CHAPTER 28 ...ลูกชายคนใหม่...“ผมควรจะซื้ออะไรไปฝากพ่อกับแม่ของคุณดีนะ”
คำถามจากคนนั่งข้างๆทำเอาคนที่กำลังขับรถอยู่อมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู รัตกาลไม่ได้ตอบอะไรเพราะคล้ายกับว่าทิวาจะแค่พูดพึมพำกับตัวเองขณะมองดูร้านของฝากตามข้างทาง แม้จะทำเป็นไม่มีอะไรแต่ทิวาดูจะเป็นกังวลเอามากทีเดียว ปกติก็ไม่ใช่คนคบง่ายอะไรอยู่แล้วยิ่งต้องไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ก็คงจะเกรงว่าจะไปทำให้ไม่ถูกใจตามประสาคนเจียมตัว มันเลยกลายเป็นความกังวลที่ดูน่ารักไปอีกแบบ
“เข้ากรุงเทพฯแล้วแวะซื้อของหน่อยดีไหม พวกอาหารบำรุงร่างกายหรือจะเอาเป็นอย่างอื่นดี”
“ไม่ต้องซื้ออะไรไปหรอก”
“ได้ยังไงกัน ไปพบผู้ใหญ่ก็ควรจะมีของติดมือไปบ้าง” แย้งเขาทั้งๆที่สองตาคอยแต่จับจ้องข้างทาง นับตั้งแต่ตอนเช้าที่ขับรถออกมากจากบ้านพักแล้ว วันนี้ทิวาได้มองหน้าเขาเต็มๆหรือยังก็ไม่รู้
“งั้นก็ซื้อพวกผลไม้ไปก็ได้ ผมแวะตลาดสดให้แล้วกัน” รัตติกาลไม่อยากจะขัดใจ และเมื่อทิวานิ่งคิดไปกับข้อแนะนำไม่กี่วินาทีก็ยิ้มรับอย่างเห็นด้วย หัวข้อสนทนาต่อไปเลยกลายเป็นเรื่องผลไม้ล้วนๆ ตัวอย่างเช่น แม่เขาชอบอะไร พ่อชอบกินชนิดไหน พันธ์ใดถึงจะดี ของไม่ชอบ ของที่พอกินได้-- มากมายจนขับเข้ามาในเขตเมืองหลวงโดยไม่รู้ตัว
รัตติกาลขับมาที่ตลาดสดขนาดใหญ่ พยายามขับวนหาที่จอดริมทางเพื่อให้รถยนต์คันหรูหราเกินกว่าจะขับมาจ่ายตลาดได้จอดพัก ร่างสูงเดินมาสมทบกับทิวาที่ยืนมองดูรอบๆอย่างชั่งใจ ตัวเขาเองก็เคยมาที่นี่แค่สามหรือสี่เท่านั้นเพราะตั้งใจมากินก๋วยจั๊บเจ้าดังที่อร่อยขึ้นชื่อ แต่ก็ไม่ได้เดินสำรวจภายในเลยว่าเป็นยังไง
“เคยมาที่นี่ไหม?” คำถามของเขาถูกคนฟังปัดตกไป เพราะทิวาจัดการจับแขนเขาเพื่อให้ไปตามทางที่ต้องการ ตลาดด้านนอกมีแผงลอยตั้งเรียงรายอยู่ตลอดแนวบาทวิถี ร่มหลากสีถูกกางให้ร่มเงาแทบทุกร้าน มีกลิ่นขนมครกโชยมาจากร้านที่มีลูกค้ายืนต่อคิวซื้อประปราย ได้กลิ่นดอกไม้สดมาจากแผงขายพวงมาลัย และกลิ่นหอมๆที่ลอยแตะจมูก รัตติกาลมองคนนำทางหันมายิ้มให้อย่างขัดเขินพร้อมกับชี้ไปที่ต้นกำเนิดกลิ่นรบกวนกระเพาะ
“กินนี่กันก่อนเถอะนะ”
ร้านก๋วยจั๊บน้ำข้นเจ้าเดิมที่เขาเคยดั้นด้นมากินกับเพื่อนตอนนี้กลับถูกมือของคนรักจับจูงให้เข้าไปนั่ง ภายในร้านยังตกแต่งเหมือนเดิมจะเรียกว่าไม่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัยก็ว่าได้ แต่ลูกค้าที่นั่งกันจนเต็มร้านก็บ่งบอกให้รู้ว่ารสชาติที่เคยมีคงไม่ได้ถดถอยไป ทิวาเดินนำไปยังโต๊ะว่างด้านในสุดที่ลูกค้าสามคนเพิ่งจะลุกออกไป
มือบางเก็บรวบรวมชามมาวางซ้อนกันแล้วเลื่อนไปยังมุมโต๊ะด้านนอก ดึงกระดาษทิชชู่สีขาวมาเล็กน้อยเพื่อเช็ดคราบน้ำบริเวณด้านหน้าเขาก่อน และดึงมาอีกเพื่อเช็ดในส่วนของตัวเอง และก็เหมือนทุกครั้งที่มากินตามร้านอาหารข้างทาง ทิวาจะดูมีชีวิตชีวามากกว่าไปนั่งตามร้านอาหารดังๆหรูหรา รัตติกาลยิ้มน้อยๆเฝ้ามองคนรักที่กำลังมองไปตามสองข้างกำแพงที่ติดรายการอาหารที่นอกเหนือไปจากของเด็ดประจำร้าน
“เดี๋ยวนี้เขามีแบบไข่ลวกด้วยแหละเดียว มีไก่ตุ๋นด้วย โอ๊ะ! มีเป็นเกาหลาด้วย”
“เคยมากินเหมือนกันเหรอ”
“สมัยเรียนน่ะ ตอนนั้นยังมีแค่ก๋วยจั๊บธรรมดาๆอยู่เลย” เด็กผู้หญิงที่คาดว่าอยู่ชั้นประถมปลายเดินมาขัดการสนทนาโดยการยกชามทั้งหมดไปเก็บพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดโต๊ะให้สะอาดอย่างว่องไวก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับปากกาและสมุดฉีกเล่มเล็กในมือ
“ทานอะไรดีคะ”
“เดียวกินอะไร”
รัตติกาลมองไปตามรายการบนผนังเพื่อตัดสินใจ “ผมเอาสูตรดั้งเดิมแล้วกัน พิเศษนะ”
“อืม-- น้องครับเอาสูตรดั้งเดิมนะ พิเศษหนึ่งธรรมดาหนึ่ง แล้วก็น้ำชาสองแก้ว”
“รู้ใจ” รัตติกาลบอกสั้นเมื่อพนักงานเสิร์ฟตัวเล็กเดินไปหน้าร้าน เวลาที่เขามากินก็มักจะดื่มคู่กับชาจีนแก่ๆใส่น้ำแข็งที่ร้านมีบริการฟรีคู่กับน้ำเปล่าธรรมดา “แล้วตัดสินใจได้รึยังว่าจะซื้ออะไรดี”
“เดินผ่านเมื่อกี้เห็นสตรอเบอรี่กับเชอรี่ลูกใหญ่น่ากินมาก คุณว่าซื้อไปแล้วให้ร้านดอกไม้ช่วยจัดกระเช้าดีกว่าไหม”
“ผมเห็นลูกพีชด้วย อันนี้พ่อผมก็ชอบ”
“งั้นเดี๋ยวกินเสร็จแล้วไปเลือกกันนะ รู้สึกว่าจะมีร้านดอกไม้ตรงหัวมุมด้วยเขาน่าจะจัดให้ได้” ทิวาบอกแผนการไปเรื่อย สีหน้าเริ่มดูมั่นใจขึ้นอีกระดับเมื่อเล็งเห็นเป้าหมายที่จะทำ
ก๋วยจั๊บยังรสชาติไม่ผิดจากที่เขาจำได้ และดูทิวาก็คงเอร็ดอร่อยไม่แพ้กันจนถึงขนาดสั่งเพิ่มอีกชามเพื่อแบ่งกับเขา คนกินเยอะผิดปกติแอบนวดท้องเบาๆยามที่กำลังรอคิดเงิน เขาไม่อยากจะล้อเลียนให้ทิวาต้องเขิน เพราะถ้าจะกินเยอะเพิ่มเนื้อเพิ่มหนังมากกว่านี้อีกสักนิดเขาคงจะจับจะขยำได้มันมือกว่าเดิม
ผลไม้ที่ต้องการถูกทิวาเลือกแล้วเลือกอีกจนแน่ใจว่าดีที่สุดถึงได้จ่ายเงิน และเหมือนที่เคย ทิวาไม่ยอมให้เขาช่วยออกเงินสักบาทแถมยังยืนยันที่จะถือเอง จนเริ่มหนักจนเปิดกระเป๋าเงินไม่ได้นั่นแหละถึงได้ยอมให้เขาช่วยถือ เมื่อได้ครบทุกอย่างที่คนช่างเลือกต้องการ ร้านดอกไม้จึงเป็นที่สุดท้ายที่จะแวะ
เจ้าของร้านดูจะหนักใจเล็กน้อยกับผลไม้หลากหลายและจำนวนมากที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะ หลังจากนำอย่างละครึ่งจัดลงกระเช้าจนเสร็จเรียบร้อยพร้อมกับช่อดอกไม้ประดับมุม ทิวาจึงเก็บผลไม้ที่เหลือแยกใส่ทุกให้เรียบร้อยเพื่อที่จะแบ่งให้บรรดาแม่บ้านได้กินกัน
“เดียว แวะก่อน” รัตติกาลหยุดเดินเพื่อหันไปมองคนเดินตามหลัง เขาอุ้มกระเช้าผลไม้ตะกร้าใหญ่เดินย้อนกลับไปสมทบที่หน้าแผงขายของริมทาง ปลายนิ้วชี้ชวนให้ทิ้งสายตาลงไปดู “ซื้อกันเถอะ”
♥
♥
♥
รถยนต์คันคุ้นตาของบุตรชายเพียงคนเดียวของบ้านหลังใหญ่แล่นเข้ามาจอดยังบริเวณเดิม ถ้าเป็นทุกทีก็คงไม่มีใครต้องเดินเข้าไปรับใช้เพราะไม่มีใครเดินปรี่เข้าไปได้ทัน หากครานี้กลับมีเสียงเรียกเพื่อขอความช่วยเหลือให้สาวใช้ต้องรีบทิ้งงานเพื่อวิ่งออกไปยังโรงจอดรถ
“แม่อยู่บ้านไหม” รัตติกาลถามขึ้นทันทีที่สาวใช้ที่เห็นกันมานานวิ่งมาหยุดตรงหน้าพร้อมๆกับยกมือไหว้
“อยู่ค่ะคุณผู้ชายก็อยู่”
“อืมๆ อ่ะ เอาไปแบ่งกันนะ แฟนฉันซื้อมาเผื่อ” ว่าแล้วหนึ่งในเจ้าของบ้านก็พยักพเยิดไปทางคนที่ยืนยิ้มแหยๆอยู่ด้านข้าง ให้สาวใช้ต้องตาโต
“แฟนคุณเดียวหรือคะ!”
“ใช่ นี่คุณทิว”
“ค...ค่ะ สวัสดีค่ะ ต้องการอะไรเรียกใช้แจ๋มได้เลยนะคะ” สาวใช้กระพุ่มมือขึ้นไหว้ตามที่เคย “ขอบคุณนะคะที่ซื้อมาฝากพวกหนู”
“เอ่อ...คือ ไม่เป็นไรครับ” ทางนี้ก็รีบยกมือป้องไหวส่ายไปมา ขัดเขินกันสุดฤทธิ์
คนฟังก็ได้แต่อมยิ้มเงียบๆ คนหนึ่งตกใจส่วนอีกคนประหม่าหน้าตาเลยเลยดูตลกไม่แพ้กัน รัตติกาลก้มลงกลับเข้าไปในรถเพื่อคว้ากระเช้าผลไม้ออกมาก่อนจะกระตุกแขนคนข้างๆให้เดินเคียงกันไป ทิวากระชับกล่องสีขาวขนาดกะทัดรัดที่ถือประครองอยู่เสียแน่นเดือดร้อนให้เขาต้องแย่งมาถือไว้เสียเองเพราะกลัวของข้างในจะเสียหายไปซะก่อนจะได้ใช้
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านเพียงแค่พ้นหน้าประตูก็เจอแม่บ้านรุ่นเก๋าที่เป็นยายของเด็กแจ๋มกำลังยืนเช็ดทำความสะอาดคราบฝุ่นบนโต๊ะวางแจกัน หัวหน้าแม่บ้านหันมาเจอเขาก็ยิ้มกว้างอย่างที่เคย รีบทิ้งไม้ขนไก่เพื่อมารับของที่เขาถือไว้เต็มสองมือแต่เรื่องอะไรจะมาให้แย่งถือกันง่ายๆ นี่มันของมัดใจแม่ผัวของเมียเขานะ
“อ้าว แล้วไม่หนักหรือคะนั่น กระเช้าเบ้อเริ่มเชียว” ป้าจิตยืนงงเมื่อเขาเบี่ยงมือหนีการเข้าช่วยเหลือ
“หนัก แต่ให้ป้าไม่ได้” หัวหน้าแม่บ้านวัยเดียวกับแม่เขายิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ แต่เพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลาคนตัวโตเลยใช้ไหล่แซะคนยืนเงียบข้างๆเพื่อแนะนำ “นี่ป้าจิตครับ เป็นคนเก่าคนแก่ที่นี่ ป้าแกช่วยเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก”
“สวัสดีครับป้าจิต” ทิวายกมือขึ้นไหว้พร้อมกับก้มหน้าลงรับพร้อมกับแย้มยิ้มสวย ทำเอาคนโดนไหว้อมยิ้มสีหน้าเขินอายอย่างไม่เกี่ยงวัย
“ป้าจิตครับนี่ทิว แฟนผม” ถ้าจะให้ตรงประเด็นเขาควรจะต้องใช้คำว่า ‘เมีย’ แต่แค่นี้ก็ทำเอาแม่บ้านรุ่นลายครามตาโตไปแล้ว ปากที่ไร้สีสันใดใดอ้ากว้างพะงาบๆเหมือนพยายามจะกินลมเข้าไป ตาที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นโดยรอบเบิกโตมองสลับเขากับทิวาไปมา
“แฟน...งั้นหรือคะคุณเดียว”
“ก็งั้นสิครับ แล้วแม่กับพ่ออยู่ที่ไหนครับ”
“เอ่อ ยะ อยู่ที่ห้องนั่งเล่นกันค่ะ กำลังทานของว่างกันอยู่”
“ไปครับ” เขาส่งเสียงชักชวนให้คนที่เริ่มจะทำตัวลีบเข้าไปทุกทีให้เดินตามมา ถ้าเป็นคนอื่นคงจะเริ่มมองสำรวจภายในบ้านที่แม่ของเขาจ้างช่างมาตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ก็นะ เขาเองก็ไม่เคยพาใครนอกเหนือจากเพื่อนมาที่บ้านก็เลยไม่รู้ว่าคนอื่นจะมีปฏิกิริยาแบบนั้นรึเปล่า ที่บรรดาแม่บ้านตกใจคงไม่ใช่แค่เพราะทิวาเป็นผู้ชายเท่านั้นหรอก แต่คงเพราะเป็นแฟนคนแรกที่เขาพาเข้าบ้านด้วยตัวเอง
ทิวาแทบจะเดินก้มหน้างุดไม่ยอมเงยหน้ามองอะไร สองตาคอยแต่จะจับจ้องฝีเท้าที่เดินนำหน้า เขาพยายามลอบถอนหายใจด้วยเสียงที่เบาที่สุดเพื่อไม่ให้รัตติกาลต้องเป็นกังวล แค่เจอไปสองคนเท่านั้นความมั่นใจของเขาที่กู้มาได้ที่ตลาดก็เป็นอันสูญสลายไป เขาไม่ชอบที่จะต้องโดนมองด้วยความตกใจแบบนั้น มันเหมือนว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจเลือกมันไม่ปกติ
“ทิวครับ...” เสียงของรัตติกาลเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ทิวาหยุดเมื่อเท้าคู่หน้าหยุดการเคลื่อนไหว “ที่รัก เงยหน้ามองผมหน่อย...”
เขาจำต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงอ้อนหวาน รัตติกาลกำลังส่งยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มให้กำลังใจไม่ใช่เพราะต้องการความหวานอะไรเป็นพิเศษ ผู้ชายคนนี้คงรู้สึกได้ว่าเขากำลังประหม่าแม้ว่าจะพยายามเก็บซ่อนมันไว้แล้วก็ตาม
“ผมรักคุณ และจะอยู่ข้างๆคุณเสมอ” เสียงทุ้มอ่อนโยนพานให้ใจสงบลงได้บ้าง “แม้ผมจะชอบเข้าข้างหลังคุณก็เถอะ โอ๊ย!!”
จริงๆเลย! ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงได้ลามกได้ขนาดนี้นะ
“เข้าไปข้างในกัน” เมื่อถูกชักนำ ทิวาถึงได้รู้ว่าตอนนี้เขามาหยุดยืนที่หน้าห้องหนึ่ง และยังไม่ทันจะได้เตรียมใจเป็นครั้งสุดท้าย ลูกชายเจ้าชองบ้านก็เดินเข้าไปแล้ว
ทิวารีบเดินตามเข้าไป ความรู้สึกหลากหลายพุ่งตรงเข้ามาจนทำตัวไม่ถูกเมื่อผู้ใหญ่สองคนในห้องคอยจับจ้องการมาเยือน รัตติกาลวางกระเช้าผลไม้ลงบนโต๊ะเตี้ยด้านหน้าที่มีจานผลไม้ที่พร่องไปเล็กน้อยวางอยู่ มือที่ว่างลงเลยดึงแขนเสื้อเขาเบาๆให้มายืนเคียงข้างกัน
“ทิวครับ พ่อกับแม่ผม”
ทิวายกมือขึ้นไหว้อีกครั้งด้วยท่วงท่าที่ตัวเองคิดว่าถูกแบบแผนที่สุด “สวัสดีครับ ผมชื่อทิวาครับ”
ไม่มีเสียงตอบรับใดใดจากผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาไม่กล้าเงยหน้าไปมองรัตติกาลด้วยซ้ำว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหน ทั้งสองท่านแค่มองมาที่เขาราวกับจะสำรวจไปทั่วทั้งต่อเมื่อพอใจแล้วถึงได้เบนสายตาไปมองลูกชายตัวโต และเมื่อนั้นแหละใบหน้าสูงวัยทั้งสองถึงได้มีรอยยิ้มแตะแต้ม
“หายบ้าแล้วสินะ” เสียงหัวเราะต่ำๆอย่างขบขันดังขึ้นมาจากปากของผู้ที่ปลุกปั้นจนโรงแรมนาคินทร์มีชื่อเสียง “นั่งสิ จะได้คุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะกันเสียที”
รัตติกาลรุนหลังเขาให้เดินเข้าไปนั่งที่อาร์มแชร์ก่อนแล้วจึงนั่งลงบนที่วางแขนอีกทีเหมือนไม่อยากจะไปนั่งอีกที่ให้เขาต้องนั่งเพียงลำพัง ทุกอย่างดูจะเงียบงันไปชั่วครู่ แต่ที่ทำให้เขาอึดอัดยิ่งกว่าอะไรคือสายตาที่ยังมองตรงมาไม่หยุด เขาอยากจะให้ใครสักคนเริ่มพูดเสียทีเผื่อว่าเขาจะได้หายใจโล่งปอดขึ้นมาบ้าง
“เธออายุเท่าไหร่?” คำถามสามัญเกินกว่าที่คาด แต่ทิวาก็ต้องเอ่ยตอบออกไปเมื่อผู้ใหญ่ต้องการรับรู้
“ย่าง26ครับ”
“ฉันได้ข่าวว่าเธอเป็นลูกภรรยาน้อยของคุณอนันต์” คำถามยังคงออกมาจากปากของคุณวันชัยต่อไป แม้จะถูกประท้วงด้วยเสียงไม่พอใจของคนที่นั่งข้างๆเขาก็ตาม “เงียบไปเลยนะเจ้าเดียว ฉันไม่มีสิทธิ์อยากรู้เลยรึไง”
เมื่อเจอเสียงเข้มข่มใส่ เขาจึงได้ลอบบีบมือของรัตติกาลเป็นเชิงว่าให้ใจเย็นๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ารัตติกาลมีบรรยากาศคุกคามได้เหมือนใคร
“ใช่ครับ” ทิวาตอบคำถาม แม้จะไม่หนักแน่นแต่ก็ชัดเจนทุกคำ “แม่เสียไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้ ผมอยู่กับยายจนจบชั้นประถมครับ”
“แล้วได้ไปหายายบ้างไหม?”
“ยายเสียไปตอนที่ผมเพิ่งขึ้นป.6น่ะครับ”
“แล้วครอบครัวเธอรู้หรือยัง เรื่องที่เธอตัดสินใจคบกับลูกชายฉัน”
“ทราบแล้วครับ”
“แล้วพ่อเธอว่ายังไงบ้าง”
เป็นคำถามที่ตอบยากพอดู แต่ในระหว่างที่ทิวากำลังตัดสินใจว่าจะใช้คำพูดอย่างไรดี คนข้างเคยงกลับหวังดีช่วยตอบให้เสร็จสรรพ
“เขาไล่ทิวออกจากบ้าน” คำกล่าวหาที่พานให้สายตาสามคู่จับจ้องไปที่คำบอกเล่า “อะไรล่ะ ก็คุณพูดว่าพ่อคุณบอกว่าดีแล้วที่คุณหนีไป อย่างนี้มันก็เหมือนการไล่นั่นแหละ”
ทิวาอยากจะตบคนปากมาก แต่ก็ทำได้แค่อดทนและทดมันไว้ในใจ
“จริงเหรอ ที่เดียวพูดมา” คุณราตรีออกปาก สีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ไม่เชิงครับ แต่ผมคิดว่าออกมาอยู่เองน่าจะดีกว่า”
“ปล่อยวางไปเถอะนะ ถึงจะได้ชื่อว่าพ่อแม่แต่ก็เป็นแค่มนุษย์อยู่ดี วิธีการรับมือกับเรื่องบางเรื่องก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ลูกยอมรับได้” คุณวันชัยบอกด้วยเสียงที่ทุ้มนุ่มกว่าเดิม เค้ารางของคนจิตใจดีเริ่มเผยให้เห็นพร้อมกับรอยยิ้มที่แตะแต้มบนใบหน้าให้ดูอ่อนวัยลง “และถ้าเราตัดสินใจเลือกทางที่จะเดินต่อก็ควรจะยอมรับและรู้ด้วยว่ามันไม่ได้มีแต่กลีบกุหลาบ มันอาจจะมีหนาม มีกรวดขวางทางอยู่บ้าง แต่ถ้าเราไม่ย่อท้อมันก็จะผ่านไปได้”
“ครับคุณท่าน” ผู้สูงวัยทั้งสองออกปากขำกับคำเรียกในทันที
“มาถึงขั้นนี้แล้วต้องเรียกพ่อกับแม่สิ ไม่อย่างนั้นลูกชายฉันมันคงดิ้นพลาดๆหาว่าไม่ยอมรับเธอกันพอดี” พูดไปยิ้มไปจนคนฟังอย่างเขาเขินจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน แต่ไอ้คนโดนพาดพิงกลับยิ้มหน้าบานไม่มีหุบราวกลับถูกใจเสียหนักหนา
“ไหนลองเรียกสิครับ” แถมยังมากระตุ้นเขาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีก ลับตาคนเมื่อไหร่ล่ะโดนแน่ “จริงสิ ผมลืมไปเลย”
รัตติกาลยกกล่องสีขาวในมือให้ดู เขาพยักหน้าให้ก่อนจะลุกเดินตามไป ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าด้านหน้าบุพการีทั้งสองเรียกสีหน้าตกอกตกใจได้อย่างดี มือหนาหยิบของในกล่องออกมายื่นให้เขาและตัวเองอย่างละหนึ่งและวางกล่องว่างเปล่าลงกับพื้น
ทิวามองใบหน้าของคนเป็นพ่อแม่นิ่งค้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือลูกชายคือพวงมาลัยมะลิดอกโตคล้องเกี่ยวกันเป็นวงแซมด้วยกลีบกุหลาบสีแดงและดอกบานไม่รู้โรย ห้อยชายด้วยอุบะดอกรักหลายชายปิดปลายด้วยกุหลาบดอกโต แม้ว่ามันจะไม่ได้สวยงามที่สุดแต่ก็ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แบบกะทันหัน
รัตติกาลก้มลงกราบตักมารดาพร้อมกับมาลัยพวงโต เขาไม่รู้ว่ารัตติกาลเคยทำมาก่อนหรือไม่เพราะเมื่อเขาเสนอความเห็นเจ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีขัดเขินอะไร แต่ถ้ามองจากสายตาตะลึงงันของผู้ใหญ่ทั้งสอง เขาเดาว่านี่คงจะเป็นครั้งแรกไม่ผิด
“เดียวขอโทษกับทุกกิริยาและคำพูดที่ทำให้แม่เสียใจนะครับ”
แล้วเสียงปล่อยโฮก็ดังออกมาจากคนเป็นแม่ ฝ่ามือของคนที่ให้กำเนิดลูบหัวลูกชาย เสียงร่ำไห้ยังดังก้องจนคนก้มกราบต้องเงยหน้าขึ้นมอง มือหนาช่วยปาดป่ายน้ำตาที่ไหลอาบจนเมื่อสงบสติอารมณ์ได้เหลือไว้เพียงเสียงสะอื้น ลูกชายตัวโตจึงได้โถมตัวกอดแม่อีกครั้ง ทิวายิ้มรับกับภาพที่เห็นมันดูอบอวลไปด้วยความรักและการให้อภัย ภาพของแม่ที่โอบลูกชายหอมแก้มซ้ายขวาและตามด้วยหน้าผาก ดูราวกับรัตติกาลกลายเป็นเด็กตัวน้อยๆ ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้รับการให้อภัยเสมอ
เขาสะกิดสีข้างคนที่ยังโดนกอดไม่เลิกเพื่อส่งมาลัยแบบเดียวกันให้ รัตติกาลหันมายิ้มกับเขาด้วยตาแดงๆ มือใหญ่รับมาลัยดอกไม้ไปแล้วคลานเข่าไปนั่งเบื้องหน้าบิดา คุณวันชัยยิ้มรับด้วยตาแดงๆไม่แพ้กันยามที่ลูกชายก้มกราบแนบตัก
“เดียวขอโทษที่ทำให้พ่อผิดหวังนะครับ และขอบคุณมากครับที่เข้าใจ”
“แกไม่ได้ทำอะไรให้พ่อผิดหวังเลย สิ่งที่จะทำให้พ่อผิดหวังได้คือการที่แกไม่รู้ดีรู้ชั่วต่างหาก” คุณวันชัยยังคงลูบหัวลูกชายไปมาด้วยสีหน้าตื้นตันอย่างที่คนนอกอย่างเขาก็ดูออก “และนับจากนี้ถ้าแกทำให้เมียฉันร้องไห้อีก ถึงจะเป็นลูกฉันก็ไม่ให้อภัยหรอกนะ”
“ครับพ่อ”
“มานี่สิทิวา เข้ามาใกล้ๆ” ทิวาคลานเข่าเข้าไปใกล้ๆตามคำเรียกของคุณราตรีและเมื่อใกล้มากพอ ฝ่ามือของคนเป็นแม่ก็ลูบหัวเขาด้วยความนุ่มนวลไม่แพ้กับที่ลูบหัวลูกชายตัวเอง “ขอบใจนะลูก ขอบใจที่กลับมา”
ทิวาแทบจะน้ำตารื้นกับคำพูดนุ่มนวล จะด้วยเพราะอะไรก็ตามแต่มันอ่อนโยนจนเขาสัมผัสได้
“ถ้าเป็นทั่วไปก็คงจะจัดงานแต่งให้หรอกนะ แต่นี่พ่อก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี เอาเป็นว่าพ่อกับแม่รับรู้ในการใช้ชีวิตคู่ของทั้งสองคน อะไรที่มันหนักนิดเบาหน่อยก็รอมชอมกันไป เมื่อทะเลาะกันก็ให้คิดถึงวันที่รักกันด้วย เดียวก็อย่าเอาแต่ใจให้มันมากนัก เราเป็นพี่ต้องดูแลเป็นผู้นำให้น้องได้ ทิวาก็อย่าตามใจจนพี่เขาเคยตัว อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด ถึงเป็นน้องแต่ก็ไม่ควรต้องเป็นฝ่ายยอมเสมอไป พ่อขอให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้ตราบเท่าที่ยังรักกันนะ”
รัตติกาลกับเขาก้มไหว้คุณวันชัยเมื่อพูดจบ ฝ่ามืออุ่นสองข้างลูบศีรษะของลูกสองคนเท่าเทียมกัน
“วันข้างหน้าไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ขอให้อยู่ข้างกันไปอย่างนี้นะลูก จับมือกันไว้ เหนื่อยก็พักมีแรงก็สู้ต่อไป ให้รักกันเหมือนคู่ชีวิต ให้อยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยเหมือนพี่กับน้อง เมื่อคิดว่าจะทะเลาะก็แยกย้ายไปสงบสติอารมณ์กันซะแล้วกลับมาคุยกันด้วยเหตุผล อย่าปล่อยผ่านเรื่องที่ทำให้เราไม่สบายใจเพราะถ้ามันพอกพูนขึ้นมามากเท่าไหร่ชีวิตคู่ก็จะมีแต่รอยร้าว ให้คิดเสียงว่าแม่กับพ่อเป็นพ่อแม่อีกคนนะทิว”
เขาห้ามน้ำใสใสที่รื้นขึ้นตาไม่ได้แล้วจริงๆ ความรู้สึกมากมายมันล้นออกมาจนหยุดไว้ไม่ได้
“ลูกชายคนใหม่ฉัน เป่าปี่ซะแล้ว” เสียงหยอกล้อที่เรียกเสียงหัวเราะของคนที่เหลือ ทิวาขัดเขินปนอับอายที่ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้ แต่ก็ได้รัตติกาลเนี่ยแหละที่เป็นคนช่วยเช็ดมันออกไปจากหางตา
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับน้องทิวของพี่เดียว ค่อยไปร้องไห้ตอนเข้าหอดีกว่าเนอะ โอ๊ย! พ่อตีผมทำไม”
มันน่าจะตีให้ตายจริงๆเชียว
“แกนี่มัน! ไอ้ลูกคนนี้นี่”
“พี่เดียวพูดอะไรผิดเหรอครับน้องทิว”
ยังมีหน้ามาทำตาปริบๆ ใส่เขาอีก
อยากจะหาไม้มาฟาดปากกับหัวให้แบะจริงๆ จะได้รู้ไปเลยว่ามันมีอะไรอยู่บ้าง
_____________________________________________________________ TBC. __________________มาช้าอีกเช่นเดิม...
เรื่องใกล้จะจบเข้าไปทุกทีแล้วค่ะ

แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเหลืออีกกี่ตอน(จะอุบไว้เพื่อ??)
เพราะยังเหลือการไปทัวร์บ้านน้องทิวอีก

แม้คนเขียนจะลงช้าเป็นเต่าคลาน แต่ก็ขอบคุณที่ยังตามอ่านและรอกันค่ะ

รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN