09
อะไรเอ่ย...คือความสำคัญของเดือนตุลาคม?
"ธาว่าจะไปกับเพื่อนที่คณะ แล้วพี่ธีร์ล่ะคะ?"
"ไม่รู้เลย"
"...งั้นธาไปกับพี่ธีร์ก็ได้นะคะ" เสียงหวานที่เจื้อยแจ้วมาตามสายอ่อยลงเล็กน้อยจนคนฟังต้องเรียกตัวเองขึ้นมาจากความเนือย
"เฮ้ยไม่ต้อง เราก็ไปกับเพื่อนสิคะ พี่ชายไปคนเดียวได้สบายมาก"
"ไปคนเดียวอีกแล้ว ชวนเพื่อนไปสิคะ พี่หมีก็ได้" ฟังได้ดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ
"อย่าเลย ช่วงนี้พี่วุ่นๆ กับโปรเจคกันอยู่ อาจจะไม่ว่างไปเหมือนกัน"
“เห! จริงหรือคะ ยุ่งขนาดนั้นเชียว!?”
กัลยธาง้องแง้งมาตามสายอีกหลายประโยคก่อนที่ฝ่ายพี่ชายจะหาโอกาสตัดบทแล้ววางสายได้
ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีอารมณ์อยากทำอะไรนัก หนังสือที่ชอบอ่านก็ดองเอาไว้เป็นกอง มันเหนื่อยๆ เพลียๆ จนอยากจะนั่งอยู่เฉยๆ มากกว่า ว่าแล้วก็แหงนศีรษะพร้อมถอนหายใจ
"ถ้ามึงถอนหายใจอีกทีกูจะถีบมึงออกจากห้อง"กฤษณ์คำรามมาจากอีกมุมห้องหลังโน้ตบุ๊คคู่ใจ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจกลับมืดทะมึนมาแต่ไกล กันตธีร์จึงจงใจถอนหายใจแรงๆ ให้อีกทีเป็นการตอบสนองคำขอของเพื่อนรัก
"พ่อมึง...กวนตีนนะสัด"
"พ่อกูกวนตีนจริงด้วย มึงรู้ได้ไง"
"ไอ้ ตัว เล็ก!!!"พ่อหมีองค์ลงผุดลุกขึ้นมาอาละวาดกระโจนใส่คนที่รีบมุดหนีเข้าใต้กองผ้าห่ม คนตัวเล็กยื้อผ้านวมเอาไว้ราวกับเป็นเกาะกำบัง ฝ่ายจู่โจมเลยเอาตัวล้มทับ แล้วแย่งหมอนฟาดกันอุตลุด ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อล็อคหัวเหยื่อกดกับหมอนจนคนหาเรื่องหอบเหนื่อยพูดไม่เป็นคำนั่นแหละถึงได้ฤกษ์หยุด
"ยังจะกวนตีนกูอีกไหม"
"ไอ้...ไอ้หมียักษ์ ไอ้แรงควาย มึงขี้โกง!!"
"ตัวเล็กแล้วยังจะเปรี้ยวตีน หาเรื่องกูก่อนเองนะ"
"ความสูงกูมาตรฐานชายไทยเว่ย!!"
คนฟังเหล่ตามองส่วนสูง174เซนติเมตรอย่างเหยียดหยาม ถ้านับแต่ความสูงก็คงไม่ได้เรียกว่าเตี้ย แต่ไอ้หนอนหนังสือตัวนี้มันแทบไม่เคยเล่นกีฬา มีบ้างเหมือนกันที่พยายามจะเข้าฟิตเนสเพื่อเล่นกล้าม แต่โครงสร้างสรีระที่ผอมบางก็ไม่เอื้อให้เป็นประเวศน์ยิมแต่อย่างใด
ฝ่ายถูกดูถูก(แล้ว)เลยออกลายอาละวาดอีกรอบ แต่ไม่ถึงนาทีก็โดนหมีพันธุ์กล้ามตะปบจนนอนนิ่งลงไปอีก
"โอ้ย มัวแต่ยุ่งกับมึง งานแม่งไม่เดิน"
"...ก็ดี"
"ดีพ่อง!!"
"...ก็มึงเอาแต่ทำหน้าโลกแตก" สภาพยับเยินขุดตัวเองขึ้นมาพร้อมอาการหอบ "ได้ออกแรงแล้วอารมณ์ดีขึ้นไหมล่ะ?"
กฤษณ์มองไอ้ตัวเล็กที่พยายามจะเอามือสางผมให้เข้าที่แล้วจึงเอาอุ้งมือยักษ์ไปยีจนยุ่งใหม่อีกรอบ
"โอ้ยเชี่ย!!"
"ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดีเลย มึงก็แค่จิตว่างเลยหาเรื่องกวนตีนกู"
"แม่ง...รู้ทันตลอด"
บ่นอุบอิบ แต่เมื่อเห็นว่ารอยขมวดที่หว่างคิ้วเพื่อนดูคลายลงกันตธีร์ก็ยิ้มออก
ฝ่ายกฤษณ์ก็กลับไปนั่งทำงานด้วยสมองที่ปลอดโปร่งขึ้น เขารู้ดีว่าตัวเองเครียดมากกับโปรเจคที่ดูลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดทำให้รูมเมทผู้ปลีกวิเวกสังเกตได้ ไอ้ตัวเล็กมันกวนตีนกว่าปกติคงเพราะเครียดไม่ต่างกัน แต่กลับมาตอแยด้วยผิดวิสัยแสดงว่ามันก็เป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อย
พอหันกลับไปมองก็เจอสิ่งมีชีวิตผอมบางกว่าค่าเฉลี่ยนั่งเหม่อหน้าเบื่อโลกอยู่บนเตียง...หรือเขาจะปล่อยรังสีทะมึนมากเกินไปกันนะ?
ส่วนกันตธีร์ยังคงนั่งใจลอยอยู่ที่เดิม ชายหนุ่มนึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมห้องไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก โปรเจคของเขาค่อนข้างจะราบรื่นเมื่อเทียบกับเพื่อน ความจริงก็ไม่ต้องคร่ำเคร่งอะไรนักก็ได้แต่ไม่อยากจะทำตัวสบายอกสบายใจเกินไปเพราะมันจะยิ่งสร้างความกัดดันแก่อีกฝ่าย
ช่วงนี้อยู่ติดห้องให้มากหน่อยดีไหมนะ...
"จะไปงานหนังสือหรือเปล่า?"คนตกในภวังค์ความคิดสะดุ้งเฮือก
"ว...ว่าไงนะ"
"...มึงก็ได้ยินนี่" กฤษณ์ตอบเสียงเบื่อ
"อ้อ...” ลากเสียงเพื่อตั้งสติ “ยังไม่รู้เลยว่าจะว่างวันไหน แต่คงไปแหละ"
"โปรเจคมึงออกจะฉิว ไปได้อยู่แล้ว"
"...ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก" รับคำเสียงหวิว
“ไม่ต้องเกรงใจกูขนาดนั้นก็ได้” คนยังมีภาระเงยหน้ามามองเต็มตาแล้วย้ำคำ “จะไปไหนก็ไปเหอะ”
มึงจะมีญาณมากไปแล้วไอ้หมี!
ตัวเล็กของพ่อหมีอ้าปากค้าง
เรื่องงานหนังสือเขาก็คงหาวันธรรมดาตอนบ่ายแวะไปสักวัน คนจะได้ไม่เยอะมากให้พอจะเลือกของได้อย่างสบายใจ แต่ไอ้จะไปกับใครนี่สิ...ปกติเขาก็ชินกับการไปไหนมาไหนคนเดียว และครั้งนี้ก็คงจะเหมือนเดิมถ้าไม่มีใครอีกคนโผล่เข้ามาในมโนความคิด
Thee – จะไปงานหนังสือไหม
Chotipat – มีสอบลงกองศุกร์หน้า
Chotipat - คงไม่สะดวกเท่าไหร่ ขอโทษนะธีร์
Thee – หลังศุกร์หน้ายังมีเสาร์อาทิตย์สุดท้ายไง
Chotipat - ขอดูอีกทีแล้วกัน
เป็นอันจบประเด็น...
หลังจากไปดูหนังกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อน นายโชติภัทรก็ดูจะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกตลอด เห็นว่าเป็นคนดวงยับเยินถล่มทลายทำลายสติถิ อยู่เวรวันไหนวันนั้นลุกเป็นไฟจนพี่แพทย์ประจำบ้านแทบจะไล่กลับหอไม่ต้องมาอยู่เวร พอหนักเข้าเลยหายหน้าหายไปราวกับช่วงก่อนหน้านี้ที่เดินเจอกันเป็นว่าเล่นได้ใช้ความบังเอิญทั้งชีวิตไปจนหมดแล้ว ซึ่งกันตธีร์ก็คงจะไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายหายหัวไปไหนถ้าหนังสือที่วางอยู่ข้างหมอนไม่ได้มีเจ้าของเป็นนักศึกษาแพทย์ดวงเดือดคนนี้
จะว่าไปมันก็ไม่แปลกอะไรนัก ต่างคนก็ต่างยุ่งวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าได้เจอกันบ่อยสิน่าประหลาด
นักศึกษาปีแก่แห่งคณะวิศวะดีดตัวลุกขึ้นสะบัดตัวขี้เกียจที่เกาะอยู่ให้พ้นตัว แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียงริงโทนเพลงฝรั่งก็ดังขึ้นทำลายความเงียบงัน
เจ้าของเอื้อมมือไปคว้าก่อนจะขมวดคิ้วกับชื่อที่โชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ
'A.Itthinon'++++++
'ลอกโปรเจค'กันตธีร์รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวพร้อมกับความรู้สึกแปลบปลาบในหน้าอก อาจารย์ที่ปรึกษาร่างเล็กเรียกเขามาพบด่วนพร้อมกับข่าวร้าย
อาจารย์อิทธินนท์ได้ไปคุยกับอาจารย์ท่านอื่นเรื่องโปรเจคจบ คุยไปคุยมาทั้งคู่ก็เริ่มจับเค้าลางอะไรได้ ทั้งๆ ที่ปกติเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่ก็ได้นำไฟล์โปรเจคบางส่วนของนักศึกษาทั้งสองมาเทียบ
มีการลอกข้อความบางส่วนมาราวกับตัดแปะ
เล่าถึงแค่ตรงนี้กันตธีร์ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บในหน้าอก เขารู้ดีว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเขาเองที่เป็นคนส่งไฟล์ให้เพื่อนคนนั้นดูเป็นแนวทาง เนื่องจากปีนี้มีคนทำโปรเจคไฟฟ้าสื่อสารไม่มาก กอปรกับอีกฝ่ายก็มีปัญหาเรื่องเรียนอยู่เดิมทำให้เขาใจอ่อน
ไม่คิดว่าจะทำกันแบบนี้...ไม่สิ คงคิดอะไรไม่ได้เลยถึงทำอะไรไร้สมองแบบนี้ ทว่าจะโทษอีกฝ่ายอย่างเดียวก็ไม่ได้ เขาเองก็ไม่ควรส่งให้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นจิรณัฐก็เตือนแล้วแท้ๆ แต่เป็นเขาเองที่มองโลกในแง่ดีเกินไป
"ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ลอก เป็นข้อดีที่เราคุยกันตลอด" อาจาร์อิทธินนท์พูดเสียงเรียบ "แต่คุณเข้าใจใช่ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องนี้ต้องส่งให้กรรมการพิจารณาบทลงโทษ"
"...ครับอาจารย์" เค้นเสียงตอบอย่างยากลำบาก
"ผมจะพยายามช่วยคุณเต็มที่ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนแบบไหน แต่ก็ยังรับปากอะไรไม่ได้ ตอนนี้คุณทำหน้าที่ของคุณต่อไปก่อน ถ้าเรื่องคืบหน้าอย่างไรผมจะติดต่อไปแล้วกัน"
"ขอบคุณมากครับอาจารย์"
คนเป็นครูเอามือบีบไหล่ลูกศิษย์แน่นๆ เป็นการให้กำลังใจ กันตธีร์ยกมือไหว้ลาด้วยความรู้สึกซึ้งใจที่อย่างน้อยอาจารย์ที่ปรึกษาหน้านิ่งคนนี้ก็ยังอยู่ข้างเขา
ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์ด้วยความรู้สึกหนักอึ้งจนท้องฟ้าดูอึมครึมกว่าที่ผ่านมา
มือผลักประตูกระจกเข้ามาในร้านกาแฟร้านโปรดอย่างอ่อนแรง เขายกมุมปากตอบพนักงานที่ทักทายด้วยเสียงสดใส บรรยากาศร้านที่มีกลิ่นกรุ่นหอมของกาแฟทำให้หัวใจเต้นสงบลง
"มอคค่าหวานน้อยใส่วิปครีม วันนี้รับเป็นแบบไหนดีคะ" พนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาถามอย่างรู้ใจ
"วันนี้เป็นร้อนแล้วกันครับ"
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งหลบที่มุมร้าน เขายังไม่พร้อมเจอหน้าใครรวมถึงรูมเมท อาจจะเป็นข้อดีหรือนิสัยเสียส่วนตัวก็ไม่ทราบได้ ที่เวลาเกิดเรื่องอะไรมักจะหนีหายไปตั้งหลักกับตัวเองก่อน พอลำดับอะไรในตัวจนเรียบร้อยถึงจะไปเปิดปากรายงานคนอื่นหรือบางทีก็เก็บเงียบจนไม่มีใครรู้ไปเลยก็มี
'เลิกนิสัยแบบนี้สักทีได้ไหม เพื่อนกันมันมีเอาไว้ทำอะไร'
กฤษณ์เคยต่อว่าเขามาหลายครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุดที่เขาเลิกกับแฟนสาวเมื่อต้นปี คุณพ่อหมีถึงกับงอนจนจะไม่คุยด้วย แต่ตอนนั้นเขาคงดูเฉามากจึงได้รับการให้อภัยอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ก็คงจะทำให้โกรธอีกแล้ว...
กันตธีร์ถอนหายใจ เขาไม่ชอบความรู้สึกที่ทุกคนมาเป็นห่วง...มันทำให้ทำตัวไม่ถูก ขนาดอยู่กับกฤษณ์มาหลายปีก็ไม่ชินเสียที
ถ้วยกาแฟผสมชอคโกแลตส่งกลิ่นหอมฉุย เนื้อครีมสีขาวค่อยๆละลายลงเป็นหนึ่งเดียวกับของเหลวสีน้ำตาลท่ามกลางเวลาที่เดินไปอย่างเชื่องช้า คนมีเรื่องกังวลไม่ได้อยากกินกาแฟ เขาเพียงซื้อช่วงเวลา
ดวงตาเรียวเหม่อมองผนังร้านอย่างล่องลอย
เรื่องครั้งนี้หนักอึ้งอยู่ในความรู้สึก แถมความคิดก็ดิ่งลงหลุมดำอย่างฉุดไม่อยู่ไปพร้อมกับกระแสอารมณ์
กรณีที่ร้ายแรงที่สุดจะเป็นอะไรกัน? ล้มโปรเจค? ถอนหน่วยกิต? ไล่ออก?
มองไปทางไหนก็เจอแต่ทางตัน ทั้งที่ถึงเรียนไม่จบในปีนี้...ที่บ้านเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ได้จำเป็นต้องรีบเรียนจบรีบทำงาน...แต่มันเสียศูนย์ เสียความรู้สึก เสียกำลังใจ
เสียงต้อนรับดังขึ้นพร้อมกับบานประตูร้านถูกผลักเข้ามาทำให้คนกำลังฟุ้งซ่านเผลอมองตาม ร่างที่เขาไม่รู้จักในชุดนักศึกษาเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์ คณะที่ยังใส่เครื่องแบบแม้กระทั่งวันอาทิตย์คงมีแต่คณะแพทย์
เหตุการณ์ที่เหมือนเดจาวู
ไวกว่าความคิด
คือมือที่กดข้อความส่งไปโดยไม่ผ่านการประมวลผลที่เต็มร้อย
Thee – ทำอะไรอยู่
กันตธีร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตัวเองกดส่งไปจริงๆ เลยคว่ำจอมือถือลงกับโต๊ะแล้วเอามือลูบหน้าเพื่อเรียกสติ
...ที่เขากำลังทำอะไรอยู่...
และก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือถือสั่นกับโต๊ะจนดังเป็นเสียงแกรกกราก ชายหนุ่มเม้มปากก่อนจะหยิบขึ้นมาเมื่อสั่นเป็นครั้งที่สอง
Chotipat – อ่านหนังสืออยู่หอ
Chotipat – ธีร์มีอะไรหรือเปล่า
Thee – ไม่มีอะไร
หน้าจอแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ข้อความถัดไปจะโผล่มา
Chotipat – ธีร์อยู่ไหน
Thee – ร้านกาแฟในม.
Chotipat – เดี๋ยวไปหา
Chotipat – จะไปซื้อกาแฟ
มือที่กำลังจะพิมพ์บอกว่าไม่ต้องมาชะงักกึก มือถือถูกคว่ำลงกับโต๊ะอีกครั้ง ชายหนุ่มลูบหน้าแรงๆ อีกครั้งเพื่อเรียกสติและสมองที่ดูจะกระจัดกระจายไม่เป็นท่า
กันตธีร์คนที่หนึ่งบอกว่าให้เปลี่ยนร้าน แต่กันตธีร์คนที่สองโวยขึ้นมาว่ามันเสียมารยาท ส่วนกันตธีร์คนที่สามก็เถียงว่าไม่เข็ดกับความน่าหงุดหงิดของโชติภัทรหรือไง แต่กันตธีร์คนที่สี่กลับถามว่าจะหลบหน้ามันทำไม แล้วกันตธีร์คนที่ห้าจึงเสนอให้ไปบอกว่าจะกลับแล้ว
แต่ก่อนที่จะได้ข้อสรุปของกันตธีร์ทั้งหลายในหัว รอยยิ้มที่คุ้นตาก็ลอยมาพร้อมกับลาเต้ปั่นแก้วใหญ่ดังคำกล่าวอ้าง
“นั่งด้วยนะ”
ได้แต่พยักหน้าตอบไปเบลอๆ...
นักศึกษาแพทย์ใกล้สอบหอบเอาปึกชีทหนาเป็นนิ้วที่เย็บรวมกันอย่างสวยงามขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วก็เริ่มต้นอ่านแบบไม่สนใจใคร นานๆ ทีก็เอาปากกาขีดเขียนอะไรขยุกขยิก ไม่ก็พึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่ได้ศัพท์
กันตธีร์นั่งมองการกระทำนั้นอย่างงุนงง แต่ก็รู้สึกดีที่อีกฝ่ายไม่พูดหรือถามอะไร เพราะที่เขาไม่อยากเจอหน้าใครมันมาจากการไม่อยากตอบคำถามและรับมือกับปฏิกิริยาหลังฟังเรื่องราว...ถ้าจะแค่หนังอ่านหนังสือเงียบๆ ก็โอเค
มอคค่าร้อนตอนนี้ไม่ร้อนแล้ว ส่วนลาเต้ปั่นก็เหลือแต่แก้วเปล่า
โชติภัทรดึงแว่นออกจากดั้งจมูกก่อนจะนวดขมับอย่างอ่อนล้า ช่วงนี้เขารู้สึกเหมือนสายตาแย่ลง อาจจะทั้งนอนไม่พอและโหมอ่านหนังสือ คนสายตาสั้นเงยหน้าขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้ใส่แว่นแต่จากระยะนี้เขาก็เห็นชัดเจนว่ากำลังถูกมอง
จึงยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง
“ไปกินข้าวไหม”
“อืม...ไปสิ”
กันตธีร์รออีกฝ่ายเก็บของจนเสร็จจึงลุกขึ้น แล้วคนชวนก็เดินนำออกนอกร้านไปจนถึงตลาดข้างมหาลัย มื้อเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความเงียบ นอกจากบทสนทนาพื้นฐานแล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราว
“แวะหน่อย”
โชติภัทรหันมาบอกก่อนจะเดินลิ่วไปต่อคิวยาวเหยียดของร้านน้ำเต้าหู้ปล่อยให้อีกคนยืนตบยุงอยู่ข้างทาง และใช้เวลาอีกสักพักกว่าร่างสูงโปร่งจะกลับมาพร้อมถุงในมือ
อากาศช่วงหัวค่ำของเดือนตุลาคมเริ่มไม่ร้อนระอุ จึงไม่รู้จะบ่นอะไรให้ความเงียบนี้หายไป ถึงจะไม่ได้อึดอัดอะไรแต่ก็รับรู้ว่าโชติภัทรสงบปากสงบคำกว่าปกติ
“จะไม่ถามอะไรหน่อยหรือ?”
สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ทนความสงสัยไม่ได้
“ถ้าธีร์อยากเล่าก็คงเล่าเอง”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่ามีเรื่องจะเล่า”
“...ไม่รู้หรอก” ชัดเจนจนคนฟังแล้วร้องอ้าว “เลยถือโอกาสเปลี่ยนที่อ่านหนังสือไปด้วย ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ จะได้ไม่หน้าแตก”
“หืม...แล้วคิดว่าไงล่ะ”
“ไอ้มีคงมี แต่เห็นนั่งซึมอยู่เป็นชั่วโมงๆ ก็รู้แล้วว่าไม่อยากเล่า ก็เลยไม่อยากถามให้ยิ่งอารมณ์เสีย”
กันตธีร์มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจ้าของคำตอบอย่างหลากใจ ก่อนจะตัดสินใจเปิดปาก เรื่องราวและความกลัดกลุ้มทะลักทลายออกมาทันทีที่เริ่มต้น ฝ่ายโชติภัทรก็เป็นผู้ฟังที่ดีโดยการส่งเสียงตอบรับว่าฟังอยู่แล้วถามอะไรเพิ่มเติมบ้าง
“แล้วอาจารย์บอกให้ทำไง”
“ก็รอ...แล้วก็บอกให้ทำโปรเจคต่อไปก่อน” ถึงตรงนี้ก็ต้องถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน “ใครมันจะไปมีอารมณ์ทำ จะได้ทำต่อจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แต่ธีร์ก็จะทำต่อใช่ไหมล่ะ”
“...มันก็ใช่ ขืนไม่ทำต่อแล้วเกิดได้ทำโปรเจคนี้ต่อจริงๆ ก็แย่น่ะสิ” เจ้าของงานยอมรับ “แต่บอกตามตรงว่าโคตรอึน อารมณ์นี้ให้ทำอะไรต่อก็ทำไม่ได้แล้ว”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ไม่ต้องห่วงเชี่ยอะไร!”
“ใจเย็นๆ” โชติภัทรหยุดยืนที่หน้าหอของคนที่กำลังจะสติแตกแล้วหันมาพูดอย่างจริงจัง “ฉันหมายความว่า ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะทำงานต่อไม่ได้ เพราะปกติธีร์เป็นคนที่จัดการกับตัวเองได้ดีนี่ ตอนนี้เรื่องมันเพิ่งเกิด ก็ต้องเสีญศูนย์บ้างเป็นธรรมดา คืนนี้ไปนอนสักตื่น พรุ่งนี้เช้าพอสมองปลอดโปร่งอะไรๆ มันก็จะดีขึ้นเอง”
ถุงน้ำเต้าหู้ถุงหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า ทำให้กันตธีร์เพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายซื้อมาสองถุง เขาจึงยื่นมือไปรับมาอย่างงงๆ
“กินอะไรอุ่นๆ จะได้หลับสบาย” ว่าที่คุณหมอพูดยิ้มๆ “อะไรที่มันต้องรอก็คือต้องรอ ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจให้สบายแล้วใจเย็นๆ ก่อน”
“...อือ”
“อีกอย่างนะ...ถึงธีร์จะรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าเป็นห่วง แต่สำหรับคนรอบๆ ตัวธีร์ยังไงมันก็อดเป็นห่วงไม่ได้หรอก เพราะงั้น จะให้คนอื่นเป็นห่วงบ้างมันก็ไม่ได้รบกวนอะไรใครหรอกนะ”
“...”
“งั้น...ไปก่อนละ หนังสือสอบรออยู่เป็นภูเขาเลย”
“เดี๋ยว” เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไปทันทีเลยเผลอเรียกเสียงดัง ชายหนุ่มกัดปากเบาๆ ก่อนจะส่งเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มคำ “...ขอบใจนะ”
โชติภัทรเลิกคิ้ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางๆ เหมือนทุกครั้งให้คนมองรู้สึกว่าหัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลเต้นช้าๆ อย่างสงบ
“เปลี่ยนเป็นกินน้ำเต้าหู้ให้หมดด้วยแล้วกัน”TBC
::TALK::
//ปาดเหงื่อ ปั่นเสร็จจนได้

เมื่อคืนว่าจะปั่นให้จบ...ปรากฎหลับคาคอมเลยค่า 5555

คือง่วงมาก...เบลอสุดๆ ถ้าอ่านตรงไหนๆแล้วมันงงๆ ถามได้นะคะ ไว้จะกลับมาแก้ทีหลังเน้อ
ตอนนี้คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะคุยอะไร ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ

จะพยายามลากสังขารมาปั่นให้ต่อเนื่องเน้อ
จุ๊บๆ

ป.ล. มีคำถามที่ค่อนข้างจะโง่วมาถามค่ะ คือเพิ่งเคยเล่นบอร์ดนี้ สงสัยว่า+1กับ+เป็ดมันมีความหมายต่างกันยังไงอ่ะ ลองอ่านกฏบอร์ดดูแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ รบกวนผู้ผ่านผู้รู้ชี้แจงหน่อยนะคะ
::comment::
quiicheh. - ขอกอดทีนึง

อ่านคอมเมนท์แล้วฟิน 555 ลองไปใช้บริการได้นะคะ อุดหนุนโรงหนังดีๆราคาถูก
พลอยสวย - ครั้งนี้ก็ดึกอีกแว้ววววว
Zelsy - ชอบเนอะ คนเขียนก็ชอบ 555 //อวยลูกตัวเอง

iforgive - ขอบคุณค่า
malula - ดีใจจัง ขอบคุณนะคะ อันนี้ถือเป็นนัดครั้งต่อไปได้ไหมนะ 555
lune -

Whatever it is - ขอบคุณค่า คนเขียนอินตัวละครทุกตัวเลยค่ะ เวิ่นเว้อมาก 555
ขอบคุณทุกคอมเมนท์เลยนะคะ รักอ่ะะะะ
