CHAPTER 32 ...แขกไม่ได้รับเชิญ(อีกครั้ง)...“คือสรุปว่า มึงอยู่กินกับผัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วสินะ”ทิวาจำต้องถอนหายใจยาวเหยียดใส่เจ้านายหมาดๆอีกครั้งในรอบวัน เขาเริ่มงานใหม่ในตำแหน่งเลขามาเกือบสัปดาห์ แม้อะไรจะยังไม่ค่อยลงตัวนักกับตำแหน่งงานที่ในชีวิตไม่คิดฝันว่าจะได้ทำ แต่ทิวาก็ยังมีเลขารุ่นพี่มือฉมังคอยให้คำแนะนำ แต่สิ่งที่เขาคิดว่ามันง่ายอย่างการทำงานเป็นผู้ช่วยคนคุ้นเคยนั้นกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะไอ้คำว่าคนคุ้นเคยน่ะสิ ไอ้หมอนี่ถึงได้พูดทุกอย่างที่อยากจะพูดโดยไม่ได้ดูกาละเทสะสักนิด
“มันใช่เรื่องที่จำเป็นต้องถามตอนนี้ไหม?” เลขาคนใหม่พยายามข่มใจถามกลับเสียงเรียบพลางวางแฟ้มเอกสารหลายเล่มลงบนโต๊ะ เพื่อนเขาคนนี้ก็ต้องศึกษางานใหม่ไม่ต่างกัน เพราะเพิ่งกลับมาเริ่มงานในตำแหน่งเดิมหลังจากหายสาบสูญไปสองปีเพื่อใช้ชีวิตที่มันเรียกว่าโคตรอิสระ หน้าที่ของเขาในตอนนี้คือติดต่อกับทุกแผนกเพื่อร่วมรวมเอกสารที่จำเป็นมาให้ท่านผู้บริหารใหญ่ศึกษา
“ก็เบื่อแล้วนี่ ไม่อยากอ่านเอกสารแล้ว” ทินกรหมุนเก้าอี้ทำงานไปมาราวกับเด็กเอาแต่ใจ “ที่กูอ่านวันนี้มากพอเท่ากับแฮรี่ฯ7เล่มรวมกันเลยนะ มึงรู้รึเปล่าว่าคนไทยใช้เวลาอยู่กับตัวอักษรแค่37นาทีต่อวันเอง นี่กูอ่านตั้งแต่เช้าจนจะเลิกงานมึงยังจะให้กูอ่านอะไรอีก”
“อย่ามาเล่นลิ้นนะเทียน บอกเองไม่ใช่เหรอว่าต้องรีบศึกษางานช่วงที่ห่างไป”
“ไอ้คนใจยักษ์ ไอ้เลขาใจมาร ใช่สิ กูมันของเก่าแล้วนี่นะ”
เฮ้อ...เขาอยากจะบ้า!!!แทนที่มันจะจบเท่านั้นกลับหยิบมือถือขึ้นมากดหาเบอร์ยิกๆก่อนจะเอาไปแนบหู ทิวาส่ายหัวแรงๆกับภาพที่เห็น ก็ไม่เคยคิดฝันอีกเหมือนกันว่าผู้ชายวัยยี่สิบหกย่างยี่สิบเจ็ดเวลาทำหน้าค้อนประหลับประเหลือกได้น่าทำร้ายถึงเพียงนี้ ทิวาได้แต่ทำใจแม้ว่าเพื่อนนั้นเราสามารถเลือกคบได้ แต่นี่มันก็เลยจุดนั้นมานานมากแล้ว...
“ช่วยกูด้วย!! กูมันเก่าขึ้นราทิวมันก็เลยอยากจะฆาตกรรมกูให้ตายด้วยกองเอกสาร” มีบุคคลน้อยนิดเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ไอ้หมอนี่จะปัญญาอ่อนใส่ แต่คนที่ยอมเล่นไปด้วยกันนั้นมีแค่คนเดียว “ใช่! ตั้งแต่มันมีชู้ มันก็จะเฉดหัวกูส่ง ไอ้หมอช่วยกูที”
นับไม่ถูกจริงๆว่าเขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายไปกี่ครั้งแล้วในวันนี้ ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่อันแสนยากเข็ญนี้เลยก็ได้ แต่ติดตรงที่ว่าทินกรต้องการเลขาโดยด่วนแล้วเป็นเขาที่ว่างงานพอดี จะให้เลือกเลขาเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้เพราะไม่อยากมีปัญหากับเมีย นั่นแหละ...กรรมเลยต้องตกมาที่เขา
“หึ หึ หึ เอางั้นเหรอ...”
เสียงหัวเราะที่แม้จะได้ยินมาหลายครั้งแต่ก็อดหวาดระแวงไม่ได้ทุกทีดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จากบทน้ำตาท่วมจอเมื่อกี้กลายเป็นบทฆาตกรโรคจิตในพริบตา ไอ้นักแสดงนอกจอหันมามองทางเขาเป็นระยะพลางหัวเราะในลำคออย่างน่าขนลุกไปด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องวางแผนอะไรบางอย่างกะไอ้คนปลายสายเป็นแน่
ถ้าทินกรรวมหัวกับจัญญาเมื่อไหร่เขาได้ปวดหัวทุกที
“เออๆ โอเคตามนี้” เจ้านายหมาดๆวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะหลังเสร็จสิ้นกิจธุระที่หาสาระไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มเปี่ยมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“วางแผนชั่วอะไรกันอีกล่ะ ดูหน้าก็รู้ว่าคงหาเรื่องดีๆไม่ได้”
“วาจามึงนี่บาดเข้าไปถึงเซี่ยงจี๊กูจริงๆ” ขนาดเขาว่าขนาดนี้มันก็ยังหาสำนึกไม่ ทินกรเหยียดยิ้มน่าขนลุกก่อนจะลุกขึ้น มือใหญ่คว้าข้าวของส่วนตัวที่มีแค่โทรศัพท์กับกระเป๋าเงินมาใส่กระเป๋ากางเกง
“จะไปไหนน่ะ ยังไม่เลิกงานนะเทียน”
“ไปตรวจงานกัน ไอ้แฟ้มนั่นน่ะเขวี้ยงทิ้งไปเลย” แล้วไอ้เพื่อนบ้าก็กะจะทำอย่างที่พูดจริง มือหนายื่นเข้ามาหวังคว้าแฟ้มสีดำที่เขาถืออยู่ ทิวาจึงจำใจต้องวางมันลงกับโต๊ะ
“แล้วจะกลับเข้ามารึเปล่า เราต้องรอไหม”
“พูดบ้าอะไร เจ้านายไปที่ไหนเลขาก็ต้องไปที่นั่นไม่ใช่เหรอ”
เฮ้อ~ เขาอยากจะบ้าตายวันละหลายรอบ ลงท้ายเขาก็ต้องถูกไอ้หมอนี่ลากไปบริษัทนั้นบริษัทนี้ที่มีสัญญาว่าจ้างให้รักษาความปลอดภัย ถึงจะเรียกว่าไปตรวจงานแต่ก็แค่ไปสังเกตการณ์เท่านั้น แค่ยืนดูพฤติกรรมโดยรวมและระบบการทำงานว่าเข้มงวดดังที่บริษัทต้นสังกัดระบุไว้หรือไม่ ที่จริงแล้วหน้าที่นี้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้บริหารลงมาตรวจสอบก็ได้ แต่ทินกรว่ามันเป็นความเคยชินที่ส่งต่อกันมา จากปู่สู่พ่อแล้วก็มาถึงลูก
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ไอ้หมอนี่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตะลอนทัวร์เสียที
“อยากจะไปอีกกี่ที่กันแน่ วันนี้บอกแล้วนี่ว่าขอเลิกงานตรงเวลา” ทิวาอดพูดไม่ได้ เข็มนาฬิกาบนข้อมือเขามันก็ราวกับวิ่งเร็วขึ้นทุกครั้งที่ยกดู
“ทำไมล่ะ เห็นทุกทีก็ไม่บ่น หรือว่ามีธุระสำคัญมากกว่าการทำงาน” ทินกรเหล่มอง เหยียดยิ้มอย่างที่คนมองอยากจะปล่อยหมัดไปปะทะเบาๆแล้วหันกลับไป ร่างสูงเดินควงกุญแจรถยนต์กับนิ้วอย่างอารมณ์ดี
...นี่มันแกล้งกันชัดๆ!!... ถึงแม้ว่าตั้งแต่เริ่มงานจะต้องอยู่เลยเวลาทุกวันเพราะยังมีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจมากมาย มันเลยกลายเป็นสัปดาห์ที่ทิวาปวดหัวมากที่สุด ไหนจะไอ้เพื่อนงี่เง่าที่เขยิบฐานะเป็นเจ้านาย มันทำให้เขาต้องข่มใจมากกว่าเดิมหลายเท่าเพราะต้องไว้หน้ามันด้วยตำแหน่งที่ค้ำคออยู่ พอกลับบ้านก็เจอกับคนตัวโตที่เริ่มไม่พอใจในงานใหม่ที่ต้องอยู่จนเย็นย่ำค่ำมืดทุกวัน รัตติกาลเริ่มทำตัวงอแงเอาแต่ใจเลยทำให้เขาบอกไปว่าวันนี้จะรีบกลับ นั่นล่ะถึงได้เลิกหน้าบูดหน้าบึ้ง
แล้วนี่เลยเวลาเลิกงานมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่รัตติกาลก็ไม่โทรตาม...สงสัยว่าเขาคงได้ง้อจนเหนื่อยแน่เลย
ทิวาเดินมองพื้นอย่างสุดเซ็ง เขาเองก็อยากจะโทรไปหาอยู่หรอกแต่กลัวว่าถ้าทินกรได้ยินแล้วจะยิ่งแกล้งหนัก แต่เพราะเอาแต่เดินตามฝีเท้าคนข้างหน้าถึงได้ไม่ทันระวังจนชนเช้ากับคนที่จู่ๆก็หยุดกระทันหัน
“พอแล้วก็ได้” ทิวาแทบจะฉีกยิ้มกับคำพูดของเจ้านายที่เหลียวใบหน้าคมเข้มมามอง แต่ไอ้ประโยคต่อมานี่สิ “...แต่ให้พวกกูไปส่งนะ”
“พวก? เฮ้ย! พี่หมอมาได้ไง” ทิวาตาเบิกโตกับผู้ที่มาทำให้สรรพนามครบสมบูรณ์ ชายหนุ่มที่คุ้นตาตั้งแต่เด็กยืนพิงรถยนต์หรูของทินกรด้วยท่วงท่าที่ไม่ต่างจากนายแบบในแมกกาซีน หนุ่มผิวขาวหน้าตี๋ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เขาพร้อมกับคำทักทาย
“พร้อมแล้วนะไอ้หมอ”
“พร้อมเสมออยู่แล้วไอ้เทียน”
ทิวาได้แต่อ้าปากพะงาบอมลม มันเกิดอะไรขึ้นสองคนนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่พร้อมกันอย่างกับนัดไว้...!! ต้องเป็นตอนนั้นที่ทินกรโทรไปหาแน่ๆ เขาแค่คิดแต่ยังไม่ทันจะได้โต้ตอบอะไร มือใหญ่ของเพื่อนข้างตัวก็จัดการลากเขาเข้าไปนั่งในรถส่วนหลัง ทิวากระพริบตาปริบๆกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด มองคนนั้นทีคนนี้ทีที่กำลังเตรียมพร้อมเพื่อออกรถจากลานจอด
“จ...จะไปไหนกัน”
คำถามของเขาถูกปัดตกไปด้วยรอยยิ้มกว้างสุดแสนจะเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มต่างวัยตรงหน้า รถเคลื่อนตัวออกช้าๆ ขับวนไปตามทางจนกระทั่งออกสู่ถนนใหญ่ เมื่อนั้นแหละใบหน้าคมเข้มของเพื่อนรุ่นเดียวกันถึงได้หันมามองเขา
“เอาล่ะ...บอกพี่เทียนสิจ๊ะว่ารังรักของน้องทิวไปทางไหน”
ข...เขา... เขาอยากจะบ้า!!!! รัตติกาลหงุดหงิดจนอกจะระเบิด!!!
บริษัทบ้าอะไรถึงได้ใช้งานคนเยี่ยงทาสขนาดนี้ แค่เริ่มทำงานอาทิตย์แรกก็กลับบ้านค่ำทุกวัน และงานเลขาบ้าอะไรมันจะหนักหนาจนเมียเขากลับมาในสภาพโทรมตลอด ยิ่งเห็นเขาก็อยากจะโพล่งออกไปว่าให้ลาออกจากที่นั่นแล้วมาทำงานให้เขาเสีย แต่ในเมื่อรู้ดีว่าทิวาคงไม่ยอมมันถึงได้อึดอัดในอกอยู่อย่างนี้
รัตติกาลได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาจะไม่ต่อสัญญาจ้างบริษัทนั้นอีกแน่!!
ชายหนุ่มเงยหน้ามองนาฬิกาติดผนังอีกครั้งก่อนจะมองออกไปยังกระจกใสด้านนอก ด้วยชั้นที่อยู่นั้นสูงจนสามารถมองเห็นบริเวณรอบๆได้กว้างไกล พอๆกับที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ใกล้กว่าเดิม แม้แสงสีทองจะยังคงรำไรให้ความสว่าง แต่ความมืดครึ้มก็เริ่มคืบคลานเข้ามาจากปลายขอบฟ้า
เขาอยากจะโทรไปถามด้วยความห่วงใยว่าตอนนี้ทิวาใกล้จะได้กลับบ้านหรือยัง ได้ทานอะไรบ้างรึเปล่า แต่อีกใจก็กลัวจะทำให้คนรักเครียดโดยใช่เหตุ ซ้ำร้ายกลัวว่าตัวเองจะควบคุมความหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่จนพาลให้ต้องโต้เถียงกันเปล่าๆ
รัตติกาลละสายตาจากด้านนอก ร่างสูงเดินตรงเข้าไปยังห้องทำงาน เปิดประตูตู้ไม้ออกมาเพื่อหวังปลดรหัสที่ตู้นิรภัยขนาดย่อมที่เก็บของสำคัญเอาไว้ เมื่อหมายเลยวันเกิดของคนสำคัญถูกใส่ลงไปกลไกก็ถูกปลดออก ถึงจะบอกว่าในนี้มีแต่ของสำคัญแต่เขาก็บอกรหัสให้แก่ทิวาอย่างเต็มใจ แต่เจ้าตัวก็ใช่ว่าจะสนใจเปิดดู เพราะแม้แต่รหัสก็ยังลืมไปเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายเขาเลยจำต้องเปลี่ยนรหัสใหม่เป็นเลขวันเกิดของทิวาเพื่อที่สะดวกในการจดจำ ...แต่... มันก็เท่านั้นละนะ
มือใหญ่เปิดบานเหล็กออกกว้าง มีเงินสดจำนวนไม่น้อยเผื่อกรณีฉุกเฉิน และเอกสารสำคัญทั้งหลายแหล่ แต่สิ่งที่รัตติกาลหยิบขึ้นมากลับเป็นกล่องแปดเหลี่ยมสีดำใบเล็ก เพียงแค่เห็นก็จุดรอยยิ้มให้เขาได้ไม่ยาก มันเป็นของสั่งทำที่เพิ่งจะได้มาเมื่อวาน ราคาค่างวดของมันอาจจะมากจนคนรับไม่พอใจ แต่มันก็ยังน้อยกว่าข้าวของที่บรรดาผู้หญิงหิวเงินที่เคยกอบโกยไปจากเขาเสียอีก
รัตติกาลเปิดฝาตลับออก บนเนื้อผ้ากำมะหยี่นุ่มมีแหวนสองวงปักอยู่เคียงกัน แหวนพลาตินัมเกลี้ยงๆไร้เพชรพลอยอย่างที่ทิวาไม่อาจบ่นได้ เขาอยากจะใส่สิ่งนี้ลงไปบนนิ้วเรียวสวยที่เขาชอบสัมผัส อยากจะให้เป็นเครื่องตราบอกว่าทิวาเป็นของรัตติกาลเท่านั้น เขาตั้งใจจะมอบให้ในวันทำบุญบ้าน ซึ่งด้วยฤกษ์ยามและข้าวของเครื่องเคียงที่คุณนายราตรีท่านร่ายมานั้นไม่ต่างอะไรจากงานแต่งเขาสักนิด จนเขากับพ่อแทบจะสงสัยว่าคุณราตรีท่านลืมไปหรือเปล่าว่าแท้จริงแล้วเป็นวันทำบุญบ้าน ได้ข่าวแว่วๆมาว่าถึงขนาดไปนั่งปรึกษากับพระอาจารย์ที่นับถือตั้งนานสองนานว่าอยากได้วันมงคลฤกษ์ที่พร้อมสำหรับสองงานในวันเดียว
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาช้าๆเมื่อนึกถึงเจ้าของแหวน กล่องถูกปิดกลับเหมือนเดิมแล้วส่งคืนเข้าไปในตู้ ปิดบานเหล็กเข้าสลักและปิดประตูตู้อีกครั้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย รัตติกาลเดินออกมาจากห้องเพื่อตรงไปยังห้องครัว เขาสั่งอาหารจากร้านอาหารชั้นล่างขึ้นมา แต่จนป่านนี้นั้นคงเย็นชืดจนไม่น่าลิ้มลองถ้าเขาอุ่นมันเสียตอนนี้ก็น่าจะทันเวลาที่ทิวาจะกลับมาตามที่เคย
อาหารหลายอย่างกำลังส่งกลิ่นหอมฉุยกระจายไปพร้อมกับควันจางๆที่ลอยฟุ้ง ตอนแรกก็ว่ายังไม่หิวหรอกนะแต่พอได้กลิ่นนานไปกระเพาะก็เริ่มโอดโอยเข้าแล้ว ชายหนุ่มอดีตเสือผู้หญิงมาบัดนี้ทำได้แค่นั่งจ่อมอยู่กับโต๊ะอาหารเพื่อรอคนรักกลับบ้าน ถ้าพวกเพื่อนมันรู้ว่าสภาพเขาตอนนี้เป็นอย่างไรมันคงจะหัวเราะเยาะกันน่าดูชม
บางครั้งเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงอดีตมันก็ช่างน่าตลก คนอย่างรัตติกาลไม่เคยต้องมานั่งรอใครแบบนี้ แค่มีเซ็กส์กันสุดเหวี่ยงกับบรรดาคู่ขาไม่ซ้ำหน้า ผู้หญิงพวกนั้นสนองตัณหาให้ ส่วนเขาก็แลกเปลี่ยนโดยการหยิบยื่นสิ่งของราคาแพงที่พวกหล่อนต้องการ แต่พอมาถึงทุกวันนี้...สิ่งที่เคยคิดว่าสุดแสนจะธรรมดากลับดูเป็นความน่าละอาย แต่ความต้องการที่พุ่งเป้าไปที่ใครเพียงคนเดียวนั้นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจ อยากให้คนๆนั้นมีความสุข อยากให้สบายทั้งกายทั้งใจ
สิ่งที่เขาเป็นในตอนนี้มันคงช่วยเพิ่มพื้นที่สีขาวในตัวเขาทีละนิด จนแม้แต่พ่อยังอุตส่าห์ชมเขา... ‘เป็นเด็กดีแล้วสินะ’ ...ถึงแม้คำว่า ‘
เด็ก’ นั้นไม่ควรเอามาใช้กับคนอายุ30 แต่เขาก็อดที่จะดีใจไม่ได้อยู่ดี
คนคิดอะไรเพลินสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงสัญญาณที่ประตูดังขึ้นสั้นๆยามที่มีการปลดล๊อกและตามมาด้วยเสียงบานประตูเปิดออก ถ้ารัตติกาลเป็นสุนัขก็คงกระดิกหูกระดิกหางวิ่งไปตะกายคนที่เพิ่งจะเข้ามาแล้ว ในเวลาแบบนี้ก็คงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มา รัตติกาลออกอาการลิงโลดอย่างปิดไม่มิด ความดีใจพาร่างสูงใหญ่ลุกออกจากที่นั่งเพื่อเดินไปต้อนรับ แต่ทว่า...
ตรงหน้านั้นไม่ได้มีแค่คนรักเขาเท่านั้น แต่กลับมีแขกแปลกหน้าอีกสองคนที่กำลังสอดส่ายสายตาไปรอบห้องอย่างสำรวจ ชายคนแรกตัวสูงผิวพรรณหน้าตาคล้ายมีเชื้อจีนอยู่ในตัวแต่ใบหน้านั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ส่วนอีกคนผิวไม่ขาวไม่ดำ ตัวสูงใหญ่คมเข้ม เมื่อเปรียบเทียบกันสามคนแล้วทิวาดูจะผอมบางที่สุดแถมยังเตี้ยกว่าใคร
“เดียว...ขอโทษนะที่มาช้า” ทิวาผลักไอ้คนหน้าเข้มให้พ้นทางแล้วเดินตรงมาทางเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ทานข้าวหรือยัง ผมแวะซื้อเป็ดอบน้ำผึ้งมาฝากด้วย”
รัตติกาลยิ้มรับเดินตามคนรักไปยังโต๊ะอาหารติดๆไม่ต่างจากหมาตามเจ้าของ “ผมรอคุณอยู่”
“หิวแย่เลย ขอโทษนะ”
“รอได้...”
บรรยากาศรอบตัวคล้ายกลับจะเจือไปด้วยสีชมพูหวานแหววอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มของทิวาไม่เคยทำให้เขาห้ามใจยิ้มตอบได้สักที มือใหญ่ช่วยถอดเสื้อสูทออกจากตัวคนรักแล้วพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ก่อนจะเป็นฝ่ายขยับถอดเนคไทและปลดกระดุมเสื้อลงสองสามเม็ดในระหว่างที่เจ้าของกำลังมุ่งมั่นกับการแกะกระดุมข้อมือแล้วพับแขนเสื้อขึ้น
“เหนื่อยไหม”
“ไม่หรอก วันนี้เดียวงานยุ่งรึเปล่า?”
“ก็เรื่อยๆเหมือนทุกวันนั่นแหละ อยากอาบน้ำก่อนไหม” รัตติกาลเอื้อมมือปัดปอยผมที่ร่วงปรกหน้าทัดไว้ข้างหูให้ พลางใช้สายตาสำรวจความอิดโรยบนใบหน้าสวยด้วยความรวดเร็ว
“หิว” คำตอบสั้นแต่ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในความคิดของเขานั้น ถูกแทรกแซงด้วยเสียงกระแอมไออย่างบ้าคลั่งจากแขกไม่ได้รับเชิญที่ถูกลืมไปเสียสนิท
“โค่กๆๆๆๆ โอะ อัวะๆๆ โค่กๆๆ”
“แค่กๆๆๆๆ เหอะ แหวะๆๆ แค่กๆ ”ช่างเป็นเสียงที่หยุดบรรยากาศหวานๆได้ชะงัดนัก รัตติกาลมองคนรักอย่างข้องใจ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นมีแต่ความลำบากใจบนใบหน้าและรอยยิ้มแห้งๆอย่างจนด้วยคำพูด
“คุณชู้ เอ้ย คุณสามีสวัสดีครับ” ไอ้คนตัวใหญ่ยกมือไหว้เขาด้วยท่าทางสบายๆอย่างที่คนเป็นผู้ใหญ่เพิ่งพบกันไม่มีวันทำ
“จำได้ไหมครับเราเคยเจอกันแล้ว” ส่วนคำทักทายของหนุ่มทำให้เขาต้องทำหน้าฉงนใส่ “ก็ค่ำคืนนั้นไง ที่คุณบุกไปที่ห้องทิวแล้วก็...” ไอ้ตี๋เหยียดยิ้มแล้วประกบมือสองข้างกระดกตีกันรัวเร็วจนไอ้เข้มหัวเราะลั่น รัตติกาลทำหน้าป่วย บางทีการพูดออกมาเป็นคำมันจะดูเบากว่านี้มาก
“เพื่อนผมครับ นั่นทินกรอายุเท่าผม ส่วนนั่นพี่หมอจัญญาอายุเท่าเดียว” ทิวาแนะนำชื่อเพื่อนสองคนด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “คนนี้คุณรัตติกาล ฟ...แฟ...แฟนกู”
รัตติกาลแทบจะตัวลอยไปติดเพดานกับคำแนะนำที่ได้ยิน เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ทิวาแนะนำเขาด้วยฐานะแฟนให้คนอื่นได้รับรู้ แถมยังขัดเขินได้น่ารักน่าฟัด มีการชำเลืองแลสายตาประหม่าส่งมาให้เขาต้องอมยิ้ม เห็นแล้วอยากจะไล่ไอ้พวกก้างขวางคอออกไปซะให้พ้นๆ
“หิวแล้ว เลิกหวานก่อนได้ไหมครับพี่” แล้วความหวานของเขาก็ถูกตีกระจายอีกครั้ง ทินกรเดินแหวกผ่านไปยังโต๊ะด้านหลังที่เต็มไปด้วยกับข้าวหลายอย่าง “พี่ไม่หุงข้าวไว้กินเองกันบ้างเหรอ ซื้อบ่อยๆมันเปลืองนะพี่”
...และก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์การใช้ชีวิตของเขาและคนรักประหนึ่งแม่ยายที่บุกมาเยี่ยมบ้าน
“แล้วดูดิ๊เนี่ย กับข้าวได้มานิดๆ แต่หลายสิบบาทแน่เลยไม่ไหวนะพี่ ถ้าทำเองคงได้จานเบ้อเริ่ม แล้วดูๆ ข้าวก็จานนิดเดียวกินกันอิ่มเหรอ นี่พี่เลี้ยงเพื่อนผมให้อดๆอยากๆเหรอทิวมันกินเก่งนะไม่รู้รึไง แล้วนี่ตู้เย็นทำไมมันถึงได้โล่งโจ้งอย่างนี้ พี่ไม่หาอะไรติดบ้านไว้บ้าง ใช้ให้คุ้มสิพี่ปล่อยทิ้งไว้ให้เปลืองไฟเล่นๆทำไม ตู้เย็นบ้านผมนี่ของเพียบอย่างกะซูเปอร์มาเก็ตเปิดเมื่อไหร่ต้องได้กินจนเมียผมน้ำหนักขึ้นพรวดๆ ผมถึงว่าไอ้ทิวมันผอมแห้งลงทุกวันเพราะไม่มีอะไรจะกินนี่เอง”
รัตติกาลทำได้แค่อ้าปากรับลมตลอดการเทศนา โดยที่หูขวาก็ต้องคอยรับฟังอีกเสียงของใครอีกคนที่กำลังเดินสำรวจข้าวของเครื่องใช้ เอ่อ...พ่อตาสินะ...
“อืม...โต๊ะตู้ดูดีมีระดับมากครับ อื้อหือ ใช้แต่ยี่ห้อแพงๆนะ แต่ซื้อมาแค่ประดับเฉยๆก็โอเค ดูแล้วคงจะไม่ได้หุงหาอาหารกินเองกันเลยนะ ยังกะของใหม่แน่ะ โอ้โฮ เครื่องวิ่งรุ่นนี้แพงบรรลัยเลยนะครับคุณ อู้ฮู มีหนังสือเยอะเหมือนกันนะ มีแต่การเงินการตลาดหลักธุรกิจ เครียดไปไหม ผมเป็นหมอแต่ยังต้องมีชั้นเก็บหนังสือโป๊เลย ไว้จะส่งมาให้นะไว้คลายเครียด ว้าวๆ ทีวีจอโค้ง! เป็นแสนเลยไม่ใช่หรือครับ อื้มๆ ฐานะสุดยอดไปเลยนะเนี่ย”
รัตติกาลได้แต่มองซ้ายที ขวาทีด้วยความงุนงง รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่เพียงลำพัง ส่วนคนรักของเขานั้นกำลังเดินไปมาเพื่อจัดการตักข้าวเปล่าในกล่องโฟมที่เพื่อนวางไว้แบ่งใส่จานอีกสองใบ เขารีบเดินเข้าไปนั่งข้างทั้งๆที่ยังสับสน ทิวาหันมายิ้มให้เขาเหมือนปลอบใจและขอโทษอยู่ในที ก่อนที่จะ...
“หยุดเดินพล่านกันได้แล้ว รีบมากินข้าวแล้วก็ไสหัวกันไปซะที”
ทิวาของเขาเปล่งเสียงเข้มไม่ต่างจากคุณครูเวลาดุลูกศิษย์ และมันก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อสองคนที่เดินวุ่นวายเริ่มทยอยกลับมานั่งโต๊ะกันอย่างสงบเสงี่ยม แต่ปากยังไม่ยอมหยุดขมุบขมิบราวกับบ่น
“เงียบกันปากสักที กินเข้าไปได้แล้ว”
“พวกกูเป็นห่วงแท้ๆ”
“มีผัวแล้วก็เงี๊ยะ”
“เอ่อใจเย็นๆนะครับ” รัตติกาลจำต้องรีบปลอบคนข้างกายที่คล้ายน้ำถูกต้มเดือดทีละนิด “เป็นเพื่อนกันมานานแล้วเหรอครับ”
“ผมกับไอ้หมอน่ะเห็นกันตั้งแต่เกิด ส่วนทิวนี่เจอกันก่อนขึ้นม.1ไม่กี่อาทิตย์มันเพิ่งย้ายบ้านมาน่ะครับ” ทินกรรีบกลืนข้าวแล้วตอบคำถาม แต่ช่างเป็นคำตอบที่ทำให้เขาหม่นนิดๆ นั่นคงเป็นช่วงที่ลำบากเอาการทีเดียวสำหรับเด็กในวัยนั้น
“ภาพลักษณ์มันดีแต่เด็ก สุภาพ เงียบขรึม หลอกสาวๆได้เยอะเชียวล่ะ แต่ก็โดนทิ้งตลอดเพราะความจืดชืด” ผู้ให้การอีกคนกล่าว ทำเอาคนรักเขาต้องหลับตาข่มอารมณ์
“ก่อนพี่มาได้มันเนี่ย มันก็ได้กับคนอื่นมาเยอะแยะ”
“ล่าสุดนี่ใครนะมึง”
“อ๋อ ผู้หญิงฝ่ายบุคคลบริษัทกูไง เดี๋ยวก็คุณทิวคะ คุณทิวขา ไอ้นี่ก็ยิ้มไปเถอะ”
รัตติกาลคิ้วกระตุกวูบ หันไปมองทิวาในทันที ใบหน้าสวยซีดเผือดสั่นศีรษะจนผมกระจาย เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่ถ้ามองจากรูปลักษณ์ของทิวาแล้วก็ทำให้เชื่อได้ไม่ยาก
“อ้าว ไม่ใช่น้องร้านกาแฟ ที่มันไปโปรยเสน่ห์ใส่บ่อยๆหรอกเหรอ”
“มึงนี่ไม่อัพเดตเลยนะ หลังจากนั้นก็ยังมีป้าร้านข้าวที่มันไปกินบ่อยๆด้วย หูย ตักให้มันทีนี่อย่างเยอะ”
“โธ่ถัง คนมีผัวแล้วนี่มันเสน่ห์แรงจริงวุ้ย สงสัยกูคงต้องหาผัวสักคน”
“ใครเขาจะมาเอามึงห๊ะหมอ หน้าก็ไม่สวย ผิวก็ไม่เนียน ไอ้ทิวนี่จับไปตรงไหนก็นุ่มไปหมด”
“ก็จริงว่ะ ตอนหอมแก้มมันนี่อย่างหอมอ่ะ กลิ่นแบบติดจมูกเลย”
“ยิ่งขามันนะ หาขนยุบยับนี่ไม่เจอเลย มึงยังชอบลูบๆคลำๆบ่อยๆเลยนี่”
“แหมมึง ขนาดส้นตีนยังสวยตีเสมอหน้า กูนี่อย่างหลงอ่ะ”
ทิวามองรัตติกาลอย่างหวาดๆ ไอ้เรื่องที่พวกนั้นพูดมาเป็นเรื่องจริงแค่ครึ่งเดียว จะมีก็แค่คุณป้าร้านข้าวแกงข้างบริษัทเท่านั้นที่ดูจะเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ ส่วนไอ้เรื่องคนอื่นๆที่พวกนั้นอ้าง เขาไม่ได้รู้ได้เห็นอะไรด้วยเลยสักนิด!! แล้วไอ้เรื่องจับต้องหรือหอมแก้มนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง พวกเราเป็นเพื่อนที่ไม่ได้พิศวาสกันมากพอจะถึงเนื้อถึงตัวกันแนบแน่นอย่างนั้น แต่รัตติกาลก็ดูจะหน้ามืดโดนหลอกเสียสนิท ดูจากตาที่ตวัดมองเขาทุกครั้งที่จบการใส่ไฟ
ที่ยอมนำทางมา ก็เพราะพวกนั้นทำหน้าละห้อยแล้วบอกว่าเป็นห่วงแท้ๆ เขาน่าจะชินกับความเจ้าเล่ห์แสนกลของไอ้สองคนนี้ได้แล้ว พวกนั้นก็แค่อยากจะหาเรื่องสนุกทำแก้เครียดเท่านั้น
ห่วงงั้นเหรอ...
พวกมันมาเพื่อสร้างความหายนะ ให้เขาต้องตายคาเตียงเสียมากกว่า!!_____________________________________________________________ TBC. __________________แวะมาส่งก่อนไปทำงาน

รักคนอ่าน

รักคนเม้น
Untill we meet agaiN