เชื่อไหมครับว่าผมผิดนัดไอ้อั้มทั้ง ๆที่ถึงหน้าร้านแล้ว หมาครับ งานนั้น บอกได้คำเดียวว่าหมา โดนทั้งเพื่อนสนิท ไม่สนิทด่ากันระนาว แต่ยอมรับเลยว่าเวลานั้นผมทิ้งมันไปกินเหล้าไม่ลง
มันไหนล่ะครับ... ก็มันนั่นแหละ ไอ้เด็กนี่เดินผิวปากออกจากห้องสอบโดยสั่งให้ผมทำงานอยู่ใต้ตึกคณะตัวเองระหว่างที่มันยังไม่มา เอาจริง ๆ คือไอ้อั้มแม่งงอนผมตั้งแต่คืนนั้น โทรไปเรียกให้มานั่งเป็นเพื่อนก็ไม่รับ โชคดีมากเพราะวันที่นัดกันไว้มีแค่รุ่นเดียวกัน ถ้าเสือกนัดน้องไปเลี้ยงด้วยไอ้ยูโดนเผาแน่ว่าติดผู้ชายที่เคยแย่งแฟนตัวเองจนยอมผิดสัญญา ตลกตรงไหนรู้ไหม ตรงที่แม่ง ผมทำแบบนั้นจริง ๆ นี่แหละ โคตรไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมผมถึงต้องยอมมันขนาดนั้นด้วยเพราะงั้นจนตอนนี้ก็ยังไม่มีคำแก้ตัวไปขอโทษอะไรไอ้อั้มให้มันหายโกรธผมสักที
“ รอนานป่าว”
คนที่ผมกำลังสาบส่งในใจถามหน้าระรื่น ทุกวันนี้มันก็ยังไม่บอกครับว่าคืนนั้นเป็นอะไร จะว่าเมาก็ไม่ใช่กินไปนิดเดียว แต่ขี้เกียจคาดคั้น มันอาจเครียดจากเรื่องสอบ เรื่องที่บ้าน หรือจริงๆ แล้วงอนที่ผมไม่รู้วันเกิดมันก็ได้ ตามประสาเด็กแหละครับจะไปคิดตามอะไรให้มากมาย เอาเป็นว่าสุดท้ายผมแก้ปัญหาคำว่ากลัวของมันด้วยการอยู่กับมันทั้งคืนจนเช้า นั่งเล่นกีต้าร์ระหว่างที่อินอ่านหนังสือ คุ้น ๆ นะครับ ปกติจะเป็นผมทำงานแล้วมันชิวไง วันนั้นเลยมีสลับกันบ้างนิดหน่อยแต่ดูมันสบายใจขึ้นเยอะเลย
“กินอะไรก่อนไปหรือไปกันเลย”
“ไปหาอะไรกินที่โน่นก็ได้” พูดจบก็สะพายกระเป๋ากล้องลุก ไอ้อินพยักหน้ารับก่อนจะพากันออกจากคณะ สวนกับไอ้พีทที่ยังมีสอบอยู่มันก็มองผมสลับกับอินยิ้ม ๆ แต่ไม่ได้แซวอะไร มาถึงรถคาดเข็มขัดได้ผมก็ชวนอินคุย
“ข้อสอบทำได้ปะ”
“ไม่รู้ ก็เขียนไปเรื่อย ตัวนี้ไม่โหด ห่วงอะดิ”
ผมเบะปากเบือนหน้าหนีไปนอกกระจก แดดดีมาก มากเกินไปด้วยซ้ำ “ไปเดินเจเจอากาศแบบนี้ร้อนตายห่า”
“จะได้ถ่ายภาพง่าย ๆไง ลองแล้วเป็นไงบ้าง ผมซื้อมากากกว่าตัวเก่าที่ยูใช้มาปะเนี่ย”
“ไม่ ๆ ตัวนี้ีดีอยู่ จับภาพไวกว่าตัวเก่า ถ่ายวีดีโอดีด้วย เมื่อวานกูเอาไปถ่ายไอ้เบิ้ลมา แม่งเล่นกล้องด้วย เดี๋ยวเปิดๆ”
ผมทำท่าจะรื้อกล้องจากในกระเป๋าออกมาให้พลขับดู แต่อินทรีโบกมือห้ามไว้ก่อน “เฮ้ย ขับรถอยู่ ยูแม่ง ขี้อวดเหมือนเด็กเลยว่ะ”
“พ่อมึงสิ” ผมเกลียดจริงๆเวลาที่มันบอกว่าผมเหมือนเด็ก เหมือนตรงไหนวะ อย่างผมน่ะผู้ชายอบอุ่นที่ใคร ๆ ก็อยากได้เป็นแฟนต่างหากโว้ย อินทรีหัวเราะร่วน เอื้อมมือมาหยิกแก้มผมแรง “มันเขี้ยว”
“มึงเลิกทำอะไรที่ทำให้กูดูแต๋วแตกเหอะว่ะ” ผมปัดมือมันออก แล้วนั่งกอดอก พอดีกับรถติดไฟแดงคนข้าง ๆ เลยหันหน้ามามองผมเต็ม ๆ “นี่ยังคิดเรื่องแบบนั้นอีกเหรอ”
“เรื่องอะไร”
“ใครรุกใครน่ะ” คิดสิโว้ย เข้าใจไหมครับ มันเหมือนเป็นอะไรที่มันคาใจผมอยู่ตลอด คงไม่เป็นอะไรเลยถ้าผมไม่รู้สึกไปกับมันด้วย แต่ไม่รู้ว่ะ โอเค มันก็ดีแหละเวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่ผมไม่เห็นว่าผมกับมันจะคบกันรอดได้ยังไงเลยด้วยซ้ำ
“แค่อยู่กันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอแล้วมั้ง อย่าฟอร์มเยอะน่า ผมรู้ว่ายูมีความสุข”
“มโนครับอินทรี นับวันยิ่งเพ้อเจ้อนะ จะไฟเขียวละเลิกเวิ่นเหอะ”
ผมตอบปัด ๆ ไป พอมันพูดเรื่องแบบนี้ผมพาลเปลี่ยนเรื่องตลอดเลยว่ะ อินทรีไม่แย้ง หันไปขับรถต่อแต่ปากนี่ยิ้มกวนตีนตลอดทาง พอจะลงจากรถมันก็หยิบแว่นกันแดดขึ้นสวม แล้วเอื้อมมือไปคว้าเอาหมวกที่วางแหมะอยู่เบาะหลังมาสวมให้ผม อย่างเหี้ยเลย กูอุตส่าห์เซ็ตผมมาไอ้ห่าอิน
“เชี่ยไม่เอา” ผมปฏิเสธ ปัดมือออกแต่รุ่นน้องกลับมองดุ “อย่าดื้อได้ไหม แดดมันแรง”
“อย่าตุ๊ดน่า แดดแค่นี้ไม่เป็นมะเร็งหรอก”
“ยู..ใส่ไว้” อินทรีพูดเสียงขรม ออกแรงกดหมวกบนหัวผมหนักขึ้นก่อนตบปีกหมวกแก็ปให้ต่ำลงมาบังแสงที่แยงเข้ากระจกรถ
“เดี๋ยวหน้าสวยๆไหม้แดดหมด”
พูดจบมันก็ยักคิ้วให้
สวยพ่องสิ!!!ตลาดนัดจตุจักรเป็นอะไรที่อากาศร้อน ไม่น่าเดิน ของแพง แต่คนแม่ง เยอะบรมได้ตลอดทั้งปี ผมยกกล้องขึ้นมาจับภาพบรรยากาศไปเรื่อย ๆ มาตอนบ่ายก็ดี แสงมันได้ ไม่ต้องใช้ฟังก์ชันอะไรให้มาก ที่จริงผมก็ไม่ถนัดนักหรอกเรื่องกล้องน่ะ แต่เป็นคนประเภทชอบเก็บความทรงจำ ไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองแต่มักจะถ่ายรูปคนที่ชอบ ในเครื่องผมมีรูปของแฟนเก่าเต็มไปหมดไม่ว่าจะจบกันดีหรือไม่ดี ไม่ได้เอาไว้เพ้อพรรณนาอะไรเพียงแค่เวลาเปิดมาแล้วมันอิ่มใจทุกครั้งที่ได้เห็น ราวกับมันจะย้ำเตือนเสมอว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมีความสุข แม้มันจะผ่านมาและมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นหลังจากนั้นนานแค่ไหนก็ตาม
ผมลั่นชัตเตอร์ไปเรื่อยระหว่างอินทรีช็อปปิ้ง ถูกแล้วครับ มันช็อปปิ้ง เดินเลือกเสื้อ กางเกงแบบไม่สนใจผมที่เดินตามมาติด ๆ เลย มีชวนคุยอย่างมากก็แค่ให้ช่วยตัดสินใจเวลาถูกอกถูกใจอะไร นี่ได้เสื้อยืดมาสามสี่ตัว เป็นไซส์ที่มันกับผมใส่ได้เหมือน ๆ กัน แต่เป็นลายที่ผมชอบเสียส่วนใหญ่ พอเข้ามาเดินในโซนที่เป็นร่มผมก็ถอดหมวกออกมาพัดเหงื่อที่ไหลซึมตามไรผม อินทรีหันมายิ้มแล้วดึงหมวกไปพัดเองบ้างพัดให้ผมบ้างสลับกัน
“ร้อนอะดิ”
“เออดิ แดดเหี้ยนี่ก็จะแรงไปไหน”
“อย่าใช้มือเช็ด เดี๋ยวสิวก็ขึ้นหรอก สกปรก” เด็กหนุ่มมุ่ยหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงของมันมาซับเหงื่อให้ มองด้วยสายตาหวานฉ่ำจนผมต้องดึงผ้ามาไว้เองแล้วเฉไฉ เดี๋ยวนี้มันมักจะมองผมด้วยสายตาแบบนี้เสมอ สายตาที่ไม่ปกปิดว่าคิดอะไรอยู่
“กินไอติมป่าว?”
“ไม่อะ”
“งั้นรออยู่นี่แป๊บนึง เดี๋ยวมา”
พูดจบอินก็ยัดหมวกที่เอาไปตอนแรกใส่มือผมแล้ววิ่งออกไป ผมยืนหลบมุมรอแถว ๆ นั้นตามที่มันบอกแล้วเปิดรูปที่ถ่ายไปดูพลาง ๆ ภาพที่ได้ออกมาเป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง คงดีกว่านี้ถ้าผมได้ศึกษารายละเอียดของกล้องหรือวิธีการถ่ายภาพอย่างจริงจัง
“อะ เอาสีอะไร?”
ผมเหลือบตาขึ้นมองคนทักที่เพิ่งหายไปไม่นาน มันยื่นถุงพลาสติกใสที่มีไอติมหลอดสารพัดสีให้ บอกว่าไม่กิน ๆ ก็ยังจะซื้อมาอีก ไอ้เวรนี่ ผมหยิบไอติมสีแดงมาส่วนมันกินรสโค้ก เดินไปกินไปหยดไปต้องเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดกันตลอดทาง เลยต้องเก็บเครื่องบันทึกความทรงจำสีดำลงกระเป๋าก่อนแล้วเลือกเดินซื้อของเป็นเพื่อนอินทรีแทน ทุกครั้งที่ออกแดดมันจะบังคับให้ผมสวมหมวก แต่มันกลับใส่แค่แว่นกันแดดสีชาเอาไว้เท่านั้น เท่ตายห่าล่ะ ใส่แว่นกับชุดนักศึกษาเนี่ย
“ยูจะดูอะไรอีกป่าว”
“ไม่อะ หิวแล้วว่ะ มึงจะซื้ออะไรอีกไหม?”
“ไม่แล้ว ไปกินในห้างนะ ร้อน”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย เหงื่ออินทรีออกโทรมหลังจนเสื้อสีขาวแนบไปกับผิวเนื้อเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดชัดเจน ผมเดินตามมันเงียบ ๆ ก่อนจะหยุดฝีเท้าเมื่อมีกลุ่มผู้หญิงกระซิบกระซาบแล้วมองมาทางมัน ผมรู้ว่ามันเป็นที่สนใจ ไม่ต้องอวดรวยอะไรอย่างที่ผมเคยสบประมาทว่ามันมีดีเพราะเงินแต่แค่บุคลิกภายนอกมันก็ดึงดูดเพศตรงข้ามได้มากแล้ว
“ยู?”
มันหันกลับมาเมื่อเห็นว่าผมหายไป เรายืนห่างกันไม่กี่ก้าว ผมได้ยินมันพูดชัดเจนแต่กลุ่มผู้หญิงพวกนั้นคงไม่ได้ยินด้วย หนึ่งในหลายคนเดินเข้ามาสะกิดมันแล้วยื่นโทรศัพท์ให้
“ขอโทษนะคะ เพื่อนอยากรู้จัก ขอเบอร์ได้หรือเปล่า”
ผมไม่ว่ามันหรอก ไม่โกรธด้วยที่จะมีใครเข้ามาทักมันแบบนี้ แต่ที่ไม่เดินเข้าไปเพราะอยากจะรู้ว่ามันจะทำยังไง มันไม่ชอบผู้หญิงแถมยังมากับผมที่มันแสดงตัวชัดเจนว่าตามจีบอยู่คงไม่สานสัมพันธ์อยู่แล้ว แต่อดงี่เง่าอยากฟังคำตอบของมันที่ให้กับคนที่เข้ามาหาในช่วงเวลาแบบนี้ไม่ได้
“คนไหนครับ?”
ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปด้านหลัง ไม่รู้ว่าเพื่อนชอบเองหรือตัวเธอกันแน่ที่ถูกใจมัน อินทรียกยิ้มมุมปากพลางเหลือบตามองผม
“ผมก็อยากให้นะ แต่เดี๋ยวมีปัญหากับแฟนน่ะสิ ยู ผมให้เบอร์น้องเขาได้หรือเปล่า?”
อินทรีพูดเสียงไม่เบาแต่ก็ไม่ดัง ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมที่ถูกโยนคำตอบให้หน้าด้าน ๆ อากาศร้อนมาตั้งแต่แรกแต่ตอนนี้แก้มผมกลับร้อนผ่าว รีบเดินหนีก่อนที่จะตกเป็นเป้าสายตามากกว่านี้ ไอ้ห่าอิน ไอ้หน้ามึน เรื่องกวนตีนนี่ไม่ต้องบอก เป็นโดยสันดานเลยใช่ไหม
“เฮ้ย อย่าเพิ่งงอนสิ ผมล้อเล่น”
“ล้อเล่นเชี่ยอะไร ทำไมไปพูดแบบนั้น”
อินทรียิ้ม เร่งฝีเท้าจนเดินตีคู่กับผมได้ มือใหญ่ถือวิสาสะคว้ามือผมไปจับ ลอยหน้าลอยตากวนประสาทแล้วสอดประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกัน
“แต่ยูก็ดีใจไม่ใช่เหรอที่ผมตอบแบบนั้น”
"สัตว์! ใครดีใจ มึงนี่มัน!"
"ยู..." อินทรีเรียกก่อนผมจะโวยวายไปมากกว่าเก่า โอเค ผมขี้โวยวาย แต่ไม่เคยรู้สึกสงบนิ่งเหมือนตอนอยู่กับคนอื่นสักทีเวลาที่อยู่กับมัน อินทรีหยุดเดินแต่ยังดึงมือผมไว้ให้หันหน้าไปหา มันยังคงทอดสายตามองมายิ้ม ๆ ให้ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วเบือนหน้าหนี
"ปากบอกไม่ดีใจ แต่รู้ตัวมั้ยว่าแก้มแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว"
พ... เพราะอากาศมันร้อนต่างหากโว้ย!
TBC
แอบลงกันเวลางานนี่แหละ 555555555555 มาช้ากว่าปกตินิดนึงไม่โกรธกันเน่อออ ตอนนี้อินยูเต็ม ๆ หวานด้วย ยาวด้วย อิจมากกกกกกกกกกกก
สำหรับนัทตอนที่แล้วเชื่อเถอะว่ามีคนแบบนั้นอยู่บนโลกจริงๆ ส่วนจะจบหรือไม่จบ อินจะเห็นไม่เห็นเดี๋ยวติดตามกันต่อ เร็วๆนี้ยังไม่มีดราม่าฮะ วางใจได้ (สปอยสุดๆ)
ไม่รู้จะทอล์คอะไรแล้ว เจอกันใหม่สัปดาห์หน้าคร้าบบ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้า 