US ≡ เรื่องรัก ♥ ระหว่างเรา [อัพเดทข่าวและตอบเม้นค่ะ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: US ≡ เรื่องรัก ♥ ระหว่างเรา [อัพเดทข่าวและตอบเม้นค่ะ]  (อ่าน 52022 ครั้ง)

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
ชอบเรื่องนี้จัง
 :กอด1:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 11 [หนี]
«ตอบ #61 เมื่อ30-04-2014 12:53:08 »

Chapter 11 [หนี]



คุณเกรซดูประหลาดใจมากพอดูเมื่อได้รู้ว่าผมและพี่รันได้รู้จักกับแพทมาก่อนแล้ว (แต่พี่รันคงไม่อยากรู้จักเท่าไร) พอเธอเห็นว่าพวกเรารู้จักกันก็เลยชวนทานมื้อเย็นด้วยกันเลย ผมมองพี่รันที่ดูอึกอักแต่ปฏิเสธไม่ออกก็แอบขำในใจ ส่วนฝรั่งแพทนั้นดีใจจนออกนอกหน้า ซึ่งนั่นคงเป็นสาเหตุที่พี่รันอยากจะไปให้พ้นจากที่นี่เร็วๆ


“อยู่ทานข้าวด้วยกันนะคะคุณรัน ลำพังเกรซกับน้องชายคงไม่สนุกสนานเท่ามีพวกคุณมาร่วมโต๊ะด้วย เกรซมาเฝ้าบ้านนี้เป็นสัปดาห์คนเดียวแล้ว ไหนๆวันนี้ก็อยู่พร้อมหน้ากันหลายคนก็มาทานข้าวเป็นเพื่อนเกรซหน่อยนะคะ” คุณเกรซพูดอ่อนหวาน พี่รันยิ่งไปต่อไม่เป็นเลยครับ ขนาดพี่รันยังแพ้ลูกอ้อนคนสวยเลยสินะ


“สวัสดีครับนิล” แพทเดินมาทักทายผมที่กำลังเป็นลูกมือคุณเกรซในครัว ผมยิ้มกว้างให้เขาและชมว่าเขาพูดภาษาไทยชัดขึ้นเยอะ

“ตั้งแต่วันนั้นก็ให้เกรซสอนตลอดเลยครับ”

“แพทเขามาบังคับพี่ว่าเวลาคุยกับเขาให้พูดเป็นภาษาไทยทุกครั้ง” คุณเกรซพูดกลั้วหัวเราะ ผมคุยกับทั้งสองคนนานพอที่จะได้รู้ว่าทั้งคู่เป็นลูกคนละแม่กัน คุณเกรซเป็นลูกครึ่ง มีแม่เป็นคนไทย ส่วนแพทเป็นหนุ่มอังกฤษของแท้ไม่มีเลือดต่างชาติเจือปนเพราะแม่ของแพทเป็นหญิงสาวชาวอังกฤษ

“แม่พี่เสียตั้งแต่พี่เด็กๆแล้วค่ะ แด๊ดก็เลยแต่งงานใหม่กับคริสซี่” คริสซี่คือแม่ของแพทครับ

“แล้วพี่เกรซ... เอ่อ... ไม่มีอารมณ์แบบว่าต่อต้าน... แม่ใหม่เหรอครับ? ” ผมรวบรวมความกล้าเพื่อถามแม้จะรู้ว่ามันอาจจะละลาบละล้วงเกินไปหน่อย แต่ผมเองก็อยู่ในสถานะที่คล้ายกับพวกเขา เลยอยากรู้ว่าปกติคนที่พ่อแม่แต่งงานใหม่นี่เขาจะมีไซด์เอ็ฟเฟ็คท์อะไรกันบ้าง อย่างน้อยถ้าพวกเขาโกรธผมจริงๆ ผมก็จะเล่าเรื่องของผมให้เขาฟัง ว่ามันคือสาเหตุที่ผมเสียมารยาทถามเขาในเรื่องแบบนี้

“ไม่หรอกครับนิล แม่รักเกรซกว่าผมเสียอีก เพราะแม่เกรซเสียตั้งแต่เกรซยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำครับ”

“จริงค่ะ พอพี่จำความได้ คริสซี่ก็เป็นเหมือนแม่จริงๆของพี่ไปแล้ว พอมีไอ้ตัวป่วนนี่เข้ามาพี่ก็เลยรู้สึกวุ่นวายกับเด็กทารกจนลืมเรื่องวัยต่อต้านไปเลยล่ะ” ผมมองเกรซขยี้หัวน้องชายตัวเองด้วยสายตาที่เปี่ยมความรักแล้วก็รู้สึกอิจฉา บางทีถ้าผมมีพี่น้องบ้างก็คงดีเหมือนกันนะ


“อ้าว คุณรันต้องการอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงคุณเกรซทำให้ผมหันไปมองทางประตูครัว ซึ่งพี่รันยืนอยู่ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆไม่เข้ากับบรรยากาศห้องครัว คนตัวโตมีสีหน้าแดงระเรื่อ ผมจึงขอตัวออกมาก่อน

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวให้เจ้าเด็กนี่ช่วยก่อนก็ได้” ผมเห็นคุณเกรซยิ้มให้ แต่ผมกลับไม่เห็นแพทหันมามองหรืออะไรเลย เขาหันหลังเงียบเหมือนกับว่าเมื่อกี้เราไม่ได้สนทนากันอย่างสนุกสนานด้วยซ้ำ


“พี่รันเป็นอะไรครับ” ผมเดินตามร่างสูงที่เดินออกมานั่งอยู่ที่ระเบียงบ้าน ควันบุหรี่ที่ผมเห็นจากด้านหลังทำให้ผระหลาดใจไม่น้อย เพราะว่าผมไม่เคยเห็นพี่รันสูบบุหรี่มาก่อนเลย

“...” ผมแตะบ่ากว้างนั้นเบาๆ เขาหันมามองผมด้วยคิ้วขมวดมุ่น และพูดเสียงนิ่ง “พี่อยากกลับบ้าน”

“ทำไมครับ เป็นอะไรเนี่ย” ผมส่งยิ้มให้ลูกครึ่งของผมบ้าง คนอะไรขนาดงอแงยังหล่อลาก

“พี่ไม่ชอบ... ให้นิลอยู่ใกล้ไอ้แพททริค”

“หึงนิลสินะ” ผมหัวเราะคิก

“อย่ามาหัวเราะพี่นะ ฮึ้ยยยย เดี๋ยวจะโดนทำโทษ” พี่รันขยี้บุหรี่กับที่เขี่ยและดึงผมเข้าไปกอดแน่น

“อื้ม เดี๋ยวใครมาเห็นนะ” ผมเอามือดันอกพี่รันออกแต่ก็แพ้แรง

“ช่าง” เจ้าตัวพูดเหมือนไม่แคร์อะไรในโลกก่อนจะลงมือจูบผมเบาๆที่แก้ม ไล่ไปจนถึงคางและไหปลาร้า ผมชาวาบเมื่อรับรู้ถึงริมฝีปากอุ่นที่กำลังรุกล้ำร่างกาย กลิ่นควันบุหรี่จางๆดูอันตรายและเย้ายวนในคราเดียวกัน ผมเฝ้าสนใจแต่สิ่งตรงหน้าโดยไม่รับรู้ถึงเงาของร่างสูงอีกคนที่กำลังยืนมองจากมุมหนึ่งในบ้าน


อาหารเย็นมื้อนั้นอร่อยมากครับ คุณเกรซฝีมือทำอาหารไม่ใช่เล่นๆเลย  แถมการที่พี่รันอารมณ์ดี(จากการลวนลามผม)ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าอาหารอร่อยขึ้นไปอีก แต่ผู้ร่วมโต๊ะอีกคนกลับเอาแต่เงียบ ผมเองอยากจะชวนแพทคุยใจจะขาดแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวคุณชายของขึ้นอีก ยิ่งเห็นสีหน้าเรียบเฉยของแพทผมยิ่งรู้สึกกังวลใจบอกไม่ถูก จนผมเองยังเผลอหงุดหงิดว่าจะเป็นบ้าอะไรนักหนากับคนที่เพิ่งรู้จักกันก็ไม่รู้


“คุณรันคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวน เดี๋ยวเกรซขอคุยงานกับคุณรันอีกนิดได้มั้ยคะ พอดีเพิ่งนึกอะไรได้ก็เลยอยากรีบบอกก่อน เดี๋ยวจะลืม” ครับ และนั่นคือสาเหตุที่ผมต้องมายืนล้างจานเงียบๆกับมนุษย์รูปปั้นน้ำแข็งสองต่อสองโดยมีสายตาระแวงของพี่รันมองส่งมาก่อนเจ้าตัวจะหายไปที่ห้องรับแขก


“เอ่อ... คุณแพทเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมดูเครียดๆ” ผมตัดสินใจเริ่มบทสนทนา จานห่านี่ก็เยอะจังวะ เหมือนตอนกินมันยังไม่เยอะขนาดนี้เลยนี่นา ถ้าผมต้องอยู่ในบรรยากาศกดดันแบบนี้อีกสักพักผมต้องกรี๊ดแน่เลย

“Nothing.” ฝรั่งตอบผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นการบอกทางอ้อมว่าเขาไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้นก็เลยสงบปากตัวเองเสียและก้มหน้าล้างจานจนเสร็จ


จนผมล้างจานเรียบร้อยแล้วพี่รันก็ยังคุยไม่เสร็จ ผมเลยบอกลาแพทและจะเดินออกไปหาพี่รัน


ผมทำได้แค่ ‘จะเดิน’ ครับ เพราะผมถูกฝรั่งแพทรั้งเอาไว้ มือใหญ่นั้นกำข้อมือผมแน่นยังกับคีมเหล็ก ผมหันไปมองใบหน้าหล่อเหลานั้นแบบหวั่นใจนิดๆ ทำไมต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นด้วย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมตัดสินใจถามเมื่อเห็นฝรั่งแพทยังคงเงียบทั้งๆที่จับมือผมแน่นขนาดนั้น เสียงหวอเตือนภัยในหัวดังสนั่นเลยครับ จมูกโด่งนั่นขยับเข้ามาใกล้ผมและกดหนักลงข้างแก้ม ลมหายใจของแพทสูดดมกลิ่นจากแก้มของผมอย่างแรง ผมอ้าปากค้างเป็นตุ๊กตาเสียกบาล หน้าร้อนวาบยิ่งกว่าครั้งไหนๆ และเมื่อริมฝีปากร้อนนั่นประทับเอาลมหายใจของผมออกไปก็ทำให้ความตั้งใจที่จะผลักเขาออกเปลี่ยนเป็นยึดเกาะอกกว้างนั่นเอาไว้แทน

มือใหญ่ข้างหนึ่งของแพทกดท้ายทอยของผมและอีกข้างหนึ่งก็รั้งเอวผมให้มาแนบชิดกับร่างกายของเขามากยิ่งขึ้น แพทดันตัวผมให้ถอยหลังไปจนชิดกับซิงค์ ลำแขนแข็งแรงตวัดสะโพกผมให้ขึ้นนั่งบนเคาเตอร์และรุกไล่จูบดุดันยิ่งกว่าเดิม สมองผมอื้ออึงไปหมด เรี่ยวแรงหดหายได้แต่โอนอ่อนไปตามแรงชักนำของเขา และเมื่อผมรู้สึกตัวอีกทีเขาก็จากไปแล้ว

“นิล เป็นอะไรครับ ทำไมไปนั่งบนเคาเตอร์อย่างนั้นละ” ผมสะดุ้งเมื่อเห็นคนที่ผมไม่อยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ความรู้สึกผิดแล่นวาบจากหัวจรดปลายเท้า ผมรีบกลบเกลื่อนความรู้สึกเมื่อครู่นี้ให้มิดชิดแล้วส่งยิ้มให้พี่รัน

“ก็นั่งรอพี่น่ะแหละ”

“อืม... อยู่คนเดียวเหรอครับ”

“ครับ คุณแพทล้างจานเสร็จก็ขึ้นไปข้างบนแล้ว”

“อือฮึ ปะ กลับไปนอนกันดีกว่า” ผมลงจากเคาเตอร์และจับมือคนตรงหน้าที่ยื่นมาใกล้ พวกเราบอกลาคุณเกรซและเดินทางไปยังโรงแรมที่พี่รันจองเอาไว้ ส่วนคนอีกคนนั้น ผมไม่เจอเขาจนกระทั่งพี่รันเสร็จงานที่บ้านคุณเกรซบทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป แถมยังทิ้งความรู้สึกปั่นป่วนนี้เอาไว้ให้ผมเสียอีก...


 


▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂


มาแปะก่อนจึ๋งนึง  :o8:


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :katai1: นี่มันอะไรกัน นิลจ้านิลอย่ามาหวั่นไหวง่ายๆน่ะ

ออฟไลน์ EverGreen™

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-1
อ้าวเห้ย
อะไรเนี่ย
ทำไมนิลหวั่นไหวง่ายจัง
 :katai1:

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
นิลอย่าเคลิ้มสิคร้าบบบบ :katai1:

ออฟไลน์ @rnon

  • ร่มเย็นเป็นสุข
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o22

นิลอ่ะ หวั่นไหวทำม้าย... เคืองอ่ะ

สงสารพี่รันมั่งจิ

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 11 [หนี] Part 2
«ตอบ #66 เมื่อ02-05-2014 12:05:14 »

-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-



“พูดเป็นเล่นน่าฟ้า เราไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย”

‘ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร จะโวยวายทำไมเนียะ’

ผมขมวดคิ้วใส่เสียงหวานที่แหวมาตามสาย หลังจากงานที่บ้านคุณเกรซเสร็จสมบูรณ์ผมก็แจ้นกลับกรุงเทพมาก่อนเลย พี่รันเองพอไม่ได้เห็นหน้าคุณแพทอีกหลังจากวันนั้นก็ดูอารมณ์ดี งานก็ออกมาดีทำเอาคุณเกรซพอใจมาก ส่วนตัวผมนอกจากประสบการณ์ทำงานจริงที่พี่รันถาโถมมาใส่ผมแล้ว ผมก็ไม่มีเรื่องอะไรให้น่าจดจำไปมากกว่าเรื่องคุณแพท ใจผมมันว้าวุ่นมากจนต้องโทรไปเล่าสารทุกข์สุขห่ามให้เพื่อนสาวที่ปลีกวิเวกอยู่ต่างจังหวัดได้ฟัง


“ขอโทษ ไม่ได้อยากจะโวยวายหรอก แต่มันวุ่นวายใจไงไม่รู้” ผมอยากจะถอนประโยคนั้นกลับคืนมาเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากต้นสาย

‘วุ่นวายใจเหมือนตอนไม่ได้เจอพี่รันนานๆหรือเปล่าจ๊ะ’ คำพูดของยัยฟ้าทำเอาผมประสาทแดก ใบ้กิน พูดอะไรไม่ออก เสียงหวานพูดฮัลโหลซ้ำอยู่หลายรอบจนผมกดวางโทรศัพท์แบบมึนงง เสียงไลน์เด้งรัวๆเป็นข้อความของยัยฟ้าส่งมายังกับปืนกล ผมอ่านจากหน้าจอ แต่ไม่ได้กดเข้าไปอ่านข้างใน คำพูดแต่ละคำของหล่อนทำให้ผมอยากฆ่าเพื่อนตัวเองทิ้ง


                 SkyHigh - พ่อวันทอง~~~~
                 SkyHigh - คนนั้นก้อดีคนนี้ก้อหล่อ เลือกยากเลยสิน้า
                 MINA - ยัยบ้า บ้า บ้า บ้า บ้า บ้า
                 SkyHigh - 5555555555555555+


และพอผมปิดเน็ตโทรศัพทืแล้วก็มีสายเข้าพอดี คุณเคยเป็นไหมครับ แบบว่าเรากำลังทำอะไรอยู่กับโทรศัพท์เรา แล้วมีคนโทรเข้ามาขัดจังหวะพอดี มือมันจะกดรับอย่างไวโดยอัตโนมัติเลยอะครับ T^T

“ฮัลโหล” ผมรับสาย แต่อีกฝั่งหนึ่งเงียบไปนาน จนผมกำลังจะวางนั่นแหละอีกฝั่งถึงได้พูดขึ้นมา

‘นิล...ใช่มั้ยครับ...’


คุณพระ.... เอ้ย คุณแพท


ผมชะงักทันควัน เสียงที่ตอบกลับมานั้นผมมั่นใจว่าต้องเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใครแน่ๆ แล้วผมควรทำยังไงดี
ก.ตอบกลับ
ข.เงียบ และวางสาย+ปิดเครื่องไปเลย


การตัดสินใจของผมคงจะดูชักช้าเกินไป เขาถึงได้พูดต่อ


‘นิลคงโกรธผม...’

“เปล่าครับ..” เสียงของผมเบาหวิวมากจนคิดว่าเขาคงไม่ได้ยิน แต่แล้วเสียงหัวเราะเบาๆก็ดังขึ้น

‘หึหึ ต่อให้นิลโกรธ ผมก็ไม่ขอโทษหรอก เพราะผมอยากทำ’ ฮึ้ยยยยยยยยยยยยย ไอ้ฝรั่งบ้าหน้าด้านนนนน

“...” ผมนิ่ง แม้ในใจอยากจะตะโกนด่าแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ผมคิดว่าการรักษาระยะห่างในตอนนี้จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากถามเขา... ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น...

‘ผมชอบนิล ถึงได้จูบ’ ผมช็อก! ฝรั่งอ่านใจได้? ‘ผมขอเบอร์นิลจากวัฒน์ วันนี้ผมอยากจะโทรมาคุยเรื่องจูบวันนั้น’
ฝรั่งเล่นลูกตรงจนผมหน้าแดง คำว่า ‘จูบวันนั้น’ เป็นคีย์เวิร์ดต้องห้ามในตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้ไม่พูดถึงมันเลยจะดีที่สุด

“เอ่อ... ช่างมันเถอะ ผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว” ผมตัดสินใจว่า ให้คิดเสียว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเกลียดการกระทำของพี่เล ดังนั้นผมจะไม่ยอมนอกใจแฟนตัวเองเด็ดขาด

‘แต่ผมติดใจ’


‘ผมอยากทำมากกว่าจูบ อยากเป็นมากกว่าแค่คนรู้จัก’


ผมช็อก


รอบที่สอง


‘ผมรู้ว่านิลคบกับผู้ชายคนนั้นอยู่ แต่ผมชอบนิล ผมไม่สนใจหรอก’



‘ผมไม่สนใจหรอก’




‘ผมไม่สนใจหรอก’




‘ผมไม่สนใจหรอก’




‘ผมไม่สนใจหรอก’




‘ผมไม่สนใจหรอก’



ประโยคเด็ดก้องอยู่ในหัวผมแม้ผมจะตัดบทการสนทนานั้นลงไปแล้ว หายนะบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ตุ๊ดวันทองอย่างผมกำลังจะถูกสามีเอกฆ่าทิ้งสักวันหนึ่งเป็นแน่แท้ถ้าไม่ทำอะไรให้ชัดเจนลงไปสักอย่าง แต่ถ้าถามผมตามความรู้สึกจริงก็แอบดีใจนิดนึงอะนะที่ตอนนี้เนื้อหอมถึงขั้นมีหนุ่มหล่อสองคนมารุมชอบ แต่มันต้องไม่ใช่ในสถานการณ์ที่ผมตกลงคบกับหนึ่งในนั้นไปแล้วสิโว้ยยยยย




“นิลเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูท่าทางพิกล”

“เอ๊ะ เปล่านี่” ผมชะงักมือที่กำลังคีบเส้นบะหมี่ปูเจ้าโปรดเข้าปาก พยายามสบตาพี่รันด้วยท่าทีใสซื่อสุดชีวิต

“มีอะไรเครียดก็บอกพี่ได้นะ ไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวรู้มั้ย?” พี่รันลูบหัวผมเบาๆ ผมมองหน้าเขาด้วยความซาบซึ้งใจ ทำไมพี่รันต้องดีกับผมขนาดนี้นะ

“หือ? อ้อนทำไมกัน” น้ำเสียงทุ้มที่ผมชอบฟังเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ผมวางจานบะหมี่แล้วปีนขึ้นไปนั่งตักพี่รัน ซุกหน้ากับซอกคออุ่นนิ่ง ผมชอบกลิ่นพี่รัน กลิ่นหอมเย็นที่ทำให้ผมสงบใจได้ หากแพทเป็นเหมือนพระเพลิงที่เผาผลาญจนผมมอดไหม้ พี่รันก็คงเป็นเหมือนธาราที่ไหลเย็น ชโลมให้ใจผมชุ่มฉ่ำ

“นิลรักพี่รัน”

ประโยคสำคัญที่ผมไม่ค่อยได้พูดถึงมันบ่อยนัก เพราะผมรู้...ว่าพี่รันก็รู้ว่าผมรักเขา คำรักที่พร่ำบอกโดยไม่ออกมาจากใจ ไหนจะเท่าการกระทำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรักแม้ไม่ได้พูดออกมา

“เราสองคน... คบกันมา ก็จะหนึ่งปีแล้วนะ” ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของพี่รัน เจ้าตัวหอมหัวผมฟอดใหญ่ และพูดต่อว่า “พี่ก็ทนมาตั้งนานแล้ว”

“...พี่... จะพูดอะไรครับ...” ผมถอยออกมาประจันหน้ากับพี่รัน แต่เจ้าตัวรั้งเอวผมไว้ไม่ให้ลงจากตักเขา

“พี่อดทนเพราะอยากถนอมน้ำใจนิลของพี่ แต่ดูท่าอัญมณีเม็ดงามของพี่กำลังจะกลายเป็นสัมปทานอังกฤษ” น้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่เนื้อหาของประโยคที่ทำเอาผมแทบเต้น พี่รันมองหน้าผมแล้วหยักยิ้มร้ายกาจ ผมขอถอนคำพูดว่าพี่รันเหมือนน้ำใสไหลเย็นทันทีเลยครับ ตอนนี้น้ำใสไหลเย็นกลายเป็นลาวาแล้ว!!!!!!!


“พี่รันพูดอะไร” ไม่ได้ๆ ผมพยายามระงับสติ จะกระโดกกระดากออกไปไม่ได้เด็ดขาด คนที่ไหนจะทนได้ถ้ารู้ว่าแฟนตัวเองแอบมีใจให้คนอื่นแบบพ้มมมมม!!

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องกับพี่นะนิล” พี่รันบีบคางผมแน่น ดวงตาสีอ่อนนั้นดูกร้าวจนผมหวั่นใจ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมเคยเห็นแต่ภาพพี่รันที่ยิ้มแย้มอ่อนโยนอยู่เสมอ ใบหน้าหล่อเหลาดูแข็งเกร็งเขม็งเครียดมากถึงมากที่สุด ไม่ว่าผมจะเลือกทางไหนก็มีแต่ตายกับตาย เอาวะ! ลูกผู้ชายถึงตายก็ต้องมีศักดิ์ศรี!!

“แต่มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น...” ผมตอบเสียงอ่อย ก็จริงปะละ ไม่ได้สานสัมพันธ์อะไรต่อสักหน่อย (ถ้าไม่นับสายโทรเข้าเมื่อบ่ายน่ะนะ)
“เมื่อวันนั้น วันที่ไปคุยงานบ้านคุณเกรซ คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอว่ามีอะไรเกิดขึ้น ถึงพี่จะไม่เห็นแต่พี่ไม่ได้โง่นะนิล!” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ข้อเท็จจริงจากปากพี่รันทำให้ผมหน้าเสีย

“ปากแดงช้ำ เสื้อผ้ายับเยิน... สภาพแบบนั้นคิดว่าพี่เดาไม่ออกหรือไง!”

“แต่พี่ก็เลือกที่จะไม่พูด ไม่ถาม เพราะพี่เชื่อใจนิล แล้วเป็นไง! นิลก็ยังคิดถึงมันอยู่!!” พี่รันตะคอกใส่ผมก่อนจะกดจูบอย่างดุดันรุนแรง เขาบดขยี้โดยไม่สนใจว่าริมฝีปากผมจะช้ำหรือไม่ ฟันคมขบเม้มจนผมรู้สึกได้ถึงคาวเลือดภายในปาก พี่รันดันผมจนหลังติดโซฟาและเขาก็ทาบทับตามลงมาอย่างไม่ปรานีปราศัย ผมเริ่มใจเสียกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ไม่อยากให้พี่รันเสียใจแบบนี้เลย...



ปิ๊งป่อง~


พี่รันผละจากริมฝีปากผม ผมมองใบหน้าอ่อนโยนที่จ้องมองผมอย่างดุดันลุกไปที่ประตูหน้า ผมยันกายขึ้นนั่งและจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย น้ำตาอุ่นๆมันอยากจะไหลลงมาเต็มที่ แต่ผมก็พยายามระงับไว้ เสียงพูดคุยที่หน้าประตูดังขัดจังหวะความคิด เสียงปิดประตูดังสนั่นจนผมหันไปมอง และได้พบกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ



“นิล...” แพทครางเมื่อเห็นสภาพผม “What dafuq? What are you doing with him!!!” แพทหันไปตะคอกใส่พี่รันแล้วตรงรี่เข้ามาหาผม

“เป็นอะไรหรือเปล่า มันทำรุนแรงกับนิลเหรอ” ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพอีรอสกระซิบถามอย่างแผ่วเบา เขาประคองแก้มผมไว้และเอามือปาดน้ำตาที่หยดลงมาให้ผม

“พี่รัน...” ผมเรียก เขามองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก รอยยิ้มเย็นชานั่นไม่ควรจะมาจากใบหน้าพี่รันเลยสักนิด

“เอาสินิล เลือกเอา” เขาพูด

“มะ... หมายความว่ายังไง...”

“ก็พี่ให้เลือกไง ว่าจะเลือกใคร”

“ผมคุยกับมันแล้ว ผมบอกมันว่าผมชอบนิล และนิลก็ชอบผมเหมือนกัน” แพทเอียงคอ “ไม่ใช่หรือ?”
ผมนิ่ง เขาสองคนไปคุยกันตอนไหน พี่รันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่รับรู้อยู่ตลอดเนี่ยนะ แล้วยังแพททริคที่ช่างแสนเอาแต่ใจ พวกเขาคงนึกอยากทำอะไรก็ทำ อยากปิดบังอะไรก็ได้สินะ...


ซึ่งผมเองก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน...


ผมเลือกที่จะแอบแบ่งใจให้คนที่เพิ่งรู้จักไม่นานเท่าไร (ไม่นับตั้งแต่ที่ผมเจอแพททริคที่งานแต่งแม่แล้วนะ) อันที่จริงต้นเหตุมันเริ่มมาจากผมเองแท้ๆ ถ้าหากผมมั่นคง หากผมไม่หวั่นไหว หากผมไม่ใจง่ายมันคงไม่เป็นแบบนี้

“อย่าร้องไห้” ริมฝีปากอ่อนนุ่มแตะกับกลีบปากผมแผ่วเบาโดยไม่ทันตั้งตัว และเจ้าของจูบนั้นก็โดนกระชากวูบจากด้านหลังตามด้วยเสียงดังพลั่ก เสียงพี่รันตะโกนด่าแพททริคเป็นภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อจนผมฟังไม่ออก แพททริคใช้หลังมือเช็ดเลือดที่มุมปากและต่อยพี่รันกลับไปที่ท้อง ทั้งสองคนแลกหมัดกันท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผม การแลกหมัดของผู้ชายร่างกายสูงใหญ่ทั้งสองคนมันดูหนักหน่วงและรุนแรงจนน่ากลัว รอยช้ำเลือดเริ่มปรากฎบนใบหน้าของทั้งสองลางๆ จนผมทนไม่ไหวจึงตะโกนสุดเสียง


“พอได้แล้ว!!!!”


ได้ผล ทั้งคู่หยุดชกกันและหันมามองผม ผมคว้ากระเป๋าเงินบนโต๊ะได้ก็วิ่งพรวดพราดออกมาโดยไม่ใส่รองเท้า ประตูลิฟต์เปิดอ้าเพราะเพิ่งมีคนออกมาหมาดๆ ผมวิ่งเข้าไปและกดปุ่มปิดย้ำๆ หางตาเห็นแพทวิ่งนำหน้าออกมา ตามหลังด้วยพี่รัน ทั้งคู่มีสีหน้าตื่นตกใจ แพทพยายามยื่นมือเข้ามาขวางประตูลิฟท์แต่มันก็ปิดลงเสียก่อน
   
‘เฮ้อ’ ผมถอนหายใจ ไม่ได้หยิบอะไรออกมานอกจากกระเป๋าเงิน ลองแง้มดูเห็นมีอยู่พันกว่าบาท พอลงมาถึงข้างล่างผมก็ขึ้นแท็กซี่ทันที และบอกกับแท็กซี่ว่าให้ไปส่งที่หมอชิตใหม่

ผมมองไปรอบๆ ไม่เคยมาที่นี่มานานมากกกกกกกก แถมที่นี่ก็ไกลจากม.ผมมากกกก ผมเดินเข้าไปซื้อรองเท้าแตะใน 7-11 และหาเศษเหรียญไปหยอดตู้โทรศัพท์ ในใจก็ภาวนาให้เจ้าของเครื่องรับทีเถอะ

‘สวัสดีค่ะ’ เสียงใสรับโทรศัพท์อย่างสุภาพ คงเพราะว่าเป็นเบอร์แปลกสินะ

“เราเอง”

‘หือ? นิลเหรอ เอาเบอร์ที่ไหนโทรมาเนี่ย’

“เบอร์ตู้น่ะ แต่เดี๋ยวค่อยคุยนะ ฟ้าบอกเรามาก่อนว่าบ้านคุณยายของฟ้าอยู่ที่ไหนนะ” ผมถาม

‘กาญฯไง บอกตั้งหลายครั้งละไม่เคยจำ’ เธอบ่น ‘ว่าแต่จะมาหาเราเหรอ’

“อืม” แล้วผมก็เงียบ ยัยฟ้าก็เงียบ ผมได้ยินเสียงนางถอนหายใจแล้วพึมพำว่าคงทะเลาะกันอะไรสักอย่าง ก็เลยเฉลยให้

“ใช่ เราทะเลาะกับพี่รัน เรื่องใหญ่ด้วย ถ้าเราไปถึงแล้วจะเล่าให้ฟัง”

‘เฮ้อ เอาเถอะๆ’ ยัยฟ้าถอนหายใจอีกรอบ แบบที่ฟังดูก็รู้ว่าคงเครียดแทนผม นางบอกให้ผมซื้อตั๋วไปลงสถานที่หนึ่งในอำเภอแถวบ้านนาง และให้ผมโทรบอกเวลาถึงที่โน่น นางจะไปรอรับ


ผมหลับๆตื่นๆอยู่บนรถทัวร์ประมาณสี่ชั่วโมงน่าจะได้ ตอนนี้เกือบสองทุ่มแล้ว ผมถามพนักงานประจำรถและเขาก็บอกกับผมว่าอีกประมาณ 2 กิโลเมตรผมจะต้องลงแล้ว ผมเดินมายืนรอตรงทางขึ้น-ลงรถทัวร์ บรรยากาศข้างนอกเงียบสงัด ตรงที่ผมลงรถนี้มีเพียงศาลาริมทางและคิวบ์คันหนึ่งจอดอยู่ พอผมลงจากรถทัวร์ คนขับคิวบ์คันนั้นก็ลงมาจากรถและส่งยิ้มมาให้ผม

“เป็นไง เหนื่อยมั้ย” ฟ้าครามมองสำรวจผมหัวจรดเท้า “รีบจัดสิท่า กระปงกระเป๋าไม่มีมาเลย”

“เรื่องมันยาวสุดๆ” ผมยักคิ้ว ยัยฟ้าหัวเราะกิ๊ก

“เอ้านิก ลงมาไหว้พี่นิลเขาก่อนเร็ว” ยัยฟ้าเรียกให้หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่วัยไม่น่าจะเกิน 12 ปีลงมาจากรถ ผมรับไหว้เด็กท่าทางซื่อๆ ประสาคนตจว.ก่อนจะทยอยกันขึ้นรถ

“คุณยายให้พานิกมาเป็นเพื่อนด้วย ท่านเห็นว่ามืดแล้วคงกลัวหลานสาวจะไปทำอะไรใครเข้า” ยัยฟ้าพูดให้ขำ แต่ผมไม่ขำ ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองทำให้เพื่อนต้องวุ่นวายไปด้วย

“นิล ตัวเองไม่ต้องทำหน้าเครียดเลยนะ ถ้านิลไม่ลำบากจนหมดหนทางจริงๆคงไม่มาหาเราหรอก เราก็น้อยใจเหมือนกันแหละ” ยัยฟ้าทำปากยู่ ผมหมั่นเขี้ยวก็เลยเอามือลูบปากนางไปหนึ่งที เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดได้ลั่นรถเลย ยัยฟ้าขับมาประมาณ 15 นาทีซึ่งตลอดทางมีแต่ความมืด มืด และมืด สองข้างทางมีต้นไม้ขึ้นรถครึ้มและผมแทบไม่เห็นบ้านคน จนกระทั่งยัยฟ้าจอดรถที่หน้ารั้วซึ่งเปิดได้อัตโนมัติเมื่อกดรีโมท ภายในขอบเขตรั้วมีไฟสว่างเป็นระยะ ผมมองเห็นต้นไม้ดอกไม้ปลูกเรียงรายในความมืด และแล้วบ้านทรงไทยหลังใหญ่ก็ปรากฎแก่สายตาผม


ผมชื่นชมในสถาปัตยกรรมของบ้านหลังนี้เป็นอย่างมาก บ้านทรงไทยผสมยุโรปของคุณตาคุณยายที่ยัยฟ้าบอกว่ามีอายุมากกว่าคุณยายของนางเสียอีก ลวดลายส่วนใหญ่ของเรือนเป็นลายเครือเถา หรือที่คุ้นหูกันว่าเรือนขนมปังขิงนั่นเอง ฟ้าครามพาผมเดินขึ้นบันไดบ้าน และได้พบคุณยายของนางที่นั่งรออยู่แล้ว และหญิงชราคนตรงหน้าผมนี้เป็นคำตอบให้กับผมว่านัยน์ตาสีเทาอ่อนของนาง
ได้มาจากใคร คุณยายของนางเป็นชาวต่างชาติครับ ครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้เห็นแหม่มผมทองในบ้านทรงไทย!!!!

“ยินดีต้อนรับจ้ะ” ใบหน้าชราที่ยังคงเค้าความสง่างามในวัยสาวกล่าวต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม ผมทรุดตัวลงนั่งที่เบื้องหน้าท่านและก้มลงกราบ รู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นลูบศีรษะด้วยความเมตตา ถ้าหากว่าผมยังมียายมีย่าให้ได้เคารพนับถือก็คงจะมีอายุไล่เลี่ยกับคุณยายของยัยฟ้า

“ผมมาขอรบกวนครับคุณยาย”

“ตามสบายเถอะลูก ชื่อนิลใช่มั้ยล่ะเราน่ะ” คำพูดทุกคำของคุณยายชัดเปรี๊ยะแบบคนไทย แถมยังแฝงความอ่อนหวานในน้ำคำแบบสาวไทยสมัยก่อนไม่มีผิด

“ครับ”

“เรื่องไม่สบายอกไม่สบายใจก็เอาทิ้งไว้ที่กรุงเทพนะลูกนะ มาอยู่กับยายแล้วก็ทำใจให้สบาย จะพักอยู่นานเท่าไรก็ได้ คิดเสียว่ายายก็เป็นยายของนิลเถอะนะ”

“ขอบคุณคุณยายที่เมตตานิลนะครับ” ผมกราบขอบคุณอีกครั้ง คุณยายจับมือผมเอาไว้แล้วบอกให้ไปพักผ่อน


“เดี๋ยวเราจะพาไปที่ห้องนอนนะ ให้เด็กมาจัดห้องรอไว้ตั้งแต่ตอนที่นิลโทรมาละ” ยัยฟ้าเดินนำผมไปที่ด้านในของเรือนและหยุดลงที่หน้าประตูบานเฟี้ยม 4 บานติดกัน นางเปิด 2 บานตรงกลางออกจากกันแล้วเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป ภายในห้องมีเพียงตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และเตียงใหญ่หนึ่งหลัง หน้าต่างเปิดกว้างทำให้ลมพัดโกรกเข้ามาเย็นสบายมากครับ และเครื่องเรือนทั้งสามชิ้นในห้องนี้ล้วนแต่เป็นแบบโบราณทั้งสิ้น แม้จะดูเก่าแต่ก็ผ่านการเช็ดถูมาอย่างดี อ้อ! มุมห้องมีพัดลมโบราณตั้งไว้อีกหนึ่งตัว

“ที่นี่ไม่มีแอร์นะ เพราะว่าอากาศไม่ร้อน” นางทรุดตัวนั่งลงบนเตียงผม

“เราไม่ได้ลูกคุณหนูขนาดนั้น” ผมล้วงกระเป๋าเงินออกจากกางเกงวางลงบนเตียง “ถ้าพี่รันโทรมาหาฟ้า ฟ้าอย่าบอกนะว่าเราอยู่กับฟ้า”

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนิล” นางส่ายหัว “ทุกคนจะเป็นห่วงวุ่นวายกันไปหมด”

“เอาเป็นว่าเราจะไม่บอกว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน และจะบอกให้พี่นิลวางใจไม่ต้องห่วง ขอเวลาให้นิลได้อยู่เงียบๆคนเดียวดีมั้ย?”

“ขอบใจนะ” ผมยิ้ม และเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังหลังจากตกลงกันได้แล้ว น่าแปลกที่ตอนแรกผมตั้งใจจะเล่าแค่พอกระชับ แต่เมื่อเอาเข้าจริงถ้อยคำต่างๆกลับพรั่งพรูเหมือนน้ำไหล ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้สึกในใจของผม สิ่งที่ผมต้องการ ทั้งหมดทั้งมวลกินเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงโดยมีเพื่อนสนิทของผมจับมือผมและนั่งฟังอย่างสงบนิ่ง


“ฟ้ารู้ไหม ตลอดทางสี่ชั่วโมงที่เรานั่งรถทัวร์มาเนี่ย เราถามตัวเองอยู่ตลอดเลยนะ ว่าเราควรจะเลือกใคร ถามว่าเรารักพี่รันมั้ย เราก็รัก ถามว่ากับคุณแพทล่ะ มันก็เป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก เราพยายามจะตัดสินใจลงไปสักทางหนึ่งแต่มันก็ทำไมได้ ถ้าเราตัดสินใจเลือกพี่รัน เราก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้คุณแพทต้องเสียใจ แต่ถ้าเราเลือกคุณแพท มันก็เหมือนทำลายความรักความผูกพันระหว่างเรากับพี่รันลง เราได้แต่คิดวนไปเวียนมาอยู่แบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนเหมือนเดินในเขาวงกตที่หาทางออกไม่เจอ เรารู้สึกว่าเราเลวเหลือเกิน คนโลเลเห็นแก่ตัวอย่างเรา เราไม่อยากจะคิดเลยเราทำให้คนสองคนเสียใจขนาดไหน” ผมพรั่งพรูคำพูดในใจออกมาจนหมดแล้วก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือเพื่อซับน้ำตาอุ่นๆที่มันไหลออกมา


“ทางเลือกมันมีแค่สามทางเท่านั้นเองนะฟ้า ทางที่หนึ่งคือเลือกพี่นิล ทางที่สองคือเลือกคุณแพท และทางที่สาม...”


“คือเราเป็นฝ่ายจากไปจากทั้งสองคนเอง”


“เราเคยผิดหวังเพราะถูกทรยศจากคนรัก เราเข้าใจดีว่าการถูกทรยศมันเจ็บปวดแค่ไหน และเราก็ไม่อยากทำสันดานแบบนั้น เพราะงั้นเราคิดว่าทางเลือกที่สามคงเป็นทางที่ดีที่สุด” ผมจ้องมองนัยน์ตาสีเทาของเพื่อนที่เต็มไปด้วยแววโศกเศร้าไม่แพ้ผม เธอดึงผมเข้าไปกอดและปลอบโยนราวกับผมเป็นเด็กตัวเล็กๆ

“โธ่นิล... ฟ้าไม่รู้จะช่วยอะไรนิลได้มากกว่านี้จริงๆ...”

 


▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂



ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ IRIS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
สงสารพี่รันมากอ่ะ ความรักที่ทุ่มไปได้กลับมาคือการนอกใจ มันน่าเจ็บใจนะที่นิลแคร์ความรู้สึกพี่รันพอๆกับคนที่เพิ่งมาใหม่ ตลกว่ะแล้วบอกว่ารักพี่รัน ไม่จริงหรอก
ปล.ที่ทำนี่ยิ่งกว่าไอ้พี่เลอีกนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
ทำไมเราอ่านแล้วเกลียดนิลเป็นสิบเท่า
เพราะนิลเคยมีอดีตแบบนี้แล้วยังสะเออะทำตัวต่ำๆแบบนี้อีก
เราก็ไม่รู้จะพูดอะไร มันเสียความรู้สึกว่ะ   :katai1:

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 12 [ความในใจของคนโง่]
«ตอบ #71 เมื่อ14-05-2014 11:19:04 »

Chapter 12 [ความในใจของคนโง่]






“ตื่นแล้วหรือลูก” คุณยายทักเมื่อเห็นผมและยัยฟ้าเดินออกมาจากในเรือนพร้อมกัน “ไป ไปตักบาตรกับยายกัน” คุณยายว่าแล้วก็เดินนำลงเรือนไป โดยมีเด็กนิกหิ้วสำรับสำหรับตักบาตรตามหลังต้อยๆ


พวกเรายืนรอกันสักพักพระท่านก็มาบิณฑบาต ผมเองที่ไม่ค่อยได้ทำบุญตักบาตรสักเท่าไรก็ต้องแอบลอกยัยฟ้า ยัยนี่เขาเป็นหลานยายตัวจริงเลยครับ เรื่องอะไรที่วัยรุ่นยุคใหม่ไม่คุ้นชิน แต่ยัยฟ้าสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ จะจับทัพพีตักข้าวใส่บาตร ไหว้พระ กรวดน้ำ นางทำได้คล่องแคล่วเสมือนเป็นมาตั้งแต่เกิด


“นิลก็เว่อร์ไป เราแค่ทำบ่อย มันก็ชินไปเอง” ฟ้าครามพูดกลั้วหัวเราะตอนที่ผมเอ่ยปากชม
“แต่เราทำไม่ได้นะ”
“ก็นิลไม่ค่อยได้ตักบาตรละสิ ฮ่าๆ” เอ้า หัวเราะผมซะงั้น “ไปกินข้าวกันดีกว่า”




หลังจากที่เราอิ่มเอมกับมื้อเช้าที่ประกอบไปด้วยข้าวต้มกุ้ง ไข่ลวก และปลาท่องโก๋เรียบร้อยแล้ว  ยัยฟ้าก็พาผมเข้าสวนครับ และนางก็ไม่ลืมสั่งให้ผมแบกจอบขุดดินตามไปด้วย ผ่านไปเกือบชั่วโมง ต้นอ่อนมะม่วงสี่ต้นก็ลงหลุมเรียบร้อยโดยมีผมเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกำลังยืนหอบเป็นหมา



แชะ!



“เฮ้ย อย่าถ่ายดิ สภาพน่าเกลียดเกิ๊น” ผมยกมือขึ้นมาบังหน้าตัวเองโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงชัตเตอร์ ตากล้องจำเป็นหัวเราะคิกคักตอนที่หยิบไอโฟนขึ้นมาดูรูป
“เก็บไว้เป็นที่ระลึกน่า ไม่อัพลงเฟซหรอกไม่ต้องกลัว” อันที่จริงผมน่าจะสบายใจที่ได้ยินประโยคนี้จากยัยฟ้า แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกหน่วงขึ้นมาแทน นางเองก็คงจะรู้สึกได้เลยมาบีบมือผมเบาๆ
“ขอโทษนะนิล เราไม่ได้อยากให้นิลนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาเลย”
“ไม่หรอกฟ้า คือมันเป็นความจริงปะ จะทำเป็นไม่นึกถึงมันยังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก” ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ
“อืม...” ผมเห็นสีหน้าหงอยของยัยฟ้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขยี้หัวนางแรงๆ
“พอได้แล้วน้า ผมเรายุ่งหมดแล้ว” ยัยฟ้าเอามือปิดหัวตัวเองแล้ววิ่งวนไปวนมา ผมแหย่นางจนตัวเองเริ่มหมดแรงแล้วก็เลยนั่งพักกันใต้ต้นก้ามปูต้นใหญ่
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเพื่อนสาว เราทั้งสองต่างนั่งกันเงียบๆโดยไม่พูดจา ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีฟ้าสดใส รอบตัวก็มีแต่ต้นไม้เขียวชอุ่ม ผมเหม่อมองไปจนสุดสายตาและเมื่อผมหันมามองคนข้างกายก็พบว่าฟ้าครามกำลังจ้องหน้าผมอยู่
“มะ... มีอะไร ทำไมทำหน้าเครียดเชียว” ผมตกใจเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนตัวเอง ยัยฟ้าจ้องผมเขม็ง แถมยังทำสีหน้าเหมือนโกรธผมมาเป็นสิบปี
“เราอยากจะพูดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เราเห็นนิลกำลังเสียใจเลยไม่อยากซ้ำเติม” เอิ่ม... ผมพอจะรู้แล้วครับว่าสหายรักของผมกำลังจะพูดอะไร..
“นิลรู้มั้ยว่าอีกแค่นิดเดียวนิลจะกลายเป็นระดับเดียวกับพี่เลแล้วนะ” เธอเอานิ้วโป้งไปจรดกับปลายนิ้วก้อยเป็นท่าทางว่า ‘นิ้ดดดดเดียว’ จริงๆ
“ฟ้าก็... พูดซะเราสะอึกเลย” ผมถึงกับอึ้ง นี่ยัยฟ้าลดระดับผมลงไปเทียบเท่ากับพี่เลยเลยหรือนี่
“มันจริงนี่นิล รู้มั้ย ถ้านิลไม่ใช่เพื่อนเรา เราเลิกคุยแล้วนะ”
“ระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็นั่งพักทบทวนสมองไปนะ ลองคิดดูว่าถ้านิลเป็นฝ่ายที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้บ้าง นิลจะทำใจได้มั้ย” ยัยฟ้าทิ้งผมไว้กับคำพูดของนางซึ่งทำเอาสมองผมตื้อไปเลย




ถ้าผมโดนพี่รันทำแบบนี้บ้างน่ะหรือ





ถ้าผมโดนพี่รันทำแบบนี้บ้างน่ะหรือ





ถ้าผมโดนพี่รันทำแบบนี้บ้างน่ะหรือ




ผมทนไม่ได้หรอกโว้ยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!





ความหงุดหงิดพุ่งจี๊ดขึ้นมาจนผมระงับไม่อยู่ ได้แต่กำใบไม้แห้งข้างตัวมาเขวี้ยงระบายอารมณ์ไปมั่วซั่ว แค่คิดว่าพี่รันจะไปมีคนอื่นผมก็ทนไม่ได้แล้ว นับประสาอะไรกับความเจ็บปวดที่พี่รันต้องเจอเพราะผมเป็นต้นเหตุล่ะ



และอะไรมันก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าวันที่ผมได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะเสียพี่รันไป...



“เดินทางดีๆนะลูกนะ” ผมก้มลงกราบคุณยายหลังจากที่เตรียมตัวออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว คุณยายให้อวยพรให้ผมอีกสองสามประโยคก่อนจะเดินลงจากเรือน ยัยฟ้ายืนพิงรถรอผมอยู่ข้างล่าง นางยิ้มกริ่มด้วยสายตาที่ดูสมน้ำหน้าผมนิดๆ เรื่องอะไรน่ะเหรอ? ก็เรื่องที่พี่รันไม่ได้มาตามผม หรือไม่ได้ติดต่อมาเลยน่ะซี ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมร้อนรนจนทนไม่ได้ และคิดว่าจะกลับกรุงเทพฯสักที


“มีอะไรก็โทรมานะ ถึงเราจะด่านิลยังไง แต่นิลก็เป็นเพื่อนเราเสมอ”


ครับ ความห่วงใยของนางช่างฟังเชือดเฉือนใจจนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ รถทัวร์สายเดิมวิ่งเข้ากรุงเทพด้วยเวลาที่พอๆกับขามา ผมหลับๆตื่นๆอยู่หลายรอบก็เข้ากรุงเทพสักที ผมเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่คอนโด วันนี้อากาศที่นี่ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนทำให้ผมใจคอไม่ค่อยดี กลัวว่าถ้าฝนตกแล้วฟ้ามันจะผ่าลงมาที่คนเฮงซวยแบบผมหรือเปล่าหนอ?



ผมเปิดห้องตัวเองเข้าไปและสัมผัสได้ถึงความเงียบ สิ่งแรกที่ผมคิดคือ ‘ไอ้ริชชี่’


“ริชชี่!” ผมตะโกน แต่ไม่มีเสียงทักทายที่คุ้นเคยร้องเหมียวกลับมา

“ไอ้ริชชี่! พี่นิลมาแล้ว” ผมเดินเข้านอกออกในทุกห้อง แต่ก็ไร้วี่แววไอ้เหมียวคู่ทุกข์คู่ยากของผม ผมรู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนต้องทรุดลงนั่งกับพื้นทันทีเมื่อพบว่ากระเป๋าใส่ไอ้ริชชี่ก็หายไปด้วย


“พี่รัน...” น่าประหลาดใจที่เมื่อเราได้รับรู้ว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้วนั้นเป็นวินาทีที่ความรู้สึกผิดจะถาโถมเข้ามาเกาะกินใจเราอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาผมรู้ตัวว่าตัวเองผิด แต่ยังไม่รู้สึกสำนึกเท่าตอนนี้... ตอนที่ไม่เหลือใคร ผมรับรู้ได้ในทันทีว่าความเจ็บปวดของพี่รันมันเป็นอย่างไร มันต้องมากยิ่งกว่าที่ผมเคยผ่านมาแล้ว และพี่รันก็ได้ลงโทษผมด้วยการออกไปจากชีวิตผม และพาไอ้ริชชี่จากไปด้วย ผมผิดเองที่หุนหันออกมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ความโมโหมันมากเกินจนลืมคิดถึงชีวิตน้อยๆที่อยู่กับผมมาตลอด


“ฮึก...” ผมกัดริมฝีปากไว้แน่น เวลานี้ไม่ใช่ช่วงของความโศกเศร้า แต่แม้จะพยายามฝืนเท่าไรน้ำตามันก็ไหลออกมาเรื่อยๆ ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาออกและพยายามคิดหาหนทางติดต่อพี่รัน มันยิ่งตลกขึ้นไปอีกเมื่อผมนึกได้ว่า...


ผมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพี่รันเลย...


บ้านเขา ผมก็ไม่เคยไป


ครอบครัวเขา ผมก็ไม่เคยพบ


ที่ทำงานของเขาก็ไม่ตายตัว มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ...


นอกจากเบอร์มือถือเขาแล้ว... ผมไม่รู้อะไรเลย...


‘ถ้าหากพี่รันไม่รับสาย เราจะทำยังไงดี’ ผมเปิดเครื่องและเห็นแต่ข้อความจากแพททริค แต่ไม่มีข้อความจากพี่รันเลยสักฉบับเดียว มือผมสั่นกับข้อเท็จจริงที่ผมได้รับรู้ เมสเสจจำนวนมากจากแพททริคไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีได้แม้แต่น้อย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมต้องการ


‘พี่รัน’



พี่ชื่อ Oran ครับ หมายถึงแสงสว่าง...



ชื่อของเราเข้ากันมาก...



น้ำตาผมไหลอาบแก้มตอนที่เสียงรอสายดังขึ้น ผมไม่รู้จะพูดอะไรก่อนดี ผมอยากจะขอโทษ อยากจะบอกว่าคิดถึง แต่คำพูดง่อยๆพวกนั้นคงไม่อาจเรียกความรู้สึกที่เสียไปของพี่รันกลับมาได้ ผมไม่มีปัญญาทำอะไรเลยถ้าไม่มีพี่รัน มองไปทางไหนมันก็มืดไปหมด จะตามง้อเขาก็ไม่มีปัญญา เพราะไม่รู้ว่าพี่รันจะไปทำงานอยู่ที่ไหนบ้าง ที่ผ่านมาผมเป็นฝ่ายรอรับทุกสิ่งจากพี่รันเพียงคนเดียว รอรับความรัก ความห่วงใย การเอาใจใส่ ทุกสิ่งทุกอย่างผมแทบจะไม่เคยเป็นฝ่ายให้เขาก่อนเลยสักครั้ง...





ตรู๊ด....




ตรู๊ด....




แกร๊ก.




“ว่าไงนิล”





-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-





“ว่าไงนิล” น้ำเสียงทุ้มที่ผมคุ้นเคยเป็นเหมือนลมอุ่นที่โอบกอดตัวผม แม้กระทั่งน้ำเสียงของเขาผมยังโหยหาขนาดนี้ ผมไม่อยากจะคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงถ้าไม่มีเขา


“ริชชี่อยู่กับพี่นะ” เขาพูดต่อเมื่อเห็นว่าผมเงียบ แต่ความจริงคือผมกำลังสะอื้น และเขาคงไม่อยากได้ยินเสียงร้องไห้ของผมให้รำคาญใจ


“ถ้านิลกลับมาแล้ว เดี๋ยวพี่จะพาริชชี่ไปส่ง”

“ขอบ...ขอบคุณครับพี่รัน นิลกลับมาแล้วละ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวตอนเย็นพี่พาริชชี่กลับไปนะ”

“ครับ นิลจ-” ‘นิลจะรอ’ ผมต้องกลืนคำที่เหลือลงคอไปเพราะว่าพี่รันวางสายก่อนที่ผมจะพูดจบด้วยซ้ำ ผมนั่งนิ่งมองโทรศัพท์ในมือด้วยความสับสนและปวดร้าวใจ ผมควจจะทำอย่างไร ทำอย่างไรให้เขากลับมา...



ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อรอรับพี่รัน เงาที่สะท้อนมาจากในกระจกคือใบหน้าของคนหลายใจที่กำลังได้รับผลกรรมจากสิ่งที่มันกระทำลงไป ผมยิ้มเยาะเย้ยให้กับตัวเอง ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วพี่รันจะไม่อยู่กับผมและตัวผมจะต้องไม่เหลือใคร ผมจะไม่โกรธเลย




ปิ๊งป่อง~





ผมเดินไปที่ประตูห้องและมองลอดตาแมว คนที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นยังดูเหมือนเดิม แต่ติดจะดูซูบลงไปเล็กน้อย ในมือของเขามีตะกล้าใบเขื่อง มืออีกข้างยืนล้วงกระเป๋าอย่างสงบนิ่ง




พี่รัน...




พี่รัน...




ผมกดฝ่ามือลงบนอกข้างซ้าย หัวใจผมมันเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกมาจากอก ผมตื่นเต้นว่าเหตุการณ์หลังจากนี้มันจะเป็นเช่นไรกันหนอ...


-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-





“พี่ขอโทษนะที่พาไอ้ริชชี่ไปโดยไม่ได้บอกกกล่าวอะไรเลย” พี่รันเปิดตะกร้าให้ไอ้ริชชี่เดินนวยนาดออกมา มันดูอุดมสมบูรณ์เหมือนปกติ พอมันเห็นหน้าผมก็เดินเข้ามาพันแข้งพันขาแล้วร้องเหมียวราวกับจะต่อว่า

“ไม่เป็นไรครับ” ผมอุ้มไอ้ริชชี่ขึ้นมาและส่งยิ้มให้พี่รัน ผมจะกล้าว่าอะไรเขาได้ละ ในเมื่อผมเป็นคนทิ้งไอ้ริชชี่ไปก่อน หุนหันพลันแล่นโดยไม่คิดหน้าคิดหลังสักนิด

“งั้นพี่ไปละ เป็นเด็กดีละริชชี่ อย่าดื้อกับพี่นิลเขานะ” พี่รันลุกขึ้นยืนและโน้มมาจับหัวไอ้ริชชี่เบาๆ ผมมองตามร่างสูงที่เดินตรงไปที่ประตูโดยไม่สนใจผมสักนิด ความคิดในหัวผมวิ่งชนกันมั่วซั่วไปหมด ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนหลังดี ใจหนึ่งอยากจะเรียกพี่รันไว้ แต่ก็ละอายแก่ใจในสิ่งที่ตัวเองทำ และเมื่อผมคิดได้ดังนั้น มือที่กำลังเอื้อมไปหาพี่รันจึงลดกลับมาอยู่ที่เดิม



แกร็ก



เสียงล็อคประตูดังพร้อมกับไอ้ริชชี่ที่กระโดดลงจากอ้อมแขนผม ผมนั่งมองมันเดินสำรวจห้องที่จากไปหลายวัน ชามข้าวของมันผมก็เติมให้แล้วจนเต็ม ไอ้ริชชี่กินอาหารจากชามของมันจนอิ่มแล้วจึงไปนอนบนหมอนใบโปรดของมันเหมือนเดิม


‘ขนาดแมวมันยังทำตัวเหมือนเดิม’ ผมคิด



แม้ว่าพี่รันจะออกไปแล้วแต่ไอ้ริชชี่ก็ยังเหมือนเดิม มีแค่ความรู้สึกของผมที่ไม่เหมือนเดิม

ในที่สุดผมก็รู้ซึ้งถึงขั้วหัวใจสักที ว่าผมรักพี่รันมากขนาดไหน และมันก็ช่างเป็นความรักที่เจ็บปวดเหลือเกิน เมื่อเราได้รู้ค่าของมันในวันที่ไม่มีคนให้แชร์ความรู้สึกนี้ร่วมกันอีกแล้ว



 


▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ จบ Part I█ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂


Talk  :o8:

ดีใจจังค่ะที่เห็นทุกคนเกลียดนิล 5555+ :katai4:
แต่ขอให้นักอ่านที่รักทั้งหลายทำใจร่มๆก่อนนะคะ
เรื่องราวความรักระหว่างพวกเขามันยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างให้พบเจอค่ะ
แค่เรื่องความลังเลของคนโง่คนนึงที่ไม่เคยมีใครมารัก และไม่เคยสมหวังในรักมันยังจิ๊บจ๊อยค่ะ
เอาไว้รอเรื่องของหนุ่มหล่อแฟน(เก่า)เยอะน่าจะแซ่บหลายกว่าค่ะ

รักทุกคน

 :oo1:





ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
แวะมาสมน้ำหน้านิลเบาๆ และจากไป  :m20:

ออฟไลน์ IRIS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 434
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ที่ผ่านมาเจ็บเพราะโดนเค้ากระทำ น่าสงสาร..แต่ครั้งนี้เจ็บเพราะทำตัวเอง น่าสมเพช
ตอนแรกว่าจะไม่อ่านต่อแล้วนายเองหลายใจแบบนี้ แต่ก็อยากเข้ามาสมน้ำหน้านิลเหมือนกัน
ไม่อยากให้พี่รันให้อภัยง่ายๆ คือไม่เข้าใจกับพี่รันนางเยอะมาก เล่นตัวสารพัด คือถ้าเราเป็นพี่รันคงท้อไปแล้วล่ะ แต่กับอีกคน คือนางง่ายกันเค้ามากๆ ยอมให้จูบได้ง่ายๆทั้งที่เจอกันไม่กี่ครั้ง เหตุผลอะไรก็มาแก้ตัวให้คนโลเลหลายใจไม่ได้หรอกค่ะ ทางที่ดีคือเลิกหานายเองใหม่

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คิดได้เมื่อสาย
รอตอนต่อไปจ๊ะ

ออฟไลน์ Roman chibi

  • Death is not the end. Death can never be the end. Death is the road. Life is the traveller. The soul is the guide.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 12 [ความในใจของคนโง่] Part II
«ตอบ #76 เมื่อ22-05-2014 12:05:56 »

Chapter 12 [ความในใจของคนโง่] PART II




“ทำไมสภาพน่าสมเพชขนาดนี้ละนิล” ผมเหลือบตามองนางฟ้าใจยักษ์ที่นั่งลงข้างผม ยัยฟ้าน่ารักเหมือนเดิม แถมยังดูสดใสมากขึ้นทุกวันๆด้วย

“ดีกับพี่เลแล้วเหรอ”

“หา?” ยัยฟ้าทำคิ้วขมวด “ใช้อะไรคิดจ๊ะ”

“ก็หน้าตาดูสดใสยังกกับคนมีแฟน”
“แหม ไม่มีแฟนก็สดใสได้ ชีวิตสงบสุข ไม่มีเรื่องให้วุ่นวายใจก็งี้ละ ไม่เหมือนคนมีความผิดติดตัวหรอก” นั่นปะไร ธนูดอกแรกพุ่งเข้ามาปักกลางหัวผมแล้ว

“คนเราถถ้ามีเรื่องทุกข์ใจมันก็มักจะแสดงออกมาทางร่างกายด้วย ยิ่งถ้ารู้สึกบาปอยู่ในใจก็ยิ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรม” ฉึก! ดอกที่สองครับ

“เออๆ พอได้แล้ว แค่นี้เราก็อยากจองตั๋วไปลงกระทะทองแดงจะตายอยู่แล้ว” ผมแดกดัน

“ไม่ใช่นะ ต้องไปปีนต้นงิ้วต่างหาก”

“ยัยฟ้า!”

“ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ แหมอย่าเคืองน้า” พอนางเห็นว่าผมทำท่าจะเคืองจริงก็ทำมาบีบนวดใหญ่ ผมก็เลยขยับแขนหนี

“ไม่โกรธหรอก เรารู้ว่าเราผิดจริง” ผมถอนหายใจ

“แล้วเป็นไงมั่งละ ได้คุยกับพี่รันหรือยัง” ผมส่ายหัวแทนคำตอบ

“ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพราะเราไม่รู้จะพูดอะไร” ผมเห็นอาจารย์เดินเข้าห้องมาพอดี จึงเปิดสมุดจดเลคเชอร์และหยิบปากกามาไว้ในมือ “เราไม่มีหน้าจะไปขอให้พี่รันยกโทษให้หรอกฟ้า แค่นี้เราก็ละอายใจมากเหลือเกินแล้ว”

จากนั้นอาจารย์ก็เริ่มสอน บทสนทนาของผมและฟ้าครามจึงจบลงเพียงเท่านั้น ผมเบนความสนใจไปยังสิ่งที่อาจารย์กำลังสอน ทำให้ไม่ได้เห็นสีหน้าครุ่นคิดของเพื่อนสนิท






เย็นนั้นหลังจากเลิกเรียน ยัยฟ้าคิดเองเออเองว่าจะไปค้างห้องผมเสร็จสรรพ มันน่าเจ็บใจตรงที่แม่ของนางไม่ห้ามลูกสาวตัวเองสักนิดที่จะไปค้างห้องผู้ชาย


‘ถ้าเป็นนิลแม่ก็ไว้ใจจ้ะ’


กิริยาท่าทางผมมันคงเกย์เปิดเผยมากเลยสินะ...



“เฮ้ย” เมื่อผมและยัยฟ้าเดินออกมาหน้าคณะ ผมก็อุทานเสียงเบาพร้อมกับหลบไปข้างหลังเพื่อน ยัยฟ้าหันมามองผมแบบงงๆและหันไปมองตามสายตาของผม ซึ่งชายหนุ่มผมทองที่เห็นอยู่ไกลๆนั่นคือคำตอบของท่าทางแปลกประหลาดของผม

“นั่นใช่มั้ย แพททริคอะไรนั่นน่ะ” ยัยฟ้าหันมาถาม ผมพยักหน้าให้ “เขามาทำอะไร” ผมส่ายหัว

“เราไม่อยากคุยกับเขาอะฟ้า” ผมทำหน้านิ่ว

“แต่เราไม่คิดอย่างนั้นนะ” ยัยฟ้าบีบมือผมแน่น “เราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่นิลควรจะทำอะไรให้มันชัดเจนสักที”

“ป่านนี้แล้ว มันสายไปแล้วละฟ้า”

“ไม่” ยัยฟ้าจิ้มลงมาบนอกผม “นิลลองถามใจตัวเองดู ลึกๆแล้วนิลก็ปรารถนาให้เรื่องนี้มันสินเรื่องสิ้นราวสักทีไม่ใช่เหรอ”

ผมนิ่งคิดในสิ่งที่เพื่อนพูด ที่ผ่านมาผมคิดอยู่เสมอ ว่าเรื่องราวในวันนั้นมันอาจจะเป็นแค่จูบ แต่มันก็เป็นจูบที่ทำลายสิ้นความสัมพันธ์ระหว่างผมและพี่รัน ถ้าเพียงแต่ว่า... เพียงแต่ว่าในวันนั้น... ผมไม่โอนอ่อนตามการสัมผัสของแพททริค แต่ผลักเขาออก ขัดขืนเขา แล้ววิ่งหนีออกมา บอกเรื่องที่เกิดกับพี่รันทั้งหมด อะไรๆมันคงไม่เป็นแบบนี้


แล้วถ้าหากตอนนี้ผมจะจบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เรื่องที่ผมเป็นคนก่อมันขึ้นมา แม้ว่ามันจะไม่ทันเวลา แม้ว่ามันจะสายไปแล้ว และมันคงไม่มีอะไรดีกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับฉันใด ผมก็ไม่มีทางเรียกความรู้สึกดีๆจากพี่รันกลับมาได้ฉันนั้น...


“ฟ้ารอเราตรงนี้นะ” ผมกดบ่าเพื่อนให้นั่งลงบนม้าหิน “เดี๋ยวเรากลับมา แล้วคืนนี้เรามาปาร์ตี้เนื้อย่างกัน”

“อื้อ” ยัยฟ้าส่งยิ้มกว้างให้ผม ผมยิ้มตอบให้เพื่อน อย่างน้อย แม้ตอนนี้ผมจะไม่มีพี่รันอีกแล้ว


แต่ผมก็ยังมียัยฟ้าอยู่กับผม...





//////////////////////





“คุณแพท” ผมส่งเสียงเรียกคนที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ เขาหันมามองผมแล้วยิ้มอย่างดีใจ ผมรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น แต่ก็ต้องตัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป ความลังเลไม่แน่ใจ ความอ่อนไหวโง่เง่าที่ผมมีนั้นมันไม่ควรจะทำให้อะไรแย่ลงอีกเหมือนที่ผ่านมา


“นิล คุณ... สบายดีไหม?” แพททริคถามผม สีหน้าของเขาดูหมองไป สายตาทอประกายห่วงใยอย่างแรงกล้า ผมยิ้มให้เขาและบอกว่าผมสบายดี

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณแพท” ผมเม้มปากแน่น “ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณมากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่ง” เมื่อประโยคนี้หลุดออกไปจากปากผม ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาผกผันโดยสิ้นเชิงของคนสองคน หนึ่งคือผม ที่โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก และสองคือคุณแพท ที่ทำสีหน้าราวกับฟ้าถล่มดินทะลาย เขาจับบ่าผมแน่นและเขย่าไปมา คำผรุสวาทในภาษาแม่ของเขาดังระรัวจนผมฟังไม่ทัน เขาเอาแต่ถามผมซ้ำไปมาว่าทำไม เพราะอะไร และก่อนที่ผมจะพูดอะไร เขาก็ประกบจูบดุดันลงมาโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว


“อื้อ!!” ผมผลักเขาจนสุดแรงและชกเข้าที่โหนกแก้มข้างขวา แพททริคเซไปนิดหนึ่งแล้วหันมาสบตาผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ผมใช้หลังมือเช็ดปากอย่างแรงด้วยความประหลาดใจกับปฏิกิริยาโต้ตอบของตัวผมเอง มันคือความไม่พอใจและโกรธขึ้งเมื่อถูกสัมผัสจากคนที่ไม่ได้รัก ที่ผมเพิ่งจะเข้าใจในวันที่สายไปเสียแล้ว



“ถ้าเพียงแต่วันนั้นผมทำแบบนี้ ไม่ใช่อ่อนไหวไปกับสัมผัสของคุณ ผมคงไม่เสียพี่รันไป” น้ำตาผมเริ่มไหลเอ่อออกมา แต่ผมก็ไม่สนใจที่จะเช็ดมัน “แต่ผมก็ไม่ได้จะโทษว่าเป็นความผิดของคุณ ทั้งหมดผมผิดเอง” ผมสูดน้ำมูกหนึ่งทีแล้วว่าต่อ “แต่ผมขอละ ขอให้คุณแพทช่วยยอมรับการตัดสินใจของผมบ้าง ผมตอบสนองความรู้สึกของคุณไม่ได้จริงๆ”



“คุณแพท ผมขอโทษด้วย”




ผมเดินจากเขามาโดยไม่ได้หันไปมองซ้ำสอง มือทั้งสองข้างของผมสาละวนกับการปาดน้ำตาออกจากหน้าตัวเอง ยัยฟ้าที่กำลังนั่งรออยู่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าและบรรจงเช็ดให้ผมอย่างเบามือ มันเป็นน้ำตาแห่งความโล่งใจและเจ็บปวดในขณะเดียวกัน ผมรู้สึกแย่เหลือเกินที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องผิดหวัง แต่ไอ้ความกลัวคนอื่นจะผิดหวังนั้นก็ได้ทำให้คนที่ผมรักจากใจจริงต้องเจ็บปวดแทน และมันก็ได้ทำให้เรื่องราวระหว่างผมกับพี่รันเหลือแค่เพียงความทรงจำ




และมันอาจจะเป็นความทรงจำที่พี่รันคงไม่อยากจะจดจำเสียด้วยซ้ำ...




 


▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ จบ Part II█ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂





ตอนนต่อไปจะเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนการใช้ชีวิตของนิลแล้วนะจ๊ะ

พอกันทีกับการจมอยู่กับอดีต


 :hao5:





ออฟไลน์ j123

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
ง่า นิลกับพี่รันไม่คืนดีกันหรอ รออ่านต่อจ้า  :call:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
พาร์ทสองทำไมสั้นจัง รออ่านตอนต่อไปจ๊ะ

ออฟไลน์ viky_mama

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
เศร้ามากมาย สงสารพี่รัน หมั่นไส้นิลด้วย

ภาคต่อไปขอให้ง้อพี่รันได้นะเธอว์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 13 [วันคืนพ้นผ่าน]
«ตอบ #80 เมื่อ23-05-2014 17:01:14 »

Chapter 13 [วันคืนพ้นผ่าน]


“ฟ้า เสร็จหรือยัง”


ก่อนหน้านั้น ผมมาที่บ้านของยัยฟ้าแต่เช้า คุณแม่บอกกับผมว่ายัยฟ้ากำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง จึงชักชวนให้ผมนั่งลงทานมื้อเช้าด้วยกันก่อน คุณพ่อเลื่อนตะกร้าใส่ปาท่องโก๋มาให้พร้อมกับที่คุณแม่วางชามข้าวต้มทะเลตรงหน้าผม กลิ่นพริกไทยและกระเทียมเจียวหอมฉุยแตะจมูกจนผมท้องร้อง ผมทานข้าวต้มไปหนึ่งชามและปาท่องโก๋อีกสองตัวยัยฟ้าก็ยังไม่ลงมา จนสุดท้ายผมจึงต้องมายืนเคาะเรียกนางอยู่หน้าประตูตอนนี้


“เจ็ดโมงครึ่งแล้วนะ เดี๋ยวไม่ทันถ่ายรูปหรอก” ผมย้ำอีกครั้งก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก ฟ้าครามที่ม้วนผมจนเป็นลอนสวยถักเปียคาดรอบหัว ใบหน้าหวานแต่งแต้มสีสันอ่อนบางที่ดูแปลกตาไปจากทุกที ซึ่งนั่นทำให้ผมเผลอมองตาค้างจนยัยฟ้าต้องโบกมือไปมาตรงหน้าผม


“ฮัลโหลววววววชาวโลกกกกกก”

“ยัยบ้า หึหึ” ผมรวบมือฟ้าครามไว้แล้วเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกัน คุณพ่อกับคุณแม่ดูจะปลาบปลื้มเหลือเกินเมื่อเห็นลูกสาวในชุดครุยสง่างาม ผมรับบทเป็นตากล้องจำเป็นให้ครอบครัวนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มของคุณพ่อคุณแม่ทำให้ผมพลอยยิ้มตามไปด้วยขณะที่ถือกล้อง


“นิลก็มาถ่ายคู่กับฟ้าสิ เดี๋ยวพ่อถ่ายให้” ผมขยับไปยืนเคียงข้างคู่กับฟ้าครามตามคำสั่งของคุณพ่อ พวกเราถ่ายรูปกันอยู่อีกเกือบสิบนาทีจึงได้เคลื่อนขบวนไปมหาวิทยาลัยกัน



ที่คณะ บรรดาว่าที่บัณฑิตต่างพากันรวมตัวถ่ายรูปทั่วไปทุกบริเวณ ผมและยัยฟ้าเวียนถ่ายรูปกับเพื่อนๆสาขาเดียวกันจนครบ และไม่ลืมที่จะไปแอ็คท่าถ่ายรูป ณ สถานที่ยอดฮิตของมหาวิทยาลัย ซึ่งก็คือรางรถไฟที่วิ่งผ่านมหาวิทยาลัยนั่นเอง พอรถไฟไปก็เฮละโลกันลงไปถ่ายรูป พอสัญญาณรถไฟจะมาก็เฮกันขึ้นมายืนรอบนชานชาลา ผมยิ้มสู้กล้องจนเหงือกแห้งพอๆกับยัยฟ้า และเมื่อถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็ถึงเวลาซ้อมที่ลากยาวไปจนเย็นทำเอาสะบักสะบอมไม่ใช่น้อย และยิ่งปลงมากขึ้นเมื่อรู้ว่าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกในวันรับจริง




“เฮ้อ” ผมถอดชุดครุยออกและพาดไว้กับแขนตัวเอง บรรดาเพื่อนๆสาขาเดียวกันนัดแนะว่าจะไปกินเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอาหาร โดยมีไอ้ริวเป็นโต้โผใหญ่ ซึ่งพอไปถึงผมจึงพบว่ามีเด็กคณะเกษตรที่จบไปก่อนแล้วแต่เป็นเพื่อนของไอ้ริวมารวมอยู่ด้วย


“ไอ้นิล มึงกับน้องฟ้ามานั่งข้างๆกูนี่” ไอ้ริวที่ยังคงเรียกยัยฟ้าว่าน้องฟ้าตั้งแต่ปีหนึ่งจนเรียนจบกวักมือพวกผมให้ไปหามัน ผมมองเห็นวัฒน์นั่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะพวกผม ผมส่งยิ้มให้เขา พอวัฒน์เห็นผมเขาจึงเดินมาหา




“เป็นไงบ้างวันนี้” วัฒน์ถาม

“ก็เหนื่อยดี”

“เรายังไม่ได้ถ่ายรูปกับนิลเลย”

“เออ จริงด้วย งั้นไว้วันรับจริงค่อยถ่ายเนอะ”

“จริงนะ สัญญานะ”

“จริงดิ” ผมย้ำ มองวัฒน์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจากเมื่อหลายปีก่อน คนทำงานแล้วก็คงดูแบบนี้แหละนะ

“แล้ววัฒน์เป็นไงบ้าง ทำงานสนุกมั้ย”

“เรารู้สึกว่ามันไม่ต่างจากเรียนเลย แถมต้องออกเดินทางไปนู่นไปนี่มากกว่าตอนเรียนอีก ดูดิ เราทำแปลงจนตัวดำไปหมดแล้ว” วัฒน์ชูแขนที่คล้ำขึ้นให้ผมดู

“ไม่ใช่ว่าดำอยู่แล้วเหรอ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ

“เฮ้ย เราว่าเราไม่ดำนะ”


ผมกับวัฒน์คุยกันอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะถูกเพื่อนๆมาลากไปดื่มฉลอง เรานั่งสังสรรกันไปเพลินๆโดยไม่ได้ดูเวลา จนกระทั่งยัยฟ้ามาสะกิดผมนั่นแหละ


“นิล เราต้องกลับแล้วนะ คุณพ่อมารับแล้ว” ยัยฟ้ากระซิบ ทำให้ผมต้องยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งบอกเวลา 23 นาฬิกา บังเอิญว่าใกล้เคียงกับเวลาที่เครื่องบินที่แม่ของผมนั่งมาจะแลนดิ้งพอดี

“อืม ดีเหมือนกัน เราก็จะไปรับแม่” เมื่อผมและยัยฟ้าตกลงกันได้ว่าจะขอตัวออกจากงานฉลองก่อน ไอ้ริวบ่นกระปอดกระแปดตามประสาแต่ก็ยอมปล่อยผมมาโดยดี คุณพ่อของยัยฟ้าบอกว่าจะไปส่งผมที่สุวรรณภูมิ เราสามคนเดินไปยังไม่ทันจะถึงรถก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อผมเสียก่อน



“วัฒน์?” ผมมองทางคนที่เรียกผมด้วยความสงสัย และหันไปมองยัยฟ้ากับคุณพ่อสลับกันไปมา

“ไปเถอะ เดี๋ยวเรากับคุณพ่อจะรอที่รถ” ยัยฟ้าบอก และคุณพ่อก็ยิ้มให้และบอกว่าจะรอ ผมจึงรีบเดินไปหาวัฒน์

“มีอะไรหรือเปล่าวัฒน์” ผมถาม คนตรงหน้าผมยืนเอามือล้วงกระเป๋า ท่าทางดูอ้ำๆอึ้งๆผิดไปจากปกติ

“คือเรามีเรื่องอยากจะคุยกับนิล”

“อืม...” ผมยืนรอฟังสิ่งที่วัฒน์กำลังจะพูด ขณะเดียวกันก็เกรงใจคุณพ่อกับยัยฟ้าที่กำลังรออยู่ และสุดท้ายเมื่อผมเห็นวัฒน์ไม่พูดสักทีผมเลยคิดว่าจะขอตัวก่อน

“เอ่อ วัฒน์/เราชอบนิล!!” ผมชะงัก ส่วนวัฒน์หน้าแดงก่ำ แดงก่ำทั้งๆที่ผิวคล้ำอย่างนั้นละ ผมมองวัฒน์ที่พยายามหลบสายตาผม จนเมื่อผมพูดออกมานั่นแหละ

“ขอบใจมากนะวัฒน์ แต่เราคงทำได้แค่ขอบคุณที่วัฒน์รู้สึกดีๆกับเรา” วัฒน์เงยหน้ามองผม ใบหน้าคมเข้มนั้นไม่บ่งบอกอาการผิดหวังหรือโกรธอะไรสักนิด กลับกัน เขายิ้มให้ผมเฉยเลย

“เรารู้แล้วละว่านิลคงปฏิเสธ แต่อย่างน้อยขอแค่ได้บอกเราก็พอใจแล้ว” วัฒน์ยิ้มให้ผม และผมก็โล่งอกที่เรื่องจบลงด้วยดี และขณะที่นั่งรถไปสนามบินนั้นผมก็ได้คิด



‘อย่างน้อยก็ได้บอก’


ไม่เหมือนกับตัวผม... ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้พูด หรือร่ำลาอะไรอีกเลย ผมยิ้มเยาะให้กับตัวเองในอดีต ตัวตนที่แสนอ่อนไหวและโง่เขลา ความผิดพลาดที่ผมได้ก่อเอาไว้ยากจะลบเลือน อย่างคำที่เขาบอกว่า แค่เราเดินเร็วขึ้นหนึ่งก้าว โลกก็จะไม่เหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าตอนนั้นผมเลือกที่จะขัดขืนคุณแพท ตอนนี้ผมก็คงจะมีพี่รันอยู่ข้างกาย การกระทำที่แตกต่างกันเพียงนิดเดียวกลับส่งผลกับอีกหลายๆสิ่ง แค่คำสารภาพของวัฒน์เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้ผมได้คิดอะไรอีกหลายๆอย่างเช่นเดียวกัน


ผมจะไม่โกหกว่าทุกวันนี้ผมยังคงคิดถึงพี่รัน ผมนึกถึงพี่รันที่เคยนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาของผม พี่รันที่ชอบซื้อขนมซื้อของเล่นมาฝากไอ้ริชชี่จนผมบ่น พี่รันที่ช่วยผมซักผ้า ล้างจานบ่อยเท่าที่โอกาสจะอำนวย พี่รันที่ปลอบโยนและให้คำปรึกษาที่ดีกับผมเสมอเวลาที่มีปัญหา ยิ่งผมคิดถึงเขามากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำตัวเองว่าทุกอย่างไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมมากเท่านั้น



พยายามจนตายก็ไม่เกิดผล



ผมรู้ซึ้งดีกับประโยคนี้...




//////////////////////




“นิล!!” ผมมองหาต้นเสียงหวานที่ตะโกนเรียกผมอยู่ตอนนี้ แม่ยืนโบกมือไหวๆอยู่หน้าเกทของผู้โดยสารขาเข้า ข้างตัวของแม่มีกระเป๋าลากใบโตสองใบที่ทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมมันเยอะกว่าปกติ แต่ความสงสัยของผมก็ถูกทำให้กระจ่างเมื่อเห็นคนที่เดินตามแม่ออกมาพร้อมกับเอกสารมากมายในมือ


“สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับเอริค” แม่และเอริครับไหว้ผม เอริคคุ้นชินกับการทักทายแบบไทยๆของผมแทนการจับมือไปแล้ว เพราะผมเอาแต่ไหว้เขาทุกครั้งที่เจอหน้า จนสุดท้ายฝรั่งจึงสามารถรับไหว้ผมได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ขัดเขิน


อีกอย่างหนึ่ง ผมสามารถสนทนากับเอริคได้ในระดับดีแล้วนะครับ เป็นเพราะว่าเวลาปิดเทอมผมมักจะไปขลุกอยู่กับแม่ที่อังกฤษ ทำให้ได้เรียนรู้ภาษาไปด้วย แม้ว่าสำเนียงจะไม่ดีเท่าเจ้าของภาษาก็ตาม


ผมช่วยแม่ลากกระเป๋าหนึ่งใบ เอริคลากเองอีกหนึ่งใบ เราเรียกแท็กซี่จากสนามบินไปส่งที่คอนโด พอเรามาถึงคอนโด แม่ก็ได้รับการต้อนรับเป็นก้อนกลมขนฟูที่พุ่งเข้ามาหาคนแรกที่เปิดประตูห้อง ไอ้ริชชี่มันร้องเหมียวเสียงดังราวกับจะทวงว่าของฝากของผมละครับแม่


“ริชชี่~~~” แม่ผมก้มลงอุ้มไอ้ริชชี่แล้วเรียกชื่อลูกชายคนสุดท้องเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมทำหน้าเหม็นเบื่อ และเหลือบเห็นเอริคก็ทำสีหน้าหมั่นไส้เช่นเดียวกัน



ผมหาอาหารว่างนิดๆหน่อยๆให้แม่และเอริคทานรองท้องก่อนไปพักผ่อน แล้วพอกำลังจะเข้านอนนั่นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น


“นอนหรือยังลูก” แม่เดินเข้ามานั่งที่ปลายเตียงของผมโดยมีไอ้ริชชี่เดินตามมาติดๆ ผมมองมันด้วยความหมั่นไส้ เวลาแม่มามันจะไปเกาะติดอยู่กับแม่อย่างกับปลิง โดยไม่สนใจผมที่ให้ข้าวให้น้ำมันอยู่ทุกวันด้วยซ้ำ ชิส์ ไอ้แมวเนรคุณ

“กำลังจะนอนครับ แม่มีอะไรหรือเปล่า”

“มานั่งนี่สิลูก” แม่กวักมือเรียกให้ผมไปนั่งข้างๆ ก่อนจะเปิดปากพูดในสิ่งที่แม่คิด

“แม่กับเอริคลองปรึกษากันดูแล้ว ว่าจะให้ลูกไปอยู่กับเราและหางานทำที่โน่น” ประโยคต่อมาของแม่คือการสาธยายถึงแผนการที่แม่และเอริคหารือกันเพื่อผม โดยแม่บอกว่าเอริคมีเพื่อนที่เปิดบริษัทเกี่ยวกับการปลูกบ้านอยู่ที่โน่น และเขายินดีต้อนรับนักศึกษาจบใหม่ที่เป็นชาวต่างชาติด้วย เพราะจะได้เรียนรู้กันเรื่องมุมมองและทัศนคติในด้านสถาปัตยกรรมจากปรเทศอื่นบ้าง และอีกประเด็นที่สำคัญก็คือ

“นิลก็ไม่ได้มีอะไรที่นี่ให้ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วนี่ลูก” คำพูดของแม่ตรงประเด็นและชัดเจนราวกับไปนั่งอยู่กลางใจผม แม่บอกว่าให้เวลาผมลองคิดดู ถ้าหากผมตกลงเมื่อไรก็เก็บของย้ายไปทันที



คืนนั้นทั้งคืนผมได้แต่เอามือก่ายหน้าผากและคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีเรื่องพี่รัน อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอย่างที่แม่ว่า แต่ไม่รู้ทำไมผมจึงลังเลกับคำชักชวนของแม่ ผมหวังอย่างนั้นหรือว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม? หรือผมแค่กลัวที่จะต้องทิ้งความทรงจำทุกอย่างที่นี่ไปกันแน่?



สุดท้ายแล้วผมก็ได้เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการบอกข่าวดีให้กับแม่ แม่มีท่าทางดีอกดีใจน่าดู แถมยังมาช่วยผมแพ็คข้าวของที่จำเป็นต่างๆด้วย ผมนั่งมองแม่ที่เก็บข้าวของโน่นนี่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เอริคที่ดูจะเข้าใจความรู้สึกผมเดินมาบีบบ่าผมเบาๆ แล้วบอกกับผม


“Don’t afraid.”


ผมยิ้ม และบอกกับเขาว่าขอบคุณ



เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะเดินออกไปจากความเคยชินที่มีมาเนิ่นนานได้ แต่การที่เรายึดติดกับที่ใดที่หนึ่งนานเท่าไร ก็จะยิ่งถอนตัวออกมายากเท่านั้น ความปรารถนาดีของแม่เปรียบเหมือนมือที่ฉุดผมออกจากที่เดิมๆ กระทั่งตอนที่ผมกำลังนั่งเหม่ออยู่นี้ แม่ยังส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ผม แล้วแบบนี้จะให้ผมปฏิเสธความปรารถนาดีของแม่ได้อย่างไร



หลังจากเสร็จงานรับปริญญาของผมแล้ว แม่อยู่อีกเกือบอาทิตย์เพื่อเตรียมเอกสารต่างๆให้เรียบร้อยสำหรับผม ซึ่งผมแทบไม่ได้กระดิกตัวทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นเด็กเล็กๆเท่านั้นเอง ตอนที่ผมไปบอกกับยัยฟ้าว่าจะไปอยู่กับแม่ นางถึงกับน้ำตาหยด สะอึกสะอื้นร้องไห้ราวกับผมจะไปตาย (-..-) จนผมต้องบอกว่าผมจะไปทำงานเก็บเงิน เอาไว้ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับนางนั่นละถึงได้หยุดร้องไห้ แถมยังจับผมเกี่ยวก้อยสัญญาอีกต่างหาก


แม่ให้ผมเก็บเฉพาะเสื้อผ้าบางชุด กับสัมภาระของไอ้ริชชี่ ที่เหลือเป็นพวกเครื่องปรุงต่างๆของไทยที่หาซื้อที่โน่นย๊ากยาก (หรือไม่ก็แพงมาก) พวกเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของผมแม่บอกให้ไปซื้อเอาใหม่ ไม่ต้องแบกไปให้เปลืองพื้นที่ ส่วนเฟอร์นิเจอร์ต่างๆจะใช้ผ้าคลุมเอาไว้เพื่อกันฝุ่น ผมมองห้องตัวเองอย่างใจหาย ไม่นึกว่าสักวันนึงผมจะต้องจากห้องนี้ไป และไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไปสี่ปีที่ไม่มีพี่รัน กลับไม่ทำให้ผมลืมเขาได้เลยสักนิด ผมนึกถึงวันเวลาของเราที่เคยมีร่วมกันในห้องๆนี้ และก็ตระหนักได้ว่าผมควรที่จะก้าวเดินต่อไป และเก็บความผิดพลาดแต่หนหลังเอาไว้เป็นบทเรียน 



//////////////////////




“เดินทางปลอดภัยนะ ถึงแล้วสไกป์มาหาเราด้วย” ยัยฟ้าบีบมือผมแน่นตอนที่พูด ผมมองใบหน้าขาวนวลที่ดวงตาแดงช้ำอย่างแสนรัก และหยิกแก้มที่เย็นเฉียบเพราะโดนแอร์ด้วยความหมั่นเขี้ยว

“รู้แล้ว ฟ้าอยู่นี่ก็ดูแลตัวเองดีๆนะรู้ปะ มีความสุขให้มากๆ อะไรที่มันผ่านแล้วก็อย่าเก็บมาคิด ถึงเวลาเริ่มใหม่ได้แล้ว”

“นิลก็เหมือนกันแหละ” ยัยฟ้าย่นจมูกใส่ผม “ลืมๆมันไปได้แล้ว”
ผมยิ้มให้กับคำพูดของเพื่อน ‘ลืม’ มันไปงั้นหรือ? ผมไม่รู้จริงๆว่าผมจะลืมมันได้ยังไงกับเรื่องที่ผมเป็นคนก่อขึ้นมา ผมอาจจะไม่ลืมมัน และไม่มีทางลืมแน่ๆ แต่ผมจะไม่เก็บมันมาบั่นทอนกำลังใจของผม ผมจะถือว่าเรื่องราวในคราวนั้นเป็นบทเรียนที่แสนสำคัญว่าผมจะไม่ไปทำผิดแบบนี้อีก



“พร้อมหรือยังลูก” แม่โอบเอวผมตอนที่เรากำลังมุ่งหน้าเข้าเกท เอริคจะตามมาทีหลังหลังจากที่ไปเช็คความเรียบร้อยของไอ้ริชชี่และพามันมาขึ้นเครื่องด้วยแล้ว

“ตื่นเต้นจังแม่ ทั้งๆที่ก็เคยไปมาแล้ว”

“ยังงี้แหละ ตอนนั้นแค่ไปเที่ยว แต่ตอนนี้ไปอยู่จริงๆ”

“อืม นั่นสิ นิลอาจต้องใช้เวลาปรับตัวสักพัก” ผมคิดตามที่แม่ว่า อาจจะกินเวลาสักอาทิตย์ในการปรับตัวสำหรับผม

“เออแม่ลืมบอก ว่าเดี๋ยวแม่จะพานิลไปทำใบขับขี่ด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับ เพราะรู้ดีว่าการขับรถได้เป็นสิ่งจำเป็นในเมืองที่แม่อยู่

“นิลรู้มั้ย ว่าเดี๋ยวนี้นิลดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย นิลดูเงียบขรึมขึ้น ยิ้มก็น้อยลง เหมือนกับว่าครุ่นคิดอะไรอยู่เสมอ”

“นิลคงผ่านอะไรมาเยอะมั้งแม่” ผมหัวเราะ

“แต่แม่อยากให้ลูกของแม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน เมื่อตอนที่ยังมีเขา...” แม่พูดไม่จบประโยคแล้วก็เงียบราวกับเพิ่งคิดได้ว่าพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูด ผมไม่ได้ตอบอะไรแม่ แต่กำลังคิดถึงพี่รัน


ผมจะยิ้มได้อย่างไร ในเมื่อเขาจากไปพร้อมกับเอารอยยิ้มของผมไปด้วย แสงสว่างของผมได้จากผมไปแล้ว และทิ้งไว้เพียงความหม่นหมองในใจของผม ผมไม่ได้ข่าวพี่เขาเป็นเวลานานเท่ากับที่เราจากกัน ผมมีเบอร์โทร แต่ก็ไม่เคยโทรหาเพราะละอายแก่ใจ จะให้ผมโทรไปของร้องอ้อนวอนให้เขายกโทษให้น่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก และผมเองก็ไม่เคยพบพี่เลอีกเช่นกัน ระหว่างผมและพี่รันจึงเป็นเสมือนคลื่นที่ซัดขึ้นมาบนหาดทราย แล้วก็จากไปโดยทิ้งไว้เพียงต่อร่องรอย




ในที่สุดการเดินทางอันยาวนานก็จบลง ผมบิดตัวอย่างเมื่อยล้าในขณะที่เดินไปขึ้นรถเอริค เสียงไอ้ริชชี่ร้องประท้วงตลอดทาง ถ้ามันพูดได้ก็คงจะบ่นกับผมว่ามันเมื่อย มันเหนื่อย และมันก็หิว ผมเปิดกรงให้มันออกมายืดเส้นยืดสายตอนที่ขึ้นมานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว เรานั่งรถกันต่ออีกกี่ชั่วโมงผมก็ไม่ได้สนใจ แต่ผมสงสารเอริคมากกว่า นั่งเครื่องมาก็นานแล้วยังต้องมาขับรถอีก ผมได้ยินเสียงแม่คุยกับเอริคเรื่อยเปื่อยเป็นเพื่อนคนขับ ในรถจะได้ไม่เงียบเกินไป และจะได้ไม่หลับใน



เมื่อมาถึงบ้าน แม่พาผมขึ้นไปบนห้องที่ผมเคยมานอนประจำ แต่คราวนี้มันต่างไปจากเดิมมาก เพราะมีที่นอนสำหรับแมวและข้าวของเครื่องใช้เพิ่มขึ้น ผมหันไปมองแม่และได้คำตอบว่าแม่ซื้อเตรียมเอาไว้แล้ว (นี่แสดงว่าแม่ผมมั่นใจมากๆว่ายังไงผมก็ต้องมาแน่ๆ และต่อให้ผมไม่ยอมมา แม่ก็จะบังคับเอาจนได้ -*- )



แม่ปูที่นอนให้ผมใหม่เป็นลายตารางสีฟ้าเหลืองดูสดใสน่าซุกตัวนอนเป็นที่สุด ผมล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง ไอ้ริชชี่กระโดดตามขึ้นมานอนตรงหว่างขาผมพอดีโดยไม่ชายตาแลที่นอนแมวใหม่เอี่ยมเลยสักนิด


“หิวมั้ยลูก” แม่โผล่หน้าเข้ามาถามตอนที่ผมกำลังจะเผลอหลับพอดี

“ไม่ครับ นิลอยากนอนมากกว่า”

“งั้นนิลก็นอนพักไปก่อนนะ เดี๋ยวเย็นๆแม่จะมาปลุก”



ผมหลับไปตลอดทั้งบ่าย จนเริ่มเย็นผมถึงได้ตื่น ชะโงกมองไอ้ริชชี่มันก็ยังหลับอยู่ที่เดิม ผมลูบหัวไอ้เหมียวพลัดถิ่นเบาๆ สมองคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมาและมาหยุดหน้าประตูห้องผมพอดี


“นิล ตื่นรึยังลูก”

“ตื่นแล้วครับแม่”

“มื้อเย็นเสร็จแล้วนะ ลงมากินข้าวเร้ว”

“คร้าบ” ผมขานรับ ลุกขึ้นจากที่นอนและปลุกไอ้ริชชี่ด้วย “ไปไอ้ริชชี่ ไปกินข้าวกัน” มันร้องเหมียวเสียงดังเหมือนกับจะด่าผมว่าปลุกมันทำไม


มื้อเย็นวันนั้นแม่ผมจัดเต็มชุดใหญ่เลยครับ  ผมเห็นเอริคนั่งมองอาหารบนโต๊ะตาปริบๆด้วยคงอยากจะสื่อว่าแม่เอาเวลาที่ไหนไปทำอาหารมากมายขนาดนี้ มื้อเย็นที่มาครบทุกเชื้อชาติคงจะทำให้ผมอิ่มไปได้ถึงอาทิตย์หน้าเป็นแน่...


“ชิมนี่สิลูก” แม่ตักสลัดมันฝรั่งใส่จานผมที่เต็มไปด้วยเนื้อแกะ กุ้งเผา ข้าวหุงเครื่องเทศ แกงกะหรี่ ฯลฯ

“ขอบคุณครับแม่ เอ่อ...พอก่อนนะ แค่ในจานนิลก็จะกินไม่หมดแล้ว” ผมยิ้มแหย

“อะไรกัน วัยกำลังโตกินเยอะๆสิ”

แล้วผมก็ต้องขึ้นมานั่งกินยาช่วยย่อยที่เอริคแอบเอามาส่งให้ก่อนนอน ไอ้ริชชี่ก็นอนหงานพุงหลามไม่แพ้กัน ผมนอนมองเพดานห้องอยู่สักพักจึงคิดได้ว่าน่าจะสไกป์ไปหายัยฟ้าสักหน่อย ดูเวลาแล้วที่นี่เริ่มมืด ที่โน่นก็น่าจะกลางวันละมั้ง



พอผมเข้าระบบได้ก็เห็นชื่อนางออนไลน์เด่นหราเลยครับ พอคลิกปุ๊บก็ตอบปั๊บ แถมยังส่งเสียงแหวมาทางหน้าจอจนไอ้ริชชี่ที่กำลังนั่งเลียขนอยู่จ้องตาวาวเลยครับ ฮ่าๆ


‘หายไปนาน’ นางพูดเสียงขุ่น

“แหม ไม่ได้นั่งรถจากกรุงเทพไปชลบุรีนะจะได้ชั่วโมงเดียวถึง”

‘เชอะ พอไปอยู่เมืองนอกละทำปีกกล้าขาแข็ง’ ผมทนนั่งฟังยัยฟ้าบ่นๆผมอยู่พักหนึ่งนางก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออกว่าจะพูดอะไร

‘เออ!! เราเพิ่งนึกออก’ นั่งไง ผมว่าแล้ว ‘วันนี้เราเจอพี่รันด้วย’




ผมนิ่ง




นิ่งจนคนในจอโน้ตบุ๊คเอามือโบกไปมาตรงหน้ากล้อง

‘เฮ้ยนิล ช็อคเลยเหรอ’

“อะ อ๋อ แล้วฟ้าไปเจอเขาที่ไหนละ” ผมพยายามรักษาน้ำเสียงให้ปกติ แม้ว่าในใจผมมันจะเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน ความโหยหาที่มันหายไปเมื่อนานมาแล้วเริ่มกลับมาอีกครั้ง ระยะเวลากว่าสี่ปีที่ผมไม่เคยพบเขาเลย แล้วจู่ๆยัยฟ้าก็ได้พบเขาหลังจากที่ผมบินมาอังกฤษแล้วนี่นะ หึ... สวรรค์ไม่ยุติธรรมกับผมเลย...

‘เฮอะ ที่ไหนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่าเราเจอเขาไปกับใครต่างหาก’

“หืม? ฟ้าเจอเขามากับพี่เลเหรอ”

‘ก็ใช่นะซิ เรานะอยากจะเข้าไปทักเขาจะแย่ แต่ดันมากับผู้ชายคนนั้นเสียได้ เซ็งชะมัด’

“แล้วสรุปไปเจอเขาที่ไหนอะ”

‘บริษัท XXX น่ะ เราไปสมัครงาน ดูท่าเหมือนเขาคงมาทำธุระอะไรสักอย่างละมั้ง’ ยัยฟ้าก้มลงกดอะไรยุกยิกตรงหน้าก่อนจะชูหน้าจอไอแพดมาทางผม ซึ่งแสดงภาพเซิร์ชเอนจินชื่อดัง และข้อมูลที่ค้นหาก็คือชื่อของพี่รัน...

‘เราลองเอาชื่อพี่รันไปเซิร์ชในกูเกิ้ลเล่นๆ ก็เจอข้อมูลเพียบ ไหนจะ ‘นักธุรกิจใหม่ไฟแรง’ เอย ‘สถาปนิกรูปงาม’ เอย ‘นักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอมแห่งปี’ เอย โอ๊ย เยอะแยะอะนิล เดี๋ยวนี้ดูเหมือนพี่รันเขาจะเปิดตัวในวงสังคมมากขึ้นแล้วนะ’ ผมนั่งฟังยัยฟ้าพูดไปเจื้อยแจ้ว แต่มือกลับกำลังหาข้อมูลของพี่เขาทางอินเตอร์เน็ต ข้อมูลของพี่รันแสดงเยอะแยะไปหมด ส่วนมากจะเป็นข่าวในแวดวงไฮโซ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกห่างไกลจากเขาเข้าไปใหญ่ แต่อย่างน้อยก็ได้ทำให้ผมได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง แม้มันจะเป็นแค่แบบสองมิติก็เถอะ...



คงไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้นเวลาว่างผมมักจะทำอะไร อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข่าวชั้นยอดที่ทำให้ผมได้รู้ความเป็นไปของพี่รัน บางข่าวก็ทำให้ผมอมยิ้ม บางข่าวก็ทำให้ผมเศร้า เช่นข่าวระหว่างพี่รันกับสาวๆลูกหลานไฮโซที่ดูมุมไหนก็เหมาะสมกันไปทุกส่วน พี่รันในรูปดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูสุขุมขึ้น มีครั้งหนึ่งผมได้เห็นเขาไปออกงานการกุศลอะไรสักอย่างกับคุณแม่เขา นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคุณแม่พี่รัน ซึ่งท่านก็ดูเหมือนสาวสังคมทั่วไปแหละครับ สวย แต่งตัวดี บนร่างกายมีแต่ของแบรนด์เนม แต่ว่าแม่พี่รันต่างจากคุณป้าไฮซ้อไฮโซทั่วไปตรงที่ท่านยังดูสาววววววมากกกกกก แถมยังสวยมากกกกก (แม่ผมก็ยังสาวยังสวยนะเออ แต่แม่พี่รันเขาดูสวยเลิศเลออย่างกับดาราอะคุณนึกออกมั้ย -..-) แถมท่าทีการวางตัวของท่านยังดูแบบ... เอื้อมไม่ถึงอ่ะ...




//////////////////////



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2014 17:05:56 โดย บีบีจัง »

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป





ผมนั่งๆนอนๆอยู่ที่บ้านอีกเกือบสัปดาห์แม่ก็เตะผมให้ออกไปทำงาน ตอนแรกเอริคจะให้ผมพักต่ออีก แต่แม่ก็ยังยืนกรานว่าผมไม่ควรอยู่เฉยๆ เพราะการที่เราอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรสักอย่างมันจะทำให้เราเฉื่อยชา และถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆก็จะกลายเป็นคนเกียจคร้านในที่สุด


เอริคพาผมมาแนะนำกับบริษัทของเพื่อนเขาที่อีกเมืองหนึ่ง เราใช้เวลาขับรถประมาณสี่สิบนาที ซึ่งดีว่าถนนที่นี่ไม่เหมือนกรุงเทพ รถไม่ติด ควันไม่เยอะ คือบรรยากาศดีกว่าจมหูเลยละครับ แถมข้างทางยังเป็นทะเล วันดีคืนดีก็มีสาวน้อยสาวใหญ่มานอนตากแดดกันประปราย แต่หลังจากนี้ถ้าผมต้องขับรถมาเองก็คงจะหมดโอกาสส่องสาวๆแล้วแหละครับ


ออฟฟิศของที่นี่เป็นตึกสองชั้น ถ้าให้กะความกว้างแบบไทยๆ ก็หน้ากว้างประมาณ 5 คูหาได้ครับ ตัวตึกเป็นอิฐแดงดูคลาสสิคมีไม้เลื้อยเกาะอยู่ตามกำแพง ที่นี่แม่งสวยอย่างกับในหนัง แค่ผมเห็นครั้งแรกผมก็รู้สึกชอบสุดๆ เขาว่ากันว่าความประทับใจแรกพบของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญนะ แล้วสำหรับคนอย่างผมมักจะประเมินความรู้สึกตัวเองกับสิ่งที่ได้พบครั้งแรกเป็นไม่ชอบ หรือเฉยๆเนี่ย การที่ผมชอบที่นี่ตั้งแต่แรกถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากครับ เอาไปสิบคะแนน (ปรบมือต้อนรับผมหน่อย)


มิสเตอร์สตีฟ เฮย์เดน คือชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเอริคที่ยังดูหล่อเหลาและอารมณ์ดี เขาเป็นเจ้าของที่นี่และเป็นเพื่อนบเอริค เขาให้ผมเรียกเขาว่าสตีฟ และพาผมไปเดินดูรอบๆ ที่นี่มีสองชั้นอย่างที่ผมบอกในตอนแรก มีพนักงานประมาณสามสิบคนซึ่งอยู่ร่วมกันแบบเป็นครอบครัว ที่นี่มีจุดสันทนาการให้นั่งพักผ่อนหรือเล่นกีฬาให้ด้วย แถมยังมีอาหารกลางวันให้ทานฟรีอีกต่างหาก (สตีฟบอกว่าเป็นสวัสดิการพนักงาน เพื่อให้พนักงานสามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาได้มากๆ เรียกว่าเอาของกินดีๆมาล่อน่ะครับ)


สตีฟทราบมาว่าผมจบเกี่ยวกับด้านสถาปัตย์ และชอบด้านงานภูมิสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นแนวงานที่สตีฟกำลังจะเปิดเพิ่ม เพราะเดิมทีเขารับแต่พวกงานสร้างบ้าน ตึก ทั่วๆไป แต่เมื่อโลกมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆก็คงจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแหละครับ


“เดี๋ยวผมจะให้คนมาแนะนำงานกับคุณนะนิล” หลังจากที่เอริคกลับไปแล้ว สตีฟก็พาผมมาที่โต๊ะทำงานของผม มันเป็นโต๊ะไม้กว้างมากครับ เรียกว่ากว้างขนาดเอาไว้เขียนแบบไปควบคู่กับการทำงานเอกสารได้เลยละ ผมนั่งสำรวจโน่นนี่ที่โต๊ะผมได้สักพัก สตีฟก็พาหญิงสาวผมทองหน้าตาจิ้มลิ้มมาด้วยคนหนึ่ง สตีฟแนะนำว่าเธอชื่อคลาร่า เป็นหนึ่งในสถาปนิกมือดีของเขา พอสตีฟเดินไป คลาร่าก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างผมและพูดโน่นนี่เร็วปรื๋อจนชั่วขณะหนึ่ง...



ผมคิดว่ายัยฟ้าใส่วิกผมทองมานั่งจ้อตรงหน้าผมครับ...



คุณเอ๊ยยยยยยยย คลาร่าคนนี้พูดเก่งมากกกก พูดไฟแล่บ พูดลิงหลับ พูดจนน้ำท่วม จนผมต้องยกมือขึ้นห้ามเธอแล้วบอกกับเธอช้าๆว่าภาษาผมยังไม่แข็งแรงนัก และเธอต้องพูดกับผมช้าๆหน่อย เธอก็พยักหน้าเข้าใจแต่ก็ยังพูดมากเหมือนเดิมครับ T^T


แต่ถึงจะพูดมาก แต่คลาร่าก็เป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่งคนหนึ่งนะครับ เวลาทำงานเธอจะเปลี่ยนอิมเมจไปเป็นอีกแบบเลย แถมยังชอบโยนอะไรยากๆมาให้ผมช่วยอีกต่างหาก
‘คุณจะได้เก่งไวๆไง’
เธอว่างั้นแหละครับ -..-



แถมบางครั้งผมยังโดนสตีฟลากไปดูงานก่อสร้างที่โน่นที่นี่ บางครั้งก็ต้องค้างคืนเลยครับ แต่ว่างานที่นี่มันสนุกมากจริงๆ เพราะว่าได้เจอผู้คนหลากหลายและยังได้สัมผัสกับวัฒนธรรมองค์กรแบบฝรั่งด้วย ผมเองได้เรียนรู้การทำงานจริงยิ่งทำให้เป็นงานไว และงานชิ้นแรกของผมก็คือ ทำเรือนกระจกให้แม่...



เนื่องจากคุณนายแม่ของผมนั้นเล็งหาลู่ทางในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในบั้นปลายชีวิตครับ คุณนายอยากจะปลูกผักออแกนิคขายส่งตามร้านอาหาร เพราะตอนนี้เทรนด์รักสุขภาพมาแรง ใครๆก็อยากจะทานแต่ของดีมีคุณภาพ ยิ่งแม่ผมเป็นพวกมือเย็นปลูกอะไรก็งาม ดูเป็นอาชีพที่เหมาะสมมากมาย



แต่ว่าแม่ก็ไม่ได้ใช้ผมเฉยๆนะ แม่ติดต่อไปทางสตีฟอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยครับ และสตีฟก็ยกให้เป็นหน้าที่ผมคนเดียว ยังดีที่ไม่ถึงขั้นให้ผมลงไปก่อสร้างเองด้วย... และหลังจากที่ผมร่างแบบและแก้ร่างแบบและแก้วนลูปอยู่แบบนี้กว่าสี่ห้ารอบ คุณนายแม่ก็พอใจ กว่าจะได้ลงมือสร้างก็ซัดเข้าไปสามเดือน แถมยังต้องเคลียร์ที่ตรงที่จะสร้างด้วย ทำไมมันวุ่นวายแบบนี้ แต่พอผมเริ่มได้เห็นผลงานของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างมันก็แบบ... หัวใจมันพองฟูอะครับ ผมกล้าพูดเลยว่าตอนเรียนจบรับปริญญาผมยังไม่ปลื้มใจขนาดนี้ และนี่ก็นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้มีความรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง



ในที่สุดผมก็ได้พบความสุขของผมเอง... ความสุขที่ผมสร้างเอง ไม่จำเป็นต้องให้ใครหยิบยื่นให้...




▂▂ ▃ ▄ ▅ ▆ ▇ █ █ ▇ ▆ ▅ ▄ ▃ ▂▂


|| T A L K ||

ตอนนี้นิลอาจจะดูพร่ำเพ้อไปบ้างนะคะ
แต่ทุกสิ่งมันต้องใช้เวลา ตอนนี้คนเขียนกำลังพยายามทำให้จิตใจนิลดีขึ้นอย่างช้าๆ
ทำนิสัยไม่ดีไว้แล้วปุบปับจะมาลั้นลาเลยคงไม่ใช่
คนเขียนพยายามให้นิลได้คิด ได้รู้สึกผิดนานๆค่ะ เพราะครั้งต่อไปเมื่อได้สิ่งสำคัญกลับมา
จะได้รู้คุณค่าของมัน และไม่ทำให้มันหลุดมือไปอีก


#สรุปคือคนเขียนโรคจิต #ชอบดราม่า #ชอบเขียนดราม่าด้วย


 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ minminmin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อยากให้พี่รินกับนิลเจอกานนนนนนนนนนนนนนนนนน :ling1:

คืนดีกันเร็วๆนะ อยากอ่านฉากหวานๆจังเลย >///<

ออฟไลน์ viky_mama

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
 คิดถึงพี่รันแล้ว

ออฟไลน์ praew_meng

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกจังค่ะ ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย
อย่าหายไปไหนนะคะ รอติดตามจ้ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สี่ปีเลยหรือ มันนานมากเลยนะนั้น

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ตั้งต้นใหม่ ทำใจได้ซะทีนะนิล

แต่ก็สงสารรันกับนิลพอๆกัน

บีบีจัง

  • บุคคลทั่วไป
Chapter 14 [รอไม่ไหว] 30%
«ตอบ #87 เมื่อ02-06-2014 10:23:17 »

Chapter 14 [รอไม่ไหว]




ผมเฝ้านึกถึงช่วงเวลาที่ผมต้องอยู่ห่างกับแม่ และตอนนี้ที่อะไรๆมันเริ่มเข้าที่เข้าทาง ที่บ้านของเราไม่เคยเงียบ เสียงแม่บ่นที่ผมไม่เคยได้ยินมานานเหลือเกิน เสียงเอริคเล่นกับไอ้ริชชี่ เสียงผมสั่งงานกับคนงานที่มาทำเรือนกระจกให้แม่ คำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ทำให้ชีวิตผมได้เติมเต็มอีกครั้ง...



แต่ทั้งๆอย่างนั้นผมกลับรู้สึกวูบโหวงในอกทุกครั้งที่ได้เห็นคนรักเดินคลอเคลีย ผมมักจะมองพวกเขาจนเหลียวหลังและจินตนาการต่อไปว่าพวกเขากำลังจะไปไหนกัน จะไปดินเนอร์ ไปเดินเล่น หรือเพียงแค่นั่งจับมือกันเฉยๆบนม้านั่งที่ไหนสักแห่ง บางครั้งผมเคยลองทำในสิ่งที่คิดว่าคนมีคู่ทั้งหลายเขาทำกันแต่ก็ไม่เวิร์ค แถมยังรู้สึกปวดใจกว่าเดิมอีก -..-



“วันนี้คุณไปลอนดอนกับฉันนะนิล” คลาร่าเอ่ยขึ้นในตอนเช้าที่ผมเพิ่งมาถึงออฟฟิศหมาดๆ

“ได้สิ” ผมตอบ “ว่าแต่จะไปไหนหรือ?”

“มีประชุมน่ะ” แล้วเธอก็ร่ายยาวเกี่ยวกับเรื่องการประชุมประจำปีของสาขาอาชีพเรา ซึ่งจะออกแนวพูดคุยพบปะและยังมีผลพลอยได้คือเป็นการหาลูกค้าหรือแลกเปลี่ยนข่าวสารอีกต่างหาก ซึ่งผมฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก



ผมและคลาร่าออกเดินทางกันประมาณเก้าโมงเช้าหลังจากที่เราหาอะไรทานกันเรียบร้อยแล้ว คลาร่าให้ผมเอารถของผมไป ส่วนขากลับเธอตั้งใจว่าจะไปดินเนอร์กับแฟนของเธอที่ทำงานอยู่ในลอนดอน ผมเองที่เพิ่งสอบใบขับขี่ได้หมาดๆรู้สึกเกร็งเล็กน้อยที่จะได้ขับรถเข้าเมืองแต่ก็พยายามตั้งสติจนสามารถเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย


บรรยากาศในลอนดอนขมุกขมัวไม่เหมือนแถวบ้านเอริค ที่นี่ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนแบบที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย นึกถึงสมัยเรียนที่ขี่พี่มะลิไปเรียน ถ้าวันไหนฝนตกละก็ ผมได้นั่งเปียกซ่กตากแอร์แน่นอน ตอนที่ผมไปถึงสถานที่จัดงานนั้นฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว โชคดีว่าคลาร่ามีร่มติดมาด้วย ผมจึงได้อาศัยร่มของคลาร่าเดินจากที่จอดรถ(ที่เสือกอยู่นอกตัวอาคาร)ไปยังด้านในตึก


ที่ห้องจัดงานมีฝรั่งหัวแดงหัวทองอยู่หลายสิบชีวิต บางคนพอเห็นคลาร่าก็รีบเดินเข้ามาทักทาย ผมเองก็ยิ้มและเออออไปตามเรื่อง จวบจนใกล้ได้เวลาเริ่มงานนั่นแหละจึงได้ไปนั่งที่กัน

“คุณเอาอะไร” คลาร่าหันมาถามผมตอนที่มีพนักงานมาเสิร์ฟเครื่องดื่ม ถาดที่เขาถือมานั้นมีกาแฟ ชา และโกโก้ แน่นอนว่าผมเลือกชา แม้ว่าเมื่อก่อนผมจะชอบโกโก้มาก แต่พอมาอยู่ที่นี่และได้ดื่มชาเป็นประจำ กลิ่นหอมๆและรสชาติที่ซึมซาบในคอทำให้ผมติดใจในที่สุด ยิ่งแม่ผมเป็นคอชาตัวจริง มีทุกยี่ห้อ ทุกกลิ่นที่เขาว่ารสดี ผมเลยสบายไปด้วย



ผมจิบชาร้อนๆและตั้งใจนั่งฟังพิธีกรพูดบนเวที แต่จิตใจมันกลับรู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก เหมือนกับว่ามีสายตาที่มองไม่เห็นกำลังจับจ้องผมอยู่ไม่ห่าง ครั้นจะให้ผมสอดส่ายสายตามองหาก็ใช่ที่ เพราะว่าคนมันเยอะขนาดนี้เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมบ้าเอา


จวบจนพักเบรคนั่นละผมจึงรีบขอตัวไปห้องน้ำ คลาร่ามองผมที่มีท่าทางหงุดหงิดแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรจุกจิก พอผมเดินออกจากห้องประชุมมาก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น และมุ่งหน้าไปห้องน้ำเพื่อจะล้างมือล้างหน้าให้หัวโล่งสักหน่อย ผมส่องกระจกดูสีหน้าซีดเซียวของตัวเองและวักน้ำขึ้นมา ใจก็คิดว่าคงไม่มีอะไร บางทีผมอาจคิดไปเอง ที่นี่มีแต่ฝรั่งเต็มไปหมด พอมีเอเชียหัวดำโผล่เข้ามามันก็คงดูแปลกไปบ้าง คนจะจ้องมันก็ไม่แปลก


หลังจากที่ผมเสร็จธุระแล้วก็เข้ามาปลดทุกข็ในห้องน้ำ ผมไม่ชอบชิ้งฉ่องที่โถด้านนอก มันรู้สึกอายแปลกๆน่ะ พอผมกดล็อกประตูก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาและกดล็อกประตูห้องน้ำเหมือนกัน ผมพลันนึกไปถึงพี่รันที่เขามักจะหัวเราะเวลาผมเข้าห้องน้ำ ว่าขี้อายเหมือนผู้หญิง ส่วนตัวเขาน่ะเหรอ ยืนฉี่อย่างสง่าผ่าเผยอยู่ที่โถด้านนอกนั่นแหละ


เสียงกดน้ำจากห้องอื่นดังขัดจังหวะใจลอยของผม ผมรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและออกมาล้างมือ ผมเห็นหลังคนที่เข้าห้องน้ำมาเมื่อกี้เขาเดินออกไปไวๆ ทำอะไรว่องไวสมเป็นพวกชายแท้จริงนะ อย่างผมเป็นพวกยืดยาด ทำอะไรก็ชักช้าเหมือนผู้หญิงอย่างที่พี่รันเคยว่าจริงๆ…


-----------*------------


“นิล คุณจะเอายังไง จะขับกลับเลยหรือว่าจะไปค้างกับฉันที่บ้านแฟนฉันดี” ผมและคลาร่ากำลังตกลงกันครับว่าจะเอายังไงต่อ การประชุมกึ่งสัมมนาเป็นไปอย่างออกรสจนเวลาล่วงเลยมาจนมืด ผมเองก็เป็นนักขับมือใหม่ การจะให้ขับรถข้ามเมืองมันเป็นอะไรที่สาหัสเอาการ

“ฉันว่าคุณมาด้วยกันเถอะ” คลาร่าดึงข้อมือผม “มืดๆแบบนี้ให้คุณกลับคนเดียวฉันเป็นห่วง เกิดคุณเป็นอะไรไปสตีฟต้องฆ่าฉันแน่”


ด้วยเหตุผลอย่างโน้นอย่างนี้ สุดท้ายผมก็โดนคลาร่าลากไปด้วยครับ บ้านแฟนของเธอเป็นอพาร์ทเมนท์สองห้องนอน แฟนของคลาร่าชื่อลูค ลูคเป็นฝรั่งผมดำตาสีเขียวร่างสูงใหญ่ที่เสียงดังและเฮฮาสุดๆ ตอนเขาเช็คแฮนด์กับผมนี่ทำเอามือผมเกือบหลุด คลาร่าและลูคพาผมไปกินอาหารร้านที่คนกำลังนิยม แม้จะปาเข้าไปสองทุ่มแล้วแต่ร้านอาหารกึ่งผับนี้ยังมีคนพลุกพล่านอยู่ตลอด



“ร้านนี้เพื่อนผมเป็นเจ้าของ” ลูคพูดยิ้มๆ ใบหน้าแดงเรื่อเพราะฤทธิ์เบียร์

“เพื่อนลูคหล่อมากเลยนะนิล หน้าเขาคล้ายๆคนเอเชียด้วย”

“เหรอ” ผมยิ้ม สงสัยเพื่อนลูคคงจะเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า

“เห็นว่าวันนี้มันจะเข้ามาดูที่ร้านด้วย” ลูคกระดกเบียร์อึกๆจนหมดไพน์แล้ววางแก้วเบียร์ลงกับโต๊ะอย่างดังจนผมตกใจ คลาร่าที่เห็นผมสะดุ้งก็หัวเราะแล้วเอามือตีแขนแฟนตัวเองดังเพียะ

“ลูคเขามาจากครอบครัวใหญ่น่ะ เป็นครอบครัวที่เสียงดังเจี๊ยวจาวเอาเรื่องเลย”

“บอกเพื่อนคุณด้วยสิคลาร่า ว่าผมก็อยากสร้างครอบครัวใหญ่แบบนั้นกับคุณเหมือนกัน” ลูคพูดกับคลาร่า แล้วหันมากระซิบ’เสียงดัง’กับผม “หล่อนไม่ยอมแต่งงานกับผมสักที ผมรอจนเชื้อฝ่อหมดแล้ว”

ผมหัวเราะก๊ากทันทีที่ลูคพูดจบ พร้อมกับคลาร่าที่หน้าแดงก่ำและรัวฝ่ามือลงบนแขนแฟนหนุ่ม ผมรู้สึกสนิทใจกับลูคอย่างรวดเร็วเพราะนิสัยเฮฮาของเขา เรานั่งคุยกันเพลินจนลืมเวลา



“เฮ้” ลูคกวักมือเรียกใครบางคน ผมหันมองตามแต่ก็ไม่สามารถฝ่าสายตาผ่านฝรั่งร่างสูงใหญ่ที่อัดกันเต็มพื้นที่ร้านแห่งนี้ได้ ผมเห็นแต่เพียงฝูงคนในร้านที่หันไปทักทายกับใครสักคนที่กำลังเดินมาที่โต๊ะผม ท่าทางเขาดูจะเป็นที่รู้จักดีของคนในนี้แฮะ

“นั่นเพื่อนผม ที่ผมบอกว่าเป็นเจ้าของร้านน่ะ” ลูคบอก

“เขา-หล่อ-มาก” คลาร่าทำปากแต่ไม่ออกเสียงเพื่อให้ผมรู้เรื่องคนเดียว ผมจึงยักคิ้วให้เพื่อนสาวคนใหม่



คุณลองนึกถึงในหนังอะครับ เวลาเปิดตัวเจ้าชายรูปงามที่เดินมาบนพรมโดยมีพสกนิกรร้องสรรเสริญอยู่รอบด้าน เจ้าชายก็โปรยยิ้มและโบกมือทักทุกคนอย่างสง่างามและเป็นมิตร ผมพยายามเขม้นมองชายตรงหน้าสุดพลัง แต่ว่าด้วยสายตาที่สั้นถึง 425 แถมยังไม่มีคอนแทคเลนส์หรือแว่นมันไม่ช่วยอะไรเลย (ผมถอดคอนแทคเลนส์ออกตั้งกะเสร็จงานสัมมนาแล้วครับ ใส่นานๆมันปวดหัว)



เพื่อนเจ้าของร้านของลูคเดินมาจนเกือบจะถึงโต๊ะผมนั่นแหละครับ ผมถึงได้เห็นเขาชัดๆ เขาตัวสูง แต่งตัวดีมีรสนิยม ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปแกะสลัก จมูกโด่งนั่นและสีดวงตาที่ผมคุ้นเคย...



เขายังหล่อเหมือนเดิม... ไม่สิ หล่อกว่าเดิมด้วยซ้ำ...



พี่รันของผม...



-----------*------------




ผมอยากจะแทรกแผ่นดินหายไปให้พ้นๆจากตรงนี้ ในหูผมอื้ออึงและหัวใจก็เต้นถี่ระรัว แม้สายตาเฉยชาเหมือนคนไม่รู้จักกันจะทำผมปวดใจเหลือเกิน แต่ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอย่างตอนนี้



“เฮ้จูเนียร์ นี่เพื่อนที่ทำงานคลาร่า ชื่อนิล” คำแนะนำตัวผมของลูคทำให้ผมหูผึ่ง จูเนียร์งั้นหรือ? ผมเพิ่งรู้ว่าพวกฝรั่งด้วยกันเรียกพี่รันแบบนี้ จูเนียร์หมายถึงอะไรนะ...


“สวัสดีครับ” พี่รันส่งยิ้มให้ผม และทักผมเป็นภาษาไทย ผมรู้ว่าตอนนี้ผมคงทำสีหน้าที่ทุเรศที่สุด จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะเศร้าก็ไม่เศร้า มันเลยออกมาแหยๆบอกไม่ถูก


“สะ... สวัสดีครับ”


“เฮ้ พวกนายพูดภาษาเดียวกันได้นี่ ไม่แฟร์เลยนี่หว่า” ลูคโวย คลาร่าเองก็มีสีหน้าประหลาดใจที่พมและพี่รันพูดภาษาเดียวกันได้

“แค่เห็นก็รู้แล้วดู๊ด ว่าเขาคนไทย” พี่รันยิ้มมุมปาก เป็นอากัปกิริยาแบบที่ผมไม่เคยเห็น นี่สินะอีกด้านหนึ่งของพี่รัน... ที่ผมไม่เคยเห็น

แต่ผมก็ดีใจอย่างหนึ่งที่ผมสามารถฟังภาษาอังกฤษที่พี่รันพูดออกแล้ว มันเจือสำเนียงอเมริกันหน่อยๆ แหบนิดๆ และทุ้มต่ำ เป็นเสียงที่ดูเซ็กซี่และมีสเน่ห์อย่างที่เมื่อก่อนนั้นผมไม่เคยสังเกต (แน่ละสิ ตอนนั้นผมฟังออกเมื่อไรละ) ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม เพราะการที่ผมรับรู้ได้ว่าเขาคุยอะไรกันบ้างมันทำให้เราไม่รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน



ลูคเป็นฝ่ายผูกขาดการสนทนา โดยมีพี่รันโต้ตอบเป็นระยะ ผมลอบมองพี่รันที่นั่งตรงข้ามกับผมโดยคอยระวังไม่ให้เขาจับได้ พี่รันคุยกับลูคและคลาร่า แต่ไม่ได้พูดกับผมอีก ใจผมมันกระหวัดไปถึงเรื่องที่ทำให้ผมต้องเลิกกับเขาแล้วก็สงสัยว่าทำไมในตอนนั้นผมถึงยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นได้? ตอนนั้นผมอ่อนไหวโลเลขนาดนั้นเลยหรือ ผมลองมองไปรอบๆร้าน ที่นี่มีลูกค้าส่วนมากเป็นผู้ชาย ทั้งสูงต่ำดำขาวคละกันไป แต่ที่แน่ๆเลยคือทุกคนหน้าตาดี (นี่เป็นมาตรฐานในการเลือกลูกค้าหรือเปล่า?)



ระหว่างที่ผมมองผู้คนไปเรื่อย สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่โต๊ะไม่ไกลกันมากนัก เขามากับกลุ่มเพื่อนที่ดูเหมือนเป็นคนทำงานเช่นเดียวกัน เขาตัวสูง ตาสีฟ้าเจิดจ้าสะกดให้ผมเผลอมอง จนกระทั่งเขาสบตากับผมนั่นแหละ ผมจึงโฟกัสสายตากลับมาทันที


“!!” ผมชะงักกึกตอนที่เห็นพี่รันกำลังจ้องมาที่ผม ดวงตาสีอ่อนจ้องเขม็งจนผมเกร็ง


“คลาร่า ผมขอไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมหาเรื่องลุกหนีออกมาทันที พอเข้ามาในห้องน้ำก็แอบคิดว่าพี่รันจะตามผมเข้ามาเหมือนในนิยายหรือเปล่าวะ ฮึ้ยยย ผมคงเพ้อเจ้อไปแล้วล่ะ



“ไฮ”



ผมหันไปมองทางต้นเสียง ผู้ชายคนนั้นที่ผมเผลอมองเขานั่นเอง เออ... ผมลืมไปแล้วนะว่าผมเผลอสบตากับเขาไปทีหนึ่ง หึ... เพราะสายตาพี่รันแท้ๆทำผมลืมเรื่องอื่นไปหมด


“ครับ?” ผมยิ้มตอบ ผู้ชายคนนี้ก็ดูเป็นคนไม่เลวร้ายอะไร ยิ้มให้ไว้ก่อนคงจะดีกว่า


“ผมไรอัน คุณละ”


“นิล...ครับ?” ผมขมวดคิ้ว ที่อยู่ดีๆก็มีคนมาแนะนำตัวกับผม


“ผมอยากรู้จักคุณ” ไรอันพูด “เราเป็นเพื่อนกันได้มั้ย” เขายิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือมาทางผม ผมจึงจับมือเขาตอบและยิ้มให้


“โอเค ได้อยู่แล้ว”




แล้วผมก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนไรอัน เรานั่งคุยกันจนได้รู้ว่าพวกเขาเป็นแพทย์อินเทิร์นซึ่งมานั่งสังสรรค์กันหลังออกเวรอันหนักหนาตลอดสัปดาห์ เพื่อนคนหนึ่งของเขาเล่าให้ผมฟังเรื่องคนไข้ท้องแก่ที่มาโรงพยาบาลพร้อมกับเลือกที่ไหลโกรกมาตามง่ามขาทำเอาเขาขาสั่นพั่บๆ ผมทั้งพูดคุยทั้งหัวเราะจนลืมเวลา กระทั่งคลาร่ามาตามผมที่โต๊ะ


“นิล กลับกันเถอะ” คลาร่าสะกิดผมและส่งยิ้มให้คนอื่นๆเป็นทำนองว่าขอตัวก่อน ผมบอกลาทุกคนและไรอัน ก่อนผมจะเดินออกมาจากโต๊ะ ไรอันคว้าไหล่ผมไว้แล้วขอเบอร์ติดต่อ ผมกับเขาเลยได้แลกเบอร์กัน และเขาก็บอกว่าผมคุยสนุกมากด้วย


“คืนนี้คุณฮ็อตมากเลยนะนิล” ลูคพูดกลั้วหัวเราะขณะที่เรากำลังเดินกลับ ผมที่มัวแต่มองหาพี่รันที่หายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้จึงไม่ทันฟัง

“หา? คุณว่าอะไรนะ”

“จูเนียร์น่ะ เขาขอเบอร์โทรของคุณจากฉันด้วยนะ” คลาร่าอมยิ้ม แต่ผมกลับรู้สึกร้อนหน้าไปหมด พี่รันเนี่ยนะขอเบอร์ผม.... ไม่อยากจะเชื่อ... ผมเอามือปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นยิ้ม โชคดีว่าคู่รักข้างๆผมมัวแต่คุยกระจุ๋งกระจิ๋งกันอยู่เลยไม่ทันได้สังเกตอาการของผม ผมจึงมีเวลาคิดฟุ้งซ่านได้อย่างเต็มที่



“!!!”



ผมสะดุ้งเฮือกตอนที่โดนมือลึกลับกระชากตัวผมจากซอกตึกที่เราเดินผ่านมาเมื้อกี้ ความที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ผมไม่ทันขืนตัว รู้อีกทีก็โดนจับปิดปากอยู่ในซอกตึกเรียบร้อยแล้ว สมองผมตอนนั้นมัวแต่ด่าตัวเองที่เดินไม่ดูทาง ไม่นึกว่าย่านการค้าในลอนดอนจะมีโจรที่อุกอาจได้ขนาดนี้ ผมมองลูคและคลาร่าที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ทันสังเกตผมสักนิด โว้ยยย ไอ้คู่รักลืมโลก


ขณะที่ผมกำลังก่นด่าเพื่อนและตัวผมเองอยู่นั้น โจรมุมตึกก็บอกกับผมว่า...




“พี่รอไม่ไหว”





******************************* 30% *******************************



ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
รอไม่ไหว คืออะไรคะพี่รัน จะกลับมาหานิลแล้วใช่ไหมพี่ เร็วๆเลยคะคนรอเพียบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด