US ≡ เรื่องรัก ♥ ระหว่างเรา [อัพเดทข่าวและตอบเม้นค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: US ≡ เรื่องรัก ♥ ระหว่างเรา [อัพเดทข่าวและตอบเม้นค่ะ]  (อ่าน 51994 ครั้ง)

ออฟไลน์ full69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-2

ออฟไลน์ Palmpalm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
อะไรทำให้นิลปิดกั้นตัวเองขนาดนี้

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
พี่รันดูเป็นคนดีนะคะ นิลจะไม่ใจอ่อนนิดนึงเหรอ :z1:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อดีตก็เอาไว้เป็นบทเรียนนะนิล

ถ้าเราไม่เปิดใจแล้วจะรู้หรอว่ารักดีๆเป็นไง

ออฟไลน์ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-4
ถ้าไม่บ่งเสี้ยนออกมันก็จะเจ็บแปล๊บ ๆ ระคายผิวอยู่นั้นแหละนิล

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
นิลมีความหลังอะไรน้อ  :hao4:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter : 5 [ใจเอย]
«ตอบ #36 เมื่อ29-01-2014 13:58:20 »

Chapter : 5 [ใจเอย]





ผมนั่งเงยหน้าเอาหัวพิงพนักเก้าอี้โดยมีแว่นตาดำของพี่รันบดบังใบหน้ากว่าครึ่งเอาไว้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคลาคลั่งไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ คนไทยนี่ก็รวยเหมือนกันนะ เดินทางท่องเที่ยวกันได้เป็นว่าเล่น แต่ที่แน่ๆตอนนี้ผมกำลังง่วงนอน

“นิล ลุกมาดื่มนมก่อนครับ” เสียงทุ้มเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมา นมจืดและแซนด์วิชซับเวย์อันบะเริ่มยื่นมาตรงหน้าผม
“ใส่หอมใหญ่หรือเปล่า” ผมจ้องแซนด์วิชตรงหน้าด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“ไม่ครับ”พี่รันอมยิ้ม หนอยแน่ ผมยังจำได้เลยที่วันนั้นไอ้พี่รันมันเอาโอเนี่ยนริงมาใส่ปากผมตอนกำลังดูหนังเพลินๆ ผมละสำลักแทบตาย
“ถ้าพี่แกล้งผมอีกนะ คอยดูเถอะ” ผมกัดแซนด์วิชด้วยความหิว ตื่นเช้าขนาดนี้ไอ้พี่รันมันไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกัน มาเคาะห้องผมตั้งแต่เช้า แถมยังหล่อเฟี้ยวเหมือนเวลาปกติ
“เดี๋ยวทานเสร็จแล้วก็ไปที่เกตได้แล้วนะครับ”
“เสียดายเนอะที่ยัยฟ้าไปไม่ได้” ผมนึกถึงวันที่ยัยฟ้าหน้าซีดมาบอกผมว่าไปไม่ได้ เพราะคุณทวดของนางกำลังป่วยหนัก
“ถึงฟ้าครามจะมาไม่ได้ แต่พี่ก็มาได้นะครับ” คนข้างตัวผมยิ้มหวานจนผมเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ ทุกวันนี้พี่รันทำให้ผมสับสนและว้าวุ่นใจได้มากแค่ไหนมันคงไม่รู้ตัว
“ไม่ดีใจหรือครับที่พี่มาด้วย” คนหน้าด้านยังคงย่ามใจที่เห็นผมไม่พูดอะไร มือไม้จับตรงโน้นตรงนี้ไปเรื่อยจนมันจะดึงผมเข้าไปกอดนั่นละ
“เฮ้ย พี่จะทำอะไรเนี่ย หน้าด้านจริงๆ” ผมผลักไอ้พี่รันออกทันที เห็นผมนิ่งหน่อยละต้องรีบฉวยโอกาส
“อ้าว แหม” ใบหน้าหล่อยิ้มกว้าง ดูท่ามันคงจะไม่รู้สึกอายบ้างเลยสินะ
“อิ่มแล้ว ไปเหอะ” ผมยัดแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปากแล้วคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืน ง่วงๆแบบนี้การตอบสนองของผมจะดีเลย์เอาเรื่อง ทางที่ดีรีบขึ้นไปหลับต่อบนเครื่องดีกว่า


มีอะไรบางอย่างมาสะกิดที่แก้มผมจนรู้สึกสึกหงุดหงิด ผมหันหน้าหนีแล้วแต่มันก็ยังย้ายไปจิ้มตรงอื่นอีก โอ๊ย!! คนจะนอนโว้ย
“พี่รัน!”
“ครับ” คนข้างตัวผมยิ้มหวานไม่สะทกสะสะท้าน
“ผมจะนอน พี่อย่ากวนได้มั้ย”
“พี่ไม่ได้อยากกวน แต่พี่อยากให้นิลพิงไหล่พี่ไม่ใช่พิงกระจกเครื่องบิน” เอ่อ... เจอไม้นี้เข้าไปผมก็ใบ้รับประทาน ระหว่างที่ผมกำลังอ้ำอึ้งอยู่ พี่รันมันก็เลยจับหัวผมเอนไปซบบ่ามันพอดี

น่ารักอ้ะ!

ถุ้ยยยยย!

“ฮื้ม ไม่เอา เดี๋ยวคนอื่นมอง” ผมพยายามดันตัวเองออกห่าง แต่พี่รันมันก็จับบ่าผมแน่นยังกับตีนตุ๊กแก
“ช่างหัวคนอื่นสิครับ”
“พี่หน้าด้านจัง” ผมเบ้ปาก
“นิลน่ารักจัง” แอร๊กกกกก ผมโดนจุ๊บ พี่รันพูดจบมันก็เอาปากมาแตะกับปากผมทันทีไม่ให้ตั้งตัว หน้าผมมันร้อนผ่าวโดยอัตโนมัติ จากที่ง่วงๆก็พลันตาสว่าง หัวใจผมเต้นแรงจนจะทะลุออกมาจากอกอยู่แล้วไอ้บ้าพี่รัน
เพียะ
ผมตบปากพี่รัน แต่มันก็ยังยิ้ม สงสัยจะตบเบาไป
“ถ้าตบอีกทีพี่จะจูบให้สลบ” ฮึ้ยยยยย ไอ้คนหน้าด้านนน สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้มันครับ
“หึหึ” เกลียดดดด ผมเกลียดเสียงหัวเราะของมันนนนนนน


ผมยังคงไม่ยอมพูดกับไอ้พี่รันจนเครื่องลง จนออกจากเกต จนได้เจอกับแม่ที่มารับ แม่ผมสวยผุดผาดแบบที่เรียกว่าราศีเจ้าสาวจับ หน้าขาวจั๊วะ ปากแดงแจ๊ด น่ารักจริงๆเลยแม่ผม
“Hi! Eric.” ผมหันไปยิ้มทักทายกับผู้ชายข้างหลังแม่ ตั้งใจจะยื่นมือไปสัมผัสตามธรรมเนียมแต่คุณฝรั่งตัวโตก็ดึงผมเข้าไปกอดแน่นและตบบ่าผมดังปั้กๆ

ครับ ดังปั้บๆจนสะเทือนไปทั้งตัวเลยครับ

แต่สำหรับพี่รันคงเป็นแค่การตบดังปุๆ

ใช่สิ ผมมันอ่อนแอนี่ หึ...

ที่บ้านของแม่และเอริคเพิ่งปรับปรุงใหม่ บ้านปูนหลังเก่าริมชายหาดในคอร์นวอลล์ สีขาวที่ฉาบอยู่ภายนอกหลุดร่อนไปตามกาลเวลา บานหน้าต่างสีฟ้าที่ซีดเพราะปะทะกับสายลมและแสงแดดริมทะเลมานานปี แต่มันกลับทำให้สถานที่นี้ดูอบอุ่นเหลือเกิน บ้านเก่าที่บ่งบอกประวัติอันยาวนานหลายชั่วอายุคน เอริคเป็นคนจากครอบครัวขนาดใหญ่ที่สมาชิกในครอบครัวล้วนตายจากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อสิบกว่าปีก่อน บ้านหลังใหญ่นี้อยู่คนเดียวคงเหงาน่าดู แต่เมื่อมีแม่จ๋าของผมมาอยู่ด้วย บรรยากาศก็สดใสขึ้นจมหู
“นิลนอนห้องนี้นะลูก” แม่พาผมมาในห้องนอนสีขาวที่มีหน้าต่างสูงจรดเพดาน เตียงกว้างขวางคลุมด้วยผ้านวมหลายชั้นน่าพุ่งตัวเข้าไปนอนซุกเป็นอย่างยิ่ง
“เอ๊ะ พี่รันละครับแม่” ผมมองหาปลิงข้างตัวที่หายหัวไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
“อ๋อ เขากำลังคุยกับเอริคเรื่องบ้านหลังนี้แหละจ้ะ ตามประสานักออกแบบน่ะ” อ้อ ใช่ครับ บ้านหลังนี้สวยขนาดนี้ ไอ้พี่รันมันคงตาลุกวาวแหละ

แม่ปล่อยให้ผมเก็บข้าวของเข้าตู้เสื้อผ้า พอผมทำธุระเสร็จจึงได้ลงไปชั้นล่าง ยังเห็นไอ้พี่รันคุยกับเอริคไม่เลิก แหม อิจฉาคนพูดภาษาอังกฤษได้เป็นไฟจังเว้ย ผมเองยังไม่สามารถคุยกับเอริคได้ยืดยาวขนาดนั้นเลย
“พี่รัน เอากระเป๋าไปเก็บก่อนสิ” ผมสะกิด
“นิลเก็บให้พี่หน่อยนะครับ เอาไปไว้ห้องนิลก่อนก็ได้” ครับ... ยังไม่ทันแต่งงานก็ออกลายเสียแล้ว พอเจอของถูกใจเข้าหน่อยก็ไม่ละมือกันเลย ผมจึงต้องจำใจยกกระเป๋าพี่รันไปไว้ที่ห้องผมก่อน

“แม่ทำอะไรครับ” ผมโผล่หน้าเข้าไปในครัว
“แม่ว่าจะทอดมันฝรั่งกับปลาให้พวกหนุ่มๆเขากินก่อนจ้ะ” ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปเปิดเตา ตั้งกระทะ เทน้ำมันลงไป และหยิบมันฝรั่งที่แม่ผมหั่นไว้ทั้งแบบเส้น แบบแผ่นลงกระทะทอด
“นี่ นิลไม่คิดจะมาอยู่กับแม่บ้างเหรอ” จู่ๆแม่ก็โพล่งขึ้นมาทำเอาผมชะงัก คนบางคนอาจจะดีใจจนเนื้อเต้นถ้ารู้ว่าตัวเองมีโอกาสได้มาอยู่เมืองนอก แต่นั่นย่อมไม่ใช่คนอย่างผมแน่นอน
“ตอนนี้เรามีโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะลูก”

กึก

ผมกัดริมฝีปากแน่น ยิ่งกัดแรงยิ่งดี เอาให้มันรู้สึกเจ็บมากๆเลย ไอ้น้ำตาที่มันกำลังจะร่วงมันจะได้ไหลย้อนกลับเข้าไปให้หมด

ผมจะมาอยู่เป็นขวากหนามในชีวิตแม่ทำไม แม่กำลังจะแต่งงาน แม่กำลังจะได้มีความสุขชดเชยที่เคยขาดไปเมื่อก่อนนั้น แม่ที่ทำเพื่อผมมาอย่างมากมายเหลือเกินคนนี้

ผมอยากให้แม่มีความสุข...


“เอาไว้นิลจะลองคิดดูครับ” สุดท้ายผมก็ตอบแม่ไปด้วยรอยยิ้มและประโยคแบบเดิมๆ...


......
....
...

..
.
..
....
.


“ไม่เป็นไรนะ ร้องออกมาจนกว่าจะพอใจเลยครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มปลอบประโลมชวนให้ผมสะอื้นหนักขึ้น ผมร้องไห้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่น้ำตามันก็ยังไม่เหือดแห้งสักที
“ฮึก.. นิลอยากอยู่กับแม่ อยากอยู่กับแม่ที่สุด แต่... แต่...”
“ครับ พี่เข้าใจนะ ไม่เป็นไรนะครับ” ผมซุกหน้าเข้ากับบ่าพี่รัน น้ำหูน้ำตาไหลเยิ้มจนเสื้อพี่รันเปียกแต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าสนใจ นอกจากจะขะมักเขม้นกับการกอดปลอบผมเอาไว้
“ฮือ.... ฮึก...” การร้องไห้ที่ทุเรศที่สุดในชีวิตผมคือร้องไห้ไปสะอึกไปในอ้อมกอดของพี่รัน และนั่นส่งผลให้ยามเช้าของผม... อยู่ในสภาพที่ผมกำลังจะบอกต่อจากนี้...


ผมลุกขึ้นมาบนเตียงนอนฟูนุ่มสีขาว แสงแดดจากหน้าต่างบานสูงที่ผมชอบส่องเข้ามาภายในห้อง เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นชายหาดและน้ำทะเลสีฟ้าอยู่ไกลๆ บรรยากาศอันน่าสุนทรีย์แบบนี้คงทำให้ผมตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุขได้มากกว่านี้ ถ้า...

“ไอ้พี่รัน!!”

เสียงสิบแปดหลอดของผมทำให้คนที่กำลังนอนฝันหวานไม่ใส่เสื้อแสงเอาแขนพาดบนอกผมอย่างสบายใจสะดุ้งตื่น
“ครับ มีอะไรครับ นิลเป็นอะไรหรือเปล่า”
ผมกัดฟันมองไอ้หล่อที่ถือวิสาสะจับเนื้อจับตัวผมด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงที่ต้นแขนล่ำนั่นดังเพียะสนั่นห้อง
“โอ๊ย เป็นอะไรแต่เช้าครับนี่”
“ยังจะมาถามอีก ทำไมถึงมานอนในห้องนี้ได้ห๊ะ”
“อ้าว ลืมซะงั้นอ่ะ”
“อะไรเล่า อย่ามาฉวยโอกาสกับผมนะ”
“ทำไมใช้ ‘ผม’ กับพี่แล้วละครับ ทีเมื่อคืนยัง ‘นิลอย่างโง้น นิลอย่างงี้’ กับพี่อยู่เลย” คนหล่อทำสีหน้าโอดครวญได้ตอแหลที่สุด
“เฮ้ย พูดบ้าอะไรของพี่เนี่ย ออกไปจากห้องผมเลยนะ ไปๆ” ผมผลักพี่รันลงจากเตียงให้เดินไปหน้าประตู และไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อปาไล่หลังเจ้าของมันไปด้วย ผมรีบปิดประตูก่อนที่ไอ้พี่รันมันจะแทรกตัวเข้ามาได้ หึหึ ฝันไปเถอะ พี่ไม่มีทางได้เห็นหรอกว่าตอนนี้ผมหน้าแดงขนาดไหน

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผมนอนกับพี่เมื่อคืนนี้ขึ้นมา...

‘แม่ง... อายว่ะ..’ พึมพำเงียบๆกับตัวเองคนเดียวข้างหลังประตู โดยที่ไม่รู้ว่าคนอีกคนด้านนอกก็ยืนอมยิ้มพิงประตูอยู่เช่นเดียวกัน...


วันนี้กิจกรรมทั้งวันของผมคือโดนท่านแม่ลากไปโน่นมานี่ ทั้งไปติดต่อบริษัทจัดงานเลี้ยง ลองชุด พาผมไปช๊อปปิ้ง ฯลฯ ซึ่งดูไปแล้วผมว่าก็น่าจะเหนื่อยพอทน ตอนแรกเอริคบอกว่าจะมาขับรถให้ แต่แม่อยากมากับผมตามประสาแม่ๆลูกๆ เอริคเลยต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านกับพี่รัน โดยที่แม่สัญญาว่าจะซื้อสโคนเจ้าประจำกลับไปฝาก
“เดี๋ยวแม่จะไปนวดหน้าด้วย นิลไปนั่งรอแม่นะลูก”
ผมพยักหน้ารับชะตากรรมของตัวเองแบบเซ็งๆ โชคดีที่ตัวเองเอากล้องถ่ายรูปตัวโปรดติดมาด้วยก็เลยถ่ายโน่นนี่ฆ่าเวลาไปพลางๆ พอแม่ทำธุระเสร็จก็เย็นแล้ว
“นิลหิวแล้วอ่ะแม่”
“จ้าๆ เดี๋ยวตอนกลับก็นั่งกินสโคนบนรถไปก่อนเนอะ”
ตอนนี้ในมือผมก็เลยมีสโคนนุ่มชุ่มครีมอยู่หนึ่งอัน เพิ่งออกจากเตาร้อนๆเลยนะครับแหม่ ให้กินแทนข้าวยังได้เลยนะครับ

พอผมกับแม่มาถึงบ้านก็เห็นเอริคและพี่รันกำลังหวดปิงปองกันอย่างเมามัน ดูจากสภาพที่เหงื่อไหลโทรมกายและสีหน้าเคร่งเครียดทุกครั้งที่ลูกปิงปองหล่นจากโต๊ะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว...

คงจะบ้าเล่นกันมาทั้งวัน...

“อื้อหืม ทานอะไรกันบ้างหรือยังจ๊ะหนุ่มๆ” แม่ผมที่เดินเข้ามาก็ผงะกับไอร้อนระอุในห้องนี้เช่นเดียวกัน สองชายในห้องที่กำลังโต้ปิงปองอย่างดุเดือดจึงได้ทีวางไม้ลง
“วันนี้แม่ว่าจะทำสเต๊ก รันทานเนื้อวัวได้หรือเปล่าจ๊ะ”
“ได้ครับ ผมทานได้ทุกอย่าง” พี่รันยิ้มหวานให้แม่ผมจนเอริคหนวดกระตุก(แม้ว่าเอริคจะไม่มีหนวดก็ตามที)
“Honey, Would you know where’s my lighter?” เอริคเดินแทรกเข้ามาระหว่างพี่รันกับแม่ แล้วเดินโอบเอวแม่ผมเดินกระหนุงกระหนิงกันไปสองคน
เฮ้อ เห็นเขาหวานชื่นกันแบบนี้แล้วจะให้ผมมาอยู่เป็นกอขอคอได้ยังไงเล่า...
“วันนี้ไปทำอะไรมาบ้างครับ” ผมหันไปมองไอ้คนที่เปลี่ยนเป้าหมายจากการฉอเลาะแม่ มาเป็นยืนยิ้มประเหลาะอยู่ข้างผมแทน
“ก็...  ไปนั่งรอแม่นวดหน้า ไปลองชุดเป็นเพื่อนแม่ ไปซื้อของใช้ ฯลฯ” ผมพูดไปก็นับนิ้วไป ผู้หญิงช่างเป็นเพศที่อัศจรรย์เหลือเกินที่สามารถไปนู่นมานี่หลายๆที่ได้ภายในวันเดียว
“อือฮึ” พอผมร่ายจบ หันมามองหน้าพี่รันก็เห็นเจ้าตัวนั่งอมยิ้มจึงอดไม่ได้เผลอกวนตีนไปหนึ่งดอก
“บ้าป่าวพี่ นั่งจ้องหน้าผมแล้วยิ้ม”
“ถ้าพี่บ้า ก็บ้ารักละวะ”
“ฮึ้ย จะอ้วก พูดจาอะไรน้ำเน่าชิบเป๋ง”
“แหม น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจคน”
“โอ๊ย ไม่ไหวละ ผมขอไปหาอากาศหายใจไกลๆพี่หน่อยดีกว่า” ผมลุกหนี
“พี่ไปด้วยสิ”
“เอ๊ะ ก็ผมบอกว่าอยากไปไกลๆพี่ ถ้าพี่ตามผมมาด้วยก็ไม่มีความหมายสิ”
“จะอยากไปไกลๆพี่ทำไมละครับ แค่เอาหัวใจนิลไปไกลจากพี่ยังไม่พอ ยังจะเอาตัวไปไกลอีก” กรี๊ดดดดด กูจะบ้า ผมอยากจิกทิ้งหัวตัวเองแล้วกรีดร้องให้ลั่นบ้าน บ้าให้สาสมกับความหน้าด้านของคนๆนี้
“เลิกใจร้ายกับพี่สักทีเถอะครับ ทั้งๆที่พี่เองก็คลั่งนิลขนาดนี้” สองแขนของพี่รันยกขึ้นสวมกอดเอวผมจากด้านหลัง ผมรับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่กดลงมาบนบ่าของผม และเสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหู
“คนดีของพี่” หน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมาทันที หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นตึกตักจนผมกลัวว่าพี่รันจะจับได้

ผมกัดริมฝีปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว ก้มหน้าจนคางแทบจรดอก คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่นเพราะต้องข่มใจตัวเองสุดชีวิต...

ไม่ให้หันไปกอดตอบเขาที่แสนอ่อนโยนคนนี้...

ตัวผมที่ไม่เคยได้รับความอ่อนโยนแบบนี้จากผู้ชายคนไหนกำลังเผลอไผลไปกับความใจดีของเขา ผมจะเคยชินกับสิ่งที่ได้รับมานี้ไม่ได้ หากไม่อยากเจ็บอีกครั้ง ก็ต้องไม่พาตัวเองกระโจนลงไปในวังวันของสิ่งที่เรียกว่า ‘รัก’ ถึงแม้ว่าอ้อมกอดจากใครสักคนจะเป็นสิ่งที่ผมโหยหาและอยากจะตอบรับกลับไปอย่างสุดหัวใจ แต่มันก็เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกั้นขวางไว้ให้ผมไม่กล้าที่จะทำอย่างใจคิด หัวใจเจ้ากรรมทั้งที่สั่นไหวเวลาอยู่ใกล้ใครคนนี้ หัวใจเจ้ากรรมที่สูบฉีดเลือดจนใบหน้าของผมร้อนผ่าวยามที่เขาสัมผัส หัวใจเจ้ากรรมที่สิโรราบให้กับคนที่กำลังกอดผมราวกับผมเป็นยอดดวงใจของเขา...

“พี่รัน... ผมขอโทษ”

ผมดันตัวออกห่างจากเขาโดยไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง เพราะกลัวว่าจะเห็นสีหน้าผิดหวัง ทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นแววตาปวดร้าว และกลัวที่สุดคือใจตัวเอง ว่าจะโผเข้าหาอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นและยึดมันไว้เป็นของตัวเองคนเดียว

เพราะผมเป็นคนที่โลภมากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้... 


▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂


ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์ไม่ว่าจะให้กำลังใจหรือติชมนะคะ
คอมเมนท์ของคนอ่านเป็นกำลังใจชั้นเลิศสำหรับคนเขียนจริงๆค่ะ
  :o8:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ถ้านิลว่าพี่รันเค้าดี ก็อย่าปิดกั้นตัวเองเลยนะ  :katai2-1:
ให้กำลังใจคนเขียน กอดๆ :กอด1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เพียงแค่คุณลองเปิดใจ (เหมือนสโลแกนอะไรซักอย่าง555555)
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :L1:

รอลุ้นน้องนิลพี่รันว่าเมื่อไหร่น้องนิลจะเปิดใจ  :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
พี่รันอย่าเพิ่งท้อนะ

ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
อยากให้หาคู่ให้ฟ้าใหม่หน่อยสิ

ไ่ม่เอาไอ้เชี่ยเลนะ ไม่ชอบนิสัยเลย

ทำไมคนถึงคิดว่าการไปนอนกับคนอื่นทั้งๆที่

มีแฟนอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายอ่ะ

เพราะแบบนี้ไงมันถึงได้ใจ คิดว่าแค่ใช้ระบายอารมณ์เฉยๆไม่ผิด

แล้วทำไมไม่ยับยั้งชั่งใจเลย โคตรเกลียดเลยผู้ชายสันดารร่านเนี่ย ชิส์ :katai1:

ส่วนคู่นิลไม่รู้มีปมอะไร แต่ถ้าเป็นเราๆจะให้รันไปบอกครอบครัวก่อนเลยว่าถ้าตัวเองจะมี

แฟนเป็นผู้ชายจะว่ายังไง คือเกริ่นก่อนแล้วค่อนคบ55555+++

จะได้หมดปัญหา เพราะถ้าครอบครัวรันมีหน้ามีตาในสังคม

คงต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เรื่องละเมียดมากครับ
อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าคนแต่งตั้งใจแต่งมาก

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter : 6 [ผู้หญิงที่ผมรัก]
«ตอบ #43 เมื่อ03-02-2014 17:28:57 »

Chapter : 6 [ผู้หญิงที่ผมรัก]


ผมนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียงตามลำพังในห้องที่มืดสนิท แต่เพราะคืนนี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง จึงมีแสงจันทร์ลอดผ้าม่านส่องเข้ามาถึงในห้อง ผมผุดลุกขึ้นมานั่งนิ่งอยู่ตรงขอบเตียง  ในหัวนึกถึงเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว

สมัยที่ผมเพิ่งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นเกย์ นั่นมันนานหลายปีมาแล้วมั้ง ตอนนี้ผมอายุยี่สิบ รู้ว่าตัวเองเริ่มชอบผู้ชายตอนม.1 เออ...เจ็ดปีพอดีแฮะ... 

นอกจากเรื่องที่รู้ว่าตัวเองเริ่มเป็นเกย์ตอนไหน ก็ยังมีเรื่องของคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่า ‘รัก’ และ ‘อกหัก’ เป็นครั้งแรก...


‘นิล เราชอบนิลนะ’

ใบหน้าที่ติดจะคมเข้มตามประสาลูกเสี้ยวละตินผสมเม็กซิกันกำลังยืนทำสีหน้าจริงจังตรงหน้าผม เพื่อนร่วมห้องคนที่ผมแอบชอบเขามานานแล้ว...

‘โจ’ เป็นนักกีฬาหนุ่มฮ็อตของโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ ผู้ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตกอยู่สายตาของเพื่อนร่วมโรงเรียนเสมอ และโจคนนี้ก็มาบอกว่าชอบผมที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ใช่คนที่ชอบสุงสิงกับใครสักเท่าไร

‘คือ... เราก็ชอบโจเหมือนกัน’

สาบานได้เลยว่าถ้าตอนนั้นผมไม่ได้หน้ามืดตามัวเพราะดีใจที่โจมาบอกชอบ ผมคงสะกิดใจแล้วว่าสีหน้าของเขาตอนที่ผมบอกว่าชอบเขากลับนั้นมันดูทะแม่งๆ จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะช็อกก็ไม่เชิง สีหน้าเหมือนคนที่กล้ำกลืนสุดชีวิต

ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผมคบกับเขา ทุกครั้งที่ผมพยายามเอื้อมมือไปสัมผัสกับมือของเขา สิ่งที่ผมได้กลับมาคืออาการสะดุ้ง อันที่จริงมันก็มีบ้างบางครั้งที่เขาเป็นฝ่ายจับมือผมก่อน แต่มันก็ดูฝืนๆอย่างบอกไม่ถูก แม้กระทั่งจูบแรกของผม...

‘เรารักนิลนะ’

คุณเชื่อไหมว่าตอนนั้นผมดีใจจนน้ำตาคลอ คำว่ารักมันบดบังสติของผมไปจนหมดสิ้น ผมยอมรับว่ามีความสุขจนไม่คิดทบทวนไตร่ตรองอะไร และยิ่งสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากนั่นอีก ทำให้ผมมอบหัวใจให้โจไปจนหมด

แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ทุกสิ่งเปลี่ยนไปจนผมตั้งตัวไม่ทัน เวลาที่เราอยู่ในห้องเรียน โจจะมีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลังจนผมเข้าไม่ถึง และถ้าหากผมจะเข้าไปคุยกับเขา เขาก็จะลุกหนีไปที่อื่นทันที นั่นยังไม่รวมถึงสายตาแปลกๆที่พวกเพื่อนคนอื่นมองผม...


‘คืองี้นะนิล เราจบกันแค่นี้ได้มั้ย’

‘โจหมายความว่ายังไง?’

‘คือเรื่องระหว่างเราน่ะ พอแค่นี้เถอะนะ’

‘เรา... เราตามไม่ทัน ทำไมจู่ๆ...’

‘นิล เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่จริงหรอก’ เสียงโจฟังดูหงุดหงิด ‘ขอโทษนะที่หลอกนิล’

‘หลอก...’ ผมอึ้ง

‘โทษทีนะ พวกเราก็แค่พนันกันเล่นๆ’ เพื่อนในกลุ่มของโจที่ชอบมองผมแบบแปลกๆเดินเข้ามาพร้อมกันราวกับนัดกันไว้

‘ที่จริงแล้วเราจะพุ่งเป้าหมายไปที่คนอื่นก็ได้ แต่นายดูหลอกง่าย และก็มีท่าทีว่าจะชอบไอ้โจพอสมควร’ ผมหันไปมองหน้าโจตอนที่ประโยคนี้ผ่านเข้ามาในหู เขาไม่สบตา ไม่มอง ไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย กระทั่งความสำนึกผิดยังไม่มีปรากฎบนสีหน้าเขาสักเสี้ยวเลย...


น้ำตาผมกำลังจะไหล...


‘ทุกอย่างที่ทำ... ก็โกหกหมดเลยเหรอ’ ผมถามโจ

‘อืม’

‘แล้ว... จูบนั้นละ’

‘เหอะ อย่าไปพูดถึงมันเลย เราไม่อยากนึกถึง’ โจพูดด้วยสีหน้าพะอืดพะอมสุดชีวิต ราวกับกำลังนึกถึงเรื่องโสโครกบัดซบที่สุดในชีวิตของเขา

‘เอ้า ไอ้เหี้ยโจ มึงเอาไป’

‘เฮ้อ เซ็งว่ะ อ้ะ นี่ของกู’ บรรดาเพื่อนของโจควักเงินให้โจคนละหลายใบด้วยสีหน้าหงุดหงิด

‘กูนึกว่ามึงจะยากกว่านี้สักหน่อย เซ็งเลยแม่ง’ เพื่อนคนหนึ่งของโจเดินมาเอามือผลักหัวผม

‘หึหึ กูจะได้ลบรูปนี้สักที เดี๋ยวแฟนกูมาเห็นละซวยเลย’

‘เฮ้ย เอาให้ไอ้นิลดูก่อนดิวะ’

โจแค่นยิ้มก่อนจะยื่นโทรศัพท์ของเขามาตรงหน้าผม รูปตอนที่เขาจูบผมโชว์หรา


‘ไม่ต้องห่วง เราลบทิ้งละ เก็บไว้ก็อุบาทว์ลูกตา’

‘อ้อ แล้วก็อย่าโกรธกันเลยนะ นี่เราแบ่งให้นิลแล้วกัน’ โจยัดแบงค์สีเทาใบหนึ่งใส่มือผม แล้วพวกมันก็เดินจากไป เหลือเพียงตัวผมที่ยืนนิ่งงันอยู่ตามลำพัง


เจ็บชิบเป๋ง...


‘ฮึก...’ น้ำตาหยดโตที่ร้อนผ่าวไหลมาตามแก้มผม เช็ดเท่าไรเท่าไรมันก็ไม่หมด ผมทรุดตัวลงนั่งคุดคู้อยู่ตรงนั้นนานเท่าไรก็จำไม่ได้ จนกระทั่งเลิกเรียนผมจึงขึ้นไปเอากระเป๋าในห้องเรียนที่ไม่มีคนอยู่

ตอนนั้นคนที่ผมคิดถึงที่สุดคือแม่

ผมซุกหน้าร้องไห้ที่ตักแม่อยู่นานเท่าไรก็จำไม่ได้ ปากพร่ำบอกแค่ว่าขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวังบวกกับความเศร้าเสียใจที่ตัวเองโง่เหมือนหมา จนกระทั่ง... ผมเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าแม่กำลังมีน้ำตาไหลอาบแก้ม
‘แม่ แม่ร้องไห้ทำไม’ ผมละล่ำละลักถาม น้ำตาเหือดแห้งในทันที
‘แม่ขอโทษนะลูก... ที่แม่ช่วยอะไรนิลไม่ได้เลย’
‘ไม่ๆ แม่ไม่ผิด แม่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับ’
‘บางที... ถ้าแม่รักษาครอบครัวเราไว้ได้ นิลก็คงมีพ่อ มีคนที่อาจจะช่วยนิลแก้ปัญหาได้’
‘ไม่ครับแม่ นิลไม่ต้องการใคร นิลรักแม่ นิลมีแม่คนเดียวก็เกินพอแล้วนะ’ ผมโผเข้ากอดแม่แน่น ตอนนั้นความเศร้าที่โดนหลอกด้วยเรื่องพนันกินตังค์มันหายไปจนหมดสิ้น ความรู้สึกที่มีให้ไอ้โจก็ไม่เหลือเช่นกัน เมื่อมาเจอกับความรักที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงคนตรงหน้าผมนี้
‘เข้มแข็งนะลูก อย่าคิดว่าเราตัวคนเดียวรู้ไหม ยังไงนิลก็ยังมีแม่อยู่เสมอ’ ใบหน้าหวานของแม่ที่ดูสาวกว่าตอนนี้(ฮา)ลูบแก้มผมอย่างแผ่วเบา สายตาของแม่เจ็บปวดยิ่งกว่าตัวผมหลายเท่านัก และนั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าแท้จริงแล้ว..

คนที่ผมรักที่สุดและเป็นเจ้าของหัวใจของผมนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่คือแม่ของผมเอง

ผมอยากให้แม่มีความสุข..

ดังนั้น ผมต้องไม่สร้างปัญหาให้แม่หนักใจ และต้องไม่เสียใจให้แม่เห็น เพราะหากผมเจ็บ แม่คงเจ็บกว่าเป็นพันเท่า แม้ว่าคนๆนั้นจะดีสักเท่าไรก็ไม่ใช่สิ่งที่การันตีได้ว่าจะไม่ทำให้ผมเสียใจ ในชีวิตนี้ผมไม่อยากจะเชื่อใจใครอีกแล้ว ผมขอมอบหัวใจของผมให้กับผู้หญิงคนนี้ที่ผมรักที่สุดเพียงคนเดียว...


ในที่สุดก็ถึงเช้าวันงาน พี่รันตื่นมาเช็คสถานที่จัดงานซึ่งก็ไม่ใช่ที่ไหน หสวนในบ้านของเอริคนั่นแหละ ส่วนตัวผมก็ไปช่วยแม่ดูแลเรื่องอาหารการกิน ส่วนว่าที่บ่าวสาวก็ให้ไปแต่งตัว แม่ขอแรงเพื่อนๆของแม่ที่นี่ให้มาช่วยกันทำขนมและอาหารเล็กๆน้อย ส่วนพวกโต๊ะเก้าอี้ และอุปกรณ์ต่างๆขอยืมมาจากร้านอาหารของเพื่อนเอริค เรียกว่าทุกอย่างนี้เป็นฝีมือของเพื่อนฝูงมาช่วยกันคนละไม้คนละมือทั้งสิ้น ทำเอาผมแปลกใจมากว่าฝรั่งที่นี่มีน้ำใจผิดจากในทัศนคติของผมอย่างสิ้นเชิง

“นิล พี่หิว” พี่รันชะโงกหน้าเข้ามาประตูด้านหลังของห้องครัว ผมพยักหน้าแล้วหยิบแก้วกาแฟกับมัฟฟินฝีมือของผมไปหนึ่งอัน
“ป้อนๆ” พี่รันยกมือสองข้างของเขาให้ผมดู เศษดินเขลอะเต็มไม่เต็มมือไปหมด ผมส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจแล้วบิมัฟฟินเป็นชิ้นเล็กใส่ปากพี่รัน
“อร่อยจังครับ” ความเขินเข้าจู่โจมผมแบบฉับพลัน รู้สึกได้เลยล่ะว่าหน้าขึ้นสี ไม่ๆ ผมพยายามบอกตัวเองว่าจะต้องไม่หวั่นไหวเด็ดขาด
“เขินเหรอ”
“เฮ้ย” ผมร้องเสียงหลงเมื่อไอ้พี่รันเอานิ้วมาจิ้มแก้มผม ก็นิ้วมันเปื้อนขี้ดินนี่หว่า ผมวางขนมลงบนโต๊ะและวิ่งไปส่องกระจกในห้องน้ำทันที
“แม่งงงงงงงง” เปื้อนจริงด้วยครับ เป็นปื้นเลย ผมหยิบกระดาษชำระจุ่มน้ำนิดหน่อยแล้วมาแตะซับเบาๆ ปากก็พร่ำด่าไอ้คนข้างนอกไปด้วย

แกร๊ก แกร๊ก

“I’m in here!” ผมตะโกนบอก ดีนะล็อกประตูไว้

แกร๊ก

พอผมเปิดประตูออกไปก็เห็นฝรั่งผมทองหน้าหล่อตัวโตคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เขายิ้มเก้อให้ผม
“Sorry, I don’t think someone in there.”
“Don’t worry.” ผมยิ้มกว้างให้เขา เรื่องแค่นี้หล่อๆแบบผมไม่เก็บมาถือสาอยู่แล้วครับ


“ไปไหนมาครับ” พี่รันยังคงนั่งอยู่ในครัว แต่มือเกลี้ยงแล้วแฮะ
“เช็ดหน้าสิ” ผมค้อนใส่
“เมื่อกี้คุณแม่มาตามหา บอกให้เราสองคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว” อือฮึ ผมพยักหน้ารับ แล้วทั้งผมและพี่รันก็เดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกัน

แม่ผมน่ารักที่สุด เตรียมชุดให้ทั้งผมและพี่รัน ของพี่รันเป็นเสื้อเชิ้ตสี่ขาวลงแป้งเรียบกริ๊บ กับไทค์สีแดงและสูทดำ เหยด ของอาร์มานี่เสียด้วย
ส่วนของผมน่ะเหรอ... สูทดำเหมือนกัน อาร์มานี่เหมือนกัน แต่คนละไซส์ และเชิ้ตผมเป็นสีขาว... ลายจุดสีแดงเล็กๆ และสายรัดกางเกง...

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“เสื้อนิลน่ารักจัง” ไม่รู้ทำไมประโยคนี้ของพี่รันถึงได้ฟังกวนตีนเหลือทน หรือมันจะเห็นสีหน้าช็อคโลกของผมแล้วก็เลยตั้งใจจะยั่วโมโห
“เฮ้ยๆ พี่ไม่ได้จะยั่วโมโหนิลนะครับ” อ๊ะ ไอ้นกรู้
“แล้ว?”
“นิลก็ลองใส่ดูก่อนสิ ถึงมันจะดูหน่อมแน้มไป แต่พี่ว่ามันเขากับนิลมากเลยนะ อีกอย่างธีมของงานก็คือสีแดงด้วย” พี่รันสาธยายยาวยืด แต่ก็นะ จริงอย่างที่มันว่า ลองใส่ก็ได้วะ

หลังจากที่ผมแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วก็น่าอัศจรรย์จริงๆครับ เสื้อเชิ้ตตัวนี้เหมาะกับผมอย่างไม่น่าเชื่อ ผมมองตัวเองในกระจกด้วยความพึงพอใจ มาอยู่นี่หลายวันเหมือนว่าผมจะขาวขึ้น ยิ่งทำให้รับกับผมสีดำขลับ แต่พอหันไปมองคนข้างๆ...

“มีอะไรครับ” พี่รันยิ้มหวาน สองมือกำลังผูกไทค์อย่างคล่องแคล่ว ใช่สิ ก็เขาเป็นคนวัยทำงาน เรื่องผูกเนคไทค์คงไม่ยากอะไรหรอก หึ หมั่นไส้ว่ะ
“ไหนมาจัดทรงผมหน่อยสินิล” พี่รันดึงผมให้ไปยืนตรงหน้าเขา สองมือจับปลายผมของผมทางโน้นทีทางนี้ที ผมก็เลยได้แอบมองหน้าไอ้พี่รันเต็มๆตา แง่ง... ทำไมมันหล่อแบบนี้นะ จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ตาสีอ่อน ผิวขาวเนี๊ยนเนียน
“หลงพี่แล้วละสิ” กลิ่นยาสีฟันเมนทอลอ่อนแตะจมูกผมตอนที่พี่รันอ้าปากพูด ผมผลักพี่รันออกทันที
“ฝันไปเถอะ” แล้วตัวผมก็รีบวิ่งหนีลงมาข้างล่างทันที ไอ้เสียงหัวเราะหึหึที่ดังแว่วมานั่นคงกำลังสนุกสนานมากเลยสินะไอ้บ้า

สวนด้านนอกจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โต๊ะถุกคลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาว และเก้าอี้เหล็กดัดก็มีกุหลาบสีแดงพันเป็นลวดลายอยู่ด้านหลังอย่างประณีต ถัดไปตรงแถวๆชายทะเลจัดเป็นทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ และปลายทางเวอร์จิ้นโร้ดเป็นซุ้มดอกกุหลาบสีแดงและสีขาว มีชายผ้าลูกไม้ประดับตรงขอบๆ ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า อากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่งเหมาะสมกับวันดีๆแบบนี้เป็นที่สุด

พี่รันเดินมาสะกิดแขนผมแล้วชี้ที่นาฬิกาข้อมือของเขา เป็นอันรู้กัยว่าถึงเวลาแล้ว และบรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มทะยอยกันมาที่บริเวณชายหาดแล้วด้วย

ผมเดินขึ้นไปบนบ้าน ระหว่างทางเดินผ่านเอริคที่ยกนิ้วโป้งให้ผมและพยักหน้าจริงจังกำลังเดินไปที่ปลายทางเวอร์จิ้นโร้ด ผมยิ้มขำเพราะสีหน้าเอริคดูตื่นเต้นมาก เหงื่อละแตกซิกเลย

ผมผลักบานประตูห้องแต่งตัวของแม่เข้าไป ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกกำลังยืนส่งยิ้มมาให้ผม ชุดเจ้าสาวสีขาวแบบเรียบไม่ฟูฟ่องพอดีตัว ทิ้งชายผ้ายาวลงมาจนถึงพื้น ช่วงไหล่ปาดดูเซ็กซี่ประดับด้วยคริสตัลเม็ดเล็กที่เป็นประกายระยิบระยับ ผมของแม่รวบเป็นช่ออยู่ตรงท้ายทอย แซมด้วยดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ
“มัวแต่มองอยู่นั่นแหละลูก” แม่พูดเขินๆ
“วันนี้แม่ของนิลสวยจังครับ สวยยิ่งกว่าเจ้าสาวคนไหนๆในโลกเลย”
“เด็กคนนี้” แม่ตีแขนผมเบาๆ ฮ่าๆ คงจะเขินน่าดู ผมเลยขโมยหอมแก้มแม่หนึ่งที คงจะมัวเล่นกันไม่เลิกละครับ ถ้าคริสซี่เพื่อนของแม่ที่พ่วงตำแหน่งช่างต่างหน้าจะไม่เร่งให้พวกเรารีบลงไป
“It’s too late.” คริสซี่เร่ง
“Thank you very much, Chrissey.” ผมหันไปพยักหน้าขอบคุณเธอ คริสซี่โบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร และยังกำชับด้วยว่าเธอยินดีเป็นอย่างมาก
“She is my best friend forever.” คริสซี่ส่งท้าย และนั่นทำให้ผมส่งยิ้มที่กว้างกว่าเดิมให้เธอ


ถึงแม้ว่านี้จะไม่ใช่งานแต่งของตัวผมเอง แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อ มือของเจ้าสาวจับอยู่ที่แขนของผม และผมเป็นคนพาเจ้าสาวเดินไปส่งเจ้าบ่าวที่ปลายทาง ผมรู้สึกได้ว่าแม่มือสั่นนิดๆ ยิ่งเราเข้าใกล้เวอร์จิ้นโร้ดเท่าไร ก็ดูเหมือนความตื่นเต้นยิ่งทบทวี
“ถ้าแม่วิ่งหนีไปตอนนี้ละ” แม่กระซิบ
“นิลก็จะไปอุ้มแม่กลับมาส่งให้เอริค” ผมตอบเบาๆ และได้ยินเสียงแม่หัวเราะ
“แม่อยากให้นิลมีความสุข”
“ตอนนี้นิลกำลังมีความสุขมากๆ”
“ไม่ใช่สิลูก แม่อยากให้นิลมีความสุข แบบที่แม่กำลังมีตอนนี้”
“...” ผมนิ่งคิด ก่อนจะตอบ “ตอนนี้นิลมีความสุขมากจนแม่อาจคิดไม่ถึงเลยก็ได้นะครับ”
“เฮ้อ... ลูกนี่นะ”
“เป็นเจ้าสาวอย่าถอนหายใจสิ เดี๋ยวรองพื้นย่นนะ” ผมแหย่
“เด็กบ๊อง” เราสองคนไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะมาถึงเวอร์จิ้นโร้ดแล้ว เสียงเพลงจากเปียโน เฮ้ย พี่รันเป็นคนเล่นซะงั้นอ่ะ นี่ใจคอมันจะทำเป็นทุกอย่างเลยหรือไง ไม่ๆ ตอนนี้ผมต้องไม่วอกแว่ก อย่าไปสนใจมันๆ


ผมพาแม่เดินมาจนสุดทาง เห็นสายตาแสนรักของเอริคที่ใช้มองแม่แล้วก็ตื้นตันบอกไม่ถูก ความสุขของแม่อยู่ที่ผู้ชายคนนี้ ต่อจากนี้ไปเขาจะเป็นคนที่จะชดเชยความสุขทั้งหมดในชีวิตที่ผ่านมาให้กับแม่
“This woman… is my love ,my heart and my soul.” ผมบอกเอริค เขาพยักหน้า และกอดผมแน่น ผมส่งมือแม่ให้เขาจับความรู้สึกเหมือนบางอย่างมันปลิดปลิวออกไปแสนไกล ผมทั้งใจหายระคนโล่งอก สารพัดความรู้สึกผสมปนเปจนแยกไม่ออก ผมถอยออกมายืนตรงที่ยืนของแขกในงาน คริสซี่ยื่นมือมาบีบบ่าผมเบาๆ ผมพยักหน้าให้และบอกกับเธอว่าผมไม่เป็นไร
“I knew you did everythings to makes your mother happy, even though sacrificed your happiness.” ผมสะอึกเมื่อได้ยินสิ่งที่คริสซี่พูด ‘ฉันรู้ว่าเธอทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ของเธอมีความสุข แม้กระทั่งยอมเสียสละความสุขของเธอเอง’

ผมตอบคำถามของคริสซี่ไม่ได้ หรือจะเรียกว่าเถียงไม่ออกก็คงได้ ผมเลี่ยงเดินออกมาจากตรงนั้นและมาหยุดยืนข้างพี่รัน

“อยากได้ดอกไม้ไหมครับ” พี่รันกระซิบถาม
“เขาเอาไว้ให้ผู้หญิงเหอะ” ผมกัดฟันตอบ อยากจะซัดสักผัวะ แต่แล้วก็เพิ่งสังเกตได้ว่าพี่รันไม่ได้เล่นเปียโนแล้ว แต่มีเสียงเมโลดี้อะไรใสๆดังขึ้นแทน พอมองไปรอบๆก็เห็นฝรั่งคนที่ผมเจอหน้าห้องน้ำกำลังเล่นพิณแก้วอยู่ โอ้โฮ เขาเล่นเก่งชะมัดเลย
“ชอบเหรอ มองใหญ่เลยนะ” ผมหันไปมองคนพูดเพราะเหมือนเสียงเจ้าตัวฟังดูเคืองๆ และก็ไม่ผิดไปจากที่คิด เมื่อผมเห็นว่าหน้าเขาก็หักพอกัน
“ชอบดนตรี ไม่ได้ชอบคน” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้น พอเห็นไอ้พี่รันกลับมายิ้มกว้างเหมือนเดิมผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ

“Eric, will thou have this woman to thy wedded wife, to live together according to God's law in the holy estate of matrimony? Will thou love her, comfort her, honour and keep her, in sickness and in health; and, forsaking all other, keep thee only unto her, so long as ye both shall live?”
เอริค คุณจะรับสตรีผู้นี้เป็นภรรยาตามกฎหมาย จะรัก จะครองคู่ตามกฎอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าในสถานะสมรสหรือไม่ คุณจะรักเธอ คุ้มครองเธอ ให้เกียรติเธอและไม่ทอดทิ้งเธอ ไม่ว่าในยามป่วยไข้และยามทุกข์ ทะนุถนอมเธอไม่ว่าการณ์ใดๆ จะอยู่ครองคู่กันไปตราบชีวิตจะหาไม่หรือไม่

“I will.” เอริคตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“Panrawee, will thou have this man to thy wedded husband, to live together according to God's law in the holy estate of matrimony? Will thou love him, comfort him, honour and keep him, in sickness and in health; and, forsaking all other, keep thee only unto him, so long as ye both shall live?”
ปานระวี คุณจะรับบุรุษผู้นี้เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะครองคู่ตามกฎอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าในสถานะสมรสหรือไม่ ท่านจะรักเขา จะคอยปลอบโยน จะให้เกียรติและไม่ทอดทิ้งเขาแม้ในยามป่วยไข้ ยามทุกข์ จะอยู่ครองคู่กันไปตราบชีวิตจะหาไม่หรือไม่
“I will.”


ผมเฝ้ามองพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ตรงหน้าพลางเม้มปากไว้แน่นไม่ให้เสียงสะอื้นน่าอายเล็ดลอดออกมา พี่รันยกแขนขึ้นโอบไหล่ผมไว้และดึงให้ผมพิงเขา เสียงคำสาบานจากปากของอริคที่สัญญาต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าประหนึ่งคำมั่นว่าจะดูแลผู้หญิงที่ผมรักเท่าชีวิต และ ณ ขณะนั้น ผมหวนนึกถึงคำที่คริสซี่บอก และใบหน้าของแม่ยามที่เพียรพยายามบอกให้ผมยอมเปิดใจให้กับสิ่งที่เรียกว่าความรักอีกครั้ง

ยามที่บาทหลวงประทานพรแก่แหวนและเอริคสวมแหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายให้กับแม่ก่อนจะสาบานอีกครั้ง
“ด้วยแหวนที่ผมสวมให้ในพิธีแต่งงานนี้ แสดงถึงความซื่อสัตย์ และร่วมสุขทั้งมวลที่ผมมีกับเธอ ในนามของพระผู้เป็นเจ้า พระบุตร และวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง เอเมน”

แขกเหรื่อทุกคนในงานยืนตรง และร่วมกล่าวคำอธิษฐานให้แก่คู่บ่าวสาว

“O Eternal God, Creator and Preserver of all mankind, giver of all spiritual grace, the author of everlasting life: send thy blessing upon these thy servants, this man and this woman, whom we bless in thy name; that, living faithfully together, they may surely perform and keep the vow and covenant betwixt them made, whereof this ring given and received is a token and pledge; and may ever remain in perfect love and peace together, and live according to thy laws; through Jesus Christ our Lord. Amen.”
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างโลก ผู้คุ้มครองผองมนุษย์ ผู้ครองคุณงามความดี และผู้เป็นนิรันดร์ ได้โปรดประทานพระพรให้แก่คนทั้งสองนี้ แก่บุรุษและสตรีผู้ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายได้อวยพรในนามของพระองค์ ให้คนทั้งสองซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ให้ทั้งสองยึดมั่นในพันธะสัญญาที่ได้ทำร่วมกัน โดยมีแหวนวงนี้เป็นสักขีพยาน ขอให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ขอพระบุตรแห่งพระบิดาโปรดประทานพระพร เอเมน

“ขอให้พระผู้เป็นเจ้า พระบุตรและวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง จงปกปักรักษา ประทานพระพรและประทานพระเมตตาแด่คุณทั้งสอง ให้ทั้งสองได้ประสบโชค ประสบสุขและให้ครองคู่กันฉันสามีภรรยา ไปตราบกัลปาวสาน เอเมน”

และสุดท้าย หลังจากบาทหลวงประทานพรให้แก่เอริคและแม่ เสียงปรบมือและเสียงเปียโนก็ดังขึ้นอีกครั้ง แม่และเอริคจูบกันเนิ่นนาน ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าผม คนเล่นพิณแก้วคนนั้นนั่นเอง
“Thank you.” ผมรับมา และแตะซับน้ำตาตัวเองก่อนจะบอกกับฝรั่งใจดีคนนี้ว่าผมจะซักมาคืนให้
“No. I’ll give it to you.” ผมขมวดคิ้ว หมายความว่าไง นี่ผมคงน่ารังเกียจถึงขนาดไม่อยากรับคืนเลยสินะ

“กรี๊ด”

“เฮ”

เสียงเฮฮาดังขึ้นขัดจังหวะความโมโหของผม และเมื่อช่อดอกไม้หล่นมากระแทกอกผมพอดีและผมก็รับมันไว้ได้ทัน เสียงกรี๊ดจึงยิ่งดังขึ้นทบทวี


ชะ... ช่อดอกไม้เจ้าสาว?? 


ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เจอแม่และเอริคที่ยืนยิ้มแป้น แม่โผเข้ากอดผมแน่นและหอมแก้มผมทั้งข้างซ้ายและขวา พี่รันเดินมาหยุดอยู่ข้างผมและจับมือผมขึ้นมาจูบ

“เจ้าสาวของพี่” เจ้าของใบหน้าหล่อราวกับเทพสลักส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ที่แฝงแววดีใจอย่างปิดไม่มิด


เฮ้ยยยยยยยย


“บ้า ผมไม่แต่งกับพี่หรอก” ผมสะบัดมือพี่รันออกแล้วตะโกนเสียงดัง แต่หน้ากลับแดงแปร๊ด ทำไมแม่หัวเราะใหญ่
“สงสัยงานหน้าจะเป็นงานของนิล”
“แม่อ้ะ” ผมหันไปโวยวายใส่ไอ้พี่รันที่มันหัวเราะเสียงดังจนแขกคนอื่นพากันขำตาม ต่อให้ผมได้ช่อดอกไม้จากเจ้าสาวก็ไม่ได้แปลว่างานต่อไปจะเป็นของผมสักหน่อย อันนั้นเขาเอาไว้ใช้กับพวกผู้หญิงไม่ใช่เหรอ

ใช่มั้ย?

ใช่รึเปล่าอ่ะ?

คุณอย่ามัวแต่หัวเราะผมสิ!!!!  :z3:


เอะ? ว่าแต่ผมลืมอะไรไปหรือเปล่า อืม... นึกไม่ออกเลยแฮะ


▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂


ปล 1 มาเฉลยอดีตของนิลค่ะ  :hao3:
ปล 2 นิลมัวแต่ดีใจ(?)ที่ได้รับช่อดอกไม้ เลยลืมผ้าเช็ดหน้าของหนุ่มอังกฤษไปเสียสนิท 555+
ปล 3 ภาษาอังกฤษง่อยๆอย่าว่ากันนะคะ คำไหนผิดบอกเลยค่ะจะได้แก้  :hao5:
ปล 4 ก๊อปบทพูดในพิธีมาจากพี่กูค่ะ ไม่ได้คิดเองแน่นอน อิอิ Cr.Google
ปล 5 ขำ คห. คุณ AMINOKOONG คงจะเกลียดพี่เลมากเลยนะคะ 5555+
ปล 6 ขอบคุณทุกๆคำติชมค่ะ  :mew1:
ปล 7 ปล. เยอะเนอะ 555+



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2014 17:34:10 โดย บีบีจัง »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ให้คุณแม่ฮันนีมูนพักผ่อนสักหน่อยค่อยมาเหนื่อยจัดงานแต่งให้นิลหล่ะกันนะ 555

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ยินดีกับคุณแม่ด้วยค่ะ :L2:
แล้วยินดีกับนิลล่วงหน้าด้วยได้ไหมอ่ะ ว่าที่เจ้าบ่าวก็มีแล้ว :laugh:
อยาก :beat: :z6: ไอ้โจมาก นิสัยไม่ดี ทำนิลเสียใจ แย่ๆๆๆ :angry2:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter : 7 [หวั่นไหว]
«ตอบ #47 เมื่อ17-02-2014 17:05:08 »

Chapter : 7 [หวั่นไหว]

ผมนั่งเครื่องกลับมาถึงกรุงเทพฯเมื่อคืนนี้อย่างสวัสดิภาพ โดยมีพี่รันผู้ทนทานทุกสถานการณ์และไม่มีอาการเจ็ทแล็กเลยแม้แต่น้อยพาผมมาส่งและโทรไปบอกแม่ผมให้เสร็จสรรพ ก่อนที่ผมจะถีบหัวพี่รันให้กลับบ้านแล้วเขามานอนหลับอุตุจนถึงเที่ยงของอีกวัน

ปิ๊งป่อง~

ผมที่ตื่นได้สักพักใหญ่ๆลุกเดินไปจ้องตาแมวที่หน้าประตู และได้เห็นยัยฟ้ายืนทำหน้าแป้นแร้น
“มาแต่เช้า”
“เที่ยงแล้วจ้ะ” นางถือวิสาสะพรวดพราดเข้ามาโดยผมยังไม่ได้เชิญ และไปหาอะไรกินในครัวผมเสร็จสรรพ
“ของฝากละนิล”
“แหม มาถึงก็ทวงของฝากก่อนเลย”
“อะ แน่นอน” นางแบมือ ผมจึงต้องเดินไปรื้อกระเป๋าที่ยังไม่ได้จัดการเก็บของแล้วหยิบถุงกระดาษมาให้
“ของเรา รวมกับที่แม่ฝากมาด้วย” ยัยฟ้ารับถุงไปจากมือผมและแกะดูด้วยอาการลิงโลด นางหยิบหนังสือถักโครเชต์เล่มที่ไม่มีขายในไทยขึ้นมาดูด้วยสายตาวาววับและพร่ำบอกขอบคุณแม่ผมยกใหญ่ ส่วนของผมเป็นเซ็ตกระเป๋าของ Kath Kidston ทั้งกระเป๋าช๊อปปิ้งและกระเป๋าสตางค์ คือยัยนี่เขาชอบอะไรหวานๆน่ะครับ
“ขอบใจมากนะนิล นิลน่ารักที่สุดเล้ย” นางหอมแก้มผมฟอดใหญ่แทนคำขอบคุณแบบที่นานๆทีจะได้รับ ดูท่าคงดีใจมากจริงๆละ แต่แหม ผมหันไปมองหน้ายัยฟ้าที่ลูบๆคลำๆกระเป๋าด้วยอารมณ์ดี๊ด๊าแล้วก็ถอนใจ เฮ้อ ทั้งๆที่มีสาวน่ารักขนาดนี้มานัวเนียด้วยผมกลับไม่รู้สึกอะไรสักนิด มันเหมือนสัมผัสกับคนในครอบครัวมากกว่า ใจไม่เต้น ไม่หวือหวาวูบวาบเลยแม้แต่น้อย

“เออ ว่าแต่มีอะไรกินบ้าง เรายังไม่ได้กินมื้อสายเลย” ครับ มื้อสาย... คือถ้าฟ้าครามอยู่บ้านนางจะกินสามมื้อก่อนเที่ยง คือเช้า สาย และเที่ยง ส่วนช่วงเวลาหลังจากบ่ายเป็นต้นไปเธอจะไม่กินอะไรแล้ว
‘อ้วน’ เหตุผลง่ายๆตัวเดียวเลยครับ

ผมหุงข้าวและเจียวไข่ทำแกงจืดไข่น้ำ กับทอดหมู ซึ่งยัยฟ้าไม่กินตอนบ่ายถึงเย็นก็จริง แต่มื้อเช้ากับมื้อสายเธอซัดยังกับพายุเลยครับ อันที่จริงผมว่านางเก่งที่สามารถกินเป็นยัดทะนานเข้าไปได้ในเวลาห่างกันไม่กี่ชั่วโมงแบบนี้

ปิ๊งป่อง~

ผมวางช้อนดังเคร้ง ใครอีกวะ มาตอนกำลังจะกิน แต่แล้วก็นึกได้เลยสบตากับยัยฟ้า
“พี่รันมั้ง”
“พี่รัน? เขามาทำไมอ่า”
“คือเราจะบอกฟ้าไว้เลยนะตอนนี้ เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่บอก” ยัยฟ้าพยักหน้ารับรัวๆ สีหน้าดูสนอกสนใจจนลืมข้าวในช้อนตัวเอง
“พี่รันเขา... กำลัง......เราอยู่”
“ห๊ะ อะไรนะ พูดเบาจนไม่ได้ยินเลยนิล” ฮึ่ม.... ยัยหูผี มาหูตึงอะไรตอนนี้
“เขาจีบเรา”
“ห๊ะ”
“เรื่องจริง” ยัยฟ้าช็อกไปแล้วครับ ก่อนจะผุดลุกขึ้นตบโต๊ะดังปังแล้วเดินอาดๆไปหน้าประตู

“พี่รัน!!!!”  อัยยะ เป็นพี่รันจริงด้วยครับ หน้าตาเขาดูงงๆที่สุดเมื่อเห็นว่าเป็นยัยฟ้าเปิดประตูแล้วทำหน้าถมึงทึง
“ครับ??”
“มานี่เลย” นางลากแขนพี่รันเดินออกไปโดยที่ผมแค่เพียงนั่งมองตาปริบๆ และละความสนใจจากสองคนนั้นหันมากินข้าวต่อ

ฟากพี่รันและฟ้าคราม

“พี่มายุ่งกับเพื่อนฟ้าทำไมคะ” ฟ้าครามถามเสียงเข้ม
“อ้าว พี่จะจีบนิล ต้องขออนุญาตน้องฟ้าก่อนด้วยหรือครับ”
“ปกติเวลามีคนมาจีบนิลก็ไม่ต้องมาขอฟ้าหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าถ้าฟ้าเห็นว่าคนๆนั้นจะมาเป็นเหลือบไรให้นิลรำคาญใจ ฟ้าก็จะขัดขวาง”
“ใจคอจะให้หล่อขนาดพี่เป็นเหลือบไรเหรอครับ” พี่รันยิ้มยั่ว
“ถ้าหล่อแล้วเลวก็ไม่มีค่าพอให้เสียเวลาด้วยหรอกค่ะ” ฟ้าครามกัดฟันเมื่อนึกถึงคนที่ ‘เลว’ ในสายตาเธอ “พี่อย่ามายุ่งกับนิลเลย”
“ทำไมครับ พี่ขอเหตุผล”
“เพราะพี่เป็นญาติกับคนๆนั้น”
“แล้ว?”
“เป็นญาติกัน ก็คงเป็นคนประเภทเดียวกัน”
“อ้าว ไหงน้องฟ้าคิดอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้ละครับ อย่างนี้พี่ไม่โอเคหรอก” รันถอนหายใจเฮือกใหญ่ บางทีความรักก็ทำให้ผู้หญิงงี่เง่าได้อย่างร้ายกาจ นึกแล้วก็โมโหไอ้เลที่ทำให้ความซวยลามปามมาถึงเขา
“น้องฟ้าใจเย็นๆนะ แล้วฟังพี่” พี่รันจับบ่าฟ้าครามไว้แน่น ก่อนจะพูดอย่างช้าๆและชัดเจนทีละคำ
“พี่ ไม่ ใช่ ไอ้ เล”
“...” ฟ้าครามก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่น ก่อนน้ำตาหยดโตจะไหลลงมา
“พี่รัน... ฮือ....” หญิงสาวซุกหน้าลงบนฝ่ามือตัวเองโดยที่พี่รันทำได้แค่ยืนลูบหัวปลอบโยนเพียงเบาๆ

“เอ้า พี่ทำเพื่อนผมร้องไห้ทำไมน่ะ” ผมเดินออกมาตามสองคนนั้นก็แจ็คพอตเลย ยัยฟ้ายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยที่พี่เลยยืนลูบหัวปลอบอยู่ ผมเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนและดึงนางเข้ามากอด เสียงร้องไห้ยิ่งดังขึ้นอีก จนพี่รันเสนอให้เรากลับเข้าไปในห้องกัน

“ฮึก... นิล... นิลรู้มั้ย เราคิดถึงพี่เลตลอดเวลาเลย ถึง... ถึงแม้ว่าพี่เลจะทำไมดี แต่เราก็... รู้ว่าเขารักเราจริงๆ แต่... แต่มันก็อดนึกถึงเรื่อง... เรื่องนั้นไม่ได้” ยัยฟ้าพูดไปสะอื้นไป ผมมองเพื่อนด้วยความสงสารจับใจ
“พี่เข้าใจนะฟ้า ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันคงยากที่จะลืม แต่ฟ้าอย่าลืมว่าต้องมีสติให้มากๆ และต้องใช้เหตุผลให้มากกว่าอารมณ์  เพราะในช่วงเวลาอ่อนไหวแบบนี้ ความเปราะบางของใจเราอาจเผลอทำร้ายคนอื่นไปด้วย” พี่รันพูดได้อย่างเป็นการเป็นงานไม่น่าเชื่อ ผมเห็นมันทำหน้าระรื่นตลอดจนคิดไม่ถึงว่าจะมีมุมนี้ด้วย
“ฮือ... ขอโทษนะคะพี่รัน.. ฮึก..ฮึก.. ฟ้าขอโทษที่พาลใส่พี่รันค่ะ” ผมเหวอเมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากเพื่อนผม สรุปแล้วยัยฟ้านี่งี่เง่าไม่ใช่น้อยเลยนะ แต่ก็นะ พี่รันมันมีเค้าหน้าเหมือนพี่เลไม่ใช่น้อย ถ้ายัยฟ้าจะพาลไปบ้างก็ไม่แปลก
“ขอ... ขอโทษนะนิล” ฟ้าครามหันมาทำสีหน้าเศร้าสร้อยใส่ผม ปากก็ยังไม่หยุดสะอื้นด้วยซ้ำยัยบ๊อง
“ยัยบ๊อง เราไม่โกรธฟ้าหรอก” ผมหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาให้นาง
“เดี๋ยวเราขอไปล้างหน้าก่อนดีกว่า”

พอฟ้าครามลุกไปห้องน้ำเสียงออดห้องผมก็ดังเป็นรอบที่สามจนผมคิดว่าจะเปิดประตูทิ้งไว้เลยดีกว่า เวลาใครมาจะได้ไม่ต้องกดออดให้เปลืองไฟ
“เฮ้ย” ผมชะงักเมื่อเห็นว่าแขกคนที่สามคือโจทก์คนสำคัญของคดี พี่เลนั่นเอง...
“มาทำไรครับพี่”
“พี่มาหาน้องฟ้า อ้าว ไอ้รัน” พี่เลชะโงกข้ามไหล่ผมไปเห็นพี่รันนั่งอยู่ที่โซฟาพอดี
“ฟ้าไม่อยากเจอพี่หรอก” ผมกันท่า
“นิลครับ ให้มันเข้ามาก่อนเถอะนะ มาคุยกันดีๆดีกว่า” พี่รันเดินเข้ามาดึงมือผมที่กั้นขวางประตูออก และชวนให้พี่เลเข้าไปนั่งข้างใน
“นี่มันห้องผมนะ...” ผมหน้าหงิก ปากก็บ่นอุบอิบ
“เอาน่า นิลก็เห็นแล้วนี่ว่าฟ้าก็รักไอ้เลเหมือนกัน” พี่รันพยายามประเหลาะผม หึ ฝันไปเถอะ ผมเกลียดคนเจ้าชู้!


“มาทำอะไรวะรัน”เลกระซิบถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่านิลไปพ้นสายตา
“จีบสาว เอ๊ย จีบหนุ่ม”
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่า..”
“เออน่า ช่างฉันเถอะ นั่งเงียบๆไป อุตส่าห์พาเข้ามา” รันตัดบทเมื่อเห็นนิลถือแก้วน้ำเดินกลับมาที่โต๊ะรับแขก


“คุยไรกัน” ผมถามเสียงเขียว แอบเห็นแว้บๆว่าไอ้สองคนนี้กำลังซุบซิบอะไรสักอย่าง
“เปล่านี่ครับ” พี่รันว่ายิ้มๆ หน้าตาแม่งไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย ฝากไว้ก่อนเถอะฮึ่ม!

แกร๊ก

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกทำให้พวกผมหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ยัยฟ้าเปิดประตูห้องน้ำออกมาโดยมีผ้าขนหนูเช็ดหน้าของผมซับน้ำอยู่ พอนางเงยหน้าเท่านั้นแหละก็ทำท่าเหมือนเห็นผีทันที
“มะ... มาทำไม” นางผงะเลยครับพี่น้องพอเห็นไอ้พี่เลผุดลุกขึ้นยืน
“น้องฟ้า ทำไมออกจากบ้านมาไม่บอกใครเลยคะ”
“ระ... เรื่องของฟ้า อย่ามายุ่ง” ยัยฟ้าสะบัดแขนพี่เลออก และหนีกลับเข้าห้องน้ำ พร้อมทั้งกดล็อกเสร็จสรรพ
“น้องฟ้า!”
“เฮ้ย/เฮ้ย”

พวกผมสามคนอุทานพร้อมกัน นี่ยัยฟ้าคิดจะขังตัวเองให้ห้องน้ำคอนโดผมเนี่ยนะ?!?

“น้องฟ้า จะโกรธจะทุบตีพี่ยังไงก็ได้นะคะ แต่ออกมาคุยกับพี่ดีๆได้มั้ย อย่าเอาแต่หลบหน้ากันเลย” พี่เลเคาะประตูอย่างใจเย็น ผมมอง(อดีต)คู่รักนั้นอย่างเซ็งๆ

“พี่รันครับ” ผมหันมาถามคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาข้างๆผม
“ครับ?”
“ผมถามพี่ตรงๆเลยว่า เรื่องระหว่างพี่เลกับยัยฟ้า พี่คิดว่าญาติของพี่ทำถูกมั้ย?” พอพี่รันได้ยินคำถามของผมแล้วเขาก็ยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไอ้เลมันทำไมถูกหรอกครับ แต่สำหรับคนที่ผิดพลาดไป เราก็ต้องอยากได้รับการอภัย”
“แล้วถ้าคนที่โดนสวมเขาเป็นพี่ละ พี่จะยอมยกโทษให้มั้ย” ผมถามกลับ
“อืม ยังไงดีละ คำถามนี้ค่อนข้างเปราะบาง...” พี่รันเบนสายตาไปยังพี่เลที่ยืนเคาะประตูและพร่ำบอกให้ยัยฟ้าออกมาคุยกันดีๆข้างนอก ก่อนจะหันมาสบตาผม “การที่เราจะโกรธใครสักคนที่เรารักมาก มันคงต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงจริงๆ และความซื่อสัตย์ก็ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญมากๆสำหรับชีวิตคู่ด้วย ดังนั้นพี่คงไม่ยกโทษให้ถ้าหากนิลนอกใจพี่แน่นอน”
“ห๊ะ? เกี่ยวอะไรกับผม พี่อย่ามาเพ้อเจ้อ” ผมว่าพลางเบือนหน้าหลบสายตาวิบวับนั้นไปอีกทาง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆครับว่าคำตอบของพี่รันทำให้ผมพอใจเป็นอย่างมาก

“พี่เลครับ” ผมเรียกพี่เลเบาๆ พอเขาหันมาก็กวักมือให้เดินมาที่โซฟา
“มีอะไรครับนิล” สีหน้าพี่เลดูตึงเครียดขณะที่มายืนตรงหน้าผม ผมบอกให้เขานั่งลงก่อนที่เราจะเริ่มคุยกัน พี่เลเองก็เห็นสีหน้าจริงจังของผมแล้วจึงยอมนั่งลงแต่โดยดี แม้ว่าที่จริงในใจเขาคงอยากจะไปง้อยัยฟ้ามากกว่า
“พี่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ห้องน้ำของผมอยู่สบายกว่าตรงที่รับแขกนี่เสียอีก คุยแป๊บเดียวคงไม่เป็นไรหรอก” พี่เลยิ้มแก้เก้อเมื่อโดนผมแขวะ
“ผมมีเรื่องจะต้องถามพี่ตรงๆเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น” พอผมพูดจบพี่เลก็รีบเล่าทันที
“พี่เข้าใจและยอมรับแล้วนะครับ ว่าพี่ผิด และที่ทำแบบนั้นลงไปเพราะคิดว่าไม่มีอะไรผูกพัน แล้วก็แล้วกันไป พี่ผิดเองที่เห็นแก่ตัว และคิดว่าน้องฟ้าคงไม่รู้ และที่สำคัญ... เอ่อ...”
“ก็บอกไปสิ ว่าเวลาอยู่ใกล้ฟ้าแล้วห้ามใจไม่ได้ เลยต้องไปหาที่ระบายออก”พี่รันแทรกขึ้นมา
“ห๊ะ?” สีหน้าฉงนฉงายของผมคงทำให้พี่เลอายมากขึ้น ตอนนี้หน้าของเขาเลยแดงเหมือนมะเขือเทศเลย
“ก็... ตามนั้นแหละครับ... พี่รักน้องฟ้า อยากจะสัมผัส อยากจะใกล้ชิด แต่ก็ไม่อยากทำให้น้องฟ้าเสียเกียรติ เลยคิดอะไรโง่ๆ คิดว่าแค่ความสัมพันธ์ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวคงไม่เป็นไร...”
“เอ่อ... เอาเถอะ พี่จะรู้สึกยังไงกับเพื่อนผม ผมก็คงห้ามไม่ได้ แต่ก็นะ คือพี่จะงุ่นง่านอะไรขนาดนั้น ถึงขั้นต้องหาที่ระบายออกเลยเหรอ ผมไม่เข้าใจเลย” ผมเกาหัวยิก อย่างพี่เลนี่คือปกติของผู้ชายใช่ไหม
“พี่ถึงได้เสียใจจนทุกวันนี้ไงที่ไม่สามารถหักห้ามความต้องการของตัวเองได้” สีหน้าพี่เลเสียใจมากจริงๆครับ
“อีกอย่างนะครับนิล วันนั้นน่ะ ไอ้เลมันเมาๆด้วย อ๊ะๆๆ อย่างพึ่งเถียงพี่” พี่รันรีบห้ามเมื่อเห็นผมตั้งท่าจะเถียงเรื่องเมา “พี่ไม่ได้จะบอกว่าไอ้เลเมาจนคุมสติไม่อยู่ แต่พี่จะบอกว่าเวลาเมามันจะทำให้ประสิทธิภาพในการตัดสินใจของเรามันต่ำลง จากที่เคยคิดอย่างถี่ถ้วนสิบตลบก่อนจะทำอะไร ก็อาจจะเหลือแค่ห้าตลบก็เป็นได้ และนิลก็เห็นในคลิปไม่ใช่เหรอครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นสวยเซ็กส์เอ็กซ์แตกขนาดไหน” ผมฟังพี่รันมันพูดก็พอรับได้นะ แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายทำให้ผมหงุดหงิดมากถึงมากที่สุดยังไงไม่รู้
“โอเคผมเข้าใจ งั้นเรื่องต่อไป ทำไมยัยนั่นถึงส่งคลิปมาที่ฟ้าครามได้ครับ” ผมรู้สึกว่าเสียงผมติดจะกระชากหน่อยๆ ไม่ได้ๆ ต้องปรับอารมณ์ลง
“ก็เรื่องเบสิคครับ ทำไปทำมาเธอคนนั้นก็อยากจะจริงจังขึ้นมา”
“แปลว่าพี่สานต่อ?”
“ไม่ๆ คือเธอสืบมาได้ว่าพี่ทำงานที่ไหน ก็เลยตามไปดักเจอ”
“เฮอะ... หน้าด้านเสียจริง...” ผมพึมพำเบาๆ แต่คงจะดังไปหน่อย เลยมีนิ้วมาแตะตรงริมฝีปากผมแล้วบอกว่า “อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ยังไงผู้หญิงก็เป็นเพศแม่ บางทีวันนี้เธออาจจะทำตัวแบบนี้ แต่ในอนาคตเธอก็อาจจะเป็นแม่ที่ดีก็ได้” ผมเม้มปากแน่นกับสิ่งที่พี่รันพูด แล้วผมจะเถียงอะไรเขาได้ละ พ่อคนมากเหตุผล
“แล้วยังไงครับ ที่พี่มาง้อยัยฟ้านี่คือ?”
“พี่แค่อยากคุย อยากให้เราได้คุยกันดีๆก็เท่านั้น อยากจะอธิบายให้น้องฟ้าได้ฟัง แล้วหลังจากนั้นน้องฟ้าจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่เลย” สีหน้าพี่เลทำเอาผมสงสารจนอยากจะคว้ามากอดปลอบ เอ๊ย ไม่ใช่ เอาเป็นว่าสุดท้ายผมเลยตะโกนเรียกยัยคนที่แง้มประตูแอบฟังให้ออกมาข้างนอกดีๆ
“เอ้า ยัยฟ้า ออกมาได้แล้ว ได้ยินหมดแล้วนี่”

แกร๊ก

ใบหน้าหวานดูซีดเซียวเยี่ยมหน้าออกมานอกประตูช้าๆ ก่อนจะพูดกับพี่เล
“...คุย... ที่นี่นะคะ”
“ครับ ได้สิครับ” พี่เลมีทีท่าดีใจสุดชีวิต พอยัยฟ้าเดินมานั่งที่โซฟา ผมกับพี่รันก็เลยผละออกมานั่งอยู่ในห้องนอน แต่เปิดประตูแง้มไว้นะครับ สาเหตุคือ
1.ให้ยัยฟ้าอยู่กับพี่เลในที่รโหฐานมันจะไม่งาม
2.กันพี่รันปล้ำผม


“ทำไมนิลถึงช่วยไอ้เลละครับ เห็นตอนแรกโกรธจะตาย” พี่รันนั่งลงบนเตียงผมแล้วถามยิ้มๆ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้ช่วย” พอเห็นพี่รันทำหน้างงผมเลยพูดต่อ “ผมแค่คิดว่าต่อให้ยัยฟ้าจะเลิกกับพี่เลจริงๆ ก็ควรคุยให้รู้เรื่องก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจกัน”
“อือฮึ” พี่รันมองผมแบบอึ้งๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วลูบหัวผม ไอ้สีหน้ายิ้มแย้มนั้นน่ะยังกับผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กน้อยเลย ผมหมั่นไส้ชะมัด
“พอแล้ว ลูบมากเดี๋ยวฉี่รดที่นอน” ผมปัดมือพี่รันออกแล้วเดินมานั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง พี่รันมันก็ตามมานั่งด้วย
“ทำไมต้องมานั่งเบียดผมเนี่ย”
“ก็อยากนั่งใกล้ๆ”
“โอ๊ย น่าด้านขนาดนี้ไปนั่งไกลๆเลย”
“นิลอ่ะ ชอบไล่พี่ พี่ก็น้อยใจนะ” ฮึ้ยไอ้ตอแหล สภาพอย่างพี่ไม่น่าน้อยใจหรอก อันที่จริงตอนนี้คงลิงโลดน่าดูที่ได้อยู่ตามลำพังกับผมแบบนี้ด้วยซ้ำ
“พี่รู้มั้ย ถ้าตัดความกะล่อนของพี่ออกไปหน่อย ผมคิดว่าผมคงจะเชื่อถือพี่ได้มากกว่านี้” ผมว่าและลุกขึ้นมาแอบดูสองคนข้างนอก ดูท่ากำลังคุยกันซีเรียสน่าดู ยัยฟ้าหน้าเครียดเชียว
“นิลครับ” มีมือแตะลงที่บ่า พอผมหันมาก็เห็นพี่รันมายืนจนเกือบจะชิดเลย
“มะ มีอะไร ทำไมต้องมาชิดผมขนาดนี้”
“นิลรู้มั้ย” พี่รันยิ้มในแบบที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย แสยะยิ้มเหมือนกำลังจะจับเหยื่อน่ะ
“พี่ก็เหมือนไอ้เล คือชอบนิลมาก มากจนอยากจะครอบครองนิลเสียทุกส่วน แต่ก็ไม่อยากจะทำอะไรหักหาญน้ำใจนิลเช่นเดียวกัน และพี่ก็ไม่ได้หวั่นไหวจนต้องไปนอนกับคนอื่นเพื่อระบายอารมณ์ พี่จึงทำได้แค่แสดงความกะล่อนดูเหมือนไร้พิษสงออกมา เพราะพี่รู้ตัวดี ว่าถ้าพี่เอาจริงขึ้นมาเมื่อไร อาจจะทำร้ายน้ำใจนิลอย่างร้ายกาจก็เป็นได้” พี่รันพูดยาวเหยียด แต่ผมกลับไม่มีสมาธิพอที่จะประมวลผลคำพูดเหล่านั้นด้วยซ้ำ ใจผมจดจ่ออยู่แต่กับปลายนิ้วของพี่รันที่เชยคางผมขึ้น และริมฝีปากบางของเขา... ที่กำลังแตะสัมผัสลงมาบนริมฝีปากผม...

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พี่รันขบเม้มริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา สัมผัสอ่อนหวานประทับแน่นจนผมเผลอหลับตาและปล่อยตัวไปตามอารมณ์ พี่รันใช้ปลายลิ้นอุ่นนุ่มลิ้มรสริมฝีปากของผม ถ้าหากเขาสอดลิ้นเข้ามาผมต้องทำยังไงนะ และ... และถ้าเขาจะทำกับผมมากกว่าการจูบละ เมื่อคิดอย่างนั้นผมก็เผลอตื่นเต้นจนกำเสื้อพี่รันแน่น ปล่อยร่างกายตัวเองให้พิงตัวเขาไปทุกส่วน มือใหญ่ของเขาโอบประคองที่เอวเพื่อจะเกี่ยวรั้งให้ผมขยับไปแนบชิดเขามากยิ่งขึ้น

จากริมฝีปากอุ่นนั้น ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเร่าร้อนขึ้นมาแล้ว...

“ชอบมั้ยครับ” พี่รันกระซิบถามหลังจากที่ละจากกัน
“อือ” ผมได้แต่หน้าแดงก่ำและพยักหน้าเพียงเบาๆ สมองนึกถึงคำสารภาพของพี่รันซ้ำไปซ้ำมา นี่ผมกำลังเป็นวัยรุ่นคลั่งรักอย่างนั้นหรือ...
“ดีกว่าครั้งแรกของนิลหรือเปล่า” พี่รันถามเสียงนุ่ม แววตานั้นดูลึกล้ำจนคาดเดาไม่ถูก
ผมนิ่งคิด ก่อนจะตอบออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ (เท่าที่สภาพผมจะอำนวยน่ะนะ)
“จูบของพี่รัน... ดีแบบคนละเรื่องเลย..” เสียงผมมันฟังดูอ้อมแอ้มยังกับเป็ด คนๆนี้ทำให้ผมไปไม่เป็นอีกแล้ว
“คนน่ารักของพี่” พี่รันดึงผมเข้าไปกอด ใจจริงผมอยากจะผลักออก แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของแม่ คำพูดของคริสซี่ และการกระทำของพี่รันมันกำลังทำให้ทิฐิทั้งหมดที่ผมสะสมมาทั้งชีวิตพังทลายลง
“อือ... อย่าครับ” ผมพยายามดันพี่รันออกเมื่อเจ้าตัวพยายามจะจูบผมอีกครั้ง พี่รันหยักยิ้มที่มุมปากเหมือนปิศาจร้ายที่กำลังจะสูบกินวิญญาณจากผม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นที่ทำให้ผมโอนอ่อนครั้งแล้ว... ครั้งเล่า...

ก๊อก ก๊อก

ผมดีดผึงออกห่างเหมือนสับสวิทช์ทันที พี่รันเองก็หันไปมองที่หน้าประตูห้องนอนด้วยความหงุดหงิด
“มีอะไร” พี่รันถามพี่เลเสียงเขียว ผมเองแทบไม่กล้ามองหน้าพี่เลด้วยซ้ำ
“เอ่อ.. คือพวกเราจะกลับกันแล้ว”
ผมหันไปมอง พี่เลมีท่าทีอ้ำอึ้งกระอักกระอ่วน และด้านหลังพี่เลก็มียัยฟ้าแอบอยู่
“โอเคแล้วเหรอฟ้า” ผมถามเสียงค่อย อายชิกหัย อายที่สุดในชีวิต
“อ๊ะ จ้ะ ก็เคลียร์แล้ว” ไม่รู้ว่าเคลียร์ของหล่อนนี่คือยังไงนะครับ เอาไว้ค่อยโทรคุยกัน
แล้วบรรยากาศรอบตัวก็เงียบ จนกระทั่งพี่รันเป็นฝ่ายตัดบท
“เอาล่ะๆ ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกัน เดี๋ยววันไปเรียนนิลก็ไปคุยกับฟ้าเอานะครับ”
“ค่ะ/อื้อ” ยัยฟ้าและผมตอบพร้อมกัน ก่อนที่พี่เลจะพาใบหน้าแดงๆของยัยฟ้าและตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว


“เฮ้อ สิ้นเรื่องสิ้นราวสักที อ๊ะ นิลจะไปไหนนะครับ” ผมลุกหนีพี่รันที่มันนั่งบิดขี้เกียจบนโซฟาในห้องผมอย่างรวดเร็ว พี่รันเดินตามมาทันและจับแขนผมไว้ทันตรงประตูห้องพอดี
“จะไปไหนครับ”
“เปล่า”
“แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้ หืม?” พี่รันตั้งท่าจะนัวเนียผมอีกรอบ แต่ผมรีบกัดฟันห้าม
“พี่นั่นแหละ ที่ต้องออกไป”
“เฮ้ย อะไรอ่ะ”
“ไม่รู้ละ กลับไปก่อน” ผมชี้นิ้วไปที่ประตูด้วยท่าทางที่คิดว่าดูจริงจังที่สุด ตอนนี้ผมคงเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่อาจจะประทุขึ้นมาได้ง่ายๆ
“โอเคๆ พี่ไปก็ได้ครับ” แต่ก่อนที่พี่นิลจะเดินออกไปพ้นประตูนั้น เขาก็หันมาพูดบางอย่างกับผม “พรุ่งนี้พี่จะมาใหม่”

ฮึ้ยยยยยย ไอ้มนุษย์ปลิงงงงงงงงงงง

ผมผลักพี่รันออกไปและปิดประตูลงกลอนแน่นหนา ผมแตะมือลงบนอกด้านซ้ายที่หัวใจของผมกำลังเต้นรัวเร็วผิดไปจากปกติ ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างให้หายฟุ้งซ่าน

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและบึ่งพี่มะลิออกมาตอนห้าโมงเย็น จุดหมายของผมไปยังสนามกีฬากลางของม.ที่มักจะมีนักศึกษามาวิ่งออกกำลังทุกเย็น ผมไม่ได้มานานแล้ว เพราะว่างานเยอะ ติดสอบ ไหนจะงานแต่งแม่ ผมหาที่จอดพี่มะลิและเอากระเป๋าคาดเอว ใส่หูฟังและไม่ลืมเปิดแอพวิ่ง วันนี้กะจะเอาให้ได้สักห้ากิโลฯ วิ่งให้หายบ้าไปเลยครับ

“อ้าวเฮ้ย นิลนี่หว่า”
“ริว มึงมาทำ’ไร” ผมเซ็ง อยากคิดอะไรเงียบๆ
“มาเตะบอลมั้ง อยู่ในสนามวิ่งเนี่ย”
“เอ้า ถ้าจะเตะบอลก็ไปสนามโน้น” ผมชี้
“โวะ มึงนี่กวนตีนจริง” ผมส่ายหัวให้มัน แล้วเดินหนี ไอ้ริวเป็นมารขัดขวางความสงบอันดับสามของชีวิตผม
“เฮ้ยกูไปด้วย”
“กูอยากวิ่งคนเดียวนิ”
“อย่างกดิมึง มีเพื่อนวิ่งจะได้ไม่เบื่อนะ” มันยิ้มกว้างจนผมใจอ่อน แต่ก็เป็นอย่างที่มันว่านะครับ พอผมวิ่งกับมันก็เพลินจนลืมเหนื่อย ซัดเข้าไปเจ็ดกิโลฯน่าจะได้

“เห็นปะละ มีเพื่อนคุยตอนวิ่งมันเพลินดีนะโว้ย”
“แต่กูว่ามันเหนื่อยกว่าเดิมนะ ฮ่าๆ” ผมขำไปหอบไป วิ่งกับเพื่อนไม่เซ็งก็จริงครับ แต่แม่งวิ่งไปคุยไปเหนื่อยชิวเป๋งเลย ตอนนี้พวกผมพูดจะไม่เป็นคำอยู่แล้ว
“ไปหาไรแดกกัน” ไอ้ริวชวน
“เออดีเหมือนกิน เนื้อกระทะมั้ย” ผมนึกถึงเนื้อกระทะเจ้าดัง เหมาะสำหรับมุสลิมแบบไอ้ริว
“ได้ๆ แต่ขอกูโทรชวนเพื่อนกูมาด้วยได้ปะ”
“ตามบาย”
ผมกับไอ้ริวหอบสังขารมาจนถึงร้านเนื้อกระทะ ไอ้ริวลงจากพี่มะลิและเดินไปโทรศัพท์ตามเพื่อน ผมสั่งน้ำเปล่ามากิน และไม่ลืมสั่งโค้กให้เพื่อน
“มึงไปตักดิ เดี๋ยวกูคุยโทรศัพท์ก่อน” มันเอามือปิดตรงไมค์โทรศัพท์แล้วหันมาบอกผมซึ่งตอนนี้กระสับกระส่ายอยากกินเนื้อใจจะขาดแล้ว

ผมเดินส่องไลน์เนื้อที่สไลด์และจัดเรียงไว้จนพูนถาด สายตาก็มองหาเนื้อลูกมะพร้าวที่ผมแสนจะโปรดปราน พอเจอก็เลยคีบมาจนพูน และหยิบเนื้อน่องลายมานิดหน่อย
“นี่ใจคอมึงจะไม่กินผัก?” ไอ้ริวทำตาโตเมื่อเห็นเนื้อที่ผมตักมา
“ร้านเนื้อย่างไม่ใช่ร้านผักย่าง” ผมละความสนใจจากมันและตักเอาเนยละลายบนเตา มันบ่นผมพึมพำสองสามคำแล้วถึงเดินไปตักอาหารและกลับมาพร้อมเบคอนพันเห็ดเข็มทองเต็มจานและเฟรนช์ฟราย
“เฟรนช์ฟรายมึงมีประโยชน์ตายละ มาร้านเนื้อย่างเสือกกินเฟรนช์ฟราย ตัดกำลังเปล่าๆ”
“เรื่องของกูแหละ” พวกผมซัดกันได้พักหนึ่งก็มีแขกมายืนข้างโต๊ะ ไอ้ริวชวนเพื่อนตัวเองนั่งและแนะนำให้ผมรู้จัก
“เออนิล นี่... เพื่อนกู เด็กเกษตร ชื่อวัฒน์” ผมยิ้มให้กับวัฒน์หนุ่มผิวเข้มหน้าคม ที่ดูตรงข้ามกับพี่รันอย่างสิ้นเชิง พี่รันมันจะขาว หล่อ ผิวใส คิ้วเข้ม ดูเป็นลุคลูกคุณหนู แต่วัฒน์นี่จะออกแนวลุยๆ หน้าเข้มๆ แต่เรื่องหุ่นก็ควายพอๆกันนั่นละ เอ๊ะ ว่าแต่ผมจะคิดเรื่องพี่รันทำไมเนี่ย ลืมมันไปๆ
“เป็นไรหน้าแดง เนื้อร้อนเหรอมึง” ไอ้เชี่ยริวเสือกเห็นอีก ผมพยักหน้ารับไปส่งๆแล้วคว้าแก้วน้ำมาดื่ม
“กูจะไปตักเนื้อ มึงเอาไรป่าว” วัฒน์หันไปถามไอ้ริว
“ไม่เอาอะ ไอ้นิลล่ะ มึงจะเอาไรป่าว”
“ไม่ๆ เดี๋ยวกูไปตักเอง” แล้วผมก็ลุกมาพร้อมวัฒน์ ระหว่างที่ผมกำลังคีบเนื้อนั้นก็เลยได้คุยกับวัฒน์เป็นครั้งแรก
“นายเรียนเอกเดียวกับไอ้ริวเหรอ” วัฒน์ถามผม
“อืม ก็เจอหน้ากันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วอ่ะ แล้วนายละ เป็นเพื่อนกับไอ้ริวตอนไหน”
“เราเป็นเพื่อนกับมันมาตั้งแต่มัธยมแล้ว”
ผมตาโตมองวัฒน์ “งี้ก็สนิทกันมากละสิ เราไม่มีเพื่อนสมัยมัธยมมาเรียนด้วยเลยนะ มาหาเพื่อนใหม่เอาที่นี่หมดเลย”
“ริวมันเคยเล่าเรื่องนิลให้เราฟัง บอกว่านิลนิสัยดี” วัฒน์ยิ้ม
“ฮ่าๆ ไม่หรอก เรากวนตีนมันบ่อยไป”
“อืม เรื่องนั้นริวก็บอก” ฮึ่ม ไอ้ริว มึงนะมึง พูดตรงไปแล้ว
“เราอยากเจอนิลมาตั้งนานแล้วรู้มั้ย” หืม? ผมทำหน้าสงสัย พอหันกลับไปมองวัฒน์ ก็เห็นว่าเขาเดินกลับไปที่โต๊ะแล้ว

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษ เราแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ผมเองพอมาถึงก็เห็นไอ้ริชชี่นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟา พุงละกลมเชียวครับ สงสัยอาหารที่ผมเทไว้ให้คงหมดเกลี้ยงชาม ผมเดินไปเช็คห้องน้ำแมวและตักอึออกมาทิ้งให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเปลี่ยนทรายแมวแล้วกัน



▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂



ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
แงะ อะไรกันทำไมฟ้ายอมไอ้พี่เลมันง่ายจัง
ไม่เห็นจะได้รับกรรมอะไรเลย
สันดารร่านๆแบบนั้นมันคงจะหยุดหรอก
ทำเอาเหตุผลมาอ้าง คือบอกตามตรงมันฟังไม่ขึ้นว่ะ
นี่แหละความรักทำให้คนตาบอดยอมโง่เพราะรัก เฮ้อ! :katai1:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ยังเคืองไอ้พี่เลอยู่นะ อย่ามาทำฟ้าเสียใจอีกนะ
พี่รันรุกจูบอีกแล้วววว ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
พี่รันนี่ดูน่าค้นหาแฮะ ดูมีหลายมุมดี นิลรับไว้พิจารณาแล้วล่ะสิ ก็ชอบจุ๊บๆของพี่รันซะขนาดนั้น :z1:
พี่เลเค้าก็สำนึกผิดแล้ว คงได้รับบทเรียนแล้วล่ะ ฟ้าให้อภัยแล้วก็ยินดีด้วยนะคะ  :L2:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนัองฟ้ากะพี่เลยังไม่จบนะค้า เผอิญเขามาเจอฉากเลิฟซีนเสียก่อนเลยเผ่นกลับก่อนค่า

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter : 8 [ตกกระไดพลอยโจน]
«ตอบ #52 เมื่อ04-04-2014 12:54:26 »

Chapter : 8 [ตกกระไดพลอยโจน]


“อ้าวนิล”
ผมหันไปตามเสียงเรียกชื่อผม และยิ้มให้กับอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ
“มาทำอะไรอ่ะวัฒน์ มาหาไอ้ริวเหรอ” ผมถาม คณะสถาปัตย์กับคณะเกษตรอยู่ใกล้กันก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ธุระอะไรที่เด็กเกษตรจะมาเดินในคณะสถาปัตย์กันจนเป็นเรื่องธรรมดา
“อ๋อ มาเดินเล่นน่ะ เปลี่ยนที่กินข้าวไง” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะบอกขอตัวก่อน เพราะว่าต้องรีบไปส่งภาพร่างแบบให้อาจารย์

ช่วงนี้พวกผมกำลังจะขึ้นปีสามแล้ว งานก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นกองพะเนิน แทบไม่มีเวลามาเล่นหัวสนุกสนานกันเหมือนก่อนเลย ยิ่งเดี๋ยวต้องมาทุ่มเวลาทำโมเดล คงไม่มีเวลาได้หลับได้นอนเลยละครับ พอมานึกถึงตอนนี้ ผมก็เริ่มสงสัยว่าถ้าหากผมไม่มีเวลาส่วนตัวในชีวิตสักเท่าไร (และมันก็คงเป็นอย่างนี้ไปอีกหลายปีด้วย) แล้วผมจะเอาเวลาที่ไหนไปทุ่มเทเรื่องหัวใจล่ะ

“นิล เร็วเข้า วิชาแรกของด็อกเตอร์คณิณทร์นะ” ฟ้าครามกวักมือเรียกหลังจากทีเห็นผมออกมาจากห้องส่งงานพอดี ด็อกเตอร์คณิณทร์สอนวิชาสตรัคเจอร์ครับ สอนแค่ครึ่งเช้า แต่มักจะลากยาวไปถึงบ่ายโมงเป็นของแถม ซึ่งนั่นทำให้พวกผมแทบไม่มีเวลากินข้าวกัน ได้แต่ซื้อขนมปังมากินตามมีตามเกิดระหว่างเดินไปเรียนวิชาภาคบ่ายซึ่งไม่สามารถเข้าสายได้แม้แต่นิดเดียวเพราะอาจารย์จะล็อกห้องไม่ให้เข้า ถ้ามาไม่ทันก็คืออดเรียนไป

...
..
.
..
...

“โอย กูง่วงงงงงง ทำไมเพลียแบบนี้” ไอ้ริวนอนเอาหน้าแนบโต๊ะเรียนและคร่ำครวญถึงสมรภูมิรบที่ผ่านมาเมื่อเช้า เหล่านักศึกษาที่ยังไม่มีอาหารจานหลักตกถึงท้องต่างมีสภาพร่างกายเหมือนซอมบี้ไม่มีผิด

“ฟ้า ตกลงเป็นไงบ้าง เรื่องพี่เลน่ะ” ผมฉวยโอกาสกระซิบถามยัยฟ้าเมื่อเห็นอาจารย์ยังไม่เข้า
“หือ? ก็... เลิกกัน นั่นแหละ” ยัยฟ้าตอบแบบราบเรียบ “เรารักพี่เลมาก และนั่นทำให้เรารับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“ฟ้าแน่ใจแล้วนะ ว่าต้องการให้มันเป็นแบบนี้”
“แน่ใจ” ฟ้าครามพยักหน้าและมองตาผมด้วยสายตาที่แน่วแน่ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ผมได้แต่พยักหน้าเป็นการแสดงว่าผมเข้าใจความรู้สึกของนาง ไอ้ครั้นจะให้พูดอะไรต่อก็คงไม่เหมาะสมกับสถานที่ และบางทีฟ้าครามก็อาจจะอยากเก็บเรื่องนี้เอาไว้กับตัวมากกว่า... เนอะ

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

“นิลครับ อาหารถุงใหม่ของริชชี่อยู่ไหนครับ” พี่รันชะโงกหน้าถามผมที่นั่งสเก็ตช์แบบอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน ผมใช้เวลานึกพักหนึ่งถึงได้ตอบกลับไปว่าอยู่ในเคาเตอร์ใต้อ่างล้างจาน

ช่วงนี้ความวุ่นวายในชีวิตผมก็เป็นอย่างที่ผมคาด บางสัปดาห์ที่ยุ่งมากจริงๆ ผมจะได้นอนวันหนึ่งแค่สอง-สามชั่วโมง แม้แต่จะโทรหาแม่ยังไม่มีเวลาเลยครับ ได้แต่รอแม่โทรมาหา คุยกันสองสามคำแล้วพี่รันมันก็เอาไปคุยต่อ ใช่แล้วครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก พี่รันมันมาสิงคอนโดผมทุกวัน หาข้าวปลาให้ผมกิน ดูแลไอ้ริชชี่ และคุยโทรศัพท์กับแม่ผมด้วย พอดึกๆถึงจะกลับบ้านเขา หรือบางวันก็เนียนหลับบนโซฟาจนผมไม่กล้าปลุก หรือบางทีก็วุ่นกับงานจนลืมสังเกต พอเช้าพี่รันถึงจะตื่นมาอาบน้ำพร้อมกับส่งผมไปม.เลยทีเดียว และก็น่าตลกที่ผมกลับรู้สึกเคยชินกับสิ่งที่เป็นอยู่ หากวันไหนผมนั่งทำงานตอนดึกแล้วไม่เห็นไอ้พี่รันนอนบนโซฟา ผมจะรู้สึกแปลกๆเหมือนอะไรมันหายไป

“พี่รันครับ” ผมสะกิดแขนคนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟา ขายาวทั้งสองข้างพาดเลยออกมาเป็นฟุต(ขนาดโซฟาผมตัวใหญ่แล้วนะ) สภาพนี้ผมทนดูมาเป็นเดือนๆ จนวันนี้เกิดรู้สึกสงสารขึ้นเสียอย่างนั้น
“..ครับ..” เจ้าตัวงัวเงียแป๊บหนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มให้ผม
“ไปนอนบนเตียงมั้ยครับ” ผมถาม
“...”
“นิลว่าอะไรนะครับ... พี่ฟังไม่ถนัด...” พี่รันหาวหวอดก่อนจะลุกขึ้นมานั่งตัวตรง
“คือ... นิล...เอ้ย... ผมถามว่าพี่รันไปนอนบนเตียงมั้ยครับ น่าจะสบายกว่ากันเยอะ” ผมเกาหัวแก้เก้อ แต่พอคิดได้ว่าตรงอุ้งมือผมมันเลอะสีจากปากกาโคปิคเต็มไปหมดก็เลยหยุดเกา

พี่รันส่งยิ้มให้ผม สายตาของเขาเป็นประกายวิบวับไม่เหมือนคนที่กำลังงัวเงียเลยสักนิด เขาลุกขึ้นและจูงมือผมเดินไปในห้องนอน นี่ผมกำลังจะถูกเผด็จศึกยังงั้นเหรอ ไม่นะ ผมไม่มีเวลาหรอกเพราะต้องรีบปั่นงานส่ง แต่ก็ทำใจสะบัดมือพี่รันทิ้งไม่ได้จริงๆ ทำไมผมถึงกลายเป็นคนหวั่นไหวง่ายแบบนี้ไปได้นะ ฮึ่ยยย

ฟึ่บ..

ผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อพี่รันลูบหัวผมเบาๆ สายตาอ่อนโยนเจือแววเป็นห่วงนั้นทำให้ผมรู้สึก... ดีเหลือเกิน

“เหนื่อยมั้ยครับ” ผมพยักหน้า
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะ ตอนนี้อดทนให้เต็มที่ พี่จะเอาใจช่วย”
“...ขอบคุณครับ...”
“!?!” ริมฝีปากพี่รันสัมผัสลงบนหน้าผากผมอย่างแผ่วเบา ผมหลับตาเคลิ้มไปแว่บหนึ่งก่อนจะนึกออกว่าหน้าผมยังไม่ได้ล้างตั้งแต่เย็น และมีปากกาเปื้อนเต็มไปหมดจากการปาดเหงื่อ ผมผลักพี่รันออกและเอามือปิดหน้าตัวเองไว้
“หน้าเปื้อนครับ...”
“ก็ยังหอมอยู่ดี”
“อึก..!” ผมหน้าแดงเถียงไม่ขึ้น “พี่รันลื่นยังกับปลาไหล ผมสู้พี่ไม่ได้หรอก” แม่ง... ไอ้แก่สังเวียนหื่นกาม...
“หึหึ ไปทำงานต่อไป อย่ามาทำตัวน่ารักแถวนี้ เดี๋ยวพี่อดใจไม่ไหวแล้วนิลจะเสียงานเปล่าๆ” พี่รันหยิกแก้มผมแล้วล้มตัวลงนอนต่อบนที่นอนของผม ไอ้ริชชี่เดินส่ายตูดมาพันแข้งพันขาผม ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงกับพี่รัน ผมมองคนและแมวหลับบนเตียงผมอย่างมีความสุข(?) รู้สึกอิจฉานิดๆแต่ก็ต้องทำใจ เพราะสาขานี้มันคือสิ่งที่ผมเลือกเพราะใจรัก ยังไงก็ต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

ในที่สุดวันหยุดของผมก็เวียนมาถึง ส่งงานเรียบร้อย เคลียร์การบ้านครบ ก็ถึงเวลาของเรื่องส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง

ผมเลือกตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำความสะอาดห้อง และซักผ้า ความซกมกตลอดสัปดาห์ของผมสะสมมาอย่างโชกโชนจนผมเองยังขยะแขยงตัวเองเลยครับ

ผมรวบรวมพวกผ้าขนหนูมาซักก่อน สายตาก็สะดุดกับผืนหนึ่งที่ผมไม่เคยใช้ แต่อีกคนเป็นคนใช้.... คนที่ทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำทุกครั้งที่นึกถึง... ผมนึกถึงวันที่เราจูบกันครั้งแรก จากวันมาถึงวันนี้ก็หลายวันแล้ว

จูบที่นุ่มนวล อ่อนโยน และร้อนร้อนแรงในคราวเดียวกัน

“อ๊า~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~” ผมทรุดตัวลงกับพื้นและเริ่มกรี๊ดร้องเหมือนคนบ้า ในหัวมีแต่เรื่องลามกทั้งหมด อันที่จริงพี่รันถือเป็นภยันตรายสำหรับนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนอย่างผมเป็นทีสุด! และก่อนที่ผมจะบ้าคลั่งไปยิ่งกว่านี้ ผมตัดสินใจทำงานบ้านอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้เหนื่อยจนเลิกฟุ้งซ่านไปเอง แต่ยิ่งผมเก็บห้องเท่าใด ก็เจอแต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดถึงไอ้พี่รันมากขึ้น

รองเท้าแตะของพี่รัน

โฟมล้างหน้าของพี่รัน

ถุงเท้าของพี่รัน

เข็มขัดของพี่รัน

ตุ๊กตาของไอ้ริชชี่(ที่พี่รันซื้อให้มัน)

ต้นอะไรไม่รู้ที่มีดอกสีม่วงๆของพี่รัน

เสื้อที่ไอ้ริชชี่ใส่(พี่รันซื้อให้มันอีกแล้ว)

แก้วกาแฟของพี่รัน

แผ่นดีวีดีของพี่รัน

ลำโพงสีแสบของพี่รัน


เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


ข้าวของของมันมาอยู่ในห้องผมเยอะแยะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ!?!

หน็อยแน่ นี่มันแอบฉวยโอกาสตอนที่ผมกำลังวุ่นวายกับเรื่องเรียนแอบแฝงตัวเข้ามาเป็นกาฝากในชีวิตผมแบเนียนๆสินะ ผมทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นโดยมีไอ้ริชชี่เดินนวยนาดขึ้นมานั่งบนตักให้ผมเกาคางให้มัน ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนไอ้ริชชี่กำลังถามคำถามผมด้วยสายตาของมันว่าพี่(พ่อ)รันหายไปไหน ทำไมยังไม่มาเกาพุงให้ริชชี่อีก

ไอ้แมวเปรตตตตตตตตตต ฉันเป็นคนเลี้ยงแกมานะไอ้ริชชี่แมวขี้แตก ที่ป่วยกระเสาะกระแสะตั้งแต่เด็กจนผมหมดค่ารักษามันไปเท่าไรไม่รู้ แต่พอโตขึ้นมาใหม่มีคนเอาใจคนใหม่ที่รูปหล่อกว่าผมก็เตรียมจะเฉดหัวผมทิ้งเลยสินะ!

ตรู๊ดดดดด

“ฮัลโหล” ผมรับโทรศัพท์
‘นิลครับ พี่ลงเครื่องแล้ว เดี๋ยวจะไปหานิลเลยนะ อยากได้อะไรมั้ย กินอะไรหรือยังครับ’ ใช่ครับ เสียงตามสายนี้คือไอ้พี่รันแน่นอน เห็นบอกว่าจะบินไปดูโรงแรมที่ไหนไม่รู้ที่เพิ่งสร้างเสร็จและกำลังอยู่ในขั้นตอนตกแต่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะญี่ปุ่น (มั้ง) พอนึกถึงญี่ปุ่นผมก็อยากกินปลาดิบขึ้นมาทันที
“ปลาดิบ” ผมสั่ง
‘ได้ๆ เดี๋ยวพี่ซื้อเข้าไปนะ’

ผมกดวางสาย แล้วก็เลื่อนดูประวัติการโทรเข้าโทรออกของผม มีแต่เบอร์ไอ้พี่รันยาวเป็นพรืด กับเบอร์แม่โผล่มาประปราย เอ๊ะ นี่มันคิดจะยึดครองแม้กระทั่งพื้นที่ในโทรศัพท์ผมเชียวเหรอ?


เกือบๆชั่วโมงพี่รันก็โผล่หัวมาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง ไอ้ริชชี่มันเดินไปต้อนรับพ่อมันก่อนผมเสียอีก คอยดูนะ เดี๋ยวผมจะหาแมวมาเลี้ยงเพิ่ม เอาให้ไอ้ริชชี่เป็นหมาหัวเน่าเลยละ
“คิดถึงจังครับ” อึ้ก! ดูมันพูดสิครับ เปิดฉากมาก็เล่นแบบนี้เลย??
“ประสาท” ผมบ่นงุบงิบประสาคนไปไม่เป็น ตั้งใจจะช่วยถือของแต่ช่างแม่งละ ขนเข้ามาเองแล้วกัน
“หึหึ” พี่รันวางถุงพลาสติกใบใหญ่ลงบนโต๊ะ ผมมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าต้องเป็นสิ่งที่ผมปรารถนาแน่นอน
“หูย โอโทโร่~~~~” น้ำลายมากองอยู่ที่มุมปากแล้วครับ ถ้าอ้าปากพูดตอนนี้น้ำท่วมห้องแน่นอน
“ไปเอาจานมาครับ เดี๋ยวพี่เก็บของก่อน” ผมลุกทำตามอย่างว่าง่าย แต่พอเดินได้สองก้าวก็ชะงัก นี่ผมทำตามคำสั่งพี่รันง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? มันเกิดอะไรขึ้นโดยที่ผมไม่ทันรู้สึกตัวหรือเปล่า
“อ้าว เหม่ออะไรครับ” พี่รันเดินมาลูบหัวและจูบแก้มผมเบาๆเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญ แต่ผมที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้และกำลังมองพี่รันเดินไปหยิบจานมากลับรู้สึกสับสนงุนงงเป็นที่สุด อะไรกัน สัปดาห์ที่ผมยุ่งๆนี่ผมทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ทำไมพี่รันมันถึงเป็นอะมีบาแทรกซึมเข้ามาในชีวิตผมได้แนบเนียนขนาดนี้??
“เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ นำเข้าจากญี่ปุ่นเลย ถ้านิลชอบปลาดิบมากๆเอาไว้คราวหลังพี่ไปทำงานแล้วจะพานิลไปด้วยดีมั้ย ช่วงนี้ไม่ต้องใช้วีซ่าแล้วด้วยเนอะ”

“นิลไม่กินวาซาบินี่เนอะ แปลกคนนะ ชอบกินปลาดิบ แต่ไม่กินวาซาบิ” ผมนั่งจ้องพี่รันจัดจานให้ผมแบบงงๆ กระทั่งเรื่องที่ผมไม่กินวาซาบิมันก็รู้อ้ะ และขณะที่พี่รันกำลังเทโชวยุให้ผมนั่นเอง

“พี่รันครับ”
“ครับ”
“ข้าวของของพี่ เต็มห้องผมไปหมดเลยนะครับ”
“อือฮึ”
“...”
ผมว่าผมเริ่มจะเดือดกับท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาเสียแล้ว ในขณะที่ผมกำลังสับสนงุนงงกับความเปลี่ยนแปลงอันแสนแนบเนียนของเขา เขากลับทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แบบนี้มันน่า....

เพียะ!!

“โอ๊ย ตีพี่ทำไมครับนิล” พี่รันสะดุ้งโหยงจนปล่อยตะเกียบหล่นจากมือ ผมมองสีหน้าตกใจของเขาด้วยความหงุดหงิดเต็มสตรีม
“พี่อย่ามาทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้นะ พี่รู้มั้ยว่าพี่ทำอะไรลงไป”  อึก.. ตาผมร้อนผ่าวเลยอ่ะ ถ้าผมยังไม่หยุดพูดตอนนี้น้ำตาต้องไหลแน่ๆ แต่ผมก็หยุดมันไม่ได้แล้ว “พี่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตผมตั้งแต่ตอนไหน ทำไมทุกๆที่ ทุกๆตารางนิ้ว มันถึงมีแต่พี่เต็มไปหมด ผมมองไปทางไหนก็นึกถึงแต่พี่ แม้กระทั่งไอ้ริชชี่ยังติดพี่ นี่พี่ทำอะไรกับผม!!” ผมซุกหน้าลงกับฝ่ามือ น้ำตาร้อนผ่าวไหลรินอาบแก้ม จนกระทั่งฝ่ามือของผมก็ยังซึมซับน้ำตานี้ไว้ได้ไม่หมดสิ้น

“นิลครับ...” ผมสะบัดไหล่หนีมือของพี่รันที่เอื้อมมา บอกไม่ถูกด้วยซ้ำว่าตัวผมกำลังโมโหอะไร

“อย่ามายุ่งกับผม! ผมไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้” ผมตะโกนลั่น รับรู้ได้ถึงมือใหญ่อบอุ่นนั้นละออกห่าง รวมถึงเจ้าของมือที่ขยับลุกจากโซฟาอย่างเงียบเชียบ มีเสียงไอ้ริชชี่ร้องเหมียวหนึ่งทีตามด้วยเสียงประตูปิด

เขาไปแล้ว...


ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม หนักยิ่งกว่าที่เคยอกหักเมื่อก่อนนั้น ทำไมมันถึงเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ผมสะอื้นจนตัวโยน ทั้งเจ็บคอและปวดตาไปหมด แต่น้ำตามันก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักที ความรู้สึกวูบโหวงในหัวใจนี้คืออะไร ความอ่อนแอที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องอยู่ตามลำพังโดยไร้เงาของเขาเคียงข้าง ผมเกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด...

‘พี่รัน...’

‘นิลรักพี่รัน’

ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันก็มีอยู่แค่นี้ ถ้าแค่ผมจะไม่โกหกหัวใจตัวเองก็เท่านั้น ผมก็คงจะได้มีความสุข ไม่ต้องมานอนร้องไห้อยู่คนเดียว


“ปากบอกไล่พี่ แล้วมานอนร้องไห้ทำไมคนเดียวครับ”


แต่บางทีเราอาจไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่ตัวเองรู้สึกก็เป็นได้...

“นิล... นิล...” ทั้งความดีใจ และโล่งอกผสมปนเปกัน จนผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร น้ำตาของผมก็หยดลงมาอีกรอบ บางทีนี่อาจเป็นอาการที่เรียกว่า ‘พูดไม่ออก’ ละมั้ง...

“ไม่ต้องร้องนะครับ พี่อยู่นี่แล้ว” พี่รันลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน อ้อมกอดของเขานำพาความอบอุ่นสุขใจมาให้ผม

เพียงแค่ผมคนเดียวเท่านั้น...





มาเรื่อยๆค่ะ ยุ่งมากก็หายหัวนานหน่อย  :z3:



ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
หวานอ่า พี่รันคนดี ดูแลนิลไปนานๆนะ :o8:

ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
สารภาพว่าเลิกอ่านเรื่องนี้ เพราะคิดว่าฟ้ายอมคืนดีกะอีพี่เล
โชคดีที่แอบแวะมาส่อง ไม่งั้นคงไม่รู้ว่าฟ้าก็ใจแข็งที่เลิกกับคนเลวๆแบบนั้นไปแล้ว
และคงไม่ได้อ่านนิยายดีๆแบบนี้ต่อ(ลุ้นคู่ฟ้ากว่าคู่หลักอีกอ่ะ5555++ หาคู่ให้ฟ้าใหม่ที
อย่าลืมเอาคืนเลมันหนักๆด้วยนะครับคนแต่ง  :z6: )

ออฟไลน์ ZiiZone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :-[
อ่านแล้วฟิน อบอุ่นหัวจายยยยยย~
พี่รันน่าร๊าก ดูแลนิลดีๆนะ ><

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter : 9 [ใจเต้น]
«ตอบ #56 เมื่อ17-04-2014 12:43:53 »

Chapter : 9 [ใจเต้น]



วันนี้ที่มหาลัยผมมีงานแสดงดนตรี มีทั้งวงของมหาลัยเองและนักดนตรีจากข้างนอก อันที่จริงตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหนาแต่ว่าไอ้ริวมันก็ถูลู่ถูกังผมมาจนถึงลานจัดแสดงจนได้
“คนเยอะฉิบหาย” ผมบ่น
“พูดไม่เพราะเลยไอ้ห่านิ” ไอ้ริวชะเง้อมองหาใครบางคนจนผมรำคาญ
“นี่มึงนัดกับคนอื่น? แล้วจะลากกูมาเพื่อ”วันนี้ยัยฟ้าไหวตัวทัน ก็เลยหนีไปสิงที่ห้องสมุดก่อนที่จะโดนไอ้ริวลากออกมาพร้อมผมแล้วครับ
“เออน่า อย่าบ่นได้ป่ะ” มันลากผมมาจนถึงหลังเวที พวกนักดนตรีที่กำลังจะขึ้นแสดงเดินกันขวักไขว่ไปหมด ผมเริ่มเกิดอาการพารานอยด์เวลาเจอคนเยอะๆอีกแล้วครับ มันจะแบบหงุดหงิดใจไม่อยากอยู่ตรงนี้อ่ะ แล้วไอ้เชี่ยริวหายไปไหนแล้วเนี่ยยยยยยยย

“นิล หงุดหงิดอะไรเหรอ” ผมที่กำลังหงุดหงิดเพราะถูกทิ้งหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นวัฒน์ที่แต่งหล่อเต็มยศกับฝรั่งรูปหล่อคนหนึ่ง
“วันนี้แต่งหล่อเชียววัฒน์ มีแสดงกับเขาด้วยเหรอ” ผมเย้า แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากฝรั่งตัวตัวข้างๆวัฒน์
“นิลอย่าแซวดิ เราโดนบังคับอ่ะ เออ นี่เพื่อนเรา มันจะมาช่วยแสดงด้วย บินมาจากอังกฤษสดๆร้อนๆ” ผมหันไปยิ้มทักทายกับเพื่อนฝรั่งของวัฒน์ ให้ตายเถอะ ทำไมผมคุ้นหน้าเขาแบบนี้นะ ฝรั่งนั่นก็เอาแต่ยิ้มกว้างอย่างเดียวเลย

ผมยืนคุยกับวัฒน์ต่ออีกแป๊บหนึ่งไอ้ริวก็มาลากผมไปหาที่นั่งหน้าเวที ก่อนที่มันจะคุยโม้โอ้อวดสรรพคุณของเพื่อนมันให้ผมฟัง
“ตอนที่เรียนมอปลายอะ ไอ้วัฒน์มันฮ็อตมากเลยนะมึง” และไอ้ริวก็โม้อะไรต่อมิอะไรยาวเหยียด หูผมฟังมันพูด แต่สายตาของผมกลับถูกดึงดูดด้วยอุปกรณ์บางอย่างบนเวที

วัฒน์เดินขึ้นมาบนเวทีโดยมีเพื่อนฝรั่งตามหลังมา และเมื่อผมเห็นนายฝรั่งขี้นกเดินไปประจำที่ที่อุปกรณ์นั้นผมก็อุทานขึ้นอย่างดัง
“เฮ้ย อะไรของมึงไอ้นิล”
“ก็ฝรั่งคนนั้นน่ะ กูรู้จักเขา กูเคยเห็นเขา เขามาเล่นพิณแก้วที่งานแต่งแม่กู”
“เห... อย่างงั้นเหรอ”
“เขาเล่นเก่งมากเลยนะมึง ลองฟังดูดิ” พอผมพูดจบเสียงดนตรีก็ดังขึ้น วัฒน์เล่นคีย์บอร์ดไฟฟ้าและร้องเพลงครับ ท่าทางมีฝีมือไม่ใช่น้อย แต่ผมกลับชอบเสียงจากพิณแก้วมากกว่า และดูลักษณะแล้วจะไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดแบบนี้ พวกสาวๆเอาแต่ซุบซิบกันเรื่องนักดนตรีรับเชิญผมทองกันอย่างไม่ขาดปาก
“เออว่ะ เล่นเก่งจริงๆด้วย กูละชักจะหมั่นไส้” ไอ้ริวกระซิบกับผม
“อะไรของมึง”
“ก็ดูดิแม่ง ทั้งหล่อ ทั้งเล่นดนตรี สาวๆอะแพ้ผู้ชายเล่นดนตรีเป็นนะมึงรู้เปล่า”
“เฮ้ย ไปเอาทฤษฎีมาจากไหน”
“เอ๊า ก็แฟนเก่ากูละชอบนักหนาเวลาเห็นผู้ชายเล่นดนตรี”
“เป็นรสนิยมเฉพาะตัวแฟนเก่ามึงมากกว่าปะ ฮ่าๆ” ผมขำตรรกะประหลาดของเพื่อน กะอีแค่เล่นดนตรี ใครๆก็เล่นได้ปะถ้าได้ฝึกฝน ผมมองฝรั่งเพื่อนวัฒน์อย่างชื่นชมในฝีมือของเขา อันที่จริงถ้าผมเล่นดนตรีเป็นบ้างก็คงดี แต่ไอ้ผมมันไม่มีทักษะด้านนี้เลยน่ะสิ
“!?!” แล้วจู่ๆผมก็ชะงักเมื่อคนที่ผมกำลังมองนั้นเขาหันมาส่งยิ้มให้ผมแว่บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเหลือบมองไอ้ริวก็เห็นว่ามันไม่ได้สังเกตอะไร บางทีผมคงตาฝาดไปเองก็ได้

ตึก!

อีกแล้ว เขาหันมาอีกแล้ว

ผมนับหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และเขาก็หันมาอีก เขายิ้มจากบนเวที เป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนยิ้มไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่ายิ้มกับใคร แต่ทำไมผมจึงรู้สึกไปได้ว่าเขายิ้มให้ผม

ตึกตัก!

ผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเริ่มเต้นแรงกว่าปกติ พอลองเอามือทาบดูก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เลือดอุ่นสูบฉีดจนหน้าผมร้อนผ่าว ก่อนที่อะไรๆมันจะแย่ลงไปกว่านี้ ผมต้องพิสูจน์ว่าผมคิดไปเอง... เขาไม่ได้มองมาทางผมหรอก...

“!?!”

ชัดเลยครับทีนี้ สายตาผมกับเขาประสานกันตรงเป๊ะ เหมือนเขามองรอผมให้เงยหน้าขึ้นมาอยู่แล้ว ผมมั่นใจล้านล้านเปอร์เซ็นต์ว่าเขายิ้มให้ผมแน่นอน!

“เฮ้ย ไอ้นิลมึงจะไปไหน”
“กูปวดขี้ ไปห้องน้ำแป๊บ” ผมผุดลุกออกมาจากตรงนั้นทันที กะว่าจะชิ่งหนีกลับคอนโดนก่อนแล้วค่อยโทรบอกไอ้ริวทีหลัง คนแม่งก็มาดูอะไรกันเยอะแยะนักหนาไม่รู้ กว่าผมจะฝ่าออกมาได้เสียงเพลงแม่งก็เงียบลงพอดี

“Hey!” จู่ๆก็มีใครบางคนคว้าข้อมือผมไว้ ผมสะดุ้งโหยงและหันไปมองข้างหลังอย่างช้าๆ หัวใจแม่งเต้นแรงยังกับจะทะลุออกมาอยู่แล้ว ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะทำผิดเลยวะ!!

“จะกลับแล้วหรือครับ” ประโยคภาษาไทยและสำเนียงแปลกแปร่งดังออกมาจากปากมิสเตอร์หัวทองตรงหน้าผม นี่มันไปหัดพูดภาษาไทยตั้งแต่เมื่อไรวะ
“Nice to meet you again.” ผมยิ้มแหย แต่ฝรั่งยิ้มกว้าง บางสิ่งในหัวผมกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีแน่ๆ เรดาห์สแกนเกย์มันร้องเตือนผมอยู่
“ผม..มาเวิร์คแอนด์ทราเวล ครับ” ผมมองฝรั่งพยายามพูดไทยคำอังกฤษคำอย่างมานะพยายาม นับถือจริงๆครับ แค่จะมาทำงานเมืองไทยยังอุตส่าห์หัดพูดภาษาไทย นี่ขนาดตัวผมมีแม่อยู่เมืองนอก แถมมีพ่อเลี้ยงเป็นฝรั่ง ภาษาอังกฤษผมยังไม่กระดิกเลยครับ
“เอ่อ มายเนมอิสแพทริค แอนด์ยู?” ฝรั่งยิ้มกว้างแถมยังไม่ปล่อยมือผมอีก
“ไอแอมนิล” ผมตอบ
“ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งจริงๆนะครับ I hope.. เอ่อ ผมหวังว่า เราจะเป็นเพื่อนกันได้นะครับ” ครับ ดีใจจัง มีฝรั่งอยากเป็นเพื่อนกับผมมากขนาดนี้ บางทีมันคงไม่มีอะไรแปลกๆอย่างที่ผมคิดหรอกครับ เขาคงดีใจที่ได้เจอคนเคยรู้จักกันในต่างบ้านต่างเมืองก็เท่านั้น
“ผมก็ดีใจที่ได้เจอคุณเช่นกันครับแพทริค”

หลังจากนั้นคุณคงจะคิดว่าทั้งผมและฝรั่งแพทริคก็เดินกลับเข้าไปในงาน และเราสองคนก็ได้นั่งคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบสินะครับ แต่เปล่าเลย เพราะว่าชีวิตจริงมันโหดร้ายกว่านั้นเยอะ

“นิลครับ” ชะอุ๋ย น้ำเสียงที่คุ้นเคยฟังดูขุ่นมัวผิดไปจากเวลาปกติ ถ้าให้ผมขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ผมอยากจะขอให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้เลย! แม่งเอ๊ยยยยย

“นั่นเพื่อนคุณ คนที่ไปกับคุณคราวนั้นนี่” ฝรั่งถามผม แต่ก่อนที่จะตั้งคำถามอะไร ช่วยปล่อยมือกูก่อนได้มั้ยคร้าบบบบ สายตาเพชฌฆาตของพี่รันจะเผากูเป็นจุลแล้วววววว

“อ่า ใช่ๆ เดี๋ยวผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับเขานะ” ผมแกะมือตัวเองออกอย่างนิ่มนวล และเดินไปจูงมือพี่รันที่ตาขวางอย่างกับหมาบ้ามาแนะนำให้แพทริคได้รู้จัก
“พี่รัน นี่แพทริคครับ เขามาทำงาน”
“Hi, Nice to meet you too.” ครับ ฝรั่งแพทมารยาทดีรู้จักทักทาย แต่คนไทยของผมนี่สิเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรสักคำ
“พี่รัน เสียมารยาทจัง เขามาเที่ยวบ้านเรานะครับ” ผมกระซิบ
“หึ” พี่รันแสยะยิ้ม และพูดอะไรกับฝรั่งแพทเป็นภาษาอังกฤษยาวเหยียดจนผมฟังไม่ทัน พอพูดจบท่านก็ลากผมออกมา ปล่อยให้ฝรั่งยืนอึ้งอยู่อย่างเดียวดาย


“พี่รันพูดอะไรกับเขาอ้ะ” พอจับผมยัดเข้ามาในรถแล้วพ่อคุณก็เหาะออกจากม.อย่างไว แต่ปากผมก็ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ผมไม่รีรอรีบยิงคำถามใส่พี่รันทันที
“ไม่ต้องรู้หรอก ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“เอ๊ะ อะไรเนี่ย อย่ามาเสียงแข็งใส่นิลนะ”
“ไม่ต้องมาโวยวาย ทำความผิดยังไม่สำนึก”
“ความผิดอะไร นิลยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ผมโกหกคำโต โอเค. ผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกหกก็เพราะในใจผมรู้สึกผิดจริงๆที่คุยกับฝรั่งแพท และเอ่อ... แอบใจเต้นไปกับดวงตาสีฟ้าเจิดจ้าคู่นั้น..นิดนึง... นิดนึงจริงๆนะ!! ยังงี้ไม่ถือว่านอกใจสักหน่อย

“แล้วที่ไปให้มันจับมือถือแขนตั้งนานสองนานนั่นละ”
“โวะ นิลไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” ผมแหว ลุงนี่แม่งขี้หึงนี่หว่า “ทำเป็นพระนางละครน้ำเน่าไปได้” ประโยคหลังนี้ผมบ่นคนเดียว แต่ไอ้พี่รันเสือกได้ยินครับ
“งั้นอย่าให้มีฉากตัวร้ายปล้ำนางเอกแล้วกัน เพราะพี่คงมาช่วยไม่ทันหรอก” นางเอกพร่อง... หาว่าผมเป็นนางเอกซะงั้น แม่ง..
“ก็ดีสิ ตัวร้ายหล่อขนาดนั้นนางเอกก็คงยอมอยู่หรอก” ผมแขวะกลับ อยากยัดเยียดตำแหน่งนางเอกให้ดีนัก

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“โอ๊ก!” จุกเลยครับคุณ พี่รันมันเบรกจนผมตัวโก่งแทบพุ่งไปติดกระจกถ้าไม่ได้คาดเบลท์ มันจะเบรกแรงขนาดนี้เพื่ออออออออออ?????

“ไหนพูดใหม่สิ”

“หะ.. พูดอะไร..” ผมเริ่มหวาดผวาเมื่อเห็นสายตาโหดเหี้ยมจากคนขับรถ บางทีถ้าผมแกล้งตายคงจะเวิร์คกว่าวิ่งหนี เพราะพี่รันมันวิ่งตามผมทันแน่ๆ

“อยากโดนตัวร้ายปล้ำนักใช่มั้ย?”

“เฮ้ย เปล่าๆ พี่หูฝาดแล้ว”

“ไม่ละ หูพี่ยังดีอยู่ ได้ยินชัดๆเต็มสองข้างเลย” พี่รันปลดเบลท์แล้วชะโงกตัวข้ามเบาะมาหาผม ผมมองไปรอบๆนี่แม่งก็เปลี่ยวสัด!! แถมยังเริ่มโพล้เพล้ อย่าบอกนะว่าผมจะโดนเปิดซิงบนรถ!!!!!

“เฮ้ยยยย พี่รันอย่าดิ ริมถนนแบบนี้ไม่เอาน้า” ผมตั้งท่าจะปลดเบลท์ของตัวเองแต่ก็ไม่ทันไอ้พญามารที่มันดึงมือผมเอาไว้แน่น แถมยังโน้มตัวมาจนจะชิดหน้าผมอยู่แล้วววว

“ปากดีนักนะเราน่ะ” พญามารกระซิบข้างหูผมก่อนจะย้ายเป้าหมายมาเป็นริมฝีปากผมแทน ผมยังไม่อยากถูกดูดวิญญาณตอนเน้!!
“อื๊ออออ” ผมหลับตาปี๋เมื่อริมฝีปากของเราแตะกันสนิท พี่รันจาบจ้วงและรุนแรงผิดไปจากครั้งแรกของเรา ลิ้นอุ่นนุ่มทำงานอย่างช่ำชองจนผมตามไม่ทัน เมื่อไรไม่รู้ที่พี่รันเปลี่ยนจากล็อกแขนผม เป็นเอามือมาประคองแก้มผมแทน และยิ่งดีกรีการจูบร้อนแรงเท่าไรก็ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าผมกำลังหลุดรุ่ยมากขึ้นเท่านั้น ริมฝีปากบางของพี่รันไล่ตามผมไม่ลดละ แม้ผมจะถอยหนีไปทางไหนเขาก็ตามดักผมได้หมด มือใหญ่นั่นล้วงลึกเข้ามาในเสื้อผมและลูบไล้อย่างร้อนแรง เสียงการแลกเปลี่ยนของเหลวที่ฟังดูโคตรจะน่าอายดังเป็นระยะอยู่ภายในพาหนะคันงามนี้ ผมเผลอตัวยกสองแขนโอบรอบคอพี่รันเอาไว้และปล่อยให้ร่างกายโอนอ่อนไปตามการชักนำของเขา

ครืดดดดดดด ครืดดดดดดดดด

เราทั้งคู่สะดุ้งโหยงทันทีเมื่อได้ยินเสียงประหลาด ไอโฟนผมที่มันลื่นออกจากกระเป๋ากางเกงลงไปวางแหมะอยู่ตรงเกียร์มันสั่นขึ้นมาพอดี เรามองหน้ากันพักหนึ่งและผมก็เอื้อมคว้าโทรศัพท์มา

“ฮัลโหล” ...แต่ไม่ทันเฮียเขาครับ พี่รันมือยาวกว่าผม แย่งโทรศัพท์ผมไปแล้วยังกดรับหน้าตาเฉย ไม่สนใจเจ้าของเครื่องที่นั่งอึ้งอ้าปากค้างอยู่ตรงนี้ เอ๊ะ... ว่าแต่เบาะนั่งมันปรับเอนเมื่อไรวะ?
“พี่รับนิลกลับมาแล้วครับ แค่นี้นะ”
“ใครโทรมาอ่ะ”
“คนชื่อริว” พี่รันวางโทรศัพท์ผมไว้ที่เดิมและทำท่าจะสานต่อจากเหตุการณ์เมื่อกี้ เล่นเอาผมร้องเสียงหลง
“เฮ้ยยย ไม่เอาแล้ว พอแล้วนะ เดี๋ยวก็มีคนผ่านมาเห็นหรอก” ผมยกมือห้าม พี่รันชะงักมองผมแวบหนึ่งก่อนจะถอยตัวออกและปรับเบาะนั่งผมให้ตรงเหมือนเดิม
“เดี๋ยวไปต่อที่ห้อง” พูดออกมาหน้าตาเฉย

เพียะ

“ไอ้บ้า” ผมซัดเข้าไปที่ต้นแขนและด่าแถมให้ทีหนึ่ง คนอะไรโดนด่าแล้วยังนั่งยิ้มแถมทำสายตาหื่นใส่ผมอีก แสดงว่าหายโมโหแล้วสินะไอ้โรคจิต
“พี่รันเวลาโมโหแล้วน่ากลัวนะ” ผมบ่นอุบอิบ
“หือ? เปล่านี่ พี่ไม่ได้โมโหนะ” ผมหันไปมองพี่รันแบบงงๆ หน้าตายิ้มแย้มเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ อย่าบอกนะว่ามัน...
“นี่พี่ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนเพื่อหลอกลวนลามนิลใช่มั้ย!!!!!”
“หึหึ คิดงั้นเหรอ”
“เออสิวะ”
“ฮ่าๆๆๆ นิลนี่หลอกง่ายจริงๆ”
“ไอ้เลววววว ไอ้เลวๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆ ด่าเยอะๆครับพี่ชอบ ด่าพี่กี่คำพี่ปล้ำจูบเท่านั้นเลย”
“ฮึ้ยยยยยยยย ไอ้บ้า!!!!!” ผมเอาสองมืออุดปากตัวเองและตะโกนด่ามันสุดเสียง ไอ้คนเฮงซวยนี่ระวังให้ถึงทีผมมั่งเท้ออออออ แม่ง.



**มาน้อยยังดีกว่าไม่มานะคะ :hao5:
**ขอบคุณทุกคอมเมนท์กำลังใจนะคะ มีคอมเมนท์น้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเนอะ 555


ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter : 10 [อาคันตุกะ]
«ตอบ #58 เมื่อ28-04-2014 17:07:15 »

Chapter : 10 [อาคันตุกะ]





หลังจากที่ผ่านเทศกาลสอบหฤโหดไปได้ ก็ถึงเวลาที่พวกผมจะได้ปิดเทอมกันอย่างจริงจังเสียที เห็นยัยฟ้าบอกว่าจะไปบ้านคุณยายที่ต่างจังหวัด สงสัยคงอยากจะหนีหน้าใครสักคนนะผมว่า ส่วตัวผมยังไม่มีแพลนใดๆทั้งสิ้น แม่เองก็ชวนให้ผมไปหา แต่ผมไม่อยากไปอ่ะ ขี้เกียจนั่งเครื่อง เสียเวลาเปล่าๆปลี้ๆ


อีกอย่างก็คือ เดี๋ยวพอเปิดเทอมผมก็จะขึ้นปีสามแล้วครับ คงจะต้องเรียนหนักกว่าเดิม เพราะงั้นผมก็ไม่อยากจะเอาเวลาตอนปิดเทอมไปใช้นั่งๆนอนๆอย่างเปล่าประโยชน์น่ะซิ


“งั้นไปทำงานกับพี่มั้ยละครับ” พี่รันเสนอแนะเมื่อได้ฟังสิ่งที่อยู่ในใจของผม ซึ่งมันเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจจนทำให้ผมละจากการแหย่ไอ้ริชชี่มามองหน้าเขานิ่ง
“แต่พี่ต้องบินไปนู่นมานี่บ่อยๆอ่ะ”
“ก็บินไปกับพี่ มีแฟนรวยจะกลัวอะไร” เจ้าตัวหัวเราะหึหึทำเอาผมหมั่นไส้
“หมั่นไส้ว่ะ พ่อคนรวยเงินถุงเงินถัง” ไม่รู้จะด่าอะไรจริงๆครับ ก็พี่รันมันรวยจริง หล่อจริง ไม่รู้จะขุดห่าคำอะไรมาด่ามันดี จะด่าว่าไอ้หื่นเดี๋ยวมันก็หาเรื่องมาพิสูจน์ความหื่นกับผมเปล่าๆ
“ไปเถอะนิล ช่วงนี้พี่อยากได้คนช่วยงานด้วย” พี่รันเดินมานั่งข้างผมและไอ้ริชชี่ก็กระโดดขึ้นมานอนบนตักพี่รันตามสเต็ป พ่อลูกอ่อนเกาคางแมวมือนึง อีกมือนึงก็ลูบหัวผม
"ไม่ต้องคิดอะไรมาก เราไม่ได้เอาเปรียบพี่หรอก และโอกาสดีๆแบบนี้น่าจะคว้าไว้ไม่ใช่เหรอ” งืม... ผมก็คล้อยตามคำพูดพี่รันนะ แต่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมันจะสบายเกินไปหรือเปล่า อะไรๆก็มีคนประเคนมาให้ถึงที่แบบนี้ รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้


‘แหม นิลก็ลำบากมาเยอะไม่ใช่หรือลูก’ แม่ถามผมกลับในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงความโชคดีของตัวผม แม่ก็สไกป์มาได้อย่างเหมาะเจาะพอดี
‘นิลอย่าลืมสิ ว่านิลก็ไม่ได้สุขสบายมาแต่อ้อนแต่ออกนะ บางทีเราก็อดมื้อกินมื้อ แถมยังไม่มีใครให้หันไปพึ่งพาได้อีก’ แม่พูดเหมือนกำลังเล่าเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศไม่ใช่เรื่องความยากจนของเราสองแม่ลูกเมื่อก่อน แถมยังเอียงแก้มไปให้สามีป้ายแดงหอมได้อีก ผมละเขินแทนจนต้องซุกหน้ากับฝ่ามือตัวเอง
‘แหมทำเป็นเขิน ทำเป็นคนไม่เคยไปได้’
“แม่อ้ะ อย่ามาแซวนิลนะ” อย่างน้อยผมก็ไม่เคยแสดงความรักแบบโจ่งแจ้งให้ใครเห็นนะ รึเปล่าหว่า??


ว่าแต่ผมก็ลืมไปแล้วนะ ว่าเมื่อก่อนชีวิตผมผ่านอะไรมาบ้าง บางทีคงเป็นเพราะว่าตอนนี้ผมมีความสุขดี จึงไม่เคยอยากจะหวนกลับไปนึกถึงอะไรที่มันมืดมนอย่างนั้นก็เป็นได้


อย่างที่ใครๆก็รู้กันว่าผมไม่มีพ่อ พ่อผมไม่ได้ตาย แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรในชีวิตผมอีกแล้ว มันคงเป็นเพราะว่าผู้ชายหัวอ่อนคนหนึ่งในครอบครัวคนจีนที่ไม่สามารถออกมาจากเงาของครอบครัวเพื่อใช้ชีวิตด้วยตนเอง แต่กลับตัดขาดจากลูกเมียตาดำๆโดยที่ไม่เคยเหลียวแลหรือเกื้อกูลอะไรสักครั้ง มิหนำซ้ำยังทำเหมือนกับเราเป็นหมูเป็นหมา ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าคนเราในวัยเด็กจะต้องมีเรื่องที่เด่นชัดอยู่ในความทรงจำ มันอาจจะเป็นเรื่องของความประทับใจหรือฝังใจก็เป็นได้ และผมเองก็มีเรื่องแบบนี้เช่นเดียวกัน


ภาพที่ผมมองข้ามพ้นจากไหล่บอบบางคือบ้านหลังใหญ่และสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาจากท้องฟ้าสีเทา แม่อุ้มผมไว้ด้วยแขนข้างเดียว และแขนอีกข้างลากกระเป๋าเดินทางซึ่งบรรจุข้าวของของเราสองแม่ลูกเอาไว้ทั้งหมด ไม่มีเงิน ไม่มีน้ำใจใดๆสำหรับคนที่ถูกเฉดหัวมาจากบ้านหลังใหญ่นั้น แม้กระทั่งจะเดินออกมามองเราสองคนก็ไม่มีเลย ผมมารู้เอาตอนโตแล้วว่าสาเหตุที่เราสองแม่ลูกต้องระเห็จออกมาจากครอบครัวนั้นเพราะแม่ทนการกดขี่ข่มเหงจากพวกอาและอาม่าของผมไม่ไหว แม่เป็นสะใภ้ที่ไร้ศักดินา มีเพียงหัวสมองและสองมือที่ไร้ค่าเทียบไม่ได้กับทรัพย์สมบัติมหาศาลของเมียใหม่พ่อ อันที่จริงเรื่องมันจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเพียงแต่พ่อจะจับมือแม่เอาไว้ให้แน่นและยอมเคียงข้างแม่ ทว่าผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นไม่กล้าพอที่จะขัดใจกับท่อน้ำเลี้ยงชีวิตของเขาเพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องลำบาก แต่ลูกเมียลำบากคงไม่เป็นไร


ตอนที่ผมยังไม่เกิด แม่กับพ่อเคยรักกันจนกระทั่งวันที่แม่ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านพ่อ อาหญิงทั้งสามของผมเป็นน้องของพ่อ แต่กลับมีอำนาจมากกว่าพ่อซึ่งเป็นพี่ชายคนโต (คงเข้าตำราน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ผู้หญิงสาม ผู้ชายหนึ่งเองนะครับ) แถมอาม่าผู้จิตใจไม่สมประกอบก็ไม่เคยสนใจใยดีแม่ ปล่อยให้พวกอาจิกหัวทำกับแม่เหมือนเป็นคนใช้ แล้วพอแม่เริ่มตั้งท้องผมแม่ก็เกือบจะแท้งเพราะตกบันไดที่อาสั่งให้แม่ไปทำความสะอาด แต่โชคดีว่าตกลงมาไม่สูงนัก และหัวหน้าแม่บ้านมาเห็นพอดีจึงรีบพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่นอนโรงพยาบาลยังไม่ทันฟื้นตัวดีก็ถูกลากกลับมาบ้านเพื่อทำงานบ้านอีก แม่อดทนจนกระทั่งผมเริ่มเดินและพูดได้ ฟางเส้นสุดท้ายของแม่ก็ขาดสะบั้นลงเมื่อผมถูกอาแท้ๆของตัวเองตบหน้าจนหัวฟาดขอบโต๊ะ เสียงกรีดร้องของแม่ยังเด่นชัดในความทรงจำ ภาพของพ่อที่ได้แต่ยืนมองด้วยสีหน้าตระหนกโดยไม่เข้ามาช่วยเหลืออะไรทำให้แม่เก็บข้าวของทั้งหมดและตัดสินใจออกมาตายเอาดาบหน้า


พวกเขาคงสาแก่ใจที่ขับไล่ผมและแม่ออกจากบ้านได้... แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่รู้คือแม่ขโมยเงินพ่อมาด้วย แม่หาบ้านเช่ากลางเก่ากลางใหม่ที่ชานเมืองกรุงเทพ และไปสมัครงานตามโรงงานต่างๆ อันที่จริงแม่ผมมีปริญญา มีความรู้ แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ และยังมีลูกเล็กมาด้วยจะเลือกงานอะไรได้มากนัก แม่อดทนทำงานเป็นเสมียนในโรงงานโดยหอบหิ้วผมไปทำงานด้วย โชคดีว่าผมไม่ร้อง ไม่งอแง จึงไม่เกิดปัญหา และยังมีแต่คนเอ็นดูเราด้วย จวบจนผมเริ่มเข้าโรงเรียน แม่ก็จะไปรับผมตอนเลิกเรียนแล้วกลับมาทำงานต่อจนมืดค่ำจึงจะได้กลับบ้าน แม่ทำงานดึก ทำงานเยอะ เพื่อให้ได้ค่าโอทีและให้ผลงานดีเข้าตาเจ้านายจนได้เลื่อนตำแหน่งไวๆ ความพยายามของแม่ดำเนินต่อไปอีกสามสี่ปี จนเจ้านายเห็นความสามารถและมอบหมายงานและตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งแม่ก็ทำได้ดีขึ้นเป็นทบทวี จนผมขึ้นชั้นมัธยมปลาย แม่ก็ได้โอกาสไปดูงานต่างประเทศ บ่อยครั้งเข้าก็ได้รับโอกาสให้ไปประจำที่สาขาต่างประเทศและได้เงินเดือนที่มากขึ้น ภาพของแม่ที่ติดตาผมคือภาพแม่ที่ผอมเกร็ง อดมื้อกินมื้อเพื่อให้ผมอิ่ม บางครั้งเราหุงข้าวหม้อหนึ่งให้กินกับน้ำปลาได้สองวัน ถ้ามื้อไหนมีปลากระป๋องก็จะเป็นอะไรที่หรูมาก ถ้าแม่เงินเดือนออกแม่ก็จะซื้อกล้วยน้ำว้าที่ยังดิบมาเก็บไว้เป็นหวีๆ


ผมแค่นยิ้มกับโชคชะตาของตนเอง บางทีฟ้าก็เล่นตลกกับเราเหลือเกิน และเราไม่มีทางจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น อย่างแม่กับพ่อผมที่เคยรักกันมาก แต่ก็ไม่เท่ากับความรักที่พ่อมีให้ตัวเองยังต้องพังพินาศลง ขนาดตอนนั้นผมยังเด็ก แต่ไอ้ความยากลำบากนี่มันก็ฝังจิตฝังใจผมเอาเรื่อง ทำเอาผมหลอนจนไม่ไว้ใจกับอะไรดีๆที่เข้ามาในชีวิตเพราะกลัวว่าถ้าสิ่งดีๆเหล่านั้นหายไปแล้วผมจะทำใจไม่ได้


‘ฮัลโหลๆ ใจลอยไปไหนจ๊ะ’ เสียงเรียกของแม่ดึงเอาผมกลับมาจากความทรงจำในอดีต ผมยิ้มให้กับคนตรงหน้าที่ดูอิ่มเอิบมีความสุขเสียเหลือเกิน ความปรารถนาสูงสุดของผมคือเห็นแม่มีความสุขอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“นิลดีใจที่เห็นแม่มีความสุข”
‘แม่ก็เหมือนกัน เห็นนิลเป็นแบบนี้แล้วแม่ก็ดีใจ’
“แล้วถ้าวันหนึ่ง ความสุขของนิลมันหายไปละแม่”
‘นิลก็สร้างมันขึ้นมาใหม่สิ จำไว้นะลูก เราเกิดมาเป็นคน ยังไม่ตายก็ต้องสู้กันต่อไป อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ เราไม่เหลืออะไรแต่เราก็ยังมีสมองและสองมือนี่นา’ ผมคิดตามที่แม่พูด ทางที่เราจะมีความสุขที่สุดคือการทำวันนี้ให้ดี ไม่ต้องไปกังวลถึงเรื่องอนาคตที่ยังไม่เกิด แต่เราก็ต้องไม่ประมาทกับมันเช่นเดียวกัน
“นิลรักแม่”
‘แม่ก็รักนิล ดวงใจของแม่’




สัปดาห์แรกของการปิดเทอม พี่รันพาผมไปเกาะครับ อันนี้เป็นงานนอกที่ไม่ใช่กิจการของบ้านเขา บางทีพี่รันก็รับจ๊อบตกแต่งให้กับคนอื่นเหมือนกัน เห็นว่าอันนี้เป็นบ้านของลูกค้าที่เคยไปพักโรงแรมในเครือบ้านเขาและชอบฝีมือการตกแต่งของพี่รัน ก็เลยว่าจ้างเป็นการเฉพาะกิจ


อย่างพี่รันเนี่ย ถือว่าเป็นคนที่ทำงานด้วยใจรักไม่หวังเงินทอง เพราะว่าถ้าเขาเบนเข็มไปเป็นผู้บริหาร เขาก็ไม่ต้องลำบากลงมาทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้ แต่เขาบอกว่าเขาไม่อยากอยู่เฉยๆ การได้เห็นผลงานของตัวเองถือเป็นความฟินสูงสุด(?)


“เจ้าของบ้านเขาตั้งใจว่าจะให้บ้านหลังนี้ปลูกตรงตีนเขา โดยหันหน้าไปทางตะวันออก ตัวบ้านจะเป็นบ้านไม้สองชั้นที่มีห้องใต้หลังคาและมีกระจกเปิดโล่งรับแสงแดดได้เต็มๆ” พี่รันบรีฟให้ผมฟังคร่าวๆขณะที่เรากำลังโดยสารในรถโฟร์วิลขึ้นเขา
“ร้อนตายสิครับแบบนั้น” ผมเปรย สายตาก็มองต้นไม้เขียวชะอุ่มรอบๆ ที่นี่ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาเพราะเป็นเกาะที่ไม่เปิดให้ท่องเที่ยว จึงเงียบสงบและไม่พลุกพล่าน ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมของคนรวยสินะ
“ไม่หรอก ต้นไม้เยอะ และลมโกรกมาก รับรองนิลต้องชอบแน่ๆ”
“แต่ก็เป็นแนวถนัดของพี่รันเลยนี่ครับ แนวรักษ์ธรรมชาติ ไม้ป่าเดียวกัน..” ประโยคแรกผมพูดจริง เพราะว่างานออกแบบของพี่รันจะเป็นแนวกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ส่วนประโยคหลังผมพูดเบาๆไม่รู้เจ้าตัวจะได้ยินหรือเปล่า อิอิ
“พี่คิดว่าเราอยู่กันได้เพราะธรรมชาติ โอนอ่อนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติละดีที่สุด และพี่ก็ชอบป่าไม้มากๆด้วย” อึ๋ย ได้ยินนี่หว่า ผมสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาหยิกแก้มผม ครั้นจะหันหน้ากลับไปด่าก็เจอกับสายตาวิบวับจนต้องเป็นฝ่ายหลบเอง
“พี่รันก็ทำหื่นตลอด” ผมว่า
“ไม่ต้องมาทำหน้าน่ารักเลย” เขาใช้สองมือประคองสองแก้มผมหลังจากที่เราทั้งคู่ลงมายืนบนพื้นดิน  ผมเบือนหน้าหนี ถึงนี่มันจะกลางป่าเขาแต่ก็อาจมีลิงมีหมีมาแอบมองอยู่ก็ได้ใครจะรู้
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวเจ้าของบ้านเขาจะรอ”
“หึหึ ไปก็ไป” พี่รันจับจูงมือผมให้ออกเดินไปพร้อมกัน ผมมองทางเดินขึ้นไปยังตัวบ้านที่เป็นขั้นบันไดหิน ลานจอดรถด้านล่างที่เกลี่ยดินเอาไว้ทำให้จอดรถได้สาม-สี่คันสบายๆ เงาไม้ทอดตัวลงมาทำให้ไม่ต้องพึ่งหลังคาบังแดดเลยด้วยซ้ำ บรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามขนาดนี้ทำให้ผมนึกถึงค่าที่ดินแพงหูฉี่ ดูท่าเจ้าของบ้านคงต้องจ่ายไม่ใช่น้อยๆเพื่อแลกกับสวรรค์บนดินตรงหน้าผมนี้


บ้านไม้ที่ตั้งตระหง่านไปกับสันเขาดึงดูดสายตาผมตั้งแต่แรกเห็น ตัวบ้านฝั่งที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกประกอบด้วยกระจกบานใหญ่จำนวนมาก ตัวบ้านนั้นยกสูงจากพื้นขึ้นมาประมาณสองฟุต พวกเราขึ้นมาสูงจากระดับน้ำทะเลพอสมควร เมื่อผมหันหลังกลับไปจึงได้เห็นท้องทะเลอยู่ลิบๆ บริเวณรอบบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ตระกูลส้ม และพวกดอกไม้หลากสีสัน


ภายนอกที่ทำให้ผมตะลึงได้แล้ว ภายในกลับดูตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่า เมื่อพี่รันเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อกเข้าไป ผมก็เห็นเนื้อไม้ทั้งพื้นและผนังที่มีลวดลายสวยงามชัดเจนขัดจนเป็นเงามันแว้บ แค่เพียงเห็นแวบเดียวผมก็รู้ว่าประเมินค่าไม่ได้แล้ว ผมหันไปมองพี่รันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
‘ว่านี่มันไม้สักไม่ใช่หรือ อย่าบอกนะว่าเจ้าของบ้านลักลอบตัดไม้บนเกาะ...’
“เฮ้ย ไม่ใช่แล้วนิล นี่เขาซื้อมาจากฟาร์มที่เพาะปลูกอย่างถูกกฎหมาย ทำไมนิลถึงคิดไปอย่างงั้นล่ะ” พี่รันขำจนตัวงอ
“อ้าว ก็ใครจะไปรู้ละ ไม้สักทั้งหลังแบบนี้ สักทองเสียด้วย ก็ต้องสงสัยไว้ก่อน”
“ทำอย่างกับถ้าเขาใช้ไม้เถื่อนจริงๆ นิลจะแจ้งตำรวจจับเขาได้งั้นแหละ”
“จับได้ไม่ได้ก็ไม่รู้หรอก แต่นิลไม่อยากทำงานให้พวกทุจริตแน่ๆ”
“คร้าบๆ หนุ่มน้อยที่แสนจริงจัง คิดอะไรเกินวัยระวังแก่ก่อนเวลาอันควรนะ”
“พี่รันสิแก่” เสียงฝีเท้าจากชั้นบนดังมาใกล้ทำให้เราต้องหยุดกัดกันชั่วคราว เสียงดังก๊อก ก๊อก กระทบพื้นไม้ทำให้ผมเดาได้ว่าเจ้าของบ้านน่าจะเป็นผู้หญิง และผมก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวชาวต่างชาติที่สวยมากกกกกกก


สวยขนาดไหนน่ะหรือครับ ถ้าหากฟ้าครามที่มีใบหน้าหวานหยดย้อยเปรียบเสมือนตุ๊กตาพอร์ซเลนชั้นดีละก็ ผู้หญิงตรงหน้าผมคนนี้คงเปรียบเสมือนรูปปั้นวีนัส เดอมิโล ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ (ต่างกันเพียงแค่เธอคนนี้มีแขนทั้งสองข้างครบสมบูรณ์แบบครับ) ใบหน้าที่สวยเลิศล้ำมีเครื่องสำอางค์ฉาบบางๆ เรือนร่างสมส่วนสูงโปร่ง ทรวดทรงองค์เอวมาแบบจัดเต็ม ขนาดผมไม่สนใจเพศหญิงยังเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อกตอนที่เธอเดินเยื้องย่างลงมาด้วยรองเท้าส้นสูง เรือนร่างงดงามราวกับปั้นแต่งนั้นถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงขายาวผ้าพลิ้วๆแบบที่ผู้หญิงเขาชอบใส่กันอ่ะครับ ผมเองแอบคิดในใจว่าขาภายใต้กางเกงสีดำตัวนั้นจะเรียวสวยขนาดไหนกันนะ


“นิล!!” ผมสะดุ้งเฮือกจนกลับมาสู่ความเป็นจริงตัวเบ้อเริ่มที่ยืนทำหน้ายักษ์ใส่ผมอยู่ข้างๆ มือใหญ่หยิกแก้มผมเต็มแรงและกัดผมด้วยคำพูดเบาๆที่ได้ยินกันเพียงสองคน
“ไง สวยมากเลยสินะ มองตาค้างเลยน่ะ” เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นหูแฝงโทสะทำเอาผมขนลุกซู่ ทำได้เพียงยิ้มแหยเท่านั้น
“ฮิฮิ” ฝรั่งสาวหัวเราะแล้วครับ ยิ่งหัวเราะยิ่งสวยขึ้นไปอีก เห็นฟันขาวจั๊วะเรียงกันเป็นระเบียบเวลายิ้มด้วย
“นิล สวัสดีคุณเกรซเสียสิ” พี่รันทำหน้าบึ้ง “เธอพูดไทยได้ ไม่ต้องอ้ำอึ้ง” เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดหาประโยคทักทายฝรั่ง ก็เลยเฉลยให้ทันใจ
“อ่า... สวัสดีครับ ขอโทษที่เผลอจ้องจนเสียมารยาทนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องคงเป็นน้องนิลคนที่รันเขาพามาช่วยงานใช่มั้ย”
“ใช่ครับ” ผมยิ้มกว้าง คนสวย คนสวยยยยยยย ทำอะไรก็สวยไปหมดเลยยยยย


และก่อนที่ผมจะดี๊ด๊าออกหน้าออกตาไปกว่านี้ คุณเกรซก็เชิญให้พวกเราขึ้นไปชั้นบนที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นแต่ก็ยังดีกว่าชั้นล่างที่โล่งโจ้งไม่มีอะไรเลย อย่างน้อยข้างบนยังมีโซฟาให้นั่งคุยงานได้ครับ คุณเกรซแจ้งความประสงค์ของเธอว่าอยากจะให้ตกแต่งแบบที่เรียบหรู แต่ไม่ต้องเว่อร์เกินไป เธอไม่ได้เจาะจงอะไรเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากเรื่องของ ‘ความปลอดโปร่ง’ เธออยากได้พื้นที่ใช้สอยได้มากๆ (เธอบอกว่าตัวเองเป็นพวกบ้าสมบัติครับ) แต่เธอก็อยากได้ความปลอดโปร่งโล่งสบายตาเช่นเดียวกัน


“ไม่มีปัญหา ผมคิดว่าจะเร่งได้ทันวันแต่งงานของคุณแน่ๆ” พี่รันปิดสมุดออแกไนเซอร์ดังฉับ ผมนั่งมองพี่รันตาปริบๆ ตกตะลึงกับความจริงที่โจมตีเข้ามาหมาดๆ
“คุณเกรซต้องการจะใช้ที่นี่เป็นเรือนหอน่ะ เธอกำลังจะแต่งงานกับคู่หมั้นนักธุรกิจที่ทั่งหล่อและก็เหมาะสมกับเธอที่สุด” พี่รันปรายตามองผมด้วยหางตา อุต๊ะ คนแก่หึงครับคู๊ณณณณณ
“แหม คุณรันก็พูดเกินไปค่ะ” คุณเกรซขำกิ๊ก “ตอนนี้คุณรันก็คงจะได้สัมผัสความสุขแบบที่เกรซกำลังรู้สึกอยู่แล้วนี่คะ จริงไหมน้องนิล” เธอหันมายิ้มให้ผม ดวงตาสีมรกตเจิดจ้าเป็นประกายล้อเลียนอยู่ในทีทำเอาผมหน้าร้อนผ่าว เธอคงรู้สินะว่าผมกับพี่รันเป็น... อะไรกัน


เสียงรถยนต์ดังขัดจังหวะการสนทนา ทุกคนหันไปมองด้านนอกโดยอัตโนมัติทั้งๆที่มันมองไม่เห็นลานจอดรถสักหน่อย แต่ดูท่าคุณเกรซจะรู้ดีว่าแขกคนใหม่นั้นเป็นใคร เธอลุกจากโซฟาและขอตัวออกไปรับแขก พี่รันจึงลากลับเลยดีกว่า เพราะว่างานก็คุยเสร็จแล้ว จะอยู่รบกวนเขาต่อก็คงไม่ได้ สุดท้ายพวกเราทั้งหมดจึงเดินลงมาชั้นล่างกันโดยมีคุณเกรซนำหน้า พอดีกับที่ประตูบ้านเปิดออกและร่างสูงผมสีทองเดินเข้ามา


“Pat.” คุณเกรซเธอเรียกชื่อผู้มาเยือนคนใหม่ด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนจะโผเข้าไปกอดกันแน่น ผมเองพอได้มองแขกของคุณเกรซชัดๆก็ตกใจ
“อ้าว” ผมร้อง พอดีกับที่พี่รันร้องว่า “เฮ้ย” และฝรั่งแพทร้องว่า “เฮ้”


ใช่ครับ แขกของคุณเกรซคือฝรั่งแพท...




**สอบคอมพรีเสร็จแล้วววว รอฟังผลลลล ได้แต่งนิยายสักทีค่า :hao5:


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เขาเป็นอะไรกัน พี่น้อง แฟน(อันนี้ไม่น่าใช่)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด