CHAPTER 25 ...ข้อเรียกร้อง (ครึ่งแรก)...รัตติกาลเพิ่งจะรู้ว่านอกจากสมองจะบังคับหัวใจไม่ได้แล้ว มันยังไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าได้อีกด้วยเพราะเขายิ้มไม่หุบ ไม่สิ เขาพยายามแล้วแต่มันหุบปากไม่ได้จริงๆ เขาทรมานมานานในช่วงเวลาเกือบปี ได้แต่ฝัน ได้แต่คิดถึง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ตรงนี้แล้ว ทิวาของเขา
เพราะเมื่อมี
ทิวา...
ค่ำคืนอย่างเขาถึงจะมีค่าขึ้นมา
ทิวาเดินนำเขามายังบ้านหลังเดิม แต่เปลี่ยนสถานที่เป็นม้าหินอ่อนในสวน เรานั่งกันคนละฝั่ง คนละความคิด
รัตติกาลดีใจจนแทบจะเป็นบ้า แต่อีกคนเล่า... ทิวายินยอมมาพบกันด้วยเหตุผลอะไร เพราะตัดสินใจจะเดินไปพร้อมกัน หรือว่าตัดสินใจที่จะโบยบินอย่างเสรี และถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะทำอะไรได้ รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีข้ออ้างใดที่จะเหนี่ยวรั้งใจใคร เขาคงได้แต่กลับไปพร้อมใจเดิมๆที่มันสลายไปแล้ว
“เมื่อไหร่จะหยุดยิ้ม”
ถ้ารอยยิ้มมันฉีกกว้างได้มากกว่านี้ มันคงฉีกไปถึงใบหู เสียงที่แสนคิดถึง ใบหน้าที่ดูเหมือนไม่สบอารมณ์ที่เคยได้เห็น ความสุขของเขาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วแท้ๆ แต่เขาจะเอื้อมถึงไหมหนอ
“แล้วทำไมต้องร้องไห้”
รัตติกาลรีบใช้มือปาดหางตา แม้จะได้มาเพียงรอยชื้นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกยู่ดี กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เขาร้องไห้ให้ทิวาเห็น คนเข้มแข็งอย่างเขากลายเป็นเด็กขี้แยได้ง่ายดายเหลือเกิน
“ผมคิดถึงคุณ”
“เคยได้ยินไปแล้ว”
สมองมันสั่งการรอยยิ้มเขาไม่ได้ แต่น้ำเสียงของคนตรงหน้ากลับได้ผลชะงัดนัก น้ำเสียงราบเรียบ กับใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มแม้เพียงมุมปากจะมอบให้เขา มันคืออะไรกันล่ะ? สีหน้าท่าทางห่างเหินแบบนั้น ทิวาจะพูดมันออกมาไหมนะว่าหมดรักกันไปแล้ว หรือแค่จะให้เขาตีความเอาจากภาษากาย
“แม่บอกว่ามาพบคุณหลายครั้งแล้ว”
“ใช่ แต่คุณคงรู้แล้วว่าผมไม่ได้เลือกที่จะกลับไปหาคุณ”
การถูกโยนหินหนักๆใส่หน้ามันจะเจ็บเหมือนรัตติกาลในตอนนี้รึเปล่า เขาทำสีหน้าไม่ถูก จะยิ้ม จะร้องไห้ หรือจะสมเพชตัวเองดี เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองทิวาด้วยซ้ำในสมองมันยังมึนงง แต่หัวกลับพยักขึ้นลงยอมรับคำบอกโดยดุษฎี
มันจบแล้วสินะความรักมันเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษจริงๆ ทั้งหว่านทั้งหอม ลิ้มลองจนหยุดไม่ได้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเข้าใกล้ความตายไปทีละน้อย
“คุณรัตติกาล...”
เขาอยากจะแค่นหัวเราะเสียจริง
‘คุณรัตติกาล’ เขากลายเป็นคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์แบบแล้วใช่ไหม นั่นสินะ ทิวาได้ตัดสินใจไปแล้ว ตัดสินใจที่จะเดินต่อไปลำพัง คนอย่างเขาก็แค่ต้องตายด้วยน้ำผึ้งหวานๆนั้นกลางทางเท่านั้นเอง
“ครับ” เขารวบรวมความกล้าที่จะเผยรอยยิ้มออกไป แม้จะเสแสร้งแต่เพื่อไม่ให้ดูน่าสมเพชมากไปกว่านี้ เขาเคยทำร้ายทิวาไว้มาก แต่เขาก็หลงรักเอามากๆเช่นกัน ถ้าการที่เขายิ้มรับบทสรุปมันจะทำให้เขาดูเป็นลูกผู้ชายขึ้น เขาก็จะฝืนทุกความรู้สึกเพื่อยิ้มออกมา
เขาเคยร้องไห้ เคยอ้อนวอน รอคอยและใกล้จะขาดใจ แต่ตอนนี้เขาจะยิ้มให้ได้ การถูกทิ้งก็เจ็บพออยู่แล้ว เขาไม่อยากดูน่าสงสารเพิ่มขึ้นอีก
“ทำไมต้องเป็นผม...”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตาคนถามทันที นี่ไม่ใช่ประโยคที่เขาคาดว่าจะได้ยิน มันเป็นประโยคคำถามที่ทิวาต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่
“คนมีเป็นร้อย ทำไมต้องเป็นผม...ในคืนนั้น”
“..........”
“ทำไมต้องมารักผม ทำไมถึงไม่เริ่มต้นใหม่กลับใครสักคน ทำไมต้องรอคนที่ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกรึเปล่า ทำไมล่ะรัตติกาล”
ทำไม...
นั่นสิทำไม? เขาจะตอบคำถามในสิ่งที่แม้แต่ตัวเขายังไม่แน่ใจในคำตอบได้ยังไง ก็ไม่ได้คิดว่าจะรัก พอรักแล้วก็ไม่คิดว่ามันจะรักมากขนาดนี้ และเพราะอย่างนั้นถึงได้รอ เมื่อรอไปทุกวันความหวังมันก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
ทำไมกันนะ...ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้
ก็แค่เขาดึงผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง แล้วมันก็กลับไปเป็นเหมือนก่อนอีกไม่ได้
“อีกนานแค่ไหนกันหืม? คุณถึงจะเลิกรักผม อีกนานแค่ไหนคุณถึงจะสลัดผมทิ้งไป เพื่อไปกับใครที่คุณรักมากกว่า”
“............”
“ความรู้สึกของคนเรามันเปลี่ยนแปลงได้เสมอนั่นแหละ จากรักกลายเป็นเกลียด จากชอบเปลี่ยนเป็นรำคาญ การมีความรักมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินบนไม้กระดานเลยสักนิด พอเผลอเมื่อไหร่สุดท้ายก็จะเจ็บตัว คุณคิดว่างั้นมั้ย?”
“............”
“โทรศัพท์สายสุดท้ายที่ได้รับจากพ่อของผมคือการถามผมว่าผมคบอยู่กับคุณจริงหรือเปล่า? และเมื่อผมยอมรับ พ่อโกรธผม... ก็คงเหมือนแม่คุณนั่นแหละที่รับไม่ได้กับการที่ลูกชายเป็นเกย์ แต่แม่คุณกลับยอมรับตัวตนคุณได้ในที่สุด ท่านมาหาผมทุกอาทิตย์เลยนะ บอกว่าคุณเป็นยังไง ขอให้ผมกลับไปหาคุณ”
“.............”
“คุณเห็นถึงความแตกต่างนั้นไหม คุณถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก คุณถึงรักได้อย่างไม่กลัวอะไร แต่สำหรับผมมันน่ากลัว”
“...........”
“ผมไม่เคยเป็นที่หนึ่งสำหรับใครมาก่อน ไม่เคยเข้าพวกได้สนิทกับครอบครัวตัวเอง ยามที่พวกเขาอยู่กันครบพ่อแม่ลูก ผมได้แต่รู้สึกว่าตัวเองถูกดีดออกมา ผมโหยหาใครสักคนที่จะเห็นผมสำคัญที่สุด จะอยู่ข้างผมเสมอเมื่อผมต้องการ จะกอดผมไว้เวลาที่ผมร้องไห้ จะไม่ทิ้งผมไปไหนเวลาที่ผมล้มลง ใครที่จะไม่ทำให้ผมโดดเดี่ยว จะรักแค่ผม มองแค่ผม ยอมให้ผมเป็นลมหายใจ เป็นชีวิต”
“...........”
“ทุกสิ่งที่ผมพูดไป ถ้าคุณเป็นให้ไม่ได้...”
“............”
“ก็โปรดจากไปเถอะ”
“...........”
“ไปรักใครสักคนที่จะไม่เรียกร้องอะไรมากมายอย่างนี้”
“...........”
ทิวาสูดลมหายใจเข้าแล้วปล่อยออกไป ราวกับปลดปล่อยความรู้สึกหนักหน่วงในใจให้ลอยปลิว
เขาพูดไปหมดแล้ว ทุกความเห็นแก่ตัว ทุกข้อเรียกร้อง แต่รัตติกาลกลับยังคงนิ่งเงียบ หึ...มันก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ ใครมันจะยอมทนกับคนที่มีความคิดเห็นแก่ตัวแบบเขาได้ ใครจะมายอมผูกติดตัวเองอย่างกับเงาของใครอีกคน ในเมื่อทุกคนย่อมอยากจะมีเวลาเป็นของตัวเอง มีชีวิต มีครอบครัวที่ต้องคิดถึง
คนที่จะยอมรับข้อเรียกร้องของเขาได้ คงจะมีแต่คนโง่กับคนบ้าเท่านั้นแหละ
รัตติกาลยังคงจ้องมองเขาเงียบๆ มันเป็นสีหน้าราบเรียบบ่งบอกอารมณ์ไม่ได้ ผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรนะ? รับไม่ได้ หรือผิดหวัง อาจจะเริ่มกลัวเขาหน่อยๆแล้วก็ได้ แต่ช่างเถอะ...มันจะสำคัญอะไรถ้าสุดท้ายแล้วมันต้องจบ
ทิวามองเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้นเป็นครั้งสุดท้าย และรัตติกาลก็ทำอย่างที่เขาคิด ร่างสูงนั้นลุกขึ้นยืนขึ้นก้าวออกจากที่นั่ง ทิวาไม่อาจะทนมองภาพนั้นได้ เขาก้มหน้าลงเพื่อหลบหนีจากภาพที่กำลังจะเกิด ภาพที่รัตติกาลเดินจากไป เขาแค่นยิ้มน้อยๆกับตัวเอง เขาจะทำอย่างไรต่อไปดีนะ... ตอนนี้ตัวเขาก็เป็นอิสระอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ต้องคิดถึงใคร ไม่ต้องรักใคร ในเมื่อคนที่ตามหามันไม่มีอยู่จริง เขาก็จะรักตัวเองให้มากกว่าที่เคย
เสียงก้าวเท้าเดินดังขึ้น
จบเสียที ความรักเว้าๆแหว่งๆของเขา
...
...
...
ครึ่งหลัง