10
สุดท้ายน้ำเต้าหู้ที่ถูกกำชับให้กินให้หมดก็ต้องกลายเป็นหมันไปอย่างน่าสงสาร เหตุเนื่องจากผู้คนจำนวนมากที่มาชุมนุมกันโดยนัดหมาย
“ถ้าพวกกูไม่รู้เองมึงก็ไม่คิดจะบอกอะไรเลยใช่ไหม?”กันตธีร์กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก รับรู้ได้ถึงคลื่นความกดอากาศต่ำที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมเหนือน่านฟ้าชีวิตตัวเอง เพราะทุกสายตากำลังประนามเขาอยู่แบบไม่ต้องเดา
“หมี...” เรียกหาตัวช่วย
“มึงไม่ต้องร้องหาพ่อมึงเลย เพราะคราวนี้คุณพ่อมึงเรียกระดมพลเอง” ใครสักคนดักคออย่างโหดร้าย ทำเอาเหยื่อได้แต่ถลึงตาใส่คนต้นเรื่องที่ทำหน้าไม่อนาทรร้อนใจ
“มึงจะได้ไม่ต้องเล่าทีเดียวไง” ...แถมยังยักไหล่แบบลอยหน้าลอยตามาอีกประการ
“กูแค่...อยากมีเวลาคิดคนเดียวก่อน ก็ไม่ได้จะไม่เล่านี่”
คนมีชนักติดหลังกล่าวอ้อมแอ้ม แต่ไม่ทันจะจบประโยคดีก็โดนคลื่นความเห็นโวยวายปฏิเสธไม่รับคำแก้ต่างโดยสมบูรณ์จนคนตัวเล็กเริ่มจะรู้สึกตัวหดลงไปอีก แถมหันไปทางไหนก็เจอแต่สายตาสมน้ำหน้าทับถมซ้ำเติมกันสุดๆ
นี่เขากำลังประสบปัญหาชีวิตมีเรื่องเครียดนะเว้ย!
“พวกมึงก็อย่าไปแกล้งธีร์มันสิวะ แค่นี้แม่งก็เครียดจะตายห่าแล้ว”
ความช่วยเหลือถูกส่งมาจากชายหนุ่มผู้มีใบหน้าสวยราวกับผู้หญิง
“ซอล มึงก็โอ๋ธีร์ตลอด”
“กูเปล่า แต่นี่มันดึกแล้ว และกูอยากฟังธีร์มันเล่ามากกว่าฟังพวกมึงเถียงกัน” ‘วีรินทร์’ หรือ ‘ซอล’ โต้กลับนิ่งๆ จนรอบวงต้องยอมแพ้ “เอาล่ะ ธีร์ สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น?”
พอเริ่มจริงจังเข้าทุกคนก็เงียบกริบตั้งใจฟัง ฝ่ายจำเลยเลยต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังโดนถ้วนทั่ว ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายมาขอโปรเจคเขาไปดู ซึ่งจิรณัฐผู้อยู่ในเหตุการณ์ก็แสดงตัวยืนยัน
“ลุยแม่ง!!”
“เฮ้ยๆๆๆ!!”ใครสักคนลุกพรวดทันทีที่เล่าจบ จนเจ้าทุกข์ตัวจริงต้องรีบกระโจนไปคว้าแขนไว้ก่อนจะเกิดเหตุความรุนแรงขึ้นในหอ
“เดี๋ยวสิ! พวกมึงใจเย็นก่อนนะ”
“ธีร์ มึงน่ะใจเย็นเกินไปแล้ว!” คนส่วนใหญ่ก็พยักหน้าหงึกหงักตาม
“เฮ้ยยย คือกูเปล่า...” พยายามค้านแต่ก็ไม่ได้ผล โดยเฉพาะเมื่อคนที่พูดต่อมีคะแนนนิยมสูงลิ่ว
“ตัวเล็ก...กูเห็นด้วยนะ เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้มึงก็ควรไปเคลียร์ให้จบเรื่อง ไม่ใช่ปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนี้” กฤษณ์ออกความเห็นซึ่งเรียกเสียงไปได้อีกโข
“แต่ว่า...”
“แต่ถ้าเป็นกู กูจะทำเหมือนธีร์นะ” วีรินทร์เอ่ยขัดทุกคนอย่างใจเย็น “กรณีนี้มันไม่ใช่ไปเคลียร์กันแล้วมันจะจบ ถ้าไอ้เพื่อนเรามันไม่ใช่คนลอก ก็ต้องเป็นอีกฝ่ายที่ลอก ของมันชัดเจนแบบที่คุยไปก็อาจจะยิ่งเสียความรู้สึกกว่าเดิม”
“...นั่นแหละที่กูคิดอยู่” กันตธีร์ถอนหายใจ “กูยังคิดว่า...ให้มันเป็นฝ่ายมาคุยมาขอโทษก่อนจะดีกว่า อย่างน้อยก็แสดงความรู้สึกผิดก็ยังดี แต่ถ้าให้กูไปเคลียร์โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกอะไรมั๊ย...กูกลัวจะยิ่งเสียความรู้สึกว่ะ”
พ่อหมีของไอ้ตัวเล็กฟังดังนั้นก็เลยเดินมาลูบหัวคุณลูกเบาๆ เป็นการปลอบใจ พร้อมกับคนอื่นที่ก็รู้จักกันมานานพอที่จะเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของเพื่อนจึงเลิกล้มความพยายามที่จะเชียร์ให้ไปลุย
“แล้วนี่ธีร์จะยังไงต่อ” จิรณัฐผู้เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เหยียบย่ำซ้ำเติมในตอนแรกถามขึ้น
“ก็...อาจารย์อิทธินนท์บอกให้ รอ แล้วก็ทำโปรเจคต่อไปก่อน” คำตอบเดิมกับคำถามเดิมที่มาจากคนละคน
“แล้วใครมันจะมีอารมณ์มานั่งทำต่อวะ” กันตธีร์รู้สึกอยากจะกดไลค์ให้กับถ้อยคำตรงใจนั้นหลายๆ ที
“ก็ถ้าธีร์อยาก ‘มีอารมณ์’ ‘ทำ’ ต่อ ก็มาได้เสมอ เดี๋ยวเจจะบิ้วท์ ‘อารมณ์’ ให้เอง” ยังคงคอนเซปเสมอต้นเสมอปลาย...จนเพื่อนได้แต่รุมถวายมือและบาทากันรอบวงด้วยความหมั่นไส้
เสียงโหวกเหวกดังลั่นจนเกรงใจห้องข้างๆ แต่กันตธีร์ก็รู้สึกยิ้มออกขึ้นมาจริงๆ เป็นครั้งแรกนับจากตอนที่ทราบเรื่อง
บางทีการถูกเป็นห่วงบ้าง...มันก็ไม่ได้แย่เท่าไร
ชายหนุ่มคิดในใจขณะที่กลิ้งถุงน้ำเต้าหู้ในมือเล่นอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากที่แสดงความเป็นห่วงกันจนพอใจทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันกลับที่ซุกหัวนอน เหลือวีรินทร์กับจิรณัฐเป็นสองคนสุดท้าย
“มีอะไรก็บอกได้นะธีร์”
“ขอบใจมากซอล” ใบหน้าสวยยิ้มหวานรับจนคนมองแทบตาลาย
“เจอุตส่าห์ไปหอบหิ้วคุณชายวีรินทร์มาให้จากคอนโด ธีร์ให้รางวัลกันหน่อยสิ” จิรณัฐยื่นหน้าหล่อพร้อมยิ้มการค้าเข้ามาแทรกกลางจนเป็นที่คันไม้คันมือของบุคคลที่สามที่สี่
“ไอ้ตอแหล ตอนโทรบอกให้แวะรับมาด้วยแม่งบ่นซะ”
“มึงก็ซื้อรถสักทีสิวะ อยู่คอนโดก็ออกหรูหรา อย่ามาพูดว่าไม่มีตัง มึงขี้เกียจขับก็บอก!”
วีรินทร์ทำหูทวนลมใส่ ก่อนจะบอกลาเจ้าของห้องทั้งสองแล้วลากไอ้ตัวท่ามากประจำกลุ่มออกไปพร้อมกัน
พอความสงบสุขกลับมาเยือนห้องพักอีกครั้ง กันตธีร์ก็ลุกไปหยิบแก้วจากชั้นวางของ พลางชวนคุยเรื่องที่เขายังคาใจ
“มึงรู้เรื่องได้ไงวะหมี”
“กูมีแหล่งข่าวชั้นยอด”
กฤษณ์ยักคิ้วใส่ ทำให้คิดถึงโชติภัทรเป็นจำเลยแรก แต่ก็ต้องปัดตกไปเนื่องจากเขาเพิ่งเล่าให้อีกฝ่ายฟังก่อนที่จะเดินขึ้นมาคงจะไม่สามารถรายงานคุณพ่อของเขาให้เตรียมคนมารุมได้พรั่งพร้อมขนาดนี้
“...ซอล?”
“ถูก เก่งนี่” คนตัวยักษ์คิดอยู่แล้วว่าเพื่อนสนิทคงจะเดาได้ จึงยิ้มรับอย่างไม่แปลกใจ “อาจารย์อิทธินนท์ไปถามไอ้ซอลว่ามึงเป็นคนยังไง คุยไปคุยมา ซอลมันก็โยงเรื่องเองได้ประมาณนึง เลยโทรมาถามกูว่ามึงเป็นไงบ้าง มึงก็ดันหายหัวไป กูเลยจัดเซอร์ไพรส์ต้อนรับซะ”
คนที่ถูกพาดพิงเป็นเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่เรียกภาคไฟฟ้า แถมยังเอกสื่อสารเหมือนกันตธีร์ แล้วยังมีอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการคนเดียวกันอีกจึงไม่แปลกที่จะรู้เรื่องมาก่อนคนอื่น
วีรินทร์เป็นผู้ชายที่หน้าสวยเหมือนผู้หญิงโดยกำเนิด ขนาดที่ว่าเคยโดนอาจารย์เรียกไปตักเตือนเรื่องผู้หญิงห้ามใส่กางเกงมาเรียนและมีผู้ชายแท้ๆ มาจีบเพราะคิดว่าเป็นทอม ซึ่งเจ้าตัวก็ดูไม่ได้นำพาอะไรกับเรื่องนี้ แต่ก็ปฏิเสธที่จะแต่งตัวเป็นผู้หญิงตามยุของเพื่อนๆ แบบเสียงแข็ง แม้กระทั่งเจ๊ใหญ่กะเทยประจำกลุ่มก็ยังต้องยกธงขาว
และถึงแม้จะเรียนภาคเดียวกันเอกเดียวกันที่ปรึกษาคนเดียวกันแต่เรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายก็เป็นความลับของจักรวาล เพราะคุณเพื่อนหน้าสวยคนนี้โลกส่วนตัวสูงลิบลิ่ว แถมยังชอบหายตัวไปอย่างปริศนาจนทุกคนเลิกสนใจจะถามตั้งแต่ปลายปี1
ที่วันนี้โผล่มาได้ก็คงเพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองทำให้เขาโดนรุมล่ะมั้ง...
“นี่ตัวเล็ก” กฤษณ์ที่บัดนี้ทิ้งตัวลงมานอนเกลือกอยู่บนเตียงเพื่อนแบบไม่ขอคำอนุญาตเรียกอีกฝ่ายด้วยเสียงยานคาง
“หืม?” เจ้าของเตียงเลิกคิ้วถามพลางยกแก้วในมือขึ้นจิบ
“ใครซื้อน้ำเต้าหู้ให้วะ?”
อืม...
กันตธีร์นิ่งค้าง มันไม่ใช่คำถามที่ตอบยาก แต่เขาไม่รู้ว่าเพื่อนต้องการคำตอบแบบไหน
“ถึงกับเงียบเลยหรือวะ”
“กวนตีน”
“เอ้า ด่ากูทำไม”
คนหย่อนระเบิดไว้หัวเราะชอบใจก่อนจะเดินกลับไปทำงานต่อแบบเริงร่าสุดขีด ทิ้งให้ฝ่ายถูกแกล้งยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแบบไร้คำพูด
++++++
กันตธีร์แตะบัตรนักศึกษาเข้ากับเครื่องสแกน ก่อนจะเดินผ่านที่กั้นเข้าไปในโถงห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย เขากวาดตามองรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจ ขนาดยามสายของวันหยุดยังมีคนมากมายจับจองพื้นที่จนแทบไม่เหลือที่ว่าง...และก็คงจะเป็นเช่นนี้ทุกชั้น
ห้องสมุดกลางนี้มีถึง 4 ชั้น โดยชั้นล่างสุดแบ่งออกโซนนิตยสารที่มีตั้งแต่หนังสือพิมพ์ไทยไปจนนิตสารวิชาการต่างชาติ และโซนสารสนเทศซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเข้าถึง e-booking ของ text ต่างชาติที่มหาลัยไปซื้อลิขสิทธิ์ไว้ได้ตลอดจนห้องดูหนังขนาดเล็ก และห้องประชุมต่างๆ ที่มีเครื่องฉายภาพ ก็มีหลายครั้งที่กันตธีร์กับเพื่อนมาใช้บริการ ตรงจุดประสงค์บ้างผิดจุดประสงค์บ้าง แต่ก็นับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดูแลนักศึกษาได้อย่างเยี่ยมยอด
ชายหนุ่มกดเปิด line ในมือถือ ข้อความที่คุยค้างไว้เมื่อคืนยังคงอยู่ที่เดิม
Chotipat – ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดกลางไหม
Thee – ไม่ล่ะ คนโคตรเยอะ
Chotipat – ไม่หรอก ถ้าหาทำเลดีๆ
Thee – เคยลองหาแล้วเหอะ
Chotipat – พรุ่งนี้ลองมาดูไหมล่ะ
Thee – หืม
Chotipat – ถึงแล้วพิมพ์มา
Chotipat – จะบอกลายแทงให้เอง
แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาต้องทำตาม...
ชายหนุ่มส่ายหัวให้ตัวเอง ก่อนจะพิมพ์ข้อความไปบอกว่าถึงแล้ว
‘ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น4’
ข้อความที่ตอบมาเป็นคำสั่งสั้นๆ ราวกับอยู่นเกมผจญภัยบางอย่างทำให้คนอ่านหลุดยิ้ม
เอาก็เอาวะ!
ชั้นบนสุดของอาคารคือโซนของหนังสืออ้างอิง และส่วนแสดงถึงความเป็นมาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ที่ชั้นนี้จะมีโต๊ะที่นั่งอยู่จำนวนมาก กอปรกับประเภทหนังสือที่ทำให้ไม่ค่อยมีคนเดินขวักไขว่ จึงเป็นพื้นที่ยอดนิยมของการอ่านหนังสือ
Thee – แน่ใจนะว่าทำเลดี
Chotipat – เลี้ยวซ้าย แล้วตรงเข้าไปจนสุด
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่สองขาก็เดินไปตามคำบอก เข้าไปสู่โซนของส่วนแสดงที่ตกแต่งคล้ายห้องนิทรรศการซึ่งไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้เห็น ชายหนุ่มเดินผ่านตู้กระจกมากมายไปจนถึงภาพวาดผังอาคารแรกเริ่มเมื่อก่อตั้งมหาวิทยาลัย
Chotipat – หันไปซ้าย แล้วเดินเข้าไปตามทาง
Thee – นั่นมันโซนเจ้าหน้าที่
หน้าจอขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร เขายืนเก้ๆ กังๆ อย่างตัดสินใจไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำใจว่าเล่นด้วยมาถึงป่านนี้แล้ว...ก็คงต้องเอาให้สุด
พอเลี้ยวไปตามทางแคบๆ นั้น กลับไม่ใช่โซนของเจ้าหน้าที่อย่างที่เคยเข้าใจแต่เป็นชั้นหนังสือซึ่งตั้งเรียงรายจนแน่นขนัด โดยลักษณะของชั้นก็เป็นรูปแบบเก่าก่อนที่ห้องสมุดแห่งนี้จะตกแต่งภายในใหม่เมื่อ 2 ปีก่อน กันตธีร์เงยหน้ามองหนังสือที่เรียงแบบไม่ค่อยเป็นระเบียบ สันหนังสือบ่งบอกถึงชุดของสารานุกรมที่ไล่ไปมาจนเต็มชั้น
‘ช่องที่ 3 จากซ้าย เดินตรงไปจนสุดแล้วอ้อมหลังชั้นที่ขวางอยู่’
ชายหนุ่มเอามือแตะแล้วลูบหนังสือไปตลอดทางเดิน กลิ่นของกระดาษเก่าและชั้นไม้สีเข้มทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางฉากหนังย้อนยุคสักเรื่อง ความเงียบที่ปกคลุมทำให้ได้ยินแต่เสียงลมเบาๆ จากเครื่องปรับอากาศและฝีเท้าของตัวเอง
กันตธีร์ลากมือไปบนชั้นซึ่งขวางอยู่ที่สุดทางเดิน ก่อนจะเดินอ้อมไปตามคำสั่ง
เบื้องหลังตู้หนังสือใหญ่คือแนวหน้าต่างที่สูงจรดเพดานซึ่งมองเห็นได้จากภายนอกอาคารแต่ไม่เคยรู้ว่าอยู่ตรงไหน ที่ขอบล่างของหน้าต่างถูกต่อออกมาเป็นตู้เตี้ยๆ ตลอดช่วงผนัง
และใครสักคนกำลังใช้มันต่างโต๊ะอ่านหนังสือ
โชติภัทรส่งรอยยิ้มมาให้เป็นอย่างแรก ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่ข้างกองชีทและหนังสือเล่มโตก่อนที่จะลุกมาแล้วเลื่อนเก้าอี้อีกตัวให้
“เป็นไง...คนเยอะมั๊ย?” คำกระเซ้าดังขึ้นเบาๆ ชวนให้ถลึงตาตี่ๆ ใส่
“รู้ได้ไงว่าตรงนี้เข้ามาได้” ถามพร้อมทิ้งตัวลงนั่ง
“ตอนปี1 ฉันชอบมายืนดูวิวที่นี่ ตอนนั้นยังไม่ได้ปรับปรุงใหม่ แต่พอปรับปรุงใหม่ก็เลยพยายามหาว่ามันหายไปไหน” เสียงนุ่มเล่า “พอเจอก็เลยยึดเป็นที่ส่วนตัวซะ”
“แล้วไม่เคยมีคนหลงเข้ามาเลยเหรอ”
“มีสิ” เจ้าของที่หัวเราะ “บางคนที่เจอก็จะเอาหนังสือที่ยืมไม่ได้มาซ่อนแถวนี้ เพื่อยึดไว้ดูคนเดียว”
“งั้นทำไมถึงไม่มีคนเข้ามานั่งอ่านหนังสือที่นี่ล่ะ” ชายหนุ่มมองตู้ที่เรียงรายอยู่ อันที่จริง...ถ้ามีเก้าอี้มากกว่านี้ ก็คงจะนั่งได้สักสิบกว่าคน
...เก้าอี้...
“โช...นายไปเอาเก้าอี้นี่มาจากไหน”
ใบหน้าหล่อยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ให้เห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปากตัวเอง
“ความ ลับ”กันตธีร์อ้าปากค้าง ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ
“ถ้าจะมาก็บอกแล้วกัน จะไปเอาเก้าอี้มาให้”
“อะไรวะ ไอ้ขี้งก”
คนถูกกล่าวหายิ้มรับแบบหน้าชื่นตาบานจนน่าจัดให้อีกสักชุด แต่ไม่ทันได้ว่าอะไรโชติภัทรก็หันกลับไปสนใจประติมากรรมวิชาการตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมาก่อนจะเอากระเป๋าสะพายวางลงบนโต๊ะ วันนี้เขาไม่ได้เตรียมงานอะไรมาทำเป็นเรื่องเป็นราว เพียงแต่หยิบหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้มาเล่มนึงเท่านั้น
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งเมื่อทั้งคู่กลับไปจมจ่อมกับสิ่งตรงหน้า อากาศเย็นต่างจากอุณหภูมิภายนอกทำให้รู้สึกสบายตัว ส่วนแสงแดดอุ่นๆ ก็ทำให้รู้สึกตื่นตัวกว่าหลอดไฟ ว่าที่วิศวกรกำลังพลิกหน้าหนังสือพลางสำรวจวิวด้านนอกในขณะที่มีเสียงเอ่ยขึ้นลอยๆ
“จางไปเยอะแล้วนะ...”
พอหันกลับไปก็เจอว่าที่คุณหมอกำลังมองมาอย่างพิจารณา ก่อนจะยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ปรกอยู่ตรงหางคิ้วแล้วแตะเบาๆ ที่รอยแผลซึ่งเหลือเพียงรอยนูนจางๆ
“นี่คือจะชมว่าตัวเองเย็บสวย?”
“ใช่...แต่ตอนนั้นเหงื่อโง่เต็มหลังเลยนะ”
“แต่ดูดีเชียวนะ” ผู้ป่วยเอ่ยแซว “มีคนไข้ขอเบอร์มั่งไหมคะหมอ?”
“อารมณ์ดีแล้วนี่” แต่โชติภัทรกลับพูดไปอีกเรื่อง จนคนฟังแทบเปลี่ยนเรื่องตามไม่ทัน
“ก็...พอได้นอนสักตื่นมันก็รู้สึกดีขึ้น”
“แล้วได้เล่าให้หมีฟังหรือยัง”
“ยิ่งกว่าเล่าอีก!” ทำเสียงโอด ก่อนจะบ่นหงุงหงิงถึงเหตุการณ์เมื่อวานให้คนฟังหัวเราะสมน้ำหน้า
“แต่ก็ดีแล้ว...ไม่ใช่หรือ” ผู้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ออกความเห็น ฝั่งเจ้าของเรื่องเลยถอนหายใจใส่อีกเฮือกแล้วร่ายต่อ
“ก็ดีล่ะมั้ง อย่างน้อยก็ไม่โดนคุณพ่องอน เห็นแบบนั้นนะ แม่งขี้น้อยใจโคตรๆ ตัวโตเสียเปล่า!”
“ดีแล้ว” โชติภัทรยิ้มพร้อมกับสบตาอีกฝ่าย “ให้คนอื่นเป็นห่วงบ้าง ก็ไม่แย่ใช่ไหม”
“...ก็ ไม่แย่...” ทำให้ต้องเสมองออกไปนอกหน้าต่างขณะรับคำ
“งั้นก็ดีแล้ว” เสียงนุ่มกระซิบให้ได้ยืนผ่านๆ เป็นคำสุดท้ายก่อนจะเงียบไป
เสียงลากปากกาแกรกกรากดังขึ้นสลับกับเสียงเปิดหน้าหนังสือ นานๆ ครั้งก็มีเสียงกระซิบแผ่วเบาหรือเสียงหัวเราะ ...กันตธีร์สูดลมหายใจลึกๆ พร้อมกับความรู้สึกที่ยิ้มได้กว้างขึ้นอีกแม้จะมีเรื่องร้ายๆ ผ่านเข้ามา
ให้คนอื่นเป็นห่วงบ้าง...ก็ไม่แย่...จริงไหม?
TBC
::TALK::
//กราบงามๆ3จบ

ขออภัยคนอ่านอย่างสุดซึ้งจริงๆค่ะ รู้สึกผิดมากจริงๆ รู้ตัวว่าหายไปนานมากกกกกกกก

(ฮือ)
ที่หายหัวไปเพราะคนเขียนกำลังวนวอร์ดที่แบบว่า เยินขั้นสุด

ตอนแรกก็คิดว่าจะแบ่งเวลาได้เลยไม่ได้บอกคนอ่านล่วงหน้า...แต่แบบ อยู่เวรข้ามวันข้ามคืน เวลานอนยังไม่มีเลยค่าาา! รัฐประหารก็ไม่ได้หยุดแต่อย่างใด ทำงานกันหน้าเมือกต่อไป (โฮ)

แต่ยืนยันนะคะว่าจะไม่หายหัวไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอน อาจจะช้าหน่อย แต่จะเขียนให้จบนะคะ คือตอนนี้ใจคิดไปถึงตอนพิเศษละค่ะ 5555
สำหรับตอนนี้จริงๆเกือบจะเป็นตอนเดียวกับตอนที่แล้ว แต่มันยาวเลยแบ่งมาลง ใครลืมๆไปก็ลองกลับไปอ่านตอนท้ายของตอนที่แล้วนะคะ อาจจะเข้าใจมากขึ้น
แล้วก็อย่าถามนะคะว่านี่มหาลัยไหน 555 facilitiesเริ่ดเวอร์ขนาดนี้ บอกเลยว่าเป็นมหาลัยในฝัน! [แต่ก็คล้ายห้องสมุดที่มหิดลศาลายานะคะ อันนั้นก็อลังการอยู่]
ตอนต่อไป...คิดว่าคงไม่ทิ้งช่วงนานขนาดนี้แล้วค่ะ (เริ่มจัดการตัวเองได้)

จะรีบมาต่อนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆเลยค่ะ

::comment::
พลอยสวย - อะไรแบบนี้มันเกิดได้จริงๆเนอะ คนเขียนก็เคยได้ยินมาจริงๆ เหมือนกันค่ะ

Zelsy - ขอบคุณค่าาา >< (แอบถามต่อนิดนุง แล้วมันมีความหมายต่างกันยังไงอ่ะคะ แบบว่าใช้ในกรณีไหนกัน)
MaNaSsAwEe - ตัวเล็กน่าสงสารเนอะะะ

warin - ตอนนี้นายโชติภัทรกำลังเอาตัวเองใส่เข้าไปในชีวิตธีร์ 555
บ๊ายบายโพ - ขอบคุณนะคะ คนเขียนก็รักโช!! ฟินที่คนอ่านรักด้วย

iforgive - ไม่ทราบว่าเกิดอะไร แต่คนเขียนเป็นกำลังใจให้นะคะ

หวังว่าตอนนี้จะช่วยให้รู้สึกดียิ่งขึ้น สู้ๆค่ะ!
konnarak - ขอบคุณแทนตัวเล็กด้วยนะคะ

quiicheh. - เน้ออออออ!

ชอบอ่ะ 5555 ธีร์เป็นพวกต้องประมวลผลก่อนค่ะ เลยดูเป็นคนเอื่อยเฉื่อย
Whatever it is - ตัวเล็กน่าสงสารจริงค่ะ แต่ก็มีคนปลอบน้า
malula - อ่านตอนนี้แล้วยังเครียดแทนอยู่ไหมคะ 555 คนเขียนเริ่มหมั่นไส้ธีร์ละ
AfternoonTea - มาแล้วค่าาาาาา คือตอนแรกเพิ่งเคลียร์งานเสร็จง่วงๆ มึนๆ พอเปิดมาเจอคอมเมนท์นี้ ต้องลุกขึ้นมานั่งพิมพ์เลยค่ะ! จัดไป ตี3ครึ่ง 5555 [อีกวันแทบกลายเป็นผู้ป่วยแทน

] ขอบคุณมากๆเลยนะคะ เป็นคอมเมนท์ที่ทำให้มีพลังเลยอ่ะ ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ
ตีสี่ - เรื่อยเปื่อยสุดๆอ่ะค่ะเรื่องนี้ 555 ขอบคุณนะคะ
quiicheh. - งื้ออออ มาต่อแล้วค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะที่ทำให้รอนาน แล้วก็ซึ้งใจมากมายที่คิดถึงกัน

ขอบคุณนะคะ
Fellina - ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ต่อไปจะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานแบบนี้อีกค่ะ ได้อ่านคอมเมนท์นี้แล้วเขินเลยอ่ะ

หื้ออออออออ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์จริงๆนะคะทุกคน

ช่วงนี้กำลังชีวิตแย่ๆ แต่พอมานั่งอ่านคอมเมนท์แล้วได้พลังขึ้นมาอีกเยอะแยะเลย

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและความคิดถึงนะคะ รักคนอ่านมากมายที่สุด

ป.ล. คอมเมนท์ตอนที่แล้วมีแต่คนสงสารธีร์...แต่ตอนนี้คนเขียนเริ่มหมั่นไส้ธีร์ละ เพราะนายโชติภัทรน่ารักเกินไป!

55555