CHAPTER 29 ...ภูเขาที่มองไม่เห็น...บรรยากาศร่มรื่นของสวนที่ปูด้วยผืนหญ้าสั้นๆสีเขียวอ่อนในบ้านหลังใหญ่กินอาณาบริเวณไปเกือบครึ่ง มีทั้งไม้ใหญ่ยืนต้นและพุ่มไม้ดอกนานาชนิดแข่งกันอวดสีสัน สองตารูปเหยี่ยวพยายามทอดใจไปกับอากาศสดชื่นยามเย็นที่แวดล้อมด้วยแมกไม้แต่เพราะคนเดินข้างเคียงไม่ใช่คนคุ้นเคยพอที่จะให้จิตใจสงบได้ขนาดนั้น
แม้ทิวาจะพบนายหญิงของบ้านเกียรตินาคินทร์หลายครั้งหลายหนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมานี้ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าคุ้นเคยพอที่จะเดินพูดคุยเล่นกันไปให้คลายความเงียบ การที่อีกฝ่ายมาพบเขาพร้อมกับใบหน้าเศร้าหมองของคนพ่ายแพ้ กับเขาที่ได้แค่รับฟังแต่ไม่มีการโต้ตอบแม้สักประโยคเดียว จะเรียกว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าก็คงไม่ผิดอะไรนัก
แต่สถานะภาพตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
ผู้หญิงคนนี้เรียกแทนตัวเองว่า ‘แม่’ และออกปากรับเขาเป็น ‘ลูก’ อีกคนต่อหน้าครอบครัว
ทิวาไม่แคลงใจสักนิดกับการยอมรับที่เกิดจากการรักลูกชายคนเดียวเหลือคณา ผู้หญิงที่พร้อมจะร้ายเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดของลูกชาย ผู้หญิงที่เข้มแข็งพอจะยอมรับ ยอมอับอายเพื่อร้องขอ ทิวารู้ซึ้งเหลือเกินว่าคุณราตรีเป็นแม่ที่ยอมทุกอย่างเพื่อลูกจริงๆ เขาเลยไม่แปลกใจแม้แต่น้อยว่าทำไมรัตติกาลถึงได้เอาแต่ใจได้ขนาดนี้ เพราะมีแม่ที่พร้อมจะให้ได้เสมอนั่นเอง
แต่ลึกๆในใจเล่า...
แม่ผู้แสนดีคนนี้จะยอมรับเขาได้มากแค่ไหน
สองตาละจากภาพสีเขียวเป็นบางครั้งเพื่อลอบมองคนเดินข้างกายเพื่อเดาอารมณ์ แต่ตลอดทางจนมาถึงศาลาไม้ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นมะลิ ใบหน้าที่แม้จะมากอายุก็ไม่คลายความงามนั้นยังคงแตะแต้มรอยยิ้มไม่จาง จนกระทั่งเชื้อเชิญเขาให้เข้าไปนั่งศาลา รอยยิ้มนั้นก็ยังคงส่งตรงมาให้เขา
แม้จะไม่คาดคิดกับข้อเสนอที่ต้องการให้ค้างคืนเสียที่บ้านหลังนี้ แต่เขาก็ยินดีตอบรับข้อเสนอนั้นเพราะไม่อยากให้รัตติกาลต้องลำบากใจในเรื่องที่นับจากนี้คงไม่อาจหลีกหนีพ้น และเป็นคุณราตรีอีกนั่นแหละที่จัดแจงไล่ลูกชายตัวเองให้ไปนำข้าวของเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนจากคอนโดมาโดยที่ทิ้งเขาไว้ที่นี่
จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องการคุยกับเขาเพียงลำพัง
การชักชวนให้ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนก็ดูจะยืนยันความคิดนั้นได้เป็นอย่างดี
“ขอบใจนะจ๊ะทิว...”
มันไม่ใช่ประโยคแรกที่คิดว่าจะได้ยินแต่ทิวาแค่เพียงเงียบและรับฟัง
“ขอบใจที่ยกโทษให้แม่นะ”
“มันไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงพอที่จะทำให้คุณพูดคำนั้นหรอกครับ”
“มีสิ ที่กล่าวเธอไปโดยที่ไม่ได้รู้ความจริงว่าเป็นยังไง มันทำให้ฉันรู้สึกว่าขอโทษเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
“คุณเคยบอกผมไปแล้วครับ อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว”
คุณราตรียิ้มรับ ใบหน้าดูคล้ายจะผ่อนคลายมากขึ้นหากแววโรยรายังไม่ได้เลือนหายไป
“เกือบปีที่ผ่านมาฉันเห็นเธอบ่อยยิ่งกว่าลูกชายแท้ๆเสียอีก แต่วันนี้คงเป็นครั้งแรกที่เธอยอมคุยกับฉันแบบเต็มใจ” ทิวามองดูผู้มากวัยกว่าเอื้อมคว้ามือของเขามากุมเอาไว้หลวมๆ มันอบอุ่นไม่แพ้กับฝ่ามือของลูกชายเลยสักนิด สายตาที่พอมองเห็นริ้วรอยแห่งกาลเวลาเอียงสบประสานกันกับตาเหยี่ยวคู่สวย “จะเป็นลูกเขลูกสะใภ้หรือจะเรียกอะไรก็ช่าง เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะทิวา เพราะฉันไม่มีข้อกังขาใดเลยที่จะมาแย้งว่าเธอไม่ใช่คนที่ลูกชายฉันต้องการ พอไม่มีเธออยู่ลูกชายฉันก็เหมือนคนไร้ชีวิต”
ทิวาเพียงแค่ยิ้มตอบรับ หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ปลอดโปล่งใจที่สุดเท่าที่จะรู้สึกได้ในตอนนี้
“อีกเรื่องที่ต้องขอบใจเธอ...เรื่องพวงมาลัย” พูดจบคุณราตรีก็หลดหัวเราะออกมา “ฉันเดาว่าเธอคงเป็นต้นคิด ไม่อย่างนั้นตาเดียวคงไม่ทำอะไรอย่างนั้นแน่ๆ”
“คือว่า ผมแค่...” เขาไม่อยากให้คุณราตรีเข้าใจคลาดเคลื่อน ถึงทิวาจะเป็นคนเสนอแนะแต่มันจะไม่เป็นผลอะไรถ้ารัตติกาลไม่ทำ
“ฉันเลี้ยงลูกมา ฉันรู้ดีจ้ะ ไอ้เรื่องมาทำซึ้งกับพ่อกับแม่อย่างนี้น่ะไม่มีเอาซะหรอก นอกจากเวลาทำผิดเท่านั้นแหละที่จะยอมเสียงอ่อนเสียงหวาน”
“เฮ้อ...เวลาอยากจะได้อะไรก็ง้องแง้งเป็นเด็ก” เสียงถอนหายใจดังควบคู่ไปกับการพูดแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทันที
“พอไม่ได้ดั่งใจก็เริ่มหัวฟัดหัวเหวี่ยงจะเอาให้ได้”
“แล้วไอ้หน้าตาเจ้าเล่ห์เหมือนคิดแผนอะไรอยู่ตลอดเนี่ยผมเกลียดนักเชียว”
“ไอ้หน้าตาอย่างนั้นล่ะเป็นสัญญาณเตือนเชียวล่ะว่าเราต้องเตรียมปวดหัวได้เลย”
“แต่เรื่องระเบียบจัดนี่ผมยกให้เลย เป๊ะจนผมเวียนหัว”
“นั่นน่ะได้พ่อเขามาเต็มๆ เสื้อผ้าในตู้นี่แยกเป็นหมวดเป็นหมู่ไล่โทนสีซะดิบดี”
“ผมนี่ไม่ยุ่งกับตู้เสื้อผ้าของเดียวเลยครับ กลัวไปทำโทนสีเขาเพี้ยนเดี๋ยวจะโวยวายเอา”
“คิก คิก ดื้อก็เท่านั้น เอาแต่ใจก็เป็นที่หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะ” คุณราตรีอมยิ้ม ตบหลังมือเขาเบาๆสองสามที “ทำไมเราถึงได้ยอมลงให้ทุกทีก็ไม่รู้”
“นั่นน่ะสิครับ...”
ทิวาได้แต่ปลงตก มีอีกหลายอย่างที่อยากจะระบายแต่ก็คร้านจะพูดบอกกับคนอื่น อย่างไอ้เรื่อง ลามก ชอบพูดสัปดนนั่นอีก แถมยังเป็นพวกไม่รู้จักอิ่มง่ายๆจนทำเขาเหนื่อยอ่อนไปด้วย แล้วยังไอ้โรคชอบนอนกอดนั่นอีก บางทีเขาเองก็ต้องการนอนสบายๆกางแขนกางขาได้เต็มที่แต่ไอ้วงแขนล่ำๆนั่นก็ชอบควานมารัดทุกทีไป เคยยื่นคำขาดไปแล้วครั้งถึงขนาดขู่ว่าจะไปนอนห้องที่ว่างอยู่ แต่ก็นั่นล่ะ... รัตติกาลคงทำเล่ห์กลอะไรใส่เขาสักอย่าง
เพราะไม่ว่าจะเอาแต่ใจเท่าไหร่
เขาก็
‘ยอม’ ตามใจเสมอ
“คิก คิก คงเพราะมีแต่คนตามใจอยู่อย่างนี้สินะ ถึงได้กลายเป็นไม่แก่ดัดยากอย่างทุกวันนี้”
“ฮะ ฮะ ก็คงงั้นแหละครับ จะบอกจะเตือนอะไรนี่เข้าหูซ้ายทะลุออกขวาตลอด”
เสียงหัวเราะนุ่มหูกังวานก้องราวกับกำลังเล่าเรื่องขำขันขั้นสุดยอด คุณราตรีอมยิ้มกับผู้ชายหน้าสวยปานสตรีที่นั่งเคียงข้าง ยิ่งพิศมองใกล้ๆยิ่งเข้าใจว่าทำไมลูกชายเธอถึงได้หลงใหลนัก เพราะยามยิ้ม ยามหัวเราะนั้นเปี่ยมเสน่ห์อย่างนี้นี่เอง แม้รูปร่างจะไม่ได้สะโอดสะองปานหญิงดังเช่นรูปหน้า แต่เมื่อยืนเทียบกับลูกชายเธอที่สูงหนาทิวาก็ดูบอบบางไปถนัดใจ ยิ่งช่วงหลังมานี้ที่รัตติกาลคร่ำเคร่งกับการออกกำลังกาย ร่างกายถึงจะผอมลงไปบ้างแต่กล้ามเนื้อกลับเด่นชัดขึ้น ผิดกับทิวาที่ถึงพอมีกล้ามเนื้อบ้างแต่ก็ดูจะนุ่มนิ่มไปทั้งตัว
เธอเห็นมาแล้วกับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของลูกชายยามที่มองคนๆนี้ ทุกท่วงท่า ทุกการกระทำของรัตติกาลราวกับหมุนวนโดยมีทิวาเป็นจุดศูนย์กลาง แม้ว่าเรื่องร้ายๆจะผ่านไปแล้ว แต่มันก็ยังทิ้งความกังวลให้คนเป็นแม่อย่างเธออยู่ รัตติกาลคล้ายจะรักมากเกินไป หลงมากเกินไป จนเธอกลัวว่าถ้าวันหนึ่งวันใดที่ทิวาพบคนที่ดีพร้อมกว่า...ลูกชายของเธอจะยังเป็นผู้เป็นคนได้อยู่ไหม
ในขณะที่ลูกเธอรักจนบ้าคลั่ง
อีกคนล่ะ...จะรักมากเท่านั้นไหม
“รักใช่ไหม?...”
“ครับ?”
คนที่ผ่านโลกมาหลายปีดีดักอย่างเธอ แม้จะมองคนไม่เก่งนักแต่เธอก็เชื่อในคำที่ใครสักตนบัญญัติขึ้นมาว่า ‘ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ’
“ถึงจะดื้อ จะเอาแต่ใจ จะเจ้าเล่ห์ หรือช่างบังคับขนาดไหน”
“...............”
“แต่ก็รัก...ใช่ไหม?”
นอกจากจะมีรูปตาที่สวยแล้ว แววตาคู่นี้ยังบ่งบอกอะไรได้มากพอๆกับใบหน้าที่เก้อเขินจนขึ้นสีระเรื่อ มันแวววับอ่อนหวานราวกับยิ้มได้
“ครับ”
ยามที่เอื้อนเอ่ยตอบรับแม้จะพยายามกลบเกลื่อนอารมณ์ แต่มันก็ยังเล็ดลอดให้ได้เห็นอยู่ดี
“
รัก...”
มันเป็นความซื่อสัตย์ทางสีหน้าที่หาไม่ได้ง่ายๆนักจากคนสมัยนี้ ความขัดเขินมันสื่อออกมาจนเธอยังรู้สึกตามไปด้วย หากแววตาที่เธอมองสบอยู่นั้นกลับดูจริงใจคล้ายกับว่าเสียงกระซิบคำรักผะแผ่วนั้นมันดังก้องชัดเจน
ถ้าไร้ซึ่งอคติ ความเอ็นดูมันก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆอย่างนี้สินะ
...
..
.
“
อึ๊บ! อึ๊บ! อึ๊บ!”
คนฟังได้แต่กรอกตากับเสียงที่ดังอยู่ข้างหู แถมเจ้าตัวยังยุกยิกไปมาจนน่ารำคาญตั้งแต่ออกจากห้องน้ำแล้วคว้าตัวเขาเข้าไปกอดแล้ว
“จะร้องอีกนานไหมไอ้คำเนี๊ย”
“ก็กำลังจัดที่จัดท่า จะได้นอนสบาย” ไอ้คนต้นเสียงยังอุตส่าห์เถียงเสียงเข้ม แต่พอทิวาหันหน้าไปมองกลับเจอสีหน้ากรุ้มกริ่มกับแววตาระยับชวนขนลุก
“คำอื่นมีตั้งเยอะแยะก็คิดมาใช้ซะบ้างเถอะ”
ด้วยเพราะใบหน้าที่ไม่ชอบมาพากลทำให้คนนอนอยู่ในอ้อมแขนพยายามจะกระเถิบตัวออกห่าง ไม่ว่าจะนอนหันหน้าหรือหันหลังให้ในระยะประชิดนั้น จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาพบว่ามันล้วนแต่อันตรายทั้งสิ้น ทิวาได้ยินเสียงขบขันเล็กน้อยจากเจ้าของอ้อมกอด วงแขนแข็งแรงก็ยอมให้เขาหลุดรอดออกมาอย่างง่ายดายแต่ไม่ยอมให้หนีรอดไปไกลเกินกว่าที่มือจะเอื้อมถึง
รัตติกาลนอนตะแคงข้างหนุนแขนไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างที่ว่างนั้นก็กำลังเล่นนิ้วของเขาอย่างสนุกสนาน ทิวามองมือตัวเองแล้วตัดสินใจให้มันกลายเป็นของเล่นชั่วคราวไปก่อน
“แล้วมีปัญหาอะไรกับไอ้คำว่าอึ๊บ”
ทิวาอยากจะถอนหายใจใส่หน้าให้สุดลม คิดแล้วว่าคนอย่างรัตติกาลคงไม่ปล่อยให้เรื่องทะลึ่งรอดพ้นไปได้หรอก
“อ๊ะๆ หรือว่าคิดอะไรอยู่” ไอ้การยักคิ้วหลิ่วตานี่มันกวนอารมณ์คนมองได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?
“จะให้คิดอะไร”
“ก็แบบว่าอยากถูกอึ๊บ โอ๊ย!!!”
หลังจากชักปลายเท้ากลับเข้าที่อย่างรวดเร็วแล้ว ร่างโปร่งก็รีบกระเถิบกายออกห่างกว่าเดิม อยากจะยิ้มสะใจให้คนที่กำลังเอามือกุมท้องแต่ก็ได้แต่กลั้นเอาไว้แต่ก็แอบกลัวกับสายตาดุๆที่จ้องกลับมาอย่างคาดโทษ
“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย”
“ก็แล้วทำไมถึงได้ทะลึ่งตึงตังนักล่ะ”
“พี่เดียวพูดกับน้องทิวที่เป็นเมียนะครับ คิดมากไปแล้ว”
“
เดียว!” ทิวาพยายามนับหนึ่งถึงสิบไปมาเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอเอานิ้วไปจิ้มตาพราวระยับนั้นเสียให้บอด
“ไม่งั้นจะให้พูดคำไหนดีล่ะ เอากัน ซั่มกัน มีอะไรกัน หรือว่า....โอ๊ย!! อีกแล้วนะ”
ทิวารีบวาดขาไปสกัดคำที่ดูท่าจะร้ายแรง แต่แทนที่จะรอดพ้นไปได้อย่างคราวแรกกลับผิดคาดเพราะมือใหญ่คว้าข้อเท้าเขาไว้เต็มแรง แถมยังกระชากเข้าหาตัวแล้วโถมน้ำหนักทับเสียอีก เลยกลายเป็นว่าตอนนี้คนประทุษร้ายกำลังจะถูกลงโทษเสียแล้ว
“ปล่อยเลย ไม่เล่นแล้ว” เสียงโวยวายของทิวาเหมือนเสียงจิ้งหรีดเรไรที่รัตติกาลหาได้สนใจไม่ และเมื่อริมฝีปากประทับที่ข้างแก้มจิ้งหรีดทั้งหลายก็แตกรังกระจายจนเงียบกริบ
“เป็นคนอื่นมาถีบอย่างนี้นะ โดนซัดคว่ำไปแล้ว” คำพูดที่ทำเอาขนลุกช่างขัดกับใบหน้าเปื้อนยิ้มกับจูบหนักๆที่หน้าผาก “แต่เพราะเป็นคนนี้หรอกนะถึงยอม...”
“งั้นจะถีบบ่อยๆ ต่อยเยอะๆ”
“ระวังเดียว
เอาคืนจนลุกไม่ขึ้นนะครับ” ไอ้คำเน้นเสียงทะแม่งๆนั่นแหละที่ทำเอาหวาดผวา ทิวารีบสั่นหน้าพึ่บพั่บจนรัตติกาลอดหัวเราะไม่ได้ ร่างหนาเคลื่อนกายมาล้มนอนด้านข้างแทน เหลือเพียงแขนกับขาที่ยังก่ายเกยร่างที่บางกว่าเอาไว้ราวกับเป็นหมอนข้าง
“ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า? แต่ดูทิวจะเข้ากับแม่ผมได้เร็วจัง”
“ก็ตามประสาคนที่ต้องเจออะไรเหมือนกันล่ะมั้ง”
“อะไร? ยังไง?”
ก็อย่างที่นอนตัวเป็นๆข้างๆนี่ไง...“แล้วไม่ดีเหรอ”
“เปล่าครับ... ดีมากด้วย” รัตติกาลกระชับอ้อมกอดจนแน่น ซุกหน้าเข้ากับซอกคอแล้วฝังจมูกแน่นิ่ง “เดียวแค่สบายใจ ไม่สิ มันโล่งโปร่งไปทั้งใจเลย”
อ้อมแขนที่ไร้กล้ามเนื้อหนั่นแน่นอย่างอีกฝ่ายตวัดโอบรอบร่างหนาเอาไว้ ฝ่ามือตบแผ่นหลังกว้างเบาๆแทนคำพูดให้กำลังใจ ทิวาเข้าใจดีว่าคนรักโล่กอกแค่ไหนที่ไม่ต้องเลือกระหว่างผู้ให้กำเนิดกับคนรัก แต่ไอ้ฝ่ามือร้อนๆที่เริ่มไล้เข้ามาในเสื้อนี่ล่ะที่คอยรั้งอารมณ์เขาไว้ให้หยุดที่ความรำคาญ ยิ่งไม่ทักไม่ท้วงก็ยิ่งลามไปทั่วหน้าอก แถมยังปัดผ่านยอดมันให้เขาต้องจั๊กจี๋ จนเริ่มหนักข้อขึ้นเมื่อเลื้อยเข้าขอบกางเกงนอนนั่นแหละฝ่ามือรุ่มร่ามถึงได้หยุดเพราะโดนตะปบ
“พอเลย”
“ชิ! ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นไปใส่บาตรนะ”
“จะทำไม”
“จะ จุด จุด จุด ให้เสียน้ำตายกันไปข้างเลย”
ไม่ได้ต่างอะไรเลย...
ถึงไม่มีคำหยาบโลน แต่ข้อความมันก็สื่อออกมาได้ไม่ต่างกัน ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ...เฮ้อ!
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ รัตติกาลอมยิ้มแล้วแอบยกศีรษะขึ้นมองใบหน้าเจ้าของเสียง ทิวาทำหน้าสุดแสนจะเซ็งโลกทั้งๆที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยความอาย เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทิวาผ่านโลกที่มีแต่สิ่งยั่วยุนี้มาได้ยังไง กับอีแค่เรื่องทะลึ่งตึงตังก็ทำให้เขินได้ขนาดนี้แล้ว ทำเป็นเบื่อ ทำเป็นโมโห แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าสีหน้าทุกอย่างที่สื่อออกมามันออกมาบนผิวเนื้อที่ขึ้นสีระเรื่อแดงบนแก้มขาว เพราะมันน่ามองอย่างนี้ไงเล่า เขาถึงได้ชอบพูดชอบทำ
พอยิ่งเห็น ก็อยากจะให้แก้มนุ่มๆนั้นมันแดงกว่าเดิม
ถ้าไม่ติดว่าพรุ่งนี้แม่ของเขาออกปากชวนใส่บาตรด้วยกันทั้งครอบครัวล่ะก็ ค่ำคืนนี้ทิวาคงหนีไม่พ้นอยู่ใต้ร่างเขาแน่นอน--
รัตติกาลกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อคนที่ทำหน้าเบื่อพลิกตัวมาซุกหน้าลงกับอกเขาในท่วงท่าประจำก่อนนอน แต่เขาจำต้องลุกจากการกอดตอบแสนอบอุ่นนี้ก่อนเพื่อไปปิดไฟในห้องนอนให้มืดสนิทพร้อมเข้านิทรา แต่เมื่อเขากลับขึ้นมาบนเตียงนุ่มอีกครั้งทิวาก็ยังคงรอเขาอยู่พร้อมให้เขาแทรกตัวเข้าไปได้เหมือนก่อนจะจากไป รัตติกาลหลุดยิ้มให้กับความมืดอีกครั้งกับการโอบตอบแบบอัตโนมัติที่เจ้าตัวเองก็คงไม่ทันรู้ตัว
“
ขอบคุณนะครับ...”
การที่ทิวากลับมาหาเขา กลับมาให้เขารัก กลับมาเติมเสี้ยวส่วนชีวิตและความรู้สึกของเขาให้เต็ม มันไม่มีคำไหนที่จะพูดบอกไปได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
“เรื่องอะไร?”
“
...ที่คุณเกิดมา...” แรงกระชับกอดแน่นขึ้นใบหน้าซุกเข้ากับอกเขามากขึ้น “
...เพื่อผม”
เขาคิดย้อนกลับไปกลับมาหลายร้อยตลบว่าถ้าพ่อกับแม่ไม่ยอมรับในความรักครั้งนี้ เขาจะทำอย่างไรถ้าจะต้องเลือกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขึ้นมาจริงๆ และไม่ว่าจะกี่ครั้งคำตอบก็คงจะเหมือนเดิม เขาเลือกทิวาอย่างไม่ต้องคิดมากให้เสียเวลา เขารักพ่อกับแม่ แต่เมื่อถึงตอนนั้นคำว่าอกตัญญูก็คงรั้งเขาไว้ไม่ได้
ดังนั้นเมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าแม่กำลังหยิบยกอัลบั้มรูปเก่าๆของเขามาคุยฟุ้งให้ทิวาฟัง นอกจากความอายที่พุ่งขึ้นสูงแล้ว ความรู้สึกหนักๆที่มันเกาะกินข้างในอยู่พลันสลายไป ยิ่งเห็นการพูดคุยด้วยรอยยิ้ม มีการหัวเราะชี้ชวนกันดู มันก็ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าของรูปถ่ายอย่างเขาจะอับอายแค่ไหนเพราะตอนนี้จิตใจมันเบาจนคล้ายกับว่าต่อจากนี้อนาคตของเขาคงมีแต่ความสุข
...
..
.
การใส่บาตรในตอนเช้าตรู่ผ่านพ้นไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อคุณนายแม่ของเขาพยายามเจ้ากี้เจ้าการให้ทิวาหยิบของร่วมชิ้นกับเขา แถมยังเคยเตือนให้มือนั้นอยู่เหนือมือของเขาขึ้นไปอีก พ่อกับเขาได้แต่แอบขำ แต่คนโดนสั่งกลับทำหน้าไม่ถูกคล้ายว่าอยากจะต่างคนต่างใส่แต่ใจไม่กล้าปฏิเสธ ก็จำต้องเลยตามเลยจนจบกระบวนความ
ทิวาที่ตั้งใจว่าจะกลับไปนั่งทำงานเงียบๆที่คอนโดมีอันต้องพับเก็บไป เพราะคุณนายราตรีท่านอยากจะพาลูกชายคนใหม่เดินทัวร์ทั่วโรงแรม เมื่อพ่อก็ไม่ได้คัดด้านอะไร เขาก็ได้แต่เลยตามเลยแม้ยังงงอยู่ว่าแม่จะไปพูดแนะนำทิวากับคนอื่นด้วยสถานะใดก็เถอะ จนเที่ยงนั่นแหละทิวาถึงได้มาเคาะประตูห้องเขาแล้วเดินสะโหลสะเหลเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงาน
“ไม่ไหวแล้ว...ผมหิวข้าว”
แค่คำสั้นๆ แต่รัตติกาลก็รีบทิ้งเอกสารที่กำลังอ่านค้างแล้วพาคนหิวไปเติมอาหารลงกระเพาะทันทีก่อนจะพากลับไปหย่อนทิ้งไว้ที่คอนโดให้คนรักของเขาได้มีเวลาสงบเงียบตามที่ตั้งใจไว้แล้วกลับมาทำงานต่อด้วยความสบายใจ จนกระทั่งใกล้เลิกงานที่เขาเพิ่งจะสำนึกว่ามีแค่เพียงเขาคนเดียวรู้เปล่าที่ปลอดโปร่งใจเหมือนภูเขาทั้งลูกมันอันตรธานหายไป
“คุณรัตติกาลคะ มีแขกมาขอพบค่ะ” เลขาหน้าห้องของเขาเปิดประตูเข้ามาด้วยทีท่าสุภาพเพื่อแจ้งเรื่อง
“ใคร?”
“คุณเอกสิทธิ์จากอินโนวาร์ค่ะ”
ดวงตาคมเบิกกว้าง มีแววประหลาดใจไม่น้อยกับการมาเยือนของเอกสิทธิ์ และเมื่อเขาพยักหน้าอนุญาตเลขาสาวถึงได้หลีกทางให้ใครอีกคนเดินเข้ามา เอกสิทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งแน่ใจว่าประตูห้องทำงานถูกเลขาปิดจนสนิทแน่นจึงได้เริ่มเดินมานั่งที่ชุดรับแขกตามที่เขาเชื้อเชิญ เลขาคนเดิมเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับน้ำผลไม้เย็นๆสองแก้วแล้วออกไปอย่างเงียบเชียบ
หน้าตาของเอกสิทธิ์ไม่เหมือนกับที่เขาเคยเห็น มันมีแววหมองของคนคิดมากกระจายให้เห็น จะเป็นเพราะเรื่องงานถึงได้มาพบเขาก็คงไม่ใช่ ที่เหลือก็คงมีอยู่อย่างเดียว
“อยากจะคุยกับผมเรื่องของทิวหรือเปล่าครับ”
สิ้นคำถาม คนฟังตอบรับโดยการพยักหน้าก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพ่นออกมาสุดแรงเพื่อปลดปล่อยความอัดอั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมา คล้ายกับว่าไม่รู้จะสรรหาหัวข้อใดขึ้นมาเปิดประเด็น
“ผมรู้มาว่าพ่อของคุณโกรธทิวมากจนตัดขาด” เขาจึงเลือกพูดในประเด็นที่มันติดค้างใจเขาก่อน
“ทิวเล่าให้ฟังหรือครับ”
“อย่างทิวคงไม่เล่าอะไรแบบนั้นหรอก ผมแค่ฟังๆจากที่พวกคุณคุยโทรศัพท์กันแล้วมาประติดประต่อเอาเอง พอถามตรงจุดก็อึกอักไปต่อไม่ได้ผมก็เลยเข้าใจว่าผมคิดถูก”
“ใช่ครับ” การอธิบายท่าทางของน้องชายดูจะจุดรอยยิ้มให้คนเป็นพี่ได้เล็กน้อย “มันก็ไม่เชิงว่าจะมีคำตัดขาดอะไรโพล่งออกมาจากปากพ่อผมหรอกนะ แต่ทุกคำพูดมันก็สื่อออกไปแบบนั้น”
“ผมดูแลทิวได้”
“ผมคงไม่ห่วงในเรื่องนั้นหรอก เพราะถึงคุณดูแลไม่ได้ น้องชายผมก็มีความสารถมากพอที่จะดูแลตัวเอง” เอกสิทธิ์ถอนหายใจหนักๆอีกครั้งจึงเริ่มพูดต่อ “ที่ผมห่วงที่สุดไม่ใช่เรื่องที่พวกคุณรักกัน รักได้มันก็เลิกได้ไม่ว่าเพศไหนก็คงไม่ต่าง แต่ผมห่วงที่ฐานะคุณ ชื่อเสียงครอบครัวคุณ พ่อแม่ของคุณต่างหาก”
“บอกตรงๆว่าผมไม่แคร์อะไรสักนิด ผมไม่ใช่คนที่จะเอาขี้ปากชาวบ้านมานั่งวิตกอยู่แล้ว”
“แล้วพ่อกับแม่คุณล่ะ”
“คุณหนึ่งไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้นแล้วครับ ตอนนี้แม่ผมก็ดูจะเอ็นดูทิวมาก เมื่อช่วงเช้าเพิ่งจะพาทิวเดินรอบโรงแรมไปหนึ่งยก”
“หึ จริงเหรอครับ” รอยยิ้มเริ่มปรากฏให้เห็นบ้าง “ถ้าอย่างนั้นผมก็เบาใจไปโขเลย”
“แต่ผมกลับยังเป็นห่วงเรื่องทางบ้านของคุณ”
“ผมคิดว่าต่างคนต่างอยู่ไปเลยก็ดีครับ ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครเอ่ยชื่อทิวออกมา” รอยยิ้มแห่งความโล่งใจเริ่มแปลเปลี่ยนเป็นร่องรอยขมขื่น “ผมว่าคุณก็พอจะรู้ว่าทิวไม่ได้เป็นที่ปลาบปลื้มเท่าไหร่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมต้องมองน้องตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจในความรักที่มันเผื่อแผ่มาอย่างไม่เท่าเทียม ตอนที่เห็นทิวแอบไปร้องไห้ผมก็ได้แต่ยืนมองเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะปลอบยังไงดี ผมที่พยายามทำตัวเป็นพี่ชายที่ดีแต่สุดท้ายมันก็เหมือนหน้าฉากที่ผมสร้างขึ้นเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรของทิวมากมายนัก มานึกย้อนดูให้ดีแล้วเรื่องที่ทิวจะหันมาปรึกษาผมก็แทบจะไม่มี ดังนั้นถ้าตอนนี้ทิวเลือกคุณแล้ว เลือกที่จะเริ่มต้นกับคุณ ผมก็อยากจะให้น้องตัดครอบครัวเก่าๆทิ้งไปซะ มันไม่มีค่าพออะไรเลยสำหรับความทรงจำ”
นี่คงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสินะ เรื่องครอบครัว... เขารู้ว่าทิวาค่อนข้างจะมีปมในเรื่องนี้ แต่มันคงยังมีเรื่องราวอีกมากที่เขาไม่อาจเข้าไปสลายมันได้ด้วยความรักเพียงอย่างเดียว
“แต่ทิวรักและเคารพคุณมากนะครับ...เขาบอกว่าถ้าไม่มีคุณก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง”
“ทิวเกิดความคิดเชิงลบหลายๆครั้งครับ แต่ผมเชื่อว่าที่เขาผ่านมาได้เป็นเพราะความเข้มแข็งส่วนตัวต่างหาก”
รัตติกาลเม้มริมฝีปากแน่น เขาอยากจะถามว่าไอ้ความคิดเชิงลบที่ว่านั้นคืออะไร แต่อีกใจก็กลัวที่จะได้ยินเพราะคาดว่าเรื่องคงผ่านมานานมากแล้ว ถ้าได้ฟังคงไม่พ้นที่เขาพยายามจะถามเอากับเจ้าตัวแน่นอน
“ผมก็แค่หวังว่าทิวจะเจอคนที่ตามหาแล้วจริงๆ” เอกสิทธิ์ตบเข่าตัวเองคล้ายถึงเวลาต้องสิ้นสุดการสนทนา “ผมก็แค่อยากจะมาพบคุณเพื่อให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น”
“ผมจะไปครับ”
“หืม? ไปไหนครับ”
“ไปพบพ่อของคุณเรื่องของทิว ผมจะไปคุยกับท่านแล้วจะตัดสินใจว่าผมควรจะกันทิวาออกให้ห่างดีหรือไม่” ดวงตาเหยี่ยวที่ไม่ต่างจากของคนรักของเขาเบิกกว้าง “คุณช่วยหาวันที่ครอบครัวคุณอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาให้ทีนะครับ”
“คือ...บอกตรงๆเลยนะว่าผมไม่อยากให้ทิวต้อง...” ไม่ต้องรอให้เอกสิทธิ์อธิบาย เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะให้คนรักไปฟังเสียงแสลงหูคำพูดแสลงใจจากคนที่นั่นอยู่แล้ว
“ไม่แน่นอนครับ เพราะผมจะยังไม่ให้ทิวรู้เรื่องนี้ก่อนเด็ดขาด”
“ผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะดีขึ้นได้หรอกนะ มันสะสมมามากเกินกว่าที่คุณคิด”
“ผมก็ไม่ได้คาดหวังอย่างนั้น แค่อยากจะทำทุกอย่างให้มันกระจ่าง ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆนะครับ น้องสาวคุณคอยแต่จะย้ำให้ทิวต้องเสียใจทุกครั้งที่เจอหน้า ผมแค่อยากจะไปบอกให้รู้ว่าครั้งหน้าที่คุณสองทำแบบนั้น...
ผมจะไม่ยอม”
“หึ หึ... ก็แล้วแต่คุณเลยครับ ผมเองก็จนปัญญาในเรื่องนี้มานานแล้ว” เอกสิทธิ์ยักไหล่ไม่คิดต่อต้านแต่อย่างใด
“ผมรักทิวามากครับ และถ้าวันนั้นผมเสียมารยาทไปบ้างก็ต้องขอโทษคุณหนึ่งก่อนล่วงหน้า”
“ช่างมันเถอะครับ เพราะถึงยังไงซะคุณก็ทำเพื่อน้องผมนี่”
อย่างน้อยรัตติกาลก็พอจะสบายใจได้ล่วงหน้า ว่าปัญหากับเอกสิทธิ์คงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเหตุการณ์ที่ยังมองไม่เห็นนั้นนำพาเอาความใจร้อนของตัวเองปะทุขึ้นมา เพราะถ้าเกิดเขามีปัญหากับพี่เมียแล้วล่ะก็ เขาคงได้โดนเมียตัวเองปั้นปึ่งไปหลายวันแน่
_____________________________________________________________ TBC. __________________แหะ แหะ หายไปนานมาก (แต่เรื่องอื่นคงนานกว่านี้)
คอมเสียข้อมูลหายเกลี้ยง น้ำตาแทบจะไหลเป็นสายเลือด ทุกเรื่องที่พิมพ์ค้างเอาไว้มีอันต้องเริ่มกันใหม่ --ยกโทษให้กันนะคะ--
อ่านบทลูกชายคนใหม่นี่ทำไมเรารู้สึกเหมือนทิวเพิ่งได้เจอพ่อแม่เดียวเลยอะ เคยเจอตั้งแต่ตอนทิวหนีไปแล้วไม่ใช่หรอ หรือเราอ่านอะไรตกหล่นหรือเปล่านะ >_< แบบรู้สึกน่าจะสนิทสนมกว่านี้เพราะแม่เดียวก็ไปทานโจ๊กบ่อยๆ เจอกันบ่อยอะไรอย่างนี้ แต่อารมณ์ในตอนนี้มันแปลกๆ (หรือเราคิดไปเอง 55555)
คนเขียนงี้รีบกลับไปอ่านซ้ำเลยทีเดียว ขอบคุณที่บอกกันนะคะ จะลองปรับเปลี่ยนแก้ไขดู
แล้วที่ลืมไม่ได้
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตนะคะ แค่เห็นว่าเรื่องนี้ติดอันดับกับเขาก็ปลาบปลื้มมากแล้วแถมยังลงคะแนนให้ชื่อคนเขียนพลอยติดสอยห้อยตามไปอีก สถานะตอนนี้ของตัวเองยังไม่มีสิทธิ์มีเสียงโหวตให้ใครค่ะเลยได้แต่อิจฉาคนอื่นๆ ปีหน้าค่ะ ปีหน้าถึงทีเราบ้างแล้ว!!
ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกคะแนนที่ได้ (#โบกมือน้ำตาปริ่ม)
รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN