CHAPTER 17 ...คุณราตรี...รัตติกาลกอดร่างหอมหวนในอ้อมแขนแนบแน่น แม้จะเสร็จสิ้นกิจกรรมที่พาลเอาหัวใจแทบหยุดเต้น แต่เขาก็ยังไม่อยากจะผละอกจากร่างกายนี้แม้แต่น้อย ฝ่ามือใหญ่ยังผงลูบไล้ผิวเนื้อเนียนที่ผุดพราวเม็ดเหงื่อแสนหวาน ริมฝีปากยังคงจูบซับความนุ่มนวลซ้ำๆอย่างกับคนไม่รู้พอ
ค่ำคืนนี้ทิวาโอนอ่อนกับเขายิ่งกว่าค่ำคืนไหน ร้อนแรงจนกายเขาเกือบจะลุกไหม้ ทุกสัมผัส ทุกการโต้ตอบ รอยยิ้มแปลกตายามที่ควบคุมเขาจนร้องครางระงม มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นลูกไก่ตัวเล็กๆเดินไปมาบนฝ่ามือ ที่จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด... มันทำให้เขาดีใจ จะเป็นอะไรก็ได้ ต่อให้ถูกบีบจนตาย ถ้าด้วยน้ำมือของทิวาแล้วล่ะก็ เขายิ่งกว่ายินดี
“เดียว...”
เสียงอ่อนแรงดังขึ้นแผ่วเบายามที่ริมฝีปากผละออกจากกัน ทิวาปรือตาเล็กน้อยคล้ายคนง่วงงุนหากใบหน้าสวยยังคงระเรื่อแดง ริมฝีปากบางบวมเจ่อเล็กน้อยกับรสจูบหลายครั้งหลายครา แต่เขาไม่เคยพอ ไม่เคยหยุดความต้องการที่จะลิ้มชิมน้ำหวานนั้นได้
“ง่วง...”
คำสั้นๆที่เอ่ยต่อเรียกรอยยิ้มจากเขาได้ง่ายดาย เหมือนหลายๆครั้งที่เขาหยุดตัวเองไว้ไม่ได้ จนเผลอไผลตักตวงความอิ่มเอมจากรสรักมากมายจนร่างกายทิวามักจะออกอาการอยากจะหลับกลางอากาศ ยิ่งครั้งนี้ทิวายอมตามใจเขาเป็นฝ่ายขับเคลื่อนเอง ร่างกายถึงได้เพลียแรงแม้ว่าตัวตนของเขายังคั่งค้างอยู่ในกายนุ่มนั้นก็ตาม
“เอาออกนะ...”
เสียงวอนขอดังผะแผ่ว กับเรือนร่างที่ขยับไหวนน้อยๆคล้ายกับพยายามดันตัวเองให้หลุดพ้นจากการลุกล้ำ รัตติกาลเหยียดยิ้มกับตัวเอง ไม่ได้รู้เลยสักนิกว่ายิ่งทำอย่างนี้จะยิ่งไปกระตุ้นให้ไอ้สิ่งที่มันไร้หัวคิดตั้งตระหง่านอีกครั้ง ช่องทางที่แม้จะฉ่ำแฉะจากหยาดน้ำมากมายหากมันยังแน่นหนั่นโอบรัด ยิ่งขยับเขยื้อนหวังให้มันออก มันจะยิ่งอยากจะกลับเข้าไปฝังตัวให้ลึกขึ้นกว่าเดิมน่ะสิ
“ซี๊ดดด!! เดียว..”
ทิวาสะดุ้งแรง ยามเขาเคลื่อนกายฝากฝังแก่นกายกลับเข้าไปแน่นิ่งตามเดิม ทิวาผินหน้าหันมา ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ หากคนมองชอบใจเป็นที่สุด
“ไม่อยากเอาออกเลย” คำพูดยั่วเย้าที่พาลให้คนฟังหน้าเห่อร้อนปนความโมโหได้ง่ายๆถูกส่งออกไปพร้อมรอยยิ้มยียวน
“มันเจ็บอ่ะเดียว...แสบๆด้วย”
การกลั่นแกล้งจบลงทันที รัตติกาลค่อยๆถอดกายออกอย่างเชื่องช้า ร่างสูงลุกขึ้นนั่งพลางคว้าสะโพกบางให้หันเข้าหาตัว รั้งขึ้นสูงจนสามารถมองเห็นช่องทางได้ชัดเจน ร่องหลืบที่เขาฝังกายอย่างสิเน่หาแดงก่ำจนคิดว่าถ้ารุนแรงมากกว่านี้อีกนิดทิวาคงได้เสียเลือดเพราะความร้อนแรงของเขาเป็นแน่ แต่กระนั้นก็เถอะ ยามมองเห็นหยาดรักของตัวเองรินไหลออกมาจากช่องทางนั้นเลือดในกายก็พลันร้อนรุ่มอีกระลอก
ให้ตายเถอะ!! เขาไม่เคยพอกับร่างกายนี้เลยจริงๆ
“ไม่เอาแล้วนะเดียว...” ราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ สะโพกที่ยกลอยจึงบิดหนีสายตาทิ้งต่ำลงกับที่นอนตามเดิม “จะบ้ากามเกินไปแล้ว”
“แสดงว่าคิดเรื่องเดียวกัน รู้ใจเกินไปแล้ว” รัตติกาลโถมตัวทับ จูบหัวไหล่มนแรงๆ ก่อนจะค่อยๆส่งปลายนิ้วเข้าชำแรกช่องทางบอบช้ำอย่างเชื่องช้า
“อื๊อ!!”
“ให้มันออกมานะ จะได้สบายตัว” ปลายนิ้วทั้งสองทำหน้าที่อย่างคุ้นชิน หมุนคว้านแล้วแยกออก กดหน้าท้องแบนราบเบาๆเพื่อให้หยาดน้ำคาวหลั่งรินออกมา
“เดียว...”
ทิวาตัวสั่นสะท้าน จับมือเขาที่คอยกอดหน้าท้องอยู่เสียแน่น เขาอยากจะพอแล้วจริงๆ สงสารจนอยากจะให้พักอย่างที่ต้องการ แต่ทิวากลับไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือกันเลย
“เดียว”
เสียงขาดห้วงพึมพำชื่อเขา ไม่ใช่เพราะความหวามไหว หากเป็นเพราะสองนิ้วที่กำลังซุกซนเกินหน้าที่ต่างหาก ก็ของมันเคยๆ จุดไหนบ้างที่จะเรียกเสียงคราง จุดไหนบ้างที่จะเรียกไฟราคะให้โหมไหม้ เขารู้ทุกอย่าง
“ถ้าทำอีกจะโกรธจริงๆนะเดียว”
“ครับๆ จะทนจนถึงพรุ่งนี้ก็ได้”
“ไอ้บ้า! มันเจ็บ เข้าใจบ้างมั้ย” รัตติกาลอมยิ้มกับแรงตีที่เบาแสนเบา ทิวาพยายามพลิกตัวจนหลุดพ้นจากนิ้วของเขา เคลื่อนร่างเนียนนุ่มออกไกลให้พ้นระยะเอื้อมมือ
“ไปอาบน้ำกันเถอะ”
“จะอาบเอง”
“เดินไหวรึไง”
“งั้นจะคลานไป”
“ไม่ทำแล้วน่า สงสาร”
“ไปบอกไอ้ที่มันยังโด่เด่นั่นเถอะ” รัตติกาลเหยียดยิ้มกับสายตาที่มองตรงมา เขาก้มลงมองตามการชี้นำแล้วก็ให้ยิ้มกว้างกลับไป ก็นะ... ก็บอกแล้วว่าไอ้นี่มันไม่มีสมอง ไอ้สิ่งที่เขาเข้าใจกับสิ่งที่มันรู้สึกก็เลยสวนทางกันอย่างที่เห็น
“ไม่ทำแล้วจริงๆ” เขาเริ่มขยับกายลุกขึ้นจากเตียงก่อน เดินตรงไปหาร่างโรยแรงก่อนจะช้อนตัวขึ้นแนบอก ทิวาไม่ได้เบาโหวงจนเขาแสร้งบอกได้เต็มปากว่าไม่หนัก แต่เขากลับยินดีที่จะแบกรับโดยไม่มีบ่น ทิวาที่ยอมปล่อยกาย เกาะคอเขาไว้โดยไร้การขัดขืน มันยิ่งเพิ่มความสุขให้เป็นเท่าทวี อย่างที่เขาคิดไปเองว่าทิวาวางใจในตัวเขา วางใจในอ้อมกอด ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ร่วงหล่น
หลังจากการชำระล้างร่างกายจนสะอาดเอี่ยม เขาก็อุ้มทิวาออกมาอีกครั้ง วางลงบนปลายเตียงก่อนจะจัดการดึงผ้าปูรองออกไปใส่ตะกร้าผ้า ร่างสูงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหากางเกงนอนสำหรับตัวเอง และเสื้อนอนตัวหลวมสำหรับทิวา ก่อนจะคว้าร่างหอมๆเข้าสู่อ้อมแขนแล้วจมดิ่งเข้าสู่นิทราไปพร้อมกัน
เหมือนหัวใจฟูฟ่องล่องลอย เหมือนแผ่นหลังติดปีกแห่งความปรารถนา
เขาจะไม่ยอมปล่อยทิวาให้หลุดมือ
ใบหน้านี้ ร่างกายนี้ ความหอมหวนชวนหลงใหลนี้
ทุกอย่างเป็นของเขา
เขาจะไม่ยอมเสียไปอย่างเด็ดขาด...
...
...
...
เธอนอนไม่หลับทั้งคืน
ที่จริงต้องพูดว่าเธอทำอะไรไม่ถูกไปทั้งวัน หลังจากที่ได้ฟังคำบอกที่ประหัตประหารความหวังเธอจนสิ้น
‘ผู้ชายคนนั้น...คือคนที่ผมรัก’
เธอแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ฟังมันออกมาเต็มปากเต็มคำจากลูกชายเพียงคนเดียว ลูกชายที่กว่าจะได้มากอดในอ้อมอกช่างทรมานยากเย็น ลูกชายที่เธอได้แต่พร่ำบอกให้เลิกเจ้าชู้ประตูดิน เปลี่ยนผู้หญิงเหมือนเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้า ลูกชายที่เธอหวังเอาไว้ว่าจะให้กำเนิดหลานชายตัวน้อยๆ หรือหลานสาวหน้าตาน่ารัก
คุณราตรีน้ำตาปริ่ม ยามที่คิดว่าความฝันนั้นช่างริบหรี่
เมื่อวัน... เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้พูดโต้ตอบอะไรออกไปหรือเปล่า เพราะแม้แต่เธอกลับมาถึงบ้านได้อย่างไรเธอยังไม่รู้ ในหัวสมองเหมือนถูกแช่แข็งให้จนปัญญาที่จะคิดอะไรออก
หากเมื่อมาถึงบ้าน
เมื่ออยู่เพียงลำพัง น้ำตาก็พลันพรั่งพรูออกมา
เธอจะไม่เถียง จะไม่หลอกตัวเองว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นแค่ความฝัน หรือการรับฟังที่คลาดเคลื่อน
แม้ว่าลูกชายเธอจะเจ้าเล่ห์แสนกลหรือปลิ้นปล้อนเป็นปลาไหล แต่สิ่งหนึ่งที่รู้แก่ใจ
...รัตติกาลไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเอง
เธอเป็นแม่ที่เห็นลูกชายคนนี้มาตั้งแต่เกิด เลี้ยงมาด้วยสองมือ รัตติกาลมักจะทำหรือพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดและต้องการ คล้ายจะเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ แต่เธอกลับมองว่ามันเป็นความสัตย์ซื่อแบบหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเธอรู้...
รัตติกาลพูดจริงทุกคำ พูดความในใจออกมาเหมือนทุกครั้ง อย่างไม่เกรงว่าคนฟังจะรับได้หรือไม่
“คุณคะ...” คุณราตรีหันไปปลุกสามีคู่ทุกข์คู่ยากที่ยังนอนหลับสนิท คุณวันชัยลืมตาขึ้นมองหน้าเธอก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่ข้างเตียง
“ยังเช้ามากเลยนะ คุณตื่นมาทำไม ไม่สบายรึเปล่า” เธอยิ้มรับความห่วงหาอาทรที่ส่งผ่านออกมาก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ฉันมีธุระต้องไปคุยกับลูกค่ะ แค่อยากจะบอกคุณไว้ เผื่อตาเดียวเข้างานสาย”
“มีเรื่องอะไรด่วนถึงต้องไปคุยตอนนี้”
“ก็คงหนักหนาล่ะค่ะ เพราะถ้าฉันไม่รีบไปคุยให้รู้เรื่อง ฉันคงกลุ้มใจไม่หาย”
“บอกผมได้มั้ย?” คุณราตรีส่ายหน้าอีกครั้ง กุมมือสามีที่ส่งสีหน้ากังวลมาให้
“ให้ฉันคุยกับลูกก่อนนะคะ”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากคนเคียงหมอน คุณราตรีจึงรีบร้อนที่จะออกไป เพราะมันไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่พอจะคุยเรื่องราวทำนองนี้ได้ดีไปกว่าคอนโดของรัตติกาล หากแม้จะรอให้เย็นย่ำก็คงไม่ทันการกับใจที่ร้อนรุ่ม คุณราตรีรีบสั่งคนรถให้มุ่นหน้าไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุด ก่อนที่ลูกชายเธอจะออกไปทำงาน
คุณราตรียืนมองคีย์การ์ดสำรองในมือ ที่เคยบังคับขอจากลูกชายเมื่อนานมาแล้ว แต่เธอก็ยังรักษามารยาทมากพอ เพราะเธอไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง และทุกครั้งที่มาหาเธอก็จะบอกล่วงหน้ารัตติกาลก่อนทุกครั้งไป
เพราะความเป็นแม่ลูก ไม่ได้ให้สิทธิเธอในการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของลูกชายเกินความจำเป็น
แต่คราวนี้...เป็นครั้งแรกที่เธอหุนหันมา เป็นครั้งแรกที่เธอตัดสินใจแตะบัตรลงกับแถบแม่เหล็กข้างประตู เสียงสัญญาณดังขึ้นเพื่อเตือนให้เธอกดรหัสปลดล็อก ปลายนิ้วจรดปุ่มหมายเลขอย่างเชื่องช้า จนเสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับประตูที่ถูกปลดสลักออก
เธอเดินเข้าไปภายในห้อง ที่ไม่ได้แตกต่างจากครั้งล่าสุดที่เธอมา ข้าวของเครื่องใช้น้อยจนเรียกไม่ได้ว่าเป็นที่อยู่อาศัย แต่บางสิ่งบางอย่างมันดูผิดหูผิดตาออกไป
คุณราตรีเดินไปยังโซฟาตัวยาวที่มีเสื้อสูทสีเข้มวางพาดอยู่ เมื่อหยิบขึ้นมาคลี่ออกด้วยสองมือก็แทบจะทำให้ความมั่นใจสั่นไหว
มันเล็กเกินไปสำหรับลูกชายเธอ จะหมายความว่าอะไรได้นอกจากสูทตัวนี้ไม่ใช่ของรัตติกาล
เธอพับทบก่อนจะวางพาดไว้ตามเดิม ภายในห้องยังคงเงียบงัน และประตูห้องหนึ่งที่แง้มเปิดอยู่มันราวกับกำลังเชิญชวนเธอให้เดินเข้าไปหา
มือบางค่อยๆผลักบานประตูเข้าไป ภายในห้องมีแสงอ่อนๆสาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านโปร่ง
คุณราตรีแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อเห็นภายใน มือบางยกขึ้นปิดปากกั้นเสียงสะอื้น
เสื้อผ้าหลายชิ้นกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณ ทุกชิ้นเธอพูดได้เลยว่าเป็นของผู้ชาย และไม่ใช่ของคนๆเดียว
เตียงนอนหลังใหญ่ยับย่น ปกปิดร่างกายของคนสองคนที่เธอเห็นชัดเจนว่านอนซุกซบกันอย่างแสนสบาย
เธอไม่เห็นหน้าใครคนนั้น แต่อีกคนที่เธอเห็นคือลูกชายคนเดียว
ลูกชายที่ทำให้เธอหมดสิ้นคำโต้แย้งใดใด
คุณราตรีได้แต่ยืนเกาะขอบประตูราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้าย ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะเดินหนีไปให้พ้น หากแต่ขามันไร้เรี่ยวแรงจะก้าวผ่าน
ไม่นานนัก เสียงปลุกจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เธอมองภาพลูกชายสะลึมสะลือตื่นขึ้น เอี้ยวตัวไปกดปิดระบบก่อนจะหันกลับไปหาอีกร่างที่ยังนอนคุดคู้ไร้วี่แววจะตื่น
รัตติกาลยิ้ม...
เป็นรอยยิ้มที่แม้แต่เธอเองก็ไม่ได้เห็นบ่อยๆ
ลูกชายเธอกำลังก้มหน้าลง จูบขมับใครคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรักจนเธอสัมผัสได้
“เดียว...”
คุณราตรีส่งเสียงออกไปแผ่วเบา แต่มันก็ยังดังพอที่ลูกชายจะรู้ว่าเธอยืนอยู่ตรงนี้
“แม่!!”
เธอมองลูกชายที่ปกปิดสีหน้าตกใจเอาไว้ไม่ได้ แต่กระนั้นยามลงจากเตียงก็ยังเชื่องช้านุ่มนวลราวกับกลัวว่าคนที่นอนอยู่จะตื่นขึ้นมา
คนเป็นแม่สูดหายใจเข้าปอดเรียกแรงกายให้กลับมา ขณะที่ลูกชายเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน... แม่จะรอข้างนอก”
...
...
...
_____________________________________________________________ TBC. __________________รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN