16
วีรินทร์เริ่มเรื่องตรงที่เขาโตมากับลุงผู้ทำสวนผลไม้อยู่ที่ระยอง พ่อแม่ของเขาหย่ากันตั้งแต่เด็ก เขาและน้องชายฝาแฝดจึงถูกจับแยกกันตั้งแต่นั้น แม่แต่งงานใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีกครั้งในชีวิตแต่งงาน...สุดท้ายก็ป่วยตาย
“ป่วยก็เรื่องนึง...แต่ที่จริงคือตรอมใจ” วีรินทร์ส่ายหน้า “แม่ป่วยทางใจมานาน ใครๆ ก็รู้...แต่ทุกคนก็ยังปล่อยให้มันเกิดขึ้น”
ทุกคนของวีรินทร์คือพ่อเลี้ยง
หลังจากนั้นเด็กน้อยก็ถูกส่งตัวไปหาญาติเพียงหนึ่งเดียวคือพี่ชายแท้ๆ ของแม่ เขาโตมาที่ระยองจนกระทั่งจะขึ้นมัธยมปลาย วีรินทร์ที่เรียนเก่งจนโดดเด่นสอบเข้าโรงเรียนหนึ่งในกรุงเทพฯได้
“ค่าครองชีพในเมืองกรุงมันแพง ลุงเองก็แก่มาก สวนผลไม้ก็เริ่มทำไม่ไหว”
ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียนและส่งเงินให้ลุง เป็นนักดนตรีในร้านอาหารกลางคืน...ไม่ใช่ผับบาร์ แต่เป็นภัตราคารหรู
สิ่งที่เป็นมรดกจากทั้งพ่อและแม่คือพรสวรรค์ด้านดนตรี วีรินทร์มีโรคประจำตัวจึงไม่ต้องเรียนรด. ดังนั้นจึงไม่ต้องตัดผมเกรียน อายุก็โกหกเอาบ้าง ปลอมตัวเอาบ้าง พอมีกินมีใช้ไปวันๆ
“เจอคุณภัทรครั้งแรก...ก็ตอนที่ไปทำงาน”
เด็กน้อยที่ชีวิตมีแต่เรียนกับทำงานเพื่อลุงที่รักคนเดียวจะเอาอะไรไปทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้ชายเจ้าชู้
“รู้ตัวอีกที...ก็รัก รักมาก ถอนตัวไม่ขึ้น” รอยยิ้มเย้ยหยันฉาบบนริมฝีปากบาง “รู้ทั้งรู้...ว่าเขาไม่เคยจริงจัง แต่ก็ยอมเต้นตามเขาไปเสียทุกอย่าง”
ชายหนุ่มเสนอให้เด็กน้อยมาอยู่กับตน จะส่งเสียให้ทุกอย่างรวมถึงส่งเงินให้กับลุงที่ต่างจังหวัด
“อย่างกับไอ้ตัว” วีรินทร์หัวเราะทั้งน้ำตา “ยอมทุกอย่าง อยากให้ทำอะไร...ก็ทำ”
ความจริงมันไม่เคยสวยงามเหมือนความฝัน เด็กน้อยรู้ว่าตัวเองไม่เคยเป็นคนนั้นคนเดียวของชายหนุ่ม...แต่ก็ยอม
“เพราะย่ามใจ...จะไปกับใครก็ตาม สุดท้ายคุณภัทรจะกลับมาที่คอนโด”
เด็กน้อยอยู่กับความสุขปนขมมาสี่ปี กลับบ้านมานั่งรอคอยอีกฝ่าย ดีใจแทบตายที่เขากลับมาหา แม้วันต่อมาข้างกายจะว่างเปล่าอีกครั้ง วีรินทร์เรียนรู้ที่จะรัก...อย่างเจ็บปวด
“แต่มันจบแล้วล่ะ” เสียงหัวเราะนั้นปนสะอื้น “เพราะคุณภัทรเจอคนนั้นคนเดียวของตัวเองแล้ว”
กว่าสองเดือนที่เขาเฝ้ารออย่างร้อนรน ชายหนุ่มกำลังเดินห่างไปจากเด็กน้อย เด็กน้อยเริ่มสูญเสียพื้นที่แคบเล็กของตัวเอง...เลยเริ่มร้องไห้โยเย
“เพราะไปยุ่งกับคนนั้นคนเดียวของคุณภัทร” ชี้ที่มุมปาก “เลยได้คำตอบกลับมา...ให้เลิกโง่เสียที”
เด็กน้อยเรียนรู้แล้วว่ามันกำลังจะจบ...ความรักบนความขมขื่นที่เขาไขว่คว้าเอาไว้สุดกำลังได้หลุดลอยออกไป
“คุณภัทรไม่ยอมให้ใครทำให้คนนั้นคนเดียวของตัวเองเจ็บ...แต่คุณภัทรไม่เคยสนใจว่าตัวเองคือคนนั้นคนเดียวของใคร”
วีรินทร์ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่คิดจะเช็ดมันออก เขาก็แค่ปล่อยให้มันไหลออกมา...
“ขอโทษจริงๆ ที่รบกวน จะรีบหางานทำแล้วจะย้ายออกนะ”
เป็นครั้งแรกที่กันตธีร์รู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้มแข็งแค่ไหน ทั้งที่เจ็บเจียนตาย แต่ก็ยังพยายามจะยืนขึ้นมาด้วยตัวเอง
“โปรเจคล่ะ” กฤษณ์ถาม “จะทำงานไปด้วยไหวหรือไง”
“คงต้องดรอปไว้ก่อน...ยังไงก็คงไม่รอดแล้วล่ะ” วีรินทร์ส่ายหัว
“เฮ้ย! ไม่ได้!!!” จิรณัฐที่ถูกตามตัวมานั่งสุมหัวกันค้านเสียงแข็ง
“ซอล...อยู่นี่ไปก่อนก็ได้ เรื่องทำงานก็ไว้ก่อน ไว้จบแล้วค่อยว่ากันก็ได้” กันตธีร์รีบเสริม
“เอาจริงๆ ก็อีกหลายเดือนกว่าจะจบ จะเอาเงินที่ไหนกิน” คนไร้หลักยิ้ม “ขอบคุณนะ แต่คงรบกวนมากกว่านี้ไม่ได้หรอก”
กันตธีร์หันมาสบตากับจิรณัฐก่อนทั้งคู่จะหันไปมองผู้เป็นที่พึ่งตลอดกาล กฤษณ์ขมวดคิ้วใช้ความคิดก่อนชี้หน้าไอ้คนมีปัญหา
“ซอล...กูขอสั่งให้มึงเรียนให้จบก่อน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้...”
“ฟังก่อน มึงมีบริษัทที่ไปฝึกงานมาทาบทามบ้างแล้วไม่ใช่หรือ”
วีรินทร์มีผลการเรียนที่เยี่ยมยอดพอจะให้มีบริษัทมาเสนอตำแหน่งต่างๆ ให้
“แต่มึงต้องเรียนให้จบก่อนถึงจะได้ทำงาน...เพราะงั้น ตอนนี้ก็ยืมเงินเชี่ยเจไปก่อน มันเหลือเยอะ ทำสัญญาไว้ก็ได้ถ้ามึงไม่สบายใจ หรือจะคิดดอกเบี้ยอะไรก็ไปตกลงกันเอง” คุณพ่อร่ายยาว “แต่มึงต้องเรียนให้จบนะซอล จบพร้อมกับทุกคนนี่แหละ”
น้ำตายิ่งทะลักหนักกว่าเดิมเมื่อว่าจบ จนคนพูดร้องเฮ้ยแล้วเอาทิชชู่ให้เป็นพัลวัน
“ดีกันเกินไปหรือเปล่า” เสียงแหบสั่นพร่า “ไม่โกรธหรือรังเกียจบ้างเลยหรือ”
“พูดอะไรน่ะซอล” กันตธีร์ขยับเข้าไปใกล้แล้วโอบหลวมๆ
“ขอโทษนะ...ที่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง ที่ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด”
“คิดมากน่า” จิรณัฐขยี้หัวเพื่อน “ดอกเบี้ยน่ะไม่เอาหรอกนะ อยากจะจ้างให้เรียนด้วยซ้ำ”
วีรินทร์หัวเราะทั้งน้ำตาในอ้อมกอดเพื่อน ก่อนที่ทุกคนจะปล่อยให้คนที่ร้องไห้จนเหนื่อยได้พักผ่อน เตียงชั้นสองถูกทำความสะอาดปูผ้าใหม่แล้วเอาเก้าอี้มาใช้แทนบันไดในการปีนขึ้นลง
“รู้อยู่ก่อนแล้วหรือ” กันตธีร์ถามรูมเมทตอนที่เดินออกมากินข้าวเย็นกันสองคน ส่วนจิรณัฐหนีกลับไปก่อนแล้ว
“โดยบังเอิญน่ะ...โดนซอลมันเขม่นเอาอยู่เป็นเทอม คงไม่อยากให้เพื่อนรู้ กูเลยไม่เคยบอกใคร ส่วนเจ...ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้ได้ยังไง” คนฟังเลิกคิ้วให้กับเรื่องที่ไม่เคยรู้ ก่อนจะหันหน้าหนีเมื่อพูดถึงอีกคน “แล้ว...กับโชติภัทรเป็นยังไง”
“อยากทะเลาะกันหรือไง”
“ตัวเล็ก นี่กูถามดีๆ” กฤษณ์ทำเสียงอ่อน “อย่าให้กูต้องพูดอีกรอบว่ากูเป็นห่วงมึงนะ”
กันตธีร์รู้สึกผิดวูบ เขากับกฤษณ์เป็นเพื่อนกันมานานเกินกว่าที่ควรจะมึนตึงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“กูขอโทษ” เขายอมรับ “กูแค่อึดอัด...กูไม่อยากให้มึงพูดอะไรในแง่นั้น”
“กูก็ขอโทษ อันที่จริงกูก็ไม่ควรยัดเยียดมึงแบบนั้น” กฤษณ์ยิ้ม “แต่นี่กูแค่ถามเฉยๆ เล่าเรื่องโชติภัทรให้ฟังบ้างสิ”
“...มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ” งึมงำในลำคอ “เพื่อนกัน...ธรรมดานี่แหละ”
“ตัวเล็ก” พ่อหมีเรียก “กูรู้ว่ามึงเองก็รู้ดีอยู่”
“แล้วจะให้ทำยังไง” กันตธีร์ถามกลับ
“ไม่รู้สิ มึงอยากให้มันเป็นแบบไหนล่ะ”
“...เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ดีแล้ว”
กฤษณ์เลิกคิ้วมองเพื่อนสนิทที่ก้มหน้าจ้องปลายเท้า
“แบบนี้คืออะไร เพื่อน? แน่ใจหรือ?”
“อย่าคาดคั้นกูได้ไหม”
“มึงเห็นซอลมั๊ย”
กันตธีร์มองอย่างไม่เข้าใจ
“เห็นเจมั๊ย” กฤษณ์ว่าต่อ “กูไม่เคยรังเกียจเพื่อนคนไหนไม่ว่าแม่งจะเป็นอะไร...แต่กูไม่เคยเห็นคู่ไหนที่ไปกันรอดยาวๆ ดูเจหรือซอลสิ มันเป็นความสัมพันธ์ฉาบฉวย...สุดท้ายก็จะมีคนเสียใจ”
ชายหนุ่มอ้าปากจะเถียงแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา
“ตัวเล็ก กูไม่ได้ดูถูกความรู้สึกของใคร...ของโชติภัทร แต่มึงเองก็รู้ว่ากูไม่อยากให้มึงเสียใจ...ไม่ว่าจะจากอะไรหรือใคร”
“...กูรู้” เขาหาเสียงตัวเองเจอในที่สุด “ขอบคุณนะหมี...แต่เรื่องที่มึงอยากรู้...กูเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน”
กันตธีร์ถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ดูขุ่นมัวกว่าทุกวัน
++++++
“ซอล...ข้อมูลอันนี้เรียงใหม่แล้วน่าจะใช้ได้”
ห้องที่เคยอยู่กันแค่สองคนดูแน่นขึ้นถนัดตาเมื่อมีผู้อยู่อาศัยเพิ่ม แม้จะไม่ลำบากอะไรนักก็ตาม
“แต้งกิ้ว วางไว้เลย เดี๋ยวขอจัดการตรงนี้อีกหน่อย” วีรินทร์ตอบแม้ตายังจะไม่ละไปจากหน้าจอ “ธีร์ไปทำส่วนของตัวเองเถอะ แค่นี้ก็ช่วยเยอะมากแล้ว”
“อืม ไม่เป็นไร ทางนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน”
“งั้นมาช่วยกูแทนดีมั๊ยครับไอ้สองนักเรียนดีเด่น” กฤษณ์โยนคำประชดใส่พร้อมใบหน้าทรุดโทรมเรียกเสียงหัวเราะจากอีกสองชีวิตได้ทันที
หลังจากร้องไห้จนหลับไปหนึ่งตื่นวีรินทร์ก็ตื่นมาเป็นคนเดิม เริ่มจัดการกับชีวิตที่เละเทะของตัวเองทีละอย่าง กลับมาทำโปรเจคที่ค้างเอาไว้ต่อ แม้จะแทบลากเลือดแต่ด้วยการช่วยเหลือของอาจารย์ที่ปรึกษาผู้ใจดีเกินรูปลักษณ์ภายนอกก็เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง จนกฤษณ์แอบมากระซิบบอกว่าเห็นสภาพแล้วรู้สึกว่าตัวเองหมดสิทธิ์บ่นในทุกกรณี
“วะ กูลงไปซื้อเอ็มร้อย พวกมึงเอาอะไรมั๊ย” พ่อหมีเกาขยี้หัวตัวเองก่อนจะลากสังขารยับๆ ขึ้นจากกองงาน
“ขอน้ำเปล่าละกัน ซอลเอาไรป่ะ” คนคร่ำเคร่งกับงานโบกมือปฏิเสธ คนถามจึงเดินเซๆ ออกจากห้องไป
“นี่ธีร์” เสียงแหบเรียกเมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบของคนสองคน
“หืม”
“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหรืออยู่ช่วยก็ได้” วีรินทร์พูดโดยที่มือยังแก้งานไปด้วย
“เฮ้ยไม่เป็นไร”
“...เกรงใจคนที่คอยโทรมาตามน่ะ”
กันตธีร์ชะงักกึกแล้วหันไปมองเพื่อนนั่งทำงานอยู่บนเตียงทันที
“นี่ไม่ได้ตาบอดหรือหูหนวกนะ ทางนั้นเขาตามตื้ออยู่ไม่ใช่หรือไง อยากไปก็ไปเหอะ”
“เดี๋ยว...คือ จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องซอล” คนโดนดักทางลูบหน้าอย่างตั้งตัวไม่ทัน
“งั้นเรื่องอะไรล่ะ อย่าทำให้รู้สึกผิดกันเล่นๆ สิ”
“ก็...อืม” เขาเม้มปากเพราะนึกคำอธิบายไม่ถูก
“ธีร์...อย่าให้ต้องไล่ พ่อหวงหรือไง นี่ไงมันไม่อยู่แล้ว จะไปก็รีบ”
เจ้าของห้องตัวจริงรู้สึกหน้าร้อนวาบ ก่อนจะคว้ายางลบใกล้มือเขวี้ยงใส่เพื่อน
“ไอ้บ้า ไม่ใช่โว้ย”วีรินทร์ที่หลบยางลบบินทันหัวเราะร่าจนกันตธีร์เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหยอกหนักๆ เข้าให้แล้ว
นี่สิน่า...ขนาดจิรณัฐยังเคยบอกว่าคนที่น่ากลัวที่สุดคือวีรินทร์
“แต่ที่พูดนี่พูดจริงนะ...จะไปก็ไปเหอะ อยู่ได้ ไม่คิดสั้นแน่นอน” คนมาขออาศัยโบกมือไล่ยิ้มๆ
กันตธีร์มองคนที่กำลังเอางานส่วนที่เขาช่วยมาเปิดดู ดวงตาคู่สวยยังมีแววโศกเศร้าชัดเจน ขอบตาก็ยังบวมช้ำจากการร้องไห้ที่เจ้าตัวพยายามหลบไม่ให้เพื่อนเห็น แต่การที่ยิ้มและหัวเราะออกมาได้ก็ทำให้เบาใจ
‘เศร้าก็เศร้า แต่อย่างนึงคือมันจบแล้ว...การทรมานตัวเองที่ยาวนาน’คำพูดของคนตัวบางที่เข้มแข็งสุดๆ
กันตธีร์เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจแล้วหันไปเก็บของเงียบๆ ก่อนจะรู้สึกเกร็งขึ้นมาเมื่อเสียงหัวเราะหึๆ ดังขึ้นอย่างชวนสยอง
“ธีร์น่ารักเป็นบ้าเลยว่ะ”
“หุบปากไปเลย!”คราวนี้ทั้งหมอนตุ๊กตาผ้าห่มที่คว้าอะไรได้ก็โยนโครมใส่อีกฝ่ายทั้งหมด แต่ผู้ถูกกระทำก็แค่หัวเราะลั่นอย่างชอบใจที่ได้แกล้งคน เขาไม่ชินกับการถูกล้อเลียนแบบนี้เท่าไหร่ ที่ผ่านมานอกจากกฤษณ์ที่คอยจับผิดเรื่องนี้ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องของโชติภัทรให้รู้สึกคันยิบๆ ในหน้าอกข้างซ้าย
“หืม...เขินหรือเนี่ย” คนอกหักหมาดๆ ปรับโหมดได้รวดเร็วจนเริ่มรู้สึกคิดผิดที่ไปรับมันมาอยู่ด้วย
“บอกให้เงียบไปเลย!” เขากัดฟันขู่
“เด็กสปอยล์ด้วย...พ่อโอ๋มากไปหรือเปล่าครับ”
“เฮ้ย! พอๆ!โตเป็นควายแล้วเล่นอะไรกัน”เสียงโวยลั่นหยุดการตะลุมบอนจากของสองคนได้ชะงัด กฤษณ์ที่เดินกลับห้องมาได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง เพราะฝ่ายที่เหมือนจะถูกกระทำเอาแต่กลั้นหัวเราะแต่ฝ่ายที่เป็นคนกระโจนใส่กำลังสบถอย่างหงุดหงิด
“นึกบ้าอะไรกันขึ้นมา”
กันตธีร์มองหน้าคนไม่รู้เรื่องก็ยิ่งหงุดหงิดจนหันไปเก็บของลวกๆ แล้วก็หอบเอาโน้ตบุ๊คเดินออกจากห้องไป ทำเอาคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรได้แต่หน้าเหวอแล้วหันไปขอตัวช่วยที่นอกจากเอาแต่ขำก็ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์
“โทษทีๆ” วีรินทร์โบกมือ “นิสัยเสียน่ะ...”
“หมายถึงอะไร?”
“นี่ไง” จิ้มอกตัวเองแล้วยิ้มให้ “เห็นแล้วมันอดแกล้งไม่ได้...คนมีความสุขนี่มันดีจังเลยนะ”
เปรยกับตัวเองยิ้มๆ ปล่อยให้เจ้าของห้องอีกคนทำหน้ามึนจนเลิกสนใจไปเอง
นิ้วเรียวเคาะโต๊ะไม้เป็นจังหวะช้าๆ แดดยามเย็นสีส้มแผดเผาจนร้อนพอๆ กับความรู้สึกหงุดหงิดใจที่ยังหาที่ระบายไม่ได้ เสียงถอนหายใจแล้วก็วางปากกาจากคนข้างๆ ทำให้เขารู้สึกผิดนิดๆ ที่รบกวนสมาธิแต่ก็ไม่มีอารมณ์จะหันไปขอโทษ
“เป็นอะไร” เสียงนุ่มถามอย่างใจเย็นจนมโนธรรมเริ่มเจ็บแปล๊บ
“เปล่า”
“หืม น่าเชื่อมาก” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ “โดนใครแกล้งมาหรือไง”
กันตธีร์หันขวับไปมองคนที่น่าจะเปลี่ยนอาชีพเป็นหมอดู โชติภัทรเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจที่ตัวเองเดาถูกแล้วก็ยิ้มให้เหมือนเดิม
“เพราะนายนั่นแหละ” โยนกันดื้อๆ
“ฉัน?”
“เออ เพราะนายคนเดียวเลย” คนพาลเริ่มโวยวายก่อนจะทุเรศตัวเองไม่ไหวเลยซบหน้าลงกับท่อนแขนตัวเองเป็นการหนีความจริง
“เป็นอะไรเนี่ย อยากเงียบหรืออยากให้ปลอบบอกมาเลย” เสนอทางเลือกอย่างใจกว้างเป็นมหาสมุทร
“เงียบ”
“โอเคครับ”
แล้วก็เงียบจริงดังว่า เขาฟุบหน้าลงกับโต๊ะสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้น พบกับชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งเท้าคางมองอยู่ก่อนผ่านกรอบแว่บสีดำพร้อมด้วยรอยยิ้มชวนให้ใจกระตุก จึงได้แต่โทษแสงแดดชวนแสบตาที่ทำให้ภาพตรงหน้ามันพร่ามัวไม่รู้เรื่อง
กันตธีร์ถอนหายใจเฮือก
“ขอโทษ”
“หืม?”
“ขอโทษที่พาลใส่”
“ไม่เป็นไร...อารมณ์ไม่ดีนี่”
โชติภัทรดีใจหายจนรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นไปอีกระดับ เขาตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่อีกฝ่ายไปเอามาให้
“จะไปไหน”
“หาอะไรอ่านแก้เซ็ง” ตอบพร้อมกับเลี้ยวเข้าไปตามซอกชั้นหนังสือที่ไม่มีคนแตะต้อง
“ในนี้อ่ะนะ?” คนตัวสูงลุกเดินตามมา ที่ถามไปอย่างนั้นเพราะไอ้ชั้นแถวนี้มันก็มีแต่วิทยานิพนธ์เก่าเก็บกับสารานุกรมที่ไม่มีคนอ่าน
“ไม่เคยอ่านหรือไง คนไทยป้ะ สารานุกรมไทยฉบับเยาวชนไง” หันกลับมาว่าหน้าตาย
คำตอบนั้นทำเอาคนเดินตามหลุดขำ ส่วนคนพูดก็เริ่มตีหน้านิ่งไม่อยู่เผลอยิ้มออกมาเหมือนกัน ทำให้พื้นอารมณ์แย่ๆ ค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด กันตธีร์เอานิ้วไล้ไปตามสันหนังสือ โชติภัทรมองกริยานั้นยิ้มพร้อมกับเดินตามไปแม้จะไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากทั้งคู่
บรรยากาศประหลาดแต่ก็ลงตัวจนไม่มีใครอยากทำลายมันกำลังดำเนินไปแบบที่ไม่รู้ตัว
“เจอแล้ว”
กันตธีร์ร้องอย่างมีชัยในที่สุดพร้อมกับเขย่งตัวเอื้อมมือขึ้นคว้าหนังสือปกหนังเล่มหนาจากชั้นสูงเหนือศีรษะ
คนตัวสูงส่ายหัวขำๆ ก่อนจะสังเกตว่าหนังสือที่เลื่อนออกมาไม่ได้มีแต่เล่มที่ต้องการ ในชั้นหนังสือที่ไม่ได้รับการสนใจมักจะมีคนเอาหนังสือที่ยืมไม่ได้มาซ่อนเอาไว้ ซึ่งชั้นนี้ก็เช่นเดียวกัน หนังสืออีกเล่มที่ถูกซ้อนเอาไว้จึงไหลลงมาตามแรงดึง
“ธีร์!!”โชติภัทรรีบคว้าคนตัวเล็กเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัว ฝ่ายถูกลากกระทันหันก็ร้องเฮ้ยปล่อยหนังสือหลุดจากมือหล่นพื้นเป็นเสียงดังโครมครามท่ามกลางความเงียบเชียบของห้องสมุดที่ไร้ผู้คน
กันตธีร์ที่ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากชุดนักศึกษาของอีกฝ่ายเป็นอย่างแรก ก่อนจะลืมตาขึ้นเห็นแนวกรามได้รูป
“โดนหรือเปล่า?”
เสียงนุ่มถามชิดใบหูให้รู้สึกหวิวจนพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหัวตอบไป
มือที่โอบหลังอยู่คลายออก พร้อมกับที่อีกฝ่ายก้มลงมา ใบหน้าหล่อกระทบกับแสงแดดยามเย็นจนเห็นโครงหน้าที่ลงตัวชัดเจน คนตัวเล็กกว่าเผลอกัดปากตัวเองเบาๆ เมื่อมองสบกับแววตาที่ฉายความเป็นห่วงชัดเจนแบบไม่ต้องการคำอธิบาย
“ธีร์”
คนถูกเรียกสะดุ้งจนเผลอผลักอีกฝ่ายแล้วก้าวถอยหลังอย่างตกใจ แต่หนังสือที่หล่นอยู่ทำให้ก้าวนั้นพลาดเซจนทำให้โชติภัทรต้องคว้าตัวกลับมาปะทะกับแผ่นอกกว้างอีกครั้ง
เจ้าของอ้อมแขนก้มลงมาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป ดวงตาคู่สวยที่อยู่หลังเลนส์แว่นสะท้อนใบหน้าของตัวเขาเองเช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ยังรั้งตัวเขาไว้จนใกล้ชิด
สมองของทั้งคู่มีทั้งความว่างเปล่าและความคิดยุ่งเหยิงจนแปลความออกมาไม่ได้
แม้ในวินาทีที่สัมผัสนุ่มนวลแตะเข้าหากัน
ณ ห้องสมุดที่ไร้ผู้คน แสงอาทิตย์อัสดง และหนังสือที่หล่นอยู่รอบตัว
เราจูบกัน
TBC
::TALK::
มาอย่างไวว่อง...

ตอนนี้ยาวมาก พิมพ์ๆไปแล้วก็ไม่รู้จะตัดตรงไหน เอามันมาลงทั้งหมดแล้วกัน!!
เรื่องของซอลคงไม่ลงรายละเอียดมากเท่าไหร่เพราะไม่ใช่สาระจริงๆของเรื่อง [วางแพลนจะเขียนไซด์สตอรี่ให้นางอยู่ << สร้างภาระให้กับตัวเองเข้าไปอีก เอาเข้าไป

]
ส่วนโชธีร์.....................................มันจูบกันแล้วค่าพี่น้องงงงงงงงงงงงงงง!!!!

//ปิดถนนแห่มังกรฉลอง

มิใช่อะไรพิมพ์ไปก็อิจฉาธีร์ไปค่ะ คนเขียนเป็นแม่ยกพระเอกแบบไม่ต้องสงสัย

55555
สำหรับตอนถัดไปจะพยายามมาลงให้ได้ในศุกร์หน้านะคะ //อ้อนขอกำลังใจ

รักคนอ่านมากมายก่ายกองงง ม๊วฟ

::comment::
mild-dy - ปีนี้ค่ะปีนี้ จะพยายามให้จบในปีนี้นี่ล่ะค่า

BeeRY - เป็นคนที่เหมาะจะเป็นพ่อคนมากอ่ะค่ะ 555
quiicheh. - เดี๋ยวนะคะ ตอนนี้พระนายของเราก็มีพัฒนาการนะเอ้อ!!

malula - ตอนนี้คนอ่านได้รู้แล้วค่า 555555
จุ๊ฟฟฟฟ

ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะะะะ จะพยายามปั่นเต็มที่เลยค่า
