Special คนที่รัก“เอาจริง ๆ นะ มึงกับอินทรีเป็นอะไรกันวะ”
คำถามนี้ค่อนข้างหยาบคายสำหรับยู
ผมเหลือบตามองเจ้าของคำถามสลับกับคนที่ควรจะตอบแต่กลับก้มหน้าลงเติมน้ำแข็งในแก้ว ยุทธนาเลี่ยงที่จะตอบเสมอซึ่งผมเองก็เข้าใจ ไม่ได้คิดจะคาดคั้นหรือบังคับให้ยูพูดมันออกมา ลึก ๆ แล้วต่อให้บอกว่ารักแค่ไหนสิ่งหนึ่งที่ยังคงฉาบอยู่บนหน้าบาง ๆ ของรุ่นพี่คือความเขินอาย ยูยังคงกระดากที่จะพูดถึงความสัมพันระหว่างเราเพราะจะเลี่ยงคำถามถัดมาถึงสถานะบนเตียงที่ว่าบทบาทของใครเป็นของใคร โอเค ผมก็เคยพลาดท่าให้ยูแต่โดยปกติแล้วพี่ยูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด จะให้มาสารภาพกับคนอื่นมันคงกระทบจิตใจกันบ้างอยู่ดี
ผมไม่ได้โกรธ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เคยตกลง หรือขออีกฝ่ายคบจริงจังสักครั้ง การกระทำของเราสองคนมันชัดเจนอยู่ในอกอยู่แล้ว เพียงแค่ยูบอกว่าจะไม่ไปไหน จะจับมือกันไปอย่างนี้ตลอดผมก็มั่นใจว่ายูจะอยู่ตรงนี้กับผมจริง ๆ ยูอาจเป็นพวกใจดีกับคนไปทั่ว แต่ถ้ากับคนที่รักแล้วจะไม่วอกแวกนอกใจไปไหน ก่อนหน้านี้ผมถึงกลัว กลัวเพราะตัวเองไม่ใช่คนที่ยูรักตลอดมา
“มียิ้มกรุ้มกริ่มว่ะเฮ้ย อย่าบอกนะว่าปราบไอ้เสืออิน”
ญาติห่าง ๆ เจ้าของร้านเหล้าถามกระเซ้า ยูเลิกคิ้วขึ้นพลางถามย้ำ “เสืออิน?” ให้เจ้าของประเด็กหลุดหัวเราะก๊าก ในสายตาผมกับคนอื่นค่อนข้างเจ้าชู้ หยุดที่ใครได้ไม่นาน เป็นผู้ชายรักสนุกที่ไม่เคยมีความรัก อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ขนาดนั้น ผมเคยมีรัก รักที่จริงจัง รักที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและปราศจากซึ่งเหตุผล ผมเคยศรัทธามันมากกว่าใครทั้งหมดและเคยถูกทำร้ายเพราะความโง่เง่า ครั้งหนึ่งที่เป็นแผล มันเจ็บปวดจนผมเข็ดขยาดเอาการ ความคิดผมเปลี่ยนไป ไม่เคยมองว่าคำนิยามเหล่านั้นจะเป็นจริง รักน่ะเหรอ จริงจังอะไรมากวะ ถูกใจก็คบ ไม่ชอบก็เลิก ผมกลายเป็นคนแบบนี้กระทั่งได้เจอยูอีกครั้ง
ผู้ชายธรรมดา ๆ คนนั้น ไม่มีรถขับ ไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนม แต่งตัวโคตรของโคตรความจืดชืด หน้าตาไม่ได้โดดเด่น คณะที่เรียนก็ดูสกปรกชอบกล แต่รอยยิ้มของมันวันแรกที่เดินเข้ามาหานัทพร้อมช่อดอกไม้กลับเป็นสิ่งที่สะกดสายตาผมอย่างไม่ได้ตั้งใจ เป็นยิ้มเขิน ๆ ที่ปราศจากการปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง
เหอะ คนบ้าน ๆ อย่างมันเนี่ยน่ะเหรอคิดจะมาสอยนัท - เศรษ’ศาสตร์ เพื่อนร่วมรุ่นของผมที่โดนรุ่นพี่จีบไปเป็นหลีดตั้งแต่วันรับน้อง นี่มันเข้าภาษิตดอกฟ้ากับหมาวัดชัด ๆ
“มึงคบกับพี่เขาจริงเหรอวะ”
ผมได้ยินคำถามนี้บ่อยแต่ไม่เคยได้ถามนัทตรง ๆ ผมกับมันกลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันเพราะเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกที ทุกครั้งนัทจะยิ้มเจื่อน เหมือนไม่ภูมิใจในตัวแฟนเท่าไรนักแต่ก็ไม่เคยเห็นทะเลาะกันนาน ๆ ไอ้บ้านั่นมารับมาส่งนัทตลอด ดูแลจนพักหลังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง
“ดูไปดูมาพี่ยูก็น่ารักดีนะ” พวกผู้หญิงชอบพูดถึงอย่างนั้น ผมสังเกตมันมานาน ระหว่างนั้นตัวเองก็เปลี่ยนคนควงไปเรื่อย ทั้ง ๆ ที่นัทมีตัวเลือกมากมายที่ดีกว่าไอ้พี่ยู เพราะอะไรถึงได้จมอยู่กับคนพรรค์นั้นมาตลอด ถามทีไรนัทก็เอาแต่ยิ้ม หรือว่าเป็นเรื่องเซ็กส์ที่หมอนี่ไม่เคยปริปากเล่าออกมาเลยสักนิด
“เพื่อนมึงอาจจะเป็นคนดีมาก ๆ ก็ได้นะครับ รักคนที่นิสัย อะไรงี้”ไอ้ปอ เพื่อนที่สนิทที่สุดตั้งแต่สมัยมัธยมให้ความเห็น ผมเกาคางมองภาพของคนสองคนใต้ร่มคันเดียวกันไปเรื่อย ๆ ก่อนก้มลงงับหลอดกาแฟ
“กูว่าจะจีบนัท”
“อย่ายุ่งกับคนที่เขามีแฟนเลยครับ”
“กูอยากมีคนดี ๆ ที่รักกันที่นิสัยคบบ้าง ผิดเหรอวะ”หมอหมาถอนหายใจยาว ท้าวแขนมองออกไปจากใต้ตึกคณะเศรษฐศาสตร์ที่ผมนั่งอยู่กับมัน
“ถ้านัททิ้งพี่เขามาหาอิน นัทไม่ใช่คนดี ๆ อย่างที่อินอยากเจอแล้วล่ะครับ”จริงอย่างที่ปอบอก... นัทไม่ใช่คนดี นัทไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่น ๆ ที่เข้าหาผมเพราะทรัพย์สมบัติและหน้าตา มิหนำซ้ำยังเป็นพวกเรียกร้องไม่รู้จักสิ้นสุด เป็นคนน่าเบื่อที่ผมโคตรจะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไอ้รุ่นพี่’ถาปัตย์คนนั้นถึงได้รักมันนักหนา
“กูว่าจะจีบพี่ยู”ไอ้ปอถอนหายใจอีกครั้งหลังจากได้ยินประโยคนี้ในไม่กี่เดือนถัดมา มันคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องตลก ผมเองก็แค่อยากรู้ ไอ้พี่ยูไม่ใชสเป็กผม ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิดด้วยซ้ำ
“มึงไม่ได้ชอบแบบนั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลยครับ”
“มึงนี่ก็กั๊กกูตลอด คิดอะไรกับกูปะเนี่ย” ผมกระเซ้า เพื่อนรักคณะสัตว์’แพทย์ทำหน้าปะแล่ม ก่อนสะบัดหัวพรืด
“ผมแค่อยากให้มึงจะเลิกทำนิสัยแย่ ๆ ใส่คนอื่นเสียที รอบนี้คิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะครับ”
“มันกวนตีนกู”เพื่อนหน้าหล่อตัวเล็กทำหน้าไม่เชื่อ ผมเลยพูดเสริมถึงสรรพคุณไอ้เวรนั่นให้มันฟัง
“วันก่อนกูไปงานเลี้ยงวันเกิดรุ่นพี่ที่ร้านเฮียตุ้ย แม่งมาขัดจังหวะตอนกูกำลังจะเอากับกัส ต่อยกูเสียหน้าบวม”
“ก็สมควรนี่ครับ มึงไปแย่งเมียพี่มาแล้วเสือกนอกใจคาตาเขาขนาดนั้น เป็นผมเอาขวดเสียบพุงไล่อินกลับบ้านเก่าไปแล้วล่ะครับ”มึงเป็นหมอหมาประสาอะไรวะไอ้เตี้ย โหดสัตว์ผิดกับหน้าตาชะมัด
“ก็แค่ขำๆ น่า”
“นึกถึงจิตใจคนอื่นบ้างสิครับ”
“ยังไม่หมดเหอะ เมื่อคืนมันก็นอนกับนัทด้วย ไอ้นัทบอกกูเมื่อเช้า”หมอปอพ่นลมหายใจยาวเหยียด
“ถ้าอย่างนั้นคนที่อินควรไปเคลียร์ก็เป็นนัทนะครับ ถ้านัทเลือกอินแล้วก็ไม่ควรกลับไปหาแฟนเก่า”
“มึงจะขัดคอไปเสียทุกเรื่องเลยเหรอวะ” ผมปรายตามองไอ้ปอ มันประสานมือวางบนโต๊ะย่นจมูกเพื่อดันแว่นให้ขึ้นมาในระดับสายตา
“ผมชอบพี่เขานะครับ น่ารักดี ไม่อยากให้ต้องมาตกเป็นตัวตลกในแผนการณ์อินเลย”นึกมาถึงตรงนี้ก็ตลกดี ทั้ง ๆ ที่ผมวางแผนตั้งมากมายเพื่อให้ยูหลงกล กลับเป็นผมเองที่ท้ายที่สุดแล้วหลงอยู่ในวังวนของอีกคนได้อย่างง่ายดาย ไอ้ปอพูดถูก ยูเป็นคนน่ารักที่ใคร ๆ ก็ต้องชอบ
“กูว่ามอมเหล้ามันแล้วง้างปากเสียดีไหม”
เสียงพี่แจ๊คตะโกนคุยกับเฮียตุ้ยปลุกผมให้กลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง ผมยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นดื่มทั้ง ๆ ที่ยังไม่ละสายตาไปจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ยูหยิบถั่วโยนเข้าปาก หันไปยิ้มให้พี่ตุ้ยแล้วยกแก้วขึ้นท้าทาย พี่แจ๊คหัวเราะลั่นก่อนเทเหล้าลงไปในแก้วเบียร์ของยูจนเครื่องดื่มกลายเป็นสีอำพันเข้มข้น
“กวนตีนแบบนี้ต้องจัดให้หนัก”
“มอมให้ตายพี่ก็ไม่ได้ยินอะไรจากปากผมหรอก”
พูดพลางยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจรดริมฝีปากอย่างไม่ยี่หระ ยูเป็นคนคอแข็ง แต่ถ้าเครื่องดื่มที่ตกสู่กระเพาะไปกลายเป็นไวน์เมื่อไรจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องทันที ไม่ได้ถึงกับเมาจนไม่รู้เรื่อง แค่คิดช้าและขนาดสติสัมปชัญญะไปบางส่วนก็เท่านั้น
“งั้นกูเค้นไอ้อิน”
“อินก็ไม่พูดหรอก” ยุทธนาว่าแล้วยื่นขามาเตะผมใต้โต๊ะ เมียสั่งแบบนี้ใครจะกล้าวะครับ ผมเลยได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ กลับไปให้เฮียซึ่งทำให้ยูมีสีหน้าพออกพอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่สิ กูมันไม่ใช่พี่ชายคนโปรดของมึงนี่ รอก่อนเถอะ ไอ้อั้มกำลังไปรับไอ้เฟยมา เดี๋ยวได้รู้กันแน่ว่าอะไรเป็นอะไร”
เฮียตุ้ยพูดอย่างเป็นต่อ บอกตรง ๆ ผมไม่ชอบไอ้บ้านั่นเท่าไร หลังจากวันนั้นถึงจะต่อยมันระบายความอัดอั้นไปบ้างแล้วก็ยังไม่หนำใจ อยากจะกระทืบให้แม่งเละคาตีนข้อหาอวดดีและปากเก่งไปอีกดอก ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันจงใจกวนตีนผม แต่จะโวยวายมากก็ไม่ได้ ดูก็รู้ว่ามันสำคัญกับยูมากแค่ไหน ผมไม่ชอบมัน เหม็นขี้หน้า แต่ความรู้สึกของยูเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมต้องรักษาไว้ สุดท้ายเลยได้แต่ถอนหายใจไม่สบอารมณ์เมื่อรู้ว่าคู่กรณีกำลังตามมา
“เป็นไร” ยูโน้มตัวมาถามเมื่อเห็นว่าผมสีหน้าไม่สู้ดีนัก ที่จริงอยากชวนยูกลับแล้วจะได้ไม่ต้องเจอไอ้พี่เฟยอะไรนั่นแต่เพราะวันนี้มันตั้งใจจะมาเลี้ยงขอบคุณที่ทุกคนช่วยทำธีสิสจบเลยต้องทนฝืน จะให้กลับไปก่อนก็ใช้ที่ เดี๋ยวมดแดงที่มันแฝงพวงมะม่วงแถวนี้จะได้มีโอกาสทำคะแนนทีเผลอ
“ออกไปสูบบุหรี่นะ”
“เฮ้ย ไปด้วย”
ผมเลิกคิ้วขึ้น ก่อนหน้านี้ได้กลิ่นควันบุหรี่จากเสื้อผ้ายูบ้างแต่เข้าใจว่าเป็นของพี่อั้มมาตลอด พอมันพูดแบบนี้ก็ฉุกคิด ก่อนหน้านี้ยูเกลียดบุหรี่จะตายไป
“ดูดเป็น?”
“ระดับนี้”
“ใครสอน” ผมถามเสียงเรียบ ไม่ได้ดราม่าใส่แต่ก็ไม่ชอบใจนัก ถึงจะเคยชวนมันดูดแต่ถึงเวลานี้ก็ไม่อยากให้ลอง ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
“พี่เฟย”
“เลิกคบมันได้ปะไอ้เหี้ยนั่น”
“อย่างี่เง่าน่า” ยูพูดเสียงเอื่อย เบื่อที่ผมคอยกัดรุ่นพี่มันเต็มทน “ก็ดูสอนแต่ละอย่าง ดี ๆ ทั้งนั้น”
“มึงก็ดูด”
“ให้เลิกก็ได้”
ผมเคยหยุดสูบมาช่วงหนึ่งแล้วที่ยูขอ กลับมาแตะอีกครั้งตอนที่มีเรื่องกันบ่อย ๆ ความเครียดเป็นเพียงข้ออ้าง จริง ๆ แล้วผมแค่อยากจะทำอะไรประชดยูเฉย ๆ แต่หลังจากนั้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ห้ามอะไรเลยสูบต่อมาเรื่อย ๆ
“ดีลนะ เลิกบุหรี่ ทั้งคู่”
ยูจิ๊ปากเหมือนไม่พอใจแต่ก็ยอมพยักหน้าตกลง ผมโยนกล่องอะลูมิเนียมที่ไว้สำหรับเก็บบุหรี่ให้พี่ตุ้ย พอมันหันมาถามก็บอกคำเดียวว่ายกให้ ตั้งใจจะเลิกขาด
“อ้าวไอ้พีท มากับเขาด้วยเหรอ”
พี่แจ๊คตะโกนทักคนที่ปรากฏตัวใหม่จากทางเข้า พี่พีทยกมือไหว้กราวแล้วกระโดดโลดเต้นมาที่โต๊ะ ส่วนอีกสองคนที่เข้ามาพร้อมกันคือพี่อั้มกับพี่เฟยในชุดลำลองสบาย ๆ ยูหันไปไหวรุ่นพี่มันแล้วตบเก้าอี้ให้มานั่งข้าง ๆ
“นี่เลยเฮีย ผมมีเรื่องจะบอกด้วย”
ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ เบนสายตาไปทางอื่นแทนที่จะต้องมาจ้องหน้าไอ้พี่เฟยมัน หน้าตามันสวยสะเอาเรื่องแต่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าห่ามมากแค่ไหน ตาเฉี่ยวคมของมันดุดัน มีประกายจริงจังอยู่ในรอยยิ้มเสแสร้ง
“เรื่องอะไร ที่มีบริษัทมาทาบทามมึงน่ะเหรอ”
“เฮ้ย ทำไมรู้วะ งี้ก็ไม่เซอร์ไพรซ์สิ”
ยูพูดกลั้วหัวเราะ ไอ้พี่เฟยส่ายหน้าระอาแล้วยกมือขึ้นยีหัวคนรักผมเบา ๆ เดี๋ยวเหอะมึง เดี๋ยวได้มือกุด
“กูน่ะใคร ทำไมจะไม่รู้ เรื่องของมึงกูรู้หมดแหละ”
พูดพลางยิ้มยวนที่มุมปาก ผมปรายหางตามองมันแล้วหันไปเติมน้ำแข็ง พอดีกับเฮียตุ้ยและพี่แจ๊คพากันเข้าประเด็น
“เออ เฟย มึงรู้ปะวะว่าไอ้อินกับไอ้ยูนี่มันยังไงกัน”
พี่เฟยยกยิ้มที่มุมปาก เหลือบตามองยูที่ยังคงเฉไฉทำเป็นชวนพีทคุยก่อนวางแขนพาดบ่าเล็ก โน้มตัวลงไปกระซิบจนชิดหู แม่งเกินไปแล้วว่ะ คิดว่าผมจะมีความอดทนนึกหรือไง
ปึก! ผมวางแก้วเบียร์ลงเสียงดัง ไอ้เจ๊กเหลือบตาขึ้นมองผมยิ้มเยาะ ยูไม่ได้สังเกตอะไรยังหยิบถั่วขึ้นกินต่อ ปลายนิ้วเรียวที่วางบนไหล่ลาดของคนรักผมขยับเล็กน้อย จงใจลูบเบา ๆ อย่างท้าทาย จังหวะนั้นที่ผมลุกขึ้นโดดถีบไอ้ห่านั่นจนล้มโครมไปกลางร้าน
พลั่ก!“ไอ้อิน!”
สองเสียงที่ดังขึ้นแทบจะพร้อมกันทำให้วงแตกกระเจิง ยูผุดลุกขึ้นมายืนตรงกลางระหว่างผมกับมัน ไอ้พี่เฟยหัวเราะหยันอยู่ด้านหลังอย่างเป็นต่อเมื่อยูหันมาด่าผม “เป็นบ้าอะไรอีกวะ!”
“มึงกล้ามากนะไอ้เฟยที่ทำแบบนี้กับยูต่อหน้ากู”
“ทำอะไร แค่กอดคอตามประสารุ่นพี่รุ่นน้อง”
รุ่นน้องพ่อมึงสิ ไล้เสียขนาดนั้น ถ้ากูไม่อยู่ด้วยลากกันไปถึงไหนต่อไหนแล้วใช่ไหม จงใจจะกวนตีนกันตั้งแต่แรกอยู่แล้วยังกล้าพูดหน้าตาย “เฮ้ย อะไรวะพวกมึง ไอ้อิน เฟยมันก็แค่กอดคอยูมึงจะโมโหทำไม”
“มันกวนตีนผม”
“หึงหน้ามืด”
ไอ้เฟยไม่หยุดพูด ยูหันหลังกลับไปตะครุบปากมัน อีกฝ่ายเลยดึงมือไปจูบต่อหน้าผมหน้าตาเฉย ผมพุ่งตัวใส่อีกแต่คราวนี้ยูผละจากไอ้เจ๊กมากดบ่าผมไว้ สายตายูจับจ้องจริงจังและดุดันราวกับประกาศก้องว่าผมกำลังทำให้มันไม่ชอบใจ
“จะนั่ง หรือจะกลับ” ยูถามเสียงขรม โมโหอะไร คนที่ควรจะโกรธมันผมนะ
“กลับ”
“งั้นมึงก็กลับไปคนเดียว”
ไอ้พี่เฟยยักคิ้วอยู่ด้านหลัง ผมหายใจฟึดฟัดก่อนยกแก้วเบียร์ที่ยังเหลือขึ้นกระดกดื่ม เฮียตุ้ยหันไปขอโทษขอโพยลูกค้าก่อนทุกอย่างจะกลับไปสู่สภาพปกติ ยูทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ มันเหมือนเดิม ส่วนผมกลายเป็นคนเดียวที่ยังยืนอยู่ที่โต๊ะ ไม่สนใจกันเลยใช่ไหม ไอ้เจ๊กนั่นดีกว่าผมอย่างนั้นสินะ
“ผมกลับละ”
ขืนอยู่ก็มีแต่จะทะเลาะ พี่เฟยเลิกคิ้วขึ้นมองผม ส่วนยูก็พยักหน้าส่ง ๆ แต่ไม่มองสบตา จะเอาแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม
“เฮ้ย มึงไม่ไปเคลียร์กันหน่อยเหรอวะ”
พี่อั้มสะกิดถามเพื่อน ยูก้มหน้าลงรินเบียร์ใส่แก้ว “ไม่มีอะไรต้องเคลียร์นี่”
อย่างนี้เลย ยูที่ใจดีกับทุกคนยกเว้นผม ผมถอนหายใจ หันหลังเดินหนี ควรจะชินแต่ก็ไม่ชิน จะให้ทำใจชินได้ยังไงกับยูที่เห็นไอ้พี่เฟยสำคัญกว่าใครตลอด
ผมเป็นแฟนมันนะเว้ย!“ตอนแรกกูกะแซวเล่น ๆ สรุปมึงสองคนคบกันจริงเหรอวะ” เฮียตุ้ยถามทิ้งท้าย ผมชะลอฝีเท้าลงเพื่อที่จะฟังคำตอบ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดจะคาดคั้น แต่เวลานี้กลับอยากให้ยูพูดออกมาจากปากสักคำ
“ช่างเหอะน่า แดกเหล้า ๆ”
...ทำไมขยันทำให้ผมใจเสียนักวะยูผมไม่ได้กลับหรอกครับ ใครจะกล้าทิ้งให้ไอ้เฟยไปส่งที่หอ ออกมานั่งตบยุงอยู่ข้างนอกเล่นมือถือไปเรื่อย ประมาณเกือบ ๆ ตีหนึ่งมีคนทยอยเดินออกมาทางหลังร้านบ้างแต่ไม่เยอะเท่าไร ส่วนใหญ่ที่ออกมาเพราะสูบบุหรี่กับคุยโทรศัพท์มากกว่า ร้านเฮียตุ้ยมีแต่รุ่นน้องมัน กระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเด็กคณะอื่นบ้างเลย
“ขอโทษนะครับ”
ขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่เสียงทุ้มของหนึ่งในเด็กคณะอื่นก็ดังขึ้นไม่ห่าง ผมเปิดกระจกรถแต่สตาร์ทเครื่องไว้สำหรับชาร์จแบตมือถือเพราะอยู่ข้างนอกนาน เด็กผู้ชายตัวเล็ก น่าจะเล็กพอ ๆ กับไอ้หมอปอชะโงกหน้าเข้ามาเล็กน้อย
“มือถือผมแบตหมด จะยืมที่ชาร์จสักแป๊บได้หรือเปล่า”
ผมพยักหน้า ถอดสายต่อออกให้อีกฝ่ายใช้ หมดเกลี้ยงตามที่มันบอกจริง ๆ ต้องเสียบทิ้งไว้พักใหญ่ ๆ เลยถึงจะติดขึ้นมาอีกครั้ง ฝ่ายนั้นดูลุกลี้ลุกลน นั่งจ้องหน้าจอสีดำของตัวเองราวกับจะสะกดจิตให้แบตเพิ่มขึ้นไวกว่านี้
“ใช้ของผมก่อนไหม”
“อ่า...ไม่เป็นไรครับ ผมจำเบอร์เขาไม่ได้”
“แฟนเหรอ?”
อีกฝ่ายยิ้ม ผมไม่ได้ซักไซ้ต่อแต่เปิดประตูรถออกมายืนข้างนอก “เมื่อยก็เข้าไปนั่งข้างในได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ นี่มากับเพื่อนเหรอ ทำไมไม่เข้าไปในร้านล่ะ”
“เบื่อ ๆ น่ะ” ผมตอบส่ง ๆ เงยหน้าอีกทีเห็นไอ้พี่เฟยออกมาสูบบุหรี่ตรงประตู เราอยู่ไกลกันพอสมควรแต่ก็ยังมองรู้ว่ามันยักยิ้ม ผมเกลียดรอยยิ้มของมันชะมัด
“นั่นแฟนเหรอครับ”
“เปล่า”
“เห็นเขามองมาสักพักแล้ว”
ผมไม่ตอบอะไร พอดีกับแสงจากจอมือถือของอีกฝ่ายสว่างวาบเป็นสัญลักษณ์ว่าไฟเข้ามากพอจะใช้การได้แล้ว คนแปลกหน้าขออนุญาตเข้าไปในรถเพื่อใช้โทรศัพท์ก่อนส่วนผมรออยู่ด้านนอก ตอนนี้ไอ้พี่เฟยกลับเข้าไปในร้านแล้วเหลือแค่ผมกับผู้ชายข้าง ๆ ที่กำลังโทรหาแฟนมัน ผมยืนรอจนมันคุยธุระจบก็ถอดสายชาร์จออก จังหวะที่เปิดประตูกว้างให้อีกฝ่ายออกจากรถมาแรงบีบที่บ่าก็ทำให้ผมเอี้ยวตัวหันไปมองแทบจะทันที
ยูเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง มองผมสลับกับเด็กใหม่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ถ้ายังไม่กลับก็เข้าไปข้างใน มีเรื่องต้องคุยกัน”
ยูปรายหางตาไปยังคนแปลกหน้าที่ยิ้มเจื่อน ผมพยักหน้าลงก่อนล็อกรถแล้วเดินตามมันกลับเข้ามาในร้าน มีการปรับเปลี่ยนที่นั่งกันนิดหน่อยโดยพี่อั้มย้ายไปนั่งใกล้พี่เฟยแทนยูในทีแรกแทน ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น ยูเอาแต่กระดกดื่มเบียร์ลืมตายจนผมคิดว่าปล่อยไว้แบบนี้แม่งเมาแน่ ๆ
“พอแล้วยู”
มือขาวยกขึ้นเบี่ยงหนี ผมถอนหายใจหนักก่อนเอื้อมมือไปแย่งแก้วอีกฟาก เรายื้อกันสักพักจนเบียร์หกลงพื้นยูถึงยอมปล่อย “เป็นอะไร”
“เปล่า” เสียงนั้นนิ่งเรียบเสียจนน่าใจหาย ผมไม่ค่อยได้ทำให้ยูโกรธจริงจัง พออีกฝ่ายเป็นแบบนี้ก็ทำตัวไม่ค่อยถูก
“จะมาเปล่าได้ยังไง รู้จักกันมาเท่าไรแล้วอย่าเถียง เป็นอะไร”
มันไม่ตอบแต่ปรายตามองไปโต๊ะเยื้อง ๆ กัน อ้อ เด็กนั่นที่มายืมชาร์จแบต มือถือในรถผม “เขามายืมที่ชาร์จโทรศัพท์”
“ได้เบอร์มาด้วยไหมล่ะ”
“จะค้นไหม” ผมโยนมือถือให้ตรงหน้า เอาจริง ๆ ผมไม่เคยเปิดเผยกับใครขนาดนี้ อยากค้น ค้นเลย สงสัย ระแวงอะไรตรวจสอบได้หมด คบกับยูผมจริงใจ ไม่ได้กั๊กหรือเผื่อเลือกไว้อยู่แล้ว
“เก็บไว้เหอะ”
“ถ้าจะเชื่อใจก็เชื่อให้มันจริง ถ้ากลัวก็เปิดดู ไม่คุ้นชื่อคนไหนจะบอกให้หมด ผมไม่มายด์ ไม่ได้มีเรื่องส่วนตัวอะไรกับยูอยู่แล้ว” ยูถอนหายใจ เสือกมือถือกลับมาตรงหน้าผม
“ไม่ต้องหรอก กูเชื่อแล้ว... แค่นึกว่าจะงอนแล้วไปคุยกับคนอื่นประชด”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้เลิกแล้ว ผมไม่อยากทะเลาะกับยู ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
“ไม่ทำหรอก”
“อืม... รู้แล้ว” มันพูดก่อนเป็นฝ่ายยัดมือถือใส่มือผม หลังจากนั้นก็ประสานปลายนิ้วเข้าหาโดยที่มีโทรศัพท์คั่นกลาง ผมไม่ปล่อย ยูเองก็ไม่ขยับหนี เราใช้มือข้างที่ว่างยกแก้วขึ้นดื่มแต่ไม่สบตากัน ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นเพราะรู้ว่ากำลังเป็นที่จับจ้องของเพื่อนร่วมโต๊ะอยู่
“สรุปเป็นแฟนกันจริง ๆ สินะ”
เฮียตุ้ยถามกระเซ้า ผมไม่ตอบเหมือนเดิม แต่มือที่จับกันอยู่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยูหัวเราะเสียงต่ำก่อนวางแก้วลง
“เปล่าพี่...” มันโคลงหัวไปมา น่าแปลกที่คำตอบนั้นควรทำให้ผมโมโหแต่ตอนนี้กลับสงบนิ่งกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะมือที่ยูไม่ได้ปล่อยไปไหนกำลังบอกผมว่าไม่ว่าคำตอบจะเป็นยังไงมันก็ยังอยู่กับผมแบบนี้ แค่ยูกล้าจับมือผมต่อหน้าไอ้เจ๊กเฟยผมก็โอเคแล้ว
“เรียกว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ อะไรแบบนี้เหมือนพวกดาราตอบกันหรือเปล่าวะ” พี่แจ๊คสำทับ ยูหัวเราะร่วนพลางกระชับมือผมแน่นขึ้น มันยกเบียร์ขึ้นดื่มใหม่ก่อนวางแก้วลงแล้วเอียงไหล่มาชนผม
“เรียกว่าเป็นคนที่รักกันดีกว่า”ไอ้เฟยหลุดหัวเราะ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมชอบรอยยิ้มของมัน และเป็นครั้งแรกที่ผมชอบประโยคที่มันพูด
“ครวยจริง ๆ ไอ้ยู กว่าจะล่อให้ยอมรับออกมาได้ เด็กมึงโดนกูปั่นหัวจนงอนไปล้านตลบแล้ว”
ผมเพิ่งรู้ว่าโดนซ้อนแผนเข้าให้ ไอ้พี่เฟยแบไพ่มาว่าที่กวนประสาทผมเพราะอยากให้ยูกล้าพูดกับคนอื่นสักทีว่าคบกับผมยังไง ผมยกแก้วขึ้นขอชนกับมัน แต่อีกฝ่ายกดมุมปากแสยะยิ้มหยัน
“คิดว่าแค่ชนแก้วกูจะญาติดีกับมึงเหรอ ต่อยกูไปสองรอบน่ะ”
“โทษว่ะพี่ ก็พี่แม่งกวนส้นตีนผมจริง ๆ”
“กูไม่รับคำขอโทษ” ผมเลิกคิ้วขึ้น มองมันปรายตาไปทางยูแล้วยิ้มเจ้าชู้ “ยกไอ้ยูให้กูเอาสักรอบสองรอบสิ”
ผมก้มลงจูบที่หลังมือขาว ยูอ้าปากหวอแล้วหลบตาลงต่ำ หูแดงไปหมด “พี่ลองถามคนของผมดูแล้วกันว่าจะยอมไปด้วยหรือเปล่า”
“มึงสองคนเล่นเหี้ยอะไรกันเนี่ย”
ผมหัวเราะ ก่อนขยับตัวเอาคางไปเกยบ่าลาดอ้อน ๆ “ผมกำลังญาติดีกับพี่ชายสุดที่รักของยูให้ชื่นใจไงล่ะ ไม่ดีเหรอ”
“ดีพ่อมึง! เลิกพูดจาแทะโลมกูกันได้แล้ว ขนลุกชะมัดยาด”
ยูดึงมือออกจากผมไปลูบแขนตัวเอง ทำเป็นโวยวายไปงั้น ที่จริงกำลังเขินอยู่แท้ ๆ “รักยูนะ”
ผมย้ำอีกครั้ง และพร้อมจะย้ำอย่างนี้ไปเสมอ ยุทธนาครางรับในลำคอก่อนเลื่อนมือลงต่ำมาจับผมใหม่ใต้โต๊ะ ไม่ได้มีคำพูดอะไรหลุดออกมาอีก แต่นั่นเป็นคำตอบว่ายูคิดกับผมยังไงได้ดีที่สุด
คนปากอย่างใจอย่างอย่างมัน ทำแค่นี้ผมก็ดีใจจนหัวใจแทบวายแล้วครับ
End
มาแบบมึน ๆ งง ๆ
อินกับเฟยดีกันนิดนึงแล้วนะ กร๊ากกก
ขอโทษค่ะที่สัปดาห์โน้นนน ไม่ได้บอกไว้ว่ายังไม่ได้ลงตอนพิเศษในพุธถัดมา ขอโทษจริง ๆ สำหรับคนที่รอ
ส่วนตอนพิเศษ (ที่อยากให้เป็นตอนพิเศษเพราะเป็นพาร์ทของอินที่จะเขียนทั้งหมด) ที่ลงในเน็ตคงมีเท่านี้ ถ้ามีโอกาสอาจจะลองปรับเนื้อตอนจบให้ยืดออกมาอีกนิดหน่อยจะได้ไม่ห้วนเกินไป (ซึ่งไม่ง่ายเลย)
สำหรับทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ต้องบอกอีกครั้งว่าขอบคุณมาก ๆ ค่ะ นี่พิมพ์ไปเบลอไป ง่วงจัด 5555+
แล้วเจอกันในผลงานเรื่องอื่นเนาะ สำหรับพี่เฟย ตอนนี้คืบหน้าไปหน่อยคือมีชื่อเรื่องแล้ว แต่ยังไม่มีเนื้อเรื่อง กร๊ากกก /อัลไลของช้านนน
สำหรับพุธนี้ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการอ่าน 