าไปทำบุญกับป้าที่วัดด้วย วันนี้ยังอุตส่าห์ลากไปเวียนเทียนได้”
“อ้าวแม่..ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ” อาทิตย์ทัศน์หน้ามุ่ย
“คุณแม่คุณก็พูดถูกแล้วไง คุณน่ะมันพวกห่างไกลศาสนา” ตฤณกรยิ้ม อันที่จริงก็รู้อยู่ว่าพ่อเสือน้อยของเขามีเหตุผลในการไม่ไปวัดในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนานั่นเป็นเพราะว่าไม่ชอบคนเยอะ ๆ นั่นเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยั่วโมโห
อาทิตย์ทัศน์ถลึงตาใส่คนข้าง ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะอ้าปากเถียง แม่ของเขาก็ขัดขึ้นเสียก่อน “เอาละ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน สองคนนี้นี่” พูดจบอรนุชก็เดินขึ้นบันไดไป
เกือบห้าทุ่มแล้วแต่รถเก๋งสีดำก็ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่หน้าบ้าน กลิ่นหอม ๆ ของไข่เจียวหมูสับและข้าวสวยร้อน ๆ ยังคงส่งกลิ่นหอมกรุ่นคละคลุ้งอยู่ภายในห้องครัว แม้ว่าผู้มาเยือนจะจัดการส่งมันเข้าสู่กระบวนการย่อยภายในท้องไปเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ให้ค้างด้วยจริง ๆ น่ะเหรอ” ตฤณกรเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินมาซ้อนที่ด้านหลังก่อนจะวางคางลงบนบ่าของคนที่กำลังยืนเช็ดจานอยู่ที่หน้าอ่างล้างจาน
“อิ่มแล้วก็กลับไปนอนที่บ้านตัวเองโน่น”
“กลับก็กลับครับ” พูดจบก็แขนแกร่งก็สอดเข้ากับลำตัวของคนข้างหน้าก่อนจะรั้งเข้ามากอดเอาไว้ “แต่ต้องให้รางวัลคนเก่งก่อน”
“ไม่ต้องให้ ผมไม่เอา” อาทิตย์ทัศน์ทำท่าจะขยับหนีแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“แต่ผมอยากให้” ปากหยักกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูก่อนจะกดปลายจมูกลงที่ซอกคอขาวจนคนในอ้อมแขนต้องย่นคอหนี จากนั้นปลายจมูกโด่งก็กดไล่มาจนถึงแก้มเนียนก่อนจะสูดเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ เข้าปอดอีกฟอดใหญ่ให้สาสมกับสิ่งที่คนในอ้อมแขนได้ทำไว้เมื่อตอนหัวค่ำ
“พอได้แล้ว” อาทิตย์ทัศน์ปรามหลังจากวางจานใบสุดท้ายลงบนตะแกรง
ตฤณกรยิ้มก่อนจะถอนปลายจมูกที่คลอเคลียอยู่กับแก้มนุ่ม ๆ ออก “งั้นผมกลับแล้วนะ”
“ขับรถดี ๆ ล่ะ”
“ครับ คุณก็อย่านอนดึกนะรู้ไหม”
อาทิตย์ทัศน์ได้แต่พยักหน้าในขณะที่ปากหยักลื่นมากระซิบที่ข้างหูอีกครั้ง
“ฝันถึงผมด้วยนะ”
“พูดจาเพ้อเจ้ออีกแล้ว”
“บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เพ้อเจ้อ” ตฤณกรกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ผมเพ้อจ้าต่างหาก เพ้อ..จ้าคนเดียวนี่แหละ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูทำเอาหัวใจคนฟังวูบไหว ตัวเบาหวิวราวกับอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักจนแทบจะยืนไม่อยู่ ถ้าไม่ได้แขนแกร่งของคนข้างหลังประคองเอาไว้ ป่านนี้ก้อนหินจำศีลอย่างอาทิตย์ทัศน์คงลงไปกองอยู่กับพื้นแล้วเป็นแน่...
....
สวัสดีค่ะ
ตอนนี้ไม่ได้มีสาระอะไรเลย (พอดีไปเที่ยวงานวัดมาค่ะ) แค่มาให้หายคิดถึงกันนะคะ ^^
ขอบคุณมาก ๆ สำหรับทุก ๆ ความเห็นที่ผ่านมาด้วยนะคะ